ตอนที่กนธีมาสมทบกับพสิษฐ์ ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหาถึงหน้าบ้าน ไม่ใช่เสียงเคาะประตูหรอกที่ทำให้พวกเขารู้..เสียงฝีเท้าของสัตว์ใหญ่ต่างหาก
พสิษฐ์อึ้งไปครึ่งนาทีเมื่อเปิดประตูแล้วเจอหนุ่มชาวไร่บนหลังม้า
ผู้ชายคนนั้นสวมเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับแขน ใส่ยีนส์สีซีดกับรองเท้าหนัง สวมหมวกปีกกว้างเหมือนคาวบอย เขาเงยหน้ามองแต่ไม่ค่อยเห็นอะไรเพราะแสงอาทิตย์ของช่วงวันสาดเป็นแบคกราวด์ เห็นก็แต่เงาร่างสูงใหญ่ รอยยิ้มร้ายๆแบบตัวแทสมาเนียนกับแสงสะท้อนจากต่างหูเงินที่แทบทำเอาตาบอด
“คุณนี่เอง” พสิษฐ์ลดมือที่บังแสงลง หยิบแว่นกันแดดมาสวมแทน เขาน่าจะเดาออกแต่แรก เปิดตัวอลังการขนาดนี้มีคนเดียวเท่านั้นแหละ
“คุณน้องชายของคุณกุนต์สินะครับ”
“ใช่แล้วครับ” ร่างสูงยิ้มให้ “ดีใจที่เจอกันอีกครั้ง”
ไผทมองฝ่ามือที่ยื่นมาหาแทนการทักทายแบบคนตะวันตก เขาเลยเชคแฮนด์กับอีกฝ่ายด้วยแรงของคนหนุ่ม คือการเขย่ามือหมอนั่นจนหัวสั่นหัวคลอน
พสิษฐ์ครางในลำคอ พอคุณไผทปล่อยมือ นิ้วเขาถึงกับแดงไปทั้งแถบ คนอะไรวะเนี่ย..ดูเถื่อนชะมัด ไม่รู้เถื่อนเป็นนิสัยหรือเถื่อนแต่กับเขา
“เอ่อ..ไม่ได้เจอกันนานมาก” ตั้งแต่ที่ขับรถชนวัวนั่นแหละ ไม่ได้เจอกันอีกเลย ตอนเอาเงินมาจ่ายก็ไม่อยู่เลยไม่ได้คุยกัน “หวังว่าคุณคงสบายดี”
“ครับ..สบายดี” คนฟังผงกหัว “ทั้งผมและวัวของผม..สบายดี”
พสิษฐ์หัวเราะเจื่อน อาฆาตแรงเหมือนงูเห่าเลยแฮะ
“ผมล้อเล่นน่ะ ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งครับ” ไผทบอกเสียงเรียบ และสีหน้าก็สุดแสนจะราบเรียบตามไปด้วย ไม่ได้ดีใจอย่างที่ปากพูดสักนิด
ม้าสีขาวหุ่นกำยำล่ำสันเหมือนม้าแข่งยกตัวและชูขาหน้าขึ้น ทำเอาเจ้าน้องชายคุณกุนต์ผงะเล็กน้อยจนต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขานึกขำในใจ บังคับให้มันเลิกวุ่นวายแล้วเดินมาหยุดตรงหน้ากนธีที่เพิ่งตามออกมา
“คุณกุนต์..” เสียงทุ้มต่ำทักทายคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“คุณไผท” กนธียิ้มให้ “ม้าสวยจังครับ นี่ของขวัญผมหรือ”
ไผทหัวเราะ ตบแผงคอม้าเบาๆ “ตัวนี้ของผม ของคุณอยู่ในคอก” เขายิ้มให้ “ทักทายมันได้นะครับ เจ้านี่น่ะเชื่องมากเลย”
“ชื่ออะไรครับเนี่ย” กนธีเดินเข้ามาหา ปล่อยน้องยืนอยู่ข้างหลัง
“ฌ็องเซลิเซ่ ปลาส เดอ ลา คองคอร์ด” เขาว่ายิ้มๆ
“ห๊ะ?” พสิษฐ์แทบหน้าคะมำ “ชื่ออะไรนะครับคุณผัดไทย”
เจ้าของชื่อหุบยิ้มทันควัน ปรายตามองแขกอีกคน “ผมชื่อไผท”
“ขอโทษครับ ลิ้นมันพันกัน” พสิษฐ์ยิ้มเฝื่อน “ม้าตัวนี้ชื่ออะไรนะคุณ”
“ชื่อฌ็องเซลิเซ่” กนธีตอบแทน
ไผทหัวเราะ “มันชื่อนายสมสง่าครับคุณกุนต์ เมื่อครู่ผมล้อเล่น” เขาจับบังเหียน สั่งให้มันหมุนตัวโชว์และกวัดหางให้ดู “หล่อใช่ไหมล่ะ”
“โธ่..คุณสมสง่า” กนธีกลั้นขำแทบแย่ “นึกว่าอิมพอร์ตจากปารีส”
“พ่อมันยังไม่เคยไปเลย จะมีปัญญาเอาม้ามาจากเมืองนอกได้ยังไง” ไผทพูดแบบตรงไปตรงมาโดยไม่อาย “ผมแค่จะมาเชิญไปทานข้าวที่บ้านน่ะ”
“ขี่ม้าไปหรือครับ” พสิษฐ์นิ่งไปครู่ เขาขี่ไม่เป็นนะเว้ย!
