Chapter 26
พวกเขาถึงรีสอร์ทตอนบ่ายโมงกว่า วันนี้แดดร่มลมตก ท้องฟ้าขมุกขมัวเหมือนใกล้จะมีฝน อากาศเย็นสบาย ลมทะเลพัดโกรก หอบเอากลิ่นไอบริสุทธิ์จากเกลียวคลื่นพัดเข้าหาฝั่ง
เจ้าของที่ออกมาต้อนรับ หลังจากพูดคุยแนะนำตัวแล้ว ทางนั้นก็พาไปที่ห้องพักสำหรับคืนนี้
“ไผ่บอกว่าพี่กุนต์จะมากับน้องอีกคน ยังไงถ้าไม่สะดวกจะให้เปิดบ้านอีกหลังก็บอกได้นะครับ”
กนธียิ้มรับ เขาเดินตามหลังพลางมองสำรวจไปด้วย ส่วนต้อนรับแขกจะอยู่ด้านหน้าสุด ถัดไปเป็นบ้านหลังน้อยที่ตั้งเรียงรายเลียบชายฝั่ง พื้นที่สร้างรีสอร์ทยกสูงขึ้นจากระดับน้ำทะเลเกือบสองเมตร ด้านล่างเลยสร้างแนวเขื่อนกั้นไว้ไม่ให้หน้าดินถล่ม ถัดไปอีกหน่อยจะเป็นบันไดเดินลงไปยังชายหาดที่ทอดยาว แต่หาดตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นก้อนกรวดและเศษหินมากกว่าเป็นเม็ดทราย
บริเวณหน้าบ้านเป็นสนามหญ้าสีเขียวสด มีแผ่นศิลาแลงปูเอาไว้แทนทางเดิน เพื่อนของพสิษฐ์เลือกบ้านหลังตรงกลางไว้ให้ เพราะมุมนี้จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกกลางทะเลได้สวยที่สุด
“ยังไงก็พักผ่อนกันก่อนนะครับ เอาไว้เย็นๆเดี๋ยวผมจะให้เด็กมาเชิญ” เขาให้พนักงานของรีสอร์ทช่วยแบกสัมภาระมาไว้ที่ห้อง
กนธีบอกขอบคุณ เขาชอบบ้านหลังเล็กๆของที่นี่ มันใช้บริเวณไม่มากนัก อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นห้องๆหนึ่งที่มีดาดฟ้าก็ยังได้ ผนังด้านนอกเป็นเนื้อไม้ ติดสปอร์ตไลท์หน้าบ้านสองดวงสำหรับให้แสงสว่างตอนกลางคืน ด้านข้างของตัวบ้านมีบันไดทอดยาวขึ้นไปบนดาดฟ้าโล่ง ข้างบนมีโต๊ะเตี้ยและเบาะวางเอาไว้ หลังคาที่สร้างคลุมอีกชั้นเป็นเพียงตับจาก ให้ความรู้สึกเหมือนกระท่อมบนชายฝั่ง
เลื่อนประตูกระจกสีขาวที่มีม่านทึบเพื่อความเป็นส่วนตัวเข้าไป จะเห็นเตียงหนึ่งหลัง ความกว้างประมาณห้าฟุต พอนอนสองคนได้สบาย ข้างกันเป็นโต๊ะทำงาน มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้ใช้ มีตู้เย็นขนาดเล็ก ไม่มีทีวีกับโซฟา ในบ้านมีห้องน้ำในตัว ดูสะอาดสะอ้าน ไม่คับแคบชวนอึดอัดเกินไปนัก
รีสอร์ทแบบนี้ ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาเพื่อคู่รักมากกว่าการมาเที่ยวแบบครอบครัว เพราะดูขนาดบ้านแล้วไม่น่าจะอยู่กันได้เกินสามคน ถ้าหากว่าเขาคิดจะซื้อก็ต้องมีการปรับปรุงและขยายกลุ่มลูกค้าบ้าง เท่าที่เดินมาตั้งแต่หลังแรกจนหลังสุดท้าย เขาเห็นแขกมาเข้าพักไม่เกินสามหลังด้วยซ้ำ ทั้งที่ดีไซน์บ้านก็น่ารัก มีชายหาดส่วนตัว เงียบสงบไม่มีความวุ่นวาย
อินทัชวางเป้ของเขากับพี่กุนต์ไว้ชิดผนังด้านหนึ่ง คืนนี้งัวเงียตื่นมาจะได้ไม่เดินสะดุด
