Chapter 50
เมื่อคืนกนธีนอนไม่ค่อยหลับนัก เช้านี้เลยดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไร ตาเขาบวมแดงเพราะนอนน้อย ไม่ใช่เพราะสาเหตุอย่างอื่น
อินทัชลุกออกไปตั้งแต่หกโมงเช้าเห็นจะได้ อีกฝ่ายลองเขย่าตัวเขาดูว่าจะตื่นหรือยัง แต่เขาเอาหน้าซุกหมอนแทนคำตอบ น้องเลยไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปดูแลเรื่องอาหารเรื่องยาให้คุณยาย ตอนนี้ยังไม่กลับขึ้นมา
คิดๆดู เขามันก็เหมือนคนไร้สาระจริงๆ เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดวุ่นวาย เป็นนิสัยเดิมที่ถึงจะซาลงไป แต่ก็ไม่เคยหายไป ดีว่าเขาไม่วู่วามเหมือนสมัยอยู่กับศรัณย์ นึกเรื่องเก่าก็อดรังเกียจและรำคาญตนเองไม่ได้
กนธีขยับขึ้นนั่ง เอามือลูบหน้าด้วยความเมื่อยล้า แดดตอนเช้าส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาว ได้กลิ่นหอมเจือจางของไม้สนที่อบร่ำด้วยแสงอาทิตย์
เขาทิ้งตัวลงพิงหัวเตียง ถอนใจอยู่ตามลำพังพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว
ถามตัวเองว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เขาคิดเชื่อมโยงอะไรอยู่ เขาคาดไม่ถึงจริงหรือที่รู้ในที่สุดว่าคนที่อินทัชแอบรักคือปาลิน? ไม่เลย..เขาระแคะระคาย สงสัยมาตลอด แต่เลือกจะปิดหูปิดตาเอง ท่องไว้ว่าเขาเป็นเพื่อนกัน และเพราะอย่างนั้น เมื่อเรื่องบางอย่างค่อยๆชัดเจน เขาถึงได้รู้สึกผิดหวังนัก
ใจหนึ่งนั้น เกิดนึกอยากต่อว่า ทำไมอินทัชไม่คิดบอกเขาสักคำว่าคนคนนั้นคือใคร แต่อีกใจก็ร้องท้วง ไม่ใช่น้องหรือที่พร้อมจะบอกกันทันทีหากเขาอยากรู้ อินทัชตั้งใจจะบอกตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เขานั่นแหละที่พูดออกมาว่าจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร..เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดน้อง
อีกใจประท้วง รู้ทั้งรู้ว่ารักใคร ทำไมถึงได้ชวนปาลินมาทำงานด้วย มาอยู่ใกล้ชิดพวกเขา ไม่คิดอะไรบ้างเลยหรือ ใจรักคนหนึ่ง..แต่มาร่วมรักกับอีกคน
กนธียิ้มหม่น..เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของอินทัชเหมือนกัน จำได้ว่าคนที่มาขอร่วมงานด้วยคือปาลิน และอินทัชก็แสดงท่าทีลำบากใจจนเขาต้องเป็นฝ่ายออกปากถามเองว่ามีเรื่องอะไรให้ช่วย และคนที่ออกตัวทำให้ทุกอย่างด้วยความหวังดีก็คือเขาทั้งนั้น น้องไม่ได้บีบบังคับ ยื่นคำขาดอะไรเลย
แต่ละครั้งแต่ละคราวที่ปาลินก้าวเข้ามาในชีวิตพวกเขา อินทัชไม่เคยเป็นฝ่ายเรียกร้องเชิญชวนก่อน เขาเองต่างหากที่เป็นคนพามา
จะนึกพาลโทษปาลินฝ่ายเดียว มันช่างไม่ยุติธรรม ปาลินเองก็อาจจะไม่รู้เรื่องที่อินทัชแอบหลงรักก็ได้ น้องอาจจะคิดว่าเป็นเพื่อนกันตามปกติ
กนธีหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังหลอกตัวเองต่อไปหรือเปล่า..บางทีน้องอาจจะรู้แล้ว อาจเริ่มสื่อความรู้สึกถึงกัน อาจเริ่มมีใจให้กันก็ได้
..แต่จะรู้หรือไม่รู้..เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี..
