Chapter 25
สองสามวันนี้ กนธีไม่ค่อยสบายนัก อาจจะเป็นเพราะว่าคืนก่อนมีเหตุให้เขาต้องอาบน้ำซ้ำถึงสามรอบ กว่าจะเสร็จรอบหลังก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า
หลังจากที่ ‘ยุ่ง’ กันครั้งแรกแล้ว เขานึกว่าเจ้าโอ๊ตจะกลับไปที่ห้อง แต่ปรากฏว่าเด็กมันขอมานอนด้วย เขาเลยไล่ให้ไปอาบน้ำ ส่วนตนเองก็มาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่เปื้อนรอยอะไรบางอย่างเป็นจุดๆแล้วขึ้นเตียงไปก่อน พอหัวถึงหมอนก็ผล็อยหลับ มาสะดุ้งตื่นอีกทีตอนใครสักคนเข้ามา ‘วุ่นวาย’ แถวไหล่
จากแค่ปลายจมูกสัมผัส..กลายเป็นการขบกัดอย่างเคยตัว จากแค่จูบคอ กลับลามเลยมาจูบปาก ตามด้วยการกอดรัด ลูบไล้ โลมเลียแต่ละฝ่ายตามอารมณ์นำพา กระทั่งเลยเถิดไปซ้ำรอยเก่าอีกรอบ
หลังอาบน้ำรอบที่สาม กนธีกลับมาหลับเป็นตาย ตื่นอีกทีตอนตะวันสายโด่ง
ไม่รู้ว่าเพราะนอนดึก หัวไม่แห้งแล้วเผลอหลับ หรือเพราะตื่นเต้นเกินไปกันแน่ ถึงได้ทำให้ไข้ยังขึ้นจนกระทั่งตอนนี้
อ้นกับอุ้มเงยหน้ามองพี่กุนต์ที่ใส่แว่นตา สวมผ้าปิดปาก มีผ้าลายสก็อตผืนยาวพันอยู่รอบคอ พี่กุนต์นั่งขดอยู่บนโซฟาตัวยาว ทั้งร่างมีผ้านาโนเนื้อลื่นคลุมอีกชั้น ฝ่ายนั้นกำลังอ่านนิยายแปลแนวสืบสวนสอบสวนอย่างมีสมาธิ
เด็กๆหันมองหน้ากัน สงสัยว่าทำไมพี่กุนต์ดูเหมือนหนอนปลอกเป็นพิเศษ จะว่าไปวันนี้แดดไม่แรงนัก ในห้องรับแขกเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่รู้ๆกันอยู่ว่ามันไม่ได้หนาวขนาดที่จะต้องเอาผ้ามาพันตัวจนหนานี่นา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” กนธีเหลือบมองเจ้าหนูทั้งสองที่ยังจ้องเขาตากลม พูดเสียงอู้อี้หลังผ้าปิดปาก “หิวหรือเปล่า หรือว่าเบื่อแล้ว เอาแกงส้มกับสี่ถั่วเข้ามาเล่นในนี้ก็ได้นะ”
น้องอุ้มส่ายหัวหวือ สนใจพี่กุนต์จนมองตาไม่กะพริบ
“พวกผมสงสัยว่า พี่กุนต์ไม่ร้อนหรือครับ” อ้นขำ
กนธีหัวเราะร่วน “พี่ไม่ค่อยสบาย เลยหนาวนิดหน่อย”
“ทำไมพี่กุนต์ไม่สบายฮะ” อุ้มเป็นห่วงนะเนี่ย
“พี่นอนดึกครับ” เขาโยนให้เหตุผลนี้ก็แล้วกัน เห็นสายตาจ้องมองของเด็กแล้ว รู้สึกร้อนตัวจนต้องดึงผ้าพันคอมาปิดถึงปลายคาง
“ทำไมพี่กุนต์ถึงนอนดึก”
กนธีนิ่งไปครู่ จะตอบว่า เพราะ ‘พี่โอ๊ตเข้ามาเกาะแกะ’ ก็กระไรอยู่ “เพราะว่าพี่ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย....”
“พี่กุนต์ทำอะไรตอนดึกๆอ่ะ” อุ้มเท้าคางมอง
“เอ่อ...”
อินทัชเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขาเพิ่งเข้าครัวไปชงน้ำขิงร้อนๆมาให้กนธี พอได้ยินน้องชายคนเล็กกำลังไล่เบี้ยคนเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะจนมุม เขาก็เข้ามาเขกกะโหลกมัน
“พี่กุนต์ไข้ขึ้นเพราะเจ้าหนูจำไมแถวนี้แหละ” เขาเตะตูดน้องเบาๆ “ออกไปดูแกงส้มเร็ว ปล่อยไปเล่นในสวนสักพักแล้วใช่ไหม เดี๋ยวก็ลุยปลาคาร์ฟพี่กุนต์เละหรอก”
กนธีแก้ตัวแทนเด็ก “แกงส้มไม่กินปลาคาร์ฟเสียหน่อย”
“ใช่ๆ พี่โอ๊ตกินเองแล้วอย่ามาใส่ร้ายแกงส้มดิ” อ้นรีบสมทบ
“พี่ไม่กินปลาสด..” อินทัชขบขัน เขาส่งน้ำขิงให้พี่กุนต์ “เพราะพี่เป็นแมวที่กินแต่ปลาย่าง..”