“เป็นไงโอ๊ต” กนธีหันมาถาม “พอนอนได้หรือเปล่า เขาบอกว่าเปิดบ้านอีกหลังให้ได้นะ”
“นอนได้พี่..ผมน่ะสบายมาก พี่นั่นแหละ สะดวกหรือเปล่า”
“หัวถึงหมอนก็ไม่รู้เรื่องแล้ว”
อินทัชพยักหน้ารับพลางเอาถุงขนมไปคล้องหัวเก้าอี้ไว้ ขืนวางบนทางเดิน มดจะได้หามไม่ต้องหลับกัน
กนธีขยี้หัวเด็กหนุ่ม นึกเอ็นดูที่มันสนใจของกินออกนอกหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนนะ พี่ขอไปคุยกับทางเจ้าของนิดหนึ่ง ได้เวลาแล้วจะมาเรียกไปกินข้าว อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม ไม่กลัวผีนะ”
ร่างสูงมองเหล่ “เห็นผมเป็นเด็กน้อยหรือไง”
“ก็เด็กสำหรับพี่อยู่ดี” เขาหัวเราะร่วน เลื่อนประตูแล้วใส่รองเท้าแตะ “ถ้าจะไปไหนก็พกมือถือกับกระเป๋าเงินไปด้วยนะ”
คนฟังยิ้มรับ พอคล้อยหลังพี่กุนต์ เขาก็รื้อเสื้อผ้าออกมาพาดกับราวไม้ มันจะได้ไม่ยับ จากนั้นก็หยิบนมกล่องกับน้ำผลไม้ออกมา ตามด้วย Breezer ของคนใจแตกอย่างพี่กุนต์ จะได้แช่เย็นไว้สำหรับคืนนี้
ของอย่างสุดท้ายที่เขาหยิบออกมาทีหลัง ก็คือดูเร็กซ์สองกล่องนั่นแหละ
“เฟเธอร์ไลท์ อัลติมา..บางกว่ารุ่นเดิม” อินทัชนั่งยองๆอ่านตัวอักษร ตอนหยิบเขาก็ไม่ได้ยืนเลือกเสียด้วย “หนึ่งกล่องบรรจุสามชิ้น” เอามาสองกล่องก็หกชิ้นสิวะ แล้วมันเก็บไว้ได้นานแค่ไหนเนี่ย
เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา สุดท้ายก็เอาเก็บไว้ในเป้ตัวเองทั้งสองกล่อง
มีเสียงไลน์เข้า อินทัชที่จัดของเสร็จแล้วเลยผละมาหยิบมือถือไปดู..เป็นปาลินที่ทักมาหา
ระยะนี้เขาก็มีคุยกันบ้าง แต่ไม่บ่อยเท่าเดิมเพราะพยายามหลีกเลี่ยง ยิ่งต่างฝ่ายต่างทำงานพิเศษของตนไปตามปกติแล้วไม่ได้เจอกันทุกคืนเหมือนสมัยที่ยังอยู่ Vin Santo ก็เลยแทบจะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เขาเองก็ไม่อยากให้ทุกลมหายใจเข้าออกต้องระลึกถึงปาลินอยู่ตลอดเวลา เพราะแบบนั้นมันจะไม่ยุติธรรมกับพี่กุนต์ เอาแค่ยังรับรู้ว่าในใจชอบใครอยู่ก็เพียงพอแล้ว อย่าให้ถึงกับต้องเอาคนหนึ่งมาสวมรอยทับคนหนึ่งเลย มันไม่ดีกับทั้งสองฝ่ายหรอก
เขาปลดล็อกมือถือแล้วเปิดไลน์ออกอ่าน สักพักก็ขมวดคิ้วกับข้อความบอกเล่าจากอีกฝ่าย
‘ลาออกจาก Vin Santo แล้ว ตอนนี้รับสอนพิเศษให้เด็กแถวบ้าน ถ้ามีเพื่อนคนไหนอยากได้ภาพวาดไปแต่งบ้าน ก็บอกได้นะ เรารับทำ 55+’
อินทัชสัมผัสได้ถึงความเครียดผ่านตัวอักษร เขาเลยตัดสินใจโทรหา เพียงอึดใจเดียว ปลายสายก็กดรับ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมลาออก”
‘ไม่อยากทำแล้ว ถึงเงินจะดีแต่ว่าระยะหลังแขกไม่ค่อยโอเค เพื่อนร่วมงานก็แย่ ไม่มีโอ๊ตอยู่..เราไม่สู้’
เขานิ่งเงียบไป “ขอโทษนะที่ทิ้งสนมา..”
