Chapter 21
ช่วงบ่าย แดดร่มลมตก ด้านนอกดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน หลังจากที่กนธีให้อ้นกับอุ้มกินข้าวแล้ว เขาก็ชวนน้องสองคนมานั่งดูทีวีตรงห้องรับแขก จบหนังแนวผจญภัยไปหนึ่งเรื่อง น้องอุ้มรื้อเอาสมุดระบายสีมานั่งทำ น้องอ้นเห็นแล้วก็อยากแจมด้วย กนธีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขามี Secret Garden กับ Amour Greece ที่แถมสีไม้ Staedtler เคยซื้อไว้นานแล้วแต่ยังไม่มีเวลานั่งทำ เลยจัดการไปค้นสมุดภาพทั้งสองเล่มที่หมกไว้ในห้องทำงานมาร่วมวงกับเด็กๆ
“โอ้โห..ลุงตาลายเลย” เขาเกาหัวแกรก ลายเส้นดูละเอียดยิบเหลือเกิน ไม่ใส่แว่นแล้วตาพร่าไปหมด
“ยากจังเลยครับ” อ้นชะโงกหน้ามามอง “ถ้าให้อ้นทำนะ เละแน่ๆ”
“ให้พี่ทำก็น่าจะเละเหมือนกัน” กนธีหันซ้ายหันขวา “ใครเห็นแว่นพี่บ้าง ตะกี๊ยังว่าเจอแวบๆ”
น้องอุ้มหัวเราะครืน ชี้ให้ดูที่คอเสื้อยืด พี่กุนต์เหน็บไว้แล้วลืมสนิท
“สงสัยต้องกินกิงโกะ” ชายหนุ่มก้มดูภาพบนกระดาษขาว ปอยผมหน้ายาวปรกหน้าผาก เกะกะลูกตา เขาเลยไปหยิบเอาหนังยางรัดของมามัดเป็นจุกชี้โด่เด่ จะได้วิสัยทัศน์โล่ง เหมาะกับการใช้สายตา
ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กสอง นั่งล้อมโต๊ะกลางหน้าทีวี ที่พื้นปูพรมขนแกะเลยนั่งได้สบาย กนธีเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ ทำให้ช่วงเวลาว่างของวันไหลไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง กนธีเพิ่งระบายได้แค่ยอดโดมสีฟ้า หน้าต่างสองบานกับประตูไม้ เงยหน้าขึ้นมาอีกที อ้นกับอุ้มก็เอาหน้าซบโต๊ะ ผล็อยหลับคาสมุดไปเสียแล้ว
เขาหัวเราะเบาๆ อุ้มน้องอ้นเข้าไปนอนในห้อง จากนั้นก็มาแบกน้องอุ้มอีกคน เปิดแอร์ให้คลายร้อน เด็กชายสองคนพลิกตัวนอนก่ายกัน กรนฟี้ไปกับความเงียบของยามบ่าย
กนธียืนมอง เขายิ้มน้อยๆก่อนจะก้มลงห่มผ้าให้ กลิ่นโลชั่นนมถั่วเหลืองโทฟุติดอยู่กับผิวเด็ก ต้องอดใจไม่ให้งับแขนแทบแย่
อินทัชเพิ่งกลับจากสอบ ตอนที่มาถึงคอนโด เขาได้ยินแต่เสียงเพลง พอเดินเข้ามาในห้องถึงทันเห็นพี่กุนต์กำลังคลี่ผ้านวมออกมาห่มให้น้องชายเขา สายตาที่ทอดมองอ่อนโยนเทียบเท่ากับคนในครอบครัว
เขาเผลอตัวยิ้มตามไปกับภาพนั้น
“อ้าว..กลับมาตอนไหน” กนธีหันมาเจอ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางอีกฝ่าย “อย่ากวนน้องนะ กำลังหลับกลางวัน”