“มีรถกอล์ฟครับคุณ” ไผทตอบ “ยังไงก็เชิญทุกคนเลยนะครับ ทราบว่าคุณยายมาด้วย ผมเลยให้เด็กเตรียมอาหารรสไม่จัดให้”
กนธีพยักหน้ารับ ยิ้มให้อีกฝ่าย “อีกสิบนาทีผมจะตามไป”
“ไปกับผมก่อนมั้ย คุณสมสง่ารับสองคนสบายๆ” เขาพูดแหย่
พสิษฐ์หันมองพี่ที่ปฏิเสธอย่างสุภาพ คุณไผทไม่ได้ตื๊ออะไร แค่กำชับให้รีบไปเจอที่บ้านแล้วก็ควบม้ากุบกับกลับไปทางเก่าเหมือนหนุ่มคาวบอย เขามองตามแล้วได้แต่ถอนใจออกมา รู้สึกได้ถึงพลังการจีบที่ค่อนข้างรุนแรง
“ไอ้หมอนั่นมันชอบพี่ใช่ไหม” เขากระซิบถาม
“คงงั้นมั้ง” กนธีไม่ได้บื้อขนาดจะมองไม่ออก รู้แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธจริงจังเด็ดขาด เพราะยังต้องดีลธุรกิจกันอีกนาน จะเข้าหน้าไม่ติดเสียเปล่า
“ระวังแรงหึงนะ” พสิษฐ์มองด้านหลัง เห็นอินทัชเดินขมวดคิ้วมา
“ผมได้ยินเสียงม้า” เด็กหนุ่มหันดูรอบด้าน “สังหรณ์ว่าจะมีพระเอกลิเก หลงมาจากกองถ่ายของอาฉลอง ภักดีวิจิตร เลยรีบมาดูให้แน่ใจ”
พสิษฐ์ถึงกับยื่นมือไปเชคแฮนด์กับไอ้หนุ่มโอ๊ต เขาแค่คิด แต่เจ้านี่พูดออกมาเลย นับว่ามีความเห็นตรงกันดีจริงๆว่าคุณไผทนี่น่าหมั่นไส้ขนานแท้
กนธีมองสองหนุ่มเข้าขากันแล้วได้แต่ขบขัน ตบบ่าอินทัช
“เตรียมตัวไปทานข้าว คุณไทมาเชิญแล้ว เราอย่าเสียมารยาทเลย”
อินทัชหัวเราะหึ อยากเถียงเหมือนกัน แต่ไม่อยากทำตัวเด็กให้พี่กุนต์เบื่อหน่าย เขาเลยพยักหน้าแกนๆ คุณพสิษฐ์เหมือนจะเข้าใจเลยพูดปลอบ
“พี่จะช่วยกันไอ้ขี้เกลือออกจากลุงอีกแรง”
คนอายุน้อยกว่าถึงกับชูนิ้วโป้งให้..พันธสัญญาของลูกผู้ชายชัดๆ
รถกอล์ฟที่มารับมีคนขับให้หนึ่งคน เป็นคนงานในไร่ของคุณไผท คันหนึ่งมีเบาะสองฝั่ง นั่งได้อย่างเก่งสี่ถึงห้าคน กนธีเลยให้ไปกันก่อน
“พี่จะรอไปพร้อมไผ่” เขาประคองคุณยายมา ยังไงก็ต้องให้ท่านไปนั่งพักก่อน ให้รอทีหลังไม่ดีหรอก “คุณยายไม่ต้องเกรงใจนะครับ คุณไทใจดีมาก”
อินทัชชั่งใจ ตอนแรกว่าจะรอพี่กุนต์ไปด้วยกัน แต่คิดๆดูแล้ว เขาไปอยู่กันท่าคุณไผทก่อนจะดีกว่า แล้วจะให้ปาลินมาดูแลยายแทนก็ใช่เรื่อง
“น้องอุ้มทำตาละห้อยเลย” กนธีแซวเด็ก “เดี๋ยวอาไผ่ตามไปครับ”
