Chapter 45
ช่วงนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังจะมีงานกีฬาเฟรชชี่ นอกจากมีประกวดกองเชียร์ ประกวดทีมหลีด ยังมีการส่งตัวแทนปีหนึ่งไปแข่งกีฬากับคณะอื่นด้วย บรรดารุ่นพี่เลยต้องใช้เวลาช่วงเย็นมาดูน้องๆและคอยให้คำแนะนำ
ส่วนใหญ่แล้วเวลามีงานกีฬาแบบนี้ คณะวิทย์กีฬามักจะได้เหรียญไปครองมากที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องมีการซ้อมกันอยู่ทุกเย็น อินทัชเองรับหน้าที่คัดเลือกเด็กไปแข่งบาสเก็ตบอล ส่วนกีฬาอื่นอย่างแบดมินตัน ปิงปอง เทควันโด ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล ไปจนว่ายน้ำ ลีลาศ หรือต่อยมวยเป็นหน้าที่เพื่อนๆ
“โอเค วันนี้พอแค่นี้แหละ” เขาเลิกให้น้องซ้อมบาส ถึงจะบอกว่าเตรียมตัวไปแข่ง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ซีเรียสนัก แค่อยากให้เด็กมันได้เจอเพื่อนใหม่
ตอนปลีกตัวไปตรงที่เด็กๆทำอุปกรณ์ขึ้นสแตนด์เชียร์ เขาเจอปาลินนั่งคุยกับรุ่นน้องอยู่ เจ้านั่นมาช่วยงานคัทเอาท์เล็กๆน้อยๆเพราะพวกปีหนึ่งไม่ค่อยถนัดงานศิลป์เท่าไร ปาลินที่ไม่มีอะไรทำที่คณะเลยช่วยออกแบบตามธีมและร่างภาพใหญ่ให้พวกเด็กไปลงสีเอาเอง
“โอ๊ต” ปาลินโบกมือทัก “ซ้อมเสร็จแล้วหรือ”
“อืม..” เขากระพือเสื้อให้คลายร้อน “หิวน้ำจัง”
เด็กผู้หญิงปีหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆส่งขวดน้ำเย็นให้รุ่นพี่ของเธอทันที
“กินของหนูก็ได้ค่ะพี่ พอดีซื้อมาหลายขวด” เธอบอกยิ้มๆ
“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เดินไปซื้อเอง”
“เอาไปเถอะค่ะ เหลือไว้ก็ทิ้ง” สาวน้อยยื่นส่งให้แบบประชิดตัว หากสังเกตไม่พลาด จะเห็นสีแดงแล่นริ้วขึ้นสองข้างแก้มเมื่อรุ่นพี่รับน้ำจากเธอไป
ปาลินนั่งมองแล้วได้แต่ยิ้มขัน อินทัชยกขวดขึ้นดื่มอย่างไม่คิดมาก
“ซื้อมาเท่าไร เดี๋ยวพี่คืนเงินให้” เขาล้วงกระเป๋ากางเกง ยังไม่ทันหยิบเงิน เธอก็ส่ายหัวหวือแล้ววิ่งหนีออกไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่พากันร้องแซว
“โดนจีบอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า” ปาลินแหย่
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว หันไปมองข้างหลัง เห็นเด็กคนนั้นมีสีหน้าร่าเริง พวกเพื่อนพากันมารุมล้อมและชูนิ้วโป้งให้ เป็นภาษากายที่ใครๆก็ตีความออก
