กนธีเชื่อว่าคุณยายเป็นคนอดทน ซ้ำยังอดทนอย่างมาก เรียกว่าไม่ยอมแสดงอาการเจ็บปวดออกมาเลย และถ้าคนที่อดทนได้เก่งอย่างนั้นเริ่มบอกว่าเจ็บขึ้นมาเมื่อไร นั่นหมายความว่าเริ่มถึงขีดสุดจนเกินจะฝืนแล้ว
มอร์ฟีนเข็มแรกถูกนำมาฉีดให้ เป็นปริมาณแต่น้อยที่พอจะช่วยบรรเทาความปวดในช่องท้อง คุณยายหลับได้สบายเป็นหนแรกของการมาโรงพยาบาล
พสิษฐ์มาเยี่ยมในบ่ายแก่วันหนึ่ง อินทัชนั้นมีเรียนและสอบเก็บคะแนน เขาไม่ได้เล่าให้น้องฟังว่าวันนี้อาการคุณยายแย่มากจนต้องใช้มอร์ฟีน
“ท่านเป็นยังไงบ้างพี่” เขาวางกระเช้ารังนกลง มองคนที่หลับไม่ได้สติ
กนธีส่ายหัว “นับถอยหลัง..”
จากวันที่เข้ามาแอดมิทเพราะล้มหัวฟาดพื้น รอเอ็กซเรย์ รอดูอาการ ทำ CT Scan ตรวจอย่างละเอียด คุณยายก็พักรักษาตัวจนกระทั่งเรื่องอุบัติเหตุบรรเทาลง การรักษาต่อเนื่องคือเรื่องขาดสารอาหาร เขานึกเสียใจที่ไม่ได้ดูแลใกล้ชิด คุณยายบอกว่าช่วงหลัง ท่านไม่ยอมกิน มักจะแอบทิ้งอาหารอยู่เนืองๆเพราะไม่อยากให้หลานเป็นห่วง มาวันนี้ ต้องให้น้ำเกลือแทน เขาสงสารที่ท่านต้องเจ็บตัวจากการถูกแทงเข็มครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเส้นเลือดตีบจนหาไม่เจอ
โรคอื่นที่รุมเร้า อยู่ในความดูแลของหมอ ตอนนี้มันแสดงอาการแทรกเป็นระยะ ช่วงไหนมีทีท่าว่าจะสงบลง คงได้กลับไปพักผ่อนสบายๆที่บ้าน ก็มีเหตุให้ต้องรักษาต่อ ทั้งเรื่องความดัน เรื่องโรคไต เบาหวานสารพัด ไหนจะต้องคอยเจาะระบายน้ำในช่องท้องถี่ขึ้นเพื่อให้ท่านยังพอหายใจได้สะดวกอีก
“อาการท่านทรุดเร็วมาก” กนธีพูดเศร้า “ได้แต่ประคับประคองกันไป”
อ้นกับอุ้มเลิกเรียนแล้ว เด็กๆมาเยี่ยมคุณยายทุกวันที่พี่กุนต์มา คืนไหนพี่โอ๊ตมาคอยเฝ้า ทั้งคู่จะกลับไปนอนกับพี่กุนต์ที่คอนโด เด็กน้อยขดตัวกอดแขนกนธีคนละข้างเหมือนลูกแมวที่โหยหาความอบอุ่น โชคดีที่หลับไปอย่างสบายใจเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้ใหญ่ที่รักและห่วงหาน้องๆเหมือนพ่อที่แท้จริง
พสิษฐ์มองอย่างเข้าใจ เขาบีบไหล่พี่กุนต์ สงสารที่พี่ชายของตนต้องเผชิญกับความสูญเสียคนใกล้ตัวหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่มารดาที่จากไปเมื่อตอนเด็กๆ บิดาที่แยกตัวออกไปมีครอบครัวใหม่ กระทั่งคนรักที่ประสบอุบัติเหตุ
“เข้มแข็งไว้นะพี่” เขากอดกนธี
เจ้าตัวพยักหน้า “คุณยายก็เหมือนครอบครัวพี่นะ” เขายิ้มหม่น “อดใจหายไม่ได้ แต่พี่รู้ดี ยิ่งฝืนยิ่งรั้ง ยื้อกับธรรมชาติมากเท่าไร คุณยายก็เจ็บเท่านั้น”
พสิษฐ์เข้าใจดี แต่ถ้าเป็นเขา เขาเองก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน
คนของใคร คนนั้นก็รัก ถ้าวันหนึ่ง คนสำคัญของเขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือพี่กุนต์ก็ตามที เผชิญหน้ากับบั้นปลายในชีวิต ถ้าหมอให้เขาตัดสินใจ หากหัวใจล้มเหลว หากหยุดหายใจ จะให้ยื้อขึ้นมาไหม เขาก็ต้องเลือกให้ช่วย
