Chapter 47
“ไป..ฮีพ..กัน” พอสอบวันสุดท้ายเสร็จ เพื่อนในกลุ่มก็ออกปากชวนทันที
อินทัชเงยหน้าจากมือถือ เขากำลังนั่งรอพี่กุนต์มารับ เด็กหนุ่มส่ายหัวก่อนบอกปัดแบบไม่ต้องคิด “ขอผ่านว่ะมึง วันนี้ไม่ว่าง”
“ถุย~ ไอ้คนมีแฟนแล้วลืมฝูง” พวกมันเข้ามาเขย่าคอ “วันเกิดมึง พวกกูอุตส่าห์มีน้ำใจจะเลี้ยงให้ ยังกล้าไม่ไปอีกหรือวะ”
“ก็ไม่ว่างจริงๆ” อินทัชหัวเราะ ยอมให้เพื่อนรุมกันตบหัวคนละป้าบ
“สารภาพมาเลยควายโอ๊ต วันนี้นัดแฟนไปฉลองที่ไหน”
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ยังไม่ได้คิด ว่าจะกลับบ้านไปหายายก่อน” วันเกิดทั้งที ขอกราบเท้ายายหน่อย เมื่อเช้ารีบออกมาสอบเลยไม่ได้คุยกัน
“แล้วทำไมไม่กลับล่ะ รออะไร”
“พี่กุนต์บอกว่าจะมารับ” เขาก้มหน้าลงสไลด์เฟซบุ๊ก
“นี่พวกกูเจอญาติมึงบ่อยกว่าแฟนมึงอีกนะ เมื่อไรจะพามาเปิดตัว”
อินทัชยิ้มขัน ปากพูดพึมพำตอนยังก้มหน้า “ก็คนเดียวกันนั่นแหละ”
พวกเพื่อนๆมุ่นหัวคิ้ว ได้ยินไม่ถนัดแต่ก็ไม่มีใครเซ้าซี้ต่อ
“จะว่าไป พี่กุนต์ก็น่ารักดีนี่หว่า”
ร่างสูงเงยหน้าแทบจะทันที ขมวดคิ้วมุ่น เล็งหัวไอ้คนพูดก่อนใคร
“น่ารักอะไรของมึง เขามีเมียแล้ว ไม่สนใจเด็กหรอก”
“โธ่..ไอ้ห่า! กูหมายถึงน่ารักแบบดูแลดี” มันหัวเราะลั่น “เป็นแค่ญาติ แต่มารับมาส่ง เช้าถึงเย็นถึง พี่ชายกูแท้ๆแม่งยังไม่ใส่ใจน้องขนาดนี้เลย”
อินทัชคลายรอยย่นตรงหว่างคิ้วเมื่อไม่มีความหมายอย่างอื่นแอบแฝง
“โชคดีของมึงแล้วไอ้โอ๊ต สบายจนน่าอิจฉา” มันพูดต่อ “ถ้ากูมีแฟนนะ กูขออายุมากกว่า คอยเทคแคร์ ชอบดูแล ไม่งี่เง่าแบบนี้แหละ”
“ขอรวยๆด้วย” พวกมันฮาครืน “นั่งกินนอนกินทั้งชาติ ไม่ต้องหาเลี้ยง”
อินทัชนั่งนิ่ง ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนๆพูดเล่น เขาโบกมือให้พวกมันไปให้พ้นหน้าก่อนจะก้มลงสนใจโทรศัพท์เป็นการตัดบท
..เขาไม่ได้คบหาพี่กุนต์ที่ฐานะ เขาคบหาที่หัวใจต่างหาก..
......
