Chapter 40
ปาลินตามมาสมทบกับคุณกนธีที่มูลนิธิสงเคราะห์เด็กกำพร้า ตอนแรกเขาไม่แน่ใจที่อยู่นัก แต่พี่กุนต์ไลน์แผนที่มาให้เลยเรียกให้แท็กซี่มาส่งเอา
เขาแวะสำเพ็ง ซื้อตุ๊กตาลูกหมาขนนุ่มแบบที่เหมือนกันมาประมาณห้าสิบตัว เด็กๆจะได้ไม่แย่งกันว่าของใครสวยกว่า พี่ศรก็ช่วยร่วมด้วยเมื่อรู้ว่าวันนี้เขาจะมาเลี้ยงอาหารเด็กกับพี่กุนต์ ตอนที่ลงจากรถถึงกับต้องแบกหลังแอ่น แต่ถึงแม้จะซื้อมามากแล้วก็คิดว่ายังไม่พอกับทุกคน คงต้องแบ่งกันเล่นและเลือกแจกเป็นวัยไปเพราะเด็กที่มีเยอะมาก ตั้งแต่วัยทารกจนถึงสิบกว่าขวบ
ปาลินมองซ้ายขวา ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ได้เวลาเลี้ยงอาหารหรือยัง จะโทรหาพี่กุนต์ก็เกรงใจ เลยต้องโทรหาเพื่อนสนิทแทน “โอ๊ต..เรามาถึงแล้ว”
อินทัชโผล่หน้ามาจากอาคาร เห็นปาลินแบกของเหมือนซานตาครอสเลยรีบวิ่งเข้ามาหา ฉวยได้ถุงใหญ่ยักษ์ก็คว้าขึ้นพาดไหล่ “ทำอะไรไม่ดูตัวเอง”
“มาถึงก็บ่นเป็นตาแก่เลย” เจ้าตัวย่นจมูก
“หรือไม่จริง” เขาส่ายหัว ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “เช็ดเหงื่อซะ เด็กกะโปโล”
ปาลินทำเสียงฮึดฮัด คล้อยหลังเพื่อนก็เอาผ้าผืนนั้นมาเคี้ยวจนยับเยิน ดีล่ะ..หาว่าเขากะโปโล ไม่ต้องคืนมันเลย เอาไปรองขาโต๊ะให้เข็ด!
กนธีกำลังช่วยเจ้าหน้าที่เตรียมอาหาร พอเห็นปาลินก็ยิ้มทัก “น้องสน” เขามองถุงตุ๊กตาที่โอ๊ตเอามา “น่ารักจังครับ ขอบคุณนะที่มาช่วย”
ร่างเล็กยิ้มเก้อเขิน แต่คงยิ้มกว้างไปหน่อย อินทัชเลยผลักหัวจนเซ
“โอ๊ต..แกล้งเพื่อนอีกแล้ว” กนธีโบกมือไล่ให้ไปช่วยตักกับข้าว “น้องๆกำลังจะมากินข้าวเย็น โอ๊ตกับสนไปช่วยทางนั้นนะ ตักจากในหม้อใส่จานให้ที”
ร่างสูงพึมพำรับ อ้นกับอุ้มยืนข้างพี่กุนต์ ช่วยกันเรียงผลไม้สดกับขนมทองหยอดและฝอยทองใส่จาน คุณไผ่คอยตักข้าวให้ “เอ้า..มัวแต่เหม่อ”
ปาลินเบะปาก เขาไม่ได้เหม่อ เขามองพี่กุนต์อยู่ต่างหาก เขาชื่นชมผู้ชายคนนั้นจริงๆ คนที่รวยแล้วมีใจนึกถึงคนอื่นน่ะ หาได้ไม่ง่ายนักหรอก
เศรษฐีหลายคนไม่ทันสังเกตคนที่ด้อยกว่าเพราะไม่มีเหตุการณ์ในชีวิตที่จะเอื้อให้ร่วมรู้สึกว่าคนที่ขาดแคลนต้องอยู่กันยังไง แต่คุณกนธีกลับเข้าใจและไม่เอาแต่เงยหน้ามองฟ้าหรือเดินอยู่เฉพาะโลกของตน
“ถ้าไม่ติดว่าเป็นของเพื่อนนะ..จะจีบจริงๆ” ปาลินบ่น
อินทัชเลิกคิ้ว วันนี้เมนูต่างไปจากมื้ออาหารทั่วไป พี่กุนต์ให้คนที่ร้านทำข้าวผัดปูเน้นเนื้อขาวอวบชิ้นโต กุ้งชุบแป้งทอด ไข่เป็ดทอดทรงเครื่องที่ราดจนเต็มหน้า กับต้มยำทะเลไม่ใส่พริก มีกุ้ง หมึก ปลากะพง เห็ดฟางแบบเต็มพิกัด
เจ้าหน้าที่ช่วยตักต้มยำใส่ถ้วย ส่วนพวกเขาตักข้าวผัดและวางกุ้งทอดกับไข่ดาวลงในจานหลุม เด็กๆเดินมาหยิบไปวางที่โต๊ะแล้วมาต่อคิวเอาจานขนมกับผลไม้ ตามด้วยเครื่องดื่มคือน้ำลำไยที่ใส่ลำไยแห้งจากเชียงใหม่จนแน่นแก้ว