กระบวนการรักษานั้นเจ็บปวด คนไข้ไม่อยากรับ แต่ญาติพี่น้องก็ทนดูคนที่รักค่อยๆหมดลมไปเองโดยวางเฉย ไม่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เหมือนกับผู้ป่วยสมองตาย จะให้ถอดเครื่องช่วยหายใจหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ง่ายๆ
“เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ” เขาปลอบใจ
“พี่ห่วงก็แต่โอ๊ต..สงสารน้อง” กนธีไม่สดชื่นเหมือนเคย “อีกเดือนสองเดือนน้องจะสอบปลายภาค ทางนี้ก็ห่วง ทางนั้นก็เครียด พี่ไม่รู้จะช่วยยังไงดี”
“เป็นกำลังใจให้เขาก็พอ” พสิษฐ์กอดญาติผู้พี่ “การสูญเสียคนสำคัญเป็นช่วงแย่ที่สุดในชีวิตของทุกคน ผมว่ากำลังใจเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้นะ”
“อืม” เขารับคำ กุมหลังมือใหญ่เอาไว้
พสิษฐ์ให้พี่กุนต์นั่งเฝ้าคุณยายต่อ เขาปลีกตัวออกมาชวนอ้นกับอุ้มคุย
“ว่าไงครับสุดหล่อ” เขาทักทายน้องที่หันมาฉีกยิ้มรอเขามาคุยเล่นด้วยหลายครั้งแล้ว “วันนี้คุณอามีของฝากมาด้วย” หยิบโมเดลรถบีเอ็ม รุ่นที่พี่กุนต์ขับ กับเมอร์เซเดส คาบริโอเลต คันโปรดของเขามาให้คนละคัน “เลือกได้เลย”
“ว้าว~” น้องอุ้มตาโต เด็กชายคว้าเบนซ์คันงามมากอดทันที
“ผมขอคันนี้ๆ” น้องอ้นเลือกบีเอ็มเพราะเป็นแฟนคลับตัวยงของพี่กุนต์
น้องน้อยสองคนไหว้ขอบคุณคุณอาไผ่ด้วยความดีใจสุดๆ
“ไปกินขนมกันมั้ยครับ” พสิษฐ์ชวน เด็กๆอยู่โรงพยาบาลทุกเย็น มันไม่ค่อยดีต่อสุขภาพใจเท่าไรนัก มาทีไรก็เห็นแต่ภาพหดหู่ ถ้าคุณยายตื่นขึ้นมาแล้วเริ่มมีอาการให้เห็น น้องจะยิ่งรู้สึกแย่ “ไปนั่ง S&P ที่ท่ามหาราชกันดีกว่า”
“คุณอาจะพาหนูไป~” น้องอุ้มชูสองแขน “ไปฮะ อยากไป~”
กนธีหันมายิ้มให้ พยักพเยิดให้น้องพาเด็กๆไปรีแล็กซ์บ้าง “กลับมาให้ทันตอนหนึ่งทุ่มนะ คืนนี้โอ๊ตจะมาค้างที่นี่ พี่จะพาอ้นกับอุ้มกลับคอนโด”
“ใครจะไปนั่งกินยืดยาดเป็นเต่าแบบพี่เล่า” พสิษฐ์แหย่ ให้พี่กุนต์ยิ้มบ้าง จะได้ไม่เครียดเกิน “เอาอะไรไหม จะซื้อมาฝาก เค้กต้นอ่อนทานตะวัน?”
“ไปได้แล้วไป” กนธีโบกมือปัดๆ
พสิษฐ์หัวเราะ จูงมืออ้นกับอุ้มออกไปจากห้อง คล้อยหลังได้สักครึ่งชั่วโมง มีเสียงเคาะประตูห้อง กนธีชะโงกหน้ามองก่อนจะเห็นว่าเป็นปาลิน
“ขออนุญาตครับพี่กุนต์” เด็กหนุ่มเยี่ยมหน้าเข้ามา ถือกระเช้ามาด้วย “ผมไม่มีคลาสบ่าย เลยมาดูคุณยาย” เขาค่อยๆเดินมา วางนมตราหมีบนโต๊ะ
กนธียิ้มให้ สีหน้าออกจะอิดโรยไม่น้อยเพราะนอนไม่ค่อยพอ
“ขอบคุณมากครับ มานั่งตรงนี้สิ กินอะไรหรือยัง ในตู้เย็นมีนะ”
“กินแล้วครับ” ปาลินนั่งลงด้านข้าง ท่าทางเป็นกังวล “ดีขึ้นไหมครับ”
กนธีนิ่งไป เท่านั้นก็รู้กันชัดเจนว่าที่เหลือมีแต่รอคอยเวลา
พวกเขาพูดคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเรียนที่มหาวิทยาลัย น้องสนมีฝีมือทางด้านศิลปะ ยังเคยขออนุญาตให้กนธีช่วยเป็นแบบวาดภาพคนเลย
“เสียดายที่ไม่มีเวลา” กนธียิ้มบาง “แล้วการบ้านไปถึงไหนแล้ว”
“ส่งแล้วครับ” ปาลินเกาท้ายทอย หัวเราะแหะ “ผมวาดเพื่อนของพี่ศร”
“เราอยู่คณะศิลปกรรมสินะ” เขาคิด “รู้จักอาจารย์กฤษณะหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มส่ายหัวหวือ “อาจารย์พิเศษหรือครับ เพื่อนพี่กุนต์?”