ปาลินหัวเราะ รวบตัวเจ้าสองแสบไปนั่งเบาะหลัง คุณยายกับโอ๊ตนั่งเบาะหน้า พอคนครบ คนขับก็ออกรถไปเอื่อยๆ อ้นกับอุ้มโบกมือบ๊ายบายให้
“พวกเราเดินไปกันดีไหมไผ่” กนธีถามน้องชาย รู้สึกฮึกเหิมสุดๆเมื่อเห็นไร่องุ่นอยู่ไม่ไกล “เมื่อกี้น่าจะขอม้าจากคุณไทมาขี่ก่อน เสียดาย..ถ้าได้ใส่ชุดแบบในหนังนะ คลินท์ อีสต์วู้ดก็เทียบคุณกนธีไม่ติดฝุ่นหรอก”
พสิษฐ์มองพี่กุนต์ทำท่าควงปืนเลียนแบบหนังคาวบอยรุ่นพ่อ จากนั้นก็ชูสองนิ้วมายิงเปรี้ยงๆใส่อากาศว่างเปล่า เห็นแล้วถอนหายใจ บางทีนายผัดไทยอาจจะหลงมาดคูลๆของไอ้ลุงนี่จนไม่ทันดูว่าพี่แกมีมุมเด็กน้อยหอยสังข์อยู่ด้วย
“คึกให้มันน้อยหน่อยลุง” เขานั่งอย่างเกียจคร้านตรงระเบียงบ้าน ขอสมัครใจรอรถกอล์ฟของไอ้ขี้เกลือตรงนี้ดีกว่า “ไม่ได้ไปหน้าปากซอยนะพี่”
“แกมันขี้เกียจออกกำลัง หน้าถึงได้แก่จนน้องอุ้มเรียกคุณอาไง”
“เออ..คนมีหงอกกับตีนกาอย่างพี่เนี่ย ยังมาว่าคนอื่นได้อีกหรือ”
พสิษฐ์มองแดด มองฝุ่นดินและระยะทางเดินเท้าอย่างเกียจคร้าน
พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างกว้าง ที่ดินของเขาอยู่ด้านในมีสิบไร่ ที่อยู่ติดกันทางซ้ายมือเป็นที่ดินว่างเปล่าของใครไม่รู้ ถัดไปอีกถึงจะเป็นไร่ของคุณไผท
พี่กุนต์มาซื้อที่ทิ้งไว้นานแล้ว อันที่จริงซื้อไว้เก็งกำไรหลายจังหวัด พอรู้ว่าเขาสนใจอยากจับธุรกิจทางนี้เลยออกปากยกให้และชวนมาดูที่ดินในปากช่อง
ตอนขับเข้ามา เขาสะดุดตากับไร่องุ่นเป็นร้อยไร่ที่เจริญงอกงามดี ด้วยความใจเร็วด่วนได้ พสิษฐ์คิดอยากจะลองเจอเจ้าของ ถ้าหากสามารถซื้อกิจการต่อ เขาก็ไม่ต้องมานั่งเริ่มต้นจากศูนย์ มาลงทุนลงแรงให้เสียเวลา
แต่สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุขับรถชนวัวขาหัก ถึงจะเจรจาชดใช้กันได้ แต่ดูเหมือนคุณไผทจะหมายหัวเขาไว้เรียบร้อย จะพูดจะถามอะไรก็ดูไม่เข้าหู ไม่มีความเป็นมิตรเลย พอเขาถามเรื่องที่ดิน แหย่ดูว่าจะขายไหม ทางนั้นก็ตอบมาสั้นๆว่าขายให้แน่ ถ้าได้ราคาสามพันล้าน ตัดความหวังเขาพังทลายไม่มีชิ้นดี
..สติเสียหรือไง..ไร่องุ่นสามพันล้านบาท..เงินจริงนะ ไม่ใช่เกมเศรษฐี!..