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนไม่ได้เปิดเผย ไม่ได้มีการตกลงเป็นคู่รัก ถึงจะเหมือนกำลังดูใจกัน มันก็ไม่ได้แนบแน่นลึกซึ้งเหมือนเขากับศรัณย์ และไม่ว่าจะมีอะไรกันมากี่หน เขาก็ยังเรียกอินทัชว่าเป็น ‘คนรัก’ ได้ไม่ถนัดปาก
จะให้แสดงความหวงหึง เป็นเจ้าข้าวเจ้าของไร้สาระเหมือนเด็กวัยรุ่น ควรดูอายุของตัวเองหน่อยไหม ทำนิสัยน่ารังเกียจ คิดหรือว่าจะไม่ถูกเบื่อหน่าย
เขาเกลียดนิสัยนี้..ระแวดระวัง จับสังเกต คอยดูความเคลื่อนไหวของคนอื่นอย่างเงียบๆ เก็บมาคิด แล้วสะบั้นความสัมพันธ์โดยไม่ให้โอกาส
กนธีซบหน้าลงกับช่วงเข่า สูดลมหายใจเข้าลึก
เขารู้มาตลอดว่าอินทัชมีคนที่แอบรักในใจ จะมาตั้งตัวไม่ติด คิดผิดหวังหรือรับไม่ได้อะไรตอนนี้ แค่ได้รู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวที่เขาชักชวนให้เข้ามาใช้เวลาด้วยกัน มันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไรเลย
ก็แค่ใครคนหนึ่งกำบางอย่างไว้ในมือ การจะเปิดเผยให้ดูของข้างในหรือไม่ให้ดู สิ่งนั้นก็มีตัวตนมาแต่แรกอยู่แล้ว การที่เขาได้รู้ว่าอินทัชซุกซ่อนอะไรไว้ ไม่ได้ทำให้น้องดูแลเขาน้อยลง ไม่ได้ทำให้น้องคิดตีตัวออกห่าง ไม่ได้ทำให้ช่องว่างระหว่างกันเพิ่มขึ้นหรือลดลงมา ไม่ได้ทำให้ต้องเลิกร้างกันไป
เรื่องหลังจากนี้ต่างหากที่เขาต้องพยายามรับมือให้ได้..รับมือกับจิตใจและความรู้สึกที่บิดเบี้ยว พิกลพิการ ความคิดแง่ลบที่คอยบั่นทอนความสัมพันธ์
..สัญญากับตัวเองได้ไหม..ให้พยายามอดทน..และจงเชื่อใจ..
หากว่าสุดท้ายแล้ว น้องจะยึดสิ่งที่ตัวเองกอบกุมไว้มาโดยตลอด และเลือกปล่อยมือไปจากเขาเพื่อคบหากับปาลินโดยเปิดเผย ก็ถือเสียว่าคนอย่างกนธี อาจจะเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่โดยลำพัง แต่อย่างน้อยในความเดียวดายของเขานั้น..เด็กทั้งสองคนที่ใจตรงกัน..ก็จะได้มีความรักที่สุขสมหวังต่อไป
กนธียิ้มบาง ดวงตาหม่นแสงลง รู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
..ก็เขามันเป็นมนุษย์นี่นะ..ไม่ใช่รูปปั้นไร้จิตใจเสียหน่อย..
......................................................................................
มื้อเช้าพสิษฐ์เป็นคนเข้าครัวและทำกับข้าวให้เอง ถึงจะไม่ได้เป็นรสชาติอาหารที่จัดจ้านน่าทาน แต่ก็พอจะกินกันได้โดยไม่ต้องคายทิ้ง
“ลุงล่ะ” เขาหันมาถามอินทัชที่อาสาเป็นลูกมือให้
“ไม่รู้ตื่นหรือยังครับ” เด็กหนุ่มบอก ถือจานรอไข่เจียวแฮมจากคุณไผ่ ที่เสร็จไปเมื่อครู่เป็นเอ้กเบเนดิกต์ เมนูที่คุณไผ่บอกว่าให้หลับตาทำยังได้ คิดแล้วเขาได้แต่กลั้นขำ พี่กุนต์เคยเล่าว่ากินบ่อยจนอยากจะอ้วกออกมาเป็นไข่เละๆ
“ลุงเป็นลมไปหรือเปล่า ป่านนี้ยังไม่ตื่น” พสิษฐ์ผูกผ้ากันเปื้อนสีเขียวใบตองของแม่บ้าน ไม่ถือหรอกว่าเป็นของผู้หญิง เขามันพวก Androgyny
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูครับ” อินทัชรอช่วยจานนี้เสร็จก่อน “จะไหม้แล้วนะ”
“อ้าว..แต๊งกิ้วที่บอก” พสิษฐ์ทอดจานนี้เป็นจานสุดท้ายพอดี “อยากดูไข่บินไหม” เขาทำท่าจะร่อนกระทะโชว์ แต่เด็กมันส่ายหัวหวือ “สักหน่อยน่า”
อินทัชรีบวางจานลง ยกสองมือยอมแพ้แล้วหลีกทางให้คุณไผ่ เกิดว่าพลาดขึ้นมา ไข่เจียวจะได้ไม่โปะลงหัวเขาเป็นราดหน้ามื้อเช้า
“หนึ่ง..สอง..” พสิษฐ์ขยับคึ่กๆ ถือกระทะมือหนึ่ง จานมือหนึ่ง โยนระยะสองศอก ร่วงลงพื้นให้มันรู้กันสิ “สา..”