กนธีเงยมองตัวเลขสัญญาณไฟจราจรที่เริ่มจากร้อยกว่า วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ซ้ำยังตื่นเต้นเอามากด้วยเมื่อเหลือบมองกล่องของขวัญที่วางอยู่ข้างเบาะ
มันเป็นกล่องใบเล็กขนาดฝ่ามือ ห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงิน มีการ์ดเขียนด้วยลายมือของเขาว่า ‘สุขสันต์วันเกิดครับพี่โอ๊ต’ สั้นๆง่ายๆ ได้ใจความ
เขามองกระจกหลัง บนที่นั่งมีกุหลาบขาวช่อใหญ่วางอยู่ ตอนแรกจะเอาสีม่วงเพราะโอ๊ตเกิดวันเสาร์ แต่ไปๆมาๆ เขาว่าสีขาวดูโรแมนติกกว่า
กนธีอดลุ้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าน้องจะชอบของขวัญไหม แต่เขาก็ทำได้แค่นี้
ระหว่างรอไฟเขียว ชายหนุ่มหยิบมือถือมาเปิดเฟซบุ๊ก ช่วงหลังไม่ค่อยได้เล่นเกมเท่าไร มีแต่พสิษฐ์ที่ส่งพลังงานมาให้ทุกวันเหมือนมันเหงาที่ไม่มีเขาคอยกวนอย่างแต่ก่อน ช่วยไม่ได้นี่นา..มันอยากโสดลอยชายเองทำไม
ตอนเลื่อนดูฟีดหน้าหลัก กนธีเห็นเจ้าโอ๊ตมันกดไลค์อะไรสะเปะสะปะไปหมด แต่มีอยู่อันหนึ่งที่ทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
‘ถ้ารักใครสักคน แสดงให้เขาเห็น ดีกว่าบอกให้เขารู้’
หัวใจมันเต้นแรง แค่เพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ได้เจอ
เป็นแบบนี้แล้ว เขาขอนึกเข้าข้างตัวเองได้ไหม ถ้าให้คิดดูดีๆ พักหลังอินทัชมีปฏิกิริยาต่อเขาค่อนข้างมาก ถึงน้องไม่พูด แต่กับคนที่อายุปาเข้าสี่สิบ มันก็พอจะเดาทางได้ไม่ยากว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันกำลังกระเตื้องขึ้น
เขาไม่อยากไปเร่งรัด ไม่อยากตามตื๊อให้รีบบอกรีบคิด ไม่อยากกระตุ้นเอาคำตอบ เขาเชื่อว่าถ้าคนเรามันอยากจะรักใคร ในที่สุดมันก็จะพูดออกมาเอง
ตอนนี้เขารอได้ ไม่รีบไม่ร้อน ไม่คิดวู่วาม อยากให้เวลาน้องเต็มที่เพราะมันยังเด็กเหลือเกิน ดูจากนิสัยของโอ๊ตแล้ว การตกลงปลงใจกับใครคงเป็นเรื่องใหญ่พอควร เอาเป็นว่าได้เท่านี้เขาก็โอเค แค่ดูแลกันเหมือนที่ผ่านมา หล่อเลี้ยงให้เกิดความสุขขึ้นในแต่ละวันก็น่าจะพอ
มีสายโทรเข้าจากญาติผู้น้อง พักนี้มันไม่ค่อยมาหาเขาหรอก เพราะเมื่อไรที่เขามีคู่ควง มันจะเว้นพื้นที่ให้เขาได้มีเวลาส่วนตัวกับเด็ก ตัวเองจะโผล่มาเวลาที่เขาทุกข์ใจหรือเลิกกับเจ้าพวกนั้นมากกว่า..ช่างเป็นน้องที่น่ารักจริง
“ว่าไงไผ่ลู่ลม” กนธีพูดผ่านสมอลทอล์ค
‘จะชวนกินข้าวเย็นนี้ ไปด้วยกันไหม’
“ผิดวันมากน้องเอ๋ย” เขารู้สึกผิดเหมือนกัน ไม่ค่อยมีเวลาให้ไอ้ไผ่เลย “วันนี้วันเกิดของโอ๊ต พี่เลยว่าจะฉลองกับน้องมันน่ะ โทษที”
‘หัวเน่าเสมอต้นเสมอปลายเลยนะผมเนี่ย’ พสิษฐ์ตัดพ้อ
“ขอโทษคร้าบ” เขาหัวเราะ “อย่างอนเลยน้อง พี่จะชดเชยให้”
‘หึ..แล้วจะไปดินเนอร์ที่ไหนกัน ซื้ออะไรให้เด็กมันล่ะ’
“Toyota Altis Esport” กนธีตอบ ทำเอาพสิษฐ์โวยวายจนแก้วหูแทบทะลุ “ไม่ถึงล้านหรอกน่า..แค่เก้าแสนกว่า” เขาเคาะพวงมาลัยรถ อารมณ์ดี
‘รักมาก ทุ่มเทมากขนาดนี้ เผื่อใจไว้เจ็บบ้างหรือเปล่าพี่!’
