Chapter 24
“คุณกุนต์เป็นอะไร ทำไมดูเหม่อๆ” ไผทวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะไม้พลางเอ่ยปากทัก ‘หุ้นส่วน’
กนธีละสายตาจากวิวเจ้าพระยาตอนบ่ายแก่ แดดเป็นประกายส่องลงผืนน้ำ สะท้อนเงาระยิบระยับ เขายืดตัวตรงก่อนจะพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง “เปล่าครับ..พอดีกำลังใช้ความคิด”
“โจทย์ที่ผมขอไอเดียของคุณ..ไม่น่ายากเกินความสามารถมั้ง”
คนฟังยิ้มจาง ใครจะบอกออกไปว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย
..นอกจากเรื่อง ‘จูบ’ เมื่อคืนของเขากับอินทัช..
กนธีขยับแว่นสายตาให้เข้าที่ เขากำลังอ่านเอกสารและดูบัญชีที่ผ่านมา วันนี้เขานัดเจอคุณไผท จะได้คุยเรื่องที่ตกลงทำธุรกิจร้านอาหารร่วมกัน ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจุกจิกยิบย่อยมากกว่า เขาพิจารณาดูแล้ว ร้านเดิมค่อนข้างเก่า อยากจะรีโนเวทบางส่วนและเจาะกลุ่มลูกค้ากลางคืนมากขึ้น เลยอยากจะเพิ่มในส่วนของบาร์และดนตรี แทนที่จะเป็นร้านอาหารธรรมดาทั่วไป กินเสร็จแล้วกลับเลยเหมือนอย่างแต่ก่อน
“ผมว่าเราน่าจะรับพ่อครัวเพิ่ม อาหารไทยอย่างเดียวมันเรียบไป” กนธีเขียนลิสต์ลงในกระดาษ การมีเมนูที่หลากหลาย มีเครื่องดื่มสารพัดในตัวเลือกจะเป็นอีกอย่างที่ดึงดูดผู้คน
ไผทพยักหน้ารับ ถึงแม้จะยังไม่อยากทุ่มงบตรงนี้ แต่เขาก็คล้อยตามเพราะค่อนข้างวางใจในตัวอีกฝ่าย
“ถ้าปรับปรุงพื้นที่ริมระเบียง เพิ่มโต๊ะ ส่วนนี้จะรับลูกค้าเพิ่มได้” คนอายุมากกว่าเคาะปากกาลงแผนผังของร้าน “รื้อผนังตรงนี้ออก เปิดเป็นมุมกว้าง จะได้เห็นวิวแม่น้ำตอนกลางคืน โต๊ะริมน้ำส่วนใหญ่คนจะจองกันเยอะที่สุด ขอบรรยากาศดีๆ เพลงเพราะๆ มีอะไรให้ดื่มสักหน่อย เท่านี้ก็ดึงคนได้หลากหลายแล้ว ทั้งวัยรุ่น กลุ่มเพื่อน คู่รัก แล้วก็ครอบครัว”
ไผทกอดอกมองอีกฝ่ายพูดไปเรื่อย เขายิ้มน้อยๆ ดูท่าทีเป็นการเป็นงานของคนตรงหน้า
“ความเห็นของผมมีแค่นี้ คุณว่ายังไง มีอะไรจะเสริมไหม” กนธีถอดแว่นออก
“ผมชอบให้คุณใส่แว่น”
เจ้าตัวนิ่งอึ้ง “ผมใส่แว่นแล้วเกี่ยวอะไรกับร้านอาหารของเรา”
ไผทหัวเราะ “ร้านอาหารของเรา..ชอบคำนี้ชะมัด”
กนธีส่ายหัว ถึงอย่างนั้นก็อดยิ้มขันไม่ได้ “มีสมาธิหน่อยครับ เมื่อกี๊หาว่าผมเหม่อ..ตอนนี้คุณเหม่อเสียเองนะ”
“ผมไม่ได้เหม่อ” เขาบอก “ผมมองคุณอยู่ต่างหาก ถ้าสายตาโฟกัสที่ใคร ใช้คำว่าเหม่อไม่ได้ครับ”
คำพูดของไผทคล้ายคลึงกับใครบางคนเมื่อคืนราวกับนัดกันมา
“ติดใจอะไรกับมือของผมหรือครับ”
“รู้ได้ยังไงว่าพี่มอง”
“ก็ผมจ้องพี่อยู่” กนธีกระแอมในลำคอ ทำเป็นฟังผ่านเลยไป เขาอายุขนาดนี้แล้ว ผ่านการเชิญชวนแบบนี้มานักต่อนัก เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรมาทำให้ไขว้เขวได้ ถ้าเขาไม่ได้เริ่มชอบอีกฝ่ายก่อน
ดังนั้น..ประโยคเดียวกัน แต่ต่างคนพูดกัน ย่อมมีผลต่อเขาไม่เหมือนกัน
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ใช่ไหมครับ ถ้าคุณไม่เสนออะไร ผมจะเผด็จการแล้วนะ”
ไผทยักไหล่ เขาอ่านท่าทีมองเมินของกนธีออก ดังนั้นเขาจะไม่รีบร้อนรุกเข้าหา ร่างสูงเลยปรับท่าทีให้เคร่งขรึม ตัดอาการไร้สาระและดูช่างตื๊อทิ้ง
“ตกลงตามที่คุณว่า เพียงแต่ผมอยากให้แผนของเราค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อนทำโครมเสียทีเดียว”
กนธียิ้ม “โอเคครับ ทำทีละสเต็ป..ถ้าอย่างนั้นอันดับแรก....”