“ยอมให้นอนตอนนี้เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอกครับ” เขาบอก มองจุกเด้งๆบนศีรษะคนอายุมากกว่าแล้วกลั้นขำ “กินข้าวกันหรือยัง ผมซื้อสลัดกุ้งมาฝากพี่ด้วย”
“กินแล้วน่ะสิ เก็บไว้ตอนเย็นได้ไหม ขอบคุณมากนะ” กนธีเดินลากรองเท้าไข่ไปที่ห้องรับแขก “สอบเป็นยังไงบ้าง ยากหรือเปล่า”
อินทัชส่ายหัว วันนี้สอบภาคปฏิบัติ ถือเป็นเรื่องง่ายกว่าสอบข้อเขียนเสียอีก “ขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“แล้วเราล่ะ กินข้าวหรือยัง”
“ยังครับ”
กนธีหันไปมอง เห็นแต่สลัดกุ้งของเขากล่องเดียว “ไม่ได้ซื้อของตัวเองมาด้วยหรือ”
“ลืมครับ..” เด็กหนุ่มพึมพำ “พอดีเห็นกองผัก เลยนึกถึงพี่คนแรก”
ดูมัน! ‘กองผัก’ พูดซะเสียหาย “ของน้องๆล่ะ”
“ถ้าพี่กุนต์กินแล้ว ผมก็ไม่ทำข้าวเย็น ของผมกับน้องเดี๋ยวกินมาม่าก็ได้พี่ ไม่ซีเรียส”
“เฮ้ย ไม่ได้..อยู่กับพี่แล้วกินมาม่า เสียชื่อเสียง” เขาลุกเดินไปทางครัว ถลกแขนเสื้อ ทำท่าแข็งขัน “เดี๋ยวลุงลงมือเอง”
อินทัชหัวเราะ คว้าแขนคนตรงหน้าไว้ก่อนที่พี่กุนต์จะพังครัวเป็นลำดับถัดไป
“ขอเถอะครับ..ไปนั่งเล่นไอแพดแล้วปล่อยสงครามโลกให้หยุดแค่ครั้งที่สองพอ”
กนธีหรี่ตามอง อยากตบกะโหลกไอ้เด็กนี่จริงๆ แต่เขาก็เห็นด้วยนะ นอกจากผัดผักบุ้งของโปรดศรัณย์แล้ว เขาก็ไม่ควรทำกับข้าวอย่างอื่นอีก
“งั้นโทรสั่งข้าวกล่องฟูจิมากินนะ” เขาบอก “กินมาม่า รู้ถึงไหน อายถึงนั่น เด็กพี่แต่ละคนกินกาแฟสตาร์บั๊คส์ จะปล่อยโอ๊ตกินมาม่าได้ยังไง”
อินทัชคลายรอยยิ้มลง ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะสุขสบาย มันก็ยังมีจุดเล็กๆในใจบ้าง ว่าเขาได้กลายมาเป็น ‘เด็กเลี้ยง’ ของคนรวยเข้าเสียแล้ว แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเขามีความจำเป็น และอีกอย่าง พี่กุนต์ก็ไม่เคยทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่เคยกดดัน ดูถูกดูแคลน หรือบีบบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำ
ถ้าไม่คิดถึงกฎที่ควบคุมพวกเขาให้อยู่กับที่กับทางของตัวเอง และไม่นึกไปถึงวันสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างกัน อินทัชก็แทบจะรู้สึกได้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของอีกฝ่าย..เป็นครอบครัวของพี่กุนต์อย่างแท้จริง
..ไม่มีเด็กขายตัวที่ไหนถูกให้ความสำคัญถึงขนาดนี้หรอก..