เขายิ้มบาง “เผื่อไว้มั้ง..ไม่รู้สิ” มาถึงขั้นนี้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้ว
‘ผมล่ะห่วงพี่จริงๆ’ ปลายสายถอนหายใจ
“ขอบคุณนะน้อง” กนธีปลอบใจมัน “ตอนนี้พี่รู้แต่ว่า พี่มีความสุขที่จะให้โอ๊ต ถ้าสุดท้ายต้องเลิกกัน อย่างน้อยก็ได้ให้คนที่พี่รักแบบเต็มที่แล้ว”
‘พี่กุนต์..’ พสิษฐ์พึมพำ ‘ผมบอกตามตรง อยากให้พี่เตรียมใจไว้บ้าง’
“พี่รู้ไผ่” เขาขับรถต่อ บอกตัวเองแล้วว่าต้องทำใจอย่างที่น้องเตือน แต่ก็ไม่รู้ว่าถึงเวลาเข้าจริง เขาจะทำได้อย่างปากพูดไหม
เพราะว่าเรื่องความสัมพันธ์ มันไม่ได้มีแค่เหตุการณ์ แต่มันมีเรื่องของความรู้สึกและอารมณ์เข้ามาปนเปทุกเมื่อ ในเวลาแบบนั้น เราอาจหลงลืมการใช้เหตุผลไป แม้แต่กับคนที่ฉลาดที่สุดก็กลายเป็นคนโง่ที่สุดได้
..เอาเป็นว่า เขาจะพยายาม..
‘มีคนรักอายุน้อย พี่รับได้ใช่ไหมที่ต้องเป็นฝ่ายให้เขามากกว่า’
“พี่รักโอ๊ต” กนธีตอบ “ความรักไม่ใช่เรื่องของการได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ต้องแบ่งว่าใครดูแลหรือใครจะให้ ขอแค่มีความสุขที่ได้เทคแคร์อีกฝ่ายก็พอ”
พสิษฐ์หัวเราะเบาๆ ‘ผ่านเรื่องนั้นได้ พี่ก็ต้องเป็นคนคอยเข้าใจ ต้องเป็นผู้นำ ต้องแก้ปัญหา ต้องมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็กด้วยนะ ต่อให้บอกให้มันทำตัวเป็นผู้ใหญ่ยังไง มันก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นอยู่วันยังค่ำ’
“พี่จะไม่ขอให้โอ๊ตทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หรอก” กนธีตอบ “น้องมันอายุแค่ยี่สิบ ที่ผ่านมามันก็แบกรับภาระของผู้ใหญ่จนเกินตัวแล้ว ช่วงที่อยู่ด้วยกัน พี่ขอเอาช่วงวัยเด็กที่หายไปกลับมาให้น้องมันเถอะ แล้วอีกอย่างในเมื่อพี่เลือกคบคนอายุน้อยกว่า พี่ก็ต้องรับให้ได้ที่มันเป็นเด็ก ไม่ใช่ไปคาดหวังให้มันโตกว่าวัย”
พสิษฐ์ครางในลำคอ ‘พี่คงรักของพี่จริงๆ’
กนธียิ้มขัน “ไม่ต้องห่วงนะไผ่ ถึงพี่จะทำเต็มที่ แต่พี่ไม่ได้เป็นคนที่ยอมโง่เพื่อความรัก สัญญาจะมีสติให้มาก แล้วเมื่อไรที่เหนื่อยเกินรับ..พี่จะไป”
..จนถึงตอนนี้แล้ว ถึงอยากเจอรักแท้อีกสักหน..
..แต่เขาคงไม่กล้าหวังว่าจะได้รักกันไปจนตายหรอก..คงเกินตัวไป..
..ขอมีความสุขกับปัจจุบันอย่างที่เป็นอยู่ก็พอ..