ทุกวันนี้คุณไผทก็ยังดูไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่ ไม่แน่ใจว่าเพราะเรื่องวัวตัวโปรด เรื่องที่เขาทะเล่อทะล่าถามราคาไร่แสนรักของพี่แกแบบไม่ค่อยมีมารยาท หรือเพราะนิสัยเกลือเรียกพี่ทะเลเรียกพ่อ อยากได้สามพันล้านจริงๆกันแน่
..สรุปคือไม่น่าคบอยู่ดีนั่นแหละ..
“ช้า” กนธีเดินเตะฝุ่นไปมา “แกจะรอนี่ใช่ไหม งั้นพี่เดินไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวๆๆ” พสิษฐ์รีบตามทันที “อย่าเป็นตาแก่ใจร้อนนักสิ”
คนถูกกล่าวหายักไหล่ เขามันหนุ่มสี่สิบสุขภาพดี วิ่งวันละเป็นสิบกิโลอยู่บนลู่ ปั่นจักรยานอีกหลายสิบกิโลเมตร เดินแค่นี้น่ะจิ๊บจ๊อย
“คุณไทหรือครับ ไม่ต้องให้รถกอล์ฟมาแล้วนะ ผมจะเดินไปเอง” กนธีโทรบอกอีกคน “จะมารอรับหน้าไร่หรือครับ? โอเค เดี๋ยวเจอกันครับผม”
พสิษฐ์ถอนหายใจอีกเฮือก เขามันเป็นน้องนี่ พี่ว่าไงก็ต้องว่าตามกัน
กนธีเดินชมนกชมไม้มาเรื่อยกระทั่งเข้าเขตที่ดินของไผท
หนุ่มชาวไร่รูปหล่อคอยอยู่บนหลังม้า ยังยืนยันการเปิดตัวแบบเดิมจนพสิษฐ์ขำ ถ้าเข้าป่าปิ้งไก่นี่ก็ใช่เลย พระเอกอาฉลองแบบที่เจ้าโอ๊ตว่าไว้ชัดๆ
“ขึ้นไหมคุณ” เขาเอาม้ามาให้อีกตัว “คุณกุนต์เคยขี่หรือยัง”
“เคยอยู่บ้างครับ แต่น้องชายผมเนี่ย ไม่เป็นสับปะรด”
ไผทยิ้มร้าย “งั้นคุณพสิษฐ์ก็มานั่งกับผมสิ ผมจะคอยจับตัวเอง”
พสิษฐ์นึกเขม่น เขาไม่ใช่นางเอกของมันนะเว้ย “ขอเดินดีกว่าครับ”
กนธีหัวเราะ “งั้นผมเดินเป็นเพื่อนน้องแล้วกัน คุณไทล่วงหน้าไปเลย”
“ผมก็ไม่รีบ” ไผทตอบ “พอดีแม่ครัวยังทำอาหารไม่เสร็จดี ผมกะเวลาพลาดไปหน่อยเลยรีบไปตาม กลัวทำรอไว้แล้วจะชืด”
“งั้นก็โอเค เราเดินไปด้วยกันทีเดียวนี่แหละ”
“ยังพอมีเวลาอยู่ ผมจะพาชมไร่ไปพลางๆก่อน” ไผทตบก้นม้าให้มันเดินกลับเอง เขาผายมือ ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี “เชิญครับคุณกุนต์..คุณพสิษฐ์”
“เรียกว่าไผ่ก็ได้ครับ” เรียกพสิษฐ์ พสิษฐ์ กลัวจะแผลงเป็นพิษๆไป
“เรียกคุณพสิษฐ์ดีกว่าครับ ให้เกียรติดี จริงไหมคุณกุนต์” เขาหันไปยิ้มให้กนธีที่เผลอหาวออกมา “เมื่อคืนนอนดึกหรือครับ”