“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังแทรกขึ้น
ไข่เจียวใบนั้นเสียจังหวะ ร่วงลงพื้นดังเผละ
แขกรายใหม่เลิกคิ้วขึ้น เขาถอดแว่นกันแดดออกมาเพื่อดูผลงานชิ้นโบว์แดงที่ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นครัว ส่วนคนลีลาท่ามากเพิ่งจะหันมาทางเขา
“เมนูอะไรครับ” ไผทหัวเราะในลำคอ “ไข่พระร่วงหรือคุณพศุตม์”
พสิษฐ์อยากทำเมนูไข่ลอยมากกว่า เขาวางกระทะลง ถอดผ้ากันเปื้อน ตีสีหน้าเรียบตึงระหว่างที่พูดแก้ “ผมชื่อพสิษฐ์..ถ้าจะกรุณา เรียกผมว่าไผ่เถอะ”
“ไผ่ลู่ลม”
“แค่ไผ่ครับ..ได้โปรด” จะให้ลงไปคลานเข่าขอร้องหรือเปล่า
“แต่ผมชอบชื่อพสิษฐ์มากกว่า” ไผทยิ้มร้าย “เรียกยากดี”
ถ้าเอากระทะฟาดแขกของบ้านแล้วแจ้งข้อหาบุกรุก ตำรวจจะเชื่อไหม
อินทัชมองสบตากับคุณไผ่เป็นเชิงสงสัยว่าหากเอาจานทุบหัวคุณไผทตอนนี้ จะโดนข้อหาอะไรบ้าง เด็กหนุ่มหันมามอง เปิดปากพูดอย่างไร้มารยาท
“มาทำอะไรแต่เช้าครับนี่”
ไผทมองแล้วยิ้มมุมปาก “มาชวนคุณกุนต์ไปขี่ม้า เมื่อวานมัวแต่ไปทำคลอดให้แม่เนื้ออุ่น เลยไม่ได้ดูม้าที่ผมซื้อให้ จะพาไปชมไร่องุ่นด้วย”
“เมื่อวานก็ไปมาแล้วไม่ใช่หรือครับ” พสิษฐ์เข้าข้างอินทัช
“อ้อ..ผมจำได้ เพราะคุณเพิ่งทำค้างองุ่นของผมหักเมื่อวานนี่เอง”
คนฟังหน้าม้านไป รู้สึกอายไม่น้อยที่ทำตัวเหมือนเด็ก
“แล้วชวนพี่กุนต์หรือยังล่ะครับ” พสิษฐ์หันไปล้างมือ
“บอกไว้แล้ว แต่ไม่รู้ลืมหรือเปล่าเลยมาบอกอีกที”
“โทรมาก็ได้นี่ครับ” อินทัชว่า “ไม่เห็นต้อง ‘ลำบาก’ มาหาถึงที่เลย”
ดวงตาสีเข้มของไผทปรายมอง แสดงความเป็นคู่แข่งเปิดเผย เขาชอบคุณกุนต์ อยากจะจีบก็แสดงออกชัดเจน ชั่วก็ชั่ว ของแบบนี้ขึ้นกับคนกลาง
..จำเอาไว้..ถ้าดีจริง..คนของเราต้องไม่เปลี่ยนใจไปหาคนอื่น..
ถ้าแข่งกันเต็มที่แล้วเขาแพ้ เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้โดยดี
แต่ถ้ากันท่าตั้งแต่ยังไม่เริ่ม..แปลว่านึกหวั่นใจ ทำไมล่ะ ความสัมพันธ์ไม่มั่นคงพอ ไม่เชื่อใจกันมากพอ หรือไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมีชนักปักหลัง
“ไม่โทรหรอก อยากทำอะไรก็ทำเลย เปิดเผยและชัดเจน”
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว ฝ่ามือกำแน่นเข้าหากัน พอดีว่าคุณไผ่หยิบไข่เจียวที่ร่วงพื้นแล้วเดินเข้ามาขวางทางเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเขาอาจใจร้อนชั่ววูบหนึ่ง
“ผมจะไปปลุกพี่กุนต์ เชิญคุณไผทตามสบาย” เด็กหนุ่มพูดแล้วเดินออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ทิ้งเจ้านายของตัวเองไว้กับคุณไผ่
ไผทหันมองพสิษฐ์ ไม่มีอะไรต้องคุยเลยคิดเดินออก
“ทานข้าวหรือยังครับ” พสิษฐ์รั้งไว้พลางแกว่งไข่เจียวไปมา “ไหนๆก็มาแล้ว อยู่ทานด้วยกันก่อนไหม” พูดจบก็เอาไข่พระร่วงใบนั้นใส่ลงในจาน
ไผทนิ่งไปครู่หนึ่ง “คุณควรจะทิ้งนะ”
“ไข่ใบละตั้งห้าบาทเชียวนะคุณ นี่มีสามฟองก็สิบห้า” พสิษฐ์บ่น
“ทิ้งไปเถอะครับ ถ้าขี้เหนียวนักจะไปเอาไข่จากบ้านมาให้” เขาเดินออกไปข้างนอก ตั้งใจว่าจะไม่แตะต้องมื้อเช้าของบ้านนี้เด็ดขาด
พสิษฐ์บ่นไล่หลัง “สิบห้าบาทก็เงินนะครับ!”
ไผทขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดรำคาญใจ “งกฉิบ!”
ใครอีกคนหัวเราะในลำคอ พูดพึมพำ “ผมได้ยินนะคุณผัดไทย”
..อย่างว่าแหละ..สิบห้าบาทจะเทียบไร่องุ่นสามพันล้านได้ยังไงเล่า..
......
ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามาโดยไม่ได้เคาะก่อน กนธีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยังอยู่ในชุดคลุม เขาเหลือบมองคนที่เดินเข้ามาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“เป็นอะไรพี่โอ๊ต” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“รำคาญหมา!” อินทัชหงุดหงิด นั่งตรงปลายเตียง
กนธีงุนงง “หมาอะไร..แถวนี้มีหมาด้วยหรือ”
“หมาเจ้าของไร่ข้างๆนี่ไง” เขาขมวดคิ้ว “เที่ยวไล่ตามกระดูก”
คนฟังส่ายหัว หยิบเสื้อมาใส่ “พี่คงไม่ใช่กระดูกชิ้นนั้นใช่ไหม”
อินทัชนิ่งเงียบ เขาพูดจาเสียมารยาทไปหน่อย อย่างไรเสียพี่กุนต์ก็อายุมากกว่า “ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงพี่แบบนั้น”
“ไม่ได้ว่าอะไรนี่” กนธียิ้ม สวมกางเกงยีนส์ตัวใหม่ “กินข้าวหรือยัง”
“ยังไม่ได้กิน พอดีไอ้หมอนั่นมา” เขานึกรำคาญใจ “ถามจริงๆเถอะ เขาไม่อายบ้างหรือไง มาเที่ยวตื๊อพี่อยู่ได้ อย่าบอกว่าไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”
อีกคนชะงัก..คุณไผทจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากับโอ๊ตเป็นอะไรกัน
..ในเมื่อเขาเอง..ยังไม่รู้แน่ชัดเลย..
“อย่าไปอะไรกับเขานักเลยน่า” กนธีหันหลังให้ ติดกระดุมกางเกง
“พ่อแม่เขาไม่สั่งสอนหรือครับว่าอย่าเข้ามาแทรกแซงชีวิตคนอื่น”
กนธีหันมามอง ปรามด้วยสายตา
“โอ๊ต..ไม่พอใจอะไรก็ว่าแค่เขา อย่าลามไปที่ญาติผู้ใหญ่” เขาตำหนิ “แล้วอีกอย่าง..คุณไผทไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เขาตัวคนเดียวมาตลอด แล้วไม่ว่าใครจะสั่งสอนเขามา พี่ก็ไม่ชอบเลยที่โอ๊ตพูดจาไม่เคารพคนอายุมากกว่า”
อินทัชเงียบไป รู้สึกผิดที่เสียมารยาท แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
..ทำไมต้องเข้าข้าง..
“เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกัน” เขาลุกพรวด กระชากประตูออกไป
กนธีถอนหายใจ ต่อให้เขารักอินทัชแค่ไหน การกระทำทุกอย่างก็ต้องมีขอบเขต จะด่าจะว่าใครก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย
เขาแต่งตัวเสร็จก็ตามลงไปด้านล่าง ดูเหมือนว่าอินทัชจะพาคุณยายออกไปเดินเล่นรับลม หรือไม่ก็เพราะไม่อยากอยู่มองหน้าคุณไผท
“คุณไท..” เขายิ้มให้ “มาแต่เช้าเลยนะครับ”
ไผทนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก เขากดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย พอได้ยินเสียงทักก็เงยหน้ามอง เพียงแค่นั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดสังเกต
“หน้าซีดๆ ไม่สบายหรือว่านอนไม่พอครับ”
กนธีชะงักไปอึดใจหนึ่ง เผลอยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง “อ๋อ..แค่แปลกที่”
“แล้ววันนี้จะไปขี่ม้ากับผมไหวหรือเปล่า” เขาลุกขึ้นยืน
อีกคนหันมามอง ดวงตาเป็นประกายทันที “ไหวครับ”
ไผทหัวเราะ บางทีคุณกุนต์ก็ดูเหมือนเด็กๆ “คุณทานข้าวหรือยัง”
กนธีส่ายหัว “ไปทานด้วยกันสิคุณไท”
“ผมกินมาแล้ว” ใครจะกล้าเสี่ยงกับไข่เจียวตกพื้นของน้องชายคุณกุนต์ ถ้าหมอนั่นไม่งกกว่าเขา ก็แปลว่ากวนส้นตีนที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งด้วยกัน ทานอะไรเล่นๆก็ได้” เขาเชิญที่ห้องอาหาร แวะเข้าครัวรินน้ำผลไม้ให้อีกฝ่ายก่อนจะนั่งข้างพสิษฐ์
“พี่กุนต์สวัสดีครับ” ปาลินกำลังดูแลอ้นกับอุ้มให้กินข้าวเช้า เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้า “พี่กุนต์ทานอะไร เดี๋ยวผมตักให้”
กนธียิ้มบาง การฝืนปั้นหน้าทั้งที่รู้สึกเหมือนถูกหนามยอกใจเป็นอะไรที่จัดการได้ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาต้องต่อสู้กับความคิดทางลบ น้องสนเป็นเด็กดีและน่าสงสาร การถูกผู้ใหญ่อย่างเขามองเสมือนว่าอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับ ‘คู่แข่ง’ ทำให้เขานึกแสลงใจและอยากอาเจียนกับความคิดคับแคบของตน
ปาลินไม่ใช่คู่แข่ง ใจสกปรกของเขาต่างหากที่เป็นคู่แข่ง
..ละอายกับรอยยิ้มของเด็กที่มีให้จากใจจริง..