‘ยังไงก็ตาม..ผมอยู่ข้างพี่เสมอนะ’ พสิษฐ์บอกไว้แค่นั้นแล้ววางสาย
กนธียิ้มระอา น้องมันห่วงเขาถึงขนาดนี้ อายุปาเข้าไปตั้งมากเลยไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เพราะมัววุ่นวายอยู่กับตาแก่ไม่ได้เรื่องแบบเขานี่แหละ
ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้ามาในคณะ เห็นจากไกลๆว่าอินทัชนั่งเล่นมือถืออยู่ตรงทางเดินหน้าห้องเรียนเลยบีบแตรเบาๆ ไอ้ตัวร้ายเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มให้
เขาเข้ามาจอดข้างอาคารตอนที่น้องคว้าเป้แล้ววิ่งมาหา มันทำหน้างงเมื่อเขาลงจากรถแล้วบุ้ยใบ้ให้ไปขับแทน เจ้าโอ๊ตทำหน้าเหวอนิดๆ
“แน่ใจนะพี่” อินทัชมองรถคันโปรดของพี่กุนต์อย่างเกรงใจ
“แน่ใจสิ” กนธีเข้ามานั่งข้างคนขับ พอโอ๊ตเปิดประตูเข้ามาและประจำที่เรียบร้อย เขาก็เอื้อมไปหยิบของเบาะหลังและส่งช่อกุหลาบให้
เด็กหนุ่มผงะไปครู่ด้วยความคาดไม่ถึง
“สุขสันต์วันเกิดครับ..คนดีของพี่”
ประโยคสั้นๆแค่นั้น อินทัชหน้าแดงไปถึงใบหูเลยทีเดียว ช่วยไม่ได้ที่เขาชอบดูเวลาเด็กมันเขิน เลยขยันสร้างเรื่องมาเต๊าะมันบ่อยๆ
..ผู้ชายตัวโตเวลาอาย มันน่ารักแบบบอกไม่ถูกเลยล่ะ..
“พี่โอ๊ตหูแดงแล้ว” กนธีแซว มองคนที่แก้เก้อด้วยการลากเข็มขัดนิรภัยมารัด แต่ก็เสียบผิดๆถูกๆอยู่นั่น “ใจเย็นครับคุณ”
อินทัชรู้สึกมือไม้เก้งก้าง ต้องตั้งสติอยู่ร่วมนาทีจนพี่กุนต์แหย่แล้วแหย่อีก “ก็เหมือนพี่เวลาอายแล้วเปิดที่ปัดน้ำฝนไง”
เขาหัวเราะร่วน อดแกล้งไม่ได้ “ปฏิกิริยามาขนาดนี้ มีใจแล้วสินะ”
คนฟังเบือนหน้าหนี รับกุหลาบขาวช่อใหญ่มาอุ้มเอาไว้แต่ยังไม่หันมอง ถึงอย่างนั้น กนธีที่นั่งอยู่ด้านข้างก็สังเกตใบหูที่เป็นสีแดงจัดได้ไม่ยาก
..ก็ว่าจะไม่เอาคำตอบ แต่อยากแหย่จริงๆ..
“ชอบพี่แล้วก็บอกมาเถอะ” กนธียิ้มขัน “จะได้เอาสินสอดให้คุณยาย”
“ตลกน่า” อินทัชยกหลังมือขึ้นบังแก้มที่ร้อนผ่าว
อีกคนหัวเราะชอบใจ แหย่มันหนักเข้า พอเห็นมันเขิน เขาก็ชักจะเขินตาม เขาเลยขี้เกียจจะแกล้งต่อ ได้แต่หยิบกุหลาบไปวางเบาะหลังเหมือนเดิม ให้มันขับไปสภาพนี้ ไม่แคล้วจะได้แหกโค้งชนเสาไฟตายคู่กันเสียก่อน
“ไปๆพี่โอ๊ต กลับบ้านกัน ยังหาเบรกกับคันเร่งเจออยู่ไหม”
“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพี่” อินทัชบ่นพึมพำ หูยังเป็นสีเข้มได้น่าดูชม
กนธีขบขัน ให้มันตั้งสมาธิใหม่ด้วยการนั่งเงียบๆ ถึงอย่างนั้นสายตาก็มองน้องไม่วาง คอยดูตั้งแต่มันเข้าเกียร์ หมุนพวงมาลัย แล้วเคลื่อนรถออกมา
“จ้องเอาๆแบบนี้ ผมเกร็งไปหมดแล้วครับ” อินทัชบอกเสียงสั่น
