Sins : Greed -- [SP.1 : Wedding Night] pg.146 -- 13/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sins : Greed -- [SP.1 : Wedding Night] pg.146 -- 13/4/61  (อ่าน 1335723 ครั้ง)

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3780 เมื่อ12-07-2017 15:59:49 »

เอาจริงๆ นะ ถ้าเป็นเรา เราก็คิด
ความทรมานที่แท้จริงมันไม่ใช่ความไม่สมหวังนะ
มันคือความเจ็บปวดจากความคลุมเครือต่างหาก
ถ้าตัดเลยมันเจ็บปวดแต่มันก็จะจบลง
ขณะที่ความคลุมเครือมันเหมือนกันเรากำลังย่ำเดินอยู่ท่ามกลางทะเลตะปู
จากใจเลยนะคะ ชอบคุณไผท ชอบความเป็นผู้ใหญ่และความชัดเจนของคุณไผท
+++เป็ดค่ะ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3781 เมื่อ12-07-2017 16:19:22 »

ดราม่ามาแล้ววงง

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3782 เมื่อ12-07-2017 20:11:02 »

ชอบมาก ติดตามๆ  และ รอๆๆๆ  :pig2: :pig4:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3783 เมื่อ12-07-2017 22:05:44 »

มาม่ามาแล้ว ฮืออออ สงสารพี่กุนต์ โอ๊ตเอ๊ยยยย สังเกตหน่อยเถอะ อย่าปล่อยลุงร้องไห้ จะร้องตาม  :hao5:

ออฟไลน์ daisyskies

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3784 เมื่อ13-07-2017 21:51:01 »

เกลียดtiming แบบนี้มากกกกกก ฮื่ออออออออ ทุกอย่างประจวบเหมาะเว่อๆ
ให้พี่กุนต์ของอิฉันมีความสุขสักทีสิเจ้าคะะะะะ
พี่โอ๊ตรู้สึกยังไงก็พูดค่ะ พูดดดดด พี่กุนต์ใจบางไปหมดแล้ววว
 พี่กุนต์ก็ถามเด็กมันไปเลยค่ะ ถามเลยค่ะคุณขา เชื่อบ่าวนะเจ้าคะคนดี

ปล. คุณไผ่เอาคุณไผทไปเก็บด้วย!!!!

ออฟไลน์ เมื่อนั้นฝันว่า

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 323
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3785 เมื่อ14-07-2017 12:05:31 »

ขอให้ใครสักคนทนไม่ไหวแล้วถามออกมาก่อนเถอะ

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3786 เมื่อ16-07-2017 08:24:46 »

งั้นก็ไม่ต้องต้มนะข้าวปั้นน  :hao5:
พี่กุนต์เก็บเงียบไว้ไม่ยอมถาม ปล่อยไว้คาราคาซังแบบนี้ อีกหน่อยเป็นเรื่องแน่
อยากให้พี่กุนต์ถามให้ชัดๆ ไปเลยยย :ling1:
เฮ้อ  :katai1:

ออฟไลน์ Maii2206

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3787 เมื่อ16-07-2017 19:28:48 »

 :z3: พี่กุนต์อย่าคิดเองเออเองนะ ถามพี่โอ๊ตก่อนนน

พี่โอ๊ตก้อยากจะบอกตั้งนานแล้วแต่จังหวะมันไม่ได้ซักกะที  :katai1: รีบบอกเลยก่อนเข้าใจผิดมากไปกว่านี้

ออฟไลน์ fayri1718

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3788 เมื่อ17-07-2017 15:06:21 »

รอจ้าาาาา

ออฟไลน์ MooMiew

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 326
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3789 เมื่อ23-07-2017 00:38:17 »

แงงงงงง พี่กุนต์ คิดมากน่า  :hao5:

แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็อดคิดมากไม่ได้จริงๆ นะ ยิ่งย้อนไปตอนที่โอ๊ตพูดถึงคนในใจตอนนั้น แล้วเจ็บเลย ถึงในมุมโอ๊ตจะเป็นใจว่าเวลามันผ่านไปแล้ว ความรู้้สึกคนเรามันเปลี่ยนกันได้ก็เถอะ พี่กุนต์คงยังไม่สามารถเชื่อใจวางใจได้100%จริงๆอะ มันก็น่าสงสัยน้อยซัเมื่อไหร่เล่นส่งสายตากันขนาดนั้นอะ เห้อมมมม

แต่ตอนเห็น 2804 นี่ ในใจสบถเลย เป็นไปไม่ได้!!! ไม่ใช่อย่างที่คิดแน่ๆ ใช่มั้ยโอ๊ต  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
« ตอบ #3789 เมื่อ: 23-07-2017 00:38:17 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3790 เมื่อ23-07-2017 06:08:46 »

ถ้าโอ๊ตบอกไปตอนนี้ พี่กุนต์จะเชื่ออย่างเต็มหัวใจไหม :hao5:

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3791 เมื่อ23-07-2017 21:00:43 »

ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ฮึกกกกก

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3792 เมื่อ23-07-2017 21:03:54 »

เราเติมแก๊สให้ไหม เอาถังมาๆๆ 555
โอ๊ยยยย!! พี่กุนต์ปะติปะต่อเรื่องได้ กำลังลังเล หวั่นไหว อิผัดไทก็มาทำแต้มอีก แย่แน่ๆ โอ๊ตเอ้ยยย!!!

ออฟไลน์ iammaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3793 เมื่อ26-07-2017 15:57:20 »

 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ fayri1718

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3794 เมื่อ26-07-2017 20:31:23 »

มาปูเสื่อ 5555555

ออฟไลน์ Rungsai

  • ใครบอกว่ารุ้งมีเจ็ดสี :D
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3795 เมื่อ26-07-2017 23:46:21 »

มารอนะคะ พี่กุนต์ต้องมาเร็ว ๆนี้แน่
มาเคลียร์ปัญหาไปด้วยกันค่ะ

เอ๊ะ หรือมาเติมเเก๊สให้เดือดกว่าเดิม
:katai5:

ออฟไลน์ e-ga-g

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3796 เมื่อ28-07-2017 16:29:17 »

พี่กุนต์ก็ไม่ระวังตัวเลย รู้ว่าไผทจีบก็ยังยอมให้เข้าใกล้ทำตัวสนิทสนม น่าระแวงกว่าโอ๊ตกับสนเยอะเลย

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3797 เมื่อ30-07-2017 12:13:44 »

อีโอ๊ต ...กลัวจะไม่ทันจะสารภาพจัง นั่งbts มันช้า นั่งshinkansen ด่วน!!!!

ออฟไลน์ mumoss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3798 เมื่อ02-08-2017 08:19:43 »

ลุงคร๊าบ ใจเย็นๆ นะคร๊าบ

ตั้งสติครับลุง  อย่าคิดมาก มีความสุขกับสิ่งที่มีคร๊าบ ...กลัวใจลุงอ่ะ

ออฟไลน์ Lady Phantom

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3799 เมื่อ02-08-2017 08:38:36 »

อยากตีหนูกุนต์จริงๆตอนนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
« ตอบ #3799 เมื่อ: 02-08-2017 08:38:36 »





ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: Sins : Greed -- [Ch.49] pg.125 -- 10/7/60
«ตอบ #3800 เมื่อ06-08-2017 09:22:29 »

ในที่สุดก็อ่านทันแล้ว พี่โอ๊ตรีบบอกความในใจกับหนูกุนต์นะครับ ยังไม่อยากกินมาม่าอ่ะ กลัวท้องอืด :serius2: มาหวานเชียวตอนแรกพอท้ายๆน้ำตาซึมซะงั้น

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: Sins : Greed -- [Ch.50] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3801 เมื่อ13-08-2017 17:20:50 »






Chapter 50





เมื่อคืนกนธีนอนไม่ค่อยหลับนัก เช้านี้เลยดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไร ตาเขาบวมแดงเพราะนอนน้อย ไม่ใช่เพราะสาเหตุอย่างอื่น
   
อินทัชลุกออกไปตั้งแต่หกโมงเช้าเห็นจะได้ อีกฝ่ายลองเขย่าตัวเขาดูว่าจะตื่นหรือยัง แต่เขาเอาหน้าซุกหมอนแทนคำตอบ น้องเลยไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปดูแลเรื่องอาหารเรื่องยาให้คุณยาย ตอนนี้ยังไม่กลับขึ้นมา
   
คิดๆดู เขามันก็เหมือนคนไร้สาระจริงๆ เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดวุ่นวาย เป็นนิสัยเดิมที่ถึงจะซาลงไป แต่ก็ไม่เคยหายไป ดีว่าเขาไม่วู่วามเหมือนสมัยอยู่กับศรัณย์ นึกเรื่องเก่าก็อดรังเกียจและรำคาญตนเองไม่ได้
   
กนธีขยับขึ้นนั่ง เอามือลูบหน้าด้วยความเมื่อยล้า แดดตอนเช้าส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาว ได้กลิ่นหอมเจือจางของไม้สนที่อบร่ำด้วยแสงอาทิตย์
   
เขาทิ้งตัวลงพิงหัวเตียง ถอนใจอยู่ตามลำพังพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว
   
ถามตัวเองว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เขาคิดเชื่อมโยงอะไรอยู่ เขาคาดไม่ถึงจริงหรือที่รู้ในที่สุดว่าคนที่อินทัชแอบรักคือปาลิน? ไม่เลย..เขาระแคะระคาย สงสัยมาตลอด แต่เลือกจะปิดหูปิดตาเอง ท่องไว้ว่าเขาเป็นเพื่อนกัน และเพราะอย่างนั้น เมื่อเรื่องบางอย่างค่อยๆชัดเจน เขาถึงได้รู้สึกผิดหวังนัก
   
ใจหนึ่งนั้น เกิดนึกอยากต่อว่า ทำไมอินทัชไม่คิดบอกเขาสักคำว่าคนคนนั้นคือใคร แต่อีกใจก็ร้องท้วง ไม่ใช่น้องหรือที่พร้อมจะบอกกันทันทีหากเขาอยากรู้ อินทัชตั้งใจจะบอกตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เขานั่นแหละที่พูดออกมาว่าจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร..เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดน้อง
   
อีกใจประท้วง รู้ทั้งรู้ว่ารักใคร ทำไมถึงได้ชวนปาลินมาทำงานด้วย มาอยู่ใกล้ชิดพวกเขา ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ ใจรักคนหนึ่ง..แต่มาร่วมรักกับอีกคน
   
กนธียิ้มหม่น..เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของอินทัชเหมือนกัน จำได้ว่าคนที่มาขอร่วมงานด้วยคือปาลิน และอินทัชก็แสดงท่าทีลำบากใจจนเขาต้องเป็นฝ่ายออกปากถามเองว่ามีเรื่องอะไรให้ช่วย และคนที่ออกตัวทำให้ทุกอย่างด้วยความหวังดีก็คือเขาทั้งนั้น น้องไม่ได้บีบบังคับ ยื่นคำขาดอะไรเลย
   
แต่ละครั้งแต่ละคราวที่ปาลินก้าวเข้ามาในชีวิตพวกเขา อินทัชไม่เคยเป็นฝ่ายเรียกร้องเชิญชวนก่อน เขาเองต่างหากที่เป็นคนพามา
   
จะนึกพาลโทษปาลินฝ่ายเดียว มันช่างไม่ยุติธรรม ปาลินเองก็อาจจะไม่รู้เรื่องที่อินทัชแอบหลงรักก็ได้ น้องอาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนกันตามปกติ
   
กนธีหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังหลอกตัวเองต่อไปหรือเปล่า..บางทีน้องอาจจะรู้แล้ว อาจเริ่มสื่อความรู้สึกถึงกัน อาจเริ่มมีใจให้กันก็ได้
   
..แต่จะรู้หรือไม่รู้..เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี..

ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่ได้เปิดเผย ไม่ได้มีการตกลงเป็นคู่รัก ถึงจะเหมือนกำลังดูใจกัน มันก็ไม่ได้แนบแน่นลึกซึ้งเหมือนเขากับศรัณย์ และไม่ว่าจะมีอะไรกันมากี่หน เขาก็ยังเรียกอินทัชว่าเป็น ‘คนรัก’ ได้ไม่ถนัดปาก
   
จะให้แสดงความหวงหึง เป็นเจ้าข้าวเจ้าของไร้สาระเหมือนเด็กวัยรุ่น ควรดูอายุของตัวเองหน่อยไหม ทำนิสัยน่ารังเกียจ คิดหรือว่าจะไม่ถูกเบื่อหน่าย
   
เขาเกลียดนิสัยนี้..ระแวดระวัง จับสังเกต คอยดูความเคลื่อนไหวของคนอื่นอย่างเงียบๆ เก็บมาคิด แล้วสะบั้นความสัมพันธ์โดยไม่ให้โอกาส
   
กนธีซบหน้าลงกับช่วงเข่า สูดลมหายใจเข้าลึก
 
เขารู้มาตลอดว่าอินทัชมีคนที่แอบรักในใจ จะมาตั้งตัวไม่ติด คิดผิดหวังหรือรับไม่ได้อะไรตอนนี้ แค่ได้รู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวที่เขาชักชวนให้เข้ามาใช้เวลาด้วยกัน มันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไรเลย 

ก็แค่ใครคนหนึ่งกำบางอย่างไว้ในมือ การจะเปิดเผยให้ดูของข้างในหรือไม่ให้ดู สิ่งนั้นก็มีตัวตนมาแต่แรกอยู่แล้ว การที่เขาได้รู้ว่าอินทัชซุกซ่อนอะไรไว้ ไม่ได้ทำให้น้องดูแลเขาน้อยลง ไม่ได้ทำให้น้องคิดตีตัวออกห่าง ไม่ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างกันเพิ่มขึ้นหรือลดลงมา ไม่ได้ทำให้ต้องเลิกร้างกันไป
   
เรื่องหลังจากนี้ต่างหากที่เขาต้องพยายามรับมือให้ได้..รับมือกับจิตใจและความรู้สึกที่บิดเบี้ยว พิกลพิการ ความคิดแง่ลบที่คอยบั่นทอนความสัมพันธ์
   
..สัญญากับตัวเองได้ไหม..ให้พยายามอดทน..และจงเชื่อใจ..
   
หากว่าสุดท้ายแล้ว น้องจะยึดสิ่งที่ตัวเองกอบกุมไว้มาโดยตลอด และเลือกปล่อยมือไปจากเขาเพื่อคบหากับปาลินโดยเปิดเผย ก็ถือเสียว่าคนอย่างกนธี อาจจะเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่โดยลำพัง แต่อย่างน้อยในความเดียวดายของเขานั้น..เด็กทั้งสองคนที่ใจตรงกัน..ก็จะได้มีความรักที่สุขสมหวังต่อไป
   
กนธียิ้มบาง ดวงตาหม่นแสงลง รู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
   
..ก็เขามันเป็นมนุษย์นี่นะ..ไม่ใช่รูปปั้นไร้จิตใจเสียหน่อย..
   



......................................................................................





มื้อเช้าพสิษฐ์เป็นคนเข้าครัวและทำกับข้าวให้เอง ถึงจะไม่ได้เป็นรสชาติอาหารที่จัดจ้านน่าทาน แต่ก็พอจะกินกันได้โดยไม่ต้องคายทิ้ง
   
“ลุงล่ะ” เขาหันมาถามอินทัชที่อาสาเป็นลูกมือให้
   
“ไม่รู้ตื่นหรือยังครับ” เด็กหนุ่มบอก ถือจานรอไข่เจียวแฮมจากคุณไผ่ ที่เสร็จไปเมื่อครู่เป็นเอ้กเบเนดิกต์ เมนูที่คุณไผ่บอกว่าให้หลับตาทำยังได้ คิดแล้วเขาได้แต่กลั้นขำ พี่กุนต์เคยเล่าว่ากินบ่อยจนอยากจะอ้วกออกมาเป็นไข่เละๆ
   
“ลุงเป็นลมไปหรือเปล่า ป่านนี้ยังไม่ตื่น” พสิษฐ์ผูกผ้ากันเปื้อนสีเขียวใบตองของแม่บ้าน ไม่ถือหรอกว่าเป็นของผู้หญิง เขามันพวก Androgyny
   
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูครับ” อินทัชรอช่วยจานนี้เสร็จก่อน “จะไหม้แล้วนะ”
   
“อ้าว..แต๊งกิ้วที่บอก” พสิษฐ์ทอดจานนี้เป็นจานสุดท้ายพอดี “อยากดูไข่บินไหม” เขาทำท่าจะร่อนกระทะโชว์ แต่เด็กมันส่ายหัวหวือ “สักหน่อยน่า”
   
อินทัชรีบวางจานลง ยกสองมือยอมแพ้แล้วหลีกทางให้คุณไผ่ เกิดว่าพลาดขึ้นมา ไข่เจียวจะได้ไม่โปะลงหัวเขาเป็นราดหน้ามื้อเช้า
   
“หนึ่ง..สอง..” พสิษฐ์ขยับคึ่กๆ ถือกระทะมือหนึ่ง จานมือหนึ่ง โยนระยะสองศอก ร่วงลงพื้นให้มันรู้กันสิ “สา..”
   