เด็กๆเกาหัวแกรกไม่รู้พี่โอ๊ตจะสื่ออะไร ส่วนกนธีได้แต่เหลือบตามอง
“ไปตามหาแกงส้มได้แล้ว” เขาไล่น้อง “เร็วเข้า เดี๋ยวมันทำเลอะ”
อ้นกับอุ้มเลยต้องลุกยืนอย่างเกียจคร้าน เด็กสองคนจูงมือกัน “พี่กุนต์ไม่สบาย อย่าปล่อยไปเล่นนะพี่โอ๊ต”
“รู้แล้วน่า..เดี๋ยวพี่ดูแลปลาย่า..ดูแลพี่กุนต์เอง”
“เดี๋ยวๆๆ” กนธีเอื้อมมือจะกวักเรียกให้เจ้าตัวจ้อยทั้งหลายกลับมา แต่สองหน่อก็วิ่งปรื๋อออกไปแล้ว
อินทัชอมยิ้ม ถือโอกาสนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน เขามองคนที่เอาผ้าห่มมาม้วนตัวแน่นขึ้นเพราะถูกเขาดึงผ้าออก ดูแล้วก็น่าขำ ทำตัวเหมือนอยู่เมืองหิมะก็ไม่ปาน
“ไม่ร้อนหรือไงครับ” เขายื้อผ้าพันคอออก
“เพราะใครล่ะ” กนธีหันหนี เปิดหนังสือหน้าต่อไปอ่าน ทำไม่รู้ไม่เห็นว่าเด็กมันกำลังเข้ามากวนประสาท
“ผมกัดแค่ที่คอเองนะ” เด็กหนุ่มพึมพำ “ไม่เห็นต้องห่มเป็นแหนมก็ได้นี่” ผ้าห่มนาโนลายใบตอง ใครสั่งใครสอนให้เลือกลายประหลาดมาใช้
“แหนมอะไรจะหล่อขนาดนี้” เขาบ่น “ไปไหนก็ไปน่า หนวกหู คนจะอ่านหนังสือ”
อินทัชยิ้มขัน ปากพี่กุนต์ไล่เขา แต่หูนี่แดงเถือกไปถึงไหน คนอะไรกลบเกลื่อนไม่เคยมิด ตีท่าวางหน้าขรึม เสร็จแล้วจมูกก็แดงเรื่อ แก้มกลายเป็นสีชมพู่มะเหมี่ยว..แบบนี้เรียกว่าเคืองกันจริง หรือเรียกว่า ‘เขิน’ กันแน่
“พี่กุนต์..” เขาเรียก แต่คราวนี้เจ้าตัวไม่หลงกลหันมา “พี่กุนต์โกรธผมหรือ”
“โกรธทำไม ไม่มีอะไรให้โกรธสักหน่อย” กนธีพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าปิดปาก
“ถ้าไม่โกรธก็ดื่มน้ำขิงครับ” อินทัชส่งแก้วให้ ทำท่าจริงจัง
อีกคนเหลือบมอง ดูลำบากใจ “มันเผ็ด..”
“อย่าดื้อครับ” ดูแลคนอายุมากมันยากกว่าดูแลน้องสองคนอีก ดื้อก็ตีไม่ได้ หมั่นไส้ก็ฟาดไม่ได้ จะดุแต่ละทียังต้องเกรงใจ เกิดทีหลังมันลำบากอย่างนี้เอง
กนธีโดนเด็กว่าก็ต้องจำใจดึงผ้าปิดปากลง เขาใส่เอาไว้ จะได้ไม่แพร่เชื้อหวัดไปให้น้องอ้นกับน้องอุ้ม พอมือสัมผัสกับแก้วอุ่นๆก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา จิบแล้วกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าไข้จะไม่หนักมาก แต่ทำเอาพลังงานหดหายได้พอควร วันนี้เขาเลยขอจำศีลนิ่งๆในห้องรับแขกมาตั้งแต่เช้า
“เป็นไงบ้างครับ ไม่หวานไปใช่ไหม” อินทัชลงมือชงเองเลย
“อืม..กำลังดีเลย ได้น้ำตาลมาบ้างก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน” เขาพึมพำ ดื่มอีกสองอึกแล้ววางแก้วบนโต๊ะกลาง “คุณยายล่ะ เห็นท่านไปนั่งในสวน ได้เวลาพักผ่อนแล้วหรือเปล่า”
“ตอนผมไปชงน้ำขิง พี่พยาบาลพาไปนอนแล้วครับ” เขาตอบ “เหลือคนป่วยแถวนี้ ทู่ซี้นั่งตากแอร์อยู่ได้”
“ก็มันไม่ง่วงนี่”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะง่วงครับ” อินทัชเลิกคิ้ว สีหน้าดูกวนอารมณ์
กนธีมองเขม่น เขาดึงผ้าปิดปากขึ้นมาใส่ตามเดิม แถมยังกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้นด้วย
“ทำแบบนี้คนจะสงสัยยิ่งกว่าเก่าอีกนะ”
“ก็คนมันไม่สบาย”
“ถึงว่า..แก้มแดงไปทั้งแถบ” อินทัชยกมือขึ้นอัง แหย่อย่างนึกคึก พี่กุนต์มีไข้จริง แต่แค่ตัวรุมๆ ไม่ได้ร้อนมากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากให้ไปนอนพักอยู่ดี “กินให้หมดแก้วแล้วเลิกนั่งขดแบบนี้สักที ผมจะได้พาไปนอน”
กนธียื้อผ้าห่มใบตองไว้ไม่ให้ไอ้เด็กเปรตมันดึงออก “ไม่เอา”
“ดื้อนี่อยากให้จูบใช่ไหมครับ”
“ใครบอกวะ”
“ผมจะนับถึงสามนะ” อินทัชหรี่ตามอง ดูคนที่จ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง “หนึ่ง..”
