.
.
.
กนธีพยักหน้ารับ เขาตบเก้าอี้ยาวให้เจ้าโอ๊ตขยับเข้ามานั่งด้วยกัน คืนนี้ท้องฟ้าโล่งโปร่ง กลุ่มเมฆลอยหาย เห็นแต่แสงดาวและแสงสว่างจากพระจันทร์
“ตัวผมเอง ไม่ได้มีต้นแบบในเรื่องของความรักระหว่างคู่ชีวิตให้เรียนรู้ ไอ้ที่เขาคุยๆกันว่าอยากจะมีความรักเหมือนที่พ่อกับแม่มีให้กัน รักที่มั่นคง..อยู่กันไปจนแก่เฒ่านั่น ผมบอกตรงๆว่าผมไม่มี และผมก็เกือบจะไม่ศรัทธาด้วย”
เขานิ่งฟัง น้ำเสียงของน้องดูราบเรียบ
“ผมได้แต่ตั้งกฎเกณฑ์ของผมขึ้นมาเองจากเรื่องในอดีต ผมแค่ไม่อยากเป็นคนที่บอกรักใครได้ง่ายๆแต่ไร้ความรับผิดชอบกับคำพูดของตัวเองแบบพ่อ”
อินทัชบอกทุกเรื่องให้กนธีฟัง
“แม่ผมเล่าให้ฟังว่าแม่คงจะอยู่เป็นโสด ถ้าพ่อไม่เข้ามาจีบ ตอนนั้นแม่อยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วก็เข้มแข็งมาก แต่พ่อเข้ามาทำให้ความเข้มแข็งกลายเป็นความอ่อนแอ แล้วพ่อก็ทิ้งแม่ไปในวันที่แม่อยู่ไม่ได้ด้วยตัวเอง”
“แต่ว่า..บางทีความรักของพวกท่าน ในช่วงเวลาหนึ่งอาจเป็นเรื่องจริง”
“ผมก็ไม่รู้” อินทัชโคลงหัว “มันอาจจะไม่ใช่ความรักก็ได้ เพราะทุกวันที่พ่อบอกรักแม่ให้พวกเราได้ยิน พ่อก็ยังบอกรักผู้หญิงคนอื่นไปพร้อมกัน”
กนธีหลุบตาลงมองมือที่กุมปลายนิ้วเขาไว้ ชายหนุ่มจึงวางมือทับลงไปและบีบแผ่วเบา ที่ผ่านมา..อินทัชต้องเข้มแข็งและเจ็บปวดมากมายแค่ไหนถึงจะพูดเรื่องการแตกสลายของครอบครัวในตอนนี้ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย
“พ่อมีคนอื่นตอนที่ไอ้อ้นเริ่มรู้ความ แล้วก็ตัดสินใจทิ้งพวกเราไป ตอนที่แม่ท้องไอ้อุ้ม เพราะว่าแม่รักพ่อมากจนอยู่ไม่ได้ถ้าขาดพ่อ แม่เลยคิดฆ่าตัวตาย อาจจะเพราะอารมณ์คนท้อง เพราะไม่อยากเสียใจ หรือเพราะอยากประชดให้พ่อรู้สึกผิด ผมก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าแม่ไปซื้อยาฆ่าหญ้ามาขวดหนึ่ง”
กนธีรับฟังด้วยความรู้สึกปวดใจ
“โชคดีที่ยายมาเจอก่อน เห็นใจดีแบบนั้นน่ะ ยายตบแม่จนผมร้องไห้เลย” อินทัชหัวเราะแผ่ว “ยายถามว่าความรักที่แม่มีให้พ่อ มันมากกว่าความรักที่แม่มีให้ลูกๆหรือเปล่า..ถ้าใช่ ก็ตายไปเลย ตายไปพร้อมกับไอ้อุ้มนั่นแหละ”
“แม่ของโอ๊ตรักลูกๆมากกว่า” เพราะน้องอุ้มเกิดมากลายเป็นเด็กน้อยน่ารัก เจ้าตัวเล็กอารมณ์ดีมากด้วย ไม่รู้เลยว่าต้องเจอเรื่องแบบนั้นมาก่อน
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกผู้ใหญ่เขารักกันยังไง” อินทัชนวดคลึงกลางฝ่ามือของกนธี “ผมรู้ของผมแค่ว่า ถ้าจะรักใครสักคน ผมต้องแน่ใจแล้วจริงๆ และผมจะรับผิดชอบต่อคำพูดของผม รับผิดชอบความรู้สึกของเขา ถ้าไม่มั่นใจในความรักของตัวเองว่าจะมั่นคงตลอดไป ก็อย่าลากอีกฝ่ายเข้ามาด้วยเด็ดขาด”