“โทษที..” เขาพึมพำ เหม่อดูปลายนิ้วเรียวยาวและแนวสันหมัดแข็งแรงที่กำรอบพวงมาลัย “พี่แค่กำลังคิด....” อินทัชเป็นผู้ชายสะอาดสะอ้าน เล็บตัดสั้นเป็นระเบียบ ซ้ำยังเต็มไปด้วยกำลังของวัยหนุ่มและสุขภาพดี สังเกตจากกล้ามเนื้อแต่ละส่วน กับท่อนแขนสองข้างที่ตึงแน่นอยู่ภายใต้เสื้อนิสิตสีขาว
“คิดว่าอะไรครับ” เขาละมือซ้ายมาจับเกียร์ หันมามองครู่หนึ่ง
“โอ๊ตเนี่ย..สเปคพี่ชัดๆ” กนธียิ้ม พาดแขนกับเบาะฝั่งคนขับและเอานิ้วเขี่ยใบหูมันเล่น “หนุ่มวิทย์กีฬาที่พับแขนเสื้อแล้วขับรถมือเดียว..เซ็กซี่เป็นบ้า”
อินทัชสำลักโขล่ก ดูเลิ่กลั่กตั้งตัวไม่ติดเหมือนเด็กประถมที่ถูกบอกรัก
“เลิกแหย่ผมเถอะพี่ เดี๋ยวก็เหยียบคันเร่งแทนเบรกกันพอดี”
“บอกแล้วไงว่าถ้าเขินขนาดนี้ก็สารภาพมาว่าชอบพี่เข้าแล้ว” เขาแกล้ง
“ฮื่อ!” อินทัชทำเสียงในลำคอ โชคดีที่รถติดไฟแดง เลยมีเวลาตั้งตัว
มีเสียงไลน์เข้าที่มือถือของกนธี เขาหยิบออกมาดู เห็นว่าเป็นเจ้าไผ่ส่งข้อความมาหา มันฝากแฮปปี้เบิร์ธเดย์โอ๊ตด้วยเลยอ่านให้เด็กฟัง
เจ้าของวันเกิดพึมพำตอบรับ เขานั่งนิ่ง มองตัวเลขไฟแดงที่ค่อยๆลดลงพลางเหลือบมองคนที่ก้มหน้าพิมพ์ตอบน้องชายในไลน์
“วางโทรศัพท์ก่อนได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา
กนธีเลิกคิ้ว งุนงงอยู่บ้างแต่ก็ทำตามเด็ก
อินทัชหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกจัดตอนที่เอื้อมไปจับมือพี่กุนต์ ฝ่ายนั้นเองก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเขากอบกุมปลายนิ้วพวกเราไว้ด้วยกัน
กนธีนิ่งค้างกับแรงนุ่มนวลที่ดึงมือเขาไปจับไว้ก่อนค่อยๆคลี่นิ้วเขาออกแล้วรั้งขึ้นมาวางทาบบนแผ่นอกด้านซ้ายของน้องมัน
..ให้สัมผัสเสียงที่เต้นแรงอยู่ในนั้นแล้วตัดสินด้วยตัวเอง..
“คิดว่าไงล่ะครับ” อินทัชไม่ยอมหันมองแต่หูยังเป็นสีแดงจัดเหมือนเคย
เขาเงียบกริบ มีแต่หน้าที่ร้อนจัดไม่ต่างกัน
เย็นนั้นอินทัชขับรถไปเงียบๆด้วยมือขวาข้างเดียว ส่วนมือซ้าย..เขาใช้มันกุมมือใครอีกคนไปด้วยตลอดทาง
ตอนที่ถึงบ้านเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว อินทัชเลิกคิ้วกับไฟที่มืดสนิท พอจอดรถเรียบร้อย เขาเลยออกปากถามพี่กุนต์ว่าไฟดับหรือเปล่า
“นั่นสินะ สงสัยต้องไปตามลุงมาดู” กนธีลงจากรถ
เด็กหนุ่มหอบช่อกุหลาบหอมฟุ้งตามพี่กุนต์ พอกำลังห่วงว่าน้องๆกับยายอยู่กันยังไง ไอ้ตัวแสบคนรองก็วิ่งถลาออกมาจากบ้าน ทำหน้าตาตื่น
“เป็นอะไรอ้น” อินทัชตกใจ น้องเข้ามากอดขาเขาแน่น “อุ้มกับยายล่ะ!”
