Chapter 27
เสียงคลื่นซัดเข้าหาชายฝั่งดังครืน อากาศตอนเช้ามืดกำลังเย็นสบาย ความชื้นจากทะเลเกาะกระจกบนผนังข้างเตียงเป็นฝ้าขาว
สองร่างที่ร่วมใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันนอนก่ายเกย ช่วงเท้าที่โผล่พ้นชายผ้านวมถูกไอหนาวจากแอร์จับจนเย็นเฉียบ ต้องขยับเข้ามาซุกหาความอุ่นก่อนจะจบลงด้วยการสอดปลายเท้าเข้าใต้ท่อนขาแข็งแรง
กนธีบิดตัวอย่างเกียจคร้านแล้วเอาหัวมุดลงในอ้อมแขนของใครบางคน อุณหภูมิของอีกฝ่ายร้อนผ่าว เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้ซุกอยู่ในโต๊ะโคทัตสึ โดยมีร่างใหญ่โตของอินทัชเป็นเครื่องทำความร้อนชั้นเยี่ยม
เปลือกตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ค่อยๆปรือมอง อาศัยแสงจากสปอร์ตไลท์ที่เปิดทิ้งไว้นอกบ้านสำรวจรอบตัว
กนธีนอนอยู่ด้านในสุด ถูกเบียดจนตัวแทบชิดกับกำแพง ด้านข้างเป็นร่างของเด็กหนุ่มอีกคนที่นอนหายใจสม่ำเสมอ มีผ้าห่มผืนหนาทับอยู่บนแผ่นอก อินทัชดูหลับสบายคล้ายจะชอบอากาศเย็น ทั้งที่เขาหนาวจนปวดกระดูก
เขานอนหนุนแขนเจ้านี่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าในความฝัน เขาจะได้กอดรัดปลอกเนื้ออุ่นร้อนจนสมใจ ภายใต้ความแข็งแกร่งของเนื้อหนัง ยังมีความอบอุ่นและอ่อนโยน ดึงดูดให้เขานอนซุกจนผล็อยหลับไปอย่างมีความสุขตลอดคืน
ร่างที่เล็กกว่าขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกเย็นแถวนิ้วเท้า เขาเบียดตัวเองเข้าหาอินทัชมากขึ้นพร้อมกับรับรู้ได้ว่าคนร่วมเตียงไม่ได้สวมอะไรเลย..เขาเองก็เช่นเดียวกัน
ผิวเนื้อแต่ละฝ่ายแนบชิด ให้ความรู้สึกดีมากกว่าสัมผัสกันผ่านเสื้อผ้า ความอุ่นซ่านแผ่ขยายขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเด็กคนไหนเมื่อนึกทวนว่าพวกเขาเพิ่งจะมีความสัมพันธ์กันครั้งแรกเมื่อคืนนี่เอง
อันที่จริง..รสชาติของเซ็กซ์หนแรกมันไม่ได้ดีนักหรอก เพราะว่าอินทัชยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์ ยังควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความใส่ใจที่จะสร้างความสุขให้แก่กัน
อินทัชยังไม่รู้จักการเล้าโลมในแบบอื่น ยังทำแค่ในส่วนที่พอจะคุ้นชินและไม่เคอะเขิน และยังตั้งหน้าตั้งตาวางเป้าหมายในอุดมคติว่าอยากจะทำให้เขา ‘เสร็จสมอย่างรุนแรง’ ได้ทุกครั้งที่ร่วมรัก พอล้มเหลวขึ้นมาเลยอดผิดหวังกับตัวเองไม่ได้ ซึ่งตรงจุดนี้ เขาก็นึกสงสารและมันเขี้ยวไปในตัว
คนเราน่ะ..บางครั้งแค่นอนกอดกัน จูบกัน สัมผัสกันและกัน มันก็เพียงพอแล้ว นั่นแหละคือเรื่องบนเตียงที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาสำลักความสุขจากการร่วมสัมพันธ์แบบสอดใส่ทุกคราวไปหรอก
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่หมอนี่มักจะตั้งใจทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า เขาเลยอดเอ็นดูมันไม่ได้จริงๆ
กนธีนอนลืมตามองคนที่หลับสนิท เขายิ้มมุมปาก จ้องอีกฝ่ายอย่างพิจารณา สักพักหนึ่ง อินทัชก็พลิกตัวตะแคง หันหน้ามาทางเขาแล้วหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเด็กน้อยต่อไป
เขาถือโอกาสสัมผัสใบหน้าเรียบเนียนของอีกฝ่ายแผ่วเบา จับต้องผิวเนื้อนุ่มมือด้วยความเอ็นดู
..เด็กผู้ชายอะไร..ขนตายาวชะมัด..
