.
.
.
ผลการตรวจร่างกายของคุณยายโดยละเอียดยืนยันว่าหญิงชราเป็นมะเร็งตับ อยู่ในระยะที่สามเข้าระยะที่สี่ การรักษาในผู้ป่วยทั่วไปมีทั้งการผ่าตัดและให้ยาเคมีบำบัด แต่หมอประเมินจากสภาพร่างกายและโรคประจำตัวที่รุมเร้าของแกแล้ว เสนอว่าควรจะต้องรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ในวันฟังผล อินทัชทำใจไว้เกินครึ่ง ระยะเวลาที่เหลือคือการนับถอยหลัง แต่กนธีก็ช่วยหาข้อมูลหลายทางเพื่อปลอบใจเด็กหนุ่ม ยังมีผู้ป่วยมะเร็งตับอีกมากที่ยืดเวลาได้เป็นหลายปี ขอแค่พบหมอสม่ำเสมอ ทำสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง ระวังเรื่องอาหารการกิน มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรค และมีญาติพี่น้องคอยดูแล เท่านี้ก็เป็นการช่วยได้มากแล้ว
วันนี้หมอนัดคุณยายมาเจาะน้ำออก เพราะแกมีอาการหายใจได้ลำบากจากภาวะท้องมานที่ทำให้เกิดน้ำรั่วซึมเข้าไปคั่งในช่องท้อง หลังกรีดผิวและสอดเข็มระบาย ใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงกว่า คุณหมอก็เฝ้าดูอาการทั้งแรงดันเลือดและความสมดุลของเกลือแร่
กนธีขอให้คุณยายอยู่ใกล้มือหมอ อย่างน้อยก็คืนหนึ่งก่อนที่จะได้กลับบ้าน เขามองเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยและความเบาใจของญาติมาเป็นอันดับแรก คุณยายเลยได้นอนพักค้างคืนที่โรงพยาบาลหลังการรักษา
เขาเลือกห้องพักแบบ Deluxe เป็นห้องเดี่ยว มีแค่เตียงผู้ป่วยกับโซฟาของญาติที่อยู่ถัดออกไป เพราะตั้งใจจะมาเฝ้าไข้เองและจะได้อยู่ใกล้คุณยายหากว่าท่านเรียกหา ส่วนพยาบาลพิเศษเขาให้หยุดพัก เพราะอยู่ที่นี่มีทั้งหมอและพยาบาลพร้อม
ตอนแรกอินทัชจะมาด้วย แต่เขาเห็นว่าเมื่อวานโอ๊ตก็วุ่นวายกับการสอนเด็กซนที่โรงเรียนอนุบาลไปแล้ว วันนี้วันเสาร์ มีสอนว่ายน้ำ กว่าจะเสร็จก็คงเหนื่อย เขาเลยบอกให้กลับคอนโดและนอนพักเอาแรงไว้สำหรับการสอนในวันอาทิตย์ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณยายก็ออกจากโรงพยาบาล ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก มีเขาคนเดียวก็เหลือแหล่
กนธีพาท่านมาตั้งแต่ช่วงเช้า ให้คุณยายนอนดูทีวี ชมวิวแม่น้ำไปเรื่อย กระทั่งถึงเวลา พยาบาลก็พาตัวไป เขาใช้โอกาสนี้ลงไปหาซื้อของกินตอนเย็นที่ตลาดวังหลังแล้วนั่งเล่นเกมรอ ไม่เกินสองชั่วโมงคุณยายก็กลับมา ท่าทางดูอ่อนเพลียพอควร เขาเลยให้ท่านนอนพักเอาแรง ส่วนตัวเองนั่งกินสลัดอยู่ข้างๆเตียง