“เคยเป็นสมาชิกสโมสรไลออนส์ด้วยกัน พอดีพักหลังพี่ไม่ได้เข้าร่วม”
ปาลินตั้งอกตั้งใจฟังพร้อมกับแอบเก็บข้อมูล พี่กุนต์พึมพำว่าอาจารย์คงลาออกไปแล้ว ไอ้เขาก็นึกว่าฝ่ายนั้นเป็นแฟนเก่าพี่กุนต์เสียอีก
สักพักหนึ่ง คุณหมอก็เข้ามาดูอาการ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณยายตื่นขึ้นมา หมอตรวจร่างกายและชวนคุยโดยมีพวกเขาสองคนอยู่ข้างๆ
“คุณหมอ..ยายอยากกลับบ้าน” แกร้องขอซ้ำๆ
“อยู่รักษาตัวก่อนนะครับคุณยาย ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นหน่อยนะ”
ยายน้ำตาไหล “ยายอยากกลับไปตายที่บ้าน ขอออกไปเถอะนะจ๊ะ” แกหันมาหากนธีกับปาลิน “ตาหนู..ช่วยขอหมอให้ยายที ยายอยากกลับไปหาตา”
ทั้งสองมองหน้ากัน สงสารจนทำอะไรไม่ถูก ต้องขอความเห็นจากหมอ
กนธีเล่าว่าคุณยายทราบว่าเป็นมะเร็งและรู้ดีว่าไม่มีทางหายขาด เลยอยากจะกลับไปรักษาตัวที่บ้าน และจะขอปฏิเสธการรักษาในช่วงเวลาที่ร่างกายไม่ไหวแล้ว นายแพทย์สูงวัยรับฟังและมีท่าทีเห็นอกเห็นใจ
“ในกรณีที่คุณยายยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อาจจะเขียนหนังสือแสดงเจตนาไม่ขอรับบริการทางการแพทย์ที่จะยืดเวลาการเสียชีวิต จะได้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ให้คุณยายเขียนเอง คนอื่นเขียนหรือพิมพ์ให้ก็ได้ และถ้าทำในโรงพยาบาลก็ควรมีพยานร่วมยืนยัน เป็นญาติพี่น้อง ลูกหลานหรือคนใกล้ชิดผู้ป่วย และควรมีแพทย์หรือพยาบาลที่ไม่ได้เป็นเจ้าของไข้ร่วมด้วยครับ”
“การไม่ขอรับบริการในที่นี้หมายถึงอะไรบ้างครับคุณหมอ” กนธีถาม
คุณหมอผายมือไปอีกทางเพื่อให้ข้อมูล ระวังไม่ให้คำพูดกระทบจิตใจคนเจ็บ “กรณีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวถาวร มีอาการสับสนถาวร อยู่ในภาวะสุดท้ายของการเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็งแพร่กระจายไปทุกส่วนจนไม่สนองตอบต่อการรักษาใดๆอีก ผู้ป่วยสามารถแสดงเจตนาด้วยตัวเองได้ว่าไม่ให้ทีมแพทย์ทำการรักษาต่อ เช่นว่า การกระตุ้นหัวใจหลังหัวใจหยุดเต้น การพยุงชีวิตโดยใช้เครื่องช่วยหายใจติดต่อกันนานๆ การให้สารน้ำหรือยาทางหลอดเลือด การใช้เครื่องมืออื่นเพื่อให้อวัยวะภายในยังทำงานได้ รวมไปถึงการให้อาหารและน้ำทางท่อด้วย”
ปาลินมือเย็นเฉียบ พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในสถานที่นั้นเลย เขาไม่เคยต้องเผชิญกับวาระสุดท้ายที่ต้องเห็นคนที่รักค่อยๆสิ้นใจไป
กนธีเหลือบมองน้อง เห็นปาลินหน้าซีดเผือดเลยเอื้อมมือไปโอบรอบบ่าแทนการปลอบ เขาเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว พอจะรับมือได้
“หนังสือแสดงเจตนามีประโยชน์กรณีที่ผู้ป่วยประสงค์จะเสียชีวิตอย่างสงบตามธรรมชาติ ไม่ต้องการให้ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ยืดระยะเวลาออกไป เพราะว่าตามกระบวนการมักจะสร้างความลำบากทรมานให้คนเจ็บ และผู้ป่วยก็สามารถระบุความประสงค์ได้ว่าต้องการจะกลับไปอยู่ที่บ้านในช่วงสุดท้าย”
เขาพยักหน้ารับ คุณหมอให้ข้อมูลอีกหลายอย่าง เป็นต้นว่าการเตรียมตัวในช่วงสุดท้าย การเขียนเอกสารหลักฐานต่างๆในช่วงที่คุณยายยังมีสติครบ
“ขอบคุณมากนะครับ” เขาถอนหายใจ รอกระทั่งคุณหมอออกไปจากห้องก็เข้ามาคุยกับคุณยาย บอกเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าคุยอะไรกันมา
ยายจับข้อมือคุณกุนต์ของแกเอาไว้ “หนูจ๋า..ช่วยเป็นธุระให้ยายหน่อย”
กนธีลำบากใจไม่น้อย “ผมจะพยายามครับ..”