เขาใช้นิ้วเขี่ยเล่น คิดแผลงๆว่าเอากรรไกรตัดทิ้งเลย โอ๊ตมันจะโวยวายหรือเปล่า ก็ตาหวานแบบนี้ ทั้งสวยและคมเข้ม คนถึงได้เข้าหา ถ้าตัดขนตาทิ้ง อาจจะลดความหน้าตาดีลงไปประมาณ 0.0001%
ชายหนุ่มถอนหายใจ
..เขาหลงเด็ก..หลงกระทั่งขนตา..
กนธียันตัวขึ้นมอง ลูบหัวคนตรงหน้าเบามือ เช้ามืดแบบนี้ เขาอ่อนไหวเป็นพิเศษเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนนอนอยู่ข้างกัน
เขาก้มลงใกล้ แตะปากบนหน้าผาก เรื่อยลงที่ปลายจมูกโด่งเป็นสัน ไล่มาถึงแก้มสองข้าง และกดน้ำหนักที่ปากอุ่น อ้อยอิ่งตรงนั้นนานกว่าปกติจนต้องปรามตัวเอง
..พอแล้ว..เดี๋ยวน้องจะช้ำหมด..
กนธีผละออก แต่แล้วช่วงคอกลับถูกจับยึด
ไม่ทันได้พูดอะไร ฝ่ามือใหญ่ก็ออกแรงดึงเขาให้ก้มต่ำ ริมฝีปากร้อนผ่าวฉกจูบทั้งที่คนทำยังหลับตาเฉย
เขาฝืนแรงไม่ได้เลยต้องทิ้งน้ำหนักลงทาบบนช่วงตัวสูงใหญ่ อินทัชแข็งแรง ดูหนักแน่นเหมือนแผ่นหิน คงพอจะรับเขาไหวสักห้านาที
..จูบห้านาที..ยังไม่เคยทำกับเด็กคนไหนเลย..
พวกเขานอนกอดกัน ตัวก่ายเกยแทบเป็นเนื้อเดียว ปากบดเบียด สอดแทรกด้วยปลายลิ้นอุ่นชื้น ด้านนอกยังมืดสลัว มีเพียงเสียงคลื่นซัดครืน กับเสียงจูบที่ดังแว่วไปกับความเงียบสงบยามเช้า
ปากต่อปากดูดคลึง ลิ้นต่อลิ้นโลมเลีย ฟันขบกัด จูบกันและกัน เชื่องช้า..ไม่เร่งเร้า
“อรุณสวัสดิ์” อินทัชเพิ่งจะปรือตามอง เขายิ้มให้คนด้านบน
กนธียิ้มรับ จมูกขึ้นสีแดงตอนมองเรียวปากชุ่มฉ่ำ “อรุณสวัสดิ์”
“ลักจูบคนหลับ ไม่ดีเลยนะพี่”
เขาหัวเราะ เขาลักจูบแค่นาทีเดียว แต่คนหลับเอาคืนเสียห้านาทีกว่า
..ปากใครช้ำกว่ากัน ดูเอาเอง..