‘ตลกน่า ไม่ใช่ความผิดโอ๊ตสักหน่อย โอ๊ตเองก็ไม่ได้อยากลาออกใช่ไหมล่ะ ความจำเป็นมันบังคับ ส่วนเราน่ะอยากออกแล้ว ฝืนไปก็ไม่ช่วยอะไร ไม่มีความสุข’
“แล้วจะไปทำอะไรที่ไหน หรือว่าพี่ศรไม่ให้ทำแล้ว”
‘ไม่นะ..เอาเป็นว่าพักนี้เขาแทบไม่ค่อยรู้อะไรเลยมากกว่า พอดีตอนนี้งานใหม่เขาดูยุ่งๆ บางทีก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ยอมรับว่าเงินเดือนดีมากเลย เจ้านายก็ใจดี ทำเอาพวกเราสบายขึ้นเยอะ แต่เราก็ไม่อยากรับฝ่ายเดียว เลยยังมองหางานอื่นเรื่อยๆน่ะ เพียงแต่ว่าไม่ต้องซีเรียสมากแบบแต่ก่อนแล้ว’
อินทัชพอจะโล่งใจขึ้นบ้างที่ได้ยินแบบนั้น “ตอนนี้เราสอนว่ายน้ำเด็กกับสอนพละคอร์สซัมเมอร์ที่โรงเรียนอนุบาลน่ะ เหลืองานร้องเพลงที่ร้านอาหาร จะเริ่มวันหยุดนี้”
‘โห..จริงดิ ร้านแถวไหน เขายังพอจะรับพนักงานใหม่หรือเปล่า’
“สนอยากมาสมัครหรือ” อินทัชถาม ใจหนึ่งก็ยินดี แต่อีกใจก็ไม่อยากจะใกล้ชิดกันมากนัก
‘ช่วงปิดเทอมมันว่างน่ะ ถ้าแค่ชั่วคราวก็อยากทำนะ ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ’
“เรื่องนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องถามพี่กุนต์เอา เขาเป็นหุ้นส่วนของร้าน” เขาตอบกลับ “ยังไงเราจะลองถามให้ แต่เงินเดือนมันไม่ได้ดีมากนะ ต้องรอจนกว่าพี่กุนต์จะเข้ามาดูแลบัญชีแบบเต็มตัว แล้วก็ต้องรอเขาปรับปรุงร้านดึงลูกค้าเพิ่มด้วย ตอนนั้นคงได้ทิปเยอะขึ้น” เท่าที่พี่กุนต์เล่าให้ฟัง เขาคิดว่าอนาคตร้านนี้คงสดใสกว่ามีเจ้าของแบบคุณไผทคนเดียวแน่
‘อือ..ไม่เป็นไร เราทำได้ทุกอย่าง ขอให้ได้เงินเถอะ ยังไงก็ขอบคุณโอ๊ตมากๆ’ ปลายสายพูดเสียงร่าเริง ‘โอ๊ตเองก็อย่าทำงานหนัก ดูแลสุขภาพแล้วรีบๆจีบพี่กุนต์ซะทีนะ คนดีแบบนั้นเดี๋ยวหลุดมือไปหรอก’
อินทัชยิ้มระอา ยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงเคาะประตูบานเลื่อน เขาเปิดม่านดู เห็นว่าเป็นพนักงานของรีสอร์ทมาเชิญให้ไปทานมื้อเที่ยงที่ค่อนมาจนถึงบ่ายแล้ว
“เราวางก่อนนะสน ได้เรื่องยังไงจะไลน์บอกอีกที”
‘ขอบคุณคร้าบ’
อินทัชรอให้อีกฝ่ายตัดสายไปก่อนแล้วถึงเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง เขาเดินตามพนักงานไปตรงส่วนกินข้าวที่สร้างเป็นกระท่อมไม้ริมน้ำ มองจากพื้นไม้ไผ่เห็นคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก ทั้งสี่ด้านไม่มีกำแพง เรียกว่าเปิดโล่งจนหมด ลมเลยพัดโกรกเย็นสบายตลอดเวลา
“มากินข้าวกันโอ๊ต” กนธีกวักมือเรียก เขาเลือกที่นั่งริมสุด มีเสาไม้รวกขวางไว้ไม่กี่ท่อน ต้องระวังไม่ให้พิงเต็มตัว ไม่อย่างนั้นได้กลิ้งลงทะเลไปแน่ “พี่จำได้ ตอนนั้นโอ๊ตบอกว่าชอบก้ามปูนึ่งใช่ไหม นี่สั่งมาโลครึ่ง กินให้หมดนะ”
อินทัชเลิกคิ้ว มองก้ามปูเนื้อแน่นขาวอวบเพิ่งนึ่งมาใหม่ๆส่งกลิ่นหอมฉุยในจานเปล มีกุ้งทะเลเผาอีกโลกว่า ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ กับกะพงทอดน้ำปลา ทั้งหมดเป็นของโปรดเขาทั้งนั้น ส่วนจานตรงหน้าพี่กุนต์คือผัดผักดอกชมจันทร์
“พี่จำได้หมดเลยหรือว่าผมชอบอะไร”
“แน่นอน พักนี้กินกิงโกะด้วยน่ะ” กนธีหัวเราะ
“ความใส่ใจไม่ได้เกี่ยวกับความจำหรอกครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม “ขอบคุณจริงๆนะพี่..ที่เอาใจใส่ผมขนาดนี้ ปกติมันต้องเป็นหน้าที่ผมไม่ใช่หรือครับ”