เขาควรนึกไว้ตลอดเวลาว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจอพี่กุนต์
“ผมโทรคอนเฟิร์มกับป้าที่ดูแลยายแล้วนะครับ ว่าพรุ่งนี้พี่กุนต์จะให้คนไปรับที่บ้าน แกแค่ส่งยายขึ้นรถก็พอ”
กนธีพยักหน้า “ถ้าป้าเขาสะดวกจะนั่งรถไปด้วยกันถึงที่สนามบินก็ได้ คุณยายขึ้นรถกับคนไม่รู้จักอาจจะเกร็งๆ อย่างน้อยก็ให้คุ้นชินกันก่อน แล้วเดี๋ยวขากลับจะบอกให้เด็กมันขับไปส่ง ส่วนคุณยาย พี่ฝากลูกน้องคอยดูแลตอนนั่งเครื่องแล้ว ขอวีลแชร์สำหรับผู้สูงอายุให้แล้วด้วย ไม่ต้องห่วงนะ”
อินทัชยิ้ม “ขอบคุณครับ”
“ไปอาบน้ำไป พี่จะสั่งฟูจิให้”
“เดี๋ยวหิวแล้วค่อยสั่งก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องอุ่น” เขาบอก ยิ้มเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ารับ
ตอนที่อินทัชออกมาอีกที พี่กุนต์ก็ปิดเพลงไปแล้ว ฝ่ายนั้นกำลังนั่งเลื่อนเกมผลไม้ด้วยใจจดจ่อ ท่าทางเคร่งเครียดดูขัดแย้งกับกิจกรรมที่ทำ
“เดดอีกแล้ว! ชีวิตหมด” กนธีบ่นอุบ “ไอ้ไผ่..ส่งหัวใจมาเดี๋ยวนี้ ไอ้หมาหัวเน่า”
ร่างสูงขบขัน เขาเข้าไปนั่งใกล้ๆตอนที่พี่กุนต์ส่งไลน์ไปข่มขู่ญาติผู้น้อง
“เล่นในไหนครับเนี่ย”
“เกมในเฟซน่ะ”
อินทัชหยิบมือถือขึ้นมา “ผมมีไลน์พี่แล้ว แต่ยังไม่เคยมีเฟซเลย ขอหน่อยสิครับ”
กนธีหันมามอง “เออ..จริงด้วย ให้โอ๊ตส่งหัวใจให้พี่ก็ได้”
คนฟังสะอึกนิดหน่อย
“ส่งชีวิตน่ะ” เขาหัวเราะ “บางเกมก็เรียก energy บางเกมก็ life แต่ฟาร์มฮีโร่มันเป็นรูปหัวใจ”
“โอเคครับ” เขาพึมพำ หาชื่อพี่กุนต์แล้วกดแอดไป
“ส่งมาๆ”
อินทัชขำ “ใจเย็นครับ ติดเกมเป็นเด็กๆเลยนะพี่”
“ผู้ใหญ่บางคนยังต่อกันดั้มกับกันพลาอยู่เลย..ไอ้ไผ่นี่ต่อจิ๊กซอว์ห้าพันชิ้น งานอดิเรกมัน”
“ผมอยากสะสมการ์ตูน” เด็กหนุ่มว่า “เอาไว้ซ่อมบ้าน ทำห้องดีๆ ผมจะทำตู้หนังสือ กว้านซื้อการ์ตูนตอนเด็กมาเก็บ..ถ้าเขายังไม่เลิกผลิตไปก่อน”
กนธียิ้ม “ส่งมายัง”
“โธ่..รอแป๊บครับ” อินทัชคิดว่าถ้ายังไม่ส่ง ‘หัวใจ’ ให้พี่กุนต์ เขาคงจะถูกตื๊อไม่หยุดแน่ พอกดให้เรียบร้อย เจ้าตัวก็กลับไปหมกมุ่นกับเกมผลไม้ต่อ ส่วนเขาก็ได้โอกาสสำรวจเฟซบุ๊กอีกฝ่ายเล่น
ดูเหมือนว่าพี่กุนต์จะไม่ค่อยอัพเดทเรื่องราวชีวิตตัวเองเท่าไร ภาพถ่ายก็มีน้อยจนนับรูปได้ ทั้งที่เดินทางออกจะบ่อย ไปต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ส่วนใหญ่จะใช้เฟซกดไลค์เพจทำเกษตรกรรม ปลูกผักออร์แกนิค หรือเพจสุขภาพไว้ตามข้อมูลมากกว่า เรื่องจะมาถ่ายรูปอาหารดีๆ ไวน์แพงๆ กาแฟแก้วเป็นร้อย หรือชีวิตไฮโซบนกองเงินกองทอง เรียกว่าไม่มีเลย
อินทัชกดเข้าไปดูอัลบั้มภาพ มีภาพถ่ายเก่าๆกับครอบครัวบ้างแต่ก็ไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นภาพแท็กมาจากคุณพสิษฐ์ ที่ชอบเอารูปถ่ายสมัยพี่กุนต์ยังเด็กมาสแกนแล้วอัพโหลดขึ้นโซเชียลเล่นๆ เขาว่า..ตอนนั้นพี่กุนต์ก็ดูน่ารักดี
เด็กหนุ่มมองคนข้างกายที่เมามันกับการเล่นเกม จุกน้ำพุบนหัวสั่นไหวเล็กน้อย
..แต่อย่างว่าแหละ พี่กุนต์เองก็เป็นคนน่ารักมานานแล้ว..
