Chapter 20
‘กฎ’ การเป็นเด็กในอุปการะของ ‘กนธี สิงหนาท’ มีแค่ไม่กี่ข้อ
หนึ่ง..ความสัมพันธ์คือการแลกเปลี่ยนระหว่าง ‘ร่างกาย’ กับ ‘เงิน’
สอง..อยู่ในที่ของตนเอง ไม่ล้ำเส้นของแต่ละฝ่าย
สาม..ซื่อสัตย์ อย่าโกหก หรือคิดหักหลังกัน
สัญญาที่เอ่ยปากเปล่านี้ ไม่มีระยะเวลาสุดท้ายตายตัว ให้ถือว่าการละเมิดกฎ ถือเป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ต่างคนต่างสามารถเป็นอิสระจากกันและกันได้ ในทันทีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการแยกตัวออกไปเพื่อมีชีวิตใหม่กับคนนอก
พูดให้สั้นลงอีก..ก็คือพวกเขาจะเลิกลากัน เมื่อ ‘มีใจ’ ให้กับใครอื่น
ถึงตอนนั้น..ให้ถือว่าอดีตที่ผ่านมา..เป็นเพียงอากาศธาตุ
กนธีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง สายตาอ่อนโยนทอดมองคนที่นอนตะแคงอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ ใบหน้าได้รูปซบอยู่บนหมอน ลมหายใจสม่ำเสมอบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท หากไม่นับเรื่องรูปร่างและอุปนิสัยที่ค่อนข้างเกินวัยตนเองแล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เหมือนวัยรุ่นธรรมดาที่เพิ่งจะผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาไม่นานนี่เอง
เขาเอื้อมมือออกไป ปัดปอยผมสีดำเข้มที่ยาวปรกหน้าผากให้อย่างเบาแรง ปลายนิ้วเรียวยาวทาบลงบนศีรษะแล้วลูบแผ่ว สัมผัสนั้นอบอุ่นเทียบเท่ากับคนในครอบครัว
อินทัชสะดุ้งตื่น หันขวับมามองคนด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นกนธี ถึงได้ถอนหายใจยาว
“พี่กุนต์..” เขาทิ้งหัวลงบนหมอนอีกครั้ง ยกมือป้องแสงที่เล็ดลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา “กี่โมงแล้วครับ”
“สิบโมงแล้ว”
ร่างสูงลุกพรวด “ผมมีเรียนเช้า!” ยังไม่ทันจะได้ก้าวลงจากเตียง พี่กุนต์ก็คว้าแขนไว้ก่อน
“ใจเย็นโอ๊ต..นี่มันวันเสาร์ครับ”
เจ้าของชื่อนิ่งอึ้ง พอตั้งสติของตนได้ก็ต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เขานี่มันบ้าบอจริงๆ
อินทัชถอนใจอีกครั้ง ลูบหน้าแรงๆให้หายมึน จากนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้น “ผมต้องไปดูน้อง..”
กนธีอมยิ้ม พยักพเยิดไปนอกห้องนอน พอตั้งใจฟังก็ได้ยินเสียงพูดคุยของอ้นกับอุ้มเรื่องของกิน เจ้าตัวน้อยเถียงกันว่าอะไรอร่อยกว่า ระหว่างไข่ดาวกับไข่เจียว..แต่ที่แน่ๆ พี่กุนต์ทำไข่ไหม้ทั้งสองใบ
“พี่ทำอาหารเช้าให้เด็กๆ พอดีเผลอหันไปต้มไส้กรอก ไข่เลยไหม้” เขายักไหล่ “แต่ว่าไปซื้อข้าวต้มมาชดเชยให้แทนแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“น้องผมมาได้ยังไงครับ”
“เมื่อเช้าพี่ไปรับมาเอง เห็นโอ๊ตยังหลับเลยไม่อยากปลุก” เขาลุกขึ้นยืน “ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเถอะ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรทำก็ไปเก็บของมาไว้ที่นี่นะ ห้องที่เราอยู่ก็ปล่อยให้คนอื่นเช่าแทนแล้วกัน”
อินทัชมุ่นหัวคิ้วเหมือนยังตามไม่ทัน
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อคืนเราคุยอะไรกันไว้”
เขาเงียบไป ประโยคที่พูดคุยกับอีกฝ่ายไหลย้อนเข้ามา
“จะให้โอกาสพี่..ได้ดูแลโอ๊ต ดูแลน้องๆ ดูแลยายของเราได้ไหม”
“ผม..ตกลง” อินทัชหันไปมอง “ขอโทษครับ ผมเบลอไปหน่อย” พอรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานะอะไร เด็กหนุ่มก็อดเกร็งขึ้นมาไม่ได้ เขายังทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องวางตัวอย่างไร
ให้เป็นเหมือนอย่างเพื่อนก็ไม่ใช่ พี่น้องก็ไม่เชิง ทั้งยังห่างไกลจากคำว่าคู่รัก แฟน หรือคนรู้ใจ
..แล้วเด็กที่ถูกอุปการะ แลกเปลี่ยนกันด้วยเงิน..จะต้องแสดงออกแบบไหนกัน..