กนธีพยุงตัวขึ้น นอนชันคอแบบนี้ มีหวังปวดกระดูกแน่ แต่ดูเหมือนอ้อมแขนคู่นั้นจะรัดเอวไว้ไม่ปล่อย เขาอ้าปากจะบอก หากปฏิกิริยาบางอย่างข้างใต้ก็ทำเอาชะงักค้าง
เขาก้มลงมองแถวหน้าขาที่ทาบทับกันอยู่ พอมองอินทัช เด็กมันก็ยิ้มเขิน
“ผู้ชายสุขภาพดี คึกคักตอนตื่นนอนน่ะครับ”
“อ๋อ..เข้าใจ” เขายิ้ม “เข้าห้องน้ำไหม”
อินทัชส่ายหัว
“ทนไว้จะไม่แย่เอาหรือ” กนธีเป็นห่วง ก็วัยรุ่นนี่นะ ไม่ต้องไปเก็บไว้หรอก
เด็กหนุ่มจ้องมองคนบนตัว “ผมไม่ทน แต่ผมไม่อยากเข้าห้องน้ำ” พูดคล้ายเด็กงอแง ก่อนจบประโยคด้วยเสียงอ้อน “ยังมีถุงยางเหลือนะครับ”
กนธีสำลักขึ้นมาดื้อๆ เด็กมันไม่พูดเปล่า ยังจะเอามือมานวดคลึงช่วงเอวและเลยไปยังสะโพกของเขาด้วย
“ยังไม่ได้อาบน้ำ”
“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อคืนผมเช็ดตัวให้พี่แล้ว สะอาดเอี่ยม”
..ถึงว่า..ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะเลย..
กนธียิ้มตอบ รู้สึกขอบคุณที่ถูกดูแลดีขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะตอบแทนความดีของเจ้าโอ๊ตด้วยการอุทิศตัวให้เด็กมันได้เต็มอิ่มตั้งแต่ช่วงเช้า เขาคงไม่ต้องไปเดินเล่นที่ไหนกันพอดี
“เมื่อคืนทำไปแล้วสองรอบ ยังจะต่อได้อีก?”
“ก็..น่าจะทำได้ทุกวัน” อินทัชพึมพำ “ผมเล่นบาสได้ทุกวันนะ เพราะงั้นก็น่าจะมีเซ็กซ์ได้ทุกวันเหมือนกัน”
“ใจเย็นไอ้เสือ” เขาหัวเราะ พยายามจะพลิกตัวลงจากร่างของอีกฝ่าย แต่อินทัชยังจับไว้ไม่ปล่อย “น่า..ไม่ไหวจริงๆ ยังไงขอผลัดไปก่อนเถอะ”
“งั้นกินข้าวเช้าแล้วค่อยว่ากัน”
“นั่นก็เร็วไป” กนธีส่ายหัวระอา ถึงอย่างนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
แน่นอนล่ะว่าเขารู้สึกดีที่เด็กมันมีปฏิกิริยาด้วย ไม่มีใครยิ้มออกหรอกถ้าเห็นคู่ของตนมองร่างกายแล้วบอกมาว่าหมดอารมณ์ ร้อยทั้งร้อยเวลาเร้าความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามได้ ใครๆก็ต้องภูมิใจกันทั้งนั้น
..ถึงจะเกินโควต้า แต่เขาคิดว่าเขายอมได้อยู่นะ..
“ไม่ทำก็ได้” อินทัชบอกเสียงเบา ดูท่าทางผิดหวังแต่ก็ยอมอดกลั้นเอาไว้ “แต่อย่าเพิ่งลุกได้ไหม ผมขี้เกียจตื่นเช้า นอนเป็นเพื่อนหน่อยสิครับ”
กนธีรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่จะปฏิเสธมันหดหายไปหมด เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะลุกไปอาบน้ำแล้วออกไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
..ช่างมันเถอะ พระอาทิตย์จะขึ้นหรือตกที่ไหน เมื่อไรก็เหมือนเดิม..
..แต่การใช้เวลาร่วมกันหลังจากมีอะไรกันครั้งแรก..มันมีแค่วันนี้วันเดียว..