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่คนสองคนขยับมานั่งใกล้กัน ห่างเพียงเล็กน้อยจนอินทัชได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวอีกฝ่าย
“โลชั่นหรือโคโลญจน์ครับ..แปลกดี กลิ่นนมๆ เหมือนเป็นขนม”
“อ้อ..” กนธียกแขนตัวเองขึ้นดม “โทฟุ นมถั่วเหลืองน่ะ พี่เห็นน้องอุ้มผิวแห้งเป็นขุย เลยซื้อมาทาให้”
“ทาให้ไอ้อุ้ม แล้วทำไมกลิ่นมาติดบนตัวพี่กุนต์ได้ล่ะครับ” เขาขำ
“น้องก็ทาให้พี่น่ะ จะได้เท่าเทียม” เขาตอบ “มันเหม็นหรือ?”
“เปล่าครับ” อินทัชไม่ได้บอกสิ่งที่คิดไว้ออกไป
..กลิ่นนี้มันน่ากัดแล้วก็น่าเคี้ยวที่สุดต่างหาก..
คนอายุมากกว่ากลับไปจดจ้องไอแพดอีกครั้ง “ว่าแต่เราไม่อ่านหนังสือหรือ”
“จะอ่านเดี๋ยวนี้แหละครับ” เขาหยิบชีทที่ถือติดมือมาเปิด
พี่กุนต์ปิดเสียงเกม ผลไม้พวกนี้จะร้องทุกครั้งที่ทำแต้มได้
“เปิดไว้เถอะครับ เดี๋ยวไม่สนุก”
“แล้วจะมีสมาธิเรอะ”
“ผมสมาธิดี” อินทัชยิ้ม หยิบหมอนอิงมาสอดเข้าใต้แผ่นหลัง
กนธีเปิดเสียงขึ้นมาใหม่ แต่เบาลงกว่าตอนแรก ใครอีกคนนั่งมองสักพักก็หันกลับมาอ่านชีทเรียนของตนเอง
‘ฮุ..ว้า..ว้า’
อินทัชลอบขำ เงี่ยหูฟังเสียง ‘ฮึ้ย..ฮึ้ย’ ทุกครั้งที่คนด้านข้างทำแต้ม
‘กร๊อบ..กร๊อบ..อุ๊กี้กี้’
เขานั่งฟังเพลิน อ่านเข้าหัวบ้างไม่เข้าบ้าง เจอเวลาบ่ายคล้อย บวกกับแอร์เย็นๆเข้าไป ซ้ำยังเหนื่อยมาจากการสอบปฏิบัติ ไม่นานนัก..ชีทในมือก็ตกลงมาอยู่ข้างตัว
กนธีหันมามองเด็กหนุ่มที่นั่งหลับตรงโซฟา เขาชั่งใจว่าจะปลุกให้ไปนอนต่อในห้อง หรือจะปล่อยให้หลับตรงนี้เลย “โอ๊ต..” เขาลองจับบ่ากว้าง
อินทัชส่งเสียงในลำคอ คว้าหมอนข้างตัวมาหนุนหัว “ของีบหน่อยนะครับ สักครึ่งชั่วโมง ฝากปลุกด้วยนะ”
“โอเค..” เขาหันกลับไปสนใจเกมต่อ
ไม่ถึงสิบนาที เด็กหนุ่มก็พลิกตัวนอนตะแคงข้าง หันหน้าเข้าหาพนักโซฟา ปลายเท้าเหยียดยาวไปอีกด้าน และเพราะว่าหมอนอิงมันใบเล็กซ้ำยังอวบไป โดนแตะเข้าหน่อยเลยลื่นลงไปกลิ้งกับพื้น
กนธีก้มลง กำลังจะหยิบหมอนมาให้ แต่คนที่งัวเงียก็ควานมือหาก่อนแล้วขยับหัวตาม
อินทัชไม่ได้ลืมตา เขาขมวดคิ้วเพราะถูกขัดอารมณ์การนอน ฝ่ามือกร้านคว้าได้วัตถุนุ่มๆก็วางหัวลงไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจ สัมผัสที่อบอุ่นมากกว่าทำให้หลับลึกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
กนธีมองคนที่นอนหนุนตักอย่างอึ้งๆ
..อ้อนหรือเปล่านะ? หรือว่าแค่เผลอตัว..