“ทำใจให้สบายเถอะ คิดเสียว่าตั้งแต่นี้ไป โอ๊ต อ้น แล้วก็อุ้ม เป็นคนของพี่” กนธีบอก “พี่จะดูแลครอบครัวเรา เหมือนครอบครัวของพี่ มีอะไรเดือดร้อน อยากให้ช่วย บอกพี่มาเลย ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เราเองก็ดูแลพี่ตามสมควร ไม่ต้องทุ่มเทให้เกินความสามารถ พี่น่ะเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่ลำบากโอ๊ตมากนักหรอก”
อินทัชเพียงแต่รับฟัง
“ในส่วนของเราสองคน พี่ก็มีกฎระหว่างกันให้ทำตาม พี่ขอพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน” กนธีอธิบาย “ข้อหนึ่ง..ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่คู่รัก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องลำบากใจ พี่จะไม่ยุ่งเรื่องความรู้สึกของเรา มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยน พี่ต้องการคนดูแลพี่ เรื่องกินอยู่หลับนอน แล้วก็เรื่องบนเตียง ถ้าโอ๊ตตกลงทำให้พี่ได้ สิ่งที่พี่จะตอบแทนโอ๊ต ก็คือเงินเดือนประจำ และการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเรา”
“ข้อสอง..ถึงความสัมพันธ์เราจะใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่พี่ก็ยังเคารพขอบเขตระหว่างกัน จะไม่มีใครล้ำเส้นใคร ไม่เข้าไปก้าวก่ายวุ่นวายในส่วนที่อีกคนไม่อนุญาต พี่จะเว้นพื้นที่ส่วนตัวไว้ให้ จะได้ไม่ต้องอึดอัดกันทั้งคู่”
อินทัชพยักหน้ารับ พยายามทำความเข้าใจ
“ข้อสาม..สำคัญที่สุด” กนธีกำชับ “พี่ขอความซื่อสัตย์ อย่าโกหก หรือหักหลังพี่”
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่าย
“มีอะไรให้พูดกันตรงๆ อยากเป็นอิสระ อยากแยกตัวออกไป หรือเจอคนใหม่ที่รักมากกว่า ก็ให้เดินมาบอก พี่ไม่ใช่คนใจร้าย มีเหตุผลมากด้วยซ้ำ ถ้าอยากจะไป พี่ก็จะอนุญาต ขอแค่อย่าโกหกให้พี่จับได้เป็นพอ”
“วางใจเถอะครับ” อินทัชบอก “ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับพี่แน่”
กนธีพอใจเมื่อได้ยินคำตอบจากปาก “ทีนี้..พี่มีคำถาม” เขามองคนอายุน้อยกว่า “พี่จำได้ ว่าโอ๊ตเคยเล่าว่าโอ๊ตยังไม่มีแฟน เพราะฉะนั้น พี่ถึงชวนให้โอ๊ตมาอยู่ด้วย แต่พี่ก็จำได้เหมือนกัน ว่าโอ๊ตมีคนที่ชอบแล้ว..”