ปาลินอดกังวลไม่ได้ “เรื่องนี้..ผมว่าควรจะคุยกับโอ๊ตอีกคน”
“โอ๊ตคงไม่ยอม” เขาถอนหายใจ “แต่น้องก็มีสิทธิ์อยู่ร่วมด้วย เอาเป็นว่า..พี่จะไปค้นข้อมูลมาให้ ได้หนังสือมาแล้วจะลองคุยกับโอ๊ตดู”
คุณยายหลับตาลง สองมือเลื่อนลงกุมท้อง อาการเริ่มแสดงออกอีกครั้งกนธีมองอย่างสงสารและเห็นใจ คนกลางอย่างเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
..ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ช่วงก่อนที่จะจากไปต่างหากที่น่ากลัว..
......................................................................
สองวันหลังจากนั้น ไผทเอาดอกไม้และน้ำองุ่นสดจากฟาร์มของเขามาเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาล เขาเลือกมาตอนบ่ายเพราะรู้ว่าอินทัชไม่อยู่
“ขอบคุณมากคุณไท” กนธียิ้มให้ เขานั่งขดตัวอยู่ที่โซฟา ตั้งใจจะงีบสักพักแล้วพอใกล้บ่ายสามจะออกไปรับอ้นกับอุ้ม กว่าจะถึงก็พอดีกัน
“คุณยายหลับอยู่หรือครับ” เขานั่งบนเบาะอีกด้าน
ไผทรู้มารยาททางสังคมมากพอ การมาเยี่ยมในครั้งนี้ เขาไม่ได้มาจีบหรือทำคะแนนกับกนธี ถึงเขาจะเลวที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างสองคน แต่ก็ไม่ถึงกับต้องสิ้นไร้ปัญญาขนาดใช้คนป่วยเป็นเครื่องมือ ที่มาก็เพราะอยากมาเยี่ยมไข้ อย่างน้อยคุณยายก็เป็นคนรู้จักที่เห็นหน้าค่าตากันก่อนจะทรุดหนัก
“เพิ่งได้มอร์ฟีนไปเข็มหนึ่ง หลับสบายขึ้น” กนธีหาวหวอด พับผ้าที่ใช้ห่มตัวแก้หนาว “คุณไททานข้าวมาหรือยัง นี่มาจากปากช่องเลยหรือ”
“ใช่ครับ ออกมาเมื่อเช้า” ไผทมองหน้า “คุณได้หลับบ้างหรือเปล่า”
กนธียิ้มรับ เขานอนไม่พออีกแล้ว สังขารคนแก่วัยสี่สิบมันเริ่มร่วงโรยไปตามเวลาเต็มที พักผ่อนไม่พอก็ล้าได้ง่ายๆ ยิ่งมานอนขดบนเบาะ ไม่กว้างขวางเหมือนเตียงก็ยิ่งปวดหลัง แต่เขาเต็มใจจะช่วยดูแลคุณยายที่สุดเลยไม่เคยบ่น
“คุณนอนสักหน่อยไหม” ไผทเสนอ “ผมจะอยู่เฝ้าให้เอง ไม่ต้องห่วง”
คนฟังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า เขาทำตัวตามสบายมากขึ้นเมื่ออยู่กับไผท แม้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงชัดเจนว่าชอบพอ แต่ก็ไม่เคยมีทีท่าเข้ามาเกินเลย อย่างมากแค่ครั้งนั้น..แล้วพอห้าม ไผทก็รับฟังและทำตามโดยดี
เขาให้เหตุผลว่า ลูกผู้ชาย ถ้าจะรุกเข้าหาก็ต้องรุกเปิดเผย ไม่ลอบทำอะไรลับหลังแน่ เรื่องนี้ทำให้กนธีหัวเราะอยู่หลายวัน
“ฝากด้วยนะครับ” กนธียิ้มบางแล้วนอนหันหลัง คลุมโปงจนมิดหัว
ไผทถอนหายใจ ค่อยๆดึงผ้าห่มลงมาเพราะกลัวคุณกุนต์หายใจไม่ได้
เขาผละออกไปนั่งใกล้คุณยาย เอาแท็บเลตมาเล่นฆ่าเวลา ระหว่างนั้นก็สังเกตอาการท่านไปด้วย เผื่อว่ามีอะไรจะได้เรียกหมอทัน
ตอนที่เงยหน้าพักสายตา กระดาษเอกสารบนโต๊ะก็ดึงดูดความสนใจ เขาเอียงคอมอง อ่านหัวข้อ ‘หนังสือแสดงเจตนา’ ตามด้วยชื่อคุณยาย