“แล้วกัน” อินทัชเลยเลิกดื่มน้ำต่อ “ไปโรงอาหารเป็นเพื่อนหน่อย”
ปาลินลุกขึ้นยืน ปัดกางเกงที่เปื้อนฝุ่นแล้วเดินตาม ตอนที่ผ่านหน้าเด็กคนเดิม เธอยิ้มเก้อเขินให้โอ๊ต แต่เพื่อนเขาทำแค่เพียงพยักหน้ารับโดยไม่สนใจมากเกินควร พอเจอแบบนั้น เธอก็คลายรอยยิ้ม ท่าทางเซื่องซึมลงชัดเจน
“ใจร้ายเหมือนกันแฮะเพื่อนเรา” ปาลินพึมพำ “หล่อเลือกได้หรือ”
อินทัชหันกลับมา “ถ้าไม่มีใจ ก็ไม่ต้องให้ความหวังน่ะดีที่สุด”
คนฟังครางในลำคอ “เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“โทษที..” เขาขยี้หัวเพื่อน “เราเป็นของเราแบบนี้มานานแล้ว ไม่ก็คือไม่ ใช่ก็คือใช่ ถึงระหว่างทางจะใช้เวลานานไปหน่อยก็เถอะ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ” ปาลินทำเสียงล้อ “แล้วกับพี่กุนต์นี่เรียกว่าอะไร เป็นคนที่ใช่หรือเปล่า หรือกำลังลังเล สับสน ซื่อบื้อจนไม่เข้าใจตัวเอง”
อินทัชดีดหน้าผากปาลินไปครั้งหนึ่ง “พูดมาก”
“ก็จริงนี่” เขาคลำหัวป้อยๆ “ไหนว่าไม่ชอบให้ความหวังใครถ้าไม่สนใจเขาจริงๆ แต่เราว่าที่โอ๊ตดูแลพี่กุนต์ทุกวันนี้มันก็เหมือนให้ความหวังเขานะ”
อินทัชชะงัก ที่ปาลินพูดมันก็จริง จะว่าดูแลตามหน้าที่ ช่วงแรกๆน่ะใช่ แต่ระยะหลังเขาเอาใจจนเกินขอบเขตไปมาก คิดแล้ว..เขามันเอาเปรียบพี่กุนต์อย่างว่า รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายมีใจ เขาก็ยังไม่แสดงความรู้สึกที่แน่นอนออกมาสักที ยักแย่ยักยัน ลังเล ไม่ขยับไปไหน แต่ก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าตัวไปเหมือนกัน
เขาถอนหายใจ ล้วงเงินออกมาซื้อน้ำผลไม้ กว่าจะรู้ตัว เขาก็เผลอซื้อน้ำมะเขือเทศกล่องที่พี่กุนต์ชอบกิน แต่ตัวเองเกลียดสุดๆมาเสียแล้ว
ปาลินเหลือบมองน้ำมะเขือเทศของดอยคำ เขารู้ดีว่าเพื่อนไม่ชอบ แต่ถ้าเหม่อลอยจนถึงกับสั่งมาผิดก็เข้าใจได้ไม่ยาก “ชัดเจนหน่อยเพื่อน”
ร่างสูงส่ายหัว เก็บกล่องนี้ไว้ให้พี่กุนต์ ตัวเขาซื้อกล่องใหม่แทน
“เซ้าซี้จริงเลยไอ้เตี้ยนี่”
“อะไรฟระ” ปาลินอยากเตะมันชะมัด “ชี้ทางสว่างให้ ยังไม่สำนึก”
“ก็สำนึกแล้วไง” อินทัชเอาหลอดเจาะแล้วดูดไปอึกหนึ่ง
“สำนึกว่าอะไร สำนึกแล้วต้องคืบหน้าด้วยดิ ไม่ใช่เอาแต่พูด”
“เออ..” เขาเคี้ยวหลอดไปมา “ก็..ดูๆกันอยู่”
ปาลินถึงกับดีดนิ้วเผาะด้วยความสมใจ เชียร์จนได้เรื่องเลยทีนี้
“ดูๆกันนี่หมายความว่ายังไง ขยายความหน่อยครับเพ่!”