พสิษฐ์เลิกคิ้ว เรียกเขาชื่อเต็ม แต่เรียกพี่เขาชื่อเล่น..เอียงกะเท่เลยนะ
กนธีหันมามองตอนถูกเรียก “เมื่อกี้ว่าไงนะครับ”
“ผมบอกว่าจะพาเดินดูไร่ก่อน โอเคไหม” ไผทยิ้มบาง
“อ้อ..ได้สิครับ แล้วไผ่ว่าไง” กนธีหันมาถามน้อง “เดินไหวไหม”
“ไหวสิพี่ ผมก็อยากดู” เขายอมรับว่าความรู้ไม่ค่อยมี แต่เพราะว่ากำลังสนใจด้านนี้เลยต้องศึกษากันหน่อย “ขอตามไปด้วยคนนะครับคุณไผท”
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับเรียบๆ ไม่ได้ให้ความสนใจญาติผู้น้องคุณกุนต์แม้แต่น้อย ไม่ใช่อะไรหรอก เขานึกเขม่นไอ้แว่นกันแดดเรย์แบนที่อีกฝ่ายใส่ติดหน้าเต็มทน ไม่ใช่เพราะไอ้แว่นเวรตะไลนี่หรือ ที่ทำให้หมอนี่เหมือนคนตาบอด ฝ้าฟางตอนกลางวันแสกๆถึงขนาดขับรถชนแม่วัวของเขาขาหักได้
พสิษฐ์ขยับเรย์แบนของตนให้เข้าที่ ช่วงเดือนนี้ไม่ค่อยร้อนเท่าไร เป็นระยะปลายฝน แต่ถึงอย่างนั้นการเดินอยู่ในไร่ก็ยังทำให้เหงื่อผุดซึม
ชายหนุ่มตามสองคนข้างหน้าต้อยๆ พี่กุนต์อายุสี่สิบแต่เรี่ยวแรงยังดีไม่มีตก ไม่รู้เพลินอะไรนักกับการมองต้นองุ่นที่คุณไผทบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงเลี้ยงกิ่งรอตัดแต่งให้มันแตกตาครั้งที่สอง กว่าจะติดผลก็ต้องรอเดือนหน้านั่นแหละ
“ที่ดินของผมตรงนี้มีประมาณสองร้อยไร่เศษ” ไผทเดินคู่กับกนธี ลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างค้างองุ่นพลางชี้ให้ดูบริเวณที่ใช้เพาะปลูกตั้งแต่ทางเข้า ยาวเข้าไปด้านในเห็นวิวภูเขาเป็นฉากหลัง
“เยอะมากเลยคุณไท ทั้งหมดนี่ปลูกองุ่นหรือครับ”
“เกือบทั้งหมดครับ ปลูกอยู่สองร้อยไร่ เป็นองุ่นทำไวน์กับองุ่นสดอย่างละครึ่ง ที่เหลือก็เป็นบ้านของผม มีโรงบ่มไวน์เล็กๆกับคอกเลี้ยงสัตว์”
“ต้องพาผมไปดูด้วยนะ อยากเห็นมากเลย” กนธีขอ
“คุณอยากดูผมทำคลอดวัวไหม” ไผทยิ้ม “น่าจะตกลูกตอนช่วงเย็น”
“แม่เนื้อทองหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ครับ ตัวนี้ชื่อเนื้ออุ่น” เขาตอบ “แม่เนื้อทองขาหักครั้งนั้น เป็นวันที่นัดเอาตัวผู้มาทับพอดี แม่เลยพลาดไปเพราะต้องรักษาขา”
“โธ่..ขอโทษแทนน้องชายด้วยนะคุณ ไอ้ไผ่มันตาเซ่อน่ะ”