มีเสียงเปิดประตูห้อง กนธีกำลังเคี้ยวต้นอ่อนทานตะวัน มือถือรีโมทค้างข้างหนึ่ง อีกข้างถือช้อนที่เต็มไปด้วยลูกเดือยกับถั่วต้ม ตอนแรกเขานึกว่าเป็นพยาบาล เลยไม่ทันได้สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เขาถึงได้เงยหน้ามอง
“เต็มปากเต็มคำเลยนะครับ” เด็กหนุ่มขบขัน มองใบเขียวๆที่แลบออกมาจากปากอีกฝ่าย “ระวังพันคอนะ”
กนธีสำลัก อินทัชเลยส่งน้ำให้ เขารับมาดื่มพร้อมกับเอาทิชชูเช็ดน้ำที่กระฉอกลงโต๊ะ
“มาได้ยังไง”
“มาแท็กซี่ครับ” เขาลากเก้าอี้มานั่งด้านข้าง
“บอกว่าไม่ต้องมาก็ได้ พี่ดูคุณยายคนเดียวสบายมาก แล้วพรุ่งนี้จะไปสอนไหวหรือ”
“ไหวพี่” เขามองยายที่หลับสนิทแล้วหันมาดูทีวีที่ไม่มีเสียง “ดูรู้เรื่องหรือครับ”
“มันเสียงดัง เดี๋ยวกวนคุณยาย ให้ท่านนอนเยอะๆหน่อย”
อินทัชยิ้มจาง เขาเองยังไม่คิดละเอียดขนาดนี้เลย “ยายหูตึง ไม่ค่อยได้ยินหรอกครับ” เขาเร่งเสียงให้ พี่กุนต์กำลังดู Transporter ภาค 3 มาแต่ภาพแบบนี้ ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน
เด็กหนุ่มเท้าคางดูฉากรถสองคันขับตีคู่กันมา “รถสวยจัง”
“คันไหน? Audi A8 หรือ Mercedes E-class” กนธีเคี้ยวลูกเดือยหนึบหนับ
“ที่พระเอกขับ” คิดแล้วก็เจ็บใจที่คราวก่อนถูกคุณไผทไล่ให้ไปขับรถ มอเตอร์ไซค์ยังไม่มีสักคัน จะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อรถขับวะ
“Audi” เขากอดอกมอง “อยากได้หรือไงเรา..”
อินทัชหันมา “มันก็เท่ดีครับ แต่ผมยังขับรถไม่เป็น”
“ไปเรียนสิ ไม่ยากหรอก” กนธีพึมพำ “โอ๊ตเรียนไว้ก็ดีนะ เผื่อพี่ไปไหนมาไหนจะได้หิ้วตัวไปด้วย เกิดพี่ขับรถทางไกลไม่ไหว จะได้ขอเปลี่ยนมือ”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน” เขาหันกลับไปดูทีวีต่อ สายตาแสดงความชื่นชมรถยนต์คันหรูตามประสาเด็กหนุ่มๆแบบที่ปิดไว้ไม่มิด “เอาไว้มีเงินสักสิบล้านยี่สิบล้านก่อน จะกลั้นใจซื้อมาสักคัน”
“ขนาดนั้นเลยหรือ” คนฟังหัวเราะ “ถึงกับต้องกลั้นใจ”
“ของสิ้นเปลืองนี่ครับ สินทรัพย์เสื่อมสภาพ ขายต่อก็ขาดทุน” อินทัชยักไหล่ “ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เก็บให้ถึงล้านยังลำบากเลย ฝันเฟื่องชะมัด”
กนธีเพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้ออกตัวว่าอะไร ไม่ยื่นข้อเสนอใดๆให้ด้วยซ้ำ