กนธีเอาผ้าห่มคลุมหัว
“สอง..”
เจ้าตัวหันหลังให้ ขดเป็นวงกลมลงไปกับเบาะ เถียงกับเจ้าโอ๊ตทำเอาไข้เขาจะขึ้นอีกรอบแล้ว
“สาม..” อินทัชไม่พูดมากไปกว่านั้น เขายื้อผ้าห่มใบตองออกแต่พี่กุนต์จับไว้แน่นเลยดึงหลุดมาได้แค่ส่วนบน เห็นแต่หัวดำๆผลุบโผล่ เด็กหนุ่มหัวเราะหึ ยกแขนขึ้นคร่อมร่างด้านหน้าแล้วกักไว้ตรงกลาง
“จะให้จูบใช่ไหม” เขาถามเสียงต่ำข้างแก้มอีกฝ่าย “หรือจะให้กัดคออีก..คราวนี้เอาให้พรุนเลย”
กนธีเอาหน้าจุ่มหมอน ในขณะที่หูเป็นสีแดงจัด มือที่ยึดผ้าห่มเอาไว้กับตัวสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรุนแรง เห็นเขาทื่อแบบนี้ แต่จริงๆหูอื้อตาลายไปหมด ก็คนมันอายุมากนี่ จะให้ยิ้มละมุนละไมเป็นเด็กหนุ่ม มันก็ทุเรศสังขาร การเก๊กหน้าเอาไว้นี่แหละดีที่สุดและเท่ที่สุดสำหรับผู้ชายอายุสี่สิบ ใครเห็นเข้าจะได้ไม่มองว่าไก่อ่อน
..เมื่อยแก้มเป็นบ้า..กลั้นยิ้มจนเส้นประสาทชาไปสิบเส้นแล้ว..
“โธ่..เลิกแกล้งก็ได้ครับ” อินทัชสงสารพี่กุนต์จริงๆ “เงยหน้าเร็วพี่ เดี๋ยวหายใจไม่ได้” เขาผละออก ยกสองมือเป็นการยอมแพ้ รอนานอยู่ร่วมนาที กว่าพี่กุนต์จะยอมโผล่มา
กนธีลอบถอนหายใจ ขยับตัวเล็กน้อยเพราะเจ็บกระดูก
เสี้ยววินาทีที่ดึงผ้าห่มออกจากหัว ร่างสูงใหญ่ก็ก้มลงฉกจูบหนักหน่วง ผ้าปิดปากไม่เป็นอุปสรรค เพราะความร้อนที่ส่งผ่านมานั่นระอุยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เด็กหนุ่มเปิดปาก ขบเม้มผ่านเนื้อผ้า คล้ายจะบอกเป็นนัยว่าของแค่นี้มันขวางเขาไม่ได้นานหรอก
กนธีหลับตาแน่น ใจเต้นตึกตักเหมือนสมัยวัยรุ่น นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้..ถูกรุกไล่ด้วยความร้อนแรงของวัยหนุ่ม เขาผ่านมาหลายคน ดูออกว่าพฤติกรรมไหนฝืนใจ แบบไหนแกล้งทำ หรือเสแสร้งสองหน้าเพื่อขอเงินเป็นครั้งคราว
อินทัชจูบเขาเพราะอยากจะจูบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จะเพราะไม่เคยมาก่อน หรือเพราะส่วนไหนในร่างกายเขาไปเร้าอารมณ์เด็กเข้า ปฏิกิริยาที่ฉายชัดออกมาก็คือความเป็นจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ไม่ได้แสร้งทำ
..แบบนี้แล้วจะไม่ให้ชอบมากๆได้อย่างไร..
