Chapter 32
อินทัชตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมาดูแลยาย ถึงแม้ว่าพี่กุนต์จะจ้างพยาบาลส่วนตัวมาให้ แต่เขาก็ยังอยากจะอยู่ข้างๆและใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด
แต่ละวันเขาจะตื่นประมาณตีห้า หลังจัดแจงตัวเองก็จะไปช่วยแม่บ้านจัดเตรียมอาหาร เพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของบ้านแบบพี่กุนต์ จะให้มางอมืองอเท้ารอคนอื่นมาบริการ เห็นทีจะน่าเกลียด
อินทัชเอาเมนูอาหารที่ได้จากพยาบาลมาช่วยแม่ครัวทำ นอกจากนั้นก็เป็นพวกน้ำสมุนไพรหรือของกินที่บำรุงร่างกายของยายโดยไม่ขัดต่อโรค เขาจะจัดอาหารเป็นมื้อย่อย รอถึงเวลาแล้วก็จะเอามาให้หรือป้อนแกด้วยตัวเอง
หลังอาหาร เขาใช้เวลาพูดคุย เล่าเรื่องของตัวเองกับน้องๆตอนที่มาอยู่กรุงเทพกันตามลำพัง ไม่ก็ย้อนไปช่วงเก่าๆ ฟังยายเล่าเรื่องสารพัด บางครั้งก็นั่งดูอ้นกับอุ้มคุยกับยายเจื้อยแจ้ว พาแกเดินออกกำลัง สูดอากาศบริสุทธิ์ในสวน เมื่อถึงเวลาพักผ่อนก็จะพาแกเข้าไปนอนในห้อง บีบนวดให้แล้วแต่โอกาส
วันนี้เขาทำหน้าที่ของหลานชายคนโตเหมือนทุกวัน ยายนั่งอยู่ในสวน ดื่มน้ำขิงแก้ลมที่ตีขึ้น ส่วนเขาก็อ่านหนังสือเรื่องทศชาติชาดกให้ฟัง มีอ้นกับอุ้มนั่งหาวแล้วหาวอีกอยู่ด้านข้าง
อินทัชกำลังเล่าชาติที่สิบของพระพุทธเจ้า ถึงตอนที่นางจิญจมาณวิกาเดินเข้าเดินออกวัดพระเชตวันทั้งเช้าและเย็นเพื่อใส่ร้ายพระสมณโคดม
“พอล่วงเข้าสามถึงสี่เดือน นางจิญจมาณวิกาก็เอาผ้าพันท้องแสร้งเป็นหญิงท้องอ่อน ผ่านไปแปดถึงเก้าเดือน ใช้ไม้กลมผูก ทับด้วยผ้าให้ท้องนูนขึ้นมาเหมือนกับมีครรภ์แก่ เอาไม้คางโคทุบหลังมือหลังเท้าให้บวม..”
อ้นเท้าคาง ทำคิ้วขมวด “คนนี้ใส่ร้ายว่าท้องกับพระพุทธเจ้าหรือพี่โอ๊ต”
“ใช่..ฟังรู้เรื่องนี่เรา เก่งมาก” เขาขยี้หัวน้อง เล่าต่อกระทั่งจบเรื่อง “ได้ข้อคิดอะไรบ้าง บอกพี่กันหน่อย”
น้องอุ้มปาดน้ำลายทิ้ง ถึงจะสัปหงกแต่ก็ยังฟังอยู่ “โกหกแล้วไม่ดีฮะ”
“เยี่ยมมาก ให้หนึ่งคะแนน” อินทัชเอาตัวปั๊มรูปเต่าแปะลงสมุดบันทึกที่พี่กุนต์ทำให้เด็กๆ ถึงจะดูแล้วน่าขำ แต่ก็ใช้เวลาสอนน้องได้ดี “อ้นล่ะ”
“เวลามีคนว่าหรือใส่ร้ายเรา บางทีไม่ต้องไปเดือดร้อนก็ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ทำ ความจริงก็จะปรากฏออกมาเองครับ” อ้นคิดได้ลึกซึ้งกว่าน้อง “ส่วนคนที่ว่าก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง เหมือนนางจิญจมาณวิกาถูกธรณีสูบ”
ยายนั่งยิ้ม มองหลานๆคุยกันท่าทางรักใคร่กลมเกลียว
“แล้วอ้นก็คิดว่า..” เด็กชายพึมพำ “มนุษย์หนีไม่พ้นเรื่องนินทา ขนาดพระพุทธเจ้าที่มีความดีขนาดนั้น คนยังเอามาพูดลับหลังเลย”
“เก่งมาก น้องใครเนี่ย” อินทัชบิดจมูกเล็กจิ้มลิ้ม “เอาตัวปั๊มเต่าไหม”
“ไม่เอาอ่า..อยากให้พี่กุนต์หอมแก้มมากกว่า” อ้นเท้าคาง มองรูปเต่าก็นึกถึงพี่กุนต์อยู่เรื่อย เวลาอีกฝ่ายกินผักบุ้งนะ..เหมือนมากเลย
เด็กหนุ่มเลยเขกหัวไอ้ตัวแสบไปหนึ่งที โทษฐานน่าหมั่นไส้