จมูกของอีกคนแดงเรื่อขึ้นมา โดนเด็กมันจับไต๋ได้ เสียมาดหมด
“เอาน่า..ผลัดๆกัน ต่างคนต่างดูแล” กนธีตักเนื้อปลาไปใส่จานอีกฝ่าย “กินๆๆ”
“พี่ก็กินด้วยนะ อย่าเอาแต่ตักให้ผม” เขาแกะกุ้งไปใส่จานพี่กุนต์บ้าง พอเหลือบเห็นเจ้าตัวยกโค้กมาดื่ม เขาก็พูดปรามเหมือนบอกเด็ก “อย่ากินบ่อยนะครับ กระดูกพรุนหมด”
“ขอวันเดียวนะ” กนธีฉีกยิ้ม
“กินอาหารทะเล คอเลสเตอรอลเพียบ กลับไปผมจะต้มชาดอกคำฝอยให้ หรือจะเอาน้ำกระเจี๊ยบดี”
“ไม่เอาเปรี้ยว ไม่เอาขม”
“งั้นก็ชาดอกคำฝอย” อินทัชตักปลาให้พี่กุนต์ “คนอะไรกินยากชะมัด”
กนธีหัวเราะ นั่งกินนั่งคุยกับอีกฝ่ายอยู่สองคนท่ามกลางลมทะเลตอนบ่ายคล้อย ชีวิตเรียบเรื่อยแบบนี้ เขามีความสุขจริงๆ
หลังมื้อบ่ายเกือบเย็น อินทัชไปเดินถ่ายรูปเล่นเรื่อยเปื่อย ส่วนพี่กุนต์นั่งดื่มกาแฟและคุยงานกับทางเจ้าของรีสอร์ท เขาไม่ได้เข้าไปฟังด้วย ได้แต่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น พอไม่รู้จะทำอะไรก็เดินลงไปตรงหาด อัดคลิปวีดีโอ เก็บภาพเคลื่อนไหวและเสียงคลื่นไว้แกล้งน้องๆ
ฆ่าเวลาด้วยการเดินกลับไปกลับมา กระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เขาเลยปีนขึ้นมานั่งตรงสันเขื่อนแล้วถือโอกาสถ่ายรูปเอาไว้หลายช็อต แสงสีส้มเรื่อฉาบแดงคล้ำค่อยๆแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ตัดกับท้องฟ้าสีม่วงเจือจางและปุยเมฆขาวหม่น กระทั่งขอบสีแดงหย่อนลงผืนน้ำ ความมืดก็เริ่มโรยตัว
ลมเย็นชื่นพัดอ่อน เสียงคลื่นสาดเข้าหาฝั่งดังแว่ว ทอดสายตาไปเบื้องหน้า เห็นแต่ความเวิ้งว้างและเส้นขอบฟ้าที่ดูไกลสุดลูกหูลูกตา มีเสียงนกร้องตอนบินกลับรัง รอบด้านของเขาไร้ผู้คน มันเงียบสงบ แต่ก็รู้สึกเหงาหงอยไปในคราวเดียว
..เขาไม่ชอบแบบนี้เลย..อยากให้มีใครสักคนอยู่ด้วยมากกว่า..
“พระอาทิตย์ตกดินที่นี่สวยดีเนอะ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง
อินทัชหันไปมอง เขาไม่รู้ว่าพี่กุนต์มายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่กี่นาทีที่แล้ว ที่แน่นอนกว่านั้น ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจากการปล่อยใจไปตามบรรยากาศกำลังถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกวูบไหวในอก
เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้นหญ้าก่อนจะเงยขึ้นจ้องอีกฝ่าย เขาหลุดยิ้มจาง
ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าตอนไหน พี่กุนต์มักมาปรากฏตัวในเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆเสมอ เป็นแบบนี้แล้ว มันจะไม่แย่เอาหรือ เหมือนกำลังถูกวางเงื่อนไขในชีวิต..ให้ขาดคนๆนี้ไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น
“คุยงานเสร็จแล้วหรือครับ” เขานั่งเพลิน จ้องทะเลจนลืมเวลาไปเลย ตอนนี้บ้านแต่ละหลังเริ่มเปิดสปอร์ตไลท์กันแล้ว
“อืม..หิวหรือเปล่า” กนธีถือไอศกรีมกะทิในลูกมะพร้าวมาด้วย “พี่เอามาเผื่อ กินสิ”
อินทัชตบลงบนขอบปูนข้างตัวเป็นเชิงบอกให้พี่กุนต์นั่งด้วยกัน กนธีเลยขยับไปนั่งบนสันเขื่อน ห้อยขาลงไปด้านล่างแล้วกินไอศกรีมต่อด้วยท่าทางน่าอร่อย
“ดูเหงาๆนะเรา เป็นโรคไม่ถูกกับทะเล?”