“ดูก็คือดูน่ะสิ” อินทัชหันหนี รู้สึกหน้าร้อนขึ้นนิดหนึ่งเมื่อถูกเพื่อนจ้องแบบบีบคั้นเอาความจริง “ลองคุย ลองเปิดใจ ลองศึกษากันไง”
“ขอเป็นแฟนยัง” ปาลินทำตาวาววับ
“พูดอะไรวะ” เขาหลบสายตา จมูกกลายเป็นสีแดง เลี่ยงตอบคำถามด้วยการเดินหนี แต่ไอ้เตี้ยก็วิ่งตามไม่ลดละจนเกือบจะชนรถที่เลี้ยวเข้ามาแล้ว “นั่น..ไอ้เด็กบื้อ เดี๋ยวรถเขาก็บุบหรอก” หัวเราะชอบใจเมื่อเพื่อนแยกเขี้ยวใส่
คนขับบีเอ็มคันคุ้นเคยรีบลดกระจกลงและชะโงกหน้ามามอง ตอนนั้นเพื่อนซี้สองคนถึงได้เห็นว่าเป็นรถของกนธี..บุคคลที่กำลังตกเป็นเป้าสนทนา
“น้องสน..เป็นอะไรหรือเปล่า”
ปาลินหัวเราะรื่นเริงตามนิสัย “ห่างเป็นวาครับพี่กุนต์”
อินทัชที่เพิ่งจะหลุดปากเรื่องส่วนตัวของเขากับกนธีออกไปถึงกับทำอะไรไม่ถูก จะบอกว่าอาย เขาก็ยอมรับ ยิ่งเห็นหน้าพี่กุนต์ยิ่งอายหนักกว่าเก่า
..ทำเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ไม่ประสาไปได้..
กนธีวนหาที่จอดรถ สักพักก็เดินมาหาอินทัชที่ยังยืนรอ ส่วนปาลินปลีกตัวไปดูคัทเอาท์อีกรอบแล้วตั้งใจว่าจะกลับเลยเพราะไม่อยากอยู่เป็นก้าง
“ว่าไงครับคุณนักกีฬา” เขายิ้มให้คนตรงหน้า การมารับมาส่งโอ๊ตเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาเสียแล้วหากว่าไม่มีงานอะไรค้าง
“ไม่ยังไงพี่” อินทัชลูบท้ายทอยตัวเอง ร้อนยันใบหูเลยตอนนี้
“หน้าแดงๆ ไม่สบายหรือเปล่า” กนธีเอื้อมมือไปแตะ “ก็เย็นดีนี่”
“ผมสบายดี เพิ่งซ้อมบาสเสร็จน่ะครับ” เขายิ้มบาง “วันนี้ทำไมมาเร็ว” ช่วงมีซ้อม พี่กุนต์จะมารับประมาณสองทุ่ม แต่วันนี้หกโมงกว่าก็ถึงแล้ว
“พอดีไปแวะดูร้านมานิดหน่อย คุณไผทออกไปธุระแต่เขากลับเร็ว พี่ก็ตรงมาหาโอ๊ตเลย” กนธียื่นสปอนเซอร์ให้เด็กหนุ่ม เขาเพิ่งซื้อมาจากเซเว่น
อินทัชพยักหน้า เปิดฝาขวดแต่มือลื่น พี่กุนต์เลยดึงไปเปิดให้
“เชิญครับคุณ” กนธียิ้มล้อคนที่หน้าแดงไม่หาย เดี๋ยวนี้มือไม้มันอ่อนยวบขนาดเปิดขวดไม่ออกแล้ว “เออ..พี่ซื้อขนมมาฝาก เอาไปให้เพื่อนๆสิ” เขายื่นกุญแจรถให้น้องไปเปิดเอาของด้านหลัง เป็นขนมกรุบกรอบเอาใจวัยรุ่น
“โห..ซื้อมาเยอะจัง” เขาหิ้วเต็มสองมือ เอาไปวาง รับรองแร้งลงแน่
“กินไม่หมดก็เก็บไว้ที่สโม เวลาทำงานดึกๆจะได้มีอะไรเคี้ยว” กนธีรับกุญแจคืน “อยากลองขับดูบ้างไหม สอบใบขับขี่ผ่านแล้วนี่”