“อื้อ..” กนธีเริ่มหายใจไม่ออก แว่นที่สวมตกลงมากองตรงดั้งจมูก
อินทัชอมยิ้ม ผละออกเล็กน้อยแล้วค่อยๆดึงแว่นออกมา เขาเอื้อมไปวางไว้ตรงโต๊ะกลางแล้วโน้มลงใกล้ “คนดื้อต้องโดนแบบนี้ครับ” เขากระซิบ ใช้นิ้วเกี่ยวสายผ้าปิดปากแล้วดึงออกอย่างนุ่มนวล
“เดี๋ยวติดหวัดนะ”
“ผมแข็งแรงดี ไม่ติดง่ายๆหรอก” อินทัชบอก “ไม่ได้จูบมาสองวันแล้ว..จูบกับผมเถอะ”
..คิดจะขอให้ได้ทุกอย่างเลยสินะ ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว!..
..ไม่รู้หรือไง..ว่าลุงอย่างเขามันใจอ่อนง่าย..
กนธีหลับตาลงแทนคำอนุญาต เพียงเท่านั้น อินทัชก็ทาบปากลงมาอีกหน เด็กหนุ่มขบเม้มที่เรียวปากล่างแผ่วเบา แล้วเลยขึ้นมางับปากบน วนเวียนคลอเคลียอยู่กับความนุ่มนวลนั้น
ฝ่ามือใหญ่สอดเข้าใต้ราวคอ ยกรั้งขึ้นมาและประคองให้ใบหน้าได้รูปเอียงรับรสจูบของเขาถนัดขึ้น ลิ้นอุ่นแทรกผ่านไรฟันขาวสะอาด ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดกันและกัน สัมผัสได้ว่าพี่กุนต์ตัวร้อนกว่าเก่าหลายเท่า
“ให้ผมดูดไข้ให้นะ” เขาพูดข้างกกหู “รับรองว่าคืนนี้หายป่วย..”
กนธีครางในลำคอ เขาขยุ้มอกเสื้อของโอ๊ตไว้แน่นตอนที่เด็กมันจูบรอบที่สาม เดี๋ยวนี้พอได้หัดบ่อยๆ อินทัชก็ดูจะคล่องขึ้น ไม่ทำให้เขาหายใจลำบาก ไม่ทำให้เขาสำลัก มีการค่อยเป็นค่อยไป มีลูกล่อลูกชน หยอกเย้าพอประมาณแล้วจบลงด้วยความจริงจัง ทั้งอุ่นละมุนและร้อนแรงในคราวเดียว
“หัวใจพี่กุนต์เต้นแรงจัง” อินทัชยิ้มขัน
“คนยังไม่ตาย มันก็ต้องเต้นแรงสิ” เขาตอบแก้เก้อ
“ตื่นเต้นก็บอกมาตรงๆสิครับ”
กนธีทำเสียงฟึดขึ้นจมูก
“ท่าทางแบบนี้แปลว่าเขินใช่ไหม” อินทัชทำเสียงฟึดเลียนแบบบ้าง “ผมจะได้ตีความพฤติกรรมคนเขินออก”
“ยุ่งน่า!”
“แบบนี้คือกลบเกลื่อนสินะครับ”
กนธีเอาเข่ากระแทกหลังเด็กมันไปหนหนึ่ง ไม่แรงหรอก แต่ก็ทำเอามันล้มหน้าคว่ำได้ เสียแต่ว่า ล้มแล้วถลามาทับเขา ซ้ำยังเอาปากประกบลงมาอีกนี่สิ ตอนแรกนึกว่ามันไม่ได้ตั้งใจ หากหลังจากที่ล้มแล้วล้มเลย ไม่ยอมลุก แถมจูบต่อได้อีก เขาก็ยอมเอาหัวเป็นประกัน ว่าเจ้าโอ๊ตมันจงใจเต็มประตู
“ถ้าติดหวัดจะขำให้ฟันหัก” เขาบอกตอนที่เจ้าโอ๊ตพักยก
“แล้วไม่ชอบให้จูบหรือไงครับ” อินทัชยักคิ้วกวนใจ
..ตักบาตร ใครเขาถามพระกันล่ะวะ..
“ว่าไงล่ะครับ” ยังแกล้งกระเซ้า “ชอบให้จูบไหม”
กนธีหรี่ตามอง ทำท่าขึงขัง “เดี๋ยวนี้กล้าแหย่หรือ” เขาดึงคอเสื้อมันลงต่ำ “คิดว่าหือกับพี่แล้วจะรอดไหมน้อง”
“หูย..กลัวจังเลย”
“กวนโอ๊ยนักนะ”
“แน่นอนครับ” อินทัชยิ้ม หอมแก้มอีกคนฟอดใหญ่ ตามด้วยการกัดปลายติ่งหูเบาๆ
กนธีหลุดหัวเราะ บางทีเขาก็ขี้เกียจจะเก๊กท่าเหมือนกัน ดังนั้นเขาเลยเป็นฝ่ายจูบตอบบ้าง
..ไม่ใช่อะไรหรอก ก็แค่การแก้แค้นที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ..
..จะแพร่เชื้อใส่มันให้ไข้ขึ้นกันไปข้าง!..