“เป็นโรคไม่ถูกกับการอยู่ตามลำพังมากกว่าครับ” อินทัชเขี่ยเนื้อมะพร้าวอ่อนขึ้นมากิน
“เป็นหนุ่มขี้เหงาซะด้วย” กนธีเขี่ยถั่วลิสงไปใส่ถ้วยอีกฝ่าย “ขอเนื้อมะพร้าวได้ไหม แลกกับถั่ว”
คนฟังขบขัน “ปกติแฮมสเตอร์ต้องชอบถั่วสิ ทำไมมาขอแลกถั่วกับมะพร้าวแทนล่ะ”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แฮมสเตอร์อะไรวะ”
อินทัชทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะบอกได้ยังไงว่าแอบเปรียบเทียบพี่กุนต์เป็นสัตว์ตัวจ้อยสารพัดอย่างมาหลายครั้งแล้ว
“ให้ชิ้นเดียวนะครับ ผมก็ชอบเหมือนกัน” เขาแหย่ ตักเนื้อมะพร้าวไปใส่ไอศกรีมคนด้านข้าง
“โห..ชอบมะพร้าวมากกว่าพี่อีกหรือ พี่อุตส่าห์ชอบโอ๊ตมากกว่าถั่วเลยนะ”
อินทัชสำลักโขล่ก พี่กุนต์หัวเราะชอบใจที่ได้แหย่เขา ชอบเขามากกว่าถั่วที่เจ้าตัวมักเขี่ยทิ้งลงถังขยะเนี่ยนะ รู้สึกมีค่าอย่างไรชอบกล
“ผมชอบพี่มากกว่ามะพร้าว แต่ว่าของกินเนี่ย ต้องตีกันตายไปข้าง”
“ไอ้ขี้งก” กนธีเหลือบมองเนื้อมะพร้าวอย่างอาลัยอาวรณ์
“อ่ะๆ ยอมแล้วครับ” อินทัชได้แต่ส่ายหัว “จ้องแบบนี้ใครจะกินลง”
เด็กหนุ่มลอบมองคนที่กินไอศกรีมต่อท่าทางมีความสุข เขาชอบมองพี่กุนต์ ชอบที่จะได้เห็นคนๆนี้ร่าเริง พี่กุนต์เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคนที่ทำให้เป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องพยายาม เป็นคนที่ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ เพราะรอยยิ้มอบอุ่นและความสุขสงบที่ฉายชัดออกมาทางแววตาอีกฝ่าย
“เหมือนยุงจะเริ่มมาแล้ว เราเข้าบ้านดีไหม ไปอาบน้ำทายากันยุงแล้วค่อยไปนั่งเล่นบนดาดฟ้าดีกว่า”
“โอเคครับ พี่เข้าไปอาบก่อนเลย เดี๋ยวผมต่อ”
กนธีเอื้อมมือรับลูกมะพร้าวที่เด็กกินหมดแล้วไปทิ้งขยะให้ จากนั้นก็เดินตรงเข้าบ้านที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเพียงไม่กี่ก้าว อินทัชตามมาติดๆ ถ้าเปิดประตูทิ้งไว้นาน เดี๋ยวยุงจะเข้าไปหามเอา
“เออ..จำได้ว่าเอาผ้าเช็ดตัวมาด้วย” เขารื้อกระเป๋าเป้ “หรือจะลืมวะ”
อินทัชขำ ส่งผ้าขนหนูของเขาให้แทน “ใช้ของผมได้ไหม..”
“ขอบคุณครับ” กนธีรับมาแล้วลุกขึ้นยืน เขาปลดกระดุมเสื้อหลวมๆก่อนจะเอาผ้าพันท่อนล่าง พอกำลังจะถอดกางเกงก็ชะงัก “เอ่อ..ถ้าพี่ใช้ก่อน จะรังเกียจหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มงุนงง “ที่ผมยื่นให้ ก็เพราะจะให้พี่ใช้ก่อนนี่แหละ”
“คือถ้าพี่เช็ดทั้งตัวเนี่ย..จะเป็นอะไรไหม เช็ดหัวถึงขาอะไรแบบนี้ ถ้าไม่สะดวก พี่สะบัดเอาก็ได้นะ”
ร่างสูงกลั้นขำ พี่กุนต์พูดเสียเห็นภาพชัดเจน “เลิกคิดเยอะแล้วไปอาบน้ำครับ”
“พี่เช็ดข้างล่างด้วยนะ อย่าเอามาเช็ดหน้าล่ะ”
อินทัชผลักกนธีเข้าห้องน้ำ พออีกฝ่ายปิดประตูลง เขาก็เอาหัวชนกับผนัง รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาหน่อยเมื่อคิดภาพอีกฝ่ายใช้ผ้าเช็ดตัวของเขาลากไปตามผิวเนื้อเปล่าเปลือย
..ยังมาคิดว่าจะรังเกียจอะไรอีก ในเมื่อ ‘จูบ’ ไปทั้งตัวแล้ว..
“โอ๊ต” เสียงเรียกดังมาจากในห้องน้ำ
อินทัชเกือบสะดุ้ง เพราะเขายังไม่ได้ออกไปไหนไกล “ครับพี่”
“พี่ลืมหยิบสบู่ น่าจะอยู่ในช่องเดียวกับแปรงสีฟัน วานหยิบมาพร้อมกันเลย”
เด็กหนุ่มเดินกลับไปค้นกระเป๋า เป้ของพี่กุนต์มีสารพัดช่องไปหมด หาไปหามา เขาก็เจอเข้ากับกล่องอะไรบางอย่างที่คุ้นตาเหลือเกิน “เฮ้ย..” เขารีบพลิกดู ไม่แน่ใจว่าพี่กุนต์เห็นถุงยางในเป้เขาแล้วเอามาเก็บไว้เองหรือยังไง
..แต่เฟเธอร์ไลท์ ผิวเรียบ..มันคนละอย่างกับของเขานี่..