“พักนี้ตาหนูไปไหนล่ะเจ้าโอ๊ต” ยายที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้นมาบ้าง “จะอาทิตย์แล้ว ยังไม่เห็นมากินข้าวกับยายเลย เบื่อคนแก่แล้วหรือ”
อินทัชส่ายหัว เข้ามานวดแขนยายปลอบใจ “พี่กุนต์มีงานทำครับ ช่วงนี้ที่ร้านกำลังให้คนงานมาตกแต่งใหม่ แต่เห็นบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้านใหญ่นะ”
“คิดถึงจัง” ยายดูเฉาไป “ว่าแต่เอ็งเถอะ มาอยู่กับยายทั้งวันแบบนี้ แล้วงานที่ต้องช่วยเขาล่ะ ไม่ไปทำหรือไง เขาจะว่าเอาได้นะว่าขี้เกียจ”
ร่างสูงหัวเราะ การที่เขาขยันเกิน ทางนั้นนั่นแหละที่ไม่ชอบ อดคิดไม่ได้ว่าหนีเขาไปนอนคอนโดเพราะอยากเลี่ยงการร่วมหลับนอนกับเขาหรือเปล่า
“ชวนตาหนูมาวันนี้ไม่ได้หรือ อย่างน้อยกินข้าวเย็นด้วยกันก็ยังดี”
“พรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วยาย” อินทัชขำ
“แต่ถ้าคืนนี้ยายหลับแล้วไม่ตื่นจะทำยังไงล่ะ” แกพูดเสียงเศร้า
คนฟังยิ้มระอา ยายงอแงเหลือเกิน แล้วดูทำท่าเข้า เอาความน่าสงสารเข้าสู้สินะ “ตกลงๆ..ผมไปตามพี่กุนต์ให้ก็ได้ แต่ไม่รับปากนะว่าเขาจะว่างมา”
อ้นกับอุ้มร้องเย้! ชูนิ้วโป้งให้ยาย แกก็ทำท่าโอเคตอบรับจนอินทัชนั่งงง ไม่รู้ไอ้แสบตัวไหนไปสอนภาษาวัยรุ่นให้ยายซะได้
“ถามตาหนูว่ากินจอผักกาดเป็นไหม ถ้าไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ใส่กระดูกหมูก็ได้” ยายยิ้มดีใจ อยากจะบอกสูตรของแกให้หลานทำ “ไม่มีถั่วเน่าก็ไม่ต้องใส่”
“พี่กุนต์เขาคนภาคกลางนะยาย กินไม่เป็นหรอกมั้ง”
“ทำไมน้อ ไม่มีหลานสาวสักคน จะยกให้ตาหนู ไม่คิดสินสอดสักบาท” แกบ่นงึมงำ “ได้เขยกรุงจะสอนให้กินอาหารเหนือ เอาให้ติดใจเลย”
อินทัชสำลัก ก่อนที่ยายจะพูดอะไรที่ฟังแล้วทำให้เขาหายใจสะดุดมากไปกว่านี้ เด็กหนุ่มก็สั่งให้น้องๆดูแลยาย ส่วนตัวเองเดินเข้าบ้านไปหยิบมือถือกับกระเป๋าเงินออกมา จัดการโทรเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คอนโด ดิ แอดเดรส ชิดลม
วันนี้พี่กุนต์จะเข้าร้านช่วงบ่ายกว่า ตอนที่เขาไปถึงเป็นเวลาสิบเอ็ดโมง คิดว่าตามวิสัยแล้ว พี่กุนต์คงจะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เขาเลยแวะซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อของสดไว้ทำกับข้าวให้ นอกจากนั้นก็มีข้าวของเครื่องใช้ที่เขาเป็นคนสำรวจว่าขาดเหลืออะไรบ้าง อย่างสบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แป้งทาตัว โฟมล้างหน้า
ที่สำคัญกว่านั้น..ถุงยางอนามัยน่าจะเหลือไม่พอด้วย
อินทัชหยิบกล่องใหญ่แบบธรรมดา ไม่ต้องเล่นลวดลายมาใส่รถเข็น
คิดแล้วอดขำไม่ได้ คราวที่ไปเกาะช้างแล้วเขากับพี่กุนต์ซื้อชนกัน เขาข้องใจเลยถามว่าพี่กุนต์รู้ได้อย่างไรว่าเขาใส่ไซส์ไหน คำตอบที่ได้คือ คะเนเอาจากตอนที่เคย ‘ใช้มือ’ ให้เขา อินทัชได้แต่ส่ายหัว คนคนนี้ก็เชี่ยวชาญเหมือนกัน
