Chapter 54
กนธีเป็นเจ้าภาพจัดงานศพ สวดสามคืนที่วัดแถวบ้านของอินทัชในอำเภอปัว เชิญแขกเหรื่อแถวบ้านซึ่งก็ไม่ได้มีมากมายนัก ล้วนแล้วแต่เป็นคนกันเอง
ถึงแม้คุณยายจะบอกว่าไม่ต้องทำพิธีอะไร แต่เขาปรึกษากับอินทัชแล้ว น้องเองก็ตกลงใจที่จะจัดงานสวด อย่างน้อยก็ได้ทำตามประเพณีของไทย
กนธีเป็นคนขับรถพาทุกคนกลับมาที่บ้านเกิด มีพสิษฐ์กับปาลินตามมาด้วยอีกสองคน ช่วงที่จัดงานกันวุ่นวาย เด็กๆพอจะหายเศร้าซึมลงไปบ้าง
เขากับพสิษฐ์ช่วยเป็นธุระจัดการทุกอย่างเท่าที่อินทัชจะยินยอม พิธีสวดจัดอย่างเรียบง่าย ให้คนรู้จักมารดน้ำศพ ขออโหสิกรรม ทำบุญเลี้ยงพระตามวันที่กำหนด มีงานฌาปณกิจในวันสุดท้ายและเก็บอัฐิในวันรุ่งขึ้น
ระหว่างที่อินทัชและปาลินดูแลแขก กนธีเป็นฝ่ายช่วยงานและดูน้องอุ้มอยู่ไม่ห่าง น้องอ้นขอบวชหน้าไฟให้ยาย แต่อินทัชไม่เห็นความจำเป็นที่จะบวชวันเดียวตอนเช้าแล้วสึกออกมาตอนเย็น แต่ถ้าบวชตลอดงานศพ เขาเห็นดีด้วย น้องอ้นเลยได้บวชสามเณร ถือศีลสิบและตั้งใจปฏิบัติตัวแผ่ส่วนกุศลไปให้
วันนี้เป็นงานสวดคืนแรก กนธีและพสิษฐ์คอยช่วยในงานอย่างดีเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ ทำเอาเพื่อนบ้านที่รู้จักมักคุ้นกับเด็กๆอดสงสัยไม่ได้
“คุณเขามาจากกรุงเทพใช่ไหม เป็นใครหรือเจ้าโอ๊ต ทำไมมาช่วยเป็นธุระให้คนบ้านๆอย่างเรา” ลุงที่เคยขับรถพายายไปโรงพยาบาลออกปากถาม
“แกน่าจะเป็นนายของโอ๊ตมัน คราวนู้นเห็นส่งคนมารับถึงสนามบิน” ป้าคนดูแลจุดธูปดอกเดียวไหว้ศพแล้วหันมาตอบ “ได้นายใจดีจริงๆลูกเอ๊ย”
อินทัชเพียงแต่ยิ้ม ปลีกตัวเอาอาหารไปให้ยายก่อนเคาะโลงเรียกตามความเชื่อ ตอนนั้นพระสงฆ์ขึ้นมาบนศาลา พี่กุนต์เลยเดินไปรับ
วันนี้กนธีเป็นประธาน เขาแยกไปนั่งกับพสิษฐ์ เมื่อมัคนายกเชิญก็ลุกไปจุดธูปเทียนบูชาพระและไหว้เคารพศพ ฟังพระท่านสวดพร้อมกันกับน้องอุ้ม
หลังพระสวดจบที่สอง ปาลินเป็นคนเอาข้าวต้มมาให้แขกที่นั่งอยู่ ส่วนอินทัชเป็นคนยกน้ำ แจกจ่ายไปจนครบทุกคนบนศาลา
“ของพี่กุนต์ล่ะ” ปาลินถาม ที่จริงพี่กุนต์กับคุณไผ่ทานมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหิวอีกหรือเปล่า อีกอย่าง เขาแอบเกรงใจด้วยที่จะให้ทานข้าวต้มงานศพ
“เดี๋ยวเรายกไปเอง สนไปพักก่อนเถอะ” อินทัชหยิบถาดมาจากเพื่อน แล้วเดินไปหาผู้ชายที่ผูกไทใส่สูท แต่งดำทั้งชุดอย่างดีเป็นการให้เกียรติคนตาย