“น้องอุ้ม..น้องอุ้ม..” อ้นทำปากเบะ ชี้มือไปด้านหลัง
ร่างสูงรีบลากตัวน้องเข้าไปในบ้าน ดูเหมือนไฟฟ้าจะดับไปทั้งหลัง แต่ยังไม่ทันก้าวขาต่อ จู่ๆในห้องก็สว่างวาบ
“แฮปปี้เบิ๊ดเดย์ค้าบพี่โอ๊ต~” น้องอุ้มโผล่ออกมา ดึงกระบอกสายรุ้งดังปัง ทำเอาริบบิ้นหลากสีปลิวไปติดใส่หัวพี่ชายที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง พวกแม่บ้านหัวเราะคิกคักที่เห็นหนุ่มวัยรุ่นหน้าแดงจนถึงใบหู วันนี้คุณกุนต์ให้ทำมื้อเย็นเป็นพิเศษ ถือเป็นการฉลองวันเกิดให้คุณอินทัช คนที่ใครๆต่างก็รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็น ‘แฟน’ ของคุณกนธี
ถึงทั้งสองจะไม่เอ่ยปากเรื่องสถานะออกมาให้ชัดเจน แต่นับจากคุณศรัณย์เสียชีวิตไปก็ไม่เคยมีใครมาที่บ้านอีกเลยนอกจากเด็กหนุ่มคนนี้
ดังนั้นต่างฝ่ายเลยต่างคาดเดากันเอาเองว่าจะต้องเป็นคนรู้ใจคนใหม่ของคุณกุนต์แน่นอน พวกเขาไม่สนเรื่องเพศหรือรสนิยมอื่นใดหรอก ขอแค่ให้นายใหญ่ที่น่ารักของเขายิ้มได้ มีความสุข เลิกเศร้ากับเรื่องในอดีตก็พอ
“โหย..หลอกกันนี่นา” อินทัชถอนหายใจโล่งอก พอตั้งตัวได้ก็นั่งยองๆ รวบตัวน้องสองคนมากอดแน่น มันเขี้ยวพวกมันเหลือเกิน แกล้งเขาได้
กนธีหัวเราะชอบใจ เข้าไปประคองคุณยายมานั่งตรงโซฟา
“เจ้าโอ๊ต มานี่มา” ยายกวักมือเรียก ยิ้มรับหลานชาย
อินทัชผละจากน้อง เดินเข้าไปหาแล้วนั่งคุกเข่าที่พื้น เขายิ้มให้แกและยิ้มให้พี่กุนต์ที่ขยับมานั่งข้างยาย ฝ่ายนั้นส่งพวงมาลัยมะลิหอมมาให้ ทำเอาเขานึกทึ่งที่พี่กุนต์จัดการเรื่องทุกอย่างได้เสร็จสรรพและเตรียมพร้อมขนาดนี้
กนธีมองน้องที่เอาพวงมาลัยให้ยายแล้วก้มลงกราบเท้าท่าน คุณยายลูบหัวลูบหน้า ให้พรตามประสา แววตาที่มองหลานให้ความรู้สึกผูกพันรักใคร่
“โตขึ้นอีกปีแล้วนะลูก” ยายลูบผมมัน “ขอให้หลานรักของยายมีชีวิตที่ดี เจริญก้าวหน้า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ”
อินทัชพนมมือรับพรโดยมีพี่กุนต์มองด้วยความเอ็นดู
“อายุเท่านี้แล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่รุ่นๆ จะทำอะไรก็ใจเย็น คิดหน้าคิดหลังให้ดี อย่าทำตัวให้เดือดร้อนใครโดยเฉพาะกับพี่เขา” ยายหันมาทางคุณกนธี
เด็กหนุ่มมองพี่กุนต์ ยักคิ้วให้เหมือนจะแหย่ “ผมจะพยายามนะ”
ยายส่ายหัว ดึงมือมันมากุมพร้อมแตะเบาๆ “โอ๊ต..ฟังให้ดีนะ”
“อะไรยาย..อย่าทำหน้าซีเรียสดิ”
แกหัวเราะ เขกหัวมันไปหนหนึ่ง “ฟังยายก่อนไอ้ตัวร้าย”