กนธีบีบกระชับอุ้งมือใหญ่ สัมผัสความอุ่นซ่านที่แผ่ขึ้นมา
“ความรักไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้าสุดท้ายเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นในวันที่เขาขาดเราไม่ได้ เรามันก็แค่ไอ้ตัวหลอกลวงดีๆนี่เอง”
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนข้างกาย ยกมือขึ้นแตะใบหน้าได้รูป
“พี่ครับ..แค่พูดว่ารัก..เสี้ยววินาทีก็พูดได้แล้ว แต่ความรู้สึกของคนพูดเป็นแบบไหน คนฟังคงรู้ได้ลำบาก ถ้าผมโกหกพี่..พี่เองคงไม่ดีใจ”
กนธีเอียงหน้าซบมือร้อนผ่าวข้างนั้น “ใช่..ไม่ดีใจหรอก”
“ผมสารภาพกับพี่วันนี้ ตอนนี้แบบตรงๆ ผมยังชอบใครคนหนึ่งอยู่”
คนฟังหันไปมองทะเลมืดดำ เสียงคลื่นซัดสาดดังอยู่ไม่ไกล ถึงจะท่องว่าอย่าคาดหวัง แต่หัวใจก็ยังวูบโหวงอยู่ดี “อย่างนั้นหรอกหรือ..”
อินทัชดึงตัวพี่กุนต์ให้หันกลับมามอง “แต่ว่าตอนนี้..”
“แต่อะไร..”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง อยากบอกว่าเขาอยู่ในช่วงลังเล สับสน ไม่ชัดเจนในตัวเอง เพราะส่วนหนึ่งของหัวใจ..กำลังมีผู้ชายตรงหน้าแทรกซึมเข้ามา ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขาอยากให้พี่กุนต์เอ็นดูเขา และเขาเองก็รู้สึกดีๆกับอีกฝ่าย
..แต่เรารักใครสองคนพร้อมกันไม่ได้..เขารู้ดี..
เขาต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง ในระหว่างนี้ถ้ายังไม่แน่ใจ อย่าดึงฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในความรู้สึกที่ไม่แน่นอนของตัวเองเลย อย่าให้ความหวัง ถ้าท้ายสุดจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสมหวัง เพราะมันไม่ต่างจากการทำร้ายกันทางอ้อม
“ผม..ขอเวลาทบทวนตัวเองก่อนได้ไหมครับ” อินทัชพูดเสียงเบา
“อ้อ..ได้สิ” กนธีพยักหน้ารับ “พี่เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งการบอกรักและบอกเลิก แต่จะเป็นอย่างไหนก็ช่วยบอกพี่ล่วงหน้าให้ทำใจหน่อยนะ”
“พี่เข้าใจผมใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มมองหน้า “ผมแค่อยากมั่นใจ อยากให้มันตกผลึก ไม่ใช่ปุบปับ ไม่กี่เดือนก็บอกความรู้สึกของตัวเองออกมา เพราะถ้ามันไม่เข้มข้นมากพอ ในอนาคตคงต้องมีคนเสียใจ”
“เข้าใจสิ” คนอายุมากกว่ายิ้มให้
“ผมอยากได้คำตอบหลายอย่าง ถ้าหากผมรู้สึกกับพี่..” แบบที่ตอนนี้กำลังเป็น “ผมก็อยากรู้ว่ามันมาจากอะไร..เพราะความดีของพี่เท่านั้นหรือเปล่า”
“ถ้าพี่ดีกับโอ๊ต แล้วโอ๊ตจะไม่รักหรือ..”