กนธีกำลังกินข้าวต้มที่น้องอุ้มกินเหลือ เด็กชายกินไปร้องไห้ไปจนอิ่มน้ำตา ยังดีที่ได้พี่กุนต์คอยปลอบ พอดีมีสายโทรเข้า เขาเลยฝากน้องไว้กับพสิษฐ์
“อ้าว..โอ๊ต” เขาหันมาเจอ เห็นเด็กหนุ่มยืนอ้ำอึ้ง จะเอาข้าวต้มมาให้ “ไม่เป็นไร พี่กินของน้องอุ้มแล้ว เดี๋ยวขอไปคุยธุระก่อนนะ”
อินทัชพยักหน้ารับ อีกฝ่ายเดินสวนไปทางหน้าศาลา เขาถอนหายใจแผ่วเบา มองตามคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยงาน วันนี้ทั้งวัน พวกเขายังไม่ได้พูดคุยอะไรกันเท่าไร พี่กุนต์คอยดูแลพิธีการให้ เขาก็วุ่นวายรับแขกเหรื่อ
“ว่าไงเรา มานั่งนี่สิ” พสิษฐ์เรียกน้อง บนตักมีน้องอุ้มนั่งปาดน้ำตาอยู่
อินทัชขยับเข้ามาหา เหม่อมองไปทางโลงเย็นที่ไว้ศพของยาย จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหงา ในอกมันวูบโหวง เหมือนใจส่วนหนึ่งถูกฉีกออกและหลุดลอยหายไป
“พี่โอ๊ตจ๋า..” น้องอุ้มเห็นพี่ชายก็โผมากอด สะอื้นฮัก “หนูคิดถึงยาย”
พสิษฐ์ลูบหัวอุ้มอย่างสงสาร เขาลุกขึ้น บีบบ่าเด็กหนุ่มก่อนจะปล่อยให้สองคนพี่น้องอยู่ด้วยกัน เขาเห็นว่าเด็กมันเหนื่อยล้า อ่อนไหวจนอยากจะร้องไห้ แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย เจ้านั่นถึงต้องเอาแต่กลั้นน้ำตา
“พี่โอ๊ตเอาข้าวให้ยาย แล้วยายจะได้กินไหม” น้องอุ้มถาม
“ยายอิ่มบุญครับ” อินทัชจูบหน้าผากน้อง “พี่อ้นบวชเณร ยายก็จะได้”
“หนูอยากเจอยาย” อุ้มซบกับอกพี่ ร้องไห้ซิก “ใครจะเล่านิทานให้หนู”
“พี่จะเล่าให้ฟังแทน” เขาลูบแผ่นหลังเล็ก “อ้นกับอุ้มยังมีพี่อยู่ทั้งคน”
น้องเล็กสะอื้นจนตัวโยน กอดพี่ชายแน่น “พี่โอ๊ตอย่าทิ้งหนูกับพี่อ้นนะ”
อินทัชกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาโยกตัวน้องปลอบใจ เช็ดน้ำหูน้ำตาให้มันไปพร้อมกับการเช็ดน้ำตาให้ตัวเองด้วย “เจ้าบ้า..ใครจะทิ้งลูกหมูอย่างอุ้มได้ล่ะ”
“ฮืออ..หนูจะเป็นเด็กดี หนูจะไม่ทำให้พี่โอ๊ตเหนื่อย หนูสัญญา”
“ดีแล้ว” เขาปล่อยน้ำตาไหลเงียบเชียบ แต่น่าตลกที่มันไหลไม่หยุดเมื่อมีมือเล็กๆของน้องช่วยเช็ดให้ “พี่ไม่ทิ้งอ้น ไม่ทิ้งอุ้ม เราสามคนพี่น้องไม่ทิ้งกัน”
..ไม่เหลือใครอีกแล้ว..ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหนอีกแล้วในชีวิตนี้..