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังแทรกขึ้น
   
ไข่เจียวใบนั้นเสียจังหวะ ร่วงลงพื้นดังเผละ
   
แขกรายใหม่เลิกคิ้วขึ้น เขาถอดแว่นกันแดดออกมาเพื่อดูผลงานชิ้นโบว์แดงที่ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นครัว ส่วนคนลีลาท่ามากเพิ่งจะหันมาทางเขา
   
“เมนูอะไรครับ” ไผทหัวเราะในลำคอ “ไข่พระร่วงหรือคุณพศุตม์”
   
พสิษฐ์อยากทำเมนูไข่ลอยมากกว่า เขาวางกระทะลง ถอดผ้ากันเปื้อน ตีสีหน้าเรียบตึงระหว่างที่พูดแก้ “ผมชื่อพสิษฐ์..ถ้าจะกรุณา เรียกผมว่าไผ่เถอะ”
   
“ไผ่ลู่ลม”
   
“แค่ไผ่ครับ..ได้โปรด” จะให้ลงไปคลานเข่าขอร้องหรือเปล่า
   
“แต่ผมชอบชื่อพสิษฐ์มากกว่า” ไผทยิ้มร้าย “เรียกยากดี”
   
ถ้าเอากระทะฟาดแขกของบ้านแล้วแจ้งข้อหาบุกรุก ตำรวจจะเชื่อไหม
   
อินทัชมองสบตากับคุณไผ่เป็นเชิงสงสัยว่าหากเอาจานทุบหัวคุณไผทตอนนี้ จะโดนข้อหาอะไรบ้าง เด็กหนุ่มหันมามอง เปิดปากพูดอย่างไร้มารยาท
   
“มาทำอะไรแต่เช้าครับนี่”
   
ไผทมองแล้วยิ้มมุมปาก “มาชวนคุณกุนต์ไปขี่ม้า เมื่อวานมัวแต่ไปทำคลอดให้แม่เนื้ออุ่น เลยไม่ได้ดูม้าที่ผมซื้อให้ จะพาไปชมไร่องุ่นด้วย”
   
“เมื่อวานก็ไปมาแล้วไม่ใช่หรือครับ” พสิษฐ์เข้าข้างอินทัช

“อ้อ..ผมจำได้ เพราะคุณเพิ่งทำค้างองุ่นของผมหักเมื่อวานนี่เอง”

คนฟังหน้าม้านไป รู้สึกอายไม่น้อยที่ทำตัวเหมือนเด็ก

“แล้วชวนพี่กุนต์หรือยังล่ะครับ” พสิษฐ์หันไปล้างมือ

“บอกไว้แล้ว แต่ไม่รู้ลืมหรือเปล่าเลยมาบอกอีกที”

“โทรมาก็ได้นี่ครับ” อินทัชว่า “ไม่เห็นต้อง ‘ลำบาก’ มาหาถึงที่เลย”

ดวงตาสีเข้มของไผทปรายมอง แสดงความเป็นคู่แข่งเปิดเผย เขาชอบคุณกุนต์ อยากจะจีบก็แสดงออกชัดเจน ชั่วก็ชั่ว ของแบบนี้ขึ้นกับคนกลาง

..จำเอาไว้..ถ้าดีจริง..คนของเราต้องไม่เปลี่ยนใจไปหาคนอื่น..

ถ้าแข่งกันเต็มที่แล้วเขาแพ้ เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้โดยดี

แต่ถ้ากันท่าตั้งแต่ยังไม่เริ่ม..แปลว่านึกหวั่นใจ ทำไมล่ะ ความสัมพันธ์ไม่มั่นคงพอ ไม่เชื่อใจกันมากพอ หรือไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมีชนักปักหลัง

“ไม่โทรหรอก อยากทำอะไรก็ทำเลย เปิดเผยและชัดเจน”

อินทัชมุ่นหัวคิ้ว ฝ่ามือกำแน่นเข้าหากัน พอดีว่าคุณไผ่หยิบไข่เจียวที่ร่วงพื้นแล้วเดินเข้ามาขวางทางเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาอาจใจร้อนชั่ววูบหนึ่ง

“ผมจะไปปลุกพี่กุนต์ เชิญคุณไผทตามสบาย” เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ทิ้งเจ้านายของตัวเองไว้กับคุณไผ่

ไผทหันมองพสิษฐ์ ไม่มีอะไรต้องคุยเลยคิดเดินออก

“ทานข้าวหรือยังครับ” พสิษฐ์รั้งไว้พลางแกว่งไข่เจียวไปมา “ไหนๆก็มาแล้ว อยู่ทานด้วยกันก่อนไหม” พูดจบก็เอาไข่พระร่วงใบนั้นใส่ลงในจาน

ไผทนิ่งไปครู่หนึ่ง “คุณควรจะทิ้งนะ”

“ไข่ใบละตั้งห้าบาทเชียวนะคุณ นี่มีสามฟองก็สิบห้า” พสิษฐ์บ่น

“ทิ้งไปเถอะครับ ถ้าขี้เหนียวนักจะไปเอาไข่จากบ้านมาให้” เขาเดินออกไปข้างนอก ตั้งใจว่าจะไม่แตะต้องมื้อเช้าของบ้านนี้เด็ดขาด

พสิษฐ์บ่นไล่หลัง “สิบห้าบาทก็เงินนะครับ!”

ไผทขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ “งกฉิบ!”

ใครอีกคนหัวเราะในลำคอ พูดพึมพำ “ผมได้ยินนะคุณผัดไทย”

..อย่างว่าแหละ..สิบห้าบาทจะเทียบไร่องุ่นสามพันล้านได้ยังไงเล่า..

......




ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะก่อน กนธีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยังอยู่ในชุดคลุม เขาเหลือบมองคนที่เดินเข้ามาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ
   
“เป็นอะไรพี่โอ๊ต” เขาถามอย่างประหลาดใจ
   
“รำคาญหมา!” อินทัชหงุดหงิด นั่งตรงปลายเตียง
   
กนธีงุนงง “หมาอะไร..แถวนี้มีหมาด้วยหรือ”
   
“หมาเจ้าของไร่ข้างๆนี่ไง” เขาขมวดคิ้ว “เที่ยวไล่ตามกระดูก”
   
คนฟังส่ายหัว หยิบเสื้อมาใส่ “พี่คงไม่ใช่กระดูกชิ้นนั้นใช่ไหม”
   
อินทัชนิ่งเงียบ เขาพูดจาเสียมารยาทไปหน่อย อย่างไรเสียพี่กุนต์ก็อายุมากกว่า “ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงพี่แบบนั้น”
   
“ไม่ได้ว่าอะไรนี่” กนธียิ้ม สวมกางเกงยีนส์ตัวใหม่ “กินข้าวหรือยัง”
   
“ยังไม่ได้กิน พอดีไอ้หมอนั่นมา” เขานึกรำคาญใจ “ถามจริงๆเถอะ เขาไม่อายบ้างหรือไง มาเที่ยวตื๊อพี่อยู่ได้ อย่าบอกว่าไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”
   
อีกคนชะงัก..คุณไผทจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากับโอ๊ตเป็นอะไรกัน
   
..ในเมื่อเขาเอง..ยังไม่รู้แน่ชัดเลย..
   
“อย่าไปอะไรกับเขานักเลยน่า” กนธีหันหลังให้ ติดกระดุมกางเกง
   
“พ่อแม่เขาไม่สั่งสอนหรือครับว่าอย่าเข้ามาแทรกแซงชีวิตคนอื่น”
   
กนธีหันมามอง ปรามด้วยสายตา
   
“โอ๊ต..ไม่พอใจอะไรก็ว่าแค่เขา อย่าลามไปที่ญาติผู้ใหญ่” เขาตำหนิ “แล้วอีกอย่าง..คุณไผทไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เขาตัวคนเดียวมาตลอด แล้วไม่ว่าใครจะสั่งสอนเขามา พี่ก็ไม่ชอบเลยที่โอ๊ตพูดจาไม่เคารพคนอายุมากกว่า”
   
อินทัชเงียบไป รู้สึกผิดที่เสียมารยาท แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
   
..ทำไมต้องเข้าข้าง..
   
“เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกัน” เขาลุกพรวด กระชากประตูออกไป
   
กนธีถอนหายใจ ต่อให้เขารักอินทัชแค่ไหน การกระทำทุกอย่างก็ต้องมีขอบเขต จะด่าจะว่าใครก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย
   
เขาแต่งตัวเสร็จก็ตามลงไปด้านล่าง ดูเหมือนว่าอินทัชจะพาคุณยายออกไปเดินเล่นรับลม หรือไม่ก็เพราะไม่อยากอยู่มองหน้าคุณไผท
   
“คุณไท..” เขายิ้มให้ “มาแต่เช้าเลยนะครับ”
   
ไผทนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก เขากดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย พอได้ยินเสียงทักก็เงยหน้ามอง เพียงแค่นั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดสังเกต
   
“หน้าซีดๆ ไม่สบายหรือว่านอนไม่พอครับ”
   
กนธีชะงักไปอึดใจหนึ่ง เผลอยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง “อ๋อ..แค่แปลกที่”
   
“แล้ววันนี้จะไปขี่ม้ากับผมไหวหรือเปล่า” เขาลุกขึ้นยืน
   
อีกคนหันมามอง ดวงตาเป็นประกายทันที “ไหวครับ”
   
ไผทหัวเราะ บางทีคุณกุนต์ก็ดูเหมือนเด็กๆ “คุณทานข้าวหรือยัง”
   
กนธีส่ายหัว “ไปทานด้วยกันสิคุณไท”
   
“ผมกินมาแล้ว” ใครจะกล้าเสี่ยงกับไข่เจียวตกพื้นของน้องชายคุณกุนต์ ถ้าหมอนั่นไม่งกกว่าเขา ก็แปลว่ากวนส้นตีนที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอมา
   
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งด้วยกัน ทานอะไรเล่นๆก็ได้” เขาเชิญที่ห้องอาหาร แวะเข้าครัวรินน้ำผลไม้ให้อีกฝ่ายก่อนจะนั่งข้างพสิษฐ์
   
“พี่กุนต์สวัสดีครับ” ปาลินกำลังดูแลอ้นกับอุ้มให้กินข้าวเช้า เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้า “พี่กุนต์ทานอะไร เดี๋ยวผมตักให้”
   
กนธียิ้มบาง การฝืนปั้นหน้าทั้งที่รู้สึกเหมือนถูกหนามยอกใจเป็นอะไรที่จัดการได้ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาต้องต่อสู้กับความคิดทางลบ น้องสนเป็นเด็กดีและน่าสงสาร การถูกผู้ใหญ่อย่างเขามองเสมือนว่าอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับ ‘คู่แข่ง’ ทำให้เขานึกแสลงใจและอยากอาเจียนกับความคิดคับแคบของตน
   
ปาลินไม่ใช่คู่แข่ง ใจสกปรกของเขาต่างหากที่เป็นคู่แข่ง
   
..ละอายกับรอยยิ้มของเด็กที่มีให้จากใจจริง..
   
..เขาเอง..จะยิ้มให้น้องจากใจยังทำไม่ได้เลย..
   
“ขอโทษนะ..” เขาพึมพำตอนที่รับจานข้าวจากน้อง
   
ปาลินงุนงง ได้ยินไม่ถนัดนัก “อะไรนะครับ”
   
กนธีส่ายหัว ยิ้มให้อย่างฝืดเฝื่อน “พี่นอนไม่ค่อยพอน่ะ เบลอๆ”
   
“เป็นไข้หรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้ว “ผมจะไปเอายาให้”
   
“นอนไม่ห่มผ้าหรือไงลุง” พสิษฐ์ตักไข่เจียวใส่จาน กินแล้วก็นั่งชมฝีมือตัวเองเพราะไม่มีใครชม มีแต่น้องอ้นกับน้องอุ้มนี่แหละที่เข้าข้างเขากว่าใคร
   
กนธียิ้มขัน โบกมือปัดๆ “พี่สบายดี แค่นอนไม่หลับนิดหน่อย” เขาเขี่ยไข่ในจานไปมา “ว่าแต่..แกทำเอ้กเบเนดิกต์ให้พี่อีกแล้วไผ่..”
   
ไผทเท้าคางมองปฏิกิริยาของคนข้างกาย
   
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
   
กนธีนิ่งไปเสี้ยววินาที เขากินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไร
   
ตอนที่เขากินเสร็จ อินทัชเพิ่งจะจูงมือคุณยายเข้ามาในบ้าน กนธียิ้มให้ท่าน ถามไถ่เหมือนเป็นลูกหลานว่ากินข้าวหรือยัง เมื่อคืนหลับสบายดีไหม
   
“ดีมากเลยจ้ะ ที่นี่อากาศดีจริงๆ” ยายยิ้มเห็นเหงือก “นึกถึงที่บ้านเลยเนอะเจ้าโอ๊ต อากาศเย็นๆแบบนี้ ตาหนูไปเที่ยวน่านกับยายสิลูก”
   
กนธียิ้มบาง จับแขนผอมแห้งเอาไว้ “คุณยายอยากกลับบ้านไหมครับ ถ้าอยากไปเยี่ยมบ้าน บอกผมได้เลยนะ เคลียร์งานแล้วจะพาไปเลยครับ”
   
ยายดูมีความหวังขึ้นมา ดวงตาฝ้าฟางรื้นน้ำ แกเป็นห่วงบ้านช่องตามประสาคนแก่ ถึงจะเป็นบ้านไม้ผุพังเก่าคร่ำ มีที่นาไม่กี่ผืน แต่แกก็อยากกลับไปสักครั้งก่อนตาย ติดที่ว่าไม่กล้าเอ่ยปากขอหลาน กลัวจะรบกวนเงินค่าเดินทาง
   
“จริงหรือเปล่าลูก” แกดีใจเห็นได้ชัด “จะกวนหนูหรือเปล่า”
   
“ไม่เลยครับ” กนธีให้สัญญา “เอาไว้หาหมอครั้งหน้าแล้วเราไปกันนะ”
   
ยายอุ่นใจที่สุด บีบแขนหลานชายด้วยความหวัง อินทัชยิ้มระอา เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ยายไม่ยอมพูดให้ฟังด้วย
   
“ขอบคุณนะครับพี่กุนต์” เด็กหนุ่มมองเจ้าตัว “ที่จริงเดือนหน้าครบรอบวันตายของแม่ผม ถ้าพี่ไปด้วย..ก็ดีเหมือนกัน” เขาจะพาพี่กุนต์ไปหาแม่
   
..ไปบอกแม่..ต่อให้แกจะไม่อยู่รับรู้แล้วก็ตาม..
   
..ว่าคนคนนี้..คือที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิตเขา..
   
กนธียิ้มรับ “ได้สิ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เสมอนะ”
   
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว สัมผัสได้ว่าคำพูดและท่าทางของพี่กุนต์ดูแปลกๆ
   
..คล้ายกับ..วางตัวห่างเหิน..
   
ไผทก้าวเข้ามาหา สวัสดีคุณยายตามประสาคนอายุน้อยกว่า “เอาไว้เย็นนี้ไปทานข้าวบ้านผมอีกนะครับ อยากทานอะไร ผมจะให้แม่ครัวทำไว้ให้”
   
“คุณไผ่บอกว่าเย็นนี้จะทำอาหารเอง” อินทัชแทรกอย่างเสียมารยาทจนยายต้องยกมือตี แต่เขาสนเสียที่ไหน “พวกผมคงไม่ไปรบกวนคุณไทหรอก”
   
กนธีถอนหายใจ เขาขี้เกียจดูน้องโต้เถียงเลยขอปลีกตัวออกมา
   
“พี่แวะไปบ้านคุณไทเดี๋ยวนะ จะไปดูลูกม้า บ่ายๆก็กลับ”
   
อินทัชนิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกทันที ไม่เข้าใจเลยว่าพี่กุนต์คิดอะไร ทั้งที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าคุณไผท ทำไมยังต้องเอาตัวเข้าไปพัวพัน
   
“ตามไปสิลูก” ยายรู้ใจหลานดี “รักเขาก็ตามเขา ถ้าทะเลาะกันก็ไปคุยกันดีๆ มัวแต่ทำประชดเป็นเด็ก ผู้ใหญ่คนไหนเขาก็เบื่อเอ็งได้นะ”
   
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น พะว้าพะวังเพราะต้องดูแลยาย พอดีคุณพสิษฐ์ออกมาจากห้องอาหาร เห็นสถานการณ์เข้าเลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนยายแทน
   
“ไปนั่งดูทีวีกับผมดีกว่าครับคุณยาย” เขายิ้มให้ ประคองไปห้องรับแขก
   
อินทัชนึกหงุดหงิด ตั้งใจจะตาม แต่อ้นกับอุ้มวิ่งไล่กันมาทางเขา พอรู้ว่าพี่ชายจะไปหาพี่กุนต์ก็โหวกเหวกโวยวายอยากไป เดือดร้อนปาลินอีกคน
   
“ตามเลยโอ๊ต เอาน้องๆไปด้วย กันท่าได้หลายคน” ปาลินเสนอ
   
“หึ” ร่างสูงนั่งยองๆ จับมือน้องชายไว้แล้วสั่ง “อ้นกับอุ้มวิ่งไปหาพี่กุนต์ ไปจับมือพี่เขาคนละข้าง อย่าให้ผู้ชายคนนั้นเข้าใกล้พี่กุนต์ได้”

อ้นหัวเราะชอบใจ น้องอุ้มก็พลอยเห็นดีไปด้วย “ซึมแซ่บ!”
   