ร่างสูงเงียบไปอึดใจ “ผมชอบคนๆหนึ่งอยู่ แต่เป็นแค่ความรู้สึกข้างเดียว”
“มีโอกาสพัฒนาไหม”
“ผมไม่รู้” เขาส่ายหัว “แต่ผมสัญญา ว่าวันไหนที่ความสัมพันธ์ของผมกับเขามีทีท่าว่าจะมากกว่าเพื่อน ผมจะบอกพี่เป็นคนแรก จะไม่แอบคบกับใครลับหลังพี่เด็ดขาด เรื่องที่ผมจะไม่มีวันทำ..ก็คือการทรยศกับคนที่มีบุญคุณ”
กนธียอมรับในความซื่อสัตย์ทางคำพูดของอีกฝ่าย อินทัชนับว่าเป็นคนที่ตรงไปตรงมา และอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง หากเป็นเด็กคนอื่น อาจไม่ยอมรับว่ามีคนที่ชอบ และอาจจะตอบว่าไม่มีโอกาสพัฒนาแน่เพื่อเอาใจเขา
..เรื่องของเรื่องก็คือไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น..
..ดังนั้น คำตอบว่า ‘ไม่รู้’ ก็นับว่าถูกต้องแล้ว..
“ผมตอบเท่าที่ผมคิด” อินทัชบอก “ผมมีคนที่ชอบอยู่ในใจ ถ้าพี่อยากรู้ว่าผมชอบใคร ผมก็จะเล่าให้ฟัง”
“ข้อที่สอง..” กนธียิ้ม “โอ๊ตยังมีพื้นที่ส่วนตัวเสมอ”
“แล้วพี่แคร์หรือเปล่า ถ้าผมจะยังชอบเขาต่อไป”
“พี่ไม่แคร์ว่าโอ๊ตชอบใคร หรือรู้สึกอะไรกับใครเป็นพิเศษ พี่สนแค่ว่า โอ๊ตจะทำตามกฎของพี่ และให้เกียรติพี่ อย่างที่พี่ให้เกียรติโอ๊ต” ชายหนุ่มยิ้มจาง “ยุติธรรมดีไหม”
“ยุติธรรมครับ”
“ดีแล้ว” เขาเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าอย่างนั้น..เราก็มาเริ่มต้นกันด้วยสถานะใหม่นะ”
อินทัชมองฝ่ามืออ่อนนุ่มที่ยื่นมาตรงหน้า เขาจับเอาไว้ สัมผัสความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากปลายนิ้ว
..นับจากนี้ไป เรื่องราวระหว่างกันคงจะไม่เหมือนเดิม..
..................................................................................................
“ไม่ผิดไปจากที่บอก” พสิษฐ์ที่กำลังวิ่งอยู่บนลู่เอ่ยปากกับคนด้านข้าง “ในที่สุดก็พาเด็กมันมาจนได้”
ร่างสูงใหญ่เหลือบมองพี่ชายที่ปรับความเร็วเป็นการเดินต่อเนื่อง ใบหน้าได้รูปมีหยดเหงื่อผุดซึม ผิวเนื้อขาวขึ้นสีแดงเรื่อเพราะออกกำลังกายมาครึ่งชั่วโมง
“เออ..ก็ไม่ผิดไปจากคำทำนายของหมอดูอย่างแกหรอก” กนธีตอบอย่างไม่ยี่หระ เขายกผ้าขนหนูที่คล้องคอขึ้นมาเช็ดหน้า จากนั้นก็เริ่มวิ่งเหยาะๆอีกครั้ง
“มีอย่างที่ไหน ไปบอกชอบเด็กมันก่อน” พสิษฐ์ถอนหายใจ
คนฟังหัวเราะ “ก็พี่ชอบโอ๊ต จะให้บอกว่าเกลียดหรือไง”
“หัดทำตัวให้ยากๆหน่อยสิครับเสี่ย!”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับยากหรือไม่ยากตรงไหนเลย” กนธีบอก “ที่จริงทุกคนที่ผ่านมา พี่ก็ชอบนะ ถ้าไม่ชอบจะรับดูแลได้หรือไง เพียงแต่ว่าจะชอบมากหรือชอบน้อย มันต่างกันตรงนั้นแหละ”
“คนนี้อยู่ระดับไหน”
“เอ็นดูกว่าคนอื่น..รับหนึ่งคน ได้ลูกแถมอีกสอง” เขายิ้ม “เด็กมันพยายามให้พี่เห็น ไม่ได้งอมืองอเท้า แถมตรงไปตรงมา ใช่ก็บอกใช่ ไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่..คนแบบนี้พี่ชอบ คุยกันง่ายดี”
