บ่ายวันพุธ อินทัชเรียนขับรถเสร็จแล้วเลยกลับมาที่บ้านใหญ่ ตอนแรกเขาจะไปหาพี่กุนต์ที่คอนโด แต่ทางนั้นบอกว่าจะมาหาเลยได้แต่นั่งรออย่างใจจดจ่อ
วันนี้เขาเดินไปเดินมาตั้งแต่กลับจากข้างนอก ทั้งที่เหงื่อไม่ได้ออก แต่เด็กหนุ่มก็ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เลือกเสื้อยืดที่เพิ่งซื้อกับกางเกงยีนส์ตัวโปรด จากนั้นก็หวีผมและมองกระจกอยู่นานจนไอ้อ้นทักว่าเป็นนกหงส์หยก
“ยุ่งน่า” อินทัชผลักหัวน้อง เขาปล่อยให้ไอ้สองแสบมาวุ่นวายในห้องนานแล้วเลยว่าจะไล่มันออกไป “เอาเรือไปเล่นที่สระสิ อย่าเกะกะพี่”
อ้นเบะปาก เข้าไปวนเวียนแถวโต๊ะวางของแล้วหยิบโรลออนของนีเวียที่พี่เพิ่งซื้อมาเปิด ดมฟุดฟิดพึมพำว่าหอม อินทัชเลยเอาทิ่มจมูกมันซะเลย
“อ้นทาบ้างได้ป่ะ” เด็กชายถาม “อันนี้ทานี่ใช่ไหม” เคยเห็นโฆษณา อ้นเลยชูแขนขึ้นแล้วเอามาทาถู ทาถูเลียนแบบทีวี ทำเอาพี่โอ๊ตแทบจะบีบคอ
“นี่มันของส่วนตัว ใช้ด้วยกันได้ที่ไหน” เขากุมขมับ ไอ้อ้นเอาไปทารักแร้ของมันเสียแล้ว น่าเตะเป็นบ้า “เกะกะมากไอ้เด็กคนนี้นี่ ออกไปเลย”
อ้นหัวเราะชอบใจ ยังไม่ทันขยับ น้องอุ้มก็หยิบกระปุกเจลแต่งผมของพี่โอ๊ตลงมาละเลงที่ขา เด็กน้อยนึกว่าเป็นโลชั่นตัวใหม่นี่นา
อินทัชยีหัวตัวเอง ได้แต่หิ้วปีกไอ้สองหน่อออกไปนอกห้อง
“ไปรอที่ห้องรับแขก เดี๋ยวพี่ตามไป แล้วนั่งนิ่งๆ ห้ามซนนะ!”
“พี่โอ๊ตจะไปไหน บอกอ้นมาก่อน ไม่งั้นไม่ไป!” อ้นโวยวายใหญ่
“ไปเดท!” เขาตอบน้องตรงๆ “เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กห้ามยุ่งเว้ย”
น้องอุ้มทำคิ้วผูกโบว์ “เดทคืออะไรอ่ะพี่อ้น”
“นั่นดิ..” อ้นก็ไม่รู้จักเหมือนกัน “แต่พี่โอ๊ตแต่งหล่องี้ ต้องไปหาสาวแน่”
อินทัชหัวเราะหึๆ สาวบ้าอะไร..หนุ่มชัดๆ แต่มาคิดอีกทีก็ไม่หนุ่มเท่าไร ต้องบอกว่าแก่แล้วต่างหาก ย่างสี่สิบเอ็ด..แต่ทำเอาเขาหมดแรงทุกที
มีเสียงบีบแตรดังอยู่หน้าบ้าน เขาหันมอง รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หากยังไม่ทันทำอะไร ไอ้ตัวร้ายทั้งสองก็วิ่งแน่บลงไปข้างล่างก่อนแล้ว
“พี่กุนต์มา~” เสียงไอ้อ้นกับไอ้อุ้มแผดดังขึ้นมาถึงชั้นสอง