“มีกับข้าวเผื่อทางเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ” กนธียิ้มให้ “ผมแยกไว้แล้ว”
อ้นช่วยหยิบขนมไทยที่พี่กุนต์ให้ที่ร้านทำ เน้นไข่แดงเต็มที่และปรับรสให้หวานน้อยลง อ้นเองยังน้ำลายสอ ตอนที่วางจานกับโต๊ะ มีเด็กชายคนหนึ่งเดินมารับ ดวงตากลมโตจ้องมองเขาและเงยหน้ามองพี่กุนต์ ใบหน้านั้นมีแววของความสุขแต่ก็ดูเศร้าและหงอยเหงาในคราวเดียว
“พวกพี่..” หนูน้อยอ้ำอึ้ง ทำเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่พูด
กนธีก้มมอง ยิ้มให้อย่างใจดี “ไงเอ่ย..อยากได้เพิ่มไหมครับ บอกได้นะ” เขาให้น้องอุ้มใส่ถุงมือแล้วจับผลไม้เรียง ส่วนตัวเองตักลำไยล้นแก้วยื่นให้น้อง
ร่างเล็กส่ายหัว ก้มหน้าก้มตาเดินจากไป น้องอุ้มมองตาม พี่ชายคนนั้นยังไม่ได้น้ำลำไยเลย แต่ว่าดูไม่กล้าเข้ามาเอา ขนมก็ยังไม่มาหยิบ
กนธีอ่านภาษาเด็กออกเลยกระซิบกับน้อง “ช่วยพี่กุนต์หน่อยคนดี เอาขนมกับน้ำไปให้พี่เขาได้ไหมครับ ถ้าหนูอยากพูดให้กำลังใจเขาก็พูดได้นะ”
อุ้มพยักหน้ารัว ไอ้ตัวน้อยหยิบจานที่มีทองหยอด ฝอยทองกับผลไม้คือเมล่อนญี่ปุ่นและแอปเปิ้ลแจ๊ส เด็กชายเดินไปหาพี่คนเดิมที่ก้มกินข้าว
“พี่ชายฮะ” อุ้มฉีกยิ้มให้ รั้วหน้าแหว่งไปหน่อยแต่ก็กำลังมีฟันขึ้นเล็กๆ “พี่กุนต์ให้หนูเอามา พี่ยังไม่ได้ขนมกับน้ำ อ้าว..” ตัวเล็กมองซ้ายมองขวา บอกว่าพี่เขาไม่มีน้ำแต่อุ้มก็ลืมหยิบน้ำมาให้เสียเอง “แป๊บนึงๆ หนูจะไปเอาให้”
เด็กโตกว่าหันมอง หายไปแวบเดียว น้องก็เดินรี่มาถึงโต๊ะ มือป้อมยื่นน้ำลำไยที่ตักใส่จนล้นปริ่มมาให้ แต่น้องทำหกไปแล้วส่วนหนึ่ง “ข..ขอบใจนะ”
อุ้มยิ้มกว้าง “ขอให้พี่ชายมีความสุขนะฮะ”
เจ้าตัวมองค้าง ก้มหน้าลงต่ำอย่างประหม่า “มีความสุขหรือ..เวลาคนมาก็มีความสุขนะ แต่พอกลับไปก็ไม่มีความสุขเลย..อยากให้มาหาบ่อยๆจัง”
น้องอุ้มเอียงคอมอง “วันนี้หนูก็มีความสุข”
“ต้องมีความสุขอยู่แล้วแหละ มีคนดูแล มีครอบครัว มีพ่อมีแม่พร้อม”
อุ้มทำปากยื่น ส่ายหัวดิก “หนูไม่มีพ่อ ไม่มีแม่นะ มีแต่พี่ชายคนนู้น” เจ้าแสบชี้ไปทางพี่โอ๊ต “กับพี่คนนั้น” ชี้ไปทางพี่อ้น “แล้วก็พี่คนนี้” ชี้พี่กุนต์
“ตัวเองไม่มีพ่อแม่ด้วยหรือ” อีกฝ่ายถามอย่างงุนงง
“อื้อ! ไม่มีหรอก พ่อทิ้งไปแล้ว แม่ก็ตายแล้ว” อุ้มยิ้มให้ “แต่ว่าหนูก็มีความสุขนะ แล้วพี่ล่ะ..มีความสุขไหม โตขึ้นหนูจะเป็นคนดีแหละ” เรื่องที่พูดไม่ค่อยเกี่ยวข้อง แต่อุ้มอยากบอก “มีความสุขที่ได้เป็นคนดีก็พอ..พี่กุนต์บอกหนู”
เด็กชายน้ำตาคลอ..โดยไม่ทันรู้ตัว น้องก็เข้ามากอด
ความอบอุ่นจากการเป็นที่ต้องการของใครสักคนแผ่ซ่านในใจ พวกเขาแค่ต้องการมีคนรัก มีครอบครัวเหมือนเด็กคนอื่น แค่ถูกกอดเท่านี้ก็พอใจแล้ว
“หนูไปแล้วนะ” อุ้มโบกมือ “กินแล้วมีตุ๊กตาให้แหละ มานะ..มานะ”
“อือ..ขอบใจนะ”