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น เหตุผลที่สองคือ พี่กุนต์ก็ซื้อตาม ‘ไซส์’ ของตัวเองด้วย เผื่อว่าเกิดมีการเปลี่ยนใจ เจ้าตัวก็คิดจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมานำแทน
อินทัชคิดแล้วปวดสันหลังแปล๊บ..ไม่มีทางที่เขาจะยอมหรอก
ซื้อของเสร็จแล้ว เขาก็กลับคอนโด เด็กหนุ่มมีทั้งกุญแจและคีย์การ์ดสำรองเลยเข้าห้องได้อย่างง่ายดาย พอเปิดประตูเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าห้องเงียบผิดปกติ มองในห้องรับแขกแล้วเป็นไปตามที่คาด เต่าต้วมเตี้ยมของเขานอนหลับคอพับคออ่อนอยู่ตรงโซฟา แว่นสายตาเอียงกะเท่เร่ บนอกมีหนังสือเล่มหนาวางคว่ำอยู่ ที่คั่นมีก็ไม่ใช้ นับว่าเป็นคนที่ทำอะไรง่ายๆตามใจจริงๆ
อินทัชเดินเข้าไปใกล้ หยิบหนังสือเรื่องมิสเตอร์เมอร์เซเดส ของสตีเฟ่น คิง ขึ้นมาวางบนโต๊ะกลาง เขาหาที่คั่นแล้วแต่ไม่เจอ เชื่อว่าอีกฝ่ายคงจะโยนทิ้งไปเรียบร้อย เลยใช้กลีบกุหลาบแห้งในถ้วยแก้วใบเล็กที่วางคาอยู่มาคั่นแทน
ดูเหมือนว่าพี่กุนต์กำลังจะเปลี่ยนดอกไม้ในแก้วแต่มัวทำอย่างอื่นก่อนเลยผล็อยหลับไป เขาเปิดตู้เย็นแล้วเจอกุหลาบขาวช่อเล็ก คิดว่าน่าจะซื้อมาเพื่อตัดใส่เลยมองหาแจกัน แต่ในห้องนี้ไม่มีเลยสักใบ แปลว่าพี่กุนต์ใช้แค่ดอกเดียวโดดๆ แบบตัดก้านออกแล้วแช่น้ำพอท่วมไม่กี่เซน
จะว่าอย่างไรดี..จะบอกว่าคนคนนี้เป็นผู้ชายโรแมนติกก็พูดไม่เต็มปาก กุหลาบหนึ่งดอกในถ้วยแก้ว จะสร้างความอ่อนหวานให้ห้องนี้ได้สักเท่าไรกัน
อินทัชกำลังมองหาที่วางถ้วยใบน้อย โต๊ะกลางดูจะไม่ใช่ที่เหมาะสม พอหันซ้ายหันขวา ดวงตาก็สบเข้ากับชั้นวางข้างทีวี ตรงนั้นมีแก้วเปล่าแบบเดียวกันวางอยู่อีกใบ เพียงแต่ว่าข้างในเป็นเทียนหอมที่ยังไม่ได้จุด
น่าแปลกที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าบรรดาข้าวของที่วางเรียงกัน มันมีภาพถ่ายใบหนึ่งโชว์ไว้ในกรอบรูป เพราะความอยากรู้เลยเดินเข้าไปมอง
มันเป็นภาพของพี่กุนต์ที่ยืนยิ้มกว้าง กำลังชูก้อนหิมะอันเบ้อเริ่มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ด้านข้างมีผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง ใส่หมวกไหมพรม สวมสเวตเตอร์สีเข้มยืนกอดพี่กุนต์จนตัวแนบชิดกัน มุมขวาบนมีลายมือที่ไม่คุ้นตาเขียนไว้หวัดๆว่า always love you, till death do us part
ใบหน้าของผู้ชายคนนั้น..คล้ายคลึงกับเขาจริงๆ
อินทัชยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเสียดแทงเข้าในอก เขาก้มลงมองกุหลาบในแก้วอยู่อย่างนั้นเกือบนาทีก่อนจะวางลงตรงหน้ารูป
“โอ๊ต?” เสียงงัวเงียของกนธีดังขึ้น เขาตื่นมาแล้วเห็นอินทัชยืนหันหลังให้ ฝ่ายนั้นกำลังมองอะไรบางอย่างตรงชั้นวางข้างทีวี “มีอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของชื่อหันกลับมา คำเรียกนั้นทำให้หลุดจากความคิด
“โอ๊ต..” กนธีลุกขึ้นนั่ง เหลือบมองไปด้านหลังก็พอจะเข้าใจได้
อินทัชเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมรู้แล้วว่าผมชื่อโอ๊ต”
..ใช่..เขาคืออินทัช..ไม่ใช่..ศรัณย์..