อินทัชรีบรื้อกระเป๋าของตัวเองดูอีกครั้ง มันต่างกันตรงที่ของพี่กุนต์เป็นแบบบาง..แต่ที่เขาซื้อคือบางยิ่งกว่าบางเสียอีก แล้วแบบนี้จะใช้ของใครล่ะ
“โอ๊ต..หาเจอหรือเปล่า”
เขารีบยัดกล่องถุงยางอนามัยใส่เป้ตามเดิม แต่พอเห็นว่าใส่สลับกันเลยต้องเปลี่ยนมาคืนที่เก่า ของเขาบางพิเศษ แต่ของพี่กุนต์บางปกติ..น่าปวดหัวชะมัด
ร่างสูงเคาะประตูห้องน้ำ รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปหมดเมื่อระลึกได้ว่าพี่กุนต์มีถุงยางติดไว้เพื่ออะไร
กนธีโผล่หน้าออกมาจากด้านใน เขาเลิกคิ้ว มองคนที่ไม่กล้าสบตา “เป็นอะไร ไม่สบายหรือ เป็นไข้หรือเมารถเมาเรือ”
“เมาความบาง”
“ห๊ะ?” เขายิ่งงงกว่าเก่า “เดี๋ยวพี่อาบเสร็จแล้วไปขอยาให้ไหม”
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวก็หาย” อินทัชส่งสบู่ แปรงสีฟันกับยาสีฟันให้คุณลุงขี้ลืม
กนธีผลุบหัวกลับเข้าไป สักพักก็อาบเสร็จ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขายาวเรียบร้อย เขาเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ พอมาถึงเตียงก็เห็นว่าเจ้าโอ๊ตนอนแผ่อยู่
“ไม่สบายหรือเปล่า” เขาเอามือเย็นๆแตะบนใบหน้า รู้สึกว่ามันร้อนนิดหน่อย “หรือว่าติดไข้พี่”
อินทัชปรือตามอง เขาเผลองีบหลับไปสิบนาที พอเห็นว่าพี่กุนต์อาบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง “ตัวผมมันร้อนเป็นปกติอยู่แล้วครับ ไม่ได้เป็นไข้หรอก”
“ถ้างั้นก็หายห่วง เอ้า! ผ้ามันเปียกไปหมด ขอโทษทีนะ” กนธีสะบัดสองสามครั้งแล้วส่งคืน “พี่เช็ดแต่ข้างบน ข้างล่างเดี๋ยวพี่เป่าพัดลมเอา”
คนฟังขบขัน รับผ้าเช็ดตัวคืนมาแล้วเอาพาดบ่า ตอนกำลังหยิบชุดนอน พี่กุนต์ไปยืนให้พัดลมเป่าจริงๆ เขาเห็นแล้วอายแทน ทั้งยังรู้สึกวาบหวามแปลกๆด้วยเมื่อพาลคิดจินตนาการไปว่า พี่กุนต์คงจะอาบน้ำจนสะอาดหมดจด..เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเขาแน่ๆ
..รู้สึกตื่นเต้นยังไงชอบกล..
“อาบน้ำแล้ว มันก็ต้องนี่..” กนธีรื้อตู้เย็นกุกกัก “Breezer! Come to daddy!”
อินทัชนึกขำ พี่กุนต์หอบขวดแก้วกับถุงขนมกรุบกรอบเต็มมือ เจ้าตัวบอกว่าจะไปขอน้ำแข็งกับแก้วจากทางรีสอร์ท เดี๋ยวค่อยเจอกันบนดาดฟ้า
ตอนเขาอาบน้ำเสร็จแล้วตามขึ้นไปด้านบน พี่กุนต์กำลังปลุกปล้ำอยู่กับการผสมเครื่องดื่ม เทนั่นนิดนี่หน่อยมาชิมแล้วทำหน้าปุเลี่ยน เขาเลยได้แต่หัวเราะ เข้าไปนั่งข้างกันและลองผสมให้
“อร่อย!” กนธีนึกชอบใจ เขาเปิดห่อขนมออกมากินก่อนเพื่อน “คาลบี้นี่รสจัดกว่าฮานามิอีก”
อินทัชเพียงแต่ยิ้มรับ เขาล้วงข้าวเกรียบในถุงมากินบ้าง มันรสจัดจริงอย่างที่ว่า
คนอายุมากกว่านั่งชันเข่า เอนหลังพิงไปกับหมอนสามเหลี่ยมพลางเงี่ยหูฟังเสียงคลื่น กลางคืนแบบนี้สงบเงียบ ได้ยินแต่เสียงลมพัด เสียงน้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะ แล้วม้วนตัวกลับลงสู่ผืนน้ำสีทึบ