อุ้มยิ้มเริงร่า วิ่งตุปัดตุเป๋กลับมาซบขาพี่กุนต์ กนธีคอยมองอยู่ตลอด พอเห็นแบบนั้นก็ลูบหัวน้อง แต่เขาไม่ได้ก้มลงกอดตอบหรอก เพราะไม่อยากจะแสดงความรักกับอ้นและอุ้มต่อหน้าเด็กที่น่าสงสารเหล่านี้ หากว่าจะกอดใครสักคน เขาก็ต้องการกอดทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างเท่าเทียม เลยได้แต่ออกปากชมน้อง
“เก่งจริงๆอุ้มของพี่ ทีนี้ก็มาช่วยกันใส่ผลไม้ต่อนะครับ” เขายิ้ม กลับไปนับเนื้อลำไยให้ถึงยี่สิบลูก นานๆจะได้กินที เขาอยากให้กินของดีแบบเต็มอิ่ม
เด็กๆยังทยอยกันมารับอาหาร หลายคนยิ้มให้ หลายคนบอกขอบคุณ หลายคนแสดงความดีใจอย่างไม่ปิดบัง อาหารอร่อย ขนมหวานแปลกตา ผลไม้ก็ไม่เคยกิน แล้วยังจะมีตุ๊กตามาให้อีก ทุกคนตื่นเต้นกันมาก
เด็กหญิงตัวน้อยเดินมารับน้ำลำไย เห็นเนื้อลำไยอันโต๊โตแล้วอดก้มลงงับมาชิมไม่ได้ “หวาย..อร่อยจังเลย ขอบคุณค่ะ” ย่อตัวไหว้จนติดพื้น
กนธียิ้ม มองอย่างเอ็นดู “กินหมดแล้วมาเติมอีกได้นะคะ มีเพียบเลย”
สาวตัวจ้อยยิ้มเอียงอาย ขยับออกไปให้เพื่อนมาหยิบบ้าง
กนธีตักน้ำใส่จนครบทุกคนแล้วก็ผละออกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ นอกจากจะมาเลี้ยงอาหารเด็ก เขายังเอาของบริจาคที่จำเป็นมาให้ ทางคนดูแลขอบคุณและถามว่าเขาต้องการจะถ่ายรูปตอนส่งมอบไหม แต่กนธีปฏิเสธ
เขามาเลี้ยงเด็กๆในนามของตัวเอง ไม่ได้ทำในนามของบริษัท และทำเพื่อความสุขส่วนตัว ไม่ได้ทำเพื่อจะเอาภาพไปบันทึกในโปรไฟล์อะไร อย่างมากก็ส่งข่าวต่อกันเพื่อที่ว่าเพื่อนคนอื่นจะได้อยากมาเลี้ยงอาหารน้องบ้างเท่านั้น
“ขอบคุณนะคะ ทุกคนดูมีความสุขมาก” เจ้าหน้าที่บอก “เด็กทุกคนหวังและรอคอยให้มีคนมาเยี่ยม มาคุยและมากอดที่สุด”
กนธีรับฟังอย่างเข้าใจ ระหว่างยืนคุย มีน้องคนหนึ่งมายืนเมียงมอง เขาเลยยิ้มให้ เด็กน้อยโผเข้ากอดหมับ เอาหน้าซุกขาและรัดแน่นไม่ปล่อย
“อ้าว..คนเก่ง” ชายหนุ่มก้มลงใกล้ เพียงเท่านั้นเด็กก็เข้ามาซุกอก เขานิ่งอึ้ง หัวใจไหววูบไปด้วยความสงสาร ต้องยกแขนขึ้นกอดน้องและลูบหัวเบาๆ
“กินข้าวเสร็จแล้วหรือคะ..ไปกินข้าวก่อนเร็ว” คนดูแลบอก
เจ้าหนูส่ายหัวดิก ไม่ยอมปล่อยกนธี “พ่อจ๋า..พ่อมารับหนูเหรอ”
คนอายุมากกว่ารู้สึกจุกในอก ลำคอตีบตันขึ้นเหมือนมีอะไรขวาง ทางพี่เลี้ยงจะเข้ามาปลอบและพาไป แต่เขาขอเวลากอดน้องให้แน่นกว่านี้อีกหน่อย
“หนูน้อย” กนธีลูบหัวอย่างอาทร เจ็บปวดในหัวใจที่สุด
“เป็นพ่อของหนูได้ไหมจ๊ะ” เด็กชายมองด้วยดวงตากลมป๊อง “พาหนูกลับบ้านไปด้วยได้ไหม หนูอยากมีพ่อ อยากมีแม่ อยากมีคนกอดเหมือนคนอื่น”
เขาสะอึก ในอกเหมือนถูกบีบ เขาไม่สามารถพูดตอบรับอะไรที่จะเป็นการให้ความหวังเด็กออกไปได้ ทำเพียงแค่กอดน้องให้แน่น “ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นพ่อลูกกัน แต่ทุกคนที่มาที่นี่ก็มีความรักมาให้พวกหนูเต็มที่นะครับ”
ร่างเล็กดูซึมเซา มือน้อยๆที่เปื้อนคราบดำเพราะพี่เลี้ยงดูแลได้ไม่ทั่วถึงบิดชายเสื้อของคนตรงหน้า “จะมาหาหนูอีกใช่ไหมจ๊ะ”