เดียวดาย เคว้งคว้าง หดหู่ ว่างเปล่า วูบโหวงอยู่ในใจ
ขาดร่มโพธิ์ของบ้าน เหมือนไทรใหญ่ถูกถอนรากหมดโคน ความมั่นคงทางจิตใจถูกสั่นคลอน เมื่อก่อนถึงอยู่ไกลกัน แต่ก็รับรู้ได้ว่ามีกันและกันอยู่
หากตอนนี้ มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำ
อินทัชกอดน้อง ร้องไห้โดยไม่มีเสียง กระทั่งฝ่ามือหนึ่งแตะลงบนบ่า ใจเขากระตุกไหว เงยมองด้วยสายตาพร่าเลือน ตอนนั้นคิดทันทีว่าเป็นคนสำคัญ
“พี่กุนต์..” เขารีบเช็ดน้ำตา ไม่อยากให้ฝ่ายนั้นเห็นความอ่อนแอ แต่แล้วเมื่อมองทุกอย่างได้ชัดเจน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับไม่ใช่คนที่เขาต้องการ
ปาลินบีบไหล่เพื่อนด้วยความเห็นใจ เขาเห็นเพื่อนร้องไห้เลยเป็นห่วง
อินทัชไล่ความรู้สึกผิดหวังในชั่ววูบนั้นทิ้งไป เพื่อนคนนี้กังวลแทนเขาทุกครั้ง คอยอยู่ข้างกันทุกเวลาที่อ่อนแอ ออกตัวแทนและห่วงใยเขาเสมอมา
“คิดถึงยายใช่ไหม..” คำถามสั้นๆ ทำให้คนฟังปวดหัวใจ
อินทัชไม่ตอบ แต่น้องอุ้มได้ยินแล้วร้องไห้โฮ ปาลินรีบเข้าไปหา กอดสองคนพี่น้องไว้แน่น แขนหนึ่งของเขาโอบน้องเล็ก อีกข้างกอดคนเป็นพี่
หากว่ากำลังใจส่งต่อถึงได้ เขาพร้อมจะให้เพื่อนทั้งหมด
“เรารู้..เราเข้าใจโอ๊ต” ปาลินปลอบ “เวลาเท่านั้นที่จะช่วยได้”
อินทัชหลับตาลง ใบหน้าชุ่มไปด้วยหยดน้ำตา เขากอดตอบอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะสน..” เสียงทุ้มพร่าต่ำ “ขอบคุณ..เพื่อนรัก”
“เราจะอยู่ข้างโอ๊ตนะ ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าวันไหน เราจะไม่ทิ้งกัน”
ภายนอกศาลา กนธีเพิ่งจะวางสายจากคุณไผท ทางนั้นทราบข่าวว่าคุณยายเสียเลยอยากร่วมเป็นเจ้าภาพ แต่เขาเห็นว่าคงไม่เหมาะนักเพราะอินทัชไม่ได้นึกชอบคุณไผทเท่าไร ครั้นจะปฏิเสธตรงๆก็ลำบากใจ เขาเลยขอเป็นคนจัดการให้แทนในนามของตนเอง ถือเสียว่ารับไว้แต่น้ำใจกันก็พอ
ตอนที่จะกลับไปนั่ง สายตาก็เห็นเด็กสองคนคอยปลอบใจกันและกัน เขามองภาพนั้น ไม่มีความรู้สึกทางลบอื่นใดมาแทรก มันคือความสงบราบเรียบ วางเฉย ทั้งยังเต็มไปด้วยความเข้าใจ..เหมือนยืนดูในฐานะคนนอก
พสิษฐ์เข้ามาหา มองตามพี่ชาย “อย่าคิดมาก” เขาพูด “เด็กสองคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนที่พี่จะเจอโอ๊ต ไม่แปลกที่เขาจะปลอบใจกัน”
“พี่ไม่ได้คิดมาก” กนธีมองน้อง “พี่ไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก”
“หมายความว่ายังไง”
เขายิ้มจาง ลมเย็นเอื่อยพัดผ่านตัว “พี่ไม่ไปต่อแล้วไผ่” เขามองท้องฟ้าสีดำสนิท เมฆเลื่อนคล้อยตามแรงลม “ขอออกมาอยู่ในจุดที่สบายใจดีกว่า”
พสิษฐ์นิ่งอึ้ง “พี่เอาจริงหรือ..” วันก่อนที่พูด เขาก็คิดว่ายังอยู่ในอารมณ์เสียใจ แต่ถ้าลองได้บอกย้ำ แปลว่าตัดสินใจไปแล้ว “เกี่ยวกับน้องสนไหม”
“เรื่องของน้องสนทำให้พี่เดินช้าลง แต่ไม่ได้ทำให้พี่หยุด สาเหตุใหญ่มาจากพี่กับโอ๊ตทั้งนั้น ถึงจะมีนึกเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก”
“พี่เคลียร์เรื่องของน้องสนกับโอ๊ตหรือยัง ผมว่าเราควรให้ความยุติธรรมกับโอ๊ตด้วย” พสิษฐ์ท้วง “บางที..ถ้าตัดเรื่องที่น้องมันแอบชอบเพื่อนออกไป..”