คนอายุมากกว่าชะงัก มองเด็กที่เดินผ่านหน้าไป เหมือนน้องจะมีอะไรอยู่ในใจเลยพูดสวนออกมาแบบนั้น เขายิ้มระอา เดินตามคนที่ง่วนอยู่ในครัว
สองแขนสวมกอดเข้าที่เอว กนธีวางคางเกยกับบ่ากว้าง แตะจูบข้างลำคอเด็กน้อยงอแงของเขาแผ่วเบา เป็นสัญญาณว่าพี่กุนต์จะง้อก่อน ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวร้ายนี่น้อยใจเรื่องอะไรก็ตาม
“เป็นอะไรครับ..หืม” เขาถาม “พี่โอ๊ตโกรธอะไรพี่”
อินทัชถูกถามเข้าก็อ่อนยวบลง เขาหลับตา นึกด่าตนเองว่าเกิดเพี้ยนอะไรนักถึงได้โวยใส่พี่กุนต์ไปแบบนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นก็เพราะจู่ๆเขาคิดโง่ๆขึ้นมา พอนึกไปว่าที่ทำให้ทุกวันนี้ บางทีอาจถูกมองเหมือนเป็นเพียงตัวแทนของคนที่จากไป เขาก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ในเมื่อเขาน่ะ..ต่อให้ชอบปาลิน ก็ไม่เคยมองพี่กุนต์เป็นตัวแทนของใครทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าเขาจะต้องกลายมาเป็นเงาของคุณศรัณย์..มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย
“ขอโทษครับ” เขาหันกลับมา ท่าทางสำนึกผิดและพร้อมให้พี่กุนต์ดุด่า “ผมแค่คิดว่า..พี่สนใจผมเพราะเหมือนคุณศรัณย์”
กนธีนิ่งไป อันที่จริงวินาทีแรกที่เจอกันและตัดสินใจไปหาที่ Vin Santo เขาก็สนใจอินทัชเพราะเหมือนศรัณย์จริงๆ “ตอนนี้พี่ชอบโอ๊ตเพราะเป็นโอ๊ตนะ”
อินทัชเข้าใจได้ พี่กุนต์ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แค่ใช้การพูดเลี่ยง
แต่เขาจะอะไรนักหนากับเรื่องอดีต ทีตัวเขาเองยังไม่รักพี่กุนต์เลย ได้แต่เห็นแก่ตัว อยากให้พี่กุนต์มองที่เขาเป็นเขา ทั้งที่ให้ความรู้สึกรักตอบกลับไปไม่ได้ แต่ก็ยังอยากได้ความรู้สึกอีกฝ่ายกลับมา..ช่างโลภมากเสียจริง
“หายงอนนะ” กนธียิ้มให้ จูบหน้าผากเด็กหนุ่มไปครั้งหนึ่ง
อินทัชถอนหายใจ “พี่ครับ..จากนี้ไป ผมคงจะงี่เง่าอีกหลายครั้ง ผมเองไม่ใช่ผู้ชายใจเย็น หลายครั้งที่ใจแคบแล้วก็เอาแต่ตัวเอง แบบนี้แล้ว พี่จะ..”
คนฟังขยับตัวขึ้นจูบปิดปากที่พูดไม่หยุดของฝ่ายตรงข้าม
“ปล่อยตัวเราให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนมัน คิดอะไร รู้สึกอะไร ไม่ต้องเก็บเอาไว้ บอกพี่ได้ทั้งหมด แสดงออกมาให้พี่เห็นทั้งหมดนะ” กนธีโยกหัวเด็ก เอาหน้าผากชนกันไว้ “พี่อยากเรียนรู้ทุกอย่างของโอ๊ต”
อินทัชรู้สึกถึงใจที่เต้นแรง เขาไม่คิดอะไรเลยตอนที่จับใบหน้าได้รูปให้เงยขึ้น เด็กหนุ่มก้มลงฉกจูบที่ริมฝีปากอุ่นร้อน เขาขบกัด ดูดคลึงเรียวปากนุ่ม ดุนลิ้นเข้าไปลิ้มรสคนที่พูดได้อ่อนโยนและเก็บกุมความรู้สึกเขาไว้อย่างนุ่มนวล
กนธีถูกยกตัวขึ้นวางบนเคาน์เตอร์กลาง ข้าวของที่อินทัชซื้อมาร่วงลงพื้นเมื่อเขาถูกดันให้นอนราบ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเด็กมันปลดกางเกงเขาลงตอนไหน รู้อีกทีก็ตอนที่ถูกจับแยกปลายเท้าออก มีร่างสูงใหญ่แทรกลงกึ่งกลาง
“โอ๊ต..เดี๋ยวก่อน” สงสัยว่าเขาคงไปพูดอะไรที่กระตุ้นเข้าให้
“ไม่ใช้ถุงยางได้ไหม” อินทัชถามเสียงพร่า รูดซิปลงและตามมากดจูบไม่หยุด เขาใช้ปลายจมูกดุนดันบนแก้มพี่กุนต์ ทั้งกอดทั้งหอม อยากจูบไปทั้งตัว