ไผทกลับมาสนใจเอกสารบนโต๊ะแทนใบหน้าของอีกฝ่าย การเว้นระยะห่างและรู้จักช่วงเวลาที่เหมาะสม ทำให้กนธีรู้สึกสบายใจที่จะเพิ่มความใกล้ชิดมากขึ้น
เป็นธรรมดาของคนเรา เวลาถูกใครไล่ตาม ก็มักจะขอเผื่อช่องว่างระหว่างกันเอาไว้เพื่อรักษาพื้นที่ส่วนตัว เขาเองก็ควรจะเคารพขอบเขตตรงนี้เป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามด้วย
..เขาคิดว่าเขาแคร์คุณกุนต์..เพราะคนๆนี้ไม่เหมือนกับใครอื่นที่เขาเคยเจอมา..
หลังจากคุยธุระเสร็จ กนธีก็ขอตัวกลับบ้านเลย พวกเขาตกลงว่าจะแบ่งหน้าที่กันดูแล เมื่อไรที่ไผทไม่อยู่กรุงเทพ กนธีจะเข้ามาคุมงานแทน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไร แค่คอยดูความเรียบร้อยและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
“กลับบ้านไปก็พักผ่อนด้วยนะคุณ” ไผทเดินมาส่งที่รถ “ดูท่าทางเหมือนคุณนอนไม่พอ”
กนธีนวดคลึงต้นคอตัวเอง ยิ้มบาง “เมื่อคืนนอนไม่หลับนิดหน่อยครับ”
..แน่ล่ะ..กว่าจะข่มตาได้อีกครั้งก็ปาเข้าไปตีสอง..
..เพราะอาการร้อนๆหนาวๆที่ถูกปลุกด้วย ‘รสจูบ’ ของใครบางคนนั่นแหละ..
“นอนตกหมอนหรือไง”
เขาส่ายหัว “เมื่อคืนไปเฝ้าไข้คุณยายของโอ๊ตมา โซฟามันเล็ก ผมเลยวางหมอนแนวตั้ง รู้สึกไม่ค่อยถนัดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ..ขอบคุณที่ถาม”
ไผทไม่ได้สนใจประโยคหลังเท่ากับคำว่า ‘เฝ้าไข้คุณยายของโอ๊ต’
..สนิทกันถึงขั้นนี้เลยหรือไง..ทุ่มเทให้มากไปหรือเปล่า..
“คืนนี้ขอให้หลับสนิท แล้วก็หายปวดแล้วกันนะครับ” เขาส่งยิ้มให้ ช่วยเปิดรถอย่างสุภาพ
กนธียิ้มรับ บอกขอบคุณคนที่ปิดประตูให้เสร็จ จากนั้นก็สตาร์ทเครื่อง ขับออกไปจากลานจอดรถของร้านโดยมีใครอีกคนมองตามไม่วางตา
.
.
.
เย็นนี้กนธีไม่ได้กลับไปที่คอนโด เขามีนัดกับเด็กๆจะดูหนังด้วยกัน เมื่อช่วงเช้าหลังจากที่พาคุณยายกลับบ้านแล้ว เขาก็ไปส่งโอ๊ตที่บ้านเพื่อน ตอนนี้ได้เวลาเลิกสอนพอดี เขาเลยถือโอกาสไปรับเจ้านั่นด้วยเลย
อินทัชออกมายืนรอหน้าปากซอย พี่กุนต์จะได้ไม่ต้องขับรถเข้าไป เขาเพิ่งสอนว่ายน้ำเสร็จ กว่าจะจับปูใส่กระด้ง กว่าจะเข้าบทเรียนเล่นเอามือเท้าเกือบเปื่อย แต่พอเข้าขากับน้องๆได้ดีแล้วทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็สนุกมากขึ้น
การรับมือกับเด็กวัยกำลังซนไม่ใช่เรื่องยาก เขาเองมีน้องอยู่สองคนเลยพอจะคล่องกว่าคนอื่น อาศัยแค่มีความใจเย็นและเอ็นดูเข้าว่า งานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไร
บีเอ็มสีดำคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างถนน อินทัชยิ้มทักอีกฝ่ายเมื่อขึ้นมานั่งข้างกัน
“ทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง” กนธีออกปากเมื่อเจอหน้า “ผ้าเช็ดตัวอยู่ไหน เช็ดซะ เดี๋ยวเป็นหวัด”
“ผมแข็งแรงกว่าที่พี่คิดเยอะนะ” เขาหัวเราะ ถึงอย่างนั้นก็ยอมรื้อผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา เขาเช็ดไปบ้างแล้ว แต่รีบไปหน่อยเลยยังเปียกอยู่บ้าง
“แข็งแรงแค่ไหนก็ป่วยได้ อย่าประมาท” ชายหนุ่มบ่น อาศัยจังหวะรถติด ดึงผ้าที่เด็กมันคลุมหัวไว้เฉยๆมาถือ แล้วรั้งต้นคอให้ก้มลงใกล้ จัดการขยี้ผมอย่างไม่ออมแรงนัก
“เจ็บๆๆๆ” อินทัชครางอู้ “หนังหัวผมหลุดหมดแล้ว”
“เจ็บก็เช็ดเอง เอ้า!”