เขาอาจจะมีเงินเหลือใช้ก็จริง แต่ยังไม่บ้าซื้อของแพงหลักล้านให้เด็กในอุปการะหรอก ที่พูดขึ้นมาลอยๆก็เพราะว่าของพวกนี้มันเป็นตัวชี้วัดระดับความจริงใจจากคนแต่ละคนได้เหมือนกัน อยากจะรู้ว่าเจ้าโอ๊ตจะมีท่าทีอย่างไรหากพูดเรื่องรถขึ้นมา คำตอบในตอนนี้ก็คือ เด็กมันอยากจะเก็บเงินซื้อเอง และไม่ได้เอ่ยปากหยั่งเชิงเขาเหมือนเด็กบางคนที่เคยเจอ
เขาไม่ได้คิดว่าอินทัชจะเป็นพวกหน้าเงินแบบคนอื่นที่ผ่านมาหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาได้ตัวน้องมาอยู่ด้วยทุกวันนี้..ก็เพราะเงินอีกเช่นกันที่เข้ามาเป็นปัจจัยแทรก
มันต้องตามดูกันในระยะยาว อย่าเพิ่งด่วนคิดหรือตัดสินใจอะไรลงไป ถึงเขาจะชอบ จะเอ็นดู มีความปรารถนาดีต่ออินทัชมากแค่ไหน มันก็ต้องมีสติและมีขอบเขตในการ ‘ให้’ บ้าง
มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง คราวนี้มีคนเอาอาหารเย็นของคุณยายมาส่ง กนธีเลยรีบยกจานสลัดขึ้น เคลียร์พื้นที่ให้เขาวางถาดอาหารได้ พอดีกับที่คุณยายลืมตาตื่น
หญิงชราเห็นหน้าหลานแล้วก็ยิ้มร่า “โอ๊ต..”
“ยายโดนหมอเจาะพุงหรือ” อินทัชเข้าไปหา จับแขนแกไว้ “ฟีบเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมเลยหรือเปล่า”
ยายหัวเราะชอบใจ แกหันไปขอบคุณคุณกนธีที่เข้ามาปรับเตียงให้สูงขึ้น
“คุณยายหิวหรือยังครับ ทานข้าวเลยไหม” เขาเข็นโต๊ะมาข้างเตียง
“อีกสักพักก็ได้จ้ะ ยายยังไม่ค่อยหิว” แกบอก “แล้วคุณกุนต์กินข้าวหรือยังจ๊ะ หาอะไรกินก่อนไหม”
“เรียบร้อยแล้วครับ ไปซื้อสลัดที่ตลาดมา อร่อยดีแต่ว่าไม่อยู่ท้อง เดี๋ยวสักทุ่มสองทุ่มจะลงไปซื้อต้มเลือดหมู” กนธีวางแผนกินตามรายทางไว้แล้ว
ยายอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ต้องมาเป็นภาระให้เจ้านายของโอ๊ตคอยดูแล ไหนจะมานอนเฝ้า ไหนจะต้องมาหาอะไรกินเอง แล้วยังจะค่ารักษาพยาบาลอีก
“โอ๊ตลงไปซื้อให้คุณเขาหน่อยลูก”
กนธีรีบปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ ผมยังอิ่มอยู่ แค่ตะกละเป็นพิเศษเลยอยากกินล่วงหน้า”
อินทัชหัวเราะ “เดี๋ยวผมลงไปกินกับพี่กุนต์เองยาย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ต้องๆ อยู่เฝ้าคุณยายนั่นแหละ”
“ก็มีพยาบาลแล้วไง ใช่ไหมยาย” เขาหันมาบอก “ยายเห็นปุ่มข้างเตียงไหม มีอะไรก็กดเลย เดี๋ยวพยาบาลมาดูเอง”
“ไปเถอะ..ไม่ต้องห่วงยายหรอก ห่วงคุณกุนต์มากกว่า กลางค่ำกลางคืนเดินเตร่คนเดียวได้ไง ดูเอา พกเงินเป็นปึก” แกฟ้องหลาน
กนธีได้แต่ยิ้ม ส่วนอินทัชหัวเราะเฝื่อน เขาคิดว่าถ้ายายได้เห็นตอนพี่กุนต์ทุ่มไอ้พันลงไปนอนกอง ยายคงไม่กังวลแบบนี้