“แน่ใจนะ..ว่าไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาของหมอนั่น..คล้ายไอ้รัณย์อย่างกับอะไร”
กนธีส่ายหัว “นาทีแรก พี่อาจจะถูกดึงดูดให้เข้าหาเขาด้วยเรื่องนั้น แต่พี่ก็รู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เอาใครมาเป็นตัวแทนรัณย์ พี่เอ็นดูโอ๊ตที่เป็นโอ๊ต ไม่ได้มองเขาเป็นเครื่องมือแก้ความโหยหาอดีต”
พสิษฐ์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองพี่ที่ค่อยๆลดความเร็วลู่และหยุดวิ่งในที่สุด พี่กุนต์ก้าวลงมา
“ขอบคุณแกมากที่เป็นห่วงความรู้สึกของพี่ แต่คนเราป่วยได้ก็ต้องหายได้ มันเป็นข้อดีของจิตใจมนุษย์” เจ้าตัวตบบ่ากว้าง “พี่พร้อมจะหลุดจากเรื่องเก่าๆแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะเลิกรักศรัณย์ พี่ชอบโอ๊ตก็จริง แต่เป็นในแง่ของเด็กที่พี่รับดูแล ไม่ได้มองเขาในแง่ของคนรัก..พี่ไม่ใจเร็วขนาดนั้น”
“จะมีโอกาสพัฒนาไหม”
“ไม่มีใครเดาอนาคตได้หรอกไผ่” กนธีหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ปิดฝาแล้วส่งต่อให้น้องชาย “เอาเป็นว่า..ถ้าวันไหนพี่คิดจริงจังกับความสัมพันธ์นี้ขึ้นมา พี่จะบอกแกคนแรก..”
“รู้ใช่ไหมว่ามันมีโอกาสเสียมากกว่าได้” พสิษฐ์ท้วงอย่างเป็นห่วง “เด็กนั่นมีคนที่เขาชอบอยู่แล้วนะ แล้วอีกอย่าง อายุของพี่กับเขาก็ห่างกันมาก ช่องว่างตรงนี้ ไม่ใช่ว่าพี่กุนต์ไม่เคยเจอมาก่อน”
“ถึงได้บอกไงล่ะ ว่าถ้าคิดจริงจังขึ้นมาเมื่อไร จะบอกแกคนแรก” กนธียิ้ม “แกจะได้ปรามพี่ ให้หัดเตรียมใจเอาไว้ผิดหวังบ้าง”
หลังแยกกับพสิษฐ์ที่ฟิตเนส กนธีก็ไปรับอ้นกับอุ้ม เด็กๆจะมายืนรอเขาหน้าโรงเรียนเหมือนเดิม แตกต่างกันที่ว่า หลังจากนี้ เขาจะทำหน้าที่เสมือนผู้ปกครองคนหนึ่ง คอยไปรับไปส่งที่โรงเรียนให้ทั้งเช้าและเย็น หากวันไหนต้องไปต่างจังหวัดก็จะให้คนขับรถมาทำแทน อ้นกับอุ้มเลยไม่ต้องรอพี่ข้างห้อง ไม่ต้องโดยสารรถประจำทาง ไม่ต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลมจนเหงื่อไหลเหมือนแต่ก่อน
“พี่กุนต์มา~” น้องอุ้มยิ้มตาปิด ปีนขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ส่วนพี่อ้นนั่งด้านหน้า
“หิวกันหรือยังครับ” กนธีส่งแซนด์วิชทูน่าให้ “กินรองท้องหน่อยดีไหม”
“ขอบคุณคร้าบ”
น้องอุ้มบิขนมปังโฮลวีทแล้วเห็นมะเขือเทศ เด็กชายทำหน้าเบ้ อยากจะเขี่ยทิ้ง แต่ก็เกรงใจพี่กุนต์ พี่ชายใจดีอุตส่าห์ทำให้เองกับมือ เจ้าหนูไม่กล้าเอาผักทิ้ง เลยได้แต่หลับหูหลับตากินเข้าไป
“โอ้..วันนี้น้องอุ้มของพี่กินมะเขือเทศกับผักกาดหอมด้วย” กนธีเหลือบมองกระจกส่องหลัง เขาล้วงช่องเก็บของกุกกัก จากนั้นก็เอาตัวปั๊มรูปดาวออกมา “ไหนๆ สมุดบันทึกเด็กกินผักอยู่ไหน พี่กุนต์จะปั๊มคะแนนให้”