อินทัชหัวเราะ เขาไปสอบอยู่สองครั้งกว่าจะผ่าน “กลัวทำรถพี่พัง”
“ถ้าเป็นรถตัวเองพังนี่ไม่ว่าอะไรสินะ” เขาอมยิ้ม
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว เดินตามพี่กุนต์ที่ชวนคุยเรื่องงานมอเตอร์โชว์คราวหน้า เห็นบ่นพึมพำว่าคันนี้มันเก่าแล้ว อยากจะไปเล็งคันใหม่เหมือนกัน
“เปลี่ยนสีรถดีไหม แต่ไม่รู้จะเอาสีอะไร” เขาเกาแก้ม
“สีดำก็สวยนะพี่ เท่จะตาย ถ้าเป็นผมก็จะซื้อสีเดิมนี่แหละ” อินทัชบอก
“อย่างนั้นหรือ” กนธีพยักหน้า “วันไหนมีงานไปดูเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“ได้ครับ พี่อยากดูของแบรนด์ไหนล่ะ” เดาว่าคันต่อไปของพี่กุนต์อาจเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์ “ยังรักเดียวใจเดียวที่บีเอ็มหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจ ขอดูๆก่อน แล้วโอ๊ตล่ะ มีเล็งไว้ไหม มินิคูเปอร์เป็นไง เหมาะกับความน่ารักของเราเลย” กนธีหัวเราะเมื่อน้องมันหน้าเหวอ “นี่ชมนะเว้ย”
“น่ารักอะไรกันล่ะพี่” อินทัชแก้มแดง “ผมเล็งไว้แต่มอเตอร์ไซค์ครับ”
“เรียนขับรถแต่เล็งมอเตอร์ไซค์ เพี้ยนหรือไง” กนธีอมยิ้ม “ไม่กล้าตอบแบบนี้ แปลว่ามองรุ่นเด่นไว้น่ะสิ ออดี้แบบที่พระเอกทรานสปอร์ตเตอร์ขับหรือ”
“ล่มจมกันพอดีครับ” น้องปฏิเสธ “ของผมนี่รถญี่ปุ่นก็พอ ฮอนด้าที่ตกรุ่นลงมา แบบซิตี้ไม่เกินหกเจ็ดแสนยังพอจ่ายได้ แต่ถ้าดูรูปทรง ความกว้าง ผมชอบของโตโยต้า ไอ้รุ่นอัลติส โคโรลล่า ที่เป็นเอสสปอร์ต สวยถูกใจเลย”
“เออ..รุ่นนั้นพี่ก็ชอบ น่าสนใจเหมือนกัน” กนธีชวนคุยเรื่อยเปื่อย
เรื่องรถกับผู้ชายมันเป็นหัวข้อสนทนายืดยาวอยู่แล้ว แต่ดูท่าทางอินทัชจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความหรูหราสะดวกสบายมากนัก น้องเอาแค่มีไว้ใช้ก็พอ ถ้าเขาไม่ทักเรื่องมอเตอร์ไซค์ มันก็คงจะไปผ่อนมาเองจริงๆ นึกแล้วยิ่งเอ็นดูมากกว่าเดิมอีก
..คนมักน้อย..เขาก็ยิ่งรักและยิ่งให้..
อินทัชเอาขนมไปเก็บในห้องสโมสร พวกเพื่อนๆที่เพิ่งเลิกซ้อมกีฬากับรุ่นน้องเห็นเข้าก็กรูกันเข้ามารุมทึ้ง ตอนนี้โรงอาหารปิดแล้ว ไม่มีใครขยันเดินไปเซเว่น ของกินสองถุงใหญ่เลยเป็นอาหารรองท้องอย่างดี
“ใจเย็นไอ้พวกห่านี่ แร้งลงหรือไงวะ” เขาส่ายหัว ขนาดเอาพริงเกิ้ลของชอบไปหลบมุม พวกแม่งยังตามมารื้อเอาไปกินจนได้ หมดกัน!