สองหน่อวิ่งตึงๆลงบันไดบ้านตามหลังผู้ใหญ่สองคนไป พอใกล้ระยะก็ทำตามคำสั่งพี่โอ๊ต โผเข้ากอดขา ห้อยโหนจับแขนพี่กุนต์เป็นลูกลิง
   
“พี่กุนต์ไปไหน พวกหนูไปด้วย~”
   
“เจ้าตัวร้าย” กนธีหัวเราะ จูงมือน้องสองคน “พี่จะไปดูม้าครับ อยากดูก็ไปด้วยกัน แต่ห้ามเข้าใกล้นะ ขึ้นขี่ไม่ได้ด้วย พวกหนูยังเด็ก มันอันตราย” ที่เขาไม่ชวนมาก็เพราะเหตุนี้ น้องๆยังเด็ก ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
   
“ชวนแต่อ้นกับอุ้ม แล้วพี่โอ๊ตคนนี้ล่ะครับ..ลืมกันซะแล้วหรือไง”
   
กนธีเงียบไปอึดใจ หันไปมองเด็กหนุ่มที่เดินตามมา ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่พอใจเล็กน้อย ท่าทางควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
   
“ขอโทษที” เขามองอินทัชกับปาลินที่มาด้วยกัน

ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ เขาแค่อยากขอเวลาส่วนตัวทบทวนตนเอง เว้นช่องว่างให้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง เขาตั้งรับไม่ทันหรอกนะ

“ผมจะดูเด็กๆให้ครับ” ปาลินยิ้มตาปิด ปากพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปจูงน้องสองคนออกมาเลย เพราะโอ๊ตสั่งไว้แล้วให้อ้นกับอุ้มคอยกันท่า

กนธีพยักหน้ารับ ฝืนยิ้มให้ทั้งสองคนแล้วก้มลงจูงมืออ้นกับอุ้มคนละข้าง ไผทไม่ได้ว่าอะไร กลับยิ้มเอ็นดูเสียอีก เขายื่นมือไปหาน้องอุ้มที่เดินฝั่งซ้าย

“ให้อาไทจูงหนูบ้างได้ไหม” ถามเป็นเชิงขออนุญาตน้อง
   
อุ้มเงยหน้ามอง เจ้าของแก้มกลมยุ้ยเป็นกระติกคลี่ยิ้ม “ได้ฮะ!” อุ้มกำปลายนิ้วใหญ่ของ ‘คุณอาไท’ ไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างกำนิ้วพี่กุนต์เอาไว้ เด็กชายชะโงกหน้ามองพี่อ้นที่เดินอยู่ทางขวามือพี่กุนต์แล้วหัวเราะคิกคัก
   
“น้องๆขี้อ้อนใช่ไหมคุณไท”
   
“มากครับ” ไผทหัวเราะ “ทำเอาผมอยากมีลูกขึ้นมาเลยเนี่ย”
   
“จริงหรือเปล่า” กนธียิ้ม “ก็รีบๆแต่งงานสิคุณ”
   
“บังเอิญว่าผมไม่ได้สนใจผู้หญิงเท่าไร”
   
กนธียิ้มระอา พูดพึมพำ “ถ้าสนผู้ชายก็ไปหาเอาข้างหน้าแล้วกันครับ”
   
ไผทหัวเราะชอบใจ คุณกุนต์ปฏิเสธเขาจริงจังขึ้นทุกที เขาเลยชอบแหย่
   
ท่าทางพูดคุยและเสียงหัวเราะของทั้งสองคน พ่วงด้วยน้องชายของเขาทำให้อินทัชได้แต่หงุดหงิดรำคาญใจ ไม่สบอารมณ์กับภาพครอบครัวสุขสันต์
   
..ไอ้น้องไม่ได้เรื่อง!..
   
ไผทนำกนธีมาที่คอกม้าในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เขาสร้างหลังคากันแดดกันฝน มีรั้วรอบขอบชิดกันพวกมันวิ่งเตลิด พื้นปูนสะอาดสะอ้านปูฟางอย่างดี
   
“ไหนของผมครับคุณไท” กนธียิ้มร่าเริง เดินทักสัตว์ในคอกไปทีละตัว พอเจอม้าตัวโปรดของอีกฝ่ายก็ดิ่งเข้าไปหา “ไง..ฌองเซลิเซ่ สบายดีไหม”
   
ไผทหัวเราะ มองคนที่พูดสวัสดีกับม้า ทำเหมือนคุยกันรู้เรื่อง
 
“ต้องเรียกสมสง่าครับ ภาษาฝรั่งเศสหูมันไม่กระดิกหรอก”
   
กนธีขบขัน สมสง่าก้มหัวให้เขาลูบแผงคอมันอย่างแสนเชื่อง เขานวดหูให้เบาๆ “คุณสมสง่า..พี่มาขอดูน้อง คุณสมเห็นน้องของพี่บ้างไหม”
   
“คุยกันน่ารักเชียวนะคุณ แต่คุยให้ตายเจ้าสมก็พาคุณไปไม่ได้” ไผทยิ้มบาง แตะแขนคนด้านข้าง “เชิญทางนี้ครับ” เขานำกนธีไปที่คอกม้าเล็กอีกมุม
   
“ไหนๆ..โห!” กนธีตาเป็นประกาย มองลูกม้าเทศลักษณะดีที่ยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ตัวเดียว ขนสีดำขลับมันเป็นเงา ท่วงท่าดูสง่างามตั้งแต่เด็ก “สวยมาก..”
   
“ชอบไหม” ไผทยิ้ม เท้าแขนกับขอบรั้วระหว่างที่คุณกุนต์เข้าไปดู
   
ชายหนุ่มค่อยๆจับช่วงคอของมันอย่างอ่อนโยน เจ้าตัวน้อยขยับแล้วเดินไปมาก่อนจะกลับมาหยุดยืนด้านหน้า ก้มหัวให้ลูบด้วยความเชื่อฟัง
   
“ชอบอะไรกัน” กนธีพึมพำ “รักเลยต่างหาก..”
   
“ถ้ารักมันถึงขนาดนั้น..คนให้อย่างผมจะดีใจมาก”
   
ไผทมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวานเชื่อมจนเด็กสองคนที่ตามหลังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แสดงออกอย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้อินทัชหงุดหงิดหนัก
   
“โอ๊ต..ใจเย็นๆ” ปาลินกระตุกแขน
   
ตอนนี้เขาได้แต่ปรามเพื่อนด้วยคำพูด และคอยระวังไม่ให้โอ๊ตทำอะไรหุนหันพลันแล่น มีน้องเล็กอยู่สองคน เพื่อนคงไม่ทำเรื่องวู่วามต่อหน้าเด็ก
   
“ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง อย่าคิดมากสิ”
   
อินทัชขบกรามกรอด มันแน่อยู่แล้ว พี่กุนต์ไม่ลงไปเล่นด้วยหรอก
   
..ใช่ไหม..ยังไงพี่ก็เลือกผมคนเดียว..ใช่หรือเปล่า..
   
ไผทเดินเข้าไปใกล้ วางมือลงตรงช่วงหลังที่แอ่นโค้ง ลูบบนขนสั้นเกรียน “ผมยกให้คุณแล้ว ดูแลให้ดีนะครับ”
   
“ขอบคุณนะครับ..ผมดีใจจริงๆ” กนธีหันมอง ยิ้มให้คนข้างกาย “แต่ปัญหาคือ ผมจะพากลับไปกรุงเทพได้ยังไงเนี่ย” เขามองลูกม้าอย่างขบขัน
   
“ฝากเลี้ยงได้ ไม่คิดเงิน” ไผทว่า “มาเยี่ยมมันบ่อยๆก็พอ”
   
คนฟังพอจะรู้ทันอยู่บ้าง มาหาม้าบ่อยๆก็เท่ากับมาหาคนบ่อยๆ
   
..แม้แต่ให้ของขวัญยังมีจุดประสงค์เลยนะคุณไท..
   
กนธียิ้มบาง ไม่ถือสาหาความกับการแสดงออกที่ชัดเจนโจ่งแจ้ง ดีเสียอีกที่ไม่ต้องมานั่งเดาความ ไม่ต้องมาคอยข้องใจ “ถ้างั้นก็ขอฝากด้วยนะครับ”
   
ไผทพยักหน้ารับ มองคนที่เข้าไปกอดลูกม้าของเขาด้วยท่าทางรักใคร่
 
“ว่าแต่..เจ้าตัวนี้ คุณไทไปได้มาจากไหน”
   
“ฟาร์มในไทยนี่แหละคุณ จริงๆจะนำเข้าก็ได้นะ แต่ปัญหาเยอะ” เขาบอก “ที่นี่เชื่อถือได้ พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ควอเตอร์ เกิดในบ้านเราทนสภาพแวดล้อมได้มากกว่า แถมมีใบเพ็ดรับรองว่าเลือดแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
   
“ผมไม่ค่อยมีความรู้ นี่ม้าแข่งหรืออะไรครับ”
   
“ควอเตอร์ ฮอร์สสำหรับงานปศุสัตว์กับงานในฟาร์ม พวกนี้จะเปรียว คล่องตัว น่ารัก ฉลาด อารมณ์ดี ไม่ตื่นง่ายครับ” เขาตบแผงคอเบาๆ “รอสักสองสามปี ค่อยๆฝึกไป ตัวโตเมื่อไรคุณกุนต์ก็พาขี่เล่นรอบไร่ ขึ้นเนินขึ้นเขาได้เลย”

กนธีฟังอย่างตื่นเต้น เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้ ไว้คิดออกแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เขาอยากจะลองขี่มากกว่า ติดแค่ว่าเจ้านี่ยังตัวน้อย
   
“ผมมีอีกสองตัวทางนั้น” เขาบุ้ยใบ้ให้ดูคอกกั้นอีกด้าน “ลองไหม”
   
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว “พี่กุนต์” เขาท้วง “ขี่เป็นหรือครับ”
   
“ขี่ไม่เป็นก็หัดได้ ผมจะช่วย” ไผทรับรอง
   
กนธีดูมีความหวังที่จะได้ลองฝึกอะไรใหม่ๆจนเด็กหนุ่มน้ำท่วมปาก เขาได้แต่จับอ้นกับอุ้มไม่ให้เล่นซน เพราะตั้งแต่เข้ามาก็อยู่กันไม่ค่อยนิ่งเลย
   
ไผทเปิดคอกม้า หยิบอุปกรณ์ที่แขวนไว้มาสวม เช็กอานและสายรัดว่าอยู่ในระดับพอดี ไม่แน่นไม่หย่อนจนเกินไป “คุณกุนต์มานี่มา” เขาเรียก
   
กนธีเพิ่งจะสวมรองเท้าบูทเสร็จ เขาเดินมาหยุดข้างคุณไผท เอามือลูบแผงคอของมันและพูดคุยสร้างความคุ้นเคย เจ้าตัวนี้ชื่อว่า ‘ทาร์ตไข่’
   
“คุณทาร์ตไข่” เขาหัวเราะเบาๆ สงสัยคุณไทจะชอบกินทาร์ตไข่
   
ไผทยิ้ม สอนวิธีขี่คร่าวๆ “ดูนะครับ” เขาดึงสายรัดปากม้า “นี่เรียกว่าขลุม มันจะมีสามอย่าง แล้วแต่การใช้งาน อันนี้คือขลุมขี่” เขาจับสายที่ล่ามจากเหล็กปากม้าขึ้นมา “นี่บังเหียน ไว้ใช้บังคับม้า แล้วก็โกลน..สำหรับสอดเท้าเข้าไปเหยียบ ตรงนี้คืออานม้าที่คุณใช้นั่ง ผมปูผ้ารองอานไว้ให้แล้ว”
   
กนธีเก้กังเล็กน้อย ทาร์ตไข่ตัวค่อนข้างสูงใหญ่แต่ไม่เท่าคุณสมสง่า
   
“ผมจะสอนวิธีขึ้นให้” ไผทบอก “หรือจะให้ผมอุ้มคุณแทน”
   
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว คิดหรือว่าเขาไม่ได้ยินประโยคนั้น

“สอนเถอะครับ” กนธีหัวเราะ “คุณอุ้มผมตลอดไม่ได้หรอก”


.

.

.



[ต่อด้านล่าง]






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2017 17:26:43 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: Sins : Greed -- [Ch.50] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3802 เมื่อ13-08-2017 17:22:09 »



.

.

.


ไผทยิ้มบาง ดึงตัวคุณกุนต์มายืนข้างม้า จับมือซ้ายให้ยึดบังเหียนไว้แล้ววางตรงแผงคอ มือขวาจับขอบอาน “สอดเท้าซ้ายเข้าโกลนก่อนครับ ดึงตัวขึ้น เหวี่ยงขานั่งคร่อมบนอาน แล้วปรับให้ได้มุม นั่งตัวตรง เอาให้สบายที่สุด”
   
กนธีหัวไวเลยทำตามได้รวดเร็ว เขาแค่ชักช้านิดหน่อยเพราะอายุมากขึ้น ใจมันเลยแป้วลงก็เท่านั้น “ได้แล้วๆ” ชายหนุ่มยิ้ม ดึงสายบังเหียนไว้กับตัว
   
“เยี่ยมมาก” ไผทพูดเสียงนุ่ม “การจับสายนะครับ คุณต้องจับด้วยมือสองข้าง ดึงไว้เหนือแผงคอม้า ไม่ให้หลวม ไม่ให้ตึงเกิน”
   
“โอเค” เขาทำตามอย่างว่าง่าย ถึงอย่างนั้น ตาก็เผลอเหลือบไปทางอื่น
   
น้องอ้นกำลังพูดตื๊อกับอินทัช อยากจะขึ้นขี่ม้า แต่ปาลินช่วยห้ามไว้ คนพี่สงบไม่ทันไร น้องอุ้มก็งอแงขึ้นอีกคน อินทัชเลยจับตัวน้องให้ปาลินอุ้มไว้ เอ็ดเสียงแข็งจนน้องหน้ามุ่ย ทำเอาปาลินต้องกอดปลอบ ปรามไม่ให้ดุเกินไป
   
เพราะอะไรนะ..เขาถึงคิดว่าเด็กสองคนนั้นเหมาะสมกันมากกว่าเขา
   
..ข้างๆอินทัช..เหมาะกับคนที่อายุใกล้เคียงกันมากกว่า..
   