..เขาเอง..จะยิ้มให้น้องจากใจยังทำไม่ได้เลย..
“ขอโทษนะ..” เขาพึมพำตอนที่รับจานข้าวจากน้อง
ปาลินงุนงง ได้ยินไม่ถนัดนัก “อะไรนะครับ”
กนธีส่ายหัว ยิ้มให้อย่างฝืดเฝื่อน “พี่นอนไม่ค่อยพอน่ะ เบลอๆ”
“เป็นไข้หรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้ว “ผมจะไปเอายาให้”
“นอนไม่ห่มผ้าหรือไงลุง” พสิษฐ์ตักไข่เจียวใส่จาน กินแล้วก็นั่งชมฝีมือตัวเองเพราะไม่มีใครชม มีแต่น้องอ้นกับน้องอุ้มนี่แหละที่เข้าข้างเขากว่าใคร
กนธียิ้มขัน โบกมือปัดๆ “พี่สบายดี แค่นอนไม่หลับนิดหน่อย” เขาเขี่ยไข่ในจานไปมา “ว่าแต่..แกทำเอ้กเบเนดิกต์ให้พี่อีกแล้วไผ่..”
ไผทเท้าคางมองปฏิกิริยาของคนข้างกาย
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา
กนธีนิ่งไปเสี้ยววินาที เขากินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไร
ตอนที่เขากินเสร็จ อินทัชเพิ่งจะจูงมือคุณยายเข้ามาในบ้าน กนธียิ้มให้ท่าน ถามไถ่เหมือนเป็นลูกหลานว่ากินข้าวหรือยัง เมื่อคืนหลับสบายดีไหม
“ดีมากเลยจ้ะ ที่นี่อากาศดีจริงๆ” ยายยิ้มเห็นเหงือก “นึกถึงที่บ้านเลยเนอะเจ้าโอ๊ต อากาศเย็นๆแบบนี้ ตาหนูไปเที่ยวน่านกับยายสิลูก”
กนธียิ้มบาง จับแขนผอมแห้งเอาไว้ “คุณยายอยากกลับบ้านไหมครับ ถ้าอยากไปเยี่ยมบ้าน บอกผมได้เลยนะ เคลียร์งานแล้วจะพาไปเลยครับ”
ยายดูมีความหวังขึ้นมา ดวงตาฝ้าฟางรื้นน้ำ แกเป็นห่วงบ้านช่องตามประสาคนแก่ ถึงจะเป็นบ้านไม้ผุพังเก่าคร่ำ มีที่นาไม่กี่ผืน แต่แกก็อยากกลับไปสักครั้งก่อนตาย ติดที่ว่าไม่กล้าเอ่ยปากขอหลาน กลัวจะรบกวนเงินค่าเดินทาง
“จริงหรือเปล่าลูก” แกดีใจเห็นได้ชัด “จะกวนหนูหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ” กนธีให้สัญญา “เอาไว้หาหมอครั้งหน้าแล้วเราไปกันนะ”
ยายอุ่นใจที่สุด บีบแขนหลานชายด้วยความหวัง อินทัชยิ้มระอา เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ยายไม่ยอมพูดให้ฟังด้วย
“ขอบคุณนะครับพี่กุนต์” เด็กหนุ่มมองเจ้าตัว “ที่จริงเดือนหน้าครบรอบวันตายของแม่ผม ถ้าพี่ไปด้วย..ก็ดีเหมือนกัน” เขาจะพาพี่กุนต์ไปหาแม่
..ไปบอกแม่..ต่อให้แกจะไม่อยู่รับรู้แล้วก็ตาม..
..ว่าคนคนนี้..คือที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิตเขา..
กนธียิ้มรับ “ได้สิ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เสมอนะ”
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว สัมผัสได้ว่าคำพูดและท่าทางของพี่กุนต์ดูแปลกๆ
..คล้ายกับ..วางตัวห่างเหิน..