อินทัชสำรวจตัวเองครั้งสุดท้าย รู้สึกใจเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็น แถมยังดูเก้กังจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน จะว่าไป..นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยชวนใครคนหนึ่งออกเดทแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีข้ออ้างอย่างอื่นเลย
เด็กหนุ่มสำรวจเงินในกระเป๋า วันนี้เขาจะเป็นเจ้ามือทั้งหมด
พอเดินลงมาข้างล่าง อินทัชก็เห็นพี่กุนต์กำลังกอดรัดอยู่กับไอ้เด็กบ้าสองคน เขายิ้มให้เมื่อเจ้าตัวเงยหน้ามองและยกมือทักทาย
พี่กุนต์ใส่เชิ้ตสีดำพับครึ่งแขนกับยีนส์สกินนี่เข้ารูปเน้นช่วงขาเพรียวยาว ทำให้รูปร่างสูงโปร่งนั้นดูเหมือนหุ่นนายแบบที่ใช้โชว์เสื้อผ้ายิ่งกว่าเดิม ซ้ำอีกฝ่ายยังไปตัดผมมา ปลายผมที่ยาวปรกต้นคอถูกซอยให้รับกับใบหน้าได้รูป เปิดช่วงหน้าให้เห็นดวงตาคู่สวยและรอยยิ้มนุ่มนวล ทำให้ดูอ่อนวัยลงอีกมาก
อินทัชก้มมองตัวเองแล้วสบถเบาๆ..พี่กุนต์หล่อกว่าเขาว่ะ ให้ตายเถอะ
“ว่าไงครับพี่โอ๊ต” กนธีหยิบแว่นกันแดดที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อมาวางบนโต๊ะรับแขก “เตรียมตัวเสร็จหรือยัง” เขาหยิบเสื้อนอกมาคล้องแขน
เด็กหนุ่มตัดสินใจทันที “ขอผมไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
“ทำไมล่ะ” กนธีมองยิ้มๆ “ตัวนี้ก็หล่อแล้วนะน้อง”
อินทัชเขม่น..ไม่เคยเกลียดอายุตัวเองมากเท่าครั้งนี้เลย
“ไม่เอา ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อ” นั่นสินะ..เขาใส่เสื้อยืดได้ยังไง เชิ้ตก็มีตั้งหลายตัว ทำเหมือนจะไปเดินตลาดนัดแทนที่จะไปนั่งในโรงหนังเสียอย่างนั้น
กนธีหัวเราะในลำคอ “เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะ ในโรงมันหนาว”
อ้นกับอุ้มหูผึ่ง แข่งกันส่งเสียงกระจองอแงเหมือนลูกนกตกจากรัง
“โรงอะไรครับ โรงหนังใช่ไหม พี่กุนต์กับพี่โอ๊ตจะไปดูหนัง!”
อินทัชอยากจะเตะก้นไอ้น้องเจ้าปัญหาของเขาสุดๆ แต่พี่กุนต์หัวเราะแล้วนั่งคุกเข่าลงพูดด้วย ฝ่ามืออบอุ่นขยี้หัวอ้นกับอุ้ม
“พี่ก็ตั้งใจจะพาเด็กๆไปด้วยนี่แหละ แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเสียงดัง ไม่โวยวาย ไม่งอแง ไม่ลุกเดินไปมารบกวนคนอื่น ถ้าตกลงพี่จะพาไป”
“ห๋า?” ร่างสูงชะงักตรงทางขึ้นบันไดนั่นเอง “เดี๋ยวสิพี่”
..มีไอ้อ้นกับไอ้อุ้ม แล้วมันจะเป็นเดทได้ยังไง!..