“มีสมาธิหน่อยคุณกุนต์” ไผทพูดพอให้ได้ยินกันสองคน

กนธีชะงัก รีบหันกลับมา “ขอโทษครับ”

“ใจคุณไม่ต้องอยู่กับผมก็ได้..แต่ให้อยู่กับม้าตัวนี้ก็พอ” เขาพูดแค่นั้นไม่ได้ถือวิสาสะเรื่องส่วนตัวของใครอีก ตอนนี้หน้าที่ของเขาคือสอนและสร้างความปลอดภัยให้กนธี “เวลาม้าวิ่งเหยาะๆ ตอนที่มันยกขา คุณก็ยกตัวขึ้น”

“อ๋อ..โอเคครับ” กนธีพยักหน้าหงึก กลับมาตั้งใจใหม่

“เหยียบโกลนแล้วยืดเข่าให้ตัวลอยพ้นอาน พอม้าวางขาลง คุณก็หย่อนตัวลงเป็นจังหวะ ทำแบบนี้ก้นคุณจะได้ไม่กระแทกกับอานเวลามันวิ่ง”
   
กนธีหัวเราะแผ่ว คุณไผทสอนวิธีบังคับม้าให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ
   
“เดินไปข้างหน้า ดึงบังเหียนให้ตึงแล้วผ่อน โน้มตัวไปด้านหน้า ขาสองข้างหนีบลำตัวมัน พอเดินได้แล้วก็ปล่อย” ร่างสูงยิ้มให้ “ไปทางขวา ดึงบังเหียนด้านขวา ผ่อนด้านซ้าย เอาขากดสีข้างซ้าย มันจะรู้สัญญาณเอง”
   
“อืม..เลี้ยวซ้ายก็ทำตรงข้ามกัน” กนธีจำจนขึ้นใจ
   
“เวลาหยุด ดึงสายเข้าหาตัวแล้วเอนมาทางหลังอานครับ” ไผทลูบหลังคอคุณทาร์ตไข่ เจ้าตัวนี้มีสีน้ำตาลเข้ม อาจจะเป็นทาร์ตไข่ที่เริ่มไหม้แล้ว
   
กนธีลองบังคับม้าเดินในคอก พอให้รู้จังหวะและเริ่มคล่องตัว ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันมากขึ้น สมกับเป็นม้าที่ฝึกมาอย่างดี ไม่มีดื้อหรือเกเรเลย
   
“คุณไทมาขี่ด้วยกัน” เขายิ้ม อารมณ์ดีขึ้นมาก
   
ไผทหัวเราะ เขาคอยช่วยอยู่ข้างๆ ระวังความปลอดภัยให้คุณกุนต์
   
“อยากลองขี่ชมไร่ไหมล่ะ” หนุ่มหล่อชาวไร่พยักเพยิดถาม
   
“ไปครับ อยากไปมาก ขี่ในคอกน่าเบื่อแย่”
   
อินทัชขมวดคิ้ว ลำพังแค่ยืนดูได้อย่างเดียวก็ไม่ค่อยโอเคแล้ว “พี่กุนต์แน่ใจหรือครับ ออกไปข้างนอกมันคุมได้ลำบากนะ ตกหลังม้าขึ้นมาจะทำไง”
   
“พี่จะคอยดูให้ ไม่ต้องกลัวหรอก” ไผทรับรอง จูงคุณสมสง่าออกมาจากคอกแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นนั่ง เขาบังคับให้มันเดินมาหากนธี “เชิญครับ”
   
ชายหนุ่มจูงบังเหียนให้อีกฝ่าย ทาร์ตไข่เดินตามลูกพี่แบบเชื่องๆ
   
อินทัชอดกังวลใจไม่ได้ พี่กุนต์ทำตัวไม่น่ารักเลย เห็นแก่ความสนุกจนลืมเรื่องความปลอดภัย อายุตั้งเท่าไรแล้ว เกิดอะไรขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ
   
“อย่าไปไกลนะครับ เอาแค่แถวนี้พอ”
   
กนธีโบกมือ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” เขามองโอ๊ตที่จับตัวน้องๆไว้

ปาลินดึงแขนน้องอุ้ม ส่วนน้องอ้นมีพี่โอ๊ตช่วยกัน สองหน่อเห็นพี่กุนต์ได้ออกไปในไร่ก็เริ่มคึกขึ้นใหม่ ต้องห้ามกันน่าดู “ไม่เอาครับอุ้ม หนูยังเด็กไป” 
   
“อืออ..แค่นั่งเฉยๆอ่ะ อยากนั่งบ้างจัง” น้องอุ้มเบะปาก แต่ก็พยายามไม่งอแง พอพี่ๆห้ามเลยหันไปกอดหมับเข้าที่ขาพี่สนแล้วซบหน้านิ่ง
   
“ถ้าดื้อมาก พี่จะฟาดคนละตุ้บ” อินทัชขู่น้อง เจ้าอ้นถึงจะไม่เถียงแต่ก็มีท่าทีดื้อเงียบ สงสัยว่าพี่กุนต์คงให้ท้ายมาหลายครั้ง ยังดีที่ไม่กล้าซนนัก
   
“อ้นกับอุ้มยังเด็ก ไว้รอคุณไทฝึกม้าให้แล้วพี่จะพามาขี่ โอเคไหมครับ” กนธีสัญญา “ตอนนี้ขอพี่ลองก่อนว่าน่ากลัวไหม” เขาให้คุณทาร์ตออกเดิน พอได้ที่ก็บังคับให้ก้าวเร็วขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นควบเหยาะๆในระยะสั้น
   
อ้นกับอุ้มปรบมือกันเกรียวกราว ชมใหญ่ว่าพี่กุนต์เท่มาก
   
“พี่กุนต์..” อินทัชปรามเพราะอีกฝ่ายดูจะติดเล่นเหลือเกิน “พอได้แล้ว”
   
กนธีไม่ฟังเสียง เขากำลังรู้สึกดี ชอบสัมผัสของไอหมอกบางเบาที่พัดผ่านใบหน้า ชอบเสียงอื้ออึงของลมที่ตีเข้ามา ชอบกลิ่นดินกลิ่นหญ้า ชอบความสดชื่นของไร่เขียวชอุ่มและความเวิ้งว้างห่างไกลของแนวหุบเขา
   
..ชอบ..ที่ทำให้เขาหยุดความคิดสับสนวุ่นวายได้ชั่วขณะหนึ่ง..
   
“พี่กุนต์..ลงมาได้แล้ว อย่าให้จับตีอีกคนนะ” อินทัชส่งตัวน้องให้ปาลิน “สนช่วยดูให้เราหน่อย ใครดื้อฟาดได้เลย เราจะไปจับตัวคนรั้นแถวนี้”
   
กนธีหัวเราะหึ พออินทัชเข้ามาใกล้ เขาก็ดึงม้าออกห่าง เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้ว อ้าปากจะพูด เขาเลยตัดสินใจพาม้าออกวิ่ง เลาะไปตามเขตไร่ทันที
   
“พี่กุนต์!” อินทัชชะงัก “บ้าเอ๊ย!”
   
“พี่ดูให้เอง” ไผทควบม้าตาม สุดท้ายก็หายเข้าไปในไร่ด้วยกัน
   
เด็กหนุ่มสบถในลำคอ รอคนสองคนอย่างกระสับกระส่าย ไม่เข้าใจว่าทำไมแค่เรื่องง่ายๆ ต้องกลายเป็นเรื่องวุ่นวายแบบนี้ โตๆกันแล้ว ทำไมพูดไม่รู้จักฟัง ทำไมเห็นแก่เรื่องสนุก ไม่สนใจว่าใครนึกเป็นห่วง

..คิดบ้าอะไรอยู่กันแน่..
   
ไผทตามอีกฝ่ายมาติดๆ ความเร็วของคนที่เพิ่งหัด อย่างไรก็ไม่สู้ม้าที่ฝึกมาอย่างดี เพียงแค่ไม่นาน เขาก็คว้าตัวกันได้ทัน
   
“คุณกุนต์..” เขาเรียก ดึงบังเหียนไว้ “เพิ่งเริ่มขี่ อย่าเพิ่งใจร้อนครับ”
   
กนธีบังคับให้เจ้าทาร์ตไข่หยุด มันชะลอฝีเท้าและเปลี่ยนมาเดินกุบกับ สองกีบเท้าตะกุยลงพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งไปทั่ว “ผมไม่ได้ใจร้อน แค่อยากลองดู”
   
“แต่ควรจะลองในเวลาที่คุณมีสมาธิกว่านี้” ไผทบอกเสียงเรียบ “ไม่ใช่ใจลอย คิดเรื่องอื่นแล้วมาขี่ม้าเล่น มันอันตรายนะคุณ”
   
“ผมขอโทษ” กนธีถอนหายใจ “ทำให้เหนื่อยไปด้วยเลย”
   
คนฟังส่ายหัว ได้แต่ยิ้มบาง เขาจะพูดอะไรขึ้นมาได้ล่ะ นอกจากทำตัวเป็นเพื่อนคอยฟังและคอยอยู่ข้างๆในเวลาที่กนธีดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก
   
“ไปทางนี้เถอะครับ ผมจะพาชมในไร่” เขาดึงให้ม้าเดินไปข้างหน้า
   
ไร่องุ่นของไผททอดยาวสุดสายตา เบื้องหลังค้างไม้ที่เรียงกันเป็นแนวคือแนวเทือกเขาที่ทอดตัวยาว แดดที่ไม่แรงนักลอดผ่านปุยเมฆที่ลอยค้างเหนือทิวเขา ลมเย็นสบายพัดผ่าน หอบเอาไออากาศอุ่นชื้นเข้ามารอบด้าน
   
ตลอดแนวไร่ บรรดาคนงานต่างทำหน้าที่กันขันแข็ง แต่ละคนพอเห็นเจ้านายก็ยกมือไหว้สวัสดีกันใหญ่ พวกเขาสำรวจ คอยตรวจโรคตามใบ ตัดแต่งกิ่งเลี้ยงตาและซ่อมแซมค้างที่พัง เหมือนอาณาจักรย่อยๆที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย
   
“ท่าทางจะมีความสุขนะครับ อยู่กับธรรมชาติแบบนี้”
   
“ก็โอเคอยู่” ไผทยิ้ม ดึงม้าเดินมาด้านข้าง “ภาพข้างนอกสวยดี แต่เวลาเจอปัญหา ทั้งแมลง ทั้งสารเคมี ฝนไม่ตก แดดไม่ออก องุ่นเป็นโรค ผลผลิตไม่ได้ตามเป้า มันไม่มีความสุขหรอกครับ ไม่ว่างานอะไรก็มีปัญหาทั้งนั้น”
   
“นั่นสินะ” กนธีหัวเราะเบาๆ “แต่ชีวิตแบบนี้ ผมก็เคยฝันไว้”
   
“มาอยู่กับผม จะให้ตามที่คุณฝัน” ไผทแหย่ “คุณไม่ต้องมาลำบากทำคลอดวัว หรือตัดองุ่นแบบคนงานหรอก แค่เป็นเถ้าแก่ช่วยผมนับเงินก็พอ”
   
“โธ่..คุณไท” กนธีส่ายหัวยิ้มๆ ดึงบังเหียนให้คุณทาร์ตไปพักใต้ร่มไม้
   
ถึงแดดจะไม่ร้อนนัก แต่ก็ทำให้หยดเหงื่อผุดซึมขึ้นได้ แสงจางๆส่องผ่านพุ่มใบหนาทึบลงมา ส่องเป็นประกายอยู่บนเรือนผมนุ่ม กนธียกหลังมือขึ้นเช็ดรอยเปียกชื้นข้างแก้ม หยุดพักเหนื่อยและนั่งมองวิวไร่อยู่ใต้ต้นไม้
   
“ใช้ของผมสิ” ไผทยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้
   
“ขอบคุณครับ” กนธียิ้ม “เสียดายที่ไม่ได้เอาตะกร้าปิคนิคมา”
   
คนฟังหัวเราะ “หิวน้ำไหม มีแต่กระติกน้ำคนงานตรงนั้น ถ้าคุณกินได้”
   
“ได้ครับ” เขาบอก “ผมไม่เรื่องมากหรอก”
   
ไผทส่งเสียงเรียกลูกน้อง ขอน้ำดื่มสองแก้ว ฝ่ายนั้นเลิ่กลั่ก ไม่แน่ใจที่นายจะใช้ถ้วยสังกะสีบุบบี้ร่วมกับพวกเขา แต่ชายหนุ่มยังย้ำคำเดิม
   
“เชิญคุณก่อน” เขาส่งแก้วเก่าๆ มีคราบดำติดตามก้นให้กนธี อีกฝ่ายรับไปดื่มอย่างง่ายดาย จากนั้นตัวเองถึงจะดื่มตามลงไปอีกคน “เป็นไงบ้าง”
   
คนงานกลับไปทำหน้าที่ต่อ ในกระติกเป็นน้ำประปา เทน้ำแข็งหลอดกับลอยมะลิ ต่างคนต่างจ้วงกินด้วยแก้วที่ใช้ร่วมกัน จะว่าสะอาดก็พูดไม่ได้
   
“ให้บอกว่าอร่อยคงเกินจริง” กนธีหัวเราะ “ชื่นใจครับ หอมดอกมะลิ”
   
“อยู่ง่ายกินง่ายแบบนี้น่ะดีแล้ว” ไผทว่า “เปลี่ยนใจเมื่อไรก็สบาย”
   
อีกหนุ่มส่ายหัวระอา แต่ปากก็คลี่ยิ้ม “ถามหน่อยเถอะ” เขาเงยมองระหว่างคลี่ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นวางบนหลังคอ “คุณสนใจผมจริงๆหรือ”
   
ไผทยิ้ม “ใช่..ผมชอบคุณ”
   
กนธียกมือยอมแพ้ ตรงไปตรงมาจนน่าตกใจ “ตาแก่อย่างผมมีดีอะไร”
   
ร่างสูงดุนลิ้นข้างแก้ม คุณสมสง่าก้มลงเล็มหญ้า หางกวัดไกวไล่แมลงหวี่ “สารภาพตามตรง ตอนแรกก็สนใจที่คุณรวยน่าดู”
   
กนธีหัวเราะชอบใจ “เด็กผมแต่ละคนก็เป็นแบบนั้น”
   
“ใช่..แต่เหตุผลต่อมา ไม่ใช่เรื่องฐานะของคุณ” ไผทยิ้มบาง “ถ้าเอาแค่มีเงินถุงเงินถัง มรดกทับถมน่ะ..กะพริบตาก็เจอ หายากที่ไหนล่ะ”
   
“อืม..นั่นสินะ” กนธียิ้ม ไม่ถือสาหาความ
   
“สิ่งที่ดึงความสนใจผมได้ คือความดีของคุณ” ไผทตอบ “คนอย่างคุณคนที่ทำเพื่อคนอื่น เข้าอกเข้าใจคนอื่น มีหัวใจเพื่อดูแลคนอื่นจนบางครั้งหลงลืมตัวเอง..ควานหาไปร้อยคน จะเจอสักหนึ่งคน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้พบ”
   
คนฟังนิ่งเงียบ
   
“ที่ผมตามตื๊อ มันไม่ใช่เหตุผลอะไรยิ่งใหญ่หรอก ผมยังไม่ได้รักคุณ ก็แค่ชอบเฉยๆ แต่เพราะผมคิดว่า ในเมื่อได้เจอคนประเภทหนึ่งในร้อยอย่างคุณแล้ว ผมจะปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรเลยหรือไง..มันคงงี่เง่าน่าดู”
   
“สรุปว่าเสียดายความดีของผมสินะ” กนธียิ้มขัน “คิดใหม่เถอะคุณไท ผมไม่ได้ดีแบบที่คิด ข้อเสียผมเยอะ..สารพัดอย่างเลยแหละ”

“แล้วไงล่ะ..โลกนี้มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์บ้าง คนนะครับ..ไม่ใช่เทวดา” เขาบอก “ดีแค่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือดี ผมไม่ได้ขอให้คุณดีเต็มร้อยสักหน่อย”

กนธีหัวเราะ “ผมมันก็คนเทาๆแบบนี้แหละ” เขามองเหม่อไปข้างหน้า “แต่ถึงจะทำตัวให้เป็นสีขาวยังไง ก็คงไม่ช่วยให้ใครมารักเราได้”

ไผทมองนิ่งๆ “นั่นขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเห็นคุณค่าของคุณแค่ไหน”
   
เจ้าตัวหันกลับมา เป็นครั้งแรกที่เปิดเผยสีหน้าหม่นหมองให้เห็น
   
ไผทไม่ถาม ถ้าคุณกุนต์ไม่เล่า เขาจะไม่ถือวิสาสะ “ถ้ามันเจ็บปวดนัก ที่ทำไปไม่มีใครหันมา คุณก็เลือกทำกับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวคุณสิ”
   
กนธีเงียบกริบ เขาหลุบตาลงต่ำตอนที่ไผทขยับเข้าหา
   
“คุณมีค่าสำหรับคนที่เห็นค่าของคุณเสมอนะ..คุณกุนต์” ชายหนุ่มคว้าสายบังเหียนของม้าอีกตัวไว้ มันเอียงไปทางซ้าย ดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ขึ้น
   
ดวงตาคมกล้าจับจ้องเรียวปากได้รูปที่อยู่ห่างกันแค่คืบ เขาเอื้อมมือออกไป แตะบนแนวแก้มแผ่วเบาพร้อมกับที่ใบหน้าคมเข้มโน้มต่ำลง
   
เพียงระยะห่างแค่ปลายนิ้ว กนธีเบือนหน้าหนี
   
ต่างฝ่ายต่างเงียบ สุดท้ายไผทก็ผละออก
   
“กลับกันเถอะครับ” กนธีพูดเสียงเบา เป็นฝ่ายบังคับม้าเดินนำ
   
“คุณกุนต์” ไผทตามหลังมา “ผมขอโทษ..”
   