“คุยกันไปก่อนนะครับ ขอเข้าห้องน้ำก่อน” กนธีติดนิสัยต้องแปรงฟันทุกครั้งหลังกินข้าว ต่อให้จะมีมื้อย่อยในอีกชั่วโมงสองชั่วโมงข้างหน้า เขาก็ขอให้ปากสะอาดไว้ก่อนเป็นดี
คล้อยหลังใครอีกคน ยายก็กวักมือเรียกอินทัชเข้ามาหา
“คุณกุนต์ใจดีกับยายมากเลยโอ๊ตเอ๊ย” แกบอกหลาน “ดูซิ..โรงหมออะไร ดีอย่างนี้ แต่ละคนแทบจะอุ้มยายขึ้นตึก ห้องก็กว้าง อะไรก็ดีไปหมด นี่ต้องแพงมากเลยใช่ไหม”
อินทัชถอนหายใจ “พี่กุนต์ไม่ยอมให้ผมยุ่งกับค่าใช้จ่ายตรงนี้”
“เรารบกวนเขามากไปแล้ว แต่ยายเองก็ไม่มีปัญญาจะตอบแทนอะไรเขาเหมือนกัน” แกลูบหัวอีกฝ่าย “ต้องฝากเอ็งเป็นคนตอบแทนบุญคุณเขาแล้วแหละลูก ช่วยเหลือเขาให้มากกว่าที่เขาช่วยเหลือเรา ใครเขารู้จะได้ไม่มาหาว่าเราอกตัญญู”
“รู้แล้วยาย..” อินทัชจับมือยับย่นของแกมาแนบแก้ม “พี่กุนต์ดีกับครอบครัวของผมมาก ผมจะตอบแทนเขาให้ดีที่สุด”
แกยิ้มรับ “คุณเขาเอ็นดูเอ็งมาก..อย่าทำให้เขาผิดหวังล่ะ”
กนธีโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ คุณยายกำลังกินข้าวอยู่ เขาเลยไปรื้อเอาผลไม้ที่ซื้อเมื่อเย็นมาปอกให้ เป็นแอปเปิ้ลเขียวกับชมพู่ เพราะมีกลูโคสน้อยกว่าและมีเส้นใยมาก พอเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
“ช่วยไหมครับ” เสียงทุ้มต่ำดังเหนือหัว
ชายหนุ่มชะงัก หยุดมือที่กำลังขะมักเขม้นปอกเปลือกแอปเปิ้ล “ไม่เป็นไร ไปนั่งเถอะ” พื้นที่เคาน์เตอร์ครัวไม่ได้กว้างมาก แถมซิ้งค์ก็มีแค่นี้ด้วย
“ขยับหน่อย ผมจะล้างชมพู่ให้”
..ไอ้เด็กกวนโอ๊ย พูดไม่เคยฟัง..
กนธีได้แต่หลีกทางให้ คนข้างกายหยิบชมพู่ออกมาจากถุงแล้วล้างทีละลูกอย่างใจเย็น ดวงตาสีอ่อนเหลือบมองมือที่เคลื่อนไหวไปตามการขยับ อินทัชมีนิ้วเรียวยาว เล็บเป็นสีชมพูอ่อน ตัดเรียบร้อยมีระเบียบและดูสะอาดสะอ้าน ถึงอย่างนั้น ลักษณะของสันมือก็ดูแข็งแรงตามแบบฉบับของผู้ชาย ไม่ได้ดูน่าทะนุถนอมเหมือนมือผู้หญิง
“ติดใจอะไรกับมือของผมหรือครับ”
คนอายุมากกว่าหยุดนิ่ง จากนั้นก็ตั้งใจปอกแอปเปิ้ลต่อไป “รู้ได้ยังไงว่าพี่มอง”
“ก็ผมจ้องพี่อยู่”
กนธีนับหนึ่งถึงสิบ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากลั้นสีหน้าแบบนี้..มันเมื่อยเป็นบ้า
“ตลาดวังหลังมีอะไรกินบ้างครับ” อินทัชล้างเสร็จแล้วแต่ก็ไม่ยอมเดินไปไหน ยังคงยืนกอดอก มองพี่กุนต์ปอกเปลือกผลไม้ต่อด้วยท่าทางเชื่องช้าเหมือนตัวสล็อธก็ให้นึกขำ
..คนอะไร..อมอาหารเหมือนกระรอก..ใจเย็นเหมือนเต่า..