“เด็กสองคนจะคิดยังไง รู้สึกยังไงต่อกัน ตอนนี้ไม่ได้สำคัญกับพี่แล้ว” กนธีตอบ ละสายตาออกมาจากทั้งคู่ “ช่วงที่โอ๊ตไปรับส่งน้องสน พี่โอเคกับการมีปาลินและไม่ได้อยากให้โอ๊ตเลือกใคร ไม่ได้ขอให้เลิกคบ เลิกคุย เลิกห่วง การให้กำลังใจกัน เข้าใจกันแบบที่ไม่เกินเลยต่อกัน พี่มีแต่จะยินดี สิ่งที่พี่อยากได้มีแค่..โอ๊ตปฏิบัติตัวกับน้องสนยังไง พี่ก็อยากให้โอ๊ตเผื่อแผ่มาทางพี่บ้างเท่านั้น”
..แต่อินทัชให้เขาไม่ได้..ไม่ว่าจะคิดเข้าข้างอย่างไร..มันก็อ้างไม่ขึ้น..
“ทุกความสัมพันธ์ของเด็กๆ ไม่ได้กระทบใจพี่อีกแล้ว มันรู้สึกเป็นกลาง เหมือนได้ถอยออกมายืนมองน้องที่เอ็นดูเท่านั้น” กนธีพึมพำ “แม้แต่คำบอกรักของโอ๊ต พี่ยังไม่รู้สึกอะไรเลยไผ่”
พสิษฐ์เลิกคิ้ว “น้องมันบอกรักพี่หรือ..มันพูดจริงๆหรือ”
“อืม..” เขาตอบรับ “แต่รู้อะไรไหม แค่คำว่ารักอย่างเดียว มันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ไปรอด คิดว่าเรือแล่นได้เพราะฝีพายอย่างเดียวหรือ ทุกอย่างต้องประกอบกัน..ต้องลงตัวที่คำว่าเหมาะสม”
และจากภาพวันนี้ กนธีก็เห็นว่า ‘เหมาะสม’ ไม่ได้เป็นคำที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้นิยามความสัมพันธ์ของเขากับอินทัช เด็กสองคนต่างหากที่ต้องใช้คำนั้น..เหมาะสมกันทั้งวัย ความคิด นิสัยใจคอ ทัศนคติ และระยะเวลาที่คบหากันมา
“ทำไมถึงมาคิดว่าพี่กับโอ๊ตไม่เหมาะกันเอาตอนนี้ ทำไมไม่คิดถึงตอนที่เริ่มชอบเขา รักเขาล่ะ ความไม่เหมาะสมก็มีของมันมาแต่แรกอยู่แล้ว”
“น้ำเชี่ยว..เอาอะไรไปขวางก็ไม่อยู่ แต่พอเจออุปสรรคหลายครั้งเข้า มันก็ติดหล่มเอาได้” กนธียิ้มบาง “ตอนนี้นั่นแหละ ที่พี่ลืมตามองรอบข้าง”
“พี่กุนต์..” พสิษฐ์มองอย่างห่วงใย
“ขอบคุณที่อยู่ข้างพี่มาตลอด” เขาตบบ่าน้อง “แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก”
..มันก็แค่..ความรักครั้งที่สองที่จบลง..
.
.
.