“คืนเดือนหงายสินะ พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงเลย” กนธีแหงนหน้ามองด้านบน ท้องฟ้าเป็นสีเข้มจัด เห็นกลุ่มดาวตัดกับพื้นสีดำที่แผ่กว้างออกไปสุดตาชัดเจน จันทร์สีเหลืองนวลปนส้มส่องแสงสว่างให้ความรู้สึกอุ่นอวลในใจ
“ท้องฟ้าที่น่านก็สวยเหมือนกัน” อินทัชเล่าให้ฟัง “บ้านผมอยู่ติดกับทุ่งนา ถ้าหากว่าพี่ไปยืนกลางที่โล่งแล้วเงยหน้ามอง จะเห็นดาวเต็มไปหมด ตอนดึกๆลมเย็นมาก อยากให้พี่ได้เห็นสักครั้ง”
“ถ้ามีโอกาสจะขอไปเที่ยวนะ” กนธียิ้ม สังเกตสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วรู้สึกได้ว่าเจ้าโอ๊ตน่าจะมีอะไรบางอย่าง “เป็นไข้หรือเปล่า แน่ใจนะว่าสบายดี”
อินทัชพยักหน้ารับ “ปกติครับ ไม่ต้องห่วง”
“อืม..สีหน้าไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรเลยนะเรา” เขากระดกค็อกเทลขึ้นดื่ม “หรือว่ามีอะไรในใจ”
เด็กหนุ่มเงียบไป เขาโคลงแก้วในมือไปมา
“เฮ้..เราคุยกันได้นะ” กนธีเอาแก้วไปชนกับอีกฝ่าย “ดื่มเข้าไปอึกหนึ่งแล้วหายใจลึกๆ ถอนหายใจยาวๆ เสร็จแล้วบอกมาเลยว่าเป็นอะไร..พี่รับฟังได้ทุกเรื่องนะ”
“คือว่า..” อินทัชเกาท้ายทอย “เพื่อนผม..ปาลินน่ะครับ พี่จำได้ไหม” เขาหยุดเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย พี่กุนต์พยักหน้ารับ “เขาลาออกจากงานแล้ว ตอนนี้กำลังมองหางานใหม่ แล้วเขาอยากมาสมัครที่ร้านอาหารของพี่กับคุณไผท”
“โธ่..เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพี่กลับไปแล้วให้เขามาทำงานได้เลย” กนธีตอบรับในทันทีแบบไม่ต้องคิดซ้ำสอง “แต่เขาโอเคใช่ไหมเรื่องเงินเดือน คือมันต้องรอจังหวะดีกว่านี้ แล้วพี่รับรองว่าจะขึ้นเงินให้พนักงานทุกคน ขอให้ร้านอยู่ตัวก่อนนะ”
“เรื่องเงินไม่น่าเป็นปัญหาครับ” อินทัชพึมพำ อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เป็นเขาเองต่างหากที่อยากลดความใกล้ชิดระหว่างเขากับปาลินลง
อยู่ห่างกันเข้าไว้..มันน่าจะดีกว่า เขาไม่อยากให้ความรู้สึกที่มีต่อปาลินมันเข้มข้นขึ้นในระหว่างที่ยังเป็นเด็กของพี่กุนต์อยู่ เพราะแบบนั้นมันไม่ค่อยยุติธรรมต่อพี่กุนต์เท่าไร
“อือ..ถ้าอย่างนั้นก็ลงตัวนะ เริ่มงานได้เลย อยากมาทำวันไหนก็เอา เดี๋ยวปลายอาทิตย์นี้คุณไทก็กลับปากช่องแล้ว ให้น้องเขามาหาพี่โดยตรงก็แล้วกัน” กนธีดื่มเข้าไปอีกครึ่งแก้ว “ว่าแต่ปาลินนี่ชื่อเล่นอะไร พี่ยังไม่เคยถามเลย”
“ชื่อสนครับ..ย่อจากลูกสน”
“น่ารักดีวุ้ย” เขาอมยิ้ม “ดีแล้วแหละที่ออกจากงานที่นั่น เด็กๆแบบพวกเราน่ะ แต่ละคืนต้องเจอแขกไม่ซ้ำหน้า ที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอนิสัยแย่ มันก็พูดยากใช่ไหม แบบนี้พี่ว่าสบายใจกว่า ไม่ต้องกลับบ้านมืดค่ำดึกดื่นด้วย มันอันตราย น่าเป็นห่วงรู้ไหม”
อินทัชมองพี่กุนต์แล้วยิ้มบาง คนๆนี้ช่างห่วงได้หมด ต่อให้ไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายอย่างสนิทสนมก็ตาม
..ทำไมถึงเป็นคนดีแบบนี้นะ..ยิ่งพี่ดีต่อผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกละอายมากขึ้นเท่านั้น..