ชายหนุ่มเงียบกริบ มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซบอยู่บนขา ปลายจมูกโด่งซุกแนบหน้าท้อง เขาเผลอกลั้นใจกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น หัวใจเหมือนจะเต้นแรงกว่าเก่าในช่วงแรก แล้วถึงสงบลงได้ในตอนหลัง
อินทัชยังนอนเฉย ไม่มีการขยับเขยื้อนอื่นใดนอกจากลมหายใจสม่ำเสมอเท่านั้น
..คงจะเหนื่อยมากกว่า..
กนธีถอนหายใจ ลูบหัวอีกฝ่ายแผ่วเบา
แดดยามบ่ายส่องเข้ามาในห้อง รอบด้านเงียบลงเมื่อไม่มีการพูดคุย เหลือแต่เสียงเกมเท่านั้นที่ยังดังแว่ว
……………………………………………………….........................
สอบวันสุดท้ายของภาคเรียน กนธีขับรถไปรับอินทัชถึงที่มหาวิทยาลัย ตั้งใจว่าเสร็จจากตรงนี้จะไปซื้อของเข้าห้อง และเลยไปยังสนามบิน เพื่อจะรับคุณยายของเจ้าโอ๊ตที่เดินทางมาจากน่าน
เขาจอดรถอยู่ข้างอาคาร ปิดแอร์และเปิดกระจก กลิ่นจากท่อไอเสียจะได้ไม่รบกวนคนละแวกนั้น
“ร้อนหน่อยนะเด็กๆ เดี๋ยวพี่พาไปกินไอติมอร่อยๆ”
อ้นกับอุ้มไม่เคยงอแง ผู้ใหญ่ว่าคำไหนก็คำนั้น เด็กชายเอาสมุดระบายสีติดมือมาทำด้วย
กนธีดูนาฬิกาข้อมือ อีกประมาณสิบนาทีก็หมดเวลาสอบ ระหว่างนั้นเขาเอาไอแพดออกมาเล่นเกมไปพลางๆ เมื่อวานเล่นติดอยู่ด่านหนึ่ง ทำอย่างไรก็ไม่ชนะเสียที ไม่รู้เพราะว่ามันยาก เพราะว่าขยับไม่ค่อยถนัด หรือเพราะว่าไม่ค่อยจะมีสมาธิเล่น ด้วยมีใครบางคนนอนหนุนตักอยู่ก็ไม่แน่ใจ
เขาปล่อยให้อินทัชนอนอยู่แบบนั้นจนขาเริ่มจะชา เลยค่อยๆประคองศีรษะเด็กแล้วเอาหมอนสอดเข้าไปแทน เจ้านั่นบอกว่าจะงีบไม่นาน สุดท้ายก็หลับยาวกระทั่งหัวค่ำจนได้ พอตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบอ่านหนังสือสอบ ไม่รู้ว่าวันนี้จะทำได้หรือเปล่า แต่อินทัชเป็นเด็กเรียนเก่งอยู่แล้ว หัวก็ดี คิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วง
กนธีวางไอแพดกับพวงมาลัยรถ ตั้งหน้าตั้งตาเลื่อนฟองไข่มาชนกันให้กลายเป็นลูกสัตว์ประหลาดมีเขี้ยว
“ยังติดเกมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ..พี่กุนต์”
เจ้าของชื่อชะงัก เขาหันไปมองด้านข้าง “วิทย์..”
ไววิทย์เห็นบีเอ็มคันเดิมจอดอยู่สักพักแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้ขึ้นมานั่งจนชิน หากตั้งแต่ถูกไล่ออกจากการเป็นเด็กของอีกฝ่าย เขาก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตสบายๆแบบเดิมอีก รู้หรอกว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ก็ยังอดพาลไม่ได้
“มารับเด็กใหม่หรือไงครับ”
กนธีไม่สนใจ เขาเลื่อนฟองไข่เล่นต่อ
“ไม่น่าเชื่อว่าพี่กุนต์จะหาคนใหม่ได้เร็วขนาดนี้” ไววิทย์เท้าแขนกับหลังคารถ มองผ่านไปยังเบาะหลัง เห็นเด็กสองคนนั่งระบายสีภาพ “เลี้ยงหนึ่งคน ได้แถมมาอีกสองหรือ”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดก็ไปเถอะ”
“อย่าใจร้ายกับผมนักสิครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม “แค่อยากมาถามสารทุกข์สุกดิบ ชีวิตตอนที่ไม่มีผมเป็นยังไงบ้าง แย่ลงใช่ไหม มันคงดูแลพี่ไม่ดีเท่าที่ผมทำสินะ”
กนธีถอนหายใจ “หลงตัวเองนะเราน่ะ”
“ล้อเล่นน่ะครับ” ไววิทย์หัวเราะ “ผมรู้ครับว่าผมมันแย่ แต่อันที่จริงก็คงไม่แย่ไปเสียทุกอย่างใช่ไหมครับ ผมว่าผมเป็นคนเอาใจเก่งน้า..โดยเฉพาะกับเรื่อง..อย่างว่าน่ะ”
“วิทย์..” เขาส่ายหัว “กลับไปได้แล้ว”
“ไอ้เด็กใหม่คนนี้ของพี่มันสู้ผมได้หรือเปล่า..”