หลังพิธีสวดของวันแรกเสร็จสิ้น อินทัชกับปาลินยืนส่งแขกจนทุกคนกลับกันหมด ส่วนสามเณรน้อยของพี่ๆก็ไปอยู่กับหลวงพ่อจนกว่าจะถึงวันเผา
อินทัชจัดห้องของเขาให้พี่กุนต์กับคุณไผ่ อีกห้องที่เล็กกว่าให้เพื่อนนอนกับเจ้าอุ้ม ส่วนตัวเขาเองกางมุ้งนอนอยู่ข้างล่าง ใช้เตียงไม้ของยายปูฟูก
ดึกดื่นเที่ยงคืน แต่เด็กหนุ่มหลับไม่ลง เขานั่งมองข้าวของเครื่องใช้ของยายที่วางระเกะระกะในบ้านเหมือนเมื่อคราวแกยังมีชีวิต กระจาดใส่ของจุกจิก แผงยา เสื้อผ้าบางส่วน ผ้าซิ่นผืนใหม่ๆที่ซื้อมาฝาก ยายชอบเอาเก็บใส่ตู้กระจกแล้วใส่แต่ผืนเก่า มีเข็มขัดอยู่สองสามเส้นวางคู่กับเสื้อที่ใส่ประจำ
อินทัชล้มตัวลงนอนบนหมอน ยังได้กลิ่นยาหม่องเขียวและพิมเสนน้ำที่ยายชอบใช้ เขามองฝ่าความมืดตามลำพัง รอบด้านเงียบสนิท มีแต่เสียงจิ้งหรีดร้องอยู่ไกลๆในทุ่ง นานครั้งถึงจะมีเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันตามแรงลม
เด็กหนุ่มขยับตัวนอนหงาย ยกแขนก่ายหน้าผาก นึกวนเวียนแต่ตอนที่ยายยังอยู่ แต่ละคำพูดที่ฝากฝัง ยายจากไป ทิ้งเงินไว้ก้อนหนึ่งสำหรับหลานๆ ทุกครั้งที่เขาส่งเงินมา ยายพยายามไม่ใช้ กระเบียดกระเสียรเก็บไว้ให้พวกเขา
สมบัติของยายมีไม่มากนัก มีที่นาปล่อยให้เช่า บ้านหลังนี้ เงินสดในธนาคารเกือบแสน เครื่องทองเหลือง พระเครื่องของตา กับกำไลเงินที่ยายยกให้
อินทัชลุกขึ้น เดินไปรื้อกล่องไม้ที่เขาเอากำไลมาเก็บ ไม่ได้ใส่ใจมันมากนักตอนที่ยายบอกให้เอาไปไว้กับตัวเพราะไม่ทันนึกเรื่องคนที่เขาจะรัก
กำไลเงินแท้เป็นสีดำเพราะถูกลม เขาเอาน้ำยากับผ้ามาขัดจนแวววาวตามเดิม รู้ดีว่าพี่กุนต์ไม่ใส่เครื่องประดับ แต่เขาก็ยังอยากให้
ร่างสูงถือมันไว้ในมือ ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดไม้ไปด้านบน ในห้องของเขาปิดไฟมืด ทุกคนคงหลับกันหมดแล้ว เขาไม่ได้มารบกวนเวลานอน ก็แค่เดินเข้าไปเงียบๆ มองผ่านแสงจันทร์เลือนลาง ดูใบหน้าได้รูปที่นอนตะแคงข้าง หลับสนิทอยู่บนเตียงแคบ อีกด้านเป็นคุณไผ่ที่นอนหันหลัง หลับลึกไม่ต่างกัน
อินทัชคุกเข่า จับแขนที่ซุกหมอนก่อนสวมกำไลวงเกลี้ยงเข้ากับข้อมือ
พี่กุนต์ขยับตัวเล็กน้อย เขาไม่ได้ปลุก เพียงแต่ชะโงกหน้าเข้าไปจูบแผ่วเบาบนหน้าผาก ห่มผ้าให้จนชิดคอเพราะคืนนี้อากาศหนาว
ก่อนหน้าพี่กุนต์รักเขา แต่เขาไม่ทันได้ใส่ใจ มองข้ามและวางเฉย
หากหลังจากนี้เป็นคราวของเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำต่อหน้าหรือลับหลัง กนธีจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่ก็ถึงทีที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายพยายามบ้างแล้ว
.
.
.