เขาหยิบมาอ่านคร่าวๆ เห็นว่าเป็นเรื่องของการแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต ระบุว่าขณะเขียน คุณยายมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนปกติดีทุกประการ และขอระบุการใช้สิทธิตามมาตรา ยืนยันสิทธิของตน หากอยู่ในภาวะที่รักษาไม่หาย ไม่อาจมีสติดังเดิม ขอไม่รับการรักษาหรือการทำหัตถการที่จะยืดชีวิตออกไปโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ตัวเองได้เสียชีวิตตามธรรมชาติ
หากหัวใจหยุดเต้น ขอไม่รับการกระตุ้นหัวใจด้วยวิธีใดๆ และหากหยุดหายใจ ขอไม่รับการเจาะคอหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ
ขอรับเพียงการรักษาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้น
ลงลายมือชื่อของคุณยาย และพยานคนที่หนึ่ง..คือกนธี สิงหนาท
ไผทวางหนังสือนั้นลง มองไปยังคนป่วยและผู้ดูแลที่เหน็ดเหนื่อยและอิดโรยจนหลับไม่รู้เรื่องในทันทีที่หัวถึงหมอน เขาถอนหายใจแผ่วเบาเมื่ออ่านชื่อพยานคนที่สอง ตรงที่ให้ลงลายเซ็นกำกับมันยังว่างไว้อยู่ คงตั้งใจจะรออินทัช
เขามีความเห็นว่า เรื่องนี้คงทำให้เกิดปัญหาขึ้นไม่มากก็น้อย
“มีใจให้คนอื่นจนหลงลืมตัวเองอีกแล้วนะคุณกุนต์” ชายหนุ่มพึมพำ
เวลาล่วงเลยจนถึงเวลา ไผทที่นั่งเฝ้าคุณยายอยู่นานตัดสินใจปลุกกนธี เพราะเห็นว่าจะต้องไปรับน้องอ้นกับน้องอุ้มที่โรงเรียนแล้ว
กนธีงัวเงียตื่นขึ้น เขาลุกและพับผ้าห่มไว้ปลายเบาะ
“ขับรถไหวไหม ผมไปรับน้องให้ได้นะ” ไผทมองคนที่เซถอยหลังมาก้าวหนึ่ง “นอนตอนบ่ายๆมันจะปวดหัวน่ะคุณ ดูดแรงไปไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ”
กนธียิ้มบาง “ยังได้ครับ ล้างหน้าสักหน่อยก็โอเค” เขาบิดขี้เกียจ
ไผทหัวเราะ เขามองนาฬิกา “แล้วตอนคุณไปรับน้อง ใครอยู่ล่ะ”
“เดี๋ยวผมฝากพยาบาลช่วยดูสักพัก” เขาขยี้หัวตัวเอง
“เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะไปรับเด็กๆให้ คุณอยู่ที่นี่ กินข้าวซะด้วย” เขาเห็นว่าข้าวกล่องมื้อเที่ยงหรืออาจจะมื้อเช้าของกนธี เย็นเฉียบไปหมดแล้ว
“ผมเกรงใจ” เขารีบบอกปัด
“ผมว่างทั้งวัน” ไผทเสนอตัว จากนั้นก็ส่ายหัว ทำเสียงจุ๊ๆ “อย่าเพิ่งคิดไปไกล นี่ไม่ใช่การจีบคุณ นี่เป็นการช่วยเหลือในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง”
กนธีคลายหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น หัวเราะอย่างผ่อนคลาย “ตามใจแล้วกัน”
“น้องอ้นมีมือถือใช่ไหม คุณโทรบอกน้องก่อนแล้วกันครับว่าจะให้ผมไปรับ บอกว่าจะมีคุณอาสุดหล่อเจ้าของม้าหล่อที่สุดไปแทนพี่กุนต์”
เขากลั้นขำ “อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้นคุณไท”
“ผิวสีน้ำตาลเหมือนกาแฟคาปูชิโน่ของผมยังไงล่ะ” เขายักคิ้วให้
กนธีหัวเราะร่วน โทรหาน้องอ้นและบอกข้อความตามนั้น ทั้งยังกำชับด้วยว่า คุณอาไทจะมีรหัสลับให้ “ขอโค้ดลับด้วยครับคุณไท”
ไผทยิ้ม “คุณอาจะพูดว่า ใครเอ่ยหล่อที่สุดในปฐพี แล้วน้องก็ตอบว่า..”