อินทัชหัวเราะ กลับมานั่งพิงเบาะแล้วยีหัวตัวเองช้าๆ ไฟเขียวพอดี พี่กุนต์เลยต้องหันไปขับรถ ระหว่างที่เขานั่งเช็ดผมไปเรื่อย สายตาก็ลอบมองคนข้างกายด้วยความเผลอตัว
“พี่ปวดคอหรือ” เขาเห็นพี่กุนต์คลึงต้นคอหลายครั้ง
“อืม..ปวดเมื่อยนิดหน่อยน่ะ จริงๆก็แทบจะทั้งตัว คนแก่ก็งี้ นอนขดบนที่แคบนาน กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยสมประกอบอยู่ด้วย”
อินทัชนึกถึงคนที่นอนห่อตัวอยู่บนโซฟา ตั้งแต่ที่เขาตื่นกลางดึกแล้วเจอพี่กุนต์นั่งหลับอยู่ พออุ้มฝ่ายนั้นไปนอน เขาเองก็กลับไปนั่งสัปหงกจนเช้า ตื่นขึ้นมาถึงได้เห็นว่าพี่กุนต์นอนตะแคงข้าง เอามือหนุนแก้ม ขดเป็นตัวเอสกับเบาะ แล้วจะไม่ให้ปวดเมื่อยไปหมดได้อย่างไร
“ถ้านอนหงายก็ไม่เป็นไรแล้ว” เด็กหนุ่มพึมพำ
กนธีได้แต่นึกอยู่ในใจ..ไม่ใช่ว่าตอนแรกเขานอนหงายหรอกหรือ..นอนอยู่แบบนั้นกระทั่งถูกเจ้านี่มัน..ลักจูบเอานั่นแหละ เขาเลยกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้แต่เอาหน้าซุกผ้าห่มไปกระทั่งเช้า
“แต่ผมก็ขอบคุณนะครับที่พี่อุตส่าห์ไปนอนเฝ้าไข้ยาย” อินทัชยิ้มจาง “ดูแลดียิ่งกว่าหลานสะใภ้เสียอีก”
คนฟังแทบจะสำลัก “หาได้แล้วหรือไง หลานสะใภ้ที่ว่าเนี่ย”
“ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
กนธีขบขัน กลับมาตั้งใจขับรถต่อ ถนนขาออกนอกเมืองค่อนข้างโล่ง ส่วนขาเข้ารถเริ่มติดประปราย อาจจะเพราะกลับมาจากต่างจังหวัดกัน
กำลังขับกลับบ้าน เขาก็เหลือบเห็นรถคันหนึ่งเปิดไฟกะพริบจอดอยู่ข้างทาง มีผู้หญิงเดินกระสับกระส่ายเหมือนกำลังรออะไรสักอย่าง เขาเห็นว่านี่ก็เริ่มมืด เสาไฟแต่ละต้นก็ห่างกัน เลยตัดสินใจไปยูเทิร์นเอาข้างหน้าทั้งที่ขับผ่านมาแล้ว
“มีอะไรหรือครับ”
“ผู้หญิงคนนั้นรถเสียน่ะ พี่ว่าจะไปดูหน่อย”
อินทัชหันกลับไปมอง เขานั่งอยู่ฝั่งซ้าย ยังไม่ทันสังเกตเหมือนพี่กุนต์เลย
“พี่นี่ใจดีชะมัด” เขาบอก “แต่ถ้ามาคนเดียว อย่าลงไปดูสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ”
กนธียิ้ม เขาเข้าไปจอดห่างๆ เว้นช่วงจากรถคันที่เสียประมาณหนึ่งและเปิดไฟท้ายกะพริบไว้เช่นกัน
“ตอนนี้มีโอ๊ตอยู่ด้วยไง..พี่ถึงวางใจ”
อินทัชนิ่งเงียบกับคำพูดแสดงความมั่นใจในตัวเขาแบบโจ่งแจ้ง เด็กหนุ่มได้แต่ถอนใจอย่างระอาเมื่อพี่กุนต์ปลดล็อกประตูแล้วเดินลงไปถามไถ่หญิงสาวตรงหน้า
..คนๆนี้..จะใจดีกับทุกคนเกินไปแล้ว..