“ก็เยอะนะ ขายข้างทางตลอดฟุตปาธเลย” กนธีเอามีดเฉาะแอปเปิ้ลเป็นชิ้นใส่จาน
..อืดอาดแบบสล็อธ..กินผักทั้งชีวิตยิ่งกว่าหนอน..
“อยากกินอะไรล่ะ”
..และหอม..เหมือนเต้าหู้..
อินทัชมองเหม่อ “เต้าหู้..”
“หือ?” เขาเลิกคิ้ว “เต้าหู้ทอดที่กินกับน้ำจิ้มหวานๆแบบน้ำจิ้มเปาะเปี๊ยะน่ะหรือ..มีขายหรือเปล่าก็ไม่รู้”
เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย “ผมไม่ได้อยากกินเปาะเปี๊ยะ”
“ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าโอ๊ตจะกิน พี่หมายถึงเต้าหู้ทอดน่ะ” กนธีวางมีดทิ้งให้ “ปอกดีๆ อย่าให้มีขนชมพู่ตกลงไปนะ พี่เอาแอปเปิ้ลไปให้คุณยายก่อน”
อินทัชพึมพำรับปาก เขามองตามแผ่นหลังอีกคนแล้วถอนหายใจ
..เป็นบ้าอะไรวะเนี่ยเรา..
หลังมื้ออาหาร พยาบาลเข้ามาปิดม่านและช่วยเช็ดตัวให้คุณยาย กนธีกับอินทัชเลยถือโอกาสลงไปหาของกิน สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไกล ลงเอยที่โกลเด้นเพลซใต้อาคารนั่นเอง
“แล้วโอ๊ตจะกลับยังไง” เขามองนาฬิกาข้อมือ “เรือข้ามฟากหมดสองทุ่มนะ ถ้าจะกลับก็..”
“ผมจะอยู่เฝ้ายายด้วย” อินทัชบอก
กนธีงุนงง “เดี๋ยว..พรุ่งนี้เรามีสอนว่ายน้ำไม่ใช่หรือ แล้วจะเฝ้ายังไง ไม่มีที่ให้นอนหรอกนะ”
“นั่งหลับก็ได้”
“ไอ้รั้น” เขาดุ “ไม่ต้องห่วงคุณยายหรอก อยู่ใกล้มือหมอขนาดนี้ แล้วนี่ก็แค่เจาะน้ำในท้องออก ไม่ได้รักษาอะไรมาก”
“กลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วพี่ รถติดตายชัก”
กนธีถอนหายใจ “เลือกเองนะเว้ย อยากนั่งหลับหรือนอนพื้นก็เอาเลย พี่ไม่สละโซฟาให้”
เด็กหนุ่มหัวเราะร่วน แบมือทำท่ายอมแพ้ แต่อีกคนรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้นึกยอมแพ้จริงๆหรอก คนอายุมากกว่าเลยได้แต่ส่ายหัวอย่างระอาปนเอ็นดู
“มาเลือกของกินเร็วๆ จะได้ขึ้นข้างบน” กนธีหยิบเอาข้าวกล่องอุ่นๆมาถือ เด็กมันเลยรับไปใส่ตะกร้า
อินทัชไล่สายตาดูนมขวดในตู้แช่เย็น แบบแปดร้อยมิลลิลิตรนี่เขากินครั้งเดียวก็หมด
“ไม่มีไทยเดนมาร์ก..”