เขายอมล้มตัวลงนอนในอ้อมกอดอบอุ่นอีกครั้ง รอยยิ้มดีใจทำเอาเขาตาพร่า อินทัชหันมาหา กอดเอวไว้หลวมๆ
“ขอตื่นสักสิบโมงแล้วกันนะครับ” บอกอย่างเกียจคร้าน “เรายังไม่กลับกันวันนี้ใช่ไหม” ที่จริงพรุ่งนี้เป็นวันสอนเด็กๆกระโดดข้ามรั้ว แต่มีอาจารย์อีกท่านมาขอแลกคาบ เขาเลยได้ไปสอนติดกันวันพฤหัสกับศุกร์หน้าแทน
“พรุ่งนี้เช้ามืดค่อยกลับก็ได้ ตอนเย็นเราต้องเข้าร้านแล้วนี่” กนธีลูบแก้มอีกฝ่าย “หลับเถอะ พี่ก็จะนอนต่อเหมือนกัน” เขาพลิกตัวนอนหันหลังให้ ไม่ใช่ว่ากำแพงด้านหลังมันดึงดูดมากกว่าเด็กหรอก แต่เขาถนัดนอนตะแคงซ้ายมากกว่า “ไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“แบบนี้ถนัดกว่าอีก” อินทัชขยับเข้ามานอนกอด แผงอกตึงแน่นสัมผัสกับแผ่นหลังเปลือยเปล่า ถ่ายเทความร้อนไปสู่อีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่าจะแพ้อากาศเย็นเหลือเกิน “ให้เบาแอร์ไหมพี่”
“ไม่ต้องหรอก” เขาพูดเสียงค่อย “กอดให้แน่นหน่อย..ก็หายหนาวแล้ว”
แน่นอนว่าเขาได้ตามนั้นทันที
.
.
.
ตลอดทั้งวัน กนธีไม่ค่อยจะมีสมาธินัก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับอินทัชตลอดเวลา แต่เขาก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยมองอยู่เรื่อยไม่ว่าเขาจะก้าวไปทางไหน
อินทัชไม่ได่มาวุ่นวายหรือรบกวนอะไรมากไปกว่าที่เป็น ก็แค่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ในลานสายตา เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ให้เขาเห็นอยู่บ่อยครั้งแค่นั้น
วันนี้เขายังคุยเรื่องงานและเดินสำรวจรอบรีสอร์ทเพื่อดูบริเวณที่อยู่ในโฉนดที่ดินแต่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ พูดเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะ รีสอร์ทคู่แข่ง เรื่องรายรับรายจ่ายที่ผ่านมาเพื่อดูว่าคุ้มที่จะลงทุนหรือไม่
ปัญหาอยู่ที่ทางเจ้าของไม่ได้ทำแพ็คเกจทัวร์หรือจัดโปรโมชั่นที่น่าดึงดูดมากพอจะสู้กับรีสอร์ทรายอื่นได้ แทบไม่มีการโปรโมตอะไรมากมาย มิหนำซ้ำยังเจาะลูกค้าได้เฉพาะกลุ่ม สถานที่อยู่ในจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ลูกค้าขาจรจึงแทบจะไม่ค่อยมี จะรับคนเต็มก็เฉพาะไฮซีซั่นเท่านั้น รายรับช่วงวันธรรมดาหรือไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยมากนัก พอขาดทุนก็ยากที่จะดำเนินต่อ สุดท้ายจึงตัดสินใจขายทิ้ง
พอพิจารณาดูแล้วว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่เป็นการตลาดและมุมมองการทำธุรกิจ กนธีเลยตัดสินใจจะซื้อกิจการจากอีกฝ่าย อย่างน้อยๆถ้าไม่ได้ทำรีสอร์ท เขาก็ต้องการที่ดินมาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยคิดหาทางทำกำไรต่อไป
“ถ้าตกลงตามนี้ เอาไว้เราค่อยนัดวันมาจัดการเรื่องโอนอีกที” เขาถอดแว่นสายตาออก เสนอตัวเลขในจำนวนที่พอเหมาะพอควร เขาไม่ใช่พวกพ่อค้าหน้าเลือดที่เห็นคนต้องการเงินแล้วจะฉวยโอกาสกดราคาลง