..ในร้อยคน จะมีแบบพี่กุนต์สักคนบ้างหรือเปล่านะ..
“ขอโทษนะครับ..รถเป็นอะไรหรือเปล่า” กนธีออกปากถามเจ้าของที่ดูท่าทางเป็นกังวล
อินทัชตามลงมา เขาคอยมองหลังระวังรถที่แล่นผ่าน ยังดีที่การจราจรไม่หนาแน่นมาก และไม่ได้มีใครขับเร็วขนาดที่จะมองไม่เห็นรถสองคันที่จอดต่อกัน
“ยางรั่วน่ะค่ะ..สงสัยจะขับทับเศษแก้ว”
กนธีนั่งยองๆลงมอง เธอบอกว่าล้อหน้าทางซ้ายทับแก้ว พอเขาลองดู ก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริง
“มียางสำรองไหมครับ” เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมาแล้วดึงชายเสื้อออกนอกกางเกงให้ทะมัดทะแมงขึ้น “อุปกรณ์..ประแจขันน็อตกับแม่แรงอยู่หลังรถไหม”
“คิดว่ามีค่ะ” เธอตอบ “เดี๋ยวเปิดท้ายรถก่อนนะคะ”
อินทัชเดินมาดู เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นพี่กุนต์ควักแว่นสายตามาใส่พลางบอกให้เขาใช้มือถือเปิดไฟส่องที่ล้อ
“พี่จะทำอะไรน่ะ”
“เปลี่ยนยางให้คุณเขาน่ะสิ”
อินทัชอึ้งไป “ทำเป็นหรือพี่ รอช่างมาทำให้ไม่ดีกว่าหรือ”
“เปลี่ยนเองใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีหรอก แต่รอคนมาเนี่ย นานแน่” เขาหันมองหญิงสาวที่เดินมาหา “เจอไหมครับ”
“เจอค่ะ..คือคุณจะช่วยหรือคะ” เธอถามอย่างงุนงง เพราะนี่ก็จอดรถไว้ข้างทางแบบนี้มาสักพักแล้ว ไม่เห็นจะมีใครลงมาช่วยดู เพิ่งจะมีคุณผู้ชายคนนี้คนแรกนี่แหละ
“ผมทำเป็นครับ รับรองว่าขับไป ล้อไม่หลุด” กนธียิ้มขัน “โอ๊ตไปเอาของมาให้พี่หน่อย แล้วกลับมาฉายไฟให้ด้วย”
อินทัชทำตามอย่างว่าง่าย พอหิ้วยางรถกับอุปกรณ์มาวาง เขาก็ถอยมาก้าวหนึ่งเพราะตัวเองทำไม่เป็น ได้แต่มองพี่กุนต์เอาแม่แรงสอดเข้าข้างรถ จากนั้นก็เอาประแจสวมน็อต ขึ้นไปเหยียบให้มันคลาย
ชายหนุ่มผละออกมาโยกแม่แรงให้รถสูงขึ้นแล้วค่อยเอาน็อตออก ถอดล้อที่ยางรั่วมาวางด้านหลัง
“ส่งล้อใหม่มาที” เขาบอกเด็ก
กนธีคุกเข่ากับพื้นถนน ค่อยๆใส่ล้อสำรองเข้าไป หมุนน็อตและบิดไว้พอประมาณ จัดการไขแม่แรงลงแล้วก็ย้ำน็อตล้ออีกทีด้วยประแจ เขาใช้เท้าเหยียบเพื่อให้มันแน่นที่สุด
“เรียบร้อยครับผม” ร่างสูงโปร่งปัดมือที่เปื้อน ช่วยแบกล้อเก่าไปใส่ไว้หลังรถให้เรียบร้อย
“ขอบคุณนะคะ..ขอบคุณจริงๆ” หญิงสาวมองเขาด้วยท่าทีซึ้งใจ “ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี คือถ้าไม่รังเกียจ..” เธอเปิดกระเป๋าเงิน แต่ก็ดูลังเลเพราะเห็นบีเอ็มคันโก้ที่จอดซ้อนหลัง ราคารถของเขาแพงกว่าโตโยต้าที่เธอขับด้วยซ้ำ
กนธีรีบปฏิเสธเมื่อรู้ว่าเธออยากให้สินน้ำใจ “ผมขอแค่น้ำล้างมือก็พอครับ..ถ้าคุณมี”
สาวเจ้ายิ้มเก้อเขิน รีบเอาน้ำขวดในรถมาส่งให้ ผู้ชายคนนั้นผละไปล้างมือที่เปื้อนคราบแล้วเดินกลับมาหา
“ยังไงถ้าไม่แน่ใจ ขับไปอีกระยะจะมีปั๊มน้ำมัน ลองให้เด็กปั๊มเช็กดูครับ” เขาบอก “ผมคงต้องขอตัวก่อน เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” เธอท้วง “คือ..ถ้าจะขอเบอร์ติดต่อ เผื่อว่าอยากจะเลี้ยงกาแฟสักแก้ว..”