เด็กๆตะเบ๊ะรับกันอย่างแข็งขัน เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะยากตรงไหน
“โอเคครับ..ถ้าอย่างนั้นก็ไปเอาเสื้อกันหนาวมาคนละตัว พี่จะรอ”
อินทัชอ้าปากค้าง “พี่กุนต์..ผมชวนพี่คนเดียวนะ” พูดหลังจากไอ้แสบสองตัววิ่งปรู๊ดไปที่ห้องเรียบร้อยแล้ว “พี่เข้าใจคำว่าเดทหรือเปล่า”
กนธีเลิกคิ้ว “ไม่เห็นเป็นไรนี่ อ้นกับอุ้มก็อยากไป ทิ้งไว้น่าสงสารออก”
เด็กหนุ่มหมดแรง นี่เขาตื่นเต้นและลุ้นมาตลอดวันสองวันนี้คนเดียวหรือไง พี่กุนต์ไม่เห็นมีทีท่าเท่ากับเขาเลย..สงสัยคงจะไปเดทกับเด็กจนชินน่ะสิ
กนธีมองคนที่หน้าบึ้งตึงแล้วอดขำไม่ได้ ต้องเดินมาหาและรั้งแขนไว้ “พี่โอ๊ตอย่างอน ไปกันสองคนจะเท่าไปกันเป็นครอบครัวได้ยังไงครับ”
อินทัชถอนหายใจ “ผมอุตส่าห์ชวนพี่เดทเป็นคนแรก ครั้งแรกในชีวิตเลยนะ” เขามองคนที่มาง้อ “ไม่เห็นพี่ตื่นเต้นเท่าผม รู้สึกตัวเองเด็กน้อยชะมัด”
คนฟังยิ้ม แตะปลายนิ้วเข้ากับฝ่ามืออุ่นร้อนให้สัมผัสอุณหภูมิที่ต่างกัน
“แน่ใจหรือครับ” กนธีถาม “รู้ไหมว่านิ้วพี่เย็นเฉียบเลยล่ะตอนนี้..”
ร่างสูงก้มลงมอง เออ..มือพี่กุนต์เย็นจัดเลยว่ะ แถมสั่นเล็กน้อยด้วย
“ค่อยยังชั่ว” เขายิ้มออกมาได้ “แบบนี้เราก็เท่ากันแล้ว”
“อืม..เท่ากัน” กนธีหัวเราะ ดึงมือน้องขึ้นมาจูบ “ไปเปลี่ยนเสื้อครับ”
ใครอีกคนเกือบจะก้าวขาตกบันไดกันเลยทีเดียว
หลังจากทุกคนพร้อมแล้ว กนธีก็ขับรถเข้าเมือง เขาจองตั๋วหนังเอาไว้ก่อนแล้วที่พารากอนซีนีเพล็กซ์จำนวนสี่ที่ ถึงได้ตั้งใจมารับอินทัชที่บ้านเพราะจะพาอ้นกับอุ้มไปดูด้วย เป็นหนังการ์ตูนแนวเด็กๆ ประเภทชมได้ทุกวัย
อินทัชหน้าเบ้ เขาจะดูหนังแอ็คชั่นไม่ก็หนังผี ทำไมต้องดูหนังเด็กด้วยนี่
“ทำหน้าบูดอีกแล้ว” กนธีจูงมือสองหนุ่มน้อยวัยกระเตาะที่เกาะหนึบเขาคนเดียว ส่วนเด็กโข่งอีกคน เขาปล่อยมันบึ้งตึงต่อไป “เดี๋ยวหน้าย่นหรอก”
“แก้ตัวด้วย” อินทัชบ่น จ้องคนที่เลิกคิ้วงุนงง “ครั้งหน้าต้องมาดูใหม่”