เสียงกระแอมไอจากในห้องรับแขกทำให้คนสองคนบนโซฟาหันขวับไปมอง กนธีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพสิษฐ์เข้ามาในห้องตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เขารีบยันตัวขึ้น ยกหลังมือขึ้นเช็ดปากที่ยังชุ่มฉ่ำและร้อนผ่าว
อินทัชลุกขึ้นยืนแล้วหันไปจัดเสื้อผ้าพี่กุนต์จนเรียบ ผ้าพันคอที่เลื่อนตกลงไป เขาก็หยิบขึ้นมาคลุมให้ใหม่และจงใจดึงขึ้นมาปิดรอยจูบที่ทำเอาไว้เมื่อสองคืนก่อนให้ด้วย
“มาตั้งแต่ตอนไหนไผ่” กนธีรู้สึกอายขึ้นมา เขาเล่นจูบกับโอ๊ตกลางบ้านเหมือนเด็กแรกรุ่นที่ไม่รู้จักห้ามปรามตัวเอง
“สักพักแล้ว” พสิษฐ์มองพี่ชายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เขารับไหว้จากอินทัช
“เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้นะครับ” คนอายุน้อยที่สุดเดินออกจากห้องไป คุณพสิษฐ์จะได้คุยกับพี่กุนต์ได้อย่างสะดวก
คล้อยหลังเจ้าโอ๊ต พสิษฐ์ก็หัวเราะหึ เขาไม่อยากแซวพี่หรอก เพราะแค่อ้าปาก พี่กุนต์ก็เตรียมวางแผนฆ่าหั่นศพเขาแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้ามาหา เขาเพิ่งกลับมาจากนาโงย่า ช่วงที่ผ่านมีเวลาว่างเลยไปแบ็คแพ็คตามลำพัง ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซากุระกำลังบาน เลยได้ฤกษ์ลองกล้องใหม่ที่เพิ่งซื้อมาด้วย
“เอ้า..ฝีมือของผมเป็นยังไงบ้าง” พสิษฐ์รื้อภาพที่อัดลงแผ่นออกมาวางเรียงบนโต๊ะกลาง เขาไปเที่ยวสวนผลไม้โทโงคุซัง แล้วถ่ายภาพชิดาเระซากุระมาเพียบ มองเผินๆคล้ายม่านน้ำตกสีชมพูเรียงรายเป็นทิวแถว
“ห่วยแตก” กนธีบอก ดูภาพของมันแล้ว ต้องบอกว่าต้นไม้ช่วยไว้จริงๆ แสงสีกระจุยกระจายหมด หาโฟกัสไม่ได้ “ไปหัดมาใหม่ไป”
“โอ้โห..นี่คือคำชม?” คนเป็นน้องก่นด่า “มือใหม่หัดถ่ายเว้ย ให้กำลังใจกันซะบ้าง”
“ก็มันห่วย จะให้บอกว่าสวยหรือไง” เขายักไหล่
พสิษฐ์บ่นอุบ เลือกภาพที่สวยที่สุดออกมาแล้วเขียนข้อความให้พี่ชาย ‘สวัสดีฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่คือสวนโทโงคุซัง ขอให้คุณลุงที่ได้รับภาพนี้อายุมั่นขวัญยืนเป็นตาแก่ที่แข็งแรงในอนาคต’ จากนั้นก็ยื่นส่งให้คนข้างกายแทนโปสการ์ดจากญี่ปุ่น
“ไม่ลงทุนเลยนะ โปสการ์ดน่ะ จะให้คลาสสิก ต้องส่งมาจากต้นทางสิ”
“เสียเงินน่า ยื่นให้กับมือก็คลาสสิกเหมือนกัน”
“ไอ้ไข่เค็ม” กนธีส่ายหัวอย่างระอาปนขบขัน “ขอบคุณครับน้องชาย”
พสิษฐ์ยิ้มบาง นึกขึ้นได้ว่าซื้อของฝากจากญี่ปุ่นมาให้พี่กุนต์ เลยค้นในถุงแล้ววางบนตัก
“อะไรน่ะ”
“เปิดสิ” เขาพยักพเยิด มองพี่ชายที่ค่อยๆแกะห่อของขวัญออก พอเปิดกล่องก็เห็นเป็นชุดนอน เสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวลายไข่กุเดทามะ “เข้าคู่กับสลิปเปอร์ไข่เลยใช่ไหม”
กนธีตีหน้าปุเลี่ยน “แกอยากใส่เองแต่กระดาก เลยโบ้ยมาให้พี่ใส่สินะ”
“เฮ้ย..คนหวังดี กลายเป็นประสงค์ร้ายซะงั้น” เขาคลี่ชุดนอนออกมา “เห็นว่าน่ารัก เหมาะกับตาลุงยังเอ๊าะอย่างพี่ต่างหาก เอ้า! คืนนี้ก็ใส่ซะนะ”
“โอตาคุไข่ขี้เกียจหรือวะเนี่ย...”