กนธียิ้มขัน “ไทยเดนมาร์กมีแบบเป็นกล่อง ถ้าจะเอาไซส์นี้ กินยี่ห้ออื่นไปก่อนสิ”
“ก็พี่บอกให้กินสองยี่ห้อไม่ใช่หรือไง” เขาตอบ “ผมมันเป็นเด็กดี เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด”
คนฟังมองเขม่น บทมันคิดจะเชื่อฟัง มันก็ทำตามเขาเสียอย่างนั้น แต่บทจะดื้อก็ดื้อเหลือเกิน น่าเอาไม้บรรทัดเหล็กตีก้นแบบที่น้องอุ้มบอกจริงๆ
“กินๆไปเถอะน่า แค่คืนเดียว มันไม่ทำให้เราสูงขึ้นกว่านี้หรอก”
“ก็จริงนะพี่..ถึงไม่กินก็ไม่เตี้ยลงเหมือนใครแถวนี้ด้วย”
กนธีทำหูทวนลม เดินไปหยิบธัญพืชแบบแท่ง เอาไว้กินเล่นตอนดูหนังรอบดึก อินทัชเลยหยิบเอาโฟร์โมสต์มาขวดหนึ่งแล้วเดินตาม
ตอนที่กลับขึ้นมาข้างบน พวกเขานั่งกินข้าวด้วยกัน ดูหนังเรื่องเดียวกันไปเรื่อย จะว่าไปแล้ว งานอดิเรกของเขาสองคนคล้ายกันไม่น้อย ชอบดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำอะไรเงียบๆตามลำพังไม่ต่างกัน
เวลาคนที่มีรสนิยมเหมือนกันมาอยู่ด้วยกัน มันก็คือความสบายใจในรูปแบบหนึ่งโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆออกมา
..ความสบายใจแบบนั้น หาได้ไม่ง่ายนักบนโลกใบนี้..
“พี่ว่า Terminator Genisys ทำออกมาได้โอเคนะ” กนธีเคี้ยวบาร์ธัญพืชไป พูดเรื่องหนังที่ฉายคืนนี้ไป
เขาเลื่อนม่านเข้ามาบังแสง คุณยายจะได้นอนพักผ่อนตามสะดวก
“ผมชอบภาคสองที่สุด” อินทัชนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โซฟา “จริงๆมันก็จบสมบูรณ์แล้วนะพี่ หลังจากนั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไร แต่ก็พอดูได้”
“เกิดทันหรือเรา” เขาหัวเราะ
“โธ่..ผมเป็นแฟน James Cameron”
“ดู Avatar หรือยัง”
“จะเหลือหรือครับ” อินทัชโยนถั่วลันเตารสวาซาบิเข้าปาก จากนั้นก็หยีตาเพราะความฉุน
“พี่ชอบ True Lies” กนธียื่นมือขอถั่วกินบ้าง
“ผมว่าพี่คงเป็นแฟนชวาร์เซเน็กเกอร์แน่ ดูเรื่อง Expendables ยังพี่ ภาคสองสนุกสุด..ผมชอบ Van Damme”
“ไม่ควรพลาดเรื่อง Hard target กับ Maximum Risk เรื่องหลังนี่ Natasha Henstridge สวยมาก” กนธีดีดนิ้วเมื่อเด็กบอกว่าดูเรียบร้อยแล้วและก็ชอบมากด้วย เขายื่นมือไปให้เชคแฮนด์โทษฐานที่เป็นคอเดียวกัน อินทัชเลยหัวเราะร่วน
“สเปคเดียวกันแบบนี้ก็อยู่กันได้นาน” ชายหนุ่มขำ “หลานโอ๊ตกับลุงกุนต์”
อินทัชได้แต่ยิ้มน้อยๆ ขยำถุงถั่วที่กินหมดแล้วโยนใส่ถังขยะ เขาผละเข้าไปแปรงฟัน แต่ยังอยากดูหนังเลยมายืนแปรงจนฟองฟ่อดข้างๆพี่กุนต์พลางชี้ให้อีกฝ่ายดูฉากไคลแมกซ์
“หมดสภาพมากเจ้าโอ๊ต” กนธีส่ายหัว “ไม่เก๊กเลยนะ”
เด็กหนุ่มขำ แต่หัวเราะมากไม่ได้ เดี๋ยวยาสีฟันร่วงเข้าคอ
“ไปบ้วนให้เรียบร้อย เกิดหมอเข้ามาจะได้ไม่นึกว่าเรากินวิคซอลจนน้ำลายฟูมปาก”
อินทัชเดินกลับไปอย่างเชื่อฟัง พอทำธุระเสร็จก็กลับมานั่งดูหนังกับพี่กุนต์ต่อ
ตอนที่หนังจบ กนธีหันมาอีกที คนที่เหลือก็นั่งหลับคาโซฟาไปเสียแล้ว เขาเห็นก็นึกขัน ปิดทีวีและเดินไปหา ตอนแรกว่าจะปลุกให้นอนดีๆหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจค่อยๆประคองร่างสูงใหญ่ลงนอนกับหมอน
..ไอ้หมอนี่..หลับแล้วขี้เซาเรื่อย..