ทางเจ้าของรีสอร์ทยิ้มออกมาเพราะผลการพูดคุยเป็นไปได้ด้วยดี “น่าเสียดายที่พรุ่งนี้คุณกุนต์จะกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นผมจะพาไปดำน้ำที่เกาะรัง”
“เอาไว้คราวหน้าผมจะมาใหม่ จะได้พาน้องเล็กมาด้วย พวกแกชอบทะเลมากเลย ถ้าได้ไปดำน้ำคงตื่นเต้นจนเป็นไข้แน่” กนธีนึกถึงอ้นกับอุ้มแล้วหลุดยิ้มออกมา
อีกฝ่ายยิ้มรับพลางเชิญไปที่โต๊ะกินข้าวเพราะนี่ก็บ่ายกว่าแล้ว
“เดี๋ยวผมขอไปตามน้องหน่อย คุณล่วงหน้าไปก่อนได้เลย”
เขาปลีกตัวออกมา จำได้ว่าเหมือนจะเห็นเจ้าโอ๊ตอยู่แถวชายหาด พอเห็นแผ่นหลังกว้างนั่งอยู่บนสันเขื่อนเขาก็เดินเข้าไปหา ไม่ได้ส่งเสียงทักเพราะอยากรู้ว่าเจ้าตัวกำลังก้มดูอะไรในมือถือ
“แชทกับสาวอยู่หรือ” กนธีแกล้งแซว
อินทัชเกือบทำโทรศัพท์หลุดจากมือ เขารีบกดปิดหน้าจอจนมืดสนิท “คุยงานเสร็จแล้วหรือพี่”
“ทำอะไรมีพิรุธ” เขาหรี่ตามอง ไม่ได้จะจับผิดหรอก แค่อยากแหย่เด็กเล่น
“ผมเปล่า”
“น่าสงสัย” เขาทำท่าขึงขัง “มีกิ๊กไม่บอก?”
อินทัชถอนหายใจ สุดท้ายก็ยื่นมือถือให้ พี่กุนต์ทำหน้างง
“รหัสปลดล็อคคือ 2804” เขาเล่าหมดเพราะไม่มีอะไรจะปิดบัง
“เฮ้ย..บอกทำไม” กนธีพูดแล้วว่าเขาไม่คิดจะล้ำเส้นกัน เรื่องจะตรวจดูเนื้อหาข้อความหรือการแชทอะไรลับหลังไม่มีอยู่ในหัวเขาแต่แรก คนเราอาศัยแค่ความซื่อสัตย์ต่อกันก็เพียงพอ
“ก็พี่หาว่าผมมีคนอื่นนี่” อินทัชไม่เล่นด้วย หากจะให้บอกข้อดีที่มีอยู่ไม่มากนัก เขาก็พร้อมจะบอกได้อย่างเต็มปากว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนแค่ไหน ขนาดปาลิน..เขายังคุยให้น้อยลงเลย ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
จะชอบอยู่ในใจมันก็ทำได้ หากเขาต้องอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ปาลินอาจเป็นคนในอนาคตเมื่อเขากับพี่กุนต์เลิกราความสัมพันธ์กันไปแล้ว..แต่ตราบใดที่เขายังเป็นคนของกนธี สิงหนาท ณ ตอนนี้ของเขาก็คือพี่กุนต์ เขาต้องให้เกียรติคู่ของเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
..พฤติกรรมของเราเอง..คนอื่นไม่รู้ แต่เราย่อมรู้อยู่แก่ใจตัว..
..อะไรควรทำไม่ควรทำ โตป่านนี้แล้วต้องแยกแยะเป็น..
“ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ พี่แหย่เล่น” กนธีส่งมือถือคืน “พี่ไม่เปิดหรอก พี่ไว้ใจโอ๊ต”
“2804” อินทัชยังย้ำตัวเลขเดิม
“ปัดโธ่” คนอายุมากกว่ายัดโทรศัพท์กลับไป แต่เด็กมันไม่ยอมรับ หนักเข้า เจ้าโอ๊ตก็หยิบคืนมาแล้วปลดล็อคให้เห็นต่อหน้าเลย “พี่ไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย..”
“ไม่ได้ครับ ผมไม่ชอบให้ใครสงสัยอะไรในตัวผม วันนี้ต้องเคลียร์”
กนธียอมหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม เขาก้มดูหน้าจอที่โอ๊ตเปิดค้างไว้ ดูเหมือนจะเป็นเว็บไซต์อะไรสักอย่าง พอเห็นว่ามันหาอะไรอ่าน ใบหูเขาก็กลายเป็นสีแดง
..วิธีร่วมรักของชายกับชาย..ทำอย่างไรให้อีกฝ่ายถึงจุดสุดยอด..