มีเสียงตบหลังคารถดังปัง! ไววิทย์หันขวับมามอง กนธีเองก็ถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ
อินทัชเพิ่งออกมาจากห้องสอบ เขาเห็นรถของพี่กุนต์ตั้งแต่ก้าวเท้าพ้นประตู แต่ที่เห็นชัดกว่าก็คือบุคคลไม่ได้รับเชิญ เด็กหนุ่มอารมณ์กรุ่น สาวเท้าเข้ามาแทรกจนทันได้ยินเรื่องงี่เง่าจากมัน
“ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของคุณ” เขาพูดเสียงต่ำ นัยน์ตาสีเข้มมองไม่ละ “ไปซะ”
ไววิทย์ยกสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ไปก็ได้..แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย” เขาหันมาทางกนธี “แล้วเจอกันนะครับ”
อินทัชมองตามหลังอีกฝ่าย เขาไม่ชอบขี้หน้ามันด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ยิ่งคำพูดของมัน ยิ่งไม่เคยให้เกียรติใครสักคน ถ้าไม่ติดว่าไม่ควรมีเรื่องในมหาวิทยาลัย ไอ้หน้าตาแบบนั้นก็น่าจะซัดเข้าสักหมัดเหมือนกัน
“อย่าทำตาดุนักสิ” กนธีบอกอย่างอารมณ์ดี
เด็กๆโผล่หัวออกมาที่หน้าต่าง ใจหายใจคว่ำกันเป็นแถบเพราะพี่โอ๊ตทำเสียงดังจนน้องสะดุ้ง
อินทัชอ้อมมาอีกฝั่ง เขาขึ้นมานั่งด้านข้างคนขับแล้วถอนหายใจ “ขอโทษที่ทุบรถพี่..”
“ไม่ถือสา” เขาขบขัน “เจ็บมือหรือเปล่า”
ร่างสูงยกฝ่ามือขึ้นดู มันแดงนิดๆ “ไม่ค่อยสะเทือนหรอกครับ ผมหนังหนา”
กนธีหัวเราะ เข้าเกียร์และขับออกไป ตอนจะพ้นประตูทางออก เขาเห็นไววิทย์ยืนมองอยู่ เจ้าตัวเลยลดหน้าต่างลงแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างกวนโทสะ เด็กนั่นทำหน้าตาถมึงทึงด้วยความงุ่นง่าน
ตอนรถติดไฟแดง เขาหันมาชวนอีกคนคุย “เป็นไง..สอบได้ไหม”
อินทัชพยักหน้า “โอเคอยู่ครับ ยังไงก็ไม่ตก”
“ไปกินไอติมกันนะ จะได้แก้เครียด” กนธีบอก “แล้วเอารายการของที่จะต้องซื้อมาด้วยหรือเปล่า”
“เอามาครับ อยู่ในกระเป๋า” เขาพึมพำ มองหน้าคนขับ “พี่มารอนานหรือยัง”
“จบไปสามเกมน่ะ”
“แล้วมันมาวุ่นวายกับพี่นานแค่ไหน”
กนธีเลิกคิ้ว หยิบแว่นกันแดดมาใส่เพราะแสงจ้า “ก็..ไม่กี่นาทีก่อนที่โอ๊ตจะมาทุบหลังคาบีเอ็มพี่”
อินทัชส่ายหัว “ไหนบอกว่าไม่ถือสาไงครับ”
เขาหัวเราะร่วน “เถอะน่า..ไม่มีอะไรหรอก วิทย์ก็แค่มาทักทายน่ะ”
“ทักด้วยประโยคสองแง่สองง่ามน่ะหรือครับ” ที่เขาหงุดหงิด ก็เพราะว่าไอ้ไววิทย์ไม่ได้ให้ความเคารพพี่กุนต์เอาเสียเลย จะบอกว่าเขาเป็นเดือดเป็นแค้นแทน เขาก็ยอมรับ
..พี่กุนต์เป็นคนดี..สมควรจะได้รับสิ่งดีๆตอบกลับ..ไม่ใช่ต้องมาเจอเรื่องไม่ดีอย่างไอ้สันดานนั่น..