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่อย่าทำแบบนี้อีกก็พอ” อีกฝ่ายไม่ได้ต่อว่า “ผมมีโอ๊ตอยู่ทั้งคน ในเมื่อผมขอให้เขาซื่อสัตย์ ผมก็ต้องซื่อสัตย์กับเขาด้วย” 
   
“เข้าใจแล้ว..”

.

.

.



ครึ่งชั่วโมง..อินทัชยืนรอด้วยความเป็นห่วง และมันก็เปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป เขาไม่ชอบที่พี่กุนต์ทำตัวแบบนี้ ทำเหมือนไม่นึกถึงคนข้างหลัง ทำเหมือนไม่รับรู้ว่ายังมีเขาอยู่ทั้งคน
   
“เอาน่า..อย่าโกรธไปเลย” ปาลินปรามเพื่อน เขาเช็ดเหงื่อให้น้องๆ “เราว่า..ถ้าอีกสักห้านาทียังไม่กลับมากัน พาอ้นกับอุ้มกลับไปที่บ้านก่อนดีไหม”
   
“รู้แล้ว” เขากระสับกระส่าย คิดวนเวียนไปสารพัด
   
..ทั้งที่รู้ใจคุณไผท แต่ทำไมยังออกไปกับหมอนั่นสองคน..
   
เด็กน้อยสองคนรอจนเหงื่อตก โชคดีที่แม่บ้านของคุณไผทออกมาเจอ เธอเชิญให้ไปนั่งรอข้างในก่อน อ้นกับอุ้มเลยได้ไปนั่งพักกินไอศกรีมรสองุ่นกัน
   
อีกสิบนาทีต่อมา กนธีกับไผทเพิ่งจะกลับมาถึง ตอนนั้นทุกคนนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน พออินทัชเห็นทั้งสองคนก็อารมณ์ร้อนขึ้นทันที
   
“ถ้าไม่ได้ด่าไอ้เวรนั่น วันนี้เราคงเป็นไอ้โง่” เด็กหนุ่มลุกพรวด
   
ปาลินเห็นท่าไม่ดี รีบวิ่งเข้าไปรั้งเพื่อนที่ก้าวยาวๆไปทางเจ้านาย ไผทกำลังช่วยดูกนธีลงจากหลังม้า เพราะว่ายังไม่คล่องนักเลยต้องประคองตัว
   
“คุณไผท!” อินทัชถือว่าจะไล่เขาออกก็ช่างหัว
   
..มายุ่งกับคนของคนอื่น ถือว่าแก่แต่อายุ!..
   
“โอ๊ต..อย่า!” ปาลินรั้งเสื้อเพื่อนสุดแรงจนร่างสูงเซถอยไปก้าวหนึ่ง

“สนอย่ายุ่ง”

“ถ้าทำอะไรวู่วาม พี่กุนต์จะรู้สึกยังไง!” เขาเตือนสติ รู้ดีว่าเพื่อนเป็นคนแบบไหน ถ้าโกรธ..โอ๊ตจะมุทะลุ ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง

อินทัชนิ่งไป พอดีกับที่คุณไผทหันมามอง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรเพราะเห็นเด็กสองคนยื้อยุดกัน ปาลินได้ทีเลยรีบถลันไปขวางตรงกลาง
   
“ผม..ผมแค่..” เขาดันโอ๊ตไปอยู่ด้านหลัง “เอ่อ..ผมอยากลองขี่ม้าบ้าง”
   
“นึกว่าอะไร” กนธียิ้มบาง ปัดฝุ่นตามตัวแล้วยื่นสายจูงให้ “มาสิ..”
   
ไผทหัวเราะ ผายมือให้น้องสนเข้ามาแทน “เดี๋ยวพี่สอน”
   
ปาลินเหลือบมองอินทัช เห็นว่าเพื่อนนิ่งลงแล้วก็พรูลมหายใจ เขาพยักเพยิดให้ไปคุยกับพี่กุนต์ ตัวเขาขอทำหน้าที่ดึงความสนใจจากคุณไผทเอง
   
กนธียืนมองสองคนตรงหน้า น้องไม่ค่อยเข้าใจวิธีขึ้นม้าเท่าไร คุณไทเลยช่วยอุ้มขึ้นไปนั่ง ดูๆแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีอยู่เหมือนกัน
   
เขาดูอยู่สักพัก รู้สึกร้อนจนเหงื่อออกชุ่มแผ่นหลังเลยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด บอกคุณไผทว่าจะขอไปนั่งพักที่ชานบ้านแล้วหันหลังกลับ
   
“ไปไหนกันมา” อินทัชที่ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ถามขึ้นห้วนๆ
   
กนธีชะงัก สัมผัสได้ถึงน้ำเสียงไม่พอใจของน้อง แต่เขาเคยถามว่า ‘หึงหรือไง’ และได้คำตอบกลับมาในทางตรงกันข้ามจนเลิกหวัง
   
..หากไม่หวัง..จะไม่มีใครต้องเจ็บ..
   
“ไปขี่ม้ามาน่ะสิ” กนธีเช็ดหลังคอตัวเอง ฝุ่นจับเต็มไปหมด หัวหูก็ยุ่งเหยิง สงสัยต้องกลับไปอาบน้ำแล้วค่อยกินข้าวเที่ยง “น้องๆไปไหนนี่”
   
“พวกมันยืนตากแดดรอพี่ไปกับไอ้หมอนั่นอยู่นาน ผมเลยให้ไปนั่งพัก”
   
“อ้าว..แล้วทำไมปล่อยให้น้องยืนตากแดด” กนธีตำหนิ รีบไปหาอ้นกับอุ้มที่นั่งผึ่งพุง บนโต๊ะมีไอศกรีมกับน้ำแตงโมปั่น สองหน่ออิ่มแปล้จนนั่งตาปรือ
   
“เรื่องพวกมันน่ะช่างเถอะ” อินทัชรู้ดีว่าตัวเองพูดเกินจริงไป เพราะหวังให้พี่กุนต์รู้สึกผิดที่ออกไปกับคุณไผทสองคน “ตอบผมสักทีว่าพวกพี่ไปไหนกัน”
   
“เซ้าซี้จังนะโอ๊ต” กนธีส่ายหัว หยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม
   
อินทัชสบถในลำคอ รั้งแขนอีกฝ่ายอย่างเผลอตัวจนน้ำในขวดหก
   
“โอ๊ต..” กนธีมองปราม “อย่าทำตัวไร้สาระเหมือนเด็กๆ”
   
“อย่าพูดว่าผมไร้สาระ” เขาเสียงแข็ง “การยืนรอพี่และการถามว่าพี่ไปไหนมาไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ที่ไร้สาระคือพี่ที่ไปกับมัน ทั้งที่รู้ว่ามันชอบพี่ต่างหาก!”
   
กนธีมุ่นหัวคิ้ว ขยับปากจะพูดแต่ก็ตัดสินใจไม่พูด “ไว้ค่อยคุยกัน” หลุดอะไรมาตอนนี้ก็มีแต่จะทะเลาะ เวลาที่อารมณ์ไม่ดี ควรแยกไปคนละมุมก่อน
   
อินทัชจับข้อมือพี่กุนต์แน่น ไม่ให้เดินหนี “ผมไม่โอเคกับเรื่องวันนี้นะ”
   
คนฟังสูดลมหายใจเข้าลึก หันมามองหน้าตอนที่พยายามจะปลดอุ้งมือที่ยึดเขาไว้ “แล้วเราคิดว่าพี่โอเคกับทุกเรื่องหรือไง”
   
ร่างสูงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ไม่โอเค? ไม่โอเคเรื่องที่ผมไม่พอใจเวลาเห็นพี่อยู่กับมันสองคนน่ะหรือ ขอโทษนะครับ..ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์!”
   
“สิทธิ์อะไร?” กนธีใจวูบไหว หากน้องโพล่งออกมา ประกาศความเป็นเจ้าของกับเขา บอกให้รู้อย่างชัดเจน ย้ำให้แน่ใจ ทุกอย่างที่บั่นทอนจะจบลง
   
อย่าให้เขาเป็นฝ่ายถามก่อนเลย..เพราะผิดหวังกับคำตอบนั้นมาหลายต่อหลายหน สู้ให้คิดหวังไปเองโดยไม่ถูกปฏิเสธ เขายังรู้สึกดีกว่า
   
“บอกมาสิ..โอ๊ตมีสิทธิ์อะไรในตัวพี่” เขาเงยหน้ามอง
   
อินทัชนิ่งงัน ตีความคำถามไปในทางลบ และที่แย่กว่านั้น ‘กฎ’ ที่กนธีเป็นฝ่ายบอกกับเขา กำลังวกกลับมาทำให้เขารู้สึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม 
   
“ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่คู่รัก”
   
เขาขบกรามแน่น น้อยใจ..จนพูดไม่ออก

“เคารพขอบเขตระหว่างกัน จะไม่มีใครล้ำเส้นใคร” 

“ไม่เข้าไปก้าวก่ายวุ่นวายในส่วนที่อีกคนไม่อนุญาต”
   
เด็กหนุ่มคลายมือที่จับตัวกันไว้ หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
   
“ผมไม่น่าตกลงเรื่องนั้นกับพี่เลย” เขาเมินหน้า “ไอ้กฎบ้าๆนั่น”
   
กนธีตัวชา ความผิดหวังพุ่งเข้าจู่โจม เขาก่นด่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ถูกเตือนแล้วว่าอย่าเป็นฝ่ายคิดเกินเลยไปก่อน ทั้งที่เตือนตัวเองให้เอาเหตุผลเป็นที่ตั้ง แต่ในเวลาแบบนี้..อารมณ์กลับมีอิทธิพลมากมาย
   
‘คิดยังไงกับพี่กันแน่’ สมองสั่งให้ถาม..แต่หัวใจ..กลับร้องเตือนว่าอย่า
   
..เพราะมัน..เป็นแค่ก้อนเนื้อที่บอบบาง..เกินกว่าจะถูกกรีดซ้ำๆ..
   
กนธีถอนหายใจ ก่อนนี้เขารุดหน้า ถลำใจอย่างไม่ห้ามปรามตน ตอนนี้ได้แต่บอกให้ก้าวถอยหลังกลับมาในเขตแดนที่จะไม่เจ็บปวดไปมากกว่าที่เป็น
   
..ความสัมพันธ์ต้องใช้เวลา อย่าเร่งรีบไปกับมัน..
   
..ไม่เป็นไร..ใจเย็นๆ..ให้โอกาสทั้งน้อง..และตัวเขาเอง..
   
“พี่จะกลับบ้าน” เขาพึมพำ ก้าวลงจากระเบียง
   
“พี่กุนต์!” อินทัชตามติด เขายังไม่จบเรื่อง “เราต้องคุยกันนะ”
   
เสียงของคนสองคนดึงความสนใจจากไผทให้หันมอง เขาขมวดคิ้ว ไม่ชอบที่ไอ้หนุ่มนั่นเสียงดังใส่คุณกุนต์ ก็แค่เด็กในอุปการะ ทำอะไรไม่รู้จักขอบเขต
   
ชายหนุ่มตัดสินใจลงจากหลังม้าแล้วเดินดุ่มเข้าไปหาทันที
   
ปาลินถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว พอเห็นคุณไผทผละไปก็รีบดึงม้าให้ตาม แต่เพราะว่ากระตุกแรงเกิน เจ้าทาร์ตไข่เลยนึกว่าถูกสั่งให้วิ่ง มันร้องเสียงดัง ยกขาขึ้นแล้วควบฝีเท้าไปด้านหน้าจนคนที่อยู่บนหลังตื่นตะลึง
   
ทุกคนหันมามองด้วยความตกใจ ปาลินเสียหลัก เอียงตกจากหลังม้า แต่มือข้างหนึ่งของเขายึดสายโกลนไว้แน่น ทั้งตัวเลยไม่หล่นปะทะพื้น
   
อินทัชเห็นเหตุการณ์ ขาปาลินติดอยู่ในโกลนระหว่างที่ม้าวิ่งเหยาะๆ สองมือคว้าสายรัดและยึดอานไว้แต่ขาอีกข้างก็ถูกลากไปกับดิน   

สน!!” เด็กหนุ่มตะโกน หัวใจเขาหล่นวูบ ถลันไปช่วยอย่างไม่คิด
   
ไผทรีบวิ่งกลับไป เหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังม้าตัวโปรดแล้วควบตาม เสี้ยวนาที เขาก็คว้าบังเหียนแล้วสั่งให้ทาร์ตไข่หยุดวิ่ง รีบอุ้มตัวปาลินที่กำลังเสียขวัญ โชคดีเหลือเกินที่น้องยึดอานไว้แน่นหนาและเขาก็ผูกมันไว้อย่างดี ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กตกลงมาแล้วถูกเหยียบซ้ำ
   
กนธีรีบตามมาติดๆ ใจเขาห่วงน้องสนไม่ต่างกัน “เป็นอะไรมากไหม!”
   
ไผทอุ้มปาลินไปที่รถ “ผมว่าข้อเท้าน่าจะมีปัญหา” เขาหน้าเสีย เป็นความผิดเขาเองที่ทิ้งเด็กเอาไว้ทั้งที่ยังสอนไม่จบ “พี่จะพาไปหาหมอนะ”
   
อินทัชก้าวพรวดเข้ามากลางคัน เขาโกรธจนห้ามอารมณ์ไม่อยู่ ร่างสูงกระชากคอเสื้อของไผทจนเกิดความวุ่นวายขึ้น “ปล่อยตัวสนเดี๋ยวนี้!!
   
กนธีนิ่งอึ้ง อินทัชเข้าไปดึงตัวปาลินออกมา แขนแข็งแรงสอดเข้าอุ้มร่างที่เบากว่าแล้วยกมาแนบอก ไม่ยอมให้คุณไผทเข้าไปยุ่งแม้แต่นิดเดียว
   
“ผมดูแลเขาได้ หมดหน้าที่คุณแล้ว! เชิญคุณไปดูแล ‘คนอื่น’ เถอะ!”
   
“มีเหตุผลบ้าง! พี่จะพาเขาไปหาหมอ” ไผทแย้งขณะที่คุณกุนต์ยืนค้าง 
   
ปาลินหน้าซีด กระตุกเสื้อเพื่อน “โอ๊ต..เราไม่เป็นไร” เขาแค่เจ็บข้อเท้าที่มันพลิกไปอีกด้าน ตอนที่ร่วงลงมา เขาเอาขาข้างนั้นลงพื้น มันผิดท่าเอาการ
   
“คุณยุ่งกับพวกเรามาทั้งวันแล้วคุณไท!” อินทัชมองด้วยความโกรธจัด เขาวางเพื่อนลง สำรวจดูเนื้อตัวว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า “เป็นอะไรมากไหม”
   
“แค่ข้อเท้าแพลง” ปาลินเหงื่อตก “ยังพอโอเค”
   
“เราจะขอให้คุณไผ่ช่วยพาไปหาหมอ อดทนหน่อยนะ” อินทัชลูบผมชื้นเหงื่อของเพื่อน โยกหัวปาลินด้วยความสงสาร “ขอโทษนะสน..ขอโทษที่ไม่ดูแล”
   
กนธียืนเหมือนคนเบื้อใบ้ ทุกอย่างที่อินทัชทำอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด เขาทำได้แค่โทรหาพสิษฐ์ บอกให้น้องช่วยมารับตัวพวกเขาที่บ้านคุณไท
   
ไม่เกินสองนาที พสิษฐ์ก็รีบขับรถมาหา
   
“พี่จะไปด้วย” กนธีบอกตอนที่โอ๊ตอุ้มน้องสนขึ้นรถ
   
“ผมไปเองได้ ไม่รบกวนใครหรอก” อินทัชพูดประชด เรื่องนั้นเรื่องนี้วุ่นวายไม่หยุด และเขาก็กำลังโกรธเรื่องของปาลิน เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน
   
ทั้งที่เพื่อนทำทุกอย่างเพื่อเขา..แต่แค่นี้..เขากลับดูแลไม่ได้
   
กนธีเงียบกริบ เอื้อมมือช่วยปิดประตูรถ แต่โอ๊ตดึงมันปิดเอง เขาได้แต่มองน้องกอดปลอบปาลิน มองสีหน้ารู้สึกผิดแล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทั้งหมด

รถของพสิษฐ์แล่นออกไป ในตัวเมืองมีคลินิก ไม่มีอะไรน่าห่วง

ไผทถอนหายใจ เข้ามายืนข้างๆกนธี เขาพึมพำอย่างเสียใจ

“ผมขอโทษ..” เขารู้สึกแย่จริงๆ การสร้างความปลอดภัยให้ทุกคนเป็นหน้าที่ของเขา ครั้งนี้เขาประมาท ไม่สมควรเลย “ผมผิดเอง”

กนธีไม่ได้โต้ตอบ เขาเดินกลับไปที่บ้านของไผทเพื่อปลุกอ้นกับอุ้มที่หลับกลางวันอยู่บนเบาะ มีพัดลมจ่อจนนอนสบายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ผมขอกลับก่อนนะครับ” เขาพึมพำ ขอรถกอล์ฟจากคุณไท

“คุณกุนต์..” ไผทเห็นความผิดสังเกตของอีกฝ่าย

กนธียังตัวชาดิก ปลายนิ้วเขาเยียบเย็น เสียงตะโกนของอินทัชที่เรียกปาลินก้องอยู่ในหู เขาเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้มาแล้วอย่างไรเล่า

มันคือเสียงที่เคยเรียกตอนเขาหายไปในน้ำ..เสียงที่ติดจะตะคอกนั่น
   
..และมันคือเสียงที่แอบแฝงไปด้วยความห่วงหา..อย่างสุดหัวใจ..
   