“พี่ชายมึงมารับใช่ไหม ดีใจว่ะ มาทีไรได้ของกินทู้กที”
“ทำไมไม่คิดว่ากูจะใจดีซื้อมาให้บ้างวะ” อินทัชมองเขม่น
“เพราะน้ำหน้าอย่างมึงนี่ไม่น่าจะมีน้ำใจไง” เพื่อนๆเคี้ยวกันแก้มตุ่ยแต่ยังไม่วายแหย่เจ้าของขนม พอดีหันไปเจอพี่ชายเพื่อนเลยยกมือไหว้กันสลอน
อินทัชหันไปทางกนธีที่ยิ้มให้ ไอ้พวกนี้เข้าใจว่าพี่กุนต์เป็นญาติผู้พี่ของเขา เด็กหนุ่มเล่าชีวิตส่วนตัวให้เพื่อนที่คณะฟังเท่าที่อยากจะเล่า เพราะบอกไปว่าย้ายไปอยู่บ้านกับญาติผู้พี่แล้ว เจ้าตัวเลยมารับมาส่งได้บ่อยครั้ง
“บ้านมึงนี่หน้าตาดีกันทุกคนเลยหรือเปล่า” คนในกลุ่มออกปากถาม
“เออ..เห็นด้วย แต่พี่กุนต์หน้าไม่เหมือนมึงเลยนะ เขาท่าทางผู้ดี๊ผู้ดีว่ะ ขาวสะอาดเหมือนท่านชายในละคร ส่วนไอ้ห่าโอ๊ตนี่ดูทะมึนๆ เลวๆชั่วๆ”
“ไม่ต้องแดกแล้วเพื่อน เก็บกลับ” อินทัชเอื้อมมือหยิบซองเลย์ออกแต่พวกมันยื้อหนีทันควัน “อย่างกูนี่เรียกหล่อเข้ม พี่กุนต์เขาหล่อนุ่มเว้ย”
เพื่อนๆหัวเราะครึกครื้น พวกผู้หญิงเองก็ชอบมองกนธีเพราะความดูดีและหล่อเหลาตามสมัยนิยม ตาสวย ยิ้มสวย ตัวสูงโปร่ง หุ่นดีมีกล้ามเนื้อแต่ไม่เทอะทะ ยิ่งมีคุณสมบัติรวย ใจดี สุภาพ ช่างเทคแคร์และเปย์ไม่อั้น ยิ่งได้ใจ
“ขอเป็นแฟนคลับพี่ชายของโอ๊ตได้ไหม” เพื่อนผู้หญิงพูดแหย่
อินทัชหัวเราะในลำคอ “ไม่ได้หรอก..เมียพี่กุนต์ดุมาก”
“ห๋า? มีเมียแล้ว!” พวกเธอคร่ำครวญ “น่าจะโสดให้โลกเสียดายเล่น~”
เด็กหนุ่มกลั้นขำ หยิบเป้มาพาดบ่า “เพ้อต่อไปนะ กลับบ้านล่ะ” เขายกยิ้มในใจ แกล้งแหย่ให้ผิดหวังกันไปอย่างนั้นแหละ พี่กุนต์มีเมียที่ไหนกัน
คนคนนี้ไปเป็นสามีให้ใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เป็นฝ่ายถูกกอดน่ะดีแล้ว
“ทำงานเสร็จแล้วหรือโอ๊ต” กนธีไม่ได้มาเร่ง เขาแค่มานั่งรอเป็นเพื่อนน้องเฉยๆ “ยังไม่ทุ่มเลย ทำต่อไหม พี่รอได้นะ”
“ไม่เอาพี่ แมงหวี่เยอะ” พี่กุนต์มาทีไร สายตาแต่ละคู่มองไม่วางทุกที
กนธีเงยหน้ามอง..ไหนแมงหวี่ของมันวะ
“โอเค ถ้าจะกลับเลย พี่ขอแวะศูนย์หนังสือจุฬาหน่อยได้ไหม”
อินทัชพยักหน้า “ดีเหมือนกันครับ ผมอยากดูหนังสือด้วย”
“แล้วน้องสนล่ะ” เขาหันไปมองปาลินที่กำลังเก็บของ “ไปเรียกสนมาไป เดี๋ยวกลับด้วยกัน พี่จะพาไปส่งที่บ้าน”