อินทัชขยับตัวเล็กน้อย แอร์ในห้องค่อนข้างหนาว เขาเลยเบาลงและเอาผ้าห่มมาคลุมให้ถึงอก
“เหนื่อยมาล่ะสิ” เขาลูบหัวอีกฝ่าย ไม่ได้ปลุกให้น้องมันไปอาบน้ำ เพราะคิดว่าสอนว่ายน้ำเสร็จก็คงจะอาบมาเรียบร้อยแล้ว “บอกให้กลับไปที่ห้องก็ไม่เอา รั้นจริง”
ดวงตาคู่นั้นปิดนิ่ง กนธีนั่งมองพลางยื่นปลายนิ้วไปแตะบนแพขนตายาวที่ทาบสนิท แผ่นอกของอีกฝ่ายเคลื่อนไหวสม่ำเสมอตามแรงหายใจ ไม่รู้ว่าเผลอหลับลึกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน
เขามองใบหน้าคมเข้ม ไล่สายตาตั้งแต่เรียวคิ้วหนาที่รับกับนัยน์ตาสีดำขลับ ปลายจมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากได้รูปทำให้เครื่องหน้าของเด็กหนุ่มดูหล่อเหลา โดดเด่นกว่าใคร
อินทัชยังโตได้อีกมาก และยังดูดีกว่านี้ได้อีกมาก ขอเพียงอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง และไม่โดนใครที่ไหนทำลายความใสซื่อบริสุทธิ์ของช่วงวัยไปเสียก่อน แน่นอนว่าการได้อยู่กับเขา เขาจะเป็นทั้งผู้ปกครองและผู้ปกป้องที่ดี และจะไม่มีวันทำร้ายจิตใจเด็กคนนี้ หรือเห็นเป็นเพียงเครื่องมือบำบัดความใคร่แบบที่อินทัชเคยโดนมาก่อนหน้าแน่
เขาอยากรักษารอยยิ้มของอินทัช อยากเห็นเจ้านี่ทำตัวง่ายๆ สบายๆ เป็นกันเอง และหลับไปอย่างไร้กังวล แบบที่กำลังเป็นอยู่..เท่านี้เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว
กนธีได้แต่ยิ้มอยู่ตามลำพัง เขาลุกออกมาให้เจ้าโอ๊ตหลับตามสบาย จากนั้นก็เข้าไปจัดการล้างหน้าแปรงฟัน แล้วถึงกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตน เขาชะโงกมองคุณยายที่ยังหลับสนิทจึงค่อยมาเปิดไอแพดเล่นเกม
ประมาณเที่ยงคืน เขาเริ่มหาวแล้วหาวอีก แบตไอแพดก็เริ่มขึ้นขีดแดงเลยต้องเอาไปชาร์จ พอไม่มีอะไรทำเลยมานั่งพักสายตาที่เก้าอี้ ท้ายที่สุดก็ม่อยหลับไปตรงโซฟาเดี่ยวข้างหน้าต่างนั่นเอง
ในแสงสลัวเลือน กนธีครึ่งหลับครึ่งตื่น เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนยกตัวจนลอยขึ้น จากนั้นแผ่นหลังก็สัมผัสกับเบาะนุ่ม ไอเย็นตรงนี้ค่อนข้างมากจนเขาเผลอขดตัว แต่ไออุ่นของผ้าผืนยาวก็คลุมมาทาบปิดถึงอก
เขาลืมตาไม่ขึ้นเพราะฝืนไม่นอนมาร่วมชั่วโมง ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
คืนนี้อากาศหนาว แต่ร่างกายใต้ผ้าห่มกลับอบอุ่น