พสิษฐ์หัวเราะ “มีกาชาปองด้วยนะ ไปบิดแย่งเด็กมา”
กนธีขำตัวโยน รับของจิ๋วที่ไอ้ไผ่ยื่นส่งให้ เขาจะเอาไปตั้งรวมกับโมเดลรถไฟไทยถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างแล้วกัน
“กับกิ๊กเด็กเป็นยังไงบ้างพี่” เขาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ “ไปได้ด้วยดี หรือมีทีท่าว่าจะโยนทิ้ง”
“ก็..เรื่อยๆ” คนตอบหยิบน้ำขิงมาจิบ เขาปล่อยไว้จนเย็นชืดหมดแล้ว
“ไม่เรื่อยๆล่ะมั้ง” พสิษฐ์หัวเราะในลำคอ “จูบกันแทบจะกลืนปากขนาดนั้น”
กนธีถีบขาน้องไปเต็มแรง “เงียบน่า”
“ไม่ได้ว่าอะไร” เขายักไหล่ “อย่าหลงมากไปล่ะ..รู้ๆกันอยู่”
คนฟังนิ่งเงียบ เขาเองก็พยายามปรามใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ถึงจะห้ามไม่ค่อยอยู่ก็เถอะ เขารู้ดีว่าถ้าจะหลงไปมากกว่านี้ ก็ไม่ใช่เพราะหลงไปกับหน้าตา ความอ่อนวัยกว่า หรือเพราะการปรนเปรอทางกาย เขาชอบเด็กคนนี้เพราะความตรงไปตรงมา ความจริงใจที่มีให้กัน การไม่เสแสร้งแกล้งทำ การมีปฏิกิริยาต่อเขาอย่างซื่อสัตย์และเปิดเผยโดยไม่ได้ฝืนใจ รวมทั้งเรื่องการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ทั้งหมดที่ผ่านเขาไม่เคยเจอในเด็กคนไหนมาก่อน
..อินทัชทำให้เขาไม่ต่างจากศรัณย์..
..เพียงแต่ว่า..อินทัชไม่ได้ ‘รัก’ เขาเหมือนศรัณย์เท่านั้นเอง..
เขาลอบถอนหายใจเมื่อความคิดมันฟุ้งซ่านมาถึงเรื่องที่ว่า ต่อให้ปากบอกว่าไม่สนเรื่องของจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์เราเป็นพวกได้คืบอยากจะเอาศอก และสิ่งที่มักทำร้ายกันมากที่สุดก็คือความคาดหวัง เพียงแค่ว่า ความคาดหวังของเขายังไม่ได้มากมายอะไรนัก แค่อยากให้โอ๊ตชอบเขาตอบกลับมาบ้างสักนิดก็ยังดี
..แต่เขาน่าจะรู้ ว่าอินทัชมีคนที่ชอบอยู่แล้ว..
..ความเป็นจริงเรื่องนี้ ทำเอาเขาห่อเหี่ยวลงไปได้พอตัว..
“เป็นอะไรไป..จี้ใจดำหรือไง” พสิษฐ์ถาม “ที่พูดให้ฟัง ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้พี่มีความสุขหรอกนะ แค่อยากเตือนให้ระวังใจเอาไว้บ้าง ผมมีความรู้สึกว่า พี่ชอบเด็กนั่นจริงๆ ชอบมากๆยิ่งกว่าคนอื่นที่ผ่านมา สังเกตแววตาก็รู้”
“อืม..” เขาพยักหน้ารับ “ก็ชอบมากจริงๆนั่นแหละ”
ร่างสูงยกมือขึ้นลูบปลายผมคนด้านข้าง “ไม่เป็นไร..อย่าทำหน้าหงอยสิ ผมแค่แตะเบรกให้นิดหน่อย พี่จะได้ไม่ขับเร็วจนแหกโค้ง แค่บอกให้ระวัง ไม่ได้เจาะยางจนแบน ปิดทางไปหมดนี่นา”
เขาหัวเราะ น้องมันช่างเปรียบเทียบจนเห็นภาพ
แต่ก็ยอมรับว่าในชีวิตเราบางครั้ง มันมักจะมีความเป็นไปสองฝั่งเสมอ ฝั่งหนึ่งคือเรื่องที่เรารับได้ และมีความสุขไปกับมัน ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง คือเรื่องที่เราไม่ค่อยอยากจะยอมรับเพราะมันทำให้เกิดทุกข์
กนธีผ่อนลมหายใจแล้วดื่มน้ำขิงอึกสุดท้าย
น้ำขิงแก้วนี้..เขาไม่ชอบรสเผ็ด แต่ก็ยอมรับว่าโอเคกับรสหวาน ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสนใจรสไหนมากกว่ากัน จะบอกว่ามันมีรสเผ็ดนำแต่ก็ยังดีที่มีความหวานแทรก หรือจะบอกว่ามันหวานชื่นใจแต่น่าเสียดายที่มีรสเผ็ด มองแบบไหน ให้คุณค่ากับอะไรมากกว่า ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความคิดของเรา
..จะมองว่า อินทัชไม่ได้รักเขา แต่อย่างน้อยน้องก็ดูแลเขาดี..
..หรือจะมองว่า อินทัชดูแลเขาดี เสียแต่ว่าเจ้านั่นไม่ได้รักเขา..