อ้นหัวเราะ มองน้องชายคนเล็กเอาไดอารี่เล่มน้อยส่งให้พี่กุนต์ วันนี้ได้สองดวง เพราะกินผักไปสองอย่าง
“อ้นชอบกินกะหล่ำปลี” พี่คนกลางเล่า “พี่โอ๊ตเคยเอาใบกะหล่ำมาฉีกครับ แล้วก็เอาหมูสับกับแครอทวางสลับกันเป็นชั้น พอเอาไปตุ๋นก็ออกมาเป็นซาลาเปาผักไส้หมูสับ อร่อยแล้วก็หวานมากเลย”
“น่ากินจัง” กนธียิ้ม “บอกพี่โอ๊ตทำให้พี่กินหน่อยได้ไหม”
“ได้คร้าบ”
ชายหนุ่มมองเด็กๆอย่างเอ็นดู เขาชวนคุยและถามเรื่องที่โรงเรียน อยากรู้จักเพื่อนๆของเด็กๆ อยากรู้ว่าชั้นประถมกับชั้นอนุบาลมีเรียนวิชาอะไรบ้างในแต่ละวัน ขาดเหลืออะไรตรงไหนที่เขาพอช่วยได้ จะได้ทำให้
“ตอนปิดเทอม คุณครูจัดทัศนศึกษาครับ” อ้นเล่า เจ้าตัวดูตื่นเต้น “ใครจะไปก็ได้ คุณครูไม่บังคับ อ้นอยากไปมากเลย แต่ว่าอ้นยังไม่ได้เล่าให้พี่โอ๊ตฟัง คิดว่าพี่โอ๊ตคงไม่อยากให้ไป”
“หืม..แล้วไปที่ไหนครับ ต้องค้างคืนหรือเปล่า”
“ไม่วันเดียวครับ เที่ยวที่เมืองโบราณ”
“เมืองโบราณที่สมุทรปราการใช่ไหม” กนธีพึมพำ “ไม่ไกลเท่าไรนะ ถ้าอ้นอยากไป พี่จะคุยกับพี่โอ๊ตให้”
อ้นมีท่าทีเกรงใจ ซ้ำยังอึกอักเหมือนลังเล
“คือว่า..คุณครูเก็บค่าทัศนศึกษาคนละหกร้อยครับ..” เด็กชายก้มลงมองกระดาษแจ้งรายละเอียดที่เพิ่งหยิบมาจากกระเป๋านักเรียน “อ้นไม่อยากขอพี่โอ๊ต..”
“โธ่..” กนธีลูบหัวเด็กด้วยความอาทร “เรื่องแค่นี้ พี่จ่ายให้เอง”
อ้นส่ายหัวดิก “ไม่เอาครับ..ไม่เป็นไรครับ”
“ทัศนศึกษาไม่ได้จัดขึ้นมาบ่อยๆ แถมเที่ยวกับเพื่อนก็ไม่เหมือนเที่ยวกับครอบครัว ความสนุกมันต่างกัน เพราะฉะนั้นก็คว้าโอกาสไว้เถอะครับ ถือว่าซื้อประสบการณ์”
“พี่กุนต์ใจดีจังเลย” อ้นกระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ข้างกาย “ขอบคุณมากๆนะครับ”
“มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ อ้นกับอุ้มก็เหมือนน้องชายของพี่นั่นแหละ” เขาหันมาบอก
อุ้มยิ้มเผล่ ปากเปื้อนซอสมะเขือเทศ พี่กุนต์เลยเอาทิชชูเช็ดให้
“พี่โอ๊ตบอกว่า พี่โอ๊ตโชคดี ไม่ต้องไปทำงานตอนดึกแล้ว เพราะว่าพี่กุนต์จ้างไว้แทน” อ้นพูดอย่างพาซื่อ “อ้นขอบคุณพี่กุนต์แทนพี่โอ๊ตด้วยครับ..ขอบคุณครับ~”
กนธีได้แต่ยิ้มจาง รับไหว้จากเด็กๆ เขาไม่ได้บอกเล่าอะไรต่อว่าทำสัญญาว่าจ้างอะไรเอาไว้
หลังจากที่ทำข้อตกลงระหว่างกัน อินทัชก็กลายเป็นคนของกนธีไปโดยปริยาย เด็กหนุ่มย้ายออกจากอพาร์ทเมนท์เพื่อมาใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่าย อ้นกับอุ้มดูจะดีใจเอามาก เด็กๆไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเพราะอะไร จู่ๆพี่กุนต์ถึงให้พวกเขามาอยู่ด้วย ทั้งสองรู้แค่ว่า ณ ตอนนี้ นายจ้างคนใหม่ของพี่โอ๊ต ก็คือพี่กุนต์