“.....”
อินทัชกดล้างข้อมูลที่เสิร์ชในกูเกิลก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงโดยที่อีกคนยังหูอื้อตาลายอยู่
“จริงๆยังมีหน้าอื่นอีก แต่ว่ามันเป็น AV” เขายักไหล่ “คือผมเป็นผู้ชาย ของแบบนี้ก็มีบ้าง พี่คงไม่หาว่าผมหมกมุ่น..ก็แค่อยากหาภาคทฤษฎีมาศึกษาด้วยตัวเองเท่านั้น”
กนธีนวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเองอย่างไม่รู้จะโต้ตอบว่าอะไร มันพูดตรงเสียจนเขาอายแทน
“ไปกินข้าวกันเถอะ แล้วถ้าจะดูต่อก็ไปหาที่ที่มันมิดชิดสักหน่อยแล้วกัน” ก็เด็กวัยรุ่นนี่นะ..เขาคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจช่วงที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านแบบนี้ ความอยากรู้อยากเห็นก็ต้องมีมากตามอยู่แล้ว
อินทัชไม่ได้เถียง เขาเดินตามคนตรงหน้าอย่างเชื่อฟัง ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายจับข้อมือพี่กุนต์ไว้
“อย่าคิดว่าผมจะมีคนอื่นลับหลังพี่อีกนะครับ..ผมไม่โอเค” เด็กหนุ่มมองนิ่ง “ถ้าเมื่อไรผมอยากไป ผมจะบอกพี่ตรงๆ ไม่มีการโกหกหรือพูดอ้อมค้อม เอาแบบประโยคเดียวจบ เคลียร์ชัดเจนกันไปเลย ตกลงไหมครับ”
กนธีพยักหน้ารับด้วยความมึนงง ปกติบทนี้เขาต้องเป็นฝ่ายดุมันว่าอย่าทำอะไรลับหลังเขาไม่ใช่หรือไง ทำไมดันกลายเป็นเด็กทำท่าดุเขาได้ล่ะนี่
“ขอบคุณครับ..” อินทัชโน้มตัวลงมาจูบบนหน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา “รางวัลที่ว่าง่าย”
เจ้าตัวอ้าปากค้าง ขาแข็งไปชั่วขณะ ขนาดที่ว่าต้องรอให้คนที่เดินนำไปก่อนหันกลับมาฉุดแขน
..ไอ้เด็กเปรตนี่..มันร้ายจริงๆ!..
มาถึงโต๊ะอาหาร กนธีเกือบจะดูเมนูไม่รู้เรื่อง ต้องเหลือบมองคนตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา แต่อินทัชก็ไม่มีท่าทีอะไรมากไปกว่าการสนใจรายชื่ออาหารที่อยู่ด้านหน้า
“เมื่อวานพี่สั่งของชอบผมไปแล้ว วันนี้ผมสั่งให้พี่บ้างนะ” เขาหันไปบอกเด็กเสิร์ฟ แต่ละอย่างเป็นเมนูผักทั้งนั้น อย่างต้นอ่อนทานตะวันผัดน้ำมันหอย ผัดผักรวมมิตรใส่กุ้ง แกงป่าปลาเห็ดโคน เห็ดหอมทอด..กับไข่ลวกสองฟอง
“เดี๋ยวนะ” กนธีงงหนัก “อย่างอื่นน่ะพอทำเนา แต่ไข่ลวกนี่กินยังไงตอนบ่าย” เมื่อเช้าก็เพิ่งกินไข่ดาว ไส้กรอกขนมปังปิ้งไป ตกบ่ายมาจะกินไข่อีกแล้วหรือนี่
“โด๊ป” อินทัชตอบสั้นๆ
คนฟังหน้าร้อนจัด
“เมื่อคืนพี่ดูดแรงผมจนหลับเป็นตายเลย”
“คนที่ยืนยันจะทำสองรอบคือเรานะ” กนธีแยกเขี้ยวใส่
“นั่นแหละพี่” เขายิ้ม ยกน้ำเปล่าขึ้นจิบ “เลยจะ..โด๊ป”