กนธีลำบากใจ ถ้าเขายอมครั้งหนึ่งก็คงต้องมีครั้งต่อไปแน่
“ใช้เถอะ..” เขาขอ
“ทำไมล่ะครับ” อินทัชยังตามอ้อน “พี่ไม่ไว้ใจผมหรือไง”
“ถ้าไม่ใช้..” กนธีหลับหูหลับตาถาม “ตอนสุดท้ายเราตั้งใจจะทำยังไง”
และอินทัชก็ตอบตรงๆ “อยากหลั่งในตัวพี่กุนต์”
คนฟังร้อนวูบ เขาต้องหักห้ามใจและยืนยันหนักแน่นกว่าที่เป็น ตอนนี้เด็กมันกำลังรอคำตอบทั้งที่ร่างกายส่วนล่างดูพร้อมเต็มที หากเขาพยักหน้าคำเดียว รับรองว่าหมอนั่นจะต้องสวมสอดเข้ามาทั้งแบบนั้นแน่
“พี่ต้องไปร้านตอนบ่าย” เขาหันมองนาฬิกาแต่ถูกจับให้หันกลับ ปากโดนประกบจูบอีกครั้งและอีกครั้ง “ใช้เถอะนะ..ไม่อย่างนั้นคงต้องอาบน้ำนาน”
อินทัชผิดหวัง แต่ในเมื่อถูกขีดเส้นมาแค่นี้ เขาก็ทำได้แค่นี้ เด็กหนุ่มไม่ว่าอะไร ได้แต่จูบพี่กุนต์อีกครั้งแล้วเอื้อมมือไปตรงถุงใบเล็กที่เอามาจากซูเปอร์ฯ เขายังไม่ทันได้เอาไปเก็บเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ใช้แบบปัจจุบันทันด่วน
“ใส่ให้หน่อยสิครับ” เขาแกล้งยื่นถุงยางอนามัยให้พี่กุนต์
“ไอ้เด็กเปรต” กนธีร้อนไปทั่วแก้ม
“ในเมื่อพี่อยากให้ผมใส่ แต่ผมไม่อยากใส่ พี่ก็ต้องช่วยผมแบบนี้แหละ”
เขานึกด่ามันในใจ คนหนุ่มๆมันเจ้าเล่ห์แบบนี้เอง
กนธีสูดหายใจลึก ค่อยๆเลิกชายเสื้อของอินทัชที่ปิดบังกึ่งกลางลำตัวไว้หมิ่นเหม่ ทุกขณะที่เคลื่อนไหว อินทัชเอาแต่จ้องมอง ไม่ยอมละสายตาออกเลย
เขาแกะซองพลาสติกออกแต่มันเหนียวเกินเลยใช้ฟันฉีก ไม่รู้ตัวว่าถูกใครอีกคนมองด้วยความตื่นเร้าแค่ไหน พี่กุนต์ยั่วเย้ากันแบบไม่ตั้งใจ และเพราะท่าทางที่เป็นไปอย่างธรรมชาติถึงได้ชวนให้รู้สึกขึ้นมากกว่าเดิม
กนธีตาพร่า มือสั่นเล็กน้อยตอนที่บีบส่วนปลายไล่อากาศและสวมมันลงบนความแข็งกร้าวที่ตื่นตัว เขารูดขอบยางลงด้วยความเชื่องช้าตามวิสัย แต่ดูเร้าอารมณ์เหลือเกินในความคิดของฝ่ายตรงข้าม
“จะยั่วผมหรือไง” อินทัชถามเสียงต่ำ
“หือ?” เขาเงยหน้ามอง แล้วก็ต้องถูกจูบปิดปากจนได้
แขนแข็งแรงสอดเข้าโอบแผ่นหลัง ดุนดันปากอีกคนให้เปิดรับ มืออีกข้างสอดเข้าใต้ข้อพับขา ดึงปลายเท้าแยกออกก่อนจะแทรกปลายนิ้วเข้าไป
“ยกขาไว้ครับ” เขาให้พี่กุนต์วางเท้าบนมือจับของลิ้นชัก
กนธีหอบหายใจ จูบกับอินทัชระหว่างที่อีกฝ่ายนวดคลึงให้เขาคลายตัว นิ้วเรียวยาวเพิ่มเป็นสอง สอดเข้าออกแบบไม่เร่งเร้า
“ผมเข้าไปแล้วนะ” เสียงพร่าต่ำกระซิบข้างหู
เขาพยักหน้า แทบกัดลิ้นตัวเองตอนที่อีกฝ่ายเบียดตัวเข้าหา บางส่วนที่ร้อนระอุค่อยๆดุนดันลึก กดแทรกกระทั่งสุดความยาว เขาปรับลมหายใจ กอดบ่าหนาแนบแน่นเมื่อช่วงเอวสอบขยับเคลื่อน
อินทัชกระแทกตัวหนัก สองแขนกอดรัดร่างที่เล็กกว่า เบียดเสียดเป็นจังหวะจากเชื่องช้ากลายเป็นถี่รัว เสียงลมหายใจดังประสานแว่วไปกับเสียงผิวเนื้อที่กระทบกันดังก้อง เรี่ยวแรงมากมายที่ส่งเข้าทำให้ใครอีกคนแทบหล่น เขาต้องยกตัวขึ้นนั่งให้เต็มพื้นที่แล้วดันขาเพรียวยาวขึ้นสูง
กนธีอ้าปากกัดลงไหล่กว้าง ปลายเท้างองุ้ม จิกเล็บลงแผ่นหลัง ทั้งตัวโยกคลอนไปกับแรงที่โหมเข้าใส่ ส่วนปลายร้อนจัดผลุบเข้าออกในร่าง