“โอเคๆ” เขาหัวเราะ ยังพอเหลือเวลาเลยพอเด็กๆไปกินมื้อบ่าย
อ้นอยากลองกินเบอร์เกอร์คิงดู เป็นชั้นๆแบบนี้ท่าทางน่าอร่อย พี่กุนต์เลยให้น้องเลือกเมนูของตัวเองแล้วออกเงินให้ สรุปว่าอินทัชไม่ได้จ่ายตามเคย
“พี่เอาเวจจี้ พายเผือกข้าวโพดกับคาปูร้อนนะ” กนธีบอก “อ้นกับอุ้มอยากกินอะไร เลือกเลยครับ กินผักกันด้วยนะ” เขาดักคอเพราะน้องอุ้มท่าทางจะสนดับเบิ้ลชีสกับเบคอนมากกว่าเมนูวอปเปอร์ที่มีผักใบเขียวอยู่ด้วย
“หนูไม่อยากกินแตงกวาดอง” อุ้มส่ายหัวดิก
“เอามาให้พี่ก็ได้ครับ” กนธียิ้ม “วอปเปอร์จูเนียร์ไหม มีผักเขียวด้วย”
อุ้มลังเล มีมะเขือเทศติดมา แต่ว่าถึงจะไม่ชอบยังไงก็ควรจะกินอยู่ดี
อินทัชเขกหัวน้อง บ่นพวกมันใหญ่ที่เรื่องเยอะ ไอ้อ้นอยากกินดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ เขาว่ามันก็พอกันกับไอ้อุ้มนั่นแหละ “พุงยื่นขนาดนี้ยังจะกินแต่ชีส”
“ว่าน้อง” กนธีหัวเราะ “ไปสั่งครับพี่โอ๊ต ชักช้าเดี๋ยวเกินเวลา”
พอเบอร์เกอร์มาถึง เด็กๆก็เพลินกับมื้อตรงหน้า กนธีกินไปดูมือถือไปจนอินทัชนึกเขม่น เขาไม่ชอบให้คู่สนทนาหมกมุ่นกับโซเชียลตอนที่อยู่ด้วยกัน
“กาแฟเย็นหมดแล้วพี่ รีบๆกินซะทีครับ”
“อื้อ..ขอตรงนี้อีกหน่อย” เขากดอะไรยิกๆ
“ทำอะไรครับ แชทกับใครนักหนา” อินทัชอดยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อความสัมพันธ์พวกเขาสองคนเลยกรอบที่กำหนดไว้แล้ว กติกาที่มีระหว่างกันจึงไม่จำเป็นอีก
“เปล่าแชทสักหน่อย” กนธีเอียงหน้าจอให้ดู เขากำลังวุ่นกับการโอนเงินผ่านโมบายล์แบงค์กิ้ง “พี่โอ๊ตลืมบอกพี่ใช่ไหมว่าต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว”
อินทัชชะงัก รสชาติของมื้อนี้ดูฝืดเฝื่อนไปเลย “ค่าเทอม?”
“อื้อ..ต้องจ่ายเท่าไร พี่จะโอนเข้าบัญชีให้”
เด็กหนุ่มเขี่ยหัวหอมออกจากเบอร์เกอร์ เขาไม่ชอบความจริงข้อนี้เลย..ความจริงที่ว่าเขากำลังพึ่งพาพี่กุนต์ในทุกๆเรื่อง..แม้แต่ค่าเล่าเรียน
..ถ้าจะคบหาเป็นแฟนกัน การให้แฟนจ่ายค่าเทอม มันคงไม่โอเคแน่..