อินทัชทำเป็นสงบและเชื่อฟัง เพราะพี่กุนต์เตะขาเขามา เขาเลยต้องทำเรียบร้อยเข้าไว้ ยายเอื้อมมือขยี้หัว ดวงตาฝ้าฟางจับจ้องเขาด้วยความรัก
“วันเกิดโอ๊ตปีนี้ อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่ยายมีโอกาสได้อวยพร”
“ยายพูดอะไรเนี่ย” เขามุ่นหัวคิ้ว ไม่อยากฟัง “ไม่เอา พูดไม่เป็นมงคล”
“คนเรามีเกิดก็มีตายนะลูก มันเรื่องธรรมดา” แกกุมมือหลานไว้ “ยายคงมีชีวิตสั่งสอนเอ็งไปได้อีกไม่นาน แบบนี้แล้ว..” แกค่อยๆแตะข้อมือคุณกุนต์
กนธีชะงักไปครู่ ไม่คิดว่าคุณยายจะจับมือเขากับโอ๊ตพร้อมกัน อุ้งมือผอมแห้งข้างนั้นกระชับนิ้วเขาไว้ บีบแผ่วแทนคำขอร้อง
“ยายจะขอฝากเอ็ง ฝากน้องเอ็งทั้งสองคนไว้กับคุณกุนต์ หลังจากนี้ไป ขอให้คุณเขาได้เป็นผู้ปกครองของพวกเอ็ง จัดการชีวิตได้ตามใจชอบ”
“คุณยาย..” กนธียิ้มบาง “อย่าห่วงเลยครับ”
อินทัชดูมือของเขาที่ยายจับไว้ข้างหนึ่งแล้วจับมือพี่กุนต์เอาไว้อีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็รวบมือของพวกเขาสองคนเข้าไว้ด้วยกัน
ปลายนิ้วของมือซ้ายที่แต่ละฝ่ายแตะต้องกันเพียงนิดเดียว กลับทำให้ความอุ่นซ่านแผ่ขยายและแล่นลามขึ้นไปถึงหัวใจ
เขาเงยหน้ามอง สบตากับพี่กุนต์ที่กำลังมองมาเหมือนกัน เสี้ยววินาทีนั้น เหมือนมีอะไรพร่าพรายในหัว ทุกอย่างดูวูบไหว ใจเต้นดังไม่เป็นจังหวะ
แนบชิด ร่วมสัมพันธ์ทางกายนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำให้ในอกบีบรัดรุนแรงได้เท่าการสัมผัสเพียงปลายนิ้วมือ..ในช่วงเวลาที่ใจ ‘ตรงกัน’
..แบบนี้ใช่ไหม..ที่เขาใช้เรียก ‘คำๆนั้น’..
อินทัชมองหน้าพี่กุนต์เหมือนคนเสียสติ นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องคล้ายกับอีกฝ่ายเป็นอะไรแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน จ้องมองแทบไม่ละสายตาจนกนธีหันมาเจอ และเริ่มรู้ตัวว่าน้องมันดูไม่ค่อยปกติเท่าไร
..เพี้ยนไปแล้วหรือไง..จ้องกันเหมือนจะกลืนเข้าไปทั้งตัว..
ยายเองก็เห็นเหมือนกัน “ไอ้หลานตัวดี หนูกุนต์ของยายพรุนหมดแล้ว”
อินทัชถูกยายเขกหัวเลยก้มหน้าหลบ กระแอมเบาๆแก้อาย
กนธีขบขัน “ช็อกจนพูดไม่ออกเลยหรือไงโอ๊ต” เขาเบี่ยงสถานการณ์ “คุณยาย..ถ้าพี่โอ๊ตดื้อ ผมจะขอใช้ไม้มะยมฟาดก้นน้อง คุณยายยอมไหมครับ”
ยายหัวเราะชอบใจ “ดีดมะกอกด้วยนะ ตาหนูทำเป็นไหม แบบนี้..”
อินทัชโดนยายดีดนิ้วเพี๊ยะ เล่นเอาเขาครางอู้ “ยายเนี่ย..”