เสียงไก่ขันข้างบ้านหลังเก่าหลายต่อหลายครั้งทำให้กนธีตื่น สิ่งแรกที่เจอเมื่อลืมตา คือแสงเป็นประกายจากห่วงสีเงินยวงที่สะท้อนกับแดดตอนเช้าตรู่
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง คิ้วขมวดด้วยความประหลาดใจจนต้องหันไปเขย่าตัวน้องที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง “ไผ่..ไอ้ไผ่” พอมันลืมตา เขาก็ชูมือให้ดู “นี่อะไร”
พสิษฐ์หาวหวอด “กำไลไง” เขากลับไปนอนต่อ “ดูดีนะ”
“แกเอามาใส่ให้พี่ทำไม”
“หนวกหูน่า” เขาบ่น “ใครจะพิศวาสเอามาใส่ให้พี่ถ้าไม่ใช่เจ้าโอ๊ต”
กนธีชะงัก ก้มลงมองเครื่องประดับเงิน มันไม่ใช่ของที่ซื้อหรือทำขึ้นใหม่ รูปแบบค่อนข้างเก่า ดูเรียบง่าย เนื้อเงินดี มีน้ำหนัก ถึงไม่สุกปลั่งเหมือนในร้านเครื่องเงิน แต่ความวาวในผิวเนื้อก็ยังสะท้อนคุณค่ามันออกมา
เขายกมันขึ้นมาแตะบนอกซ้าย นึกทบทวนความฝันเมื่อคืน ใครบางคนเข้ามาหากลางดึก จูบแผ่วบนหน้าผากและสวมมันให้ก่อนจะกลับออกไปเงียบๆ
กนธียิ้มจาง ส่ายหัวอย่างระอาเด็กน้อยของเขา เจ้าตัวนั่งมองอยู่สักพักก็ถอดมันออก ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วเอาไปเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสารอย่างดี
“พี่ลุกก่อนนะไผ่ บ้านคนอื่น อย่ามัวนอนจนสายล่ะ” เขาผลักน้องชายแล้วลุกไปอาบน้ำ วันนี้เป็นวันที่สอง เขาแต่งดำไว้ทุกข์ให้คุณยายเหมือนเดิม
ข้างล่างยังไม่มีใคร กนธีหันมองรอบด้าน ตัดสินใจช่วยทำความสะอาดและปัดฝุ่นที่ขึ้นตามชั้นวาง ตั้งแต่ทุกคนไปอยู่กรุงเทพก็เพิ่งจะได้กลับมานี่เอง
ประตูบ้านเลื่อนดันครืด อินทัชออกไปซื้อข้าวเช้ามาให้
“พี่กุนต์..” เขามองคนที่กำลังกวาดพื้น “ไม่ต้องทำพี่ ไม่เป็นไร”
“ช่วยๆกัน” กนธียิ้มให้ “ซื้ออะไรมา”
“ข้าวแกงที่ตลาดครับ” เด็กหนุ่มหลุบตามองที่ข้อมือซ้ายของพี่กุนต์ มันว่างเปล่า..ทำเอาใจวูบหล่น “กำไลนั่น..เป็นของยาย”
กนธีหันมามอง แตะบนมือตัวเอง “ให้พี่หรือ..”
อินทัชมีสีหน้าเศร้าซึม “ยายบอก..ให้ยกให้คนที่ผมรัก..”