กนธีสอดมือเข้าไปกุมปลายนิ้วของน้อง เขาเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเหนียวกลางฝ่ามือให้อย่างใส่ใจและไม่นึกรังเกียจทั้งที่เด็กน้อยเพิ่งจะเอานิ้วเข้าปากและเช็ดน้ำมูกของตัวเองมา เขายิ้มอ่อนโยน ลูบหัวชื้นเหงื่อเบาๆ
“พี่คงบอกไม่ได้ว่าจะมาอีกเมื่อไร” เขาปลอบ “แต่วันนี้ พี่ดีใจที่ได้มาหาหนูกับเพื่อนๆนะครับ ตอนแรกพี่กังวลมากเลยว่าหนูๆจะอยากเจอพี่ไหม”
“อยากเจอ อยากเจอมากๆเลย” เจ้าหนูพยักหน้าหงึก “พี่ๆใจดี”
กนธียิ้ม “พวกหนูเองก็น่ารักและต้อนรับพวกพี่ดีมาก ขอบคุณนะครับ” เขาเช็ดแก้มที่เปื้อนคราบน้ำมูกให้ “ทีนี้..เราไปกินข้าวกันนะ ข้าวเย็นหมดแล้ว”
เด็กชายเดินตามคนที่จูงมือไปที่โต๊ะอย่างเชื่อฟัง
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของอินทัชตลอด เขาตักอาหารเสร็จแล้ว กำลังช่วยปาลินนับตุ๊กตาอีกรอบ แต่นับผิดนับถูกอยู่เรื่อยเพราะไม่มีสมาธิ
“รู้ตัวไหมว่าตั้งแต่เรามา โอ๊ตมองพี่กุนต์ตาไม่กะพริบเลย” ปาลินแซว
อินทัชขมวดคิ้ว “พูดอะไรน่ะ” เขาคิดว่าไม่ได้เปิดเผยท่าทีออกไปแล้ว
“นี่..ถ้ารู้สึกอะไรกับพี่เขาก็แสดงให้ชัดเลยเถอะ” พูดด้วยสีหน้าจริงจัง บุ้ยใบ้ให้ดูผู้ชายที่ดีอย่างหาตัวจับยาก “หนึ่งในร้อยจะมีสักคนนะ”
ร่างสูงเงียบกริบ เขาหยุดนับแล้วเงยหน้ามองปาลิน ดูเพื่อนสนิทก้มลงสำรวจสภาพว่าไม่มีตุ๊กตาตัวไหนขาดหรือเย็บลวกๆ
..เมื่อไรกัน..ที่หัวใจไม่ได้เรียกร้องอยากให้มีอีกฝ่ายเหมือนเคย..
“ครบแล้ว น่าจะโอเคแหละ” ปาลินพึมพำ นี่คือครั้งแรกที่ซื้อของมาแจกเด็กเลยอดเกร็งไม่ได้ “เสียดายแฮะ พี่ศรน่าจะมาด้วย ใช่ไหมโอ๊ต..” เอียงคอมองคนที่ดูเหม่อลอย เลยโบกมือตรงหน้า “เฮ้..มองเลยไปไหน..คุณอินทัช”
เจ้าของชื่อจับปลายนิ้วที่ปัดไปมา เขากุมมันไว้ ค้นหาสัมผัสอุ่นละมุนและความห่วงใยที่เคยมีเมื่อได้อยู่ใกล้ชิด แต่ยิ่งสำรวจลึกลง มันก็ยิ่งเบาโหวง
ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่เข้มข้นชัดเจนกับปาลิน เขาพอใจที่จะรักษาสถานภาพความเป็นเพื่อนเอาไว้ ยอมมองอยู่ไกลๆ ไม่ดิ้นรนอยากได้ ไม่ทุรนทุรายอยากครอบครอง ไม่เคยกราดเกรี้ยวหึงหวง ที่เป็นแบบนี้จะด้วยเหตุว่าเขาขี้ขลาด ไม่กล้าเสี่ยง หรือเพราะความรู้สึกยังหนักแน่นไม่พอให้สารภาพออกไปก็ตาม แต่เขาก็คิดว่าเขาชอบปาลินจริงๆ สังเกตจากความอบอุ่นที่เต็มตื้นในอกและความสุขเวลาอยู่ใกล้กันอย่างที่ไม่เคยเกิดกับใครในชีวิต
เขาเป็นแบบนี้มานานโดยไม่เคยคิดติดใจในความรู้สึกตน
แต่มาวันนี้ ความชอบของเขากลับเบาบางและห่างไกลจนสัมผัสไม่ได้ มันไม่ได้มีความสุข ไม่ได้อยากใกล้ชิด ไม่ได้ใจเต้น ไม่ได้ต้องการมีตัวตนอยู่ในสายตาของปาลินอีก ความรู้สึกที่ราบเรียบและธรรมดาเหมือนสายน้ำในบึง ตอนนี้กลับยิ่งสงบนิ่งและจับต้องไม่ได้ราวกับหมอกควัน
..คล้ายกับว่า..เขาไม่ได้ชอบปาลินอีกต่อไป..