“คุณกุนต์..” ไผทจับหัวไหล่ เขาขมวดคิ้ว เห็นกนธียกแขนเสื้อขึ้นเช็ดร่องรอยบางอย่างบนใบหน้า เขาคงตาไวเกินไป..ถึงได้เห็นว่ามันคือหยดน้ำ
   
“ผมไม่เป็นไร..” กนธีฝืนยิ้ม จูงน้องๆขึ้นรถ “แล้วเจอกันครับ”

..จบลงแล้ว..ความรู้สึกเข้าข้างตัวเองที่เพียรพยายามปลอบโยนมา..





.......................................................................................





Talk : หายหัวไปเลย ตอนนี้เขียนๆไป หมาแก่ที่บ้านก็ป่วย แล้วก็ตาย เบลอไปเป็นอาทิตย์ หยุดการทำทุกอย่าง พอเปิดเรื่องขึ้นมาก็นึกถึงตอนที่หมาอยู่คลินิก ไปไม่ทันเยี่ยมเพราะมัวแต่นั่งพิมพ์พี่กุนต์ พอมันตายก็ไม่อยากแตะขึ้นมาดื้อๆ

ที่จริงลงในเด็กดีไปก่อนนี้แล้ว เพิ่งมาลงตามหลัง เบลอสนิท ลืมทุกอย่าง  :hao5:

ขออภัยที่ให้รอน้าาา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2017 18:03:55 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3803 เมื่อ13-08-2017 17:35:56 »






Chapter 51




กนธีพาอ้นกับอุ้มกลับมาที่บ้าน ยายนั่งคอยอยู่ที่ห้องรับแขก แกชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วงเพราะคุณพสิษฐ์ออกไปกะทันหัน ต้องฝากให้แม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน
   
“เกิดอะไรขึ้นตาหนู” ยายยันตัวลุก แต่คุณกุนต์เข้ามาประคองก่อน
   
“น้องสนตกหลังม้าน่ะครับ แต่ตอนนี้ไผ่พาไปหาหมอแล้ว โอ๊ตก็อยู่ด้วย คุณยายไม่ต้องกังวลนะครับ” กนธีพูดปลอบทั้งที่ตัวเขากังวลยิ่งกว่า
   
เมื่อสิบนาทีที่แล้ว เขาโทรหาโอ๊ต แต่ทางนั้นไม่รับสาย โทรหาไผ่ก็ไม่รับเหมือนกัน ไม่รู้ว่ากำลังยุ่ง กำลังคุยกับหมอ หรือที่จริงมีอะไรที่หนักหนากว่านั้น
   
ตอนนี้ เขาขอวางเรื่องความสัมพันธ์ทุกอย่างลงก่อน ใจมันห่วงอาการของปาลิน น้องมากับเขา คนที่ควรดูแลและรับผิดชอบทุกฝ่ายก็คือคนที่ชวนมา ลูกเขามีพ่อมีแม่ ถ้าดูแลดีๆไม่ได้ ก็ไม่ควรจะเสนอตัวตั้งแต่แรก
   
“ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วลูก” ยายลูบหลังมืออีกฝ่าย “ไม่ต้องคิดมากนะ”
   
กนธีนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าที่ยายพูดมีความหมายลึกซึ้งแค่ไหน เขาเองได้แต่พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นมาจัดแจงหน้าที่ของตัวเองให้ดี การดูแลคุณยายกับเด็กๆเป็นสิ่งที่เขาเต็มใจยิ่งกว่าอะไร อยากให้ทุกคนมีความสุขกับการมาเที่ยวด้วยกันครั้งแรก ไม่คิดเลยว่าจุดดำเล็กๆน้อยๆมันจะทำให้เรื่องมาถึงขั้นนี้ได้
   
“คุณยาย..อ้น อุ้ม มาทานข้าวกันครับ” กนธีเรียก เที่ยงแล้วคงหิวแย่
   
ยายยิ้มรับ พยายามกินข้าวตามมื้อ แต่ฝืนไปได้ไม่กี่คำก็วางช้อน ระยะที่ผ่านมา แกอ่อนเพลียจนต้องนอนแทบทั้งวัน ซ้ำยังกินอะไรไม่ลง เข้าปากได้แค่สองสามคำก็ต้องหยุด มันจุกเสียดและปวดท้องอยู่ตลอดเวลา กระทั่งกลางคืนยังนอนกุมท้อง แต่เพราะไม่อยากให้หลานเป็นห่วง ไม่อยากให้มารับเป็นภาระเลยอดทนอยู่ตามลำพัง แม้แต่พยาบาลส่วนตัว แกก็ปิดปากเงียบ ถ้ารู้ถึงตาหนูของแก คุณกุนต์ก็ต้องมาเดือดร้อนพาคนแก่ใกล้ตายไปรักษาเสียเงินเสียทองอีก
   
ตัวแกจะตายวันตายพรุ่ง แกไม่สนใจหรอก แต่ถ้าหลานยังไม่มีความสุข แกก็คงไปอย่างมีห่วง สิ่งสุดท้ายที่ต้องการก็คือเห็นทุกคนรักกัน
   
“ทานน้อยจังเลยคุณยาย” กนธีหันมามอง พยาบาลบอกว่าท่านทานได้กลางๆ แต่ที่เห็นคือทานไปได้ไม่กี่คำ “ปกติทานไม่ลงแบบนี้บ่อยหรือเปล่าครับ” 
   
ยายส่ายหัว ที่พยาบาลเล่าให้คุณกุนต์ฟัง คือหลังจากที่แกแอบตักข้าวทิ้งไปบางส่วนแล้วต่างหาก ช่วงหลังนี้ปริมาณที่จัดไว้ ไม่เคยกินถึงครึ่งเลย
   
“ยายสบายดีจ้ะ” แกโกหกคำโต “แค่เพลียแดด”
   
กนธีขอให้ท่านดื่มน้ำเต้าหู้อีกสักหน่อยแล้วพาไปพักผ่อน เขาเองเพิ่งได้สังเกตสีหน้าคล้ายเจ็บปวดตลอดเวลาที่ก้าวเดิน พอออกปากถาม ท่านก็ปฏิเสธ
   
“ไม่สบายตรงไหนต้องรีบบอกผมนะ หมออยู่ใกล้แค่นี้”
   
“นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น โรคคนแก่น่ะตาหนู” แกบีบปลายนิ้วคุณกุนต์ไว้ “ไม่ต้องห่วงยายหรอกลูก ไปพักเถอะ ยายขอนอนสักงีบ” ยายบอกแล้วหันมาทางหลานตัวจ้อยที่มาเดินวนเวียนแถวแก “อ้นเอ้ย..อุ้มเอ้ย..ไปนอนกับยายไหม”
   
กนธีเห็นว่าน้องๆคงอยากนอนกลางวัน เลยพาไปที่ห้องแล้วเปิดแอร์ให้
   
“ผมจะแง้มประตูไว้ มีอะไรเรียกผมได้เลย จะอยู่ใกล้ๆนี่แหละครับ”
   
ยายพยักหน้า ค่อยๆตะแคงตัวนอน ไม่กี่วันก่อนเพิ่งไปหาหมอ เจาะช่องท้องอะไรวุ่นวาย หลานว่าเป็นโรคตับ แกก็ไม่ได้ติดใจสงสัย แต่วันนี้อาการแย่ลงอีกแล้ว คิดว่าคงมีอะไรมากกว่านั้น แต่มันไม่ยอมบอกความจริง
   
“ยายจ๋า..” อ้นขยับเข้ามาใกล้ ตรงกลางเป็นน้องอุ้ม
   
“อะไรลูก” มือหยาบกร้านเพราะเคยทำนาลูบหัวหลานอย่างรักใคร่
   
“ยายไม่สบายหรือ” อ้นนอนลืมตามอง เอามือข้างหนึ่งเท้าแก้ม “ยายไม่สบาย ยายต้องนอนเยอะๆ จะได้หาย แล้วเรามาเที่ยวกันใหม่นะ”
   
แกน้ำตาคลอ กอดหลานตัวน้อยสองคนแนบอก จูบกระหม่อมมัน ซึมซับความรู้สึกของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจนกว่าจะจดจำไว้ในใจได้แม่นยำ
   
“ยายจะรีบหายนะลูกนะ” แกบอก “รักพวกเอ็งเหลือเกิน”
   
“อ้นรักยายเหมือนกัน” อ้นยิ้มตาปิด ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้น้องตาปรือ จากนั้นถึงได้หลับตามน้องอุ้มที่หัวถึงหมอนก็ชิงฝันไปก่อน
   
“หนูก็..รักยายจ๋า” น้องอุ้มละเมอเคี้ยวฟันที่เพิ่งขึ้น
   
ยายนอนมองหน้าเด็กๆ ลูบหัวลูบหน้าด้วยความเอ็นดู
   
มันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีพรุ่งนี้หรือไม่ มันสำคัญที่ว่าวันนี้..พวกเรารักกัน ดูแลกันและกัน ห่วงใยซึ่งกันและกันได้คุ้มค่าแก่เวลาที่มีอยู่หรือยัง
   
ถ้าทำอย่างใส่ใจเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะจากกันวันไหน..ก็คงไม่เสียดายเลย

กนธีให้ทุกคนพักผ่อนแล้วออกมารอด้านนอก ผ่านไปอีกชั่วโมงกว่า รถของไผ่ถึงแล่นเข้ามาในบ้าน เขาเดินออกไปรับหน้า ตั้งใจจะช่วยเปิดประตูรถ แต่อินทัชลงมาก่อน น้องไม่ได้คุยอะไรกับเขาสักคำ นอกจากเดินผ่านไปด้านหลัง
   
“เดี๋ยวเราพาไปเอง” อินทัชบอกปาลินที่กำลังจะหย่อนเท้าลงมา
   
กนธีสังเกตผ้าที่ยึดจนรอบ “เป็นยังไงบ้างน้องสน”
   
ปาลินหัวเราะแหะ ชูนิ้วโป้งบอกว่าอาการยังดีอยู่ แต่อินทัชแทรกแทน
   
“เอ็นข้อเท้าฉีก”
   
“ฉีกนิดเดียวครับพี่กุนต์” ปาลินรีบบอกคนที่ดูตกใจ “หมอจะให้ใส่เฝือกอ่อน แต่ผมไม่อยาก เลยใช้ผ้ารัด แค่ไม่กี่อาทิตย์ก็หาย” 
   
“ซนจนได้เรื่อง” อินทัชประคองตัวเพื่อนลงมา เห็นปาลินยักแย่ยักยัน ไม่ถนัดนักเลยยกตัวขึ้นอุ้ม เจ้านั่นจะถอยออก เขาเลยต้องสั่ง “อยู่นิ่งๆ”
   
กนธีนิ่งเงียบ ในหัวไม่ได้คิดอะไรเลยตอนที่ตามเข้าไปในบ้าน อินทัชวางปาลินลงกับโซฟา หยิบม้านั่งตัวเตี้ยมาให้วางเท้าแล้วไปเอาน้ำมาให้
   
พสิษฐ์ล็อครถแล้วเดินตามมา เขาตบบ่าพี่ชาย มองอย่างเห็นใจ
   
“เอาน่า..” เขาปลอบ “เขาเป็นเพื่อนกัน ต้องดูแลกันเป็นเรื่องปกติ”
   
กนธีหลบสายตาน้อง เขาละอายที่ถูกอ่านความรู้สึกอย่างง่ายๆ
   
มีเสียงรถแล่นเข้ามาอีกคัน พสิษฐ์มองจากหน้าต่างเห็นว่าเป็นคุณไผท เขาถอนหายใจ ความวัวไม่ทันหาย จะมีความควายเข้ามาแทรกอีกแล้ว
   
“พี่อยู่ตรงนี้นะ ผมไปจัดการเอง” เขาบอก
   
กนธีเข้าไปช่วยดูแลน้องสน ถึงจะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เขาก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาอยู่ดี หลังวันหยุด น้องต้องไปเรียน เขาตั้งใจไปรับไปส่ง
   
“ไม่เอาครับไม่เอา ไม่เป็นไร” ปาลินโบกมือพัลวัน “ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
   
“พี่ไม่ดีเอง” กนธีรู้สึกผิดในหลายๆเรื่อง ยิ่งปาลินดีกับเขามากเท่าไร ยิ้มให้เขาอย่างบริสุทธิ์ใจมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกแย่กับความใจแคบของตนเข้าทุกที
   
อินทัชเข้ามาในห้องรับแขก ได้ยินว่าพี่กุนต์จะไปรับไปส่งสน แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ซึ่งเขาก็ไม่นึกประหลาดใจอะไร ปาลินเป็นพวกขี้เกรงใจอยู่แล้ว
   
“เดี๋ยวผมไปรับเอง” เขาบอก “ออกเช้าหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”
   
“ไม่เอา” ปาลินแย้ง “เราไม่ได้ขาหักนะ แค่ข้อเท้าแพลง”
   
“แล้วจะขึ้นรถเมล์ยังไงคนเดียว กะเผลกแบบนั้น”
   
“ให้พี่ไปรับเถอะ” กนธีเสนอ
   
“พี่กุนต์ก็มีงานนะครับ” ปาลินไม่ยอมเด็ดขาด “ผมไปเองได้จริงๆ”
   
“ดื้อ” อินทัชขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกแท็กซี่ เราจ่ายให้”
   
เด็กสองคนเถียงกันไปมา กนธีเลยตัดบทด้วยการพูดเรื่องรถของโอ๊ต
   
“ขับไปรับน้องสน แล้วไปมหาลัยพร้อมกันเลยก็ได้นี่” ความเป็นผู้ใหญ่ ก็คือจะต้องแยกระหว่างอารมณ์กับสิ่งที่สมควรทำออกจากกันให้ได้ ความรู้สึกอยู่ในส่วนของความรู้สึก และความรับผิดชอบก็อยู่ในส่วนของความรับผิดชอบ
   
ถึงแม้จะยังค้างคาใจกับเด็กสองคน แต่กนธีตัดสินใจหยุดไว้แค่นี้
   
เขายังไม่ถาม..ไม่ใช่เวลาที่ดี คนเราต้องรู้จักกาลเทศะ หรือต่อให้ถามแล้วได้คำตอบตรงไปตรงมา สิ่งที่จะได้ยินมีแค่สามอย่าง ‘ใช่’ ‘เฉยๆ’ หรือ ‘ไม่ใช่’
   
หากน้องตอบว่า ‘ใช่’ เขาคงรู้สึกย่ำแย่เพราะความคาดหวังของตนเอง หากตอบว่า ‘เฉยๆ’ เขาคงรู้สึกว่าน้องกำลังโกหก และหากตอบว่า ‘ไม่ใช่’ เขาคงตัดสินลงไปทันที ว่าอินทัชไม่แตกต่างจากไววิทย์และคนอื่นๆที่ผ่านมา
   
สุดท้าย เขาเองต่างหากที่ยังไม่อยากจะพูดคุยหรือรับฟังอะไร เขาต้องจัดการความคิดและอารมณ์ของตัวเองให้คงที่ก่อน จัดการให้ใจเปิดกว้างพอจะรับฟัง หากเป็นในตอนนี้..เขาคงปิดหูปิดตาเพราะความคับแคบของใจ
   
เอาไว้เมื่อไรที่คิดว่าพร้อม เขาจะขอพูดคุยอย่างเปิดเผย ระหว่างนี้ ถือเสียว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เป็นการทดสอบ ‘ความซื่อสัตย์’ ของใครบางคน 
   