“ก็ได้แค่พูดนั่นแหละ”
“ถ้าเจอมันอีก เลี่ยงไม่คุยได้ไหมครับ หรือไม่เจอกันอีกเลยน่าจะดีที่สุด”
คนฟังหันมามอง “นี่พูดด้วยความรู้สึกแบบไหน?”
“เป็นห่วงครับ” อินทัชตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมไม่ได้พูดเพราะหึงหวงพี่หรอก ระหว่างเราไม่ใช่คนรัก ผมรู้ดี แล้วผมก็แค่ขอ..ไม่ได้สั่ง เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมเจอมัน แล้วมันก็พูดไม่ค่อยดีนัก ผมเลยไม่อยากให้พี่ลงไปแลกกับคนเลี้ยงไม่เชื่องอย่างนั้น พี่เป็นใคร..มันเป็นใคร ถ้ามันไปพูดอะไรลับหลัง คนที่เสียก็คือพี่ไม่ใช่หรือ”
“อ้อ..” กนธีตอบรับในลำคอ ที่จริงเขาก็ไม่สนใจเสียงเล็กน้อยจากอดีตเด็กที่เขาเลี้ยงอยู่แล้ว ไม่ได้มีค่ามากพอขนาดนั้น “เข้าใจแล้ว จะไม่คุยกับเจ้าวิทย์อีกก็แล้วกัน”
คนฟังยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีกตอนที่พี่กุนต์ขับเข้าห้างแถวนั้น
กนธีพาทุกคนไปนั่งกินไอศกรีมตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าสองตัวน้อย อินทัชไม่ค่อยชอบของหวานนัก เลยยังเลือกไม่ได้ ส่วนน้องอ้นก็พลิกเมนูไปมา ไม่ลงตัวเสียที แต่ดูเหมือนว่าปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ความอยากกิน จุดใหญ่คือราคาต่างหาก
“หนูอยากกินนี่” น้องอุ้มเอานิ้วป้อมๆชี้ไปที่ภาพไอศกรีมถ้วยใหญ่ เสิร์ฟพร้อมบราวนีส์
“ไม่เอา..เกือบสองร้อยแน่ะ” อ้นกระซิบ “เอาถูกๆหน่อย”
“อย่าเอาถ้วยใหญ่นักอุ้ม เอานี่ก็พอ” พี่คนโตเลื่อนโปรโมชั่นให้ดู “หกสิบเก้าบาทก็กินไม่หมดแล้วมั้ง”
“หนูอยากกินอันนี้อ่า”
“เยอะไป แพงเกินด้วย”
กนธีนั่งยิ้ม “อยากกินอะไรก็สั่งเถอะครับ ไม่ต้องไปดูราคา ถ้าเหลือเดี๋ยวพี่ช่วยกิน”
เขามองน้องอุ้มที่นั่งน้ำลายหก ตากลมป๊องจ้องโต๊ะอื่นที่ได้ไอศกรีมมาแล้ว แต่ของเด็กชายยังไม่ได้เลือกเลยสักรายการ เห็นแบบนั้นแล้วก็ทั้งเอ็นดูทั้งสงสาร “ที่มันดูแพง เพราะว่าเราจ่ายทีเดียวสองร้อยไงครับ แต่ว่าเราไม่ได้มากินกันบ่อยๆ สมมติว่าอาทิตย์หนึ่งมากินสักหน ก็เหมือนเราเก็บเงินวันละยี่สิบกว่าบาทมากินไอติมในห้าง ถือเสียว่าประหยัดมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เพื่อจะได้ซื้อความสุขง่ายๆหนึ่งวัน ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”