ในความรู้สึกเลือนราง เขารับรู้ได้ว่ามีใครโน้มลงเหนือร่าง ท่อนแขนแข็งแรงเท้าอยู่ข้างศีรษะ กลิ่นหอมของโคโลญจน์ที่คุ้นเคยกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก ลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่ใกล้กัน
หัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้นมาเมื่อริมฝีปากถูกทาบปิด แรกเริ่มแค่ขบเม้มแผ่วเบา แล้วถึงเปลี่ยนเป็นดูดดึง แผ่นอกตึงแน่นทาบทับ เนื้อต่อเนื้อแนบสนิท สัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่สอดเข้ามาในโพรงปาก เมื่อปลายลิ้นแตะต้องกัน ก็คล้ายกับว่ากระแสไฟจะแล่นปลาบลงไปถึงปลายเท้า
ความรู้สึกหวามไหวอุ่นอวลอยู่ในใจ ในห้วงความคิดที่สลับกันระหว่างความจริงกับความฝัน เขายอมเปิดปากให้คนๆนั้นล่วงล้ำ ลิ้นอุ่นร้อนแตะต้องอย่างเงอะงะ แล้วจึงค่อยดูดกลืน ราวกับเด็กที่เรียนรู้ได้รวดเร็ว
กนธีนิ่วหน้า ยกมือขึ้นขยำเสื้อของคนด้านบน ผละหนีออกหน่อยเพราะหายใจไม่สะดวก อีกฝ่ายล่าถอยไปครู่หนึ่งแล้วก้มลงบดเบียดริมฝีปากเข้ามาใหม่ และทุกครั้งที่เข้าหา ก็จะต้องสอดลิ้นเข้ามาสัมผัสอย่างคนอยากรู้อยากเห็น
นานเท่าไรไม่รู้ กระทั่งคนที่เคลิ้มหลับรู้สึกตัวตื่น เพียงแค่ยังไม่ได้ลืมตา ถึงอย่างนั้น หูก็ได้ยินเสียงจูบดังแผ่วเบาในความเงียบ เขาไม่รู้ว่ามันจะจบลงตรงไหน บางทีอาจมากกว่านี้ หรือบางทีอาจไม่มีอะไรเลย แต่อย่างน้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ทำให้คนที่ลักจูบเขาอยู่สักอึดใจก่อนผละออกไปได้
มีเสียงพยาบาลเดินเข้ามา เขารู้สึกหน้าร้อนจัด รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครหันมามอง แต่ร่องรอยความเปียกชื้นบนปากก็เป็นตัวฟ้องร้องอย่างดีว่าเมื่อครู่มีใครกำลังทำอะไร
กนธีปรือตามอง ภาพแรกที่เห็นก็คืออินทัช..กำลังยืนกอดอก มองพยาบาลตรวจดูอาการของคุณยายอยู่
..ริมฝีปากของเด็กนั่นดูบวมแดง..และเปียกชื้นไม่ต่างกัน..
หัวใจเขายิ่งเต้นแรง ทั้งยังเป็นอย่างนั้นอีกสักพักกว่าจะสงบลง
......................................................................................
จริงๆว่าจะต่ออีกหน่อย แต่นี่ก็ 11 หน้าเอสี่แล้ว ตัดไปตอนหน้าก็ได้ อิๆๆ
เรื่องนี้โทนเรียบๆ ไม่ดราม่า ไม่มีอะไรสวิงมากเน่อ คลื่นลมสงบราบเรียบบบ