กนธีไม่ยอมแตะต้องไข่ลวก ต่อให้เด็กมันจะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายเจ้าโอ๊ตก็ซัดคนเดียวเรียบสองฟอง ซึ่งเขาก็รู้สึกเสียใจตอนหลัง ว่าไม่น่าปล่อยให้มัน ‘โด๊ป’ อย่างเต็มที่เลย
“จะไปไหนครับ” อินทัชถามคนที่ลุกขึ้นยืนลูบหน้าท้องตัวเอง ดูป่องๆออกมานิดหน่อย..น่ารักดี
“ไปแปรงฟัน หลังกินข้าวต้องแปรงทุกครั้ง เดี๋ยวฟันผุ ค่าทำฟันปลอมแพงมาก” กนธีบ่น “ไม่ต้องตามมาหรอก ไปเดินเล่นที่หาดนั่นไป”
“ผมก็จะไปแปรงด้วย”
“ดีแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็ก รักษาฟันแท้ให้อยู่นานๆหน่อย” เขาพูดเรื่อยตามประสาคนอายุมากกว่า ส่วนเด็กมันก็เดินตามไม่ห่างกระทั่งถึงตัวบ้าน
กนธีเข้าไปก่อน เขาเป็นคนแปรงนาน แปรงละเอียด เขาชอบใช้ยาสีฟันดอกบัวคู่เพราะว่ามันหอมเย็นสดชื่นดี ยี่ห้ออื่นมีแป้งเยอะไปหน่อย แถมรสยังไม่จัดอีก
ตอนกำลังบ้วนปาก เขาได้ยินเสียงใครบางคนลงกลอนประตูดังกริ๊ก แต่ไม่ทันได้ใส่ใจ พอกำลังจะออกมาจากห้องน้ำก็นึกขึ้นได้ว่าควรบีบยาสีฟันเผื่อมันสักหน่อย
“ทำอะไรน่ะครับ แปรงของพี่อันสีเขียวไม่ใช่หรือ” อินทัชเท้าขอบประตูห้องน้ำ มองมาอย่างมึนๆ
“พี่เรียบร้อยแล้ว แค่ทำแปรงให้เราเฉยๆ”
เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่ก่อนจะยิ้มรับ “ใส่ใจจัง”
“ก็ช่วยดูแลกันไง ไม่ต้องให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรับอยู่ข้างเดียวก็ได้” เขาอมน้ำยาบ้วนปากซ้ำอีกรอบ ระหว่างนั้นก็ถอยออกมาให้เจ้าโอ๊ตใช้พื้นที่
“อมนานเดี๋ยวปากเปื่อยนะครับ” อินทัชมองกระจกเงา นึกขำคนอายุมากกว่าที่อมน้ำยาแก้มกลม
กนธีทำมือทำไม้ว่าแสบปากจนน้ำตาจะเล็ด ร่างสูงเลยหลีกทางให้
“เผ็ดเป็นบ้า” เขาบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าอีกหลายครั้งกว่าจะหายแสบแล้วเดินออกมาใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ตากไว้ตรงราว
ตอนที่หันหลังกลับ ทั้งตัวก็ปะทะเข้ากับใครบางคนที่มายืนอยู่ด้านหลัง ช่วงแขนกว้างคู่นั้นโอบรัดลงมาที่เอว ปลายจมูกโด่งซุกลงตรงซอกคอ ลมหายใจหอมกรุ่นรินรดข้างแก้ม
“หมดธุระจำเป็นซะที..” อินทัชพึมพำ “เลิกผลัดผมได้แล้วครับ”
“ห๋า?” เขายังนึกอะไรไม่ออกด้วยซ้ำเมื่อถูกดึงไปที่เตียง
อินทัชยกคนที่ยืนมึนขึ้นไปนั่งกับฟูก กนธีเพิ่งจะเห็นว่าม่านถูกดึงมาปิดเสียแน่นหนา พอหันกลับมา เด็กมันก็ถอดเสื้อออกเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ย..” เขาร้องท้วง แต่เสียงแทบไม่หลุดออกมาเพราะคนตรงข้ามก้มลงประกบปากจูบ
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]