น้องอ้นทำคิ้วผูกปมอย่างไม่ค่อยเข้าใจ กนธีเลยหัวเราะ จัดการมัดมือชกสั่งเมนูที่แต่ละคนอยากกินให้เองเลย ของน้องอุ้มมีบราวนีส์ ส่วนน้องอ้นเป็นไอศกรีมเสิร์ฟพร้อมวัฟเฟิลที่เจ้าตัวนั่งมองกลับไปกลับมาบ่อยที่สุดนั่นเอง
“แล้วโอ๊ตล่ะ” เขาเล็งของตัวเองแล้ว แต่ยังลังเลอยู่
“ผมไม่ค่อยชอบไอติม” อินทัชบอก “อย่างมากก็ได้ไม่กี่คำ”
“งั้นพี่สั่งท็อปเลสห้าลูกมากินกับโอ๊ตแล้วกัน”
เด็กหนุ่มขำ “ตามใจครับ ผมช่วยไม่เยอะนะ”
กนธียิ้ม เขามันตัวกินไอศกรีมเลยแหละ “จะเลือกรสไหม” ถามคนข้างกายก่อนจะได้คำตอบเป็นการส่ายหัว บอกว่าตามใจเขาดีกว่า ชายหนุ่มเลยสั่งรสเดียวกันทั้งหมดห้าลูกเลย “เพิ่มกล้วยหอมกับฟรุ๊ตสลัดด้วย”
อินทัชเลิกคิ้ว “เอารสเดียวห้าลูก?”
“พี่มันคนรักเดียวใจเดียวน่ะ”
“ถ้าพิสูจน์ความรักได้ด้วยการสั่งไอติมก็ดีสิครับ” เขาขำ “แต่ถึงผมจะสั่งหลายรส ก็ไม่ได้แปลว่าผมหลายใจนะ”
กนธีมองยิ้มๆ “อย่าร้อนตัว”
อินทัชหัวเราะ พอพนักงานเอาไอศกรีมมาเสิร์ฟ เขาก็แย่งกินท็อปปิ้งก่อน พี่กุนต์เป็นคนใจดี ยอมยกกล้วยหอมคำสุดท้ายให้ เขาเลยตัดแบ่งครึ่งหนึ่ง จะได้กินกันคนละเสี้ยว
“ดูอนาถพิกล” กนธีเคี้ยวอ้อยอิ่ง
“เขี่ยอัลมอนด์ออกมาทำไมครับ” เด็กหนุ่มติงคนอายุมากกว่า มองอัลมอนด์ในไอศกรีมมอคค่าที่วางสุมกันอยู่ด้านหนึ่งของถ้วย บางเม็ดกระเด็นตกไปที่โต๊ะ “ที่กองๆไว้นี่ไม่ได้คายใช่ไหม”
“ถ้าคายแล้วยังไง..พี่โอ๊ตจะตีพี่กุนต์หรือ” เขาถามอย่างยียวน
อ้นกับอุ้มหัวเราะคิกคัก มองพี่โอ๊ตทำท่าขึงขัง
“จะดุครับ..คนอะไรเลือกกิน” อินทัชส่ายหัว ตักอัลมอนด์ที่พี่กุนต์ไม่ยอมกินมาเข้าปากเสียเอง “แล้วจะสั่งรสนี้มาทำไม เลือกกาแฟเตอร์กิชก็หมดเรื่อง”
“ขี้บ่น” กนธีมองเหล่ “สั่งมาให้พี่โอ๊ตกินอัลมอนด์แทนไ...” เขาหยุดพูดกะทันหันเพราะคนด้านข้างเอาช้อนไอติมตักอัลมอนด์เจ้ากรรมมายัดปาก “กรุบ..ฟัน..จะ..หัก..” ฟันไม่บางขนาดนั้นหรอก แต่กลัวที่อุดมันจะแตกน่ะสิ
อินทัชกลั้นหัวเราะ “ค่อยๆเคี้ยวครับ อย่าเคี้ยวแรง”
คนอายุมากกว่าขำตามไปด้วย อันที่จริง ผู้ชายสองคนมานั่งกินไอศกรีมถ้วยเดียวกันในที่สาธารณะก็แปลกพิกลอยู่แล้ว กินไปแบ่งกันไป ซ้ำยังมีป้อนอีก เขาว่าคงแปลกสุดๆเลยแหละ แต่ในเมื่อเด็กมันไม่ได้แคร์ แล้วเขาจะแคร์ทำไม
..รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้งเลยแฮะ..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]