“อย่ากังวลเลยครับ ไม่ต้องตอบแทนอะไรผมหรอก คนเราเห็นใครเดือดร้อนก็ควรเข้ามาช่วยโดยเฉพาะกับผู้หญิงตัวคนเดียวค่ำๆมืดๆแบบนี้” กนธียิ้มจาง “ผมกลับก่อนนะ ขับรถระวังๆนะครับ”
เธอยิ้มส่ง ทั้งยังตามมาขอบคุณถึงที่รถด้วย
ตอนกลับเข้ามา อินทัชหันมองคนที่หยิบทิชชูจากด้านหลังมาเช็ดเหงื่อบนหน้า ข้างนอกอากาศร้อนอบอ้าว แต่พี่กุนต์ก็ไม่บ่นสักคำ ยังเต็มใจช่วยเหลือเธออย่างดี
กนธีขับออกจากข้างฟุตปาธ รู้สึกสบายใจที่ไม่ยอมปล่อยผ่าน
“ผมว่านะ..ถ้าพี่ให้เบอร์คนทุกคนที่พี่ช่วยและยอมสานต่อ พี่อาจจะหาเนื้อคู่เจอแล้วก็ได้”
“เกี่ยวอะไรกัน” เขางุนงง เร่งแอร์ขึ้นอีก
อินทัชยิ้ม เท้าแขนกับขอบประตูรถ “สาวคนเมื่อกี๊ท่าทางถูกใจพี่มากเลย ผู้หญิงขอเบอร์ เขาก็อยากคุยต่อเหมือนกันนะ อุตส่าห์จะเลี้ยงกาแฟ พี่ก็ปฏิเสธซะงั้น”
“ถ้าบอกว่าจะเลี้ยงน้ำมะเขือเทศ พี่จะพิจารณา” กนธีขำ
“น้ำมะเขือเทศน่ะ ผมไปซื้อให้กินก็ได้”
“ว่าแล้วก็อยากกินน้ำส้มจัง ในตู้เย็นน่าจะยังมีส้มเหลือ” คนอายุมากกว่าอมยิ้ม หันมาหาอีกฝ่าย “เอาไว้กลับถึงบ้าน ให้โอ๊ตทำให้กินได้ไหม..พี่ชอบน้ำส้มคั้นของโอ๊ตมากเลย”
อินทัชนิ่งไปอีกอึดใจกว่าจะเรียบเรียงความคิดได้ เขาหัวเราะ นวดคลึงหว่างคิ้วอย่างปวดหัวนิดๆ
บางครั้งก็ขำตัวเอง ทุกวันนี้เขาไม่ค่อยจะได้เป็นผู้นำนัก ส่วนใหญ่มีหน้าที่ทำงานบ้านและทำกับข้าว ตอนพี่กุนต์ชมว่าเขาทำอาหารอร่อย มันก็รู้สึกดีอยู่หรอก แต่ไปๆมาๆ พอเริ่มทำอาหารรสถูกปากอีกฝ่าย แต่ไม่มีหน้าที่เท่ๆอย่างอื่นให้ทำ ขับรถก็ไม่ได้ เปลี่ยนล้อก็ไม่เป็น เขาเลยเคอะเขินไม่น้อย
“รู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายภรรยาชะมัด..”
“หือ..บ่นอะไร” กนธีฟังไม่ถนัดเพราะกำลังหมุนหาคลื่นวิทยุช่องเพลงสากล
“เปล่าครับ” เด็กหนุ่มยิ้มจาง มองคนข้างกายที่ยกมือขึ้นเสยผม
เศษทิชชูติดอยู่ข้างแก้มพี่กุนต์ เขาเลยรอจังหวะรถติดแล้วเอื้อมมือไปดึงออกให้
“ดึงแก้มพี่ทำไม” กนธีมองเลิ่กลั่ก
“ผมดึงทิชชู ไม่ได้ดึงแก้มพี่”
“ไหนทิชชู”
อินทัชแบมือว่างเปล่า ก็เขาปัดมันออกไปแล้ว จะมีหลักฐานได้ยังไง “ถ้าผมอยากจับแก้มพี่ ผมขอตรงๆก็ได้ ไม่แกล้งจับแล้วมาโทษทิชชูหรอกน่า”
กนธีหน้าร้อนวูบ หันกลับไปมองไฟแดงพลางดูตัวเลขร้อยกว่าที่ค่อยๆลดลง
“ทีเมื่อคืน..ยังไม่ขอเลย”
..แน่นอนว่าอินทัชได้ยิน..