“พี่ดีกับผม ผมก็โอเค แต่ถ้าผมจะรัก ผมไม่ได้เลือกแค่ที่ความดีหรอกครับ ไม่อย่างนั้นผมไปจีบพระก็ได้..ถือศีลตั้งสองร้อยกว่าข้อแน่ะ”
กนธีหัวเราะเบาๆ “บาปนะเว้ย”
“คนเราไม่มีใครดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าผมรักใคร แปลว่าผมมองแล้วว่าผมรับได้ทั้งความดีและไม่ดีของเขา” อินทัชยิ้ม “ความรักมันไม่ใช่การรักเทวดาในอุดมคติครับ มันคือการรักใครคนหนึ่งที่ตัวตนและยอมรับได้ทุกด้านต่างหาก”
ใครอีกคนรู้สึกถึงใจที่เต้นแรง คำพูดของเด็กคนนี้กอบกุมเขาไว้แน่นขึ้น
“อีกอย่าง ตอนนี้ผมเองยังพึ่งพาพี่อยู่ ผมกลัวว่าหากผมรู้สึกอะไรกับพี่” ซึ่งจริงๆ..ก็รู้สึกไปบ้างแล้ว “มันจะเป็นความรู้สึกที่มาจากเงินทอง ความสะดวก ความสุขสบายที่พี่ให้ เกี่ยวกับการที่พี่เข้ามาเติมเต็มชีวิตผมไหม”
“เป็นอย่างที่ว่าไม่ได้หรือ ใครๆก็อยากมีคนเข้ามาเติมสิ่งที่เราขาดหาย”
“ถ้ามองแค่นั้น เกิดวันหนึ่งพี่ไม่ได้ให้ผมอีกต่อไป ผมจะต้องเลิกรักพี่?”
กนธีเงียบ มันก็ใช่..ไม่มีใครจะทดแทนส่วนขาดให้ได้ตลอดหรอก
“หากผมรักใคร ผมก็จะรักแม้ว่าเขาจะไม่ให้อะไรผม แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตก็ตาม มันอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ลงล็อก อาจจะคลอนแคลนง่อนแง่น บกพร่องไปบ้างก็ช่างเถอะ ไม่ต้องสมบูรณ์ไปหมดทุกอย่างหรอก” เขาชูมือพี่กุนต์ขึ้นมา “ความรักของผม..ก็คือการที่พวกเราสองคนจะเว้าแหว่งไปด้วยกัน..ขอแค่ไม่ปล่อยมือกันก็พอ”
กนธีมองเด็กน้อยของเขา ไม่มีความสงสัยใดๆอีกกับอินทัช
..ขอโทษนะ..ที่มองอย่างง่ายดายเกินไป..
..ทำไมถึงได้เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาถึงขนาดนี้..
จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงจนเจ็บแปลบ ฝ่ามือที่ถูกกุมไว้เหมือนจะชื้นเหงื่อขึ้นมา จากนั้นมันก็สั่นเล็กน้อย “แย่แล้ว..” ชายหนุ่มพึมพำ
..เขา..ตกหลุมรักเจ้านี่เข้าจริงๆแล้วสิ..
“อะไรแย่ครับ” อินทัชงุนงง
“เปล่าๆ” กนธีโบกมือกลบเกลื่อน เสี้ยวหน้าเหมือนจะร้อนผ่าวขึ้นมารุนแรง โชคดีที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีแสงไฟเลยพอจะปิดบังสีเลือดบนหน้าได้
“ถ้าไม่มีอะไร..ผมขอพี่เรื่องสุดท้ายแล้วกันครับ”
“ว่ามาสิ” เขาเอาแต่ก้มมองปลายเท้าตัวเองแล้วนับเม็ดทรายเล่น
“ผมขอให้ทุกอย่างระหว่างเรามันเป็นไปเรื่อยๆตามธรรมชาติได้ไหม” เขาถาม “ไม่เร่งรัด ไม่ฝืน ไม่ต้องพยายาม แล้วถ้าได้คำตอบ ผมจะบอกพี่”
“อือ..” เจ้าตัวพยักหน้า กระดิกนิ้วเท้าไปมา
“แต่ผมไม่กล้าขอให้พี่รอเพราะเรื่องแบบนี้สำคัญมาก..มันคงนาน”
“ไม่เป็นไร” เขาเริ่มอยู่ไม่สุข..เลิกจับมือเขาซะทีเถอะ เย็นไปหมดแล้ว “เอาเป็นว่า..ถ้าพี่รอได้พี่ก็จะรอ”
“ขอบคุณนะครับ” อินทัชยิ้ม ชะโงกหน้าเข้ามาแล้วจูบแผ่วเบาข้างแก้ม
กนธีนั่งนิ่ง หลับตาลงเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวนั้นทาบทับ
..เขาจะรอ..จนกว่าจะเหนื่อยและหมดแรงไปเอง..