“พี่กุนต์นี่เอง..” กนธีสรุปให้เสร็จ “โค้ดตามนี้นะครับน้องอ้น”
ร่างสูงขบขัน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกไปรับน้อง “จะรีบกลับมา”
กนธีโบกมือให้ก่อนปิดประตูตามหลัง ผ่านไปเกือบชั่วโมง เขากำลังนั่งขัดสมาธิ กินข้าวชืดๆที่โต๊ะ ประตูหน้าห้องก็ถูกเปิด มีเสียงฝีเท้าเดิน
ชายหนุ่มเงยหน้ามอง “อ้าว..โอ๊ตมาแล้วหรือ” เขามึนงง ไหนว่าวันนี้น้องมีเรียนตอนบ่าย ไม่คิดว่าจะมาก่อนสี่โมงเย็น
อินทัชดูนอนไม่ค่อยพอเหมือนกัน เขาวางเป้ลงแล้วทิ้งตัวบนโซฟา
“คลาสบ่ายเป็นวิชาเลือก เลยเข้าไปฟังครึ่งแรกแล้วออกมาตอนเบรค”
กนธีพยักหน้า ในห้องเกิดความเงียบอยู่ชั่วขณะเมื่ออินทัชวางหัวพาดกับขอบเบาะ หลับตาลงท่าทางเหนื่อยอ่อน เขานึกลังเลอยู่พักก็ตัดสินใจพูด
“พี่..ขอคุยเรื่องคุณยายหน่อยได้ไหม” เขาพึมพำ
อินทัชไม่ผงกหัวขึ้นมอง “เรื่องจะกลับบ้านหรือครับ..ไม่ได้หรอก”
กนธีนิ่งเงียบ “เรื่องนั้นก็คิดอยู่แล้วว่าคงยาก แต่ว่า..อันนี้เป็นเจตนาของท่าน อย่างน้อยโอ๊ตเปิดใจ ช่วยรับฟังเหตุผลหน่อยได้ไหม”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ลืมตามองเอกสารที่พี่กุนต์ยื่นมาให้
สีหน้าเขานิ่งขึงไปทันที “นี่อะไร”
“คุณยายต้องการแบบนั้น โอ๊ตต้องเข้าใจนะ” เขาอธิบาย
“ผมหมายถึง..การตัดสินใจแบบนี้มันคืออะไร” เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าไม่พอใจ “ทำไมยายถึงรู้เรื่องนี้ได้ หมอบอก พี่บอก หรือใครทำอะไรลับหลังผมอีก”
กนธีเห็นว่าน้องเริ่มใช้อารมณ์ เขาพยายามขอให้ใจเย็นไว้ก่อน “ทุกคนแค่รับฟังแล้วก็ไม่ปฏิเสธความต้องการของท่านแค่นั้น พี่รู้ว่าโอ๊ตหวังดี แต่ว่า..”
“กี่ครั้งแล้วที่พี่ตัดสินใจเอาเอง” อินทัชมอง ข่มใจไม่ต่อว่ารุนแรง
“พี่..” เขาพูดไม่ออก
“ผมไม่ชอบที่พี่คิดเองเออเอง ตัดสินใจทำเองโดยไม่ถามความเห็นของผม หลายครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้ ผมไม่พูด แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึก”
กนธีนิ่งอึ้ง จุกในลำคอจนไม่รู้จะตอบอะไรออกมา
..ความหวังดีนั้นย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง..
“เรื่องอื่นยังพอว่า แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัว! เขาเป็นยายผมนะ” อินทัชไม่ชอบ “จะทำอะไรช่วยถามความเห็นผมที่เป็นหลานแท้ๆสักคำได้ไหม”
เขายืนเงียบ ไม่โต้แย้งน้องเพราะเห็นว่าตัวเองผิดจริง
แต่คำว่า ‘เรื่องในครอบครัว’ ก็เสียดแทงใจเขาเหลือเกิน
..คนอย่างเขา..ไม่ใช่คนในครอบครัวของอินทัชใช่ไหม..
“พี่ก็แค่..แค่สงสารท่านเท่านั้น” กนธีก้มหน้า “โอ๊ต..เราจะคิดยังไงก็ตาม ตอนนี้พี่ขอให้เข้าใจความรู้สึกของคุณยายก่อนได้ไหม”
“แล้วผมไม่เข้าใจอะไร”
“คุณยายต้องเจ็บตัวซ้ำๆ ถูกแทงเข็มหาเส้นเลือด ถูกเจาะท้องระบายน้ำ แล้วหลังจากนี้ล่ะ ให้ปั๊มหัวใจ ให้ใส่ท่อจากจมูกลงปอด ถูกมัดมือ นอนติดกับเตียง นอนซมในนี้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน โอ๊ตยังจะทนดูได้หรือ” กนธีมองไปที่คุณยาย หญิงชรานอนซม หายใจยากลำบาก ร่างกายผ่ายผอมลงมาก
“ผมทำหน้าที่ของหลาน หรือจะให้เอาออกจากที่นี่ไปรอวันตาย”
“โอ๊ตจะไม่พาท่านกลับน่านก็ได้ แต่ความต้องการสุดท้ายของท่าน ขอไม่ให้ยื้อท่านไว้ทรมาน แค่เรื่องนี้ เข้าใจหน่อยได้ไหม” เขาหยิบเอกสารขึ้นมา
“ผมไม่เซ็น” อินทัชปฏิเสธ “เป็นอะไรก็รักษาให้ถึงที่สุด”
“โอ๊ต” กนธีมองหน้า “เราทำแบบนี้เพื่อคุณยาย หรือตัวเราเองกันแน่”
“พี่คิดได้ยังไงว่าผมทำเพื่อตัวเอง” เด็กหนุ่มไม่พอใจในทันทีนั้น
“แล้วการรั้งการยื้อคนป่วยไว้ทรมาน มันเป็นความต้องการของใคร”
“พอเถอะ!” เขาหันหนี “เขาไม่ใช่ยายของพี่ก็พูดง่ายน่ะสิ!”