พวกเขาร่วมรักกันอย่างเร่งร้อน ตะกรุมตะกราม ตักตวงให้กันและกัน อุณหภูมิสองร่างร้อนจัดตัดกับพื้นหินอ่อนที่เย็นเฉียบ
อินทัชพลิกร่างพี่กุนต์ลงนอนคว่ำ เท้าเปลือยวางแนบพื้น หากต้องเขย่งขึ้นจนสะโพกลอยสูงเมื่อถูกดันให้ตัวแนบลงกับพื้นเคาน์เตอร์ เขาสอดใส่เข้าไปใหม่ สองมือยึดรั้งไหล่ลาดไว้ เบื้องล่างขยับรุนแรง เร่งจังหวะถี่ระรัว
กนธีปลดปล่อยออกมาทั้งที่ไม่ถูกแตะต้องด้านหน้า ยิ่งไปถึงจุดก่อน เขายิ่งขยับรัดจนเด็กหนุ่มหลุดร้องคราง อินทัชผวาเฮือก โน้มลงกอดก่ายร่างอุ่นไว้แนบอก หลับตาแน่นระหว่างที่กระแทกเข้าใส่จนอีกคนตัวสั่นคลอน
นาทีนั้น เขาก็หลั่งของเหลวร้อนจัดจนเอ่อล้นในเครื่องป้องกัน
อินทัชหมดแรงฟุบลงแผ่นหลังเปลือย พอเขาปล่อย พี่กุนต์ก็เกือบจะร่วงลงไปนอนกอง ดีแต่ว่าคว้าตัวแล้วยกขึ้นวางที่เดิมได้ทัน
“สุดยอดมากครับ” เขาชม หายใจถี่ “กินจนอิ่มเลย อร่อยสุดๆ”
กนธีปรือตามอง เขกหัวเด็กด้วยความมันเขี้ยว เขาใช่ของกินที่ไหน!
ร่างสูงใหญ่รูดถุงยางใช้แล้วทิ้งลงถังในครัวก่อนหันมาประคองพี่กุนต์ขึ้นซบอก มองคนในอ้อมกอดที่อ่อนยวบไปทั้งร่างด้วยความเอ็นดู แก้มสองข้างของกนธีแดงเป็นสีเลือด เจ้าตัวหายใจหอบหนักหลังถูกร่วมรักหนักหน่วง แขนทั้งสองตกอยู่ข้างลำตัว กระทั่งเรียวขาที่ไม่มีอะไรปกปิดยังไม่มีแรงจะขยับมาบังช่วงกึ่งกลางที่ปวกเปียก ได้แต่ปล่อยให้ถูกมองอย่างใจกว้าง ยั่วอารมณ์กันต่อ
อินทัชร้อนพล่าน ต้องไล่จูบจากเรียวปากลงมาที่ซอกคอ กระดุมเสื้อที่ถูกปลดไว้หลวมๆ เขาช่วยถอดออกจนเหลือแต่ช่วงตัวเปล่าเปลือย ผิวเนื้อขาวที่ถูกแสงไฟสีนวลฉาบไล้ยิ่งกระตุ้นกัน อดไม่ได้ต้องแตะปากขบเม้ม
“อือ..พอแล้ว” กนธีขยุ้มลงเส้นผมสีเข้ม ปรือตามองศีรษะที่ก้มต่ำ ไม่ทันตั้งตัว อุ้งปากร้อนผ่าวกลับครอบครองลงบนช่วงลำตัวจนเขากระตุกวูบ
“อ..โอ๊ต..” เขาพยายามดึงต้นคออีกคนขึ้นมาแต่เด็กไม่ยอม “ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร..พี่..อื้อ!” เขากัดปาก ถูกปลายลิ้นเล้าโลมจนอยู่ไม่ติด
เขาไม่อยากให้น้องต้องฝืนใจ เพราะก่อนหน้าที่อินทัชจะตกลงใจมาอยู่ด้วย หมอนี่ถูกแขกคนหนึ่งบังคับให้ทำรักด้วยปาก เขาไม่ต้องการให้รู้สึกแย่
อินทัชเหลือบมองคนที่หลุดเสียงคราง เขาเอื้อมมือไปประคองสะโพกเปลือยไว้ เร่งปากดูดดุนจนฝ่ายตรงข้ามเกร็งตัว ยิ่งเขาเร่งจังหวะ ทั้งร่างนั้นก็ยิ่งสั่นเทา พี่กุนต์พยายามจะเบียดขาเข้าหากัน เขาเลยจับปลีน่องเอาไว้แล้วยกขึ้นพาดบ่า ตนเองนั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง ยืดตัวขึ้นและปรนเปรอด้วยปาก
“ออก! พอแล้วโอ๊ต” กนธีดึงกลุ่มผมหนาออกห่างแต่ไม่เป็นผล
สุดท้ายเขาก็กระตุกวาบ ปลดปล่อยความรู้สึกมากมายอย่างเต็มที่เข้าสู่โพรงปากอุ่นที่รองรับ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสุขมากมายแค่ไหน
ทั้งๆที่เหนื่อยจนแทบขาดใจ เขาก็ยังรีบยันตัวขึ้นมาดูพร้อมกับผลักบ่ากว้างออกห่างเพราะเป็นห่วงเด็ก กลัวว่ามันจะรู้สึกแย่ที่เขาหลั่งเข้าไป
“ทำอะไร” กนธีหน้าร้อนจัด มองคนที่กลืนของเขาลงคอ “คายออกมา!”