กนธีเป็นเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแลทุกอย่าง ค่าใช้จ่ายที่เป็นของเด็กสามคน เขาเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว อินทัชไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของค่ากินค่าอยู่ ค่าเล่าเรียน หรือรายจ่ายจำเป็นอื่นๆอีกต่อไป
อินทัชออกจากงานที่ Vin Santo ก่อนกำหนดไม่กี่วัน กนธีให้เงินเดือนเด็กของเขาต่างหากอีกเดือนละสามหมื่น เงินจำนวนนี้ อินทัชสามารถเก็บเข้าบัญชีไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยส่วนตัวได้ตามสบายโดยไม่ต้องแบ่งส่วนออกมารับผิดชอบครอบครัวอีก และหากว่าอยากได้เพิ่ม ขอเพียงบอกความจำเป็นมา กนธีก็พร้อมจะจ่ายให้โดยไม่คิดเสียดาย
ถึงแม้ว่ารายได้แค่นี้อาจจะไม่เท่าตอนที่ทำงานในเลาจน์ แต่อินทัชก็ไม่ต้องอยู่ดึกดื่นจนล่วงเข้าวันใหม่ ไม่ต้องคอยก้มหน้าบริการใคร ไม่ต้องฝืนใจถูกกระทำเหมือนวัตถุบางอย่าง เขามีหน้าที่อย่างเดียว คือดูแลกนธีให้เต็มความสามารถของตนเอง
กนธีไม่ได้เป็นคนที่ดูแลยาก เขาต้องการเพียงเพื่อนพูดคุย คนที่คอยจัดการเรื่องชีวิตประจำวัน รู้ว่าเขากินอย่างไร นอนอย่างไร ช่วยดูความเรียบร้อยของทุกอย่าง เป็นเหมือนเลขาส่วนตัว คอยเตือนเรื่องงาน จัดตารางนัดหมายลูกค้า รับโทรศัพท์แทน หรือช่วยจัดเตรียมเอกสาร นอกเหนือจากนั้น อินทัชแทบไม่ต้องแตะต้อง อย่างคอนโดที่อยู่ทุกวันนี้ กนธีก็จ้างแม่บ้านไว้ทำความสะอาดเป็นประจำ เรื่องซักรีดเสื้อผ้าก็แค่รับมาส่งให้กับร้านตามวัน
“ถึงห้องแล้ว อ้นกับอุ้มไปอาบน้ำก่อนนะครับ กินข้าวเย็นแล้วค่อยอ่านหนังสือก็ได้ ถ้าท้องหิว หัวจะไม่แล่นนะ ยังไงถ้ามีวิชาไหนไม่เข้าใจ พี่จะช่วยดูให้” กนธีบอก “พี่ซื้อขนมมาให้กินรองท้องตอนดึกด้วย แต่กินแล้วต้องรับปากว่าจะแปรงฟัน ห้ามนอนทั้งหวานๆนะ”
เขายกห้องเล็กให้พวกน้องๆใช้ ห้องนั้นมีเตียงสองหลัง ห้องน้ำในตัว อยู่กันสามคนได้อย่างไม่อึดอัด ส่วนตัวเขาก็นอนห้องตัวเองเหมือนเดิม สำหรับพื้นที่อื่น อย่างห้องรับแขก ห้องครัว ทั่วทุกตารางนิ้ว เขาให้ทุกคนร่วมกันใช้ได้ตามสบาย จะนั่ง นอน ดูหนังฟังเพลง เอกเขนกแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องเกร็ง เขาอยากให้เด็กๆรู้สึกว่าที่นี่ก็เป็น ‘บ้าน’ เช่นกัน
ตอนกลับมาถึงห้อง อินทัชก็รออยู่ก่อนแล้ว ช่วงนี้เป็นการสอบปลายภาคเลยไม่มีคลาสเรียน เวลาที่หยุดจึงใช้ไปกับการทบทวนและอ่านวิชาบังคับ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นการสอบปฏิบัติเกี่ยวกับกีฬา
“พี่โอ๊ตสวัสดีครับ” อ้นทัก
“พี่โอ๊ตสวัสดีฮะ” น้องอุ้มทำเป็นลิงหลอกเจ้า เลยถูกพี่สั่งให้ทำตัวดีๆ
เจ้าตัวน้อยสองคนวิ่งปรู๊ดเข้าไปอาบน้ำตามที่พี่กุนต์บอก เสร็จแล้วจะได้ออกมากินข้าวเย็นพร้อมกัน