ความแตกต่างเพียงน้อยนิด แต่มีผลต่อจิตใจไม่เหมือนกัน จะเลือกการปลอบใจตัวเอง หรือทำลายความรู้สึกตัวเอง..มันก็ขึ้นอยู่กับเรา ที่แน่นอนกว่านั้น..ให้เลือกที่จะสนใจข้างใดข้างหนึ่งเป็นพอ
“เข้าใจแล้ว” กนธีพึมพำ ยิ้มออกมาได้
พสิษฐ์เลิกคิ้ว “เข้าใจว่า?”
“เข้าใจว่าได้แค่นี้ก็ดีแล้วแหละ” เขาวางแก้วลงกับโต๊ะ “มีความสุขกับปัจจุบันก็โอเค”
“พี่มีประสบการณ์ ผมว่าพี่น่าจะมองออกนะ ถ้าทางมันขรุขระ พี่ก็ควรหยุด แต่ถ้าทางมันเรียบ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง พี่ก็ลุยเลยเป็นไง” พสิษฐ์ยิ้ม “ยังไงผมก็อยู่ข้างพี่เสมอ”
กนธีพยักหน้า “ขอบคุณนะ..หมาหัวเน่า”
“แล้วกัน! ไอ้ลุงปากบูดนี่!”
อินทัชเข้ามาในห้องรับแขกตอนที่คนสองคนกำลังแหย่กันเหมือนเด็ก เขาเอาน้ำเย็นมาให้คุณไผ่แล้วตั้งใจจะออกไปข้างนอก แต่พี่กุนต์เรียกให้นั่งด้วยกัน เขาเลยเลือกโซฟาเดี่ยวด้านข้างแล้วอยู่ในมุมของตนไปเงียบๆ
“เราเป็นไงบ้างล่ะโอ๊ต” พสิษฐ์หันมาชวนคุยหลังจากโดนพี่กุนต์ใช้หมอนตบหัวไปรอบหนึ่ง “ลุงดูแลดีไหม”
“ดีครับ..ดีมาก” เด็กหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่เคยเจอใครดีเท่าพี่กุนต์มาก่อน”
กนธีอุตส่าห์ปรามตัวเองให้ยืนติดพื้น เด็กมันก็มาผลักให้เขาลอยขึ้นจนได้
“ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ก็ฝากพี่กุนต์ด้วยแล้วกันนะ” พสิษฐ์ยิ้มให้ แต่สายตามองจ้อง เขารู้ว่าเจ้านี่เป็นคนดีใช้ได้คนหนึ่ง แต่จะดีกับใครก็ตาม ถ้าทำให้พี่เขาเสียใจ เขาก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน
จะหาว่าเขาโอเวอร์โพรเท็กต์ก็ช่าง แต่เขามีพี่ชายอยู่คนเดียว เขาก็แค่อยากปกป้อง ดูแลให้เต็มที่
..คนอย่างพี่กุนต์ ไม่ควรจะต้องมาเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจ..
..คนๆนี้ควรมีเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตได้แล้ว..
อินทัชยิ้มรับ ได้แต่คิดในใจว่าคุณไผ่เองก็เอาเรื่องน่าดู แต่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้ต่อยเขาหรอก เพราะเรื่องการทรยศ หักหลัง นอกกายไปมีคนอื่น รับรองว่าไม่ใช่สันดานผู้ชายอย่างเขาแน่
ข้อตกลงไม่ได้รวมไปถึงความรู้สึกทางใจ ดังนั้นเขาจะชอบใคร กฎระหว่างกันก็ไม่ได้ครอบคลุม
พสิษฐ์เบาใจลงไปเปลาะหนึ่ง วันนี้นอกจากจะเอาของฝากมาให้พี่กุนต์แล้ว เขายังมาคุยธุระด้วย
“เออ..เพื่อนผมมันเปรยมาว่าจะขายรีสอร์ทริมทะเลของมันที่เกาะช้าง มันถามผมว่าสนใจไหม ถ้าคนกันเองจะลดให้แต่ว่าขอเงินเร็วหน่อย เลยมาบอกพี่ก่อน เผื่อว่าอยากได้”
กนธีดูรูปถ่ายในมือถือที่เพื่อนของเจ้าไผ่ส่งเข้าไลน์มา เห็นแล้วก็นึกชอบใจ เขาทำเป็นบ้านหลังเล็กๆตั้งเรียงรายกันประมาณสิบหลัง มีห้องนอนกับห้องน้ำ มีดาดฟ้าด้านบน บรรยากาศเงียบสงบคล้ายกับมีหาดส่วนตัว
“อยากไปดูที่จริง” เขาขยายภาพดูโฉนดที่ดิน พื้นที่ไม่ค่อยเยอะนัก พอเหมาะกับการเอาเงินเย็นมาซื้อไว้ จะรอขายหรือจะทำรีสอร์ทต่อ เก็บไว้กินตอนแก่หง่อมก็ได้
“พรุ่งนี้มันว่าง ถ้าจะไปเดี๋ยวโทรบอกให้” พสิษฐ์ส่งไลน์บอกเพื่อน “เอาเบอร์มันไป ให้มันแชร์โลเคชั่นให้แล้วกัน”
“โอเค” กนธียิ้ม วันพรุ่งเขาก็คงอาการดีขึ้นแล้ว ที่จริงวันนี้ค่อยยังชั่วกว่าเมื่อวานมาก แต่ไข้เหมือนจะกลับมาเล็กน้อยเพราะมัวแต่เถียงกับเด็กนี่แหละ
ชายหนุ่มเหลือบมองโอ๊ต ลอบยิ้มขัน
..แต่แพร่เชื้อไปแล้ว เย็นนี้น่าจะหายไวขึ้น..