“เห็นบอกว่าจะกลับเองน่ะครับ” อินทัชบอก มองเพื่อนที่เดินมาหา
“น้องสน กลับเองทำไม เดี๋ยวกลับด้วยกัน พี่จะไปส่ง”
ปาลินรีบปฏิเสธ แค่นี้เขาก็เกรงใจจะแย่ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอโอ๊ตด้วย “ไม่เป็นไรครับ พอดีผมนัดพี่ชายเอาไว้เลยจะแวะเจอกันก่อน”
“นัดที่ไหน พี่ไปส่งได้นะ” กนธีเสนอ ไม่อยากให้เด็กกลับเอง
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ อ๊ะ! จะได้เวลาแล้ว ผมไปก่อนนะพี่กุนต์ ไปก่อนนะโอ๊ต บายคร้าบ~” ปาลินพูดรัวเร็วจากนั้นก็วิ่งฉิวไปโดยไม่ทันที่อีกคนจะแย้ง
“แล้วกัน” กนธีส่ายหัว ยื่นมือไปช่วยถือเป้ของอินทัช “มานี่มา”
“โห..แค่นี้ผมก็ไม่เหลือความแมนแล้วพี่ เหลือความเป็นสามีให้บ้าง”
“อะไรนะ” คนฟังหันขวับ “พูดใหม่ดิ๊”
“ไม่มีอะไรครับผม” อินทัชหัวเราะ “ไปๆ..ไปศูนย์หนังสือ เดี๋ยวปิดก่อน”
เด็กมันทำไม่รู้ไม่ชี้ กนธีเลยไม่ได้สนใจต่อ โชคดีวันนี้ออกเร็ว จะได้ไปแวะซื้อหนังสือที่หมายตาเอาไว้ ชายหนุ่มได้ที่จอดข้างแบงค์ไทยพาณิชย์ ข้ามไปอีกสองซอยก็จะเป็นศูนย์หนังสือ ที่นี่ปิดตอนสองทุ่มเลยต้องรีบพอสมควร
“โอ๊ตจะซื้ออะไร”
“พวกหนังสือภาษาอังกฤษครับ” อินทัชบอกอีกฝ่าย ดูเผื่อของเขาเองและเอาไว้สอนไอ้อ้นกับไอ้อุ้มด้วย “ผมขอขึ้นไปตรงชั้นลอยนะพี่”
กนธีพยักหน้ารับ “เลือกเสร็จเอามารวมกับพี่ จะได้จ่ายทีเดียว”
อีกแล้ว..สลับบทบาทกันตามเคย “ไม่เอา ผมจ่ายของผมเอง”
“พี่โอ๊ตอย่าดื้อครับ” เขาขอร้อง “แค่เรื่องค่าใช้จ่าย ให้พี่ดูแลเถอะ”
อินทัชส่ายหัว “จะใจกว้างไปถึงไหน”
กนธียิ้ม ดันบ่าให้มันไปเลือกหนังสือของตัวเองสักที เดี๋ยวศูนย์หนังสือปิดจะมาเสียเที่ยวเปล่าๆ “พี่รอข้างล่างนะ เสร็จแล้วโทรบอกด้วย”
คล้อยหลังคนตรงหน้า เขาก็แยกไปที่โซนหนังสือแปล มีหลายเรื่องออกใหม่ดูน่าสนใจ บางเรื่องออกมานานแล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อ กนธีหยิบ Shelter ของฮาร์ลาน โคเบนกับ Inferno ของแดน บราวน์มาถือ ระหว่างที่ยืนเอียงคอมองสันหนังสือเรื่องตี๋เหรินเจี๋ย นิยายสืบสวนของจีน ฝ่ามือใครบางคนก็แตะลงบนไหล่
เขาเงยหน้ามองก่อนจะนิ่งไป “วิทย์..”