“ขอบคุณที่ไปรับอ้นกับอุ้มให้นะครับ” เด็กหนุ่มปิดประตูตามหลังเจ้าของห้อง
กนธียิ้ม หิ้วทัฟเปอร์แวร์เปล่ามาวางที่เคาน์เตอร์ครัว ดูเหมือนว่าอินทัชกำลังเตรียมทำอาหาร ปกติเขากินง่ายอยู่ง่าย โยนผักดิบ ผลไม้นิดหน่อย ราดสลัดน้ำใสใส่ลงไปก็จบ จะให้นั่งเคี้ยวมะเขือเทศเป็นมื้อเย็นตะกร้าหนึ่งก็ทำได้ แต่เวลามีคนดูแลแล้ว เขาก็หวังให้เป็นเมนูที่ดีกว่าปกติขึ้นมาสักนิด อย่างน้อยเป็นกับข้าวง่ายๆ ไข่ต้ม ไข่ตุ๋นก็ยังพอว่า อย่าถึงขนาดล้างแตงกวาสดแล้วเอามาตั้งให้เขากินเป็นมื้อดึกเลย
“อ่านอะไรอยู่” กนธีมองปึกกระดาษบนโต๊ะ เห็นแวบๆเป็นข้อมูลเรื่องประเภทของน้ำมันที่ใช้ในการทำอาหาร เขาหยิบมาเปิดคร่าวๆ เห็นรายละเอียดของน้ำมันแต่ละชนิด ทั้งน้ำมันจากสัตว์และน้ำมันพืช “ซับซ้อนจัง”
อินทัชหัวเราะ “ตอนแรกผมก็งง แต่อ่านแล้วเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
จะว่าไปแล้ว ที่คอนโดมีน้ำมันมะกอกกับน้ำมันรำข้าว กนธีเห็นคนอื่นใช้ เขาก็ใช้ตาม ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก
“น้ำมันมะกอกแบบเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น มีประโยชน์ที่สุด ใช้ทำน้ำสลัดหรือกินสดจะดีที่สุดครับ แต่ไม่ควรถูกความร้อนเพราะจุดเกิดควันของมันต่ำ จะเป็นสารก่อมะเร็งได้ พวกเอ็กซ์ตร้าไลท์ ใช้กับอาหารที่ต้องผ่านการทอดนานๆ อย่างทอดปลา หมู ไก่ แต่ว่าถูกสกัดกลิ่น สี รสออกไปหมด ไม่ค่อยจะได้สารอะไรเท่าไร ส่วนโอลีฟออยล์ เป็นน้ำมันลูกครึ่งระหว่างสองอย่างแรก ใช้กับอาหารที่ผัดเร็วๆ พวกผัดผัก หรืออาหารฝรั่ง พาสต้า สเต็ก”
“ปวดหัวจัง” กนธีมุ่นหัวคิ้ว “แล้วไอ้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกที่พี่ซื้อมาเป็นแบบไหนน่ะ”
“เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น” อินทัชหัวเราะ “ตอนหยิบนี่ไม่ได้ดูใช่ไหมครับ”
“ไม่ได้สนใจน่ะสิ แต่ก็ยังไม่เคยทอดอะไรนานๆนะ พี่ไม่ค่อยกินของทอด”
“ดีแล้วล่ะครับ ลดไขมันลงบ้าง จะได้ดีกับสุขภาพ” เด็กหนุ่มพึมพำ
กนธีพยักหน้า เปิดดูผ่านๆ เห็นน้ำมันอีกสารพัดแบบ ทั้งทำจากถั่วเหลือง ปาล์ม มะพร้าว มะกอก ดอกทานตะวัน รำข้าว และงา แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากนักโภชนาการ หรือหมอตามโรงพยาบาล ซ้ำยังหามาจากหลายๆที่ แผ่นสุดท้ายมีโน้ตเขียนด้วยลายมือหวัดๆเป็นการสรุปด้วย
“ที่ไม่ควรซื้อ คือน้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม ข้อเสียมันมากกว่าข้อดี ส่วนไอ้ตัวน้ำมันถั่วเหลืองนี่ตกยุคไปแล้วครับ ผมว่าเอาน้ำมันมะกอกกับรำข้าวดีกว่า”
“นี่วิชาเรียนของเด็กวิทย์กีฬาหรือ” เขาวางปึกกระดาษลง “หรือกำลังจะทำรายงานส่งอาจารย์”
อินทัชส่ายหัว “ข้อมูลใช้ดูแลพี่กุนต์ยังไงล่ะครับ”
กนธีนิ่งอึ้ง เหลียวมองกองเอกสารตั้งเดิม “ห๊ะ?”