“พี่กุนต์จะไปไหนหรือครับ” อินทัชขมวดคิ้ว “ไข้หายแล้วหรือไง”
พสิษฐ์หันมามอง “เป็นไข้หรือ” เขาวางมือกับหน้าผากพี่ชาย รู้สึกว่าตัวรุมๆแต่ก็ไม่ได้มากนัก “ไปทำอะไรมา หัวไม่แห้งแล้วหลับเลย นอนถีบผ้า เปิดแอร์ทิ้งทั้งคืน หรือว่าออกไปเล่นน้ำฝน”
“คนนะเว้ย ไม่ใช่หมา” กนธีปัดมือน้อง “นอนดึกนิดหน่อยแค่นั้นแหละ”
อินทัชนั่งฟัง ดูเหมือนว่าคุณไผ่กับพี่กุนต์จะสนิทสนมกันมากเอาการ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ลักษณะนิสัยคนเป็นพี่ละเอียดขนาดนี้หรอก จะว่าไป..ก่อนหน้าเขาก็เคยคิดว่าทั้งคู่อาจจะคบหากันอยู่ เพิ่งมารู้ความสัมพันธ์ชัดเจนก็ตอนที่คุณไผ่มาว่าจ้างเขา
“ทำไมถึงนอนดึก”
“ถามเหมือนเด็กเลยไอ้หมาหัวเน่านี่” กนธีไม่ยอมเล่าเด็ดขาด “เอาเป็นว่าสบายหายห่วง พรุ่งนี้ขับรถไหว”
“ไม่ได้” พสิษฐ์กับอินทัชพูดพร้อมกัน และต่างฝ่ายต่างก็หันมองหน้ากัน
พสิษฐ์รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ใช่บทของเขา เลยยกมือยอมแพ้แล้วถอยฉากให้อีกฝ่ายแทน
“เลื่อนนัดเถอะพี่” อินทัชบอก “หรือไม่ก็ให้ผมไปด้วย”
กนธีเลิกคิ้ว “จะเปลี่ยนกันขับรถกับพี่หรือ”
เด็กหนุ่มเงียบไปครู่ เขายังขับรถไม่เป็นเลย จะเปลี่ยนมือได้ยังไง “นั่งไปเป็นเพื่อนไงครับ ขับนานๆ กลัวพี่จะหลับใน ให้ผมช่วยดูทางให้ก็ได้”
“เอ้ย..แต่พี่ขับไปเชียงใหม่คนเดียวก็เคยมาแล้ว อีกอย่าง..ถ้าเราไม่อยู่ ใครจะดูคุณยายล่ะ”
“ไปกี่วันครับ”
กนธีนับนิ้ว “ค้างคืนสองคืนก็พอ ไม่นานกว่านี้หรอก”
อินทัชยิ้ม “ทางนี้มีพยาบาลประจำ อ้นกับอุ้มก็อยู่ คนอื่นๆในบ้านก็มีเพียบ แค่สองคืนน่าจะดูแลยายแทนได้ แต่ทางพี่ไปตามลำพัง ขับรถด้วย ไปไกลด้วย ผมว่าผมไปเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า”
พสิษฐ์เหลือบมองคนทั้งคู่แล้วได้แต่ยิ้มขัน พี่กุนต์ก็ดูท่าจะดีใจ ดังนั้นเขาคงไม่ต้องไปแทนแล้ว ร่างสูงลุกขึ้นยืน บอกพี่ชายว่าเขามีธุระจะต้องไปต่อ คงไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นด้วย
“เอาไงก็ว่ามาแล้วกัน จะให้จองกี่ห้องก็บอก” เขาพูด แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ “มาถึงขั้นนี้แล้ว ห้องเดี่ยว เตียงเดียวก็พอมั้ง”
“เงียบไปเลย” กนธีเตะน้องที่หัวเราะชอบใจดังบึ้ก ใบหูกลายเป็นสีแดงจัด
อินทัชมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไปจากห้องรับแขก พอเหลืออยู่กันตามลำพัง เขาก็เหลือบมองพี่กุนต์
“เอ่อ..พี่ว่าจะพาอ้นกับอุ้มไปด้วย” กนธีพึมพำ
“ให้พวกมันอยู่เป็นเพื่อนยายดีกว่าครับ” เขายิ้มบาง “เราไปกันสองคนก็พอ”
คนฟังร้อนผ่าวทั่วหน้า
..หวังว่าเตียง..คงจะไม่แคบเกินไป..
....................................................................................
[ต่อด้านล่าง]