“เมื่อคืน..” เขาหลุบตาลงมองริมฝีปากอีกฝ่าย “ผมไม่ได้ขอ เพราะว่าพี่หลับไปแล้ว”
กนธีไม่ตอบ ทำเป็นหูทวนลม โชคดีที่ช่องนี้เปิดเพลงเพราะ เขาเลยชี้ให้ฟัง “Killing Me Softly ไม่ได้ฟังมานานแล้ว”
อินทัชไม่ได้สนใจเพลงเท่ากับสล็อธสูงอายุที่ดูจะเชื่องช้า มะงุมมะงาหรา และทำอะไรติดขัดหนักกว่าเก่าเมื่อถูกพูดจี้จุด..เป็นแบบนี้ก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกันนะ
“ผมเพิ่งรู้ว่า ถ้าจะทำอะไรพี่ ต้องขอเป็นทางการเสียก่อน”
กนธีหน้าร้อนอีกครั้ง “มันก็ไม่ขนาดนั้น..”
เด็กหนุ่มอมยิ้ม ขยับเข้าไปใกล้ วูบแรกในใจ เขาอยากหยอกเอิน “แต่มันก็ดีเหมือนกันนะครับ จริงจังดี อย่างเช่นว่า..พี่กุนต์..ผมขอจูบพี่ได้ไหม แล้วพี่ก็ตอบว่า ได้สิ..”
คนฟังหันมองไปนอกหน้าต่างรถ
อินทัชมองใบหูที่ขึ้นสีแดงของอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านในใจ เรียกร้องให้เขาลองจับปลายติ่งหูนั้นดู..อยากรู้ว่าจะนุ่มนิ่มเหมือน ‘แก้ม’ ไหม แต่เพราะว่าพี่กุนต์หันมาก่อน เขาเลยไม่ได้ทำอย่างที่สงสัย
ที่จริงแล้ว..เขาเปลี่ยนโฟกัสสายตาจากใบหู..เป็นเรียวปากสีอ่อนแทน
“พี่กุนต์..” เขาพึมพำ
“อะไร”
“ผมขอลองจูบ..แบบที่พี่ไม่ได้หลับดู..จะได้หรือเปล่าครับ”
กนธีมองด้วยสายตาเหลือเชื่อ และอินทัชก็ลงความเห็นว่ามันคือสายตาของหนูแฮมสเตอร์เวลาตกใจ
“ก็พี่บอกให้ขอ ผมเลยขอไง”
“ไม่ต้องตรงไปตรงมาขนาดนั้น!”
“แปลว่าทำได้เลย?”
“ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด..” คนอายุมากกว่าหลับตาลง
ให้ตายเถอะวะ..หัวใจเขาเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ กลัวว่ากว่าจะถึงคราวมีอะไรกัน..อาจจะหัวใจวายเฉียบพลัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“พี่กุนต์..” อินทัชเรียก
กนธีหันมอง ว่าจะแกล้งดุเด็กที่ซนไม่เข้าเรื่อง ตอนนี้รถติด มันไม่น่ามาแหย่เขาแบบนี้ แต่พอเอียงหน้าไปทางคนด้านข้าง ไอ้ตัวร้ายก็ชะโงกเข้าหาแล้วประกบปากลงอย่างไม่รีรอ
โชคดีเหลือเกิน..ที่รถคันนี้ติดฟิล์มค่อนข้างหนา
ชายหนุ่มหลับตานิ่ง ความตั้งใจหดหายเมื่อถูกขบปากเบาๆทั้งด้านบนและด้านล่าง ปากร้อนผ่าวเปิดออก จากนั้นก็เม้มลงอย่างอ่อนโยน เบาหวิวคล้ายกับปุยนุ่น
อินทัชล่าถอยไปอึดใจแล้วถึงเข้าหาใหม่ คราวนี้เขาค่อยๆแทรกลิ้นเข้าไปด้านใน วินาทีแรกโลมเล้าตามไรฟันขาวสะอาด แล้วจึงเริ่มไล้เลีย ซุกซนเหมือนกำลังตามหาเป้าหมาย พอปลายลิ้นแตะต้องลิ้นของอีกฝ่ายก็ตรงเข้าหยอกเย้า ยั่วอีกคนให้ตอบสนองกลับ
ความอุ่นชื้นและเปียกชุ่มกวัดกวาดซึ่งกันและกัน ใบหน้าทั้งสองเอียงหากัน และเสียงจูบก็ดังผะแผ่ว
..ไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรง..
พวกเขาจูบกัน กระทั่งตัวเลขบนไฟถอยลงมาถึงยี่สิบ และยังลดต่อไปเรื่อยๆ แต่ละฝ่ายเลยต้องผละออก
“คราวนี้..” อินทัชพึมพำ
“คราวนี้อะไร..” คนถูกกระทำยกหลังมือขึ้นเช็ดปากของตน มันยังร้อนและชุ่มฉ่ำเหมือนเคย
“จะถามว่า..คราวนี้ พี่หายใจทันหรือยัง”
กนธีหน้าร้อนจัด “เห็นเป็นหนูทดลองจูบหรือ”
“หนูกุนต์..” อินทัชยิ้มขัน “ผมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพี่..มันเลยต้องซ้อมบ่อยไงล่ะ”
อีกคนได้แต่มองถนน จมูกกลายเป็นสีเรื่อขึ้น
..เลี้ยงเด็กมาสี่คน..ทำไมเจ้าเด็กคนที่ห้าถึงทำให้เขาเหนื่อยได้ขนาดนี้นะ..