คนเรา..ถ้าไม่คิดจะสานต่อ ก็คงไม่ได้สานต่อแม้โอกาสจะอำนวย

แต่ถ้าคิดอยากจะดำเนินความสัมพันธ์ ขัดขวางแค่ไหน ก็มีใจให้กันได้

“ตกลงตามนี้นะ” กนธีสรุปแล้วลุกออกไป ขอไม่รับรู้อะไรอีก

ข้างฝ่ายพสิษฐ์ หลังออกมาจากห้องรับแขก เขาเดินตรงไปหาคุณไผทที่เพิ่งลงมาจากรถ ทางนั้นเก็บแว่นกันแดด พอเห็นเขาก็เข้ามาหา ถามถึงปาลิน

“อาการไม่เป็นอะไรมากครับ” พสิษฐ์อ่อนลงเล็กน้อย เพราะตั้งใจมาขัดไม่ให้ฝ่ายนั้นเข้ามายุ่มย่ามกับพี่กุนต์แล้วทำเรื่องให้วุ่นวายไปกว่าที่เป็น

“ถ้าอย่างนั้นผมก็เบาใจ” ไผทพยักหน้ารับ “ขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม”

“อย่าเพิ่งเลยครับ” ชายหนุ่มแย้ง “ผมว่าตอนนี้ไม่เหมาะ”

ไผทเลิกคิ้ว “มีเรื่องอะไรกัน พิษรักแรงหึงของเด็กๆอย่างนั้นหรือ”

พสิษฐ์มุ่นหัวคิ้ว ไอ้หมอนี่..รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังไม่สนใจ อ่านสถานการณ์ออกทุกอย่าง แต่ก็ยังเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ อายุขนาดนี้แล้วแท้ๆ

“คุณไผท..ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

“คุยอะไรครับ” ไผทเดินไปหลบแดดที่ระเบียงเพราะเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ

“ผมขอเปิดใจกับคุณแบบตรงๆ” พสิษฐ์พูด “ถามกันอย่างลูกผู้ชาย คุณชอบพี่กุนต์ แล้วก็กำลังตามจีบพี่ชายผมอยู่ใช่ไหมครับ”

ไผทนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ใช่”

พสิษฐ์ไม่ค่อยพอใจนัก “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าพี่กุนต์คบกับใครอยู่”

“คบหรือ?” ไผทยิ้ม “คุณใช้คำว่า ‘คบ’ กับความสัมพันธ์แบบนั้นหรือไง”

คนฟังหน้าม้าน เขาเองยังพูดไม่เต็มปาก รู้ชัดว่าพี่กุนต์หลงรักเด็กข้างเดียว ในขณะที่อินทัชพึ่งพาเรื่องที่อยู่ เงินทอง ถึงจะดูแลกันดี ท่าทีก็ชวนให้คิดว่ามีใจ แต่เขารู้มาเหมือนกันว่าเด็กมันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

สี่คนที่ผ่านมาก่อนหน้า..ไม่ได้ทำให้เกิดการเรียนรู้อะไรเลยหรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์แบบนี้เรียกว่าอะไร และท้ายที่สุด..ผลลัพธ์คืออะไร

“ถ้าเขาคบกัน ผมไม่ยุ่งหรอก แต่เขาไม่ได้คบกันไง อย่าบอกว่าคุณไม่รู้ว่าเจ้าเด็กโอ๊ตนั่นเป็นแค่คนในอุปการะของพี่ชายคุณ และท่าทางคุณกุนต์ก็ชอบเด็กมันข้างเดียวด้วย ถึงมันจะทำเหมือนหึงหวง แต่ผมพนันว่าแต่ละคนที่พี่คุณดูแลมา มันก็มีท่าทีเดียวกันทั้งนั้น เพราะอะไรรู้ไหม..ผลประโยชน์ยังไงล่ะ”

“แล้วไง คุณจะพูดอะไร” น่าเจ็บใจที่คุณไผทอ่านออกหมดทุกอย่าง

“ก็ถ้าอ้างอิงจากที่พูดมา คงเรียกมันว่า ‘ความรัก’ ได้ลำบากอยู่นะคุณ”

พสิษฐ์ฉุนกึก “ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม อยากให้คุณรู้ไว้ว่าคุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปทำให้เขาแตกแยกกัน ขอร้อง..เลิกยุ่งกับพี่ผมเถอะ คุณอายุขนาดนี้ อย่าทำอะไรตามใจตัวเองเป็นเด็กๆได้ไหม อยากได้อะไรก็ต้องได้ มันไม่แมนนะครับ”

“ละครเรื่องหนึ่งมันต้องมีทั้งพระเอกแล้วก็ตัวร้ายนี่นา” ไผทยิ้มมุมปาก “ขอโทษทีที่ผมไม่ใช่พระรอง ผมเป็นตัวร้ายคนหนึ่งที่ชอบพี่ชายคุณ และตัวร้ายมันก็มักจะหน้าด้าน แถมไม่ค่อยเลือกวิธีเข้าหาหรอก”

“คุณไท..” ไอ้เจ้านี่..คิดจะกวนประสาทเขาใช่ไหม

“มาขอให้ผมเลิกยุ่ง คิดว่าผมเป็นมือที่สาม แล้วคุณได้ไปพูดกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า” ไผทถามตรงๆ “เด็กที่ชื่อ..ปาลินน่ะ”

พสิษฐ์ชะงัก เขาเองก็ติดใจสงสัยในความสนิทสนมของทั้งสองคน แต่ไม่คิดว่าคุณไผทเองก็สังเกตได้เหมือนกัน “คุณรู้ได้ยังไง”

“ไม่เห็นจะยาก” ไผทพูดเรียบง่าย “คุณกุนต์เป็นคนเพียบพร้อมขนาดนั้น การที่เจ้าเด็กนั่นไม่เออออไปด้วย มันก็ตีความได้ไม่กี่อย่าง หนึ่ง..เป็นคนที่อยู่ๆกันไปเพื่อเงินเท่านั้น และสอง..” เขายิ้ม “มันมีคนในใจของมันอยู่แล้ว”

พสิษฐ์เงียบกริบ เขาเห็นด้วยกับคุณไผททุกประการ

“ผมไม่รู้ว่าอินทัชเป็นประเภทไหนหรือเป็นมันทั้งสองอย่าง และที่คิดว่าปาลินมีส่วนก็เพราะสองคนนั้นสนิทกันมากไป อ้อ! ผมไม่ได้จับผิดนะ แค่หลายอย่างมาเข้าตาเอง” ไผทพูดอย่างไม่ยี่หระ “เคยชอบใครสักคนไหม..ความรู้สึกจะออกมาทางแววตาและการกระทำ ต่อให้ควบคุมแค่ไหน มันก็ต้องมีหลุดกันบ้าง”

“คุณนี่มัน...” ไอ้ตัวแสบ..พสิษฐ์ด่าในใจ “จะยังไงผมไม่รู้ นี่มันเรื่องของพวกเขา ที่แน่ๆ..คุณจงใจเข้ามาแทรกกลางคนสองคน มันบาปนะครับ”

“ถ้าคุณรักพี่ คุณไปสนับสนุนความสัมพันธ์แบบเสียเปรียบนี่ทำไมกัน” ไผทถามด้วยความสงสัย “พี่คุณเคยได้อะไรไหม..เสียทั้งเงิน ทั้งตัว ทั้งความรู้สึก แลกกับคำว่ารักหนึ่งคำ แลกกับความไว้วางใจ เชื่อใจ สบายใจ ยังไม่ได้มาเลย..”

พสิษฐ์โต้ไม่ออก เขาจนคำพูดจริงๆ หากยังไม่ทันแย้งออกไป ประตูด้านหลังก็เปิดออกมาก่อน กนธีเดินมาหา สีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย

“คุณไท..” กนธีพูดเสียงหม่น “ช่วยกลับไปก่อนได้ไหมครับ ผมรู้ว่าคุณอยากมาดูอาการน้องสน ตอนนี้น้องดีขึ้นแล้ว ยังไงจะพูดแทนให้”

“ฝากบอกว่าผมขอโทษที่ไม่ได้ดูแลให้ดี..เท่านี้แหละครับ” ไผทยอมกลับไปอย่างเชื่อฟัง เขาต้องการมาพูดแค่นั้นเอง

พสิษฐ์หันมาทางพี่ชาย “พี่กุนต์..มาตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่ที่คุณไทบอกว่าเด็กของพี่แต่ละคนอยู่ด้วยผลประโยชน์”

“อย่าไปฟังเขา” คนเป็นน้องไม่พอใจนัก “หมอนั่นมันไม่มีหัวใจ”

“คนไม่มีหัวใจ ถึงได้มองทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา”

ส่วนคนที่มีใจเอนเอียงไปรักใคร มักจะมองทุกอย่างด้วยอคติทางบวก

“พี่กุนต์..” พสิษฐ์นึกห่วง “เปิดใจคุยกันไปเลยดีกว่า รักไม่รักก็จะได้จบ”

“พี่คุยแน่ แต่ขอเวลาพี่หน่อย” ภายในวันสองวัน เขายังตั้งตัวไม่ติด “ไผ่เองไม่ใช่หรือ ที่บอกให้พี่ทำใจอยู่เรื่อย ตอนนี้ทำไมเข้าข้างโอ๊ตแล้วล่ะ”

“ผมอยู่ข้างพี่ต่างหาก” พสิษฐ์พูดหนักแน่น “พี่รักใคร ผมก็รัก แต่ถ้าพี่ไม่เอาใครไว้ ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน” เขาเข้ามากอดกนธี “จำไว้นะพี่กุนต์ ต่อให้ความรักของพี่ครั้งนี้มันล้มไม่เป็นท่า พี่ก็ยังมีผมทั้งคน ใครไม่รักพี่..แต่ผมรัก”

กนธีหัวเราะแผ่วเบา กอดตอบน้องชายคนดีที่หนึ่ง 

พวกเขาเข้ามาในบ้าน อินทัชพาปาลินไปนอนพักเอาแรง เพิ่งจะกลับลงมาจากห้องนอน พอเห็นทั้งสองคนก็หันไปทางพสิษฐ์ ออกปากขอบคุณ

“ดีขึ้นก็โอเคแล้ว ยังไงพรุ่งนี้พี่จะไปส่งถึงบ้าน” พสิษฐ์ตบบ่าเด็ก เลี่ยงออกมาเผื่อว่าพี่กุนต์อยากจะเปลี่ยนใจ คุยอะไรเป็นการส่วนตัว “อยู่กันไปนะ”

พอเหลือตามลำพัง ต่างฝ่ายกลับเงียบ ไม่ปริปากออกมา

“ผมจะไปอาบน้ำ” อินทัชบอก เลี่ยงขึ้นห้องอีกครั้ง

กนธีรีบพูด “คุณไทฝากบอกขอโทษ..ที่ไม่ได้ดูแลให้ดี”

เด็กหนุ่มไม่พอใจเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขายืนนิ่ง ไม่หันมามอง “แล้วไงอีก”

“ไม่ใช่ความผิดเขา อย่าโกรธเลย ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดเรื่องขึ้นหรอก”

“ไม่ต้องช่วยออกตัวแทนกันหรอกครับ” เขาพูดห้วนๆแล้วเดินขึ้นชั้นสอง

กนธีนิ่งเงียบ ถอนหายใจแผ่วเบา ตลอดทั้งวัน การกระทำระหว่างเขาสองคนดูมึนตึง ต่างเว้นระยะห่างไว้พอไม่ให้เกิดเรื่องกระทบกระทั่งจากคำพูด

และคืนนั้นก็เป็นคืนแรก..ที่พวกเขานอนหันหลังให้แต่ละฝ่าย

ในโลกนี้ไม่มีคู่รักที่ไหนไม่ทะเลาะ มันคือธรรมชาติของคนสองคน ต่างความคิด ต่างพฤติกรรม ต่างอารมณ์และความรู้สึก ถึงมีเรื่องไม่เข้าใจกันได้ 

ทุกอย่างเหลือเพียงแค่..เวลาที่เราสองคนทะเลาะกัน

..เราจะยังจับมือกันอยู่ไหม..






.....................................................................................








[ต่อด้านล่าง]






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2017 17:40:13 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ nigiri-sushi

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1165/-8
    • Nigiri-Sushi Page
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3804 เมื่อ13-08-2017 17:37:02 »







ทุกอย่างระหว่างกนธีกับอินทัชยังคงเหมือนเดิม ดูแลกันตามปกติ ไม่มีใครบกพร่องในส่วนของใคร เพียงแต่ว่าความใกล้ชิดสนิทสนมดูจะห่างออกไปบ้าง
   
..คล้ายกับว่ามีขอบเขตบางๆกั้นระหว่างกัน..
   
“วันนี้พี่มีนัดลูกค้านะ” คนอายุมากกว่าหยิบเสื้อที่เด็กจัดไว้ให้มาสวม

“จะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านไหมครับ”

กนธีนิ่งไปครู่หนึ่ง มองคนที่เดินวุ่นวายในห้องแล้วส่ายหัว

“พี่ต้องไปค้างคืน..” เขาหยิบกระเป๋าเป้มาใส่เสื้อผ้าที่ต้องใช้

“หมายความว่ายังไง” อินทัชที่เงียบไปพักหนึ่งถามขึ้น

“ออกต่างจังหวัดน่ะ ไปลำปางกับเจ้าไผ่”

เด็กหนุ่มหันมอง รู้สึกไม่โอเคเลยที่ไม่มีการพูดคุยก่อนหน้านี้ มาบอกเอาตอนที่จะไป ทำเหมือนเขาเป็นท่อนไม้ทื่อๆ มีหน้าที่รับรู้คำพูดที่กรอกก็พอ

“ไม่คิดจะบอกกันล่วงหน้าหน่อยหรือครับ”

“ขอโทษที” กนธีหลบสายตาอีกฝ่าย “พี่ลืม เพิ่งมานึกได้”

“ช่างเถอะครับ” อินทัชหยิบผ้าเช็ดตัวที่พี่กุนต์โยนทิ้งไว้มาใส่ตะกร้า เป็นอย่างนี้ทุกเช้าทุกวัน แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าหน้าที่ของเขาเป็นเรื่องน่าเบื่อเลย

กนธีนิ่งอยู่สักพักก็ถามเสียงเบา “อาการน้องสนเป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นมาก” ตั้งแต่กลับจากปากช่อง อินทัชทำตามคำบอกของพี่กุนต์อย่างไม่โต้แย้ง เขาเอารถไปรับปาลินถึงบ้าน และอาสาไปส่งทุกเย็น สำหรับเขา การดูแลเพื่อนไม่ใช่เรื่องที่จำใจทำ แต่เป็นเรื่องที่เต็มใจทำอย่างถึงที่สุด
   
ถึงแม้จะรู้ว่ามันดูเกินขอบเขตของเพื่อน แต่เขาก็ยังทำ
   
..เพราะอยากรู้ปฏิกิริยาของใครบางคน..
   
กนธีมีสีหน้าเรียบเฉย “อือ..ดีแล้ว” เขาเก็บข้าวของจนเสร็จ   
   
อินทัชยกกระเป๋าและไปเปิดประตูรถให้ ยกสัมภาระของพี่กุนต์วางไว้เบาะหลัง กำชับไม่ให้โทรศัพท์ระหว่างขับ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้บลูทูธ
   
กนธียิ้มบาง “ไม่พูดหรือ ว่าถ้าขับไปดูมือถือไปจะบีบคอให้ตายน่ะ”
   
ร่างสูงส่ายหัว “โตๆกันแล้ว พูดแค่นี้พี่ก็คงเข้าใจ”
   
“นั่นสินะ” เขาพยักหน้า กำลังจะปิดประตูรถ แต่น้องยื้อไว้ “ว่าไง”
   
“ผม..” อินทัชชั่งใจครู่หนึ่ง “จะขอลาออกจากร้านของคุณไผท”
   
กนธีเงียบอยู่ร่วมนาทีถึงแสดงท่าทีรับรู้ “พี่จะบอกคุณไทให้”
   
เด็กหนุ่มยืนมองกระทั่งอีกฝ่ายขับรถออกไปจนลับตา เขาถอนหายใจ เรื่องที่พูดเป็นอะไรที่คิดขึ้นในเสี้ยววินาทีแล้วโพล่งออกมา แต่มันก็ติดอยู่ในใจนานแล้ว การไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดนั่น..ดีกับเขามากกว่า
   
เขาทนไม่ได้ ถ้าพี่กุนต์จะบอกว่าเขาไร้สาระ และเขาทนไม่ได้ ที่พี่กุนต์มองเขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ถืออารมณ์เป็นใหญ่ แต่คิดว่าคงอดรนทนไม่ไหวเข้าสักวัน หากว่าคุณไผทยังคงตื๊อกนธีอย่างหน้าด้านๆให้เห็นกับตา
   
ทันทีที่หมดสถานะของเจ้านายกับลูกน้อง แล้วคุณไผทยังหาเรื่องเข้ามาวุ่นวายกับพี่กุนต์ในขอบเขตของเขา อินทัชจะถือสิทธิ์ในการจัดการทุกเรื่อง
   
ถ้าหาว่าเขาคิดมาก เขาก็จะยอมรับว่าคิดมาก แล้วเป็นฝ่ายเลิกรับรู้เอาเอง แต่ถ้ายังมีใครหน้าไหนกล้าเกินเลยเส้นแบ่งที่ยอมให้ เขาจะโต้ตอบให้รู้กัน
   
..ถอยให้ขนาดนี้ ถือว่าใจกว้างที่สุดแล้ว..
   