อ้นกับอุ้มที่หายตัวไปเอาเค้กก้อนเล็กมาให้พี่โอ๊ตเป่าเห็นพี่ชายถูกยายดีดนิ้วก็หัวเราะขำกันใหญ่ นานๆทีถึงจะเห็นยายแกล้งพี่โอ๊ต
“เป่าเค้กกัน” กนธีจุดเทียนให้ เค้กก้อนนี้เขาให้อ้นกับอุ้มเป็นคนเลือกเองว่าอยากกินรสอะไร วันเกิดพี่โอ๊ต แต่เอาใจน้องๆ มันก็เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
อินทัชขยับเข้ามาหา พี่กุนต์ถือเค้กไว้ด้วยมือซ้าย มีพวกเด็กๆห้อมล้อมคอยลุ้น เขายืดตัวขึ้นให้ความสูงเสมอกับคนที่นั่งบนโซฟา มองสบใบหน้าได้รูปและดวงตาสีอ่อนที่ดูไหวสั่นตอนถูกเขาจับจ้องผ่านแสงเทียน
ต่างฝ่ายต่างเก้อเขินจนต้องหลบสายตากันไป
“พี่โอ๊ตอย่ามองอย่างเดียว เป่าเร็วๆซี” น้องอุ้มเชียร์ น้ำลายแทบหก
อินทัชกลั้นขำ ยกมือขึ้นจับจานเค้ก จงใจใช้ปลายนิ้วสัมผัสมืออีกฝ่ายแล้วลูบแผ่ว พี่กุนต์หันมอง จมูกเป็นสีเรื่อตอนเขาหลับตาอธิษฐานและเป่าเทียน
“พี่โอ๊ตขออะไรอ่ะ ขอนานจัง” อ้นอยากกินจะตายอยู่แล้ว
กนธีปล่อยให้เด็กๆกับคุณยายคุยกัน เขาเป็นคนไปเอามีดพลาสติกบนโต๊ะอาหารมาตัดเค้กและแบ่งใส่จานให้ คุณยายอยากกินแต่เนื้อ ส่วนอ้นกับอุ้มอยากกินครีมสด เขาเองขอสักเสี้ยวเล็กๆก็พอ ที่เหลือให้พี่โอ๊ตมันหมดเลย
อินทัชเหม่อมองคนที่ตั้งอกตั้งใจกับการแบ่งขนมให้เป็นรูปทรงสวยงาม จนป่านนี้แล้วก็ยังทำอะไรอืดอาด เต่าคลาน ชักช้าเป็นสล็อธเหมือนเดิมไม่มีผิด
“อันนี้ของโอ๊ตนะ” กนธียกมาให้ “กินให้หมดนั่นแหละ”
เขามองพี่กุนต์ ยิ้มเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ได้แต่รับจานเค้กมาถือ
“นี่ๆ ขออะไร บอกหน่อย” อ้นชวนพี่คุย พอพี่ดูลอยๆก็ฉกเชอร์รี่เข้าปาก
เด็กหนุ่มยักไหล่ ยืนยิ้มบ้าบออยู่ตามลำพัง ไม่ทันได้สนใจว่าน้องๆรุมกันปาดครีมจนเขาเหลือแต่เนื้อเค้กโพลนๆ ทำอะไรก็ทำเถอะ วันนี้เขาอารมณ์ดี
“สติหลุดเข้าแล้ว” กนธีเดินผ่าน พูดลอยเข้าหู พอน้องหันมาเขาก็ทำหน้าตาย ชวนคุณยายคุยแทน “คุณยายหิวหรือยังครับ ไปทานข้าวกันดีกว่า”
อินทัชยังละเลียดเค้กต่อไปพลางมองตามพี่กุนต์ที่เข้ามาประคองยาย
..อธิษฐานอะไรน่ะหรือ..มันไม่ได้ซับซ้อนนักหรอก..
แค่คิดไว้ว่า ตอนนี้เขาอายุยี่สิบปีเต็ม..ถ้าคนเรามีอายุขัยอย่างเก่งได้สักแปดสิบปี เขาก็เพียงแต่หวังและตั้งมั่นในใจ..ว่าชีวิตอีกสามส่วนสี่ที่เหลือนั่น
..จะขอยกให้คุณกนธี สิงหนาททั้งหมดเลย..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]