“โอ๊ต..” ปาลินอ้ำอึ้ง มองคนที่ประสานนิ้วลงมากับมือเขา “ทำอะไร”
อินทัชนิ่งเงียบ เขากำลังคิดไม่ตก..คำถามต่อมาก็คือ ความรู้สึกที่มีต่อปาลินมันลดน้อยถอยลงไป เพราะอะไร..เพราะใครบางคนที่ชื่อกนธีใช่ไหม
แล้วถ้าอย่างนั้น ความรู้สึกที่เขามีต่อพี่กุนต์ มันเข้มข้นจริงจังมากน้อยแค่ไหน จะมีวันลดทอนและเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า จะรับผิดชอบและรักษาคำพูดของตนโดยไม่ทำให้ใครบางคนเสียใจได้หรือไม่..ในเมื่อเขาเปลี่ยนใจจากปาลินเพราะกนธีได้..มันจะมีวันที่เขาเปลี่ยนใจจากกนธีไปหาคนอื่นไหม
..เขาไม่มีคำตอบตรงนี้เอาไว้เลย..
“โอ๊ต” ปาลินดึงมือหนี ทำอะไรไม่ถูกเมื่อโดนจ้องมอง “เมาค้างหรือไง”
อินทัชได้สติ เขาขยับตัวนั่งพิงเสาพลางหลุบตาลงต่ำ “เปล่า..”
“ถ้าเลิกเหม่อก็ขนตุ๊กตาไปตรงนู้นดีกว่า น้องๆกินเสร็จแล้วแหละ”
เขาพยักหน้า ก้มลงแบกถุงของไปวางที่ลานกิจกรรมโดยไม่ทันเห็นว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งมองมา..สายตาของคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาวุ่นวายใจ
หลังจากเด็กกินข้าวเสร็จ กนธีบุ้ยใบ้ให้ปาลินเป็นคนแจกตุ๊กตาน้องๆเพราะเจ้าตัวอุตส่าห์ไปซื้อมา เขาเพียงแต่นั่งมอง ปรบมือไปกับความตื่นเต้นดีใจของทุกคนและคุยกับเจ้าตัวน้อยคนอื่นที่มายืนออ บางคนก็ขอให้เขากอดสักครั้ง
กนธีคุกเข่าลง กอดเด็กที่เข้ามาซุกในอ้อมแขน เขาลูบแผ่นหลังเล็กด้วยความอ่อนโยน “ขอให้หนูเป็นเด็กดีนะครับ..พี่ดีใจที่ได้มาเจอทุกคนนะ”
เด็กเล็กยืนเก้กัง อยากจะเข้ามาหาบ้างแต่ถูกเด็กโตเบียดเสียด กนธีผลัดไปกอดทีละคนและเป็นฝ่ายเดินไปหาเจ้าตัวจ้อยที่ไม่กล้าเข้ามา เขายิ้มให้ เอ่ยปากทักทายและลูบแก้มแผ่วเบา เพียงเท่านั้นน้องก็เข้ามากอดรัดแน่น
ทางด้านพสิษฐ์นั้น เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ เลยพยายามทำตัวลีบเพราะกังวลว่าเด็กจะกลัว แต่พอนั่งยองๆลงคุย เขาก็แทบถูกรุมทึ้งจากบรรดาเด็กหญิงเด็กชายทั้งหลาย ไม่ต่างจากอินทัชกับปาลินเลย
ทุกคนโหยหาความรักความอบอุ่น นั่นเป็นพื้นฐานของการมีชีวิต ไม่มีหัวใจดวงไหนจะแข็งแกร่งและเผชิญโลกภายนอกได้อย่างเข้มแข็งถ้าปราศจากพลังใจที่ดี การถูกทอดทิ้งสามารถสร้างความคิดฝังใจให้เด็กๆได้ว่าชีวิตนี้หนูคงไม่เป็นที่ต้องการของใคร ดังนั้นกนธีจึงมาที่นี่เพื่อจะเผื่อแผ่ความรู้สึกของคนที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน เพื่อบอกว่ายังมีคนที่พร้อมให้ความรักกับน้องทุกคนเสมอ
อ้นกับอุ้มยืนมองพี่กุนต์กอดเด็กๆในมูลนิธิ ทุกครั้งที่พี่กุนต์กอดคนไหน คนนั้นจะยิ้มสว่างไสวเหมือนโลกทั้งใบมาอยู่ตรงหน้า อ้นกับอุ้มเลยจำภาพนั้นได้ขึ้นใจว่าการกอดกันมีความหมายและสร้างความสุขได้มากแค่ไหน
การเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าในวันนี้จบลงด้วยดี เด็กๆโบกมือและยิ้มให้พี่ๆที่มากันอย่างพร้อมเพรียง ทำเอาเจ้าของวันเกิดอย่างกนธีเดินตัวเบา
อินทัชเก็บขยะพวกพลาสติกกับกล่องที่บรรจุอาหารใส่ถุงดำและทิ้งลงถังใหญ่ พวกถาดอาหารที่มาจากร้าน เขากับปาลินเอาไปเก็บไว้ท้ายรถตู้ ขามา มีพี่ที่ร้านขับรถกระบะมาส่งเพราะทำอาหารกันสดๆตอนเที่ยง เรียกได้ว่าวันนี้เด็กทุกคนได้กินของร้อนๆใหม่ๆ ทั้งคุณภาพดีและถูกอนามัยกันแบบถ้วนหน้า
“ครบหรือยัง” เขาถามเพื่อนที่วางถาดใบสุดท้าย
“อื้อ” ปาลินพยักหน้า ช่วยปิดท้ายรถ “ขอไปล้างมือก่อนนะ”
“เราไปด้วย” ร่างสูงเดินตามไปที่ก๊อกน้ำด้านหน้า เขารอสบู่จากปาลินและถูมือตัวเองบ้าง “วันนี้สนุกไหม เราไม่เคยมาที่แบบนี้เลย”
“มากๆ” เจ้าตัวยิ้ม “พี่กุนต์ทำให้เราคิดได้ว่า วันเกิดเราปีนี้ หาเวลาไปเลี้ยงอาหารเด็กหรือซื้อของไปแจกคนที่เขาไม่มีดีกว่า รู้ไหมว่ารอยยิ้มของทุกคนที่เราให้ความรักกับเขาน่ะ มันมีความสุขกว่าคำอวยพรที่เราได้มาหลายเท่า”
อินทัชยิ้มตาม เขาเองคงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นผู้ให้ถ้าไม่ได้มากับพี่กุนต์..คิดมาถึงตรงนี้ ความภูมิใจก็วาบเข้ามาอย่างไม่ให้ตั้งตัว
กนธีพาอ้นกับอุ้มไปขึ้นรถ กว่าจะทำอะไรเสร็จก็หกโมงกว่าแล้ว เขาตั้งใจจะให้คนขับรถไปส่งปาลินที่บ้าน น้องจะได้ไม่ต้องเดินทางกลับเอง
“ไผ่เห็นโอ๊ตกับน้องสนหรือเปล่า” เขาถามพสิษฐ์ที่ยืนกินเมล่อนที่เหลือ
“น่าจะไปล้างมือนะ” ชายหนุ่มเคี้ยวเอื่อย “ยังเหลือไหม แบ่งมาบ้างสิ”
กนธีส่ายหัวระอา ไอ้หมอนี่ก็ตะกละเหมือนเขานั่นแหละ “มีอีกลูกสองลูกที่บ้าน คืนนี้มากินด้วยกัน พวกป้าๆเขาอยากกินพิซซ่า พี่เลยให้เขาโทรสั่ง”
คนฟังหัวเราะในลำคอ บ้านกนธีก็เป็นแบบนี้ วันเกิดเจ้าภาพไม่มีงานเลี้ยงรื่นเริงหรอก มีแต่ออกไปทำบุญ จากนั้นก็กลับมาทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินแล้วแต่ว่าคนในบ้านจะอยากทานอะไร ปีก่อนไปบ้านพักคนชรา แล้วตบท้ายด้วยบาร์บีคิว ปิ้งย่างกับจุ่มแซ่บในสวน ไอเดียป้าคนครัว ปีนี้กลายเป็นพิซซ่า ปีหน้าอาจจะเป็นไก่เคเอฟซีหรือเบอร์เกอร์ของแมคโดนัลด์ก็ได้
“อยากกินสเต็กโคขุน” พสิษฐ์บอก “พิซซ่านี่มันแป้งนะ”
“พี่ไม่กินเนื้อเว้ย ถ้าอยากกินเอาไว้ไปปากช่องกับพี่แล้วจะเลี้ยง”
คนฟังหัวเราะหึ “ไปหาไอ้ขี้เกลือน่ะหรือ..ผมไม่ไปด้วยหรอก”
กนธีขบขัน “เราอยู่บ้านเรา เขาอยู่บ้านเขา กลัวอะไรน่ะ”
“นั่นแหละ มีเพื่อนบ้านแบบนี้ ซวยบรม” พสิษฐ์ถอนหายใจ “ไปตามเด็กๆมาไป จะได้กลับกัน นี่ถ้าไม่เห็นว่าพี่จะเลี้ยงพิซซ่านะ ผมไม่กินจริงด้วย”
“ไอ้ขี้เกลือคนที่สอง!” เชื่อน้องมันเลย ติดเชื้อผ่านทางคำด่าหรือไง