“ผมยังมีเงินอยู่ครับ” เขาตอบ “ไม่รบกวนพี่หรอก”
กนธีเลิกคิ้ว “งอแงอีกแล้ว เลิกพูดมากแล้วบอกจำนวนเงินมา”
“ไม่บอกครับ” เขาปิดปากเงียบด้วยการกินทริปเปิ้ลวอปเปอร์เข้าไปเต็มปาก “อยากรู้ก็หาในเน็ตเอาเองแล้วกัน”
คนฟังหัวเราะหึ ยักไหล่ไม่สนใจ ในเมื่อไม่บอก เขาก็จะจัดการคิดเอง มีเงินประจำที่ต้องให้สามหมื่น ค่าเทอมสำหรับปีสอง เขาเดาว่าคงสักสองหมื่นห้า ตามด้วยค่าเทอมของอ้นกับอุ้ม รวมกันน่าจะประมาณหมื่นกว่า
มีข้อความแจ้งเตือนดังขึ้น อินทัชหยิบมือถือขึ้นมาดู พี่กุนต์โอนเงินเข้าบัญชีเขามาเจ็ดหมื่นถ้วน ทำเอาเขาชะงัก พูดอะไรไม่ออก
“น่าจะโอเคอยู่นะ” กนธีหยิบกาแฟขึ้นดื่ม “ถ้าไม่พอ บอกพี่ได้เลย”
อินทัชถอนหายใจ “ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้ เหมือนผมมาเกาะพี่กิน”
“อย่าพูดเหมือนศรัณย์” เขาพึมพำ “โอ๊ตรู้ใช่ไหมว่าพี่หวังดี บางอย่างมันอาจจะดูควบคุม จัดการเองเสร็จสรรพ แต่ในเมื่อเราตกลงกันแต่ต้นแล้ว นี่คือหน้าที่ของพี่ พี่ก็จะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้เราต้องมานั่งพะวงหรือกังวลกับเรื่องเงิน”
อินทัชพยักหน้ารับ ปัญหาคือเขายังไม่มีปัญญาหาเงินให้ได้มากพอกับรายจ่าย ถึงต้องพึ่งพาพี่กุนต์อยู่อย่างเดิมราวกับแมลงปีกทอง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งตัว ได้ทั้งใจ คนอื่นรู้เข้าคงได้พูดปากต่อปาก เขาไม่ได้สนอีโก้ของตนหรอก เขาสนแต่ว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในวันหนึ่งข้างหน้า พี่กุนต์จะระแวงตัวเขาและตีค่าความภักดีที่เขาทำให้จากใจไปเป็นความหมายอื่นหรือเปล่า
“ครั้งหน้าผมขอพยายามด้วยตัวเองนะครับ” เขาตอบ “หากว่าเราจะเปิดใจ ลองศึกษากันต่อ ผมก็ไม่อยากให้มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว”
กนธีร้อนทั่วหน้า..ร้อนมากกว่าแก้วกาแฟที่เขาถืออยู่ตอนนี้เลยทีเดียว
..บอกแล้วไง..ว่าเขาน่ะโชคดีที่เจออินทัช..
น้องอุ้มเงยหน้าขึ้นมามองพี่ๆคุยกัน ปากเปรอะชีสเป็นแถบ พี่กุนต์เลยเอาทิชชูมาเช็ดให้ เด็กชายฉีกยิ้มรับ “อันนี้หนูชอบจังเลย อร่อยม้ากมาก”
“ถ้าชอบ ไว้วันหลังจะพามากินอีกครั้บ” กนธีบอก เหลือบมองอินทัชที่ถอนใจรอบสองเพราะเขาทำเป็นอาเสี่ยอีกแล้ว “แต่งวดหน้า..พี่โอ๊ตเขาขอจ่าย”
ร่างสูงยิ้มออกมาได้ แบบนี้นี่แหละ..มันถึงจะเรียกว่าความเท่าเทียม