ร่างสูงใหญ่กอดกนธีไว้แนบอก ความผูกพันเหมือนสายน้ำที่ซึมผ่านลงผิวดินและเก็บกักเอาไว้เพื่อรอการเติมเต็มให้ล้น การเฝ้ารอให้หยดน้ำนั่นรินลงและกัดกร่อนเนื้อใจจนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา
“เข้าบ้านกันเถอะพี่ ไปอาบน้ำสระผมซะแล้วก็กินข้าวกัน ยายกับไอ้สองตัวนั้นคงกินเสร็จแล้ว” อินทัชกดจูบบนปากนุ่มอีกครั้ง
กนธียิ้มรับ ลุกขึ้นตามแรงดึงของเด็ก เจ้าโอ๊ตจูงมือเขาเข้าบ้าน พอผ่านประตู เห็นน้องๆนั่งระบายสีภาพกันอยู่ที่โซฟาก็ปล่อยออกแบบไม่ให้มีพิรุธ
“ยายไปไหนล่ะอ้น อุ้ม” อินทัชถามน้องๆ
“อยู่ในห้องฮะ” น้องอุ้มทำปากยื่น บุ้ยใบ้ไปยังห้องนอนใหญ่
“พี่กุนต์ไม่แลกห้องนอนกับอ้นจริงๆหรือครับ สวยมากเลยน้า มองจากข้างในเห็นสนามหญ้า เห็นชายหาดหมดเลย” ตอนอาบน้ำเสร็จ อ้นไปลุยมาแล้ว
กนธีหัวเราะ ลูบหัวน้อง “ไม่เป็นไรครับ อ้นกับอุ้มนอนเถอะ”
เด็กๆหันไปลงสีภาพต่อ ทำไปกินไปจนข้าวผัดจานใหญ่เหลือไม่ถึงครึ่ง
“คุณยายทานข้าวแล้วหรือโอ๊ต” เขามองอาหารบนโต๊ะ เห็นว่าพร่องไปนิดหน่อย เขาสั่งปริมาณน้อยและแบ่งเป็นมื้อย่อยก็จริง แต่ทานแค่นี้น่าจะลดลงไปแค่คำหรือสองคำเท่านั้น “นอนหรือยังไม่รู้ พี่ไปดูท่านหน่อยแล้วกัน”
อินทัชพยักหน้ารับ เขาหิวจะตายอยู่แล้วเลยตักข้าวใส่จานไว้รอ
กนธีเดินไปทางห้องนอนใหญ่ เคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบกลับเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างจากหน้าบ้านที่เล็ดลอดเข้ามา ห้องนี้เห็นวิวทะเลและหาดทรายได้ชัดเจนแบบมุมกว้างแต่ตอนนี้มีม่านปิดอยู่เลยได้ยินแต่เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น
“คุณยายครับ..” ชายหนุ่มเรียกเสียงเบา มองเงาตะคุ่มที่นอนขดอยู่บนเตียง ดูเหมือนท่านจะหลับไปโดยที่ไม่ได้ห่มผ้าด้วยซ้ำ “ป่วยหรือเปล่านะ”
มืออุ่นแตะบนตัว พึมพำขออนุญาตและสัมผัสหน้าผากหญิงชรา โชคดีที่ไม่มีไข้ อุณหภูมิร่างกายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง อาจจะเพลียจากการเดินทาง
กนธีเดินไปข้างเตียง คลี่ผ้าห่มออกมาคลุมถึงอก เขาเตรียมน้ำใส่แก้วมีฝาปิดและวางหลอดไว้ด้านข้าง เผื่อว่าคืนนี้ท่านหิวน้ำจะได้ไม่ต้องออกไปหา
“ตาหนูหรือ..” เสียงสั่นเครือเรียก
เขาชะงัก ยิ้มรับคำ “ผมเองครับคุณยาย มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แกส่ายหัว ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองกัน
“ถ้าอยากได้อะไร ให้น้องอ้นไปเรียกผมได้นะครับ”
ยายพยักหน้า จากนั้นก็เงียบไป ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก กนธีเลยค่อยๆออกจากห้อง เขาแง้มประตูเอาไว้เผื่อท่านเรียกหา
แสงสลัวจากนอกห้องลอดผ่าน ยายพลิกตัวนอนตะแคงเชื่องช้า ความเจ็บปวดจากความผิดหวังกลายเป็นหยดน้ำตา แกไม่เอะใจเลย..ไม่คิดเลยด้วยว่าเด็กสองคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
แกเห็นทุกอย่าง จ้องมองผ่านหน้าต่าง เฝ้าดูการพูดคุย การสัมผัส กอดและจูบ ความรู้สึกที่ถูกหลานรักโกหกพุ่งเข้าเสียดแทง ทั้งที่บอกแกว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นเจ้านาย แต่สุดท้ายทำไมถึงเกินเลยกันไปอย่างนั้น
ยายเสียใจ ได้แต่คิดวนเวียนไปมา ทำใจเผชิญหน้าเด็กๆไม่ได้ถึงต้องทำทีเป็นเข้านอนก่อน แกกระดากเกินจะยิ้มรับว่าผู้ชายสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน ทั้งยังคิดไม่ตกว่าจะทำสีหน้าแบบไหนถ้าได้เจอคุณกนธี
..จะขอให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับหลานของแกดีไหม..