ไผทก้าวเข้ามาหา สวัสดีคุณยายตามประสาคนอายุน้อยกว่า “เอาไว้เย็นนี้ไปทานข้าวบ้านผมอีกนะครับ อยากทานอะไร ผมจะให้แม่ครัวทำไว้ให้”
“คุณไผ่บอกว่าเย็นนี้จะทำอาหารเอง” อินทัชแทรกอย่างเสียมารยาทจนยายต้องยกมือตี แต่เขาสนเสียที่ไหน “พวกผมคงไม่ไปรบกวนคุณไทหรอก”
กนธีถอนหายใจ เขาขี้เกียจดูน้องโต้เถียงเลยขอปลีกตัวออกมา
“พี่แวะไปบ้านคุณไทเดี๋ยวนะ จะไปดูลูกม้า บ่ายๆก็กลับ”
อินทัชนิ่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกทันที ไม่เข้าใจเลยว่าพี่กุนต์คิดอะไร ทั้งที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าคุณไผท ทำไมยังต้องเอาตัวเข้าไปพัวพัน
“ตามไปสิลูก” ยายรู้ใจหลานดี “รักเขาก็ตามเขา ถ้าทะเลาะกันก็ไปคุยกันดีๆ มัวแต่ทำประชดเป็นเด็ก ผู้ใหญ่คนไหนเขาก็เบื่อเอ็งได้นะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น พะว้าพะวังเพราะต้องดูแลยาย พอดีคุณพสิษฐ์ออกมาจากห้องอาหาร เห็นสถานการณ์เข้าเลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนยายแทน
“ไปนั่งดูทีวีกับผมดีกว่าครับคุณยาย” เขายิ้มให้ ประคองไปห้องรับแขก
อินทัชนึกหงุดหงิด ตั้งใจจะตาม แต่อ้นกับอุ้มวิ่งไล่กันมาทางเขา พอรู้ว่าพี่ชายจะไปหาพี่กุนต์ก็โหวกเหวกโวยวายอยากไป เดือดร้อนปาลินอีกคน
“ตามเลยโอ๊ต เอาน้องๆไปด้วย กันท่าได้หลายคน” ปาลินเสนอ
“หึ” ร่างสูงนั่งยองๆ จับมือน้องชายไว้แล้วสั่ง “อ้นกับอุ้มวิ่งไปหาพี่กุนต์ ไปจับมือพี่เขาคนละข้าง อย่าให้ผู้ชายคนนั้นเข้าใกล้พี่กุนต์ได้”
อ้นหัวเราะชอบใจ น้องอุ้มก็พลอยเห็นดีไปด้วย “ซึมแซ่บ!”
สองหน่อวิ่งตึงๆลงบันไดบ้านตามหลังผู้ใหญ่สองคนไป พอใกล้ระยะก็ทำตามคำสั่งพี่โอ๊ต โผเข้ากอดขา ห้อยโหนจับแขนพี่กุนต์เป็นลูกลิง
“พี่กุนต์ไปไหน พวกหนูไปด้วย~”
“เจ้าตัวร้าย” กนธีหัวเราะ จูงมือน้องสองคน “พี่จะไปดูม้าครับ อยากดูก็ไปด้วยกัน แต่ห้ามเข้าใกล้นะ ขึ้นขี่ไม่ได้ด้วย พวกหนูยังเด็ก มันอันตราย” ที่เขาไม่ชวนมาก็เพราะเหตุนี้ น้องๆยังเด็ก ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น
“ชวนแต่อ้นกับอุ้ม แล้วพี่โอ๊ตคนนี้ล่ะครับ..ลืมกันซะแล้วหรือไง”
กนธีเงียบไปอึดใจ หันไปมองเด็กหนุ่มที่เดินตามมา ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่พอใจเล็กน้อย ท่าทางควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
“ขอโทษที” เขามองอินทัชกับปาลินที่มาด้วยกัน
ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ เขาแค่อยากขอเวลาส่วนตัวทบทวนตนเอง เว้นช่องว่างให้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง เขาตั้งรับไม่ทันหรอกนะ
“ผมจะดูเด็กๆให้ครับ” ปาลินยิ้มตาปิด ปากพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปจูงน้องสองคนออกมาเลย เพราะโอ๊ตสั่งไว้แล้วให้อ้นกับอุ้มคอยกันท่า
กนธีพยักหน้ารับ ฝืนยิ้มให้ทั้งสองคนแล้วก้มลงจูงมืออ้นกับอุ้มคนละข้าง ไผทไม่ได้ว่าอะไร กลับยิ้มเอ็นดูเสียอีก เขายื่นมือไปหาน้องอุ้มที่เดินฝั่งซ้าย
“ให้อาไทจูงหนูบ้างได้ไหม” ถามเป็นเชิงขออนุญาตน้อง
อุ้มเงยหน้ามอง เจ้าของแก้มกลมยุ้ยเป็นกระติกคลี่ยิ้ม “ได้ฮะ!” อุ้มกำปลายนิ้วใหญ่ของ ‘คุณอาไท’ ไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างกำนิ้วพี่กุนต์เอาไว้ เด็กชายชะโงกหน้ามองพี่อ้นที่เดินอยู่ทางขวามือพี่กุนต์แล้วหัวเราะคิกคัก
“น้องๆขี้อ้อนใช่ไหมคุณไท”
“มากครับ” ไผทหัวเราะ “ทำเอาผมอยากมีลูกขึ้นมาเลยเนี่ย”
“จริงหรือเปล่า” กนธียิ้ม “ก็รีบๆแต่งงานสิคุณ”
“บังเอิญว่าผมไม่ได้สนใจผู้หญิงเท่าไร”
กนธียิ้มระอา พูดพึมพำ “ถ้าสนผู้ชายก็ไปหาเอาข้างหน้าแล้วกันครับ”
ไผทหัวเราะชอบใจ คุณกุนต์ปฏิเสธเขาจริงจังขึ้นทุกที เขาเลยชอบแหย่
ท่าทางพูดคุยและเสียงหัวเราะของทั้งสองคน พ่วงด้วยน้องชายของเขาทำให้อินทัชได้แต่หงุดหงิดรำคาญใจ ไม่สบอารมณ์กับภาพครอบครัวสุขสันต์
..ไอ้น้องไม่ได้เรื่อง!..