“พี่กุนต์ครับ” อ้นเพิ่งนึกได้ “ตอนเปิดเทอม โรงเรียนมีประชุมผู้ปกครองด้วย คือว่า..ถ้าอ้นจะขอให้พี่กุนต์ไปประชุมกับพี่โอ๊ต..พี่กุนต์จะว่างไหมครับ”
“ประชุมผู้ปกครอง?” กนธีรับฟังด้วยความตื่นเต้น “โอ้..” เขาหัวเราะ ปรบมืออย่างดีใจ “เอาสิๆ พี่ไปได้ใช่ไหม ให้พี่ไปเป็นปะป๊าอีกคนได้หรือเปล่า”
อินทัชส่ายหัวระอาแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ แค่เรื่องประชุมต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยหรือไงกัน “แล้วพี่จะรู้ว่ามันโคตรน่าเบื่อ นั่งในห้องฟังอะไรไม่รู้เป็นชั่วโมงๆ”
“ไม่เบื่อๆ” กนธีตอบรับทันที “พี่จะไปครับ ใส่ชื่อพี่ไปได้เลย พี่โอ๊ตไม่ไป ช่างพี่โอ๊ตมัน พี่จะเป็นผู้ปกครองของอ้นกับอุ้มเอง โห..ดีใจจัง~”
เด็กหนุ่มเหล่มองใบหน้าดีอกดีใจ พี่กุนต์ยิ้มสดใสเหมือนเด็กวัยรุ่นเลย
“ทำไมถึงเป็นเอามากขนาดนี้เนี่ยพี่” เขาแซว
“อยากมีลูก” กนธีสารภาพ “สงสัยมานานแล้วว่าการไปนั่งประชุมกับพ่อแม่คนอื่นแล้วคุยกันเรื่องลูกจะเป็นยังไง อยากไปคุยกับครู รอรับผลการเรียน ไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อหนังสือ จ่ายค่าเทอมให้..โคตรมีความสุขเลย”
อินทัชขบขัน “ที่จ่ายค่าเทอมให้ผมนี่ ไม่ใช่คิดว่าจ่ายให้ลูกด้วยนะ”
“ฮื่อ..โอ๊ตเป็นลูกของพี่ซะที่ไหน” เขากลั้นยิ้ม
“ก็นั่นน่ะสิ..” อีกคนพูดเสียงเบา “ผมน่ะ ผ.ผึ้ง สระอัว..ไม่ใช่ลูก”
กนธีหัวช้ากว่าเด็กเล็กน้อย ผ.ผึ้ง สระอัว มันอะไรกันวะ พอเข้าใจขึ้นมาได้ จมูกกับใบหูก็กลายเป็นสีแดงเข้ม “ไอ้โอ๊ต~”
หลังจากกินเสร็จก็ได้เวลาพอดี หนังรอบบ่ายสาม พอขึ้นไปถึง น้องอุ้มอยากกินป๊อปคอร์นรสชีส ส่วนน้องอ้นอยากกินรสหวาน เขาเลยซื้อสองรสใส่ถังกับซื้อน้ำอัดลมแก้วใหญ่ที่มีรูปตัวการ์ตูนหัวโด่ให้น้อง
“ถือครับพี่โอ๊ต” กนธียื่นของกินให้ ส่วนเขาจูงมือเด็กๆ
อินทัชโคลงหัว สรุปว่าเขากลายเป็นตัวแถมไปโดยสมบูรณ์แบบ
ชายหนุ่มยื่นตั๋วให้พนักงานฉีกและพาอ้นกับอุ้มเดินเข้าโรงไป
“ระวังสะดุดนะคนดี” เขาเตือน “อ้นมองเห็นไหม เลขนี้ครับ” ยื่นตั๋วให้น้องดู เขาเลือกแถวบนและอยู่ตรงกลาง จะได้ไม่ต้องแหงนคอหรือเอียงไปดูมาก
อ้นพยักหน้าหงึกหงัก เด็กชายสายตาดีกว่าพี่กุนต์เลยช่วยจูงน้องอุ้มแล้วเดินดิ่งไปยังหมายเลขที่จองไว้ทั้งหมดสี่ที่ พอเจอแล้วก็เข้าไปนั่งเป็นคนแรก
“พี่นั่งนี่ อุ้มนั่งถัดจากพี่” อ้นบอก “นั่นพี่กุนต์ นู่นพี่โอ๊ต”
น้องอุ้มตื่นเต้น พอนั่งที่ได้ เด็กชายก็รับป๊อปคอร์นจากพี่โอ๊ตมากอด