ดวงตาคู่นั้นไหวสั่น ไม่นาน..เจ้าตัวก็เสหลบ “ขอบคุณนะ” เขาพึมพำ “พี่เก็บไว้แล้ว..เก็บอย่างดี สัญญาว่าจะไม่ทำหายแน่นอน”
ร่างสูงหลุดยิ้มออกมา เขาไม่อยากให้บรรยากาศตอนเช้าเสียไปเลยออกปากชวนอีกฝ่าย “ไปถวายเพลด้วยกันไหมครับ เอาของไปให้เณรด้วย”
“เอาสิ” กนธีโกยผงใส่ตะกร้า ล้างมือแล้วมาช่วยแกะกับข้าว
ปาลินเพิ่งจะพาน้องอุ้มลงมาจากข้างบน สักพักพสิษฐ์ก็ตามลงมา ข้าวที่อินทัชหุงไว้สุกพอดีเลยได้นั่งล้อมวงกินกันที่โต๊ะไม้เก่าคร่ำในบ้าน
กนธีแกะปลาให้น้องอุ้ม และแกะเผื่อไปยังอินทัชกับปาลินด้วย
“ระวังก้างกันนะเด็กๆ” เขาถึงกับต้องใส่แว่นสายตาหา “พ่อของเพื่อนพี่กินปลาไม่ยอมคายก้าง ต้องให้หมอคีบออกจากคอกันเลย”
ปาลินก้มหัวขอบคุณพี่กุนต์ที่ใจดีของเขา ปลาทูสองสามตัว ฝ่ายนั้นแกะให้น้องๆกินหมด เผื่อให้คุณไผ่อีกหน่อย ส่วนตัวเองไม่ค่อยได้แตะ
“พี่กุนต์กินบ้างสิครับ พวกผมแกะกันเองได้” อินทัชบอก
“เอาน่า” กนธียิ้ม “ดูแลเด็กๆเป็นความสุขของพี่ ให้พี่ทำเถอะ”
พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันอีกกระทั่งกินเสร็จ พสิษฐ์กับอินทัชไปช่วยกันซื้อของสำหรับถวายเพล ปาลินเก็บอาหารและเช็ดโต๊ะ กนธีเลยยกจานไปล้าง
“พี่กุนต์! ผมทำเองครับ” น้องรีบเข้ามาช่วย
“พี่ทำได้” แย้งไป เด็กก็ไม่ยอมอยู่ดี เขาเลยได้แต่ยืนให้กำลังใจ
จากมุมนี้เห็นวิวทุ่งนาไกลสุดสายตา ลมเอื่อยเฉื่อยพัดเข้ามาในครัว
“สงบดีนะ” กนธียิ้ม สูดกลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่แทรกมากับลม
ปาลินหัวเราะ มองลอดรางน้ำฝนออกไปดูท้องฟ้าสว่างโล่ง ช่วงนี้เป็นปลายปี ต้นข้าวขึ้นกันเบียดเสียด ออกรวงสีเหลืองทองไปตลอดทาง
“ถ้ามาหน้าฝน จะได้เห็นทุ่งนาสีเขียวสดชื่นเลยครับ”
กนธีกอดอกพิงกรอบประตู มองไปข้างนอก “สนเคยมาเที่ยวหรือยัง”
“เพิ่งมาครั้งแรกครับ” ปาลินล้างจานอย่างขะมักเขม้น “โอ๊ตเคยถ่ายรูปหลังบ้านตอนหน้าฝนมาให้ดู ผมว่าที่นี่น่าอยู่มากเลย” พูดไปยิ้มไปแล้วถามขึ้น “พี่กุนต์ล่ะครับ..ชอบที่นี่ไหม ถ้าโอ๊ตชวนมาอยู่ด้วย พี่คิดว่าไงครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบา “จะให้มาอยู่ในฐานะอะไรล่ะ”
“ก็..” ปาลินเกาหัวแกรกจนฟองน้ำยาติดบนหัว
กนธียิ้มน้อยๆ เอื้อมมือไปเช็ดออกให้ “บ้านพี่..อยู่ที่กรุงเทพครับ”
เด็กหนุ่มชะงัก หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน พยายามตีความสิ่งที่พี่กุนต์ตอบ
..มันคือ..การปฏิเสธ?..
“โอ๊ตเป็นคนดี” เขาลูบหัวน้องสน แววตาอ่อนโยนเทียบเท่าพี่ชาย “พี่อยากให้เราอยู่ข้างๆโอ๊ต คอยช่วยเป็นกำลังใจให้เขาด้วย ตอนนี้..พวกเขาเหลือกันแค่สามคนพี่น้องแล้ว” เขาขอร้อง “รับปากพี่ได้ไหม”
ปาลินงุนงงมากกว่าเก่า อยากถามว่า แล้วพี่กุนต์จะไปไหน ทำไมต้องฝากโอ๊ตไว้กับเขา แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทที่ย้อนผู้ใหญ่ เลยได้แต่ตกปากรับคำ
“เด็กดี” ชายหนุ่มยิ้มให้ “ไปเรา..ไปเตรียมตัวถวายเพลให้เณรกัน”
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]