ไผทนำกนธีมาที่คอกม้าในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เขาสร้างหลังคากันแดดกันฝน มีรั้วรอบขอบชิดกันพวกมันวิ่งเตลิด พื้นปูนสะอาดสะอ้านปูฟางอย่างดี
“ไหนของผมครับคุณไท” กนธียิ้มร่าเริง เดินทักสัตว์ในคอกไปทีละตัว พอเจอม้าตัวโปรดของอีกฝ่ายก็ดิ่งเข้าไปหา “ไง..ฌองเซลิเซ่ สบายดีไหม”
ไผทหัวเราะ มองคนที่พูดสวัสดีกับม้า ทำเหมือนคุยกันรู้เรื่อง
“ต้องเรียกสมสง่าครับ ภาษาฝรั่งเศสหูมันไม่กระดิกหรอก”
กนธีขบขัน สมสง่าก้มหัวให้เขาลูบแผงคอมันอย่างแสนเชื่อง เขานวดหูให้เบาๆ “คุณสมสง่า..พี่มาขอดูน้อง คุณสมเห็นน้องของพี่บ้างไหม”
“คุยกันน่ารักเชียวนะคุณ แต่คุยให้ตายเจ้าสมก็พาคุณไปไม่ได้” ไผทยิ้มบาง แตะแขนคนด้านข้าง “เชิญทางนี้ครับ” เขานำกนธีไปที่คอกม้าเล็กอีกมุม
“ไหนๆ..โห!” กนธีตาเป็นประกาย มองลูกม้าเทศลักษณะดีที่ยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ตัวเดียว ขนสีดำขลับมันเป็นเงา ท่วงท่าดูสง่างามตั้งแต่เด็ก “สวยมาก..”
“ชอบไหม” ไผทยิ้ม เท้าแขนกับขอบรั้วระหว่างที่คุณกุนต์เข้าไปดู
ชายหนุ่มค่อยๆจับช่วงคอของมันอย่างอ่อนโยน เจ้าตัวน้อยขยับแล้วเดินไปมาก่อนจะกลับมาหยุดยืนด้านหน้า ก้มหัวให้ลูบด้วยความเชื่อฟัง
“ชอบอะไรกัน” กนธีพึมพำ “รักเลยต่างหาก..”
“ถ้ารักมันถึงขนาดนั้น..คนให้อย่างผมจะดีใจมาก”
ไผทมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหวานเชื่อมจนเด็กสองคนที่ตามหลังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แสดงออกอย่างชัดเจน และนั่นก็ทำให้อินทัชหงุดหงิดหนัก
“โอ๊ต..ใจเย็นๆ” ปาลินกระตุกแขน
ตอนนี้เขาได้แต่ปรามเพื่อนด้วยคำพูด และคอยระวังไม่ให้โอ๊ตทำอะไรหุนหันพลันแล่น มีน้องเล็กอยู่สองคน เพื่อนคงไม่ทำเรื่องวู่วามต่อหน้าเด็ก
“ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง อย่าคิดมากสิ”
อินทัชขบกรามกรอด มันแน่อยู่แล้ว พี่กุนต์ไม่ลงไปเล่นด้วยหรอก
..ใช่ไหม..ยังไงพี่ก็เลือกผมคนเดียว..ใช่หรือเปล่า..