..อาจเพราะว่า ‘หัวใจ’ เต้นแรงบ่อย..แทบไม่ค่อยได้พักเลย..
.
.
.
“เย้~ พี่กุนต์มา” อ้นกับอุ้มวิ่งหน้าตั้งเข้ามารับ ตอนนี้เด็กๆเห่อพี่ชายคนใหม่ เลยหลงลืมพี่โอ๊ตไปเสียสนิท
“เออ..เรามันหมาหัวเน่า” อินทัชบ่น ช่วยหอบของลงมาจากท้ายรถ สาวใช้ของพี่กุนต์จะมารับแทน แต่เขาบอกปัด
กนธีขบขัน เขาหิ้วกล่องอันใหญ่เข้าบ้าน พอดีก่อนหน้าที่จะไปหาคุณไผท เขาแวะห้างแล้วซื้อของมาฝากเด็กๆนิดหน่อย ถือเป็นของขวัญต้อนรับ
“มาดูนี่เร็วอ้น..อุ้ม ไม่รู้ว่าพวกเราชอบไหม”
สองหน่อวิ่งเร็วปรื๋อตามพี่กุนต์ไปทางห้องรับแขก พี่กุนต์นั่งลงกับพื้นใกล้โต๊ะกระจก จากนั้นก็หงายกล่องกระดาษที่ด้านหนึ่งเป็นพลาสติกใสขึ้นมาให้ดู
“แต๊น!” กนธียิ้ม “เรือกับเฮลิคอปเตอร์”
เด็กๆส่งเสียงฮือฮา ลูกตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น มือน้อยๆลูบคลำเรือบังคับสีแดงแบบ Racing boat ยาวหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตร มีรีโมทบังคับเป็นแบบไกปืน ใช้เร่งเครื่องและเลี้ยวได้ตามใจ อีกอันเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ ความยาวจากหัวถึงท้ายประมาณร้อยยี่สิบห้าเซนติเมตร หน้ากากเป็นพลาสติกพ่นสีน้ำเงินสวย โครงสร้างเป็นโลหะอัลลอย บังคับด้วยรีโมท เร่งได้ทั้งความแรงมอเตอร์และบังคับให้บินขึ้นลงหรือไปซ้ายขวา
อินทัชเท้าคางมองของเล่นที่พี่กุนต์สรรหามาปรนเปรอให้น้องชายของเขาแล้วได้แต่ส่ายหัว ถึงอย่างนั้นก็อดยิ้มตามท่าทางตื่นตะลึงของไอ้แสบสองตัวไม่ได้
“พี่ไม่รู้ว่าใครชอบแบบไหน เพราะฉะนั้น..แบ่งกันเล่นนะครับ” กนธีบอก “เอาไปชาร์จไฟก่อน พอเต็มแล้วก็เอาไปลุยกันเลย เล่นในสระว่ายน้ำนะ ถ้าลงบ่อปลาคาร์ฟ ปลาพี่จะตกใจตายกันหมด”
อ้นกับอุ้มโผเข้ากอดผู้ใหญ่ตรงหน้า ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างเรียบร้อย ตั้งแต่เกิดมา สองพี่น้องยังไม่เคยได้แตะของเล่นราคาพันกว่าแบบนี้มาก่อน ถึงจะเกรงใจพี่กุนต์มาก แต่ก็ปกปิดความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่มิดเหมือนกัน
“คราวนี้ก็มีครบ ทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ” อินทัชถอนหายใจ “ถนอมให้ดีนะ ห้ามทิ้งขว้าง เล่นเสร็จก็ต้องเก็บ”
เด็กๆตะเบ๊ะรับ ต่างฝ่ายต่างแบกของเล่น วิ่งตัวปลิวไปอ่านคู่มือการเล่น
คล้อยหลังเจ้าสองตัว อินทัชก็หันมาทางคนด้านข้าง พี่กุนต์ยังมีกล่องของที่ยังไม่ได้แกะอยู่อีก ท่าทางหลังจากส่งยายกลับบ้าน เจ้าตัวจะไปช็อปปิ้งเพลิน
“นี่อะไรครับ”
“โมเดลรถไฟไทยน่ะ” กนธีหยิบแว่นมาสวม
“ละเอียดน่าดูเลย” เขาก้มลงมองดีเทลยิบย่อย โมเดลชิ้นนี้ไม่เหมือนของเล่นพลาสติกทั่วไป มันเก็บรายละเอียดตู้รถไฟอย่างชัดเจน ทั้งสี ทั้งเครื่องจักรแต่ละชิ้น
“ดูนี่สิ..ข้างในมองทะลุเห็นที่นั่งด้วย” กนธีมีท่าทางภูมิใจ
อินทัชมองตาม เขายิ้มมุมปากก่อนจะเบนสายตาไปยังใบหน้าของคนอายุมากกว่าที่ดูจะตื่นเต้นเหมือนเด็ก