“หมดแล้วครับ” อินทัชยิ้มมุมปาก “เลยคายออกมาไม่ได้”
เขาแทบจะหน้ามืด ครั้งสุดท้ายที่มีคนทำแบบนี้ให้ก็คือศรัณย์ แต่มันใช่เรื่องน่าอภิรมย์เสียที่ไหน สิ่งนั้นมันไม่ใช่ของที่กินได้สักหน่อย!
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ” กนธีบีบคอเด็ก หน้ายังแดงไม่หยุด
แทนที่อินทัชจะรับปาก เขากลับจูบซ้ำเข้าไปใหม่ จะบอกว่ารสชาติของพี่กุนต์ไม่ได้เหมือนไอ้เวรนั่นสักนิด ถึงไม่อยากเปรียบเทียบ แต่กับคนกินมังสวิรัติและเน้นผักผลไม้ตลอดมันก็มีผลต่อสภาพร่างกายเหมือนกัน น่าแปลกที่แทบไม่มีกลิ่น ไม่มีความขมเฝื่อน ซ้ำยัง..มีรสนุ่มจนเกือบหวานเสียด้วย
“เป็นไงครับ” เขาประคองใบหน้าได้รูป ใช้ปลายลิ้นแตะให้เจ้าของลองสัมผัสดู “ไม่ได้แย่ใช่ไหมล่ะ” มองพี่กุนต์ทำหน้าปุเลี่ยนแล้วหลุดขำ
“แต่มันก็ไม่ใช่ของกิน”
อินทัชหัวเราะ “เคยมีใครทำให้พี่แบบนี้หรือเปล่าครับ” เขาหอมแก้ม
กนธีไม่ตอบ มัวแต่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดปากเด็ก แก่ปูนนี้แล้ว ขอร้องเถอะ เขาไม่นิยมอะไรพิสดารนักหรอก ไม่ต้องมาเอาใจด้วยวิธีประหลาดแบบนี้เลย
“พี่กุนต์..” เด็กหนุ่มถามเสียงนุ่ม รั้งข้อมืออีกคนมาจูบ
“จะอยากรู้ทำไมกัน” เขามุ่นหัวคิ้ว “ห้ามทำอีกก็พอ”
“มีใครเคยทำให้ไหม หรือว่าผมเป็นคนแรก”
“ปัดโธ่เจ้าโอ๊ต” กนธียอมแพ้ “ศรัณย์ทำให้พี่..พอใจยัง”
อินทัชพยักหน้า เขาได้คำตอบแล้วว่าคราวต่อไปเขาจะทำมันอีก
“แล้วพี่ทำให้เขาหรือเปล่า”
“โอ๊ต~” ชายหนุ่มดึงแก้มมันจนยืด “ถ้าพูดอีกเลิกคุยไปเลยนะ”
..เขาเดาว่าพี่กุนต์เองก็ใช้ปากให้คุณศรัณย์เหมือนกัน..
คิดแบบนี้แล้วยิ่งร้อนในอก แต่เขาไม่ได้จะขอให้พี่กุนต์ดูแลเขาเหมือนที่ทำกับคนรักหรอก แค่ความรู้สึก ‘หวง’ มันถูกกระตุ้นจนเขามีอารมณ์ขึ้นอีกรอบ
“เข้าไปในห้องนอนกันเถอะครับ” เขาอุ้มเจ้าตัวลงจากเคาน์เตอร์
กนธีมองนาฬิกาตาละห้อย เขาคิดว่าก่อนที่จะเริ่มยกสองกันต่อ เขาควรจะโทรไปบอกพนักงานว่าวันนี้จะไม่เข้าไปที่ร้าน
ว่าแต่หลังจากนี้ เขาจะยืนทำครัวอย่างไรไม่ให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ล่ะ
.
.
.