“บังเอิญจังนะครับ” เด็กหนุ่มยิ้มบาง
บังเอิญจริงๆนั่นแหละ กนธีครางในลำคอ
ไววิทย์ยกแขนขึ้นกั้นเมื่อพี่กุนต์หันไปทางอื่น เขาไม่ได้เข้ามาหาเรื่องหรอก แต่ปฏิกิริยาเดินหนีแบบนี้ทำเอาปวดใจเป็นบ้า
“ที่บอกว่าจะไม่ขอเจอ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกเป็นเรื่องจริงสินะครับ ผมเข้าใจพี่นะ แต่ช่วยแสดงออกให้น้อยกว่านี้ไม่ได้หรือไง”
กนธีเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียมารยาทไปแล้ว “ขอโทษที..มันเป็นรีเฟล็กซ์”
ไววิทย์หัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน “คนใหม่ของพี่ล่ะ ไม่มาด้วยหรือไง”
“เขาเลือกหนังสืออยู่” เจ้าตัวตอบ “แล้ววิทย์มาทำอะไร”
“ซื้อหนังสือสิครับ ศูนย์หนังสือนี่ใกล้คณะผมที่สุดแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ..ได้กี่เล่มแล้วล่ะ” กนธีมองลิสต์หนังสือในกระดาษอยู่หลายรายการ แต่ในมือน้องเพิ่งมีแค่เล่มเดียว
ไววิทย์เอากระดาษที่ถือไว้จนยับย่นใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ เด็กหนุ่มมองฝ่ายตรงข้ามนิ่งๆอีกครู่ก่อนจะพูดเสียงเบา “ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“หืม..” กนธีงุนงง ปรับอารมณ์ตามไม่ทันนัก
“แค่อยากเข้ามาทักพี่เท่านั้น ดีใจที่พี่ยังมีความสุขเหมือนเดิม”
เขานิ่งงัน พูดอะไรไม่ออก
“โชคดีครับพี่” ไววิทย์ยกมือไหว้แล้วก้มตัวผ่านหน้าคนอายุมากกว่า
กนธีมองแผ่นหลังอดีตเด็กที่เคยเลี้ยงดูอย่างดี ไววิทย์ไม่ได้ทำเรื่องน่าหนักใจ หมอนั่นเพียงแต่มาทักทายอย่างปากพูดแล้วเลี่ยงออกไปเงียบๆ
ทั้งที่น่าจะต่างคนต่างแยกกันแล้วจบ แต่กนธีก็อดตามไปดูน้องไม่ได้ ถ้าสังเกตไม่พลาด เขาเห็นว่าในกระดาษที่วิทย์จดเอาไว้มีตัวเลขลำดับเขียนอยู่ด้านหน้า คงจะใช้เรียงความสำคัญของหนังสือว่าเล่มไหนจำเป็นที่สุด
กนธีถอนหายใจ ไววิทย์ยืนหลบมุมอยู่อีกโซนหนึ่ง น้องกำลังก้มหน้ากดเครื่องคิดเลขในมือถือตามราคาปกที่ระบุไว้ด้านหลัง เขายืนมองอยู่ร่วมสิบนาที ดูหมอนั่นเลือกแล้วเลือกอีก ลังเลจะเอาเล่มหนึ่ง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหยิบอีกเล่ม ท่าทางคิดหนักแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันกลุ้มอะไร
..ไววิทย์ไม่มีเงินพอจะซื้อหนังสือทั้งหมด..
กนธีนึกถึงช่วงที่น้องอยู่กับเขา แค่เอ่ยปากเท่านั้น ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ได้ แต่พอเขาเลิกและตัดขาดน้องไป วิทย์คงจะลำบากมากพอดู
..ทนมองไม่ได้จริงๆ..
ไววิทย์ตัดสินใจเลือกหนังสือได้สองเล่มจากทั้งหมดห้าเล่ม ที่เหลือจะรอเงินที่ทำงานพิเศษเข้าบัญชีก่อนแล้วค่อยมาซื้อทีหลัง เดือนนี้ยังต้องจ่ายค่าหอพัก ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอยู่หลายอย่าง อะไรที่ตัดทอนได้ก็จำเป็นต้องลด เขาไม่ได้มีโอกาสขอเงินใครใช้เหมือนแต่ก่อนอีก ในเมื่อทำตัวเองก็ต้องก้มหน้ารับไป
ร่างสูงเงยหน้าจากชั้นหนังสือ กวาดสายตามองไปยังโซนนิยายสืบสวนที่เจอพี่กุนต์เมื่อครู่ ตรงนั้นไม่มีใครเลย เจ้าตัวคงจะกลับไปเรียบร้อยแล้ว
ดวงตาคู่นั้นดูหงอยเหงา ตัดใจเลิกคิดแล้วหยิบเงินออกมานับ
..หวังว่าคงจะพอ..