“พี่กำลังสะสมทีละโบกี้ แล้วก็เก็บของแต่งไปด้วย ในอนาคต ถ้าไม่แก่ตายไปก่อน พี่จะสร้างทางรถไฟจำลอง ทำภูเขา ทำอุโมงค์ ทำต้นไม้”
เด็กหนุ่มขำ นัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นเป็นประกายวาววับเหมือนกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกหน พี่กุนต์ลุกขึ้นยืน เดินไปทางตู้โชว์กระจกใสในห้องรับแขก เขาเพิ่งสังเกตว่าในนั้นมีโมเดลยานพาหนะชิ้นอื่นอยู่ด้วย แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะชอบรถไฟเป็นพิเศษ
“ถ้าพี่ซื้อชินกันเซนผมก็เข้าใจนะ แต่รฟท. ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง มันน่าสนใจยังไงหรือ”
กนธีเปิดตู้กระจกออก ค่อยๆวางโมเดลลงไปอย่างระมัดระวัง “น่าสนใจตรงความเก่านี่แหละ คลาสสิคดี”
“เคยขึ้นรถไฟตู้ธรรมดาหรือยังครับ..จะได้รู้ถึงความคลาสสิคโคตรๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ยังเลย ไม่รู้จะขึ้นไปไหน”
อินทัชอมยิ้ม “เอาไว้สักวัน..ผมจะชวนพี่นั่งรถไฟไปเที่ยวทะเล ผมว่าสนุกดีนะ”
“พรุ่งนี้เลยไหม”
“ยังครับ” เขาหลุดหัวเราะ “ใจเย็นๆ ทำใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้”
กนธีเตะถุงพลาสติกใส่อีกฝ่าย “หาว่าพี่แก่อีกแล้วไอ้โอ๊ต”
“อะไรกัน พี่คิดไปเองต่างหาก” อินทัชขำ ก้าวหนีคนที่เตะแผ่นโฟมใส่เป็นประการต่อไป “ฝุ่นเยอะนะพี่”
“กินฝุ่นไปซะ! แก่กว่าแล้วไงวะ” เขางุ่นง่าน “เห็นแก่แบบนี้ แต่จริงๆยังวัยรุ่นเว้...” เสียงโวยวายหายไปในลำคอเมื่อฝ่ายตรงข้ามโน้มหน้าลงมาหา..ปากอุ่นร้อนประกบจูบอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
กนธียืนอึ้ง มองเจ้าโอ๊ตที่ผละออกไปตาไม่กะพริบ
ร่างสูงยิ้มจาง จ้องแฮมสเตอร์ขี้ตื่นด้วยความเอ็นดู เขาก้าวเข้าหา ช่วงตัวสูงใหญ่ยืนเบียด
“จะว่าไปก็ยังเด็กอยู่จริงๆด้วย” เสียงทุ้มต่ำพึมพำ ไล้ปลายนิ้วโป้งที่แก้มคนตรงหน้า “ทั้งที่แก้ม..” จากนั้นก็เลื่อนนิ้วลงมาลูบริมฝีปากอ่อนนุ่ม “แล้วก็ปาก..” ชะโงกหน้าเข้าไปจูบอีกครั้ง “นิ่มเหมือนเด็กแรกเกิดเลย..”
คนฟังรู้สึกหูอื้อ ตาลาย ก่อนที่ไอร้อนผ่าวจะพุ่งสูงในตัว
“ผมไปดูข้าวเย็นให้นะครับ..” อินทัชกระซิบ กดจูบเรียวปากอุ่นอีกครั้งด้วยความมันเขี้ยว ถือโอกาสขบกัดไปหน่อยเป็นการเย้าแหย่ “เลิกอึ้งได้แล้ว..จูบแค่นี้ทำช็อกไปได้”
..ถ้าทำมากกว่านั้น..ไม่สลบไปเลยหรือไง..
“ม..ไม่ได้ช็อกเว้ย” เขาแก้ต่าง แค่ตกใจต่างหาก ไม่คิดว่ามันจะจู่โจมเข้ามา
..ไหนบอกว่าจะขอก่อนไงล่ะ!..
“เอาน่า..ไม่ช็อกก็ไม่ช็อก แค่ไม่ชินใช่ไหมล่ะครับ” อินทัชยักไหล่ ค่อยๆถอดแว่นสายตาออกให้แล้วส่งคืนพี่กุนต์ “จูบบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเอง”
กนธีมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายไปทางห้องครัว เขาผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง
[ต่อด้านล่าง]