พสิษฐ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ ผิดครั้งเดียวจะด่าไปอีกสามชาติก็ช่างมันสิ
ไผทหัวเราะ “ผมไม่ได้ว่าอะไร มาเถอะ..จะอธิบายวิธีปลูกองุ่นให้”
กนธีฟังอย่างตั้งใจ ดวงตาแทบจะเป็นประกายออกมา
“ไร่ของผมไม่ได้ทำแบบอุตสาหกรรมหรือเป็นธุรกิจจริงจังครับ ออกแนวเป็นแปลงทดลองและป้อนวัตถุดิบเข้าร้านอาหารมากกว่า อย่างไวน์ที่ทำขึ้นมาจะส่งแค่ที่ร้านของผมเอง องุ่นสดก็ขายตามตลาดกับแปรรูปทำเป็นพายองุ่นบ้าง น้ำองุ่นสดบรรจุขวดบ้าง ขายเป็นของฝากทั่วไป แต่อนาคตอาจขยายกิจการดู”
“ที่ทำไวน์นี่องุ่นแดงหรือองุ่นขาวน่ะคุณ”
“แบ่งครึ่งๆเหมือนกันครับ ผมรอดูว่าอย่างไหนจะเวิร์คกว่า” ไผทเดินไปเรื่อยๆ “ช่วงพฤษภาหน้าฝน จะเป็นช่วงที่เราตัดแต่งกิ่ง รอให้แตกตาครั้งแรกแล้วก็เลี้ยงกิ่งมัน คือตัดช่อดอกกับช่อองุ่นทิ้งให้มันสะสมอาหาร”
กนธีพยักหน้ารับ คอยมองรอบตัวเวลาคุณไผทชี้ให้ดู
“ช่วงเดือนนี้เป็นปลายฝน เป็นช่วงตัดแต่งเลี้ยงตาครั้งที่สอง รอให้มันแตกตาอีกครั้ง จากนั้นก็จะแตกกิ่ง ติดดอก เป็นช่วงสำคัญเลย เดือนตุลาองุ่นจะติดผล ต้องดูแลแล้วก็บำรุงเป็นพิเศษ เก็บเกี่ยวได้ประมาณช่วงเดือนกุมภา”
“รอถึงตอนนั้นผมขอกลับมาดูคุณเก็บองุ่นอีกทีนะ”
“ได้เลยครับ ที่นี่ใช้คนงานเก็บ ถ้าเจอลูกเน่าหรือเสียก็จะได้ตัดทิ้งเลย” ไผทยิ้ม “เป็นช่วงที่บรรยากาศดีมาก หน้าหนาวจะเย็นเป็นพิเศษ”
เขามองคนที่ดูสนใจกับเรื่องราวที่เล่า ท่าทางคุณกุนต์จะชอบเอามาก เขาเองก็ยินดีจะพูดให้ฟัง ถ้าไม่ติดว่าคนตรงหน้าดูจะเริ่มร้อนขึ้นมา
“เรากลับบ้านกันดีไหม อาหารน่าจะพร้อมแล้ว ผมจะเปิดไวน์ที่บ่มเองในถังโอ๊คให้คุณชิมด้วย รับรองว่ารสชาติดีเยี่ยม”
“ดีเหมือนกันครับ เด็กๆกับคุณยายคงรอนานแล้ว” กนธีกระพือเสื้อเชิ้ต หยุดเดินเพื่อล้วงกระเป๋ากางเกง หาผ้าเช็ดหน้าที่ชอบพกแต่ก็ไม่มีติดตัวสักผืน
“ใช้ของผมสิ” ไผทยื่นให้
พสิษฐ์เหล่มอง ตั้งแต่เดินกันมา เขาคอยสังเกตพฤติกรรมของคุณไผทที่พยายามตามติดพี่กุนต์แบบแปลกๆ เดี๋ยวก็ขยับมาหา เดี๋ยวก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ยิ้มละมุนละไมเหมือนโปรยเสน่ห์ แบบนี้มันจงใจนี่หว่า!