“หยิบมาให้หมดเถอะวิทย์” เสียงนุ่มนวลดังขึ้นด้านหลัง “พี่จ่ายให้”
ไววิทย์ชะงักกึก หันมองคนที่เข้ามาหา “พี่กุนต์..”
กนธียิ้มจาง นัยน์ตาทอแววอ่อนโยนเหมือนเคย “หนังสือพวกนี้จำเป็นไม่ใช่หรือ เอามารวมกับพี่นี่ พี่จัดการให้เอง”
เขาเงียบไปครู่ก่อนจะส่ายหัว “อย่าเลยครับ ผมไม่อยากรบกวน”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ของแค่นี้พี่จ่ายให้ได้”
“ผมรู้ว่าพี่จ่ายได้ แต่ถ้าเด็กใหม่ของพี่รู้เรื่องเข้า ไม่รู้มันจะทำอะไรผมอีก” เขาหัวเราะหึ “ผมไม่อยากถูกมันชกเข้าจังๆหรอกนะครับ”
กนธีลอบถอนใจ “ยังไม่หายโกรธโอ๊ตเรื่องนั้นหรือ”
“ช่างผมเถอะ” ไววิทย์บอกปัด เดินเลี่ยงออกมาแต่พี่กุนต์ยื้อแขนไว้
เจ้าตัวแย่งหนังสือสองเล่มที่เขาหยิบไปถือเอง หนำซ้ำยังเอาเล่มอื่นที่เขาเลือกแล้ววางทิ้งไว้มาจนครบทั้งห้ารายการ
“พี่กุนต์..” เขาท้วง
“นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ไม่มีใครรู้ว่าความบังเอิญนี้จะมีอีกไหม” กนธีบอก “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอให้พี่ได้ดูแลเราอีกหนเถอะนะ”
ไววิทย์เงียบกริบ เขานิ่งไปพักใหญ่ถึงจะเปิดปาก “พี่น่ะ..ขี้โกง”
อีกคนยิ้มน้อยๆ “ขอโทษนะ..”
“ถ้าใจร้ายกับผมสักหน่อย ผมก็คงไม่เจ็บใจตัวเองแบบทุกวันนี้หรอก”
กนธีไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเพียงแต่เดินนำไปตรงแคชเชียร์ วางหนังสือของตัวเองและของอีกฝ่ายให้พนักงานคิดเงิน จ่ายไปทั้งหมดและขอถุงแยก
“นี่ของวิทย์” เขาส่งให้
อดีตเด็กในความดูแลยื่นมือไปรับ สัมผัสของปลายนิ้วที่แตะต้องกันเรียกความรู้สึกโหยหากลับมาในใจ แต่ก็รู้ดีว่าย้อนเวลาไม่ได้อีกแล้ว
ไววิทย์ยืนมองหน้ากนธีด้วยท่าทางเซื่องซึมจนทางนั้นต้องขอตัว
“ตั้งใจเรียนนะครับ” เขาตบบ่าเด็ก “เราเป็นคนเก่ง พี่เชื่อว่าต้องได้ดี”
ร่างสูงยกมือไหว้ มองคนที่กำลังจะกลับเข้าไปในศูนย์หนังสือ
“พี่กุนต์” เขาเรียกไว้ ยิ้มให้คนที่หันมามอง “ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกไหม ถ้ายังไงผมจองตัวพี่มางานรับปริญญาผมล่วงหน้าเป็นปีๆเลยแล้วกันนะครับ”
กนธีหัวเราะแผ่ว ยกนิ้วโป้งให้แทนกำลังใจ “ได้เลย..พี่สัญญา”
ไววิทย์ยิ้มรับ หันหลังให้อีกฝ่ายและเดินออกมา ถึงอย่างนั้นก็ยังเผลอเหลียวมองเพียงเพื่อจะรับรู้ว่าพี่กุนต์ไม่ได้ย้อนกลับมาสนใจเขาเลย
..หากผู้ชายคนนี้ตัดใจจากใครแล้ว..เรื่องที่ผ่านมาถือว่าสิ้นสุดกัน..
[ต่อด้านล่าง]