หลังจากมีอะไรกันครั้งที่สอง อินทัชที่คิดว่าจะทำมื้อเที่ยงให้พี่กุนต์ก็ไม่มีแรงเหลือสำหรับลุกมาทำกับข้าวต่อได้สำเร็จ สุดท้ายเลยต้องลงเอยที่การต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกันแทน
“นานๆกินแบบนี้ก็อร่อยนะ” กนธีหัวเราะ นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้
อินทัชมองปรามทางสายตาให้อีกฝ่ายเอาขาลง เพราะสภาพตอนนี้ พี่กุนต์สวมแค่เสื้อเชิ้ตของเขาเพียงตัวเดียว ท่อนล่างเป็นบ็อกเซอร์สีดำ ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งจะมีอะไรกันมา และเขายังไม่อยากตื่นตัวเป็นครั้งที่สามของวัน
“มีแต่แป้งกับเครื่องปรุงโซเดียมจัด” เขาถอนหายใจ มองอย่างสำนึกผิด “คราวหน้าจะไม่ให้เป็นแบบนี้ครับ เหนื่อยยังไงก็ต้องให้พี่กินให้ครบห้าหมู่ให้ได้”
กนธีกลั้นขำ ถือช้อนกับส้อมไว้รอ “ของพี่เอาไข่แบบไม่สุก”
“ครับผม” อินทัชเอาบะหมี่ต้มจนเส้นนุ่มใส่ในชาม ตอกไข่ลงแล้วยกมาให้ นับเป็นอาหารห้านาทีกินได้จริงๆ แต่ไม่มีคุณค่าอะไรมากมายเลย
“อร่อย!” กนธียิ้ม สูดเส้นจนแก้มตุ่ย “งวดหน้าใส่ผักด้วยเนอะ”
“งวดหน้ากินสุกี้ญี่ปุ่นกันดีกว่าครับ” เขานั่งลงตรงข้าม
“ทำเป็นเหรอ” เขานึกแปลกใจ นึกว่าต้องไปตามร้านเท่านั้น
“ดูจากในยูทูบเอา แค่ต้องซื้อปลาแห้งเอามาทำน้ำซุป มีมิรินเพิ่มความหวาน แล้วก็ซอสคิคโคแมน นอกนั้นก็เอาผักตามชอบ ใส่เส้นบุกด้วยก็ได้”
“อยากกินแฮะ” กนธีเชียร์ “เย็นนี้เลยไหม”
“สุกี้เนี่ย ต้องกินแบบคนเยอะๆนะครับ” อินทัชยิ้ม “ไปทำกินกันที่บ้านไหมครับ มีอ้น อุ้ม แล้วก็ยายด้วย น่าจะอร่อยกว่ากินกันสองคน”
“เอาสิ” เขาเอาช้อนตีไข่แดง “ไปวันนี้เลยก็ได้ ไหนๆก็ไม่ได้ไปร้านแล้ว”
“ยายอยากเจอพี่กุนต์มาก” อินทัชเริ่มภารกิจที่รับฝากมา “แกเลยส่งผมมาอ้อนให้พี่กลับไปกินข้าวเย็นด้วย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
“โธ่..แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” กนธีมองคาดโทษ แทนที่มันจะเล่าก่อน ดันมาจับเขานอนบนเคาน์เตอร์แล้วเล่นงานจนน่วมเสียอย่างนั้น
“กลับบ้านนู้นเลยก็ไม่ได้กินมื้อใหญ่สิพี่” เด็กหนุ่มพูดหน้าตาย
“เออ! กินมื้อนี้ งดไปเลยอีกสองอาทิตย์!”
อินทัชนั่งขำ “พี่ไม่อยากนอนกับผมหรือ”
“นอนในที่นี้มีความหมายที่สองไหม หรือแค่นอนเฉยๆ”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งแบบมีเซ็กซ์แล้วก็แบบนอนกอดเปล่าๆ”
กนธีก้มลงดูดเส้นบะหมี่ จงใจเอาหน้าอังไอร้อน เผื่อจะกลบเกลื่อนแก้มที่แดงจัดบ้าง “ก็..อยากทั้งสองแบบนั่นแหละน่า จะถามทำไมวะ!”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ” อินทัชยิ้มให้ “กลัวจะมีแต่ผมคนเดียวที่อยากนอนกับพี่..ในทั้งสองความหมาย”
“เงียบแล้วกินไปซะ!” เขาเอาส้อมชี้หน้า
อินทัชหัวเราะ ก้มหน้ากินต่อแบบไม่หาเรื่องแกล้งพี่กุนต์อีก
“อืม..จะว่าไป ตั้งแต่คุณยายมาอยู่ด้วย เรายังไม่ได้ไปเที่ยวกันทั้งหมดเลยเนอะ” กนธีครุ่นคิด “ชวนคุณยาย ชวนอ้นกับอุ้มไปเที่ยวดีกว่า เอาที่ไหนดี”
“ถามเด็กภูเขาอย่างพวกผมก็ต้องอยากเที่ยวทะเลนั่นแหละครับ”
พูดถึงทะเลครั้งล่าสุดที่ไปด้วยกัน กนธีก็ร้อนวูบวาบ เกาะช้างนั่น..ทำให้เขากับน้องมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นแบบทุกวันนี้
“เอาสิ..ไปสักสามวันนะ”
อินทัชยิ้มรับ “ได้เสมอครับ”
........................................................................................
ค่อยๆมีพัฒนาการแบบเต่าคลาน 5555+
เรื่องนี้จะออกแนวเรื่อยๆมาเรียงๆ เหมือนเขียนไดอารี่เน้อ
ค่อยๆรักกันเบาๆ

ปล. เนี่ย ที่ให้พี่กุนต์กินมังสะ เพราะว่าสาเหตุนี้แหละ //ใช่เรอะ!!
ปล. 2 เคาน์เตอร์ครัวนี่ครั้งที่ 1 นะ ยังมีครั้งหึงโหดอีก 5555+
ปล. 3 หลังจากนี้ เนื้อหาในตอนจะหดสั้นลง เท่ากับที่แบ่งไว้ในเวิร์ดน้า (เค้าปรับหน้ากระดาษเป็นเอห้าแระ จะได้ไม่ต้องทำซ้ำซ้อน) บทนึงจะประมาณ 10-15 เอห้า หรือประมาณ 7 เอสี่จ้า (แต่ก่อนจะลงประมาณ 12-14 เอสี่คร้าบ)