ไผทเดินเข้าไปใกล้ วางมือลงตรงช่วงหลังที่แอ่นโค้ง ลูบบนขนสั้นเกรียน “ผมยกให้คุณแล้ว ดูแลให้ดีนะครับ”
“ขอบคุณนะครับ..ผมดีใจจริงๆ” กนธีหันมอง ยิ้มให้คนข้างกาย “แต่ปัญหาคือ ผมจะพากลับไปกรุงเทพได้ยังไงเนี่ย” เขามองลูกม้าอย่างขบขัน
“ฝากเลี้ยงได้ ไม่คิดเงิน” ไผทว่า “มาเยี่ยมมันบ่อยๆก็พอ”
คนฟังพอจะรู้ทันอยู่บ้าง มาหาม้าบ่อยๆก็เท่ากับมาหาคนบ่อยๆ
..แม้แต่ให้ของขวัญยังมีจุดประสงค์เลยนะคุณไท..
กนธียิ้มบาง ไม่ถือสาหาความกับการแสดงออกที่ชัดเจนโจ่งแจ้ง ดีเสียอีกที่ไม่ต้องมานั่งเดาความ ไม่ต้องมาคอยข้องใจ “ถ้างั้นก็ขอฝากด้วยนะครับ”
ไผทพยักหน้ารับ มองคนที่เข้าไปกอดลูกม้าของเขาด้วยท่าทางรักใคร่
“ว่าแต่..เจ้าตัวนี้ คุณไทไปได้มาจากไหน”
“ฟาร์มในไทยนี่แหละคุณ จริงๆจะนำเข้าก็ได้นะ แต่ปัญหาเยอะ” เขาบอก “ที่นี่เชื่อถือได้ พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ควอเตอร์ เกิดในบ้านเราทนสภาพแวดล้อมได้มากกว่า แถมมีใบเพ็ดรับรองว่าเลือดแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ผมไม่ค่อยมีความรู้ นี่ม้าแข่งหรืออะไรครับ”
“ควอเตอร์ ฮอร์สสำหรับงานปศุสัตว์กับงานในฟาร์ม พวกนี้จะเปรียว คล่องตัว น่ารัก ฉลาด อารมณ์ดี ไม่ตื่นง่ายครับ” เขาตบแผงคอเบาๆ “รอสักสองสามปี ค่อยๆฝึกไป ตัวโตเมื่อไรคุณกุนต์ก็พาขี่เล่นรอบไร่ ขึ้นเนินขึ้นเขาได้เลย”
กนธีฟังอย่างตื่นเต้น เขายังไม่ได้ตั้งชื่อให้ ไว้คิดออกแล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้เขาอยากจะลองขี่มากกว่า ติดแค่ว่าเจ้านี่ยังตัวน้อย
“ผมมีอีกสองตัวทางนั้น” เขาบุ้ยใบ้ให้ดูคอกกั้นอีกด้าน “ลองไหม”
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว “พี่กุนต์” เขาท้วง “ขี่เป็นหรือครับ”
“ขี่ไม่เป็นก็หัดได้ ผมจะช่วย” ไผทรับรอง
กนธีดูมีความหวังที่จะได้ลองฝึกอะไรใหม่ๆจนเด็กหนุ่มน้ำท่วมปาก เขาได้แต่จับอ้นกับอุ้มไม่ให้เล่นซน เพราะตั้งแต่เข้ามาก็อยู่กันไม่ค่อยนิ่งเลย
ไผทเปิดคอกม้า หยิบอุปกรณ์ที่แขวนไว้มาสวม เช็กอานและสายรัดว่าอยู่ในระดับพอดี ไม่แน่นไม่หย่อนจนเกินไป “คุณกุนต์มานี่มา” เขาเรียก
กนธีเพิ่งจะสวมรองเท้าบูทเสร็จ เขาเดินมาหยุดข้างคุณไผท เอามือลูบแผงคอของมันและพูดคุยสร้างความคุ้นเคย เจ้าตัวนี้ชื่อว่า ‘ทาร์ตไข่’
“คุณทาร์ตไข่” เขาหัวเราะเบาๆ สงสัยคุณไทจะชอบกินทาร์ตไข่
ไผทยิ้ม สอนวิธีขี่คร่าวๆ “ดูนะครับ” เขาดึงสายรัดปากม้า “นี่เรียกว่าขลุม มันจะมีสามอย่าง แล้วแต่การใช้งาน อันนี้คือขลุมขี่” เขาจับสายที่ล่ามจากเหล็กปากม้าขึ้นมา “นี่บังเหียน ไว้ใช้บังคับม้า แล้วก็โกลน..สำหรับสอดเท้าเข้าไปเหยียบ ตรงนี้คืออานม้าที่คุณใช้นั่ง ผมปูผ้ารองอานไว้ให้แล้ว”
กนธีเก้กังเล็กน้อย ทาร์ตไข่ตัวค่อนข้างสูงใหญ่แต่ไม่เท่าคุณสมสง่า
“ผมจะสอนวิธีขึ้นให้” ไผทบอก “หรือจะให้ผมอุ้มคุณแทน”
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว คิดหรือว่าเขาไม่ได้ยินประโยคนั้น
“สอนเถอะครับ” กนธีหัวเราะ “คุณอุ้มผมตลอดไม่ได้หรอก”
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]