กนธีเดินไปตามอินทัชกับปาลิน เห็นทั้งสองยืนคุยกันอยู่ก็ยิ้มไปแต่ไกล
ปาลินเพิ่งล้างมือเสร็จ เขาเอี้ยวหลบเพื่อนที่ดีดน้ำใส่หน้า ไม่รู้หมั่นไส้อะไรนัก เขาแค่พูดว่าวันนี้พี่กุนต์ดูดี น่าจีบแค่นั้นเอง “เข้าตาหมดแล้ว~”
“โทษๆ..มานี่มา เดี๋ยวดูให้” อินทัชหัวเราะ “ไหนผ้าเช็ดหน้าเรา”
“เนี่ยเรอะ..กัดขาดไปเรียบร้อย” เขาชูให้ดู ไม่ได้ขาดจริงหรอก แค่แหย่
กนธีมองอินทัชที่ล็อคคอปาลินแล้วขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เขาบอกกับตัวเองว่าเด็กทั้งสองสนิทกันดี และเจ้าโอ๊ตมีเพื่อนที่ดีแบบนี้เขาก็ควรวางใจ
“โอ๊ต..สน” เขายิ้ม “กลับบ้านกันเถอะ พี่จะให้คนขับแวะไปส่งสนด้วย”
“อ๊ะ..ไม่เป็นไรครับพี่กุนต์ ผมกลับเองได้” ปาลินยัดผ้าเช็ดหน้าคืนเพื่อน
กนธีหลุบตามอง ผ้าเช็ดหน้าลายสก็อตของ Burberry ผืนนั้น เขาจำได้ว่าซื้อให้อินทัชในวันที่ไปเดินห้างด้วยกัน เป็นวันเดียวกันกับที่ซื้อชุดนิสิตใหม่ให้ เพราะเสื้อตัวเก่ามันคับและกางเกงก็ขาสั้นขึ้นเพราะเด็กหนุ่มสูงขึ้นรวดเร็ว
เมื่อคิดว่าอินทัชยกผ้าเช็ดหน้าให้เพื่อนสนิทใช้ เขาก็เสียดแวบในใจ
กนธีปรามตัวเองให้หยุดงี่เง่า “มาเถอะ อย่าคิดมากเลย”
ปาลินดูเกรงใจไม่น้อยจนเขาสงสาร ถึงกับต้องนึกด่าตนอย่างหนักที่เผลอใจแคบแม้กระทั่งกับผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว..ช่างไร้สาระเสียจริง
“เอ่อ..ขอรบกวนด้วยนะครับ” ร่างเล็กหัวเราะแหะ ตามไปขึ้นรถตู้
อ้นกับอุ้มนั่งอยู่เบาะหลังกับคุณอาไผ่ เจ้าแสบสองตัวเดินกันมาทั้งวัน สุดท้ายก็ผล็อยหลับอยู่ข้างพสิษฐ์ที่ต้องแบ่งแขนซ้ายกับแขนขวาให้น้องๆพิง
อินทัชเข้ามานั่งข้างกนธี ฝ่ายนั้นหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูไลน์ที่ไม่ได้อ่านเกือบทั้งวัน เขาเหลือบมองเห็นบทสนทนาจากคุณไผทขึ้นมายาวเหยียด
ดูเหมือนว่าสองคนนี้ ต่อให้ไม่ได้เจอหน้าก็ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ
“สายตาเสียนะครับ” เขาบอก “มันมืดแล้ว หน้าจอก็สว่างเกิน”
กนธีเลยเอื้อมมือเปิดไฟเหนือหัว อินทัชขมวดคิ้ว..คนอะไร รั้นกว่าเด็ก
“รถเคลื่อนอย่าเอาแต่เพ่งครับ” เด็กหนุ่มเตือน แต่อีกฝ่ายทำหูทวนลม สุดท้ายเขาเลยเอามือวางทับหน้าจอแล้วจัดการปิดไฟทันที “พี่มีตาคู่เดียวนะ ไลน์น่ะจะตอบเมื่อไรก็ได้ ให้เขารอแค่นี้คงไม่ดิ้นตายหรอกมั้ง”
คนฟังบ่นในลำคอ แว่วเสียงปาลินหัวเราะคึ่กๆแล้วชะโงกหน้ามาคุย
“ขี้บ่นเหมือนพ่อเลยใช่ไหมครับพี่กุนต์” เขาย่นจมูกใส่เพื่อน
กนธีส่ายหัวตาม หลุดยิ้มออกมาเมื่ออินทัชบ่นต่อ ไอ้เด็กเปรตนี่ถึงจะพูดมากและคอยตามประกบเหมือนผู้ปกครอง แต่เขาก็รู้สึกดีที่มัน..ห่วงใย
..แค่นี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง..ทำไมไม่รู้จักจำ..