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือ ทั้งผม..แล้วก็เพื่อน” เขาพูดเสียงเบา “ผมจะเป็นเด็กดีของพี่..จะไม่ทำให้พี่รู้สึกแย่ที่เลือกผม”
กนธีอดประหลาดใจไม่ได้ที่วันนี้เจ้าโอ๊ตดูเป็นการเป็นงานเหลือเกิน
“มีเรื่องอื่นอยากพูดอีกไหม ไม่ต้องคิดมากนะ อะไรที่พี่ช่วยได้ก็จะช่วย”
อินทัชส่ายหัว “ไม่มีแล้วครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ที่เขาคิดมาก ก็เพราะรู้เรื่องที่เด็กของพี่กุนต์แต่ละคนทำเอาไว้ เขาอดนึกไม่ได้ว่า การที่ขอให้พี่กุนต์รับปาลินเข้าทำงาน มันจะเข้าข่ายการหาประโยชน์เพื่อพวกพ้องหรือเปล่า ยิ่งตัวเขาเองก็รู้สึกกับปาลินเกินกว่าเพื่อนด้วย แต่คิดดูอีกครั้ง มันก็ไม่ใช่การหลอกลวงขอเงินทอง แต่เป็นการของานทำต่างหาก
“อืม..ถ้าอย่างนั้นก็เลิกเอาคิ้วชนกันได้แล้ว ทำหน้าเหมือนตอนคิดไม่ตกว่าจะไปทำงานใหม่ที่ไหนเลย”
กนธีเอื้อมมือไปนวดคลึงหว่างคิ้วของเด็กให้อย่างนุ่มนวล เขายิ้มเล็กน้อย รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่เด็กมาขอความช่วยเหลือ
“ผมทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลยหรือพี่” อินทัชเพิ่งรู้ตัว เขาก้มหน้าลงให้พี่กุนต์นวดคิ้วให้
“เออน่ะสิ” ชายหนุ่มขบขัน เขาละมือไปลูบหัวอีกฝ่าย “จำไว้นะโอ๊ต..ทีหลังมีอะไรก็คุยกันเลย ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องเกรงใจ เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน..เข้าใจไหม”
คนฟังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ ความรู้สึกอุ่นซ่านแผ่ขยายในอกกับคำว่า ‘ครอบครัว’
“ไหนๆก็คุยกันมาถึงเรื่องนี้แล้ว เรามาเปิดใจกันดีกว่า” กนธียกแก้วขึ้นดื่มพร้อมกับเคี้ยวน้ำแข็งกรุบๆ “ตั้งแต่มาอยู่กับพี่ โอ๊ตเป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมามีอะไรติดขัดอึดอัดใจไหม พี่ใช้งานหนักไป พี่เรียกร้องมากเกิน พี่ดูแลยาก หรือทำตัวอะไรไม่ดีให้เรารู้สึกแย่หรือเปล่า..คุยกันได้นะ”
อินทัชมองกนธีเหมือนคนบ้า ทุกคำถามที่พรั่งพรู มันบ่งบอกว่าพี่กุนต์ใส่ใจและแคร์ความรู้สึกของเขาอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มรู้สึกว่ากระบอกตาของเขากำลังร้อนผ่าว แค่รับเลี้ยง รับดูแล ให้ที่อยู่ที่กิน ให้ความเอื้อเอ็นดูทั้งเขาและน้องชาย ตลอดจนญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของเขา เข้ามารับผิดชอบความเป็นอยู่ ทั้งเงินเดือน ทั้งค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล นั่นก็มากจนเกินกว่ามากแล้ว คนๆนี้ยังจะมาเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึก ยังยกให้เขาเป็นหนึ่งในครอบครัวอีก
ทำไมไม่ตักตวงหรือเรียกร้องจากเขาให้มากกว่าที่เป็น ทำไมไม่ลดทอนความสำคัญของเขาลงไปสักหน่อย
..ดีกับผมให้น้อยลงกว่านี้ได้ไหม..
..ถ้าชีวิตผมเคยชินกับการมีพี่อยู่..ผมจะทำยังไงต่อไปล่ะ..
“อ้าว..ถามแค่นี้ ร้องไห้เลย” กนธีตกใจ น้องมันไม่ได้สะอื้นตัวโยนหรือน้ำตาร่วงไม่หยุดหรอก เขาเห็นเพียงหยดน้ำที่คลอขึ้นแล้วเลือนหายไปก่อนจะไหลลงมาต่างหาก “มานี่ซิเรา..”
อินทัชถูกดึงให้เอนตัวลงซบกับไหล่ลาด เขาหลับตานิ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก รับรู้กลิ่นกายนุ่มนวลที่เป็นลักษณะเฉพาะของพี่กุนต์ ทุกครั้งที่ความคิดหรือความรู้สึกมันวุ่นวาย สับสน เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ได้ฟังเสียงอ่อนโยน ได้รับสัมผัสแผ่วเบาและการปลอบประโลมที่หวังดีต่อกัน มันก็ทำให้ใจเขาสงบลงอย่างน่าประหลาด
“ถ้าพี่ทำอะไรไม่ดีลงไป โอ๊ตก็บอกพี่นะ..ไม่ต้องเก็บเงียบ ไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่ง ตำหนิได้ ดุได้ ว่าได้ถ้าพี่ทำผิด โอเคไหม”
เขาพยักหน้ารับ “พี่กุนต์ดีกับผมทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ดีหรอกครับ” เสียงพร่าต่ำพึมพำ “ถึงจะดื้อไปบ้างบางครั้ง แต่ผมกลับคิดว่า..แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ”
กนธีหัวเราะเบาๆ ยีหัวเด็กมันด้วยความเอ็นดู
“ผมสัญญานะพี่..สัญญาจากใจ” อินทัชกระซิบ “ผมจะไม่มีวันหักหลังพี่ จะไม่ทำให้พี่ต้องเสียใจเหมือนกับครั้งก่อนๆที่พี่เคยโดนมา ผมไม่มีวันทำกับพี่แบบนั้น..ไว้ใจ วางใจในตัวผมนะครับ”
เขายิ้มบาง “อืม..พี่ไว้ใจโอ๊ต”
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]