“วันนี้ผมอ่านหนังสือสอบแล้วเบื่อๆ เลยมารื้อครัวดู มีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด บางอันก็เก่าจนหมดอายุ บางอันก็ไม่เคยเปิดใช้ บางอันก็ดูไม่เหมาะกับการทำอาหาร ผมเลยจัดการทิ้งเรียบร้อย ลิสต์ของที่ต้องใช้จริงๆใหม่แล้วด้วย”
“ไม่ได้ทิ้งก้อนเชื้อเพาะเห็ดของพี่ใช่ไหม” เห็ดฟางนี่ของโปรดเลยนะ ทิ้งไปเขาคงน้ำตาตกในแย่
อินทัชหัวเราะ “ยังอยู่ดีครับ ผมแค่ดูเครื่องปรุงอย่างเดียว ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
กนธีอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ “เปล่า ไม่ได้ตกใจหรอก แค่อึ้งนิดๆ ว่าเป็นคนแก่มันต้องดูแลเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
“สำหรับคนแก่ทั่วไปก็ใช่ครับ” เขาพูดตรงไปตรงมา “แต่กับพี่กุนต์ น่าจะต้องดูแลสองเท่า”
“อะไรว้า~”
อินทัชมุดเข้าไปหยิบถุงเกลือหนักหลายกิโลออกมาจากตู้เก็บของ “นี่อะไรครับ”
“เกลือทะเลน่ะ ซื้อมาสองปีแล้ว ตอนไปสมุทรสาคร” กนธีเกาแก้ม “สงสารลุงขายข้างทาง ก็เลยซื้อมาเป็นที่ระลึก มันบูดหรือว่าขึ้นราไปแล้วหรือเปล่า”
“ชื้นจนเกาะเป็นก้อนไปแล้ว” เขาขำ “ทิ้งนะครับ”
“ทุบให้ละเอียดแล้วเอามาพอกไข่ได้ไหม..ทำเป็นไข่เค็ม”
“ซื้อกินง่ายกว่านะพี่”
“เอามาขัดตัวก็ได้” เดี๋ยวเอาไปถูให้อ้นกับอุ้ม จะได้ผิวใสแจ๋วไปเลย
คนฟังหันมามอง “พี่กุนต์แก้มนุ่มอยู่แล้ว..ไม่ต้องขัดหรอก” เขายกถุงเกลือไปวางตรงทางเดิน “เอาไว้ใส่บ่อปลาที่บ้านก็แล้วกัน”
..บอกให้เอามาขัดตัว ไม่ใช่ขัดแก้ม!..
กนธีร้อนวูบที่หน้าไปชั่วขณะ ประโยคบางอย่างอาจจะเรียบง่ายแต่ก็ส่งผลกับความรู้สึกได้พอตัว เจ้าเด็กนั่น..พูดมาได้หน้าตาเฉย ซ้ำยังใช้โทนเสียงระดับเดียวกับบอกให้เอาเกลือไปเทลงบ่อปลาด้วยซ้ำ
..ไม่รู้หรือไงว่าเขาเผลอกลั้นหายใจไปสามวินาที..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]