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ใจก็ฉุกคิด
ถ้าสองคนนั้นรักกัน หากบอกให้เลิกกัน เด็กๆจะเจ็บปวดแค่ไหน จะเสียใจ จะร้องไห้เหมือนที่แกเป็นหรือเปล่า
แกจะทนเห็นคนสองคนที่แกรักและเอ็นดูต้องเจ็บแบบนั้นได้ไหม
..พวกเขามีความผิดรุนแรงแค่ไหนกัน..
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบใบหน้า น้ำตาที่ไหลเมื่อครู่หายไปแล้ว แต่สัมผัสที่ใครบางคนห่มผ้าให้ยังติดตรึง
ความดีของคนคนหนึ่งย้อนกลับ ตั้งแต่ครั้งที่เจอหน้าที่สนามบิน ผู้ชายคนนั้นเข้ามาหา มาพูดคุย ไหว้แกอย่างไม่ถือตัว พาไปพักที่บ้าน ดูแล ให้เกียรติคนบ้านนอกงกเงิ่นอย่างไม่คิดจะดูแคลน ป้อนข้าวป้อนน้ำ รักษาพยาบาลเหมือนเป็นลูกหลาน ไม่เคยทำอะไรขาดตกบกพร่อง
ในชีวิตนี้ จะมีสักกี่คนที่ก้มลงล้างเท้าให้ เช็ดเท้าให้อย่างไม่คิดอะไร จะมีสักกี่คนที่เต็มใจดูแลแก ดูแลหลานๆที่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของแกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวังผลประโยชน์เพราะครอบครัวของแกไม่มีอะไรจะให้ตักตวง
แล้วความดีของคนคนหนึ่ง..จะถูกลบล้างเพียงเพราะเขารักผู้ชายหรือ
สิ่งที่เขาทำให้ด้วยความเต็มใจ..มีค่าน้อยกว่าความถูกต้องหรืออย่างไร
หากแกขอให้ทั้งสองคนเลิกข้องเกี่ยวกันเพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตในแบบผู้หญิงคู่กับผู้ชายอย่างที่เห็นๆมา แกเชื่อว่าทั้งคุณกนธีและเจ้าโอ๊ตก็คงจะทำให้ได้ เพราะเห็นแก่ญาติผู้ใหญ่คนสุดท้าย แต่แล้วแกจะได้อะไร นอกจากความพอใจใน ‘ความถูกต้อง’ ที่รอบด้านเขาทำกัน
ความถูกต้องในแบบที่ลูกสาวของแกเกือบจะกินยาตายเพราะผิดหวังจากผู้ชายที่มันรัก คิดแบบนี้แล้ว..นับว่าการบังคับให้คนคู่กันต้องเป็นหญิงและชายเท่านั้นก็ดูจะใจแคบเกิน บางทีความรักอาจจะไม่มีเส้นกรอบมากำหนดก็ได้
ยายเช็ดน้ำตาที่แห้งหาย วันนี้แกเสียใจคนเดียว แต่ถ้าบังคับเด็กสองคนนั้น จะต้องมีคนเสียใจเพิ่มเป็นสองคน และแกเองก็จะต้องเสียใจตามไปด้วยถ้าหลานไม่มีความสุข ทั้งยังทำให้ผู้มีพระคุณของแกไม่มีความสุข
ตัวแกเองถ้าจะทำให้ได้ดั่งใจก็คงไม่ยาก แต่มันจะเป็นการได้ดั่งใจเพียงไม่นาน เพราะในไม่ช้า ไม้ใกล้ฝั่งอย่างแกก็จะต้องตาย ทิ้งให้หลานต้องอยู่เผชิญโลกตามลำพัง เพียงแต่ว่าแกจะเลือกตายไปแบบคนที่เอาแค่ตัวเอง หรือจะตายไปแบบหมดห่วง ได้ดูหลานมีคนรัก ได้วางใจที่พวกมันมีคนดูแล