“ขอบคุณครับ” กนธีรับน้ำใจนั้น เพียงแต่ไม่ได้เอามาใช้ เขาแค่ถือไว้ “จะว่าไป ที่นี่ก็ไม่ได้เย็นอะไรมากนะ อากาศกำลังสบาย” เขาหยุดพักเหนื่อย
“อากาศเหมาะกับการปลูกองุ่นมากกว่าทางเหนือ แถวนั้นหมอกลงนาน ความชื้นในอากาศเยอะ องุ่นจะขึ้นราได้” ไผทเท้าแขนกับค้างไม้เหนือหัว
เขาสูงกว่าคุณกุนต์พอประมาณ ถ้ายืนมองกัน อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ถึงไม่ได้ตัวจ้อยน่ารักแบบเด็กที่ชื่อปาลิน แต่เขาชอบคุณกุนต์มากกว่า
“ถ้าคุณชอบก็มาเที่ยวบ่อยๆสิ” เขาพึมพำ มองเศษใบไม้ที่ติดบนหัวกนธี ชายหนุ่มยกมือขึ้น ตั้งใจจะหยิบออกให้
แขนของใครคนหนึ่งแทรกเข้ามา มือใหญ่เหมือนใบพายยื่นเข้ามาทันควัน หยิบใบไม้นั่นออกแล้วดีดทิ้งด้วยความรวดเร็ว
“ดึงหัวพี่ทำไมวะไอ้ไผ่” กนธีมองหน้าหาเรื่อง
“ไม่ได้ดึงหัว แค่หยิบใบไม้ออกให้”
“แล้วไป”
พสิษฐ์ยิ้มหล่อ วางมือพาดเสาไม้ด้านบน เต๊ะท่าแบบคุณไผทที่กำลังทำหน้าเหมือนเขาเดินไปเหยียบเท้า ให้รู้กันไป เขาไม่ยอมให้จีบพี่กุนต์หรอก
ไผทปรับสีหน้าของตนก่อนขยับออกห่างผู้ชายตัวใหญ่ ความสูงของหมอนั่นพอมายืนซ้อนหลังเขา รู้สึกเหมือนตัวเองเตี้ยลงไปอีกสิบเซน
“กลับบ้านกันเถอะครับ อาหารน่าจะเสร็จแล้ว คุณกุนต์ก็คงหิวด้วย”
“ดีๆ ผมก็หิวเหมือนกัน” พสิษฐ์ยิ้มกว้าง
เจ้าของบ้านเหลือบมองอึดใจหนึ่งก่อนเดินนำ นึกด่าสรรเสริญไอ้ตัวแถมมันในใจ ทำเหมือนเด็กประถมไปได้ น่าลักไปกระทืบ
คิดไม่ทันจบดีก็มีเสียงดังเป๊าะจากข้างหลัง สองคนด้านหน้าหันไปมอง พสิษฐ์ยืนงง ยิ้มแห้งๆเมื่อเห็นว่าเขาทำค้างองุ่นหักป๊อกลงมาเสียแล้ว
จ่ายมา!! ไผทคิดอย่างงุ่นง่าน แต่ไม่อยากเสียเชิงต่อหน้าคุณกุนต์ เขาเลยกัดฟันบอก “ไม่เป็นไรครับ ของมันผุ ทิ้งไว้นั่นแหละ เดี๋ยวคนงานก็มาซ่อม”
กนธีนวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเอง “ขอโทษแทนน้องชายด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่..เป็น..ไร” เขาหันมาบอก “ผมเข้าใจคุณพนิตดี”
“ผมชื่อพสิษฐ์”
“ครับ ขอโทษที..คุณผลิต”
เจ้าของชื่อมุ่นหัวคิ้ว จ่ายๆมันไปดีกว่ามั้ง จะได้เรียกชื่อถูกสักที
“ผมเล่นมุกน่ะครับ หน้าตาไม่รับมุกเลยนะคุณ”
..ดูหน้าคนเล่นก่อนไหม เรียบแปล้เป็นกระดาษขนาดนั้น..
ไผทหัวเราะในลำคอ ดูอารมณ์ดีขึ้นเมื่อได้ยั่วประสาทคนอื่น “ไปทานข้าวกันครับ เสร็จแล้วจะพาไปทำคลอดวัว สนใจมาด้วยกันไหมคุณพิสิษฐ์”
ช่างมันเถอะ จะเรียกพิษณุโลกก็ยอมแล้ว “ไม่เอาครับ ผมกลัวเลือด”
หนุ่มบ้านไร่เลิกคิ้ว ผุดรอยยิ้มคล้ายจะเยาะหยันแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“คุณกุนต์กลัวเลือดไหม”
กนธีส่ายหัวหวือ “จิตใจแข็งแกร่งดีครับ ต้มเลือดหมูนี่ชอบมากเลย”
พสิษฐ์ถอนใจเหนื่อยหน่ายระหว่างเดินตามสองคนด้านหน้า
..มุกห่วยบรมแพ็คคู่เลยว่ะ ให้ตายสิแบทแมน..
.........................................................................................
ดอง ด้อง ดองง

ช่วงนี้ตีบตันมากจ้า แต่จะพยายามสักตอนในอาทิตย์นึงน้า ฮืออออ
เมื่อเข้าเรื่อง Sins : Greed ของจริง (อันนี้มันแค่ spin-off 5555+) ค่อยเจอคุณผัดไทยกับนายพิษณุโลกกันเน้อ
ขอบคุณมากคร้าบบบ พูดไม่ค่อยเก่ง แต่รักหมดจัยย

แท็กนี้เช่นเคยย #sinsgreed