“ถ้าใครปวดฉี่ก็บอกพี่นะครับ พี่จะพาไป” ดูวี่แววแล้วคนไม่ค่อยเยอะนัก เพราะฉายชนกับหนังเรื่องอื่นพอดี โรงนี้หนังเด็ก ผู้ใหญ่ไม่ค่อยเข้ามา
น้องๆตอบรับในลำคอ จะพูดคุยอะไรก็ถามเสียงเบาเหมือนเสียงผึ้งหึ่งๆเพราะรับปากพี่กุนต์ไว้แล้วว่าจะไม่รบกวนคนอื่น ขนาดจะฮัดชิ้ว น้องอุ้มยังกลั้นจนหน้าดำหน้าแดง พี่อ้นเองก็เคี้ยวข้าวโพดคั่วแบบเบาแรงที่สุดในชีวิต
กนธีกลั้นขำ เอื้อมมือไปติดกระดุมเสื้อกันหนาวให้เด็กๆ
“หนังตัวอย่างมาแล้วพี่ เลิกวุ่นวายกับพวกมันซะทีน่า” อินทัชที่เงียบอยู่นานต้องปรามอย่างทนไม่ได้ ไม่ใช่อะไรหรอก..เขานั่งเป็นหมาหัวเน่าอยู่คนเดียว
“โอเคๆ นั่งเฉยๆแล้ว” เขาเหลือบมองคนด้านข้าง “พี่โอ๊ตไม่หนาวหรือ” มองคนที่เอาเสื้อนอกพาดบนตัก ส่วนเขาน่ะสวมแล้วเรียบร้อย
“ผมมันคนไฟแรง เลือดร้อน ไม่หนาวง่ายๆหรอก”
“งั้นพี่ก็คนเลือดเย็นสินะ ขี้หนาวสุดๆ”
อินทัชหัวเราะ บุ้ยใบ้ที่จอ “ผมอยากดูเรื่องนั้น เอาไว้มาด้วยกันอีกนะ”
“อื้อ..เอาสิ”
“แค่สองคน” เขาสำทับ
กนธีกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม “โอเคครับ..แค่สองคน..ตามนั้น”
ภาพยนตร์เริ่มฉาย อ้นกับอุ้มที่เพิ่งมาดูครั้งแรกยิ่งตื่นเต้น จอใหญ่ยักษ์ เสียงก็กระหึ่มโรง มีเพื่อนนั่งดูอีกเยอะแยะ เด็กๆถึงกับมองตาไม่กะพริบ น้องอุ้มไม่หันไปไหนเลย ขนาดหยิบป๊อปคอร์นค้างไว้ร่วมนาทีด้วยซ้ำ
“หนูหิวน้ำ” อุ้มกระซิบบอกพี่กุนต์
กนธียิ้มรับ เอื้อมหยิบแก้วน้ำอัดลมมาให้ มือน้องเปื้อนผงชีสเต็มไปหมด เขาเลยเอาทิชชูมาเช็ดนิ้วป้อมอย่างอ่อนโยน “ดูดช้าๆระวังสะอึกครับ”
อินทัชหาวแล้วหาวอีก ไม่เห็นจะตื่นเต้นไปกับการ์ตูนเด็กเลย เขาเอนหลังพิงพนัก กึ่งนั่งกึ่งนอนและหาวรอบที่สิบ พอมองไปด้านซ้าย ไอ้พวกตัวแสบดูจะมีความสุขเอามาก ผิดกับเขาลิบลับจนน่าหมั่นไส้
เด็กหนุ่มลอบมองเสี้ยวหน้าของกนธี รอยยิ้มนุ่มนวลมีให้น้องชายเขาทั้งสองคน จนพี่คนโตอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เทคแคร์ขนาดนี้ ยกให้เลยดีไหม
ตัวละครในเรื่องปล่อยมุกอะไรสักอย่าง กนธีหัวเราะร่วนไปกับเด็กๆ
“ไม่สนุกหรือพี่โอ๊ต” เขาหันมากระซิบถาม “พี่ว่าเขาวาดน่ารักแล้วเรื่องก็ตลกจะตาย หรือว่าเรามันเส้นลึกเกินไป” ยกมือขึ้นหยิกแก้มเด็ก
“พี่น่ะเส้นตื้น” ไม่สงสัยหรอกว่าพี่กุนต์อารมณ์ดีแค่ไหน ขนาดคุณไผทปล่อยมุกโคตรห่วยออกมา ยังหัวเราะได้หน้าตาเฉย “ก็สนุกดี ไม่ได้แย่หรอก”