ยายน้ำตาคลอ คำที่เคยขอใครคนนั้นไว้ยังวนเวียน
“ถ้ายายตาย ขอฝากหลานสามคนไว้กับคุณได้ไหม ยายไม่ขอให้คุณรับเป็นภาระไปชั่วชีวิต จะไหว้วานไปจนกว่าพวกนี้จะเดินได้ด้วยตัวเองก็พอ”
“ผมสัญญา..ด้วยเกียรติของตัวผมเอง ผมจะดูแลพวกเขาอย่างดี ทุกคนเป็นน้องชาย เป็นเหมือนครอบครัวของผม ต่อให้แยกจากกันไปไหน ผมก็จะคอยช่วยเหลือพวกเขาเสมอ”หากแกไม่อยู่ ครอบครัวสุดท้ายของเด็กๆก็คือคุณกนธี แบบนี้แล้ว แกยังจะเห็นแก่ตัวเอง ดื้อรั้น ดึงดันเอาความคิดของคนใกล้ตายอย่างแกอีกหรือ
..ลืมตามองโลกเสียบ้างเถอะ..
ชีวิตของทุกคนต้องดำเนินต่อไป แกไม่อาจไปกำหนดหรือกะเกณฑ์ใครได้ ถึงจะเลี้ยงอินทัชมา แต่แกไม่ใช่เจ้าของชีวิตหลานมัน แกไม่ใช่เจ้าของชีวิตใครแม้แต่กับตัวเองด้วยซ้ำ แล้วจะไปตัดสินเอาตามใจอยากได้อย่างไร
สุดท้ายแล้ว แกถามตัวเองว่าถ้าอินทัชเลือกที่จะอยู่กับคุณกนธี แกจะรักมันน้อยลงหรือ คำตอบก็คือ..ไม่เลย หลานคนนี้คือลมหายใจของแก และแกจะไม่มีวันลดทอนความรักที่มีให้มันแม้ว่าทุกอย่างจะไม่ได้เป็นไปตามหวังก็ตาม
ครอบครัวก็คือครอบครัว คนในบ้านจะเป็นอย่างไรก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่นั่นเอง เพิ่มสมาชิกขึ้นอีกสักคน ได้หลานชายอีกหนึ่ง..ไม่เป็นไรหรอก
คุณกนธีก็เป็นคนดีเหลือเกิน เมตตาและดูแลครอบครัวของแกถึงขั้นนี้ ตอบแทนด้วยความเอ็นดูนั้นยังน้อยไป แกควรจะรักและให้การต้อนรับอีกฝ่ายอย่างดีที่สุดต่างหาก ในเมื่อแกเป็นคนสั่งสอนเจ้าโอ๊ตให้ทดแทนบุญคุณคนที่ช่วยเหลือในยามยาก แกจะมากลับกลอกคำเอง เห็นทีจะอกตัญญู
ยายยิ้มจาง ค่อยๆกอดกระชับผ้านวมผืนใหญ่ที่ตาหนูของแกห่มให้มาแนบอก ความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกรับเอาไว้คลายลงในตอนนั้นเอง
.....................................................................................
เราอาจชนะหลายๆเรื่องด้วยความดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีแล้วจะได้ความรักกลับมา
บางครั้งอาจจะกลายเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำ มันเป็นแค่เรื่องธรรมชาติ

อุเหม่...มีวาทะ มีวาทะะะ
เปล่าร้อก...แค่ไม่อยากให้รักกันเร็วไป

ปล. ก็บอกล้าวว่าไม่ดราม่าาา ฟีลกู้ด ฟีลกู้ดด เยี่ยงไรจึงไม่เชื่อเราา