กนธีชะงัก รู้ว่าน้องเครียดหลายเรื่อง อย่าใส่ใจกับอารมณ์ของเด็ก
..แต่มันก็ห้ามไม่ได้..สั่งให้เลิก ‘น้อยใจ’ ไม่ได้เลย..
“พี่จะมาเข้าใจอะไรในเมื่อมีพร้อมตั้งแต่เกิด มีครอบครัวสมบูรณ์ แต่ทั้งชีวิตของผมมีแต่ยายกับน้องเท่านั้น!” อินทัชอารมณ์ไม่ดี “
ถ้าพี่เคยสูญเสียคนสำคัญเหมือนที่ผมกำลังจะเจอ พี่จะไม่พูดกับผมแบบนี้เลย!”
กนธีนิ่งอึ้ง เสียงของพวกเขามันดังพอที่จะปลุกคุณยายให้ตื่น พอท่านเรียกชื่อเขากับอินทัช ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนี..เพื่อซ่อนน้ำตาที่ไหล
..แม่ของเขาเสียชีวิต พ่อของเขามีครอบครัวใหม่ ศรัณย์คนดีที่จากไป..
..ยังไม่เพียงพอต่อความสูญเสียอีกหรือ..
อินทัชเงียบกริบ คำพูดที่หลุดทำให้พี่กุนต์เสียใจ และเขาก็เห็นน้ำตานั่นอย่างชัดเจน เขาใจเสีย อารมณ์พลุ่งพล่านลดลงและสงบในที่สุด
“ผม..” เขาเอื้อมมือไปหา แต่กนธีขยับถอยไปอีกด้าน
..พูดออกมาได้ยังไงกันว่าพี่กุนต์ไม่เคยสูญเสียคนสำคัญ..
..โง่เง่า ไร้ปัญญาสิ้นดี!..
“ทะเลาะอะไรกันลูก..” ยายถามเสียงพร่า นัยน์ตาฝ้าฟางมีหยดน้ำคลอ “ยายจะตายวันตายพรุ่ง ลูกยังทำให้มีห่วง ยายจะไปได้ยังไงลูกเอ๊ย..” แกร้องไห้
กนธีหันหนี ก้มลงกอดท่าน “ไม่มีอะไรครับ แค่คุยกันนิดหน่อย”
อินทัชรู้สึกแย่ที่สุด เขากุมมือพี่กุนต์ไว้ พึมพำ “ผมขอโทษ..”
คนฟังไม่โต้ตอบ ไม่พยักหน้ารับ แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก
“รักกันเถอะนะลูกนะ..สองคน..รักกันให้ยายหมดห่วง” แกกุมมือพวกเขาไว้ด้วยกัน เขย่าเบาๆ “รับปากยายได้ไหม หนักนิดเบาหน่อย ค่อยพูดกันนะ”
อินทัชกอดยาย แล้วเลื่อนมือประสานปลายนิ้วกับคนด้านข้าง
“ยาย..ไม่ต้องห่วงนะ พี่กุนต์เป็นคนสำคัญของผม” เขาหันมอง ดวงตาฉายแววความเสียใจ “ผมขอโทษที่พูดไม่คิด”
กนธีไม่ได้ว่าอะไร คำพูดนั้นคือตะปู ตอกตรึงลงบนแผ่นไม้ที่เป็นเหมือนเนื้อใจ ต่อให้ถอนออกไปแล้ว อย่างไรเสียก็ยังหลงเหลือร่องรอย
“ลูกสองคนรักกัน ยายจะได้นอนตายตาหลับ” แกปาดน้ำตา
อินทัชมองคนที่ไม่ยอมสบตาเขา ต้องดึงมือและจับเอาไว้ ไม่รู้ว่าต้องพูดขอโทษกี่ครั้ง คนคนนี้ถึงจะให้อภัย และไม่รู้ว่าต้องบอกความในใจกี่หน
..ถึงจะแทรกซึมลงในความรู้สึกที่ถูกทำร้ายซ้ำซาก..