“ใช่แล้วล่ะ นั่งดูด้วยกันสี่คนน่ะมีความสุขออก” เขายิ้ม
อินทัชนั่งเอนมาทางกนธี เท้าคางมองเจ้าตัวจนเพลิน ไม่รู้ตอนนั้นนึกอย่างไรถึงได้ยกพนักที่กั้นกลางออกและขยับมาเบียดคนข้างกายมากขึ้น
กนธีเลิกคิ้ว “อะไรครับ? หนาวหรือเปล่า ไหนว่าเลือดร้อนไง”
ร่างสูงได้แต่พยักหน้าหงึก “หนาว..” ยกแขนขึ้นกอดอกให้ดูด้วย
“เอาเสื้อพี่ไหม” เขาตั้งท่าจะถอดให้
อินทัชส่ายหัว ให้ตายเถอะ..คนคนนี้โคตรจะแมนเลย “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่” เขาพึมพำ ขยับตัวนั่งตรงอีกหน่อยแล้วเลื่อนแขนซ้ายลงมาข้างตัว
กนธีนิ่งอึ้งเมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้ากอบกุมปลายนิ้วข้างขวาของเขา จากที่มือเย็นเฉียบเพราะถูกแอร์ ตอนนี้กลับอุ่นวาบขึ้นด้วยอุณหภูมิของใครบางคน
“โอ๊ต..” เขาหน้าร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่ตอนที่หันมองอีกฝ่าย
“ชู่ว์” อินทัชปราม พิงพนักแล้วหลับตาลงโดยที่มือยังกุมกันอยู่อย่างนั้น
การ์ตูนที่ฉายยังดำเนินต่อไป เด็กๆสนุกไปกับเนื้อเรื่อง ในขณะที่พี่ชายสองคนนั่งเบียดเสียด และประสานปลายนิ้วเข้าเป็นหนึ่งเดียว
กนธีนั่งยิ้มอย่างนั้นจนเมื่อยหน้า ซ้ำยิ่งหลุดยิ้มเข้าไปใหญ่เมื่อเด็กหนุ่มค่อยๆเอนตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาซบลงกับบ่าและไม่ขยับไปไหนอีกเลย
“รับปากแล้วนะ” เสียงทุ้มต่ำพึมพำ
“หืม?” เขาก้มลงมอง
อินทัชฉวยจังหวะที่หน้าจอมืดไปครู่หนึ่ง ยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วทาบจูบอย่างรวดเร็วที่ริมฝีปากนุ่มของคนด้านข้าง พี่กุนต์เหมือนจะอึ้งไปนาน
“คราวหน้าเราต้องมากันสองคน”
กนธีหน้ามืดตาลาย สงสัยว่าตอนเดินออกจากโรง เขาจะเซจนล้มไหม
..ไอ้เด็กเปรตนี่..
“ว่าไงครับ”
“อื้อ..รับปากครับ” เขาตอบ หลุบตามองคนที่ซบลงบนไหล่อีกครั้ง
อดไม่ได้จนต้องเอียงหน้าซุกกับศีรษะได้รูป กุมมือเด็กเอาไว้ไม่ปล่อย ถึงจะน่าอายไปบ้าง แต่ในโรงหนังที่มืดแบบนี้..คงไม่มีใครเห็นหรอกมั้ง
..มีความสุขจนใจเต้นรัว..
............................................................................................
หายไปสองอาทิตย์ ฮือออ ขอเปลี่ยนเป็นอัพทุกวันอาทิตย์แทนน้า (ถ้าอัพทันจ้า 555+)
ช่วงนี้ต้องทำงานด้วย ขอเวลาปรับตัวสักนิดดด แล้วจะพยายามมาต่อให้คร้าบ
ไปแหล่วว ฟิ้วว พรุ่งนี้วันจันทร์ ทำงาน