รถของพสิษฐ์มาส่งปาลินถึงหน้าบ้าน กนธีเป็นคนเลื่อนประตูให้แล้วยิ้มส่ง บอกว่าค่อยเจอกันพรุ่งนี้ ปาลินเลยยกมือไหว้ขอบคุณ
“สุขสันต์วันเกิดครับพี่กุนต์ ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ”
กนธียิ้มรับ อดละอายใจขึ้นมาไม่ได้ที่วูบหนึ่งเขาคิดอะไรไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย เด็กคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของอินทัช จะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม
“ขอบคุณมากนะน้องสน..เอาไว้วันไหนเราไปเที่ยวกัน” เขาชวนอย่างจริงใจ “เพื่อนพี่ที่อยู่ปากช่องเขาชวนไปเยี่ยมบ้าน ไว้ว่างๆไปกันนะ”
ปาลินดูเคอะเขิน ไม่ได้ตอบรับอะไรนอกจากยกมือสวัสดีแล้วยืนส่ง
“พี่จะไปจริงหรือครับ” อินทัชถามคนที่ขยับมานั่งที่เดิม
“อ้าว..แล้วจะไปปลอมๆทำไมล่ะ” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี เวลาที่กำจัดความคิดด้านลบออกไปได้จะรู้สึกว่าใจเบาโหวง แบบนี้แหละดีที่สุด
“ผมว่าเขาชวนพี่คนเดียวมั้ง” ร่างสูงเหยียดปาก “คนอื่นน่าจะตัวแถม ตามไปคงเกะกะเปล่าๆ” คุณไผทยังไม่ออกปากชวนคนที่เหลือสักคำ
“คุณไทชวนพี่ไปบ้านเขา แต่พี่จะชวนพวกเราไปบ้านของไผ่..โอเคไหม”
อินทัชไม่โต้ตอบอะไร อย่างน้อยก็ดีกว่าการที่พี่กุนต์จะไปคนเดียว
เมื่อกลับมาถึง ปาร์ตี้พิซซ่าเล็กๆในสวนก็เริ่มขึ้น แสงสีเหลืองนวลจากหลอดไฟที่พันอยู่รอบต้นไม้ให้ความสว่าง โต๊ะยาวถูกลากออกมาวาง เด็กๆในบ้านช่วยกันตัดดอกไม้มาปักแจกัน จุดเทียนในแก้วเพิ่มความโรแมนติกอีกนิด เท่านี้การกินมื้อค่ำก็ดูเหมือนงานเลี้ยงย่อยๆแล้ว
ยายแวะมาหาครู่หนึ่งก่อนกลับไปพักผ่อน แกเพิ่งจะกินมื้อเย็นเสร็จจึงไม่ได้มานั่งที่โต๊ะด้วย คุณพยาบาลพาแกเข้านอนแล้วเลยมาร่วมแทน
กนธีนั่งหัวโต๊ะ คอยฟังพวกเด็กๆคุยกันเฮฮาและเหมาพิซซ่าหน้าซีฟู้ดคนเดียวสามชิ้น กินปีกไก่แบบไม่กลัวเป็นโรคเกาต์ ตามด้วยขนมปังกระเทียมและน้ำอัดลมสองแก้วใหญ่แข่งกับอ้นและอุ้มจนเผลอสะอึกออกมาติดกัน
อินทัชไม่ค่อยชอบกินแป้งเยอะนัก เขาเน้นไปทางโปรตีนมากกว่า พอเห็นพี่กุนต์ซัดมื้อดึกเต็มที่แบบนั้นก็ต้องเดินมาหยิบพิซซ่าชิ้นที่สี่ออกจากมือ
“ชิ้นนี้ขอเป็นสลัดแทนดีกว่าพี่ เดี๋ยวก็อ้วนเป็นลูกขนุนหรอก”
“อ้นกับอุ้มคิดว่าพี่จะกลายเป็นลูกขนุนไหม” กนธีหาตัวช่วย
“ม่าย~” น้องๆส่ายหัวดิก “พี่กุนต์กินทั้งถาดก็ยังล้อหล่อ!”
เจ้าตัวเลยยักไหล่ อ้าปากงับแป้งหนานุ่มชิ้นนั้นเข้าไปจนได้ แต่พอเห็นเด็กมองคล้ายกับว่าเหนื่อยจะพูด เขาก็ต้องหยุดเคี้ยว เลื่อนสลัดจานเดิมกลับมาตรงหน้าก่อนยัดมะเขือเทศเข้าไปทีเดียวสามลูกจนแก้มตุ่ยอย่างเซ็งๆ
“เก่งมากครับ” เด็กหนุ่มยิ้ม “ผมไม่อยากพูด แต่พี่อ้วนขึ้น รู้ตัวไหม”
กนธีกัดมะเขือเทศดังกร๊อบเป็นการแก้แค้น ก็ช่วงนี้เขาต้องทำงานที่ร้าน เลยไม่มีเวลาเข้าฟิตเนส ไม่ได้ออกกำลังกายเลยด้วย จะไม่อ้วนได้ไงวะ
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมจะจับพี่ไปเล่นกีฬา” อินทัชบอก “ผมเองก็เริ่มอ้วนแล้วเหมือนกัน อยู่ดีกินดีเกิน ขืนเป็นแบบนี้ต่อ เปิดเทอมมาคงต้องคลานไปเรียน”
“พี่ไม่มีเวลานี่ ต้องไปร้านทุกวันเลย”
“ถ้าตั้งใจจริงก็อ้างคำนั้นไม่ได้ครับ” เขาดุ “ครึ่งชั่วโมงก็ออกกำลังกายได้แล้ว ว่ายน้ำก็ยังดี หรือจะวิ่งเหยาะๆก็ไหว ผมรู้นะว่าพี่แค่ขี้เกียจ”
“ฮึ่ม..” กนธีเอาฟันฉีกผักเบบี้คอสเป็นชิ้นๆ เจ็บใจจริงๆให้เด็กมาว่า
พสิษฐ์ที่กำลังกินพิซซ่าชิ้นที่ห้าหลุดยิ้ม รู้สึกเบาใจไม่น้อยที่พี่กุนต์ได้เด็กมันมาดูแล ถ้าลุงคิดจะเริ่มต้นใหม่กับคนคนนี้ เขาก็คิดว่าไม่เลวนักหรอก
..แต่อันดับแรก..คว้าหัวใจของเด็กมันมาให้ได้ก่อนก็แล้วกัน..
.
.
.
ต่อด้านล่าง