..พอเถอะ..ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว เวลานี้เท่านั้นที่จะทำให้มั่นใจ..
“รักสิครับ” เขาสารภาพ จับจ้องดวงตาที่หมองเศร้า “
ผมรักพี่กุนต์”
กนธีเงยหน้ามอง เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน นัยน์ตายังมีหยดน้ำเอ่อคลอ
“ยาย..” อินทัชกุมมือกนธีให้แกเห็น จูบปลายนิ้วแผ่วเบา “ยายได้ยินแล้วนะ..ผมรักพี่กุนต์ และชีวิตผมจะมีแต่พี่กุนต์เท่านั้น”
ใครอีกคนยืนนิ่ง คุณยายหันมาทางเขา จับมือไว้แน่น เรียกร้องให้ตอบ
กนธีเข้าใจดีแล้ว เขาพยักหน้ารับ “ผมก็รักโอ๊ตครับคุณยาย..”
อินทัชฟังคำตอบนั้นด้วยความรู้สึกวูบโหวง
..มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม..
ยายน้ำตาไหล จับมือหลานสองคนไว้แนบแก้ม พึมพำซ้ำไปซ้ำมา ว่าเพียงเท่านี้ ยายก็หมดห่วงแล้ว ขอแค่ได้ฝากคนสำคัญไว้กับคนที่ดีที่สุดก็พอ
พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันต่อ พยาบาลเข้ามาดูอาการ กนธีขอยาแก้ปวดทั้งที่รู้ว่าช่วยได้เล็กน้อย คุณยายทานยาและหลับไปอีกครั้งอย่างอ่อนเพลีย
เมื่อเหลือกันเพียงสองคน อินทัชก็จับแขนคนที่ห่มผ้าให้ยายเขา
“พี่กุนต์..” เขาเสียใจจริงๆ “ผมขอโทษนะ..ผม..”
ประตูหน้าห้องเปิดออก อ้นกับอุ้มกระโดดโลดเต้นเข้ามา กนธีไม่สบตาน้อง เขายื้อแขนออกเบาๆพอไม่ให้เสียน้ำใจแล้วก้มลงกอดเด็กน้อยทั้งสองแทน
ไผทชะงักเมื่อเห็นอินทัช เขายกสองมือเป็นสัญลักษณ์ยอมแพ้แล้วล่าถอยไปเอง ใช่ว่าไม่กล้า แต่เพราะที่นี่เป็นโรงพยาบาลและเขาก็เห็นแก่คุณยาย
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว “ทำไมคุณไผทถึงไปรับอ้นกับอุ้มได้”
กนธีถอนหายใจ ขยี้หัวน้องๆ “วันนี้โอ๊ตจะอยู่เฝ้าใช่ไหม” เขาเดินไปเก็บของ ไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น “อ้นครับ อุ้มครับ พี่จะกลับเลย หนูว่าไงกัน”
“วันนี้วันศุกร์ หนูอยากนอนกับยายจ๋า” น้องอุ้มบอก
“อ้นก็ขอนอนด้วยคนคร้าบ~” อ้นชูมือ
กนธียิ้มรับ ยัดเสื้อผ้าใช้แล้วลงเป้ลวกๆ ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร
“พี่กุนต์..” อินทัชเข้าไปจับมือ..แต่ก็ถูกปลดออกช้าๆ
“พี่กลับก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา เดินไปและปิดประตูตามหลัง
ทันทีที่ออกมาได้ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลลงมาเป็นหนที่สอง
ไผทยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ เขายังไม่ไปไหน พอเห็นกนธียืนพิงผนัง ท่าทางอ่อนล้าก็รีบเดินไปหา เขาแตะแขนข้างนั้น คุณกุนต์หันมอง ยิ้มอย่างหมดแรง
“เหนื่อยจังเลย..คุณไท”
ร่างสูงเงียบกริบ สุดท้ายก็ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด “ไม่เป็นไรนะ..คนดี”
กนธีร้องไห้ เวลานี้เขาไม่อายใครทั้งนั้น “ช่วยพาผมกลับบ้านได้ไหม”
ไผทตอบรับ จูงมือของกนธีโดยไม่สนสายตาคนอื่น เมื่อลงมาถึงลานจอดรถ เขาก็เปิดประตูด้านข้างแล้วประคองตัวคนตรงหน้าเข้าไปนั่ง คาดเข็มขัดให้ กนธีดูไร้เรี่ยวแรง เหมือนหมดกำลังใจกับทุกอย่าง
“นอนเถอะครับ..ถึงแล้วผมจะปลุก”
กนธีหลับตาลง..ทั้งที่ยังมีร่องรอยของความเสียใจ
....................................................................................
Talk : จบตอนนี้ ไอ้โอ๊ตไม่น่าหลงเหลือซากความเป็นพระเอก 5555+
หากว่ามีข้อมูลผิดพลาดในเรื่องทางการแพทย์ ต้องขออภัยก่อนเลย และขอรบกวนผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยจ้า