อินทัชกลับเข้าบ้าน ดูแลเรื่องของยายและน้องสองคน
   
“ไอ้อ้นไอ้อุ้ม เดี๋ยวพี่เอาข้าวกล่องให้ ไปกินบนรถเหมือนเดิมนะ” เขาบอกสองแสบ “ยาย..กินข้าวหน่อยนะครับ ผมไปเรียนแล้วจะรีบกลับมาหา”
   
ยายหัวเราะเห็นฟันหลอ ฝืนแสดงว่าอารมณ์แจ่มใส และร่างกายปกติดี แกนั่งอยู่ที่โต๊ะ ใช้มือสั่นเทาตักน้ำแกงเข้าปากให้หลานเห็น
   
“เก่งมากเลย..ยายของใครเนี่ย” อินทัชยิ้ม กุมมือผอมแห้งข้างนั้น “กินเยอะๆ นอนเยอะๆ แข็งแรงแล้วเรากลับไปเที่ยวน่านกัน ปลายปีข้าวออกรวง”
   
“ยายคิดถึงบ้านเหลือเกินลูกเอ๊ย” แกลูบหัวหลานคนโต
   
“ผมก็คิดถึง” เขาหอมแก้มแก “ไปเรียนก่อนนะครับ”
   
ยายโบกมือให้ “ไปดีมาดี เดินทางปลอดภัยนะลูกนะ”

อินทัชยิ้มรับ กราบตักยายเหมือนทุกเช้าแล้วพาอ้นกับอุ้มขึ้นรถ

ระยะนี้พวกเขาตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะตั้งใจพาน้องๆไปรับปาลินด้วยกัน เขายอมวุ่นวายขับวนไปวนมา เสียเวลาหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่เขาต้องการให้น้องอยู่ด้วยทุกครั้งที่แวะไปหาเพื่อนที่บ้าน ส่งปาลินที่คณะแล้ว วกไปส่งน้องๆที่โรงเรียนแล้วค่อยกลับมาที่คณะตัวเอง เป็นอย่างนี้มาร่วมสามอาทิตย์เห็นจะได้

ทำไปก็เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ถึงพี่กุนต์ไม่เคยถาม และเขาไม่ได้บอก แต่พยานตัวน้อยทั้งสองมีไว้ยืนยันในกรณีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงจากบุคคลที่สาม
   
นอกใจ..นอกกาย ให้ตายแล้วเกิดใหม่ เขายังไม่คิดทำเลย
   
“เย้~ มารับพี่สน” น้องอุ้มเข้ามาเกาะเบาะของพี่โอ๊ต

“น้องอุ้มกินข้าวก่อน” อ้นลากคอเสื้อน้องน้อยลงมาระหว่างที่พี่โอ๊ตมาจอดรถรอพี่สนอยู่หน้าบ้าน “กินพะโล้ให้หมดนะ ไข่เบ้อเริ่ม” อ้นป้อนข้าวน้อง

อินทัชมองน้องๆแล้วยิ้ม “ลำบากหน่อยนะไอ้พวกแสบ”

“ม่ายลำบาก” อุ้มส่ายหัวดิก เม็ดข้าวติดมุมปาก พี่อ้นเลยหยิบมากินเอง “หนูชอบม้ากมาก! กินข้าวบนรถ อร่อยกว่ากินในบ้านอีกอ่ะ”

“อ้นก็ชอบ” น้องคนรองกินข้าวจนพุงป่อง

“อย่าให้หกเลอะเทอะก็พอ” พี่ชายบอก “รถพี่กุนต์..ไม่ใช่รถพี่”

“อ้าว..พี่กุนต์บอกว่าซื้อให้พี่โอ๊ตนี่”

อินทัชส่ายหัว “พี่ไม่คิดจะเอา แล้วก็ไม่อยากได้อะไรจากเขาสักอย่าง” เด็กหนุ่มมองเหม่อ “อยากได้อย่างเดียว..แต่ไม่รู้จะแพงเกินไปไหม”

ที่เขาต้องการคือ ‘หัวใจ’ ของกนธี ที่จะยกให้เขาคนเดียวอย่างแท้จริง

ไม่รู้เพราะอะไร ‘รัก’ ที่พี่กุนต์บอกมา เขากลับรู้สึกว่า มันยังไม่ใกล้เคียงกับ ‘รัก’ ที่เขาหวังเอาไว้ และบางที..อาจจะไม่เท่ากันกับ ‘รัก’ ที่เขามีด้วยซ้ำ

เขารู้สึกเหมือนกับว่า หากพี่กุนต์หมดใจ ก็คงสลัดเขาทิ้งได้ไม่ยาก

ในขณะที่เขาเอง ถ้ารักใครจริงจังเมื่อไร คำว่า ‘หมดใจ’ ไม่มีแน่นอน

“พี่สนมาแล้วฮะ” อุ้มชี้มือบอก

อินทัชหันมอง ปลดล็อคแล้วยิ้มให้เพื่อนที่เดินยักแย่ยักยัน เขาเอื้อมไปเปิดประตูรถให้ ปาลินหอบข้าวของพะรุงพะรังไปหมด มีกระเป๋าใส่อุปกรณ์วาดรูป แผ่นกระดานและกระดาษปอนด์ปึกใหญ่ที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนฝากซื้อ

“เป็นคนดีไม่เข้าเรื่อง” เขาตำหนิก่อนขับรถต่อ “ขาเจ็บยังรับฝากอีก”

“เอาน่า” ปาลินหัวเราะ ฝากน้องๆวางของ “ไหน..วันนี้กินข้าวกับอะไร”

“พะโล้ฮะ” น้องอุ้มหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อได้ป้อนไข่ให้พี่สนลองชิม

“พี่สนๆ อ้นขอดูภาพที่วาดได้ไหมครับ” น้องคนกลางกระตือรือร้น

“เอาสิครับ” ปาลินใจดีอยู่แล้ว “โตขึ้นอยากเรียนก็มาถามพี่ได้”

อ้นเปิดดูภาพสเก็ตช์ด้วยดินสอ ภาพลงสีน้ำและภาพร่างแต่ละแผ่น สวยๆทั้งนั้น เห็นแล้วเท่มากๆ แม้แต่ภาพคนที่วาดเอาไว้ก็ดูเหมือนคนจริงๆ

“นี่ใครครับพี่สน” อ้นหันภาพไปทางเพื่อนของพี่

ปาลินสำลักนมกล่องตอนที่อินทัชเหลือบมองรูปนั้นพอดี เขารีบบอกให้น้องๆดูภาพอื่นแทน แต่ช้าไป เพื่อนเห็นรูปใครคนหนึ่งที่เขาแอบวาดไว้เข้าแล้ว

“เดี๋ยวนี้มีนายแบบด้วยหรือ” อินทัชนึกทบทวน “หน้าคุ้นๆนะ”

เจ้าตัวถอนหายใจ แก้มขึ้นสีตอนที่นั่งกัดหลอด “คุณภวินท์..”
   
“ใครนะ” เขามองเพื่อน “ภวินท์ ภาษยวัต?”
   
“อือ..” ปาลินมองนอกหน้าต่าง ใบหูเป็นสีแดง “เป็นเพื่อนกับพี่ศร”
   
“เขาเคยมาที่ร้านด้วยนี่” อินทัชยิ้มบาง “วาดไว้แบบนี้..ชอบเขาหรือไง”
   
“ยุ่งน่า” ปาลินมุดหัวลงเบาะ “เราแค่อยากวาดคนที่ดูเงียบๆ ท่าทางดุ”
   
“แล้วไงต่อ”
   
“เขาไม่ค่อยพูด ชอบใช้สายตาจ้องนิ่งๆ..เหมือนเสือเลย” ปาลินพึมพำ “เป็นคนดูเข้าใจยาก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ลึกๆ..เราว่าเขาใจดีนะ”
   
“ชอบเขาสินะ” อินทัชสรุปให้ “เก็บข้อมูลเยอะขนาดนี้”
   
“อืม..” เพื่อนเผลอพยักหน้า พอรู้ตัวก็โวยวาย “เปล่าซะหน่อย!”
   
“เอาน่า ลองจีบดู เขาเองก็แก่แล้ว มีเด็กมาชอบ อาจหันมามองก็ได้”
   
“ว่าแต่เรา โอ๊ตเถอะ กับพี่กุนต์น่ะคุยกันหรือยัง” ปาลินเปลี่ยนเรื่อง “มารับเราทุกวันแบบนี้ พี่กุนต์ไม่รู้สึกแย่หรือไง คนอะไรชอบทำประชดแฟน”
   
“อยากให้เขาหึง” อินทัชลดเสียงลง “แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง”
   
“ทำไมไม่คุยกันตรงๆล่ะว่าอยากให้หึง”
   
“ของแบบนี้เขาพูดกันหรือ” เขามุ่นหัวคิ้ว
   
“เลิกทำเรื่องซับซ้อนกันสักทีได้ไหม” ปาลินลุ้นจนเหนื่อย “ไปคุยกันเถอะ ยิ่งปล่อยนาน มันยิ่งค้างในใจนะ ตกตะกอนเมื่อไรจะไม่อยากขุด แต่พอทะเลาะกันขึ้นมา ไอ้ตะกอนนั่นมันก็จะฟุ้งมากวนน้ำให้ขุ่น เพราะงั้น..คุยกันนะ”
   
อินทัชยิ้มบาง โยกหัวเพื่อนสนิท “ทำเป็นรู้ดีนะเรา..ไอ้เตี้ยเอ๊ย”
   
“อะไรกัน คนอุตส่าห์หวังดี!”
   
“ไปจีบคุณภวินท์ให้รอดแล้วค่อยมาห่วงเรา” เขาหัวเราะเมื่อสนร้องโวยเป็นเด็กเพื่อกลบเกลื่อน โล่งใจยิ่งกว่าครั้งไหนที่ไม่มีความรู้สึกกระอักกระอ่วน หรือเจ็บช้ำในใจเลยกับการได้รู้ว่าปาลินชอบใครบางคนอยู่
   
..เขาขอให้ความรักของเพื่อนสมหวังเสียด้วยซ้ำ..
   
“ครั้งสุดท้ายนะโอ๊ต..เปิดใจคุยกับพี่กุนต์ให้รู้เรื่อง อย่าประชดเป็นเด็ก”
   
“เออๆ” เขารับปาก “ตอนแรกก็อยากให้เขามาง้อเราก่อน แต่นานกว่านี้ก็คงไม่มา” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ไว้รอเขากลับจากลำปางแล้วกัน”
   
“เอาเลย คุยเสร็จก็คลุกวงในซะ!”
   
“ทะลึ่ง” อินทัชเขกหัวปาลิน แต่เพื่อนพูดถูก..สามอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพี่กุนต์เลย ทางนั้นกลับดึก ไปค้างคอนโดบ้าง มีงานสารพัดแบบที่เขาไม่แน่ใจว่างานมันวุ่นจริงๆ..หรือว่าหาเรื่องวุ่นกันแน่
   
“จะว่าไป เราไม่ควรต้องมาบังคับอะไรแบบนี้เลย” ปาลินทำหน้าตามู่ทู่ “ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน มีอะไรก็ควรคุยกัน เชื่อใจกันบ้าง ทั้งที่ลึกซึ้งกันขนาดนั้นแล้ว แต่ทำไมไม่คิดเปิดใจให้กันล่ะ ทิฐิอยู่ได้”
   
อินทัชหนวกหูคำบ่นของเพื่อนเป็นบ้า เขาเลยเปิดเพลงฟัง
   
“อ๊ะ..Wonderful Tonight” ปาลินทัก
   
ใครอีกคนเงียบไปก่อนจะยิ้มจาง..นี่คือเพลงแรกที่เขาร้องตอนเจอกนธี
   
I feel wonderful because I see the love-light in your eyes.

And the wonder of it all is that you just don't realize

..how much I love you..

ปาลินเหลือบมอง ลดเสียงไม่ให้เด็กได้ยิน “รักพี่กุนต์มากไหมโอ๊ต”
   
อินทัชมองไฟแดงที่ลดลงเรื่อย “มาก..”
   
“รักแล้วอย่าช้า อย่าเฉย อย่าตีมึนไม่พูดไม่คุย อย่าหวังว่าเขาจะเข้าใจทั้งที่เราไม่ได้สารภาพออกไปสิ” เขายุส่ง “มือที่สาม..อาจไม่ได้มีแค่คุณไผทนะ”
   
“เข้าใจแล้ว” เขาพึมพำ แวะส่งปาลินที่คณะเมื่อถึงมหาวิทยาลัย
   
“แต๊งกิ้วเพื่อน” อีกคนโบกมือ “อย่าลืมคุยกับพี่กุนต์นะ”
   
“ไอ้ลุงเอ๊ย..” อินทัชหัวเราะ ขับไปส่งน้องต่อ
   
อ้นหันมาทางพี่คนโต “พี่โอ๊ตรักพี่กุนต์แล้วหรือครับ” เด็กน้อยยิ้มตาปิด
   
“ไอ้พวกตัวดี แอบฟังอยู่หรือไง” เขายิ้ม “อืม..พี่รักพี่กุนต์..รักมากด้วย”
   
“เย้~ บอกพี่กุนต์ๆ” น้องอุ้มตีปีกพั่บๆ
   
“ยุ่งชะมัดไอ้แสบ เรื่องนี้พี่บอกเอง” เขาส่ายหัว เจ้าพวกนี้โคตรวุ่นวาย
   
อินทัชรอรถติด ส่งไลน์หากนธี ‘กลับจากลำปาง ขอเจอหน่อยนะครับ’ 
   
เกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้ข้อความกลับมา ‘ได้สิ..แล้วเจอกัน’
   
เด็กหนุ่มยิ้ม ส่งอ้นกับอุ้มแล้ว เขากลับมาที่คณะ จอดรถเสร็จก็เดินเข้าห้องเรียน วันนี้คาบเช้าเริ่มเก้าโมง ยังมีเวลาเหลือเฟือร่วมยี่สิบนาที
   
มีสายเรียกเข้า เขามองหน้าจอ เบอร์ที่ขึ้นเป็นเบอร์บ้าน
   
“ครับ..โอ๊ตครับ” เขารับสาย เสียงที่พูดมาเป็นคุณป้าแม่บ้าน
   
‘น้องโอ๊ต! คุณยายล้มหัวฟาดในห้องน้ำ ตอนนี้พาส่งโรงพยาบาลแล้ว’





............................................................................................






เข้า(เกือบจะ)โค้งสุดท้าย 5555+ ใกล้จบ(ม่า)แว้วว  :katai4:




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2017 17:42:59 โดย nigiri-sushi »

ออฟไลน์ mamacub

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1034
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3805 เมื่อ13-08-2017 17:59:50 »

หงุดหงิดพี่กุนต์เรื่องตาผัดไท ไปคบกับพวกบ่างช่างยุจะพาครอบครัวพัง
คนเราระแวงกันได้แต่ถ้ามาเจอคนแบบตาผัดไทจะยิ่งเตลิด
มาเที่ยวทั้งทีแทนที่จะมีความสุขกัน  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

มีอะไรก็คุยกันไม่ใช่เก็บไปคิดเองนะพี่กุนต์

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3806 เมื่อ13-08-2017 18:15:19 »

สงสัยจะไม่ได้คุยกันง่ายๆ โอ๊ยคุณยายอย่าเป็นอะไรนะ

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3807 เมื่อ13-08-2017 18:30:52 »

โอ๊ยยยย!! เรื่องราวประดังประเดเข้ามา ขอให้ฟ้าหลังฝนสดใสนะพี่โอ๊ต

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3808 เมื่อ13-08-2017 18:51:21 »

เราจะยังไม่อ่าน

ออฟไลน์ Kkfu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Sins : Greed -- [Ch.50-Ch.51] pg.127 -- 13/8/60
«ตอบ #3809 เมื่อ13-08-2017 19:05:30 »

ขอให้หลังจากนี้มีแต่เรื่องดีๆเขามานะคะ พี่กุนต์ ทูนหัวของน้องงงงงงง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด