<< อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ >> [Pre orderพิมพ์ครั้งใหม่ 4 ก.ย.-5ต.ค.61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ >> [Pre orderพิมพ์ครั้งใหม่ 4 ก.ย.-5ต.ค.61]  (อ่าน 154727 ครั้ง)

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
โอเค หมอคีรีตัวร้าย รับทราบค่ะ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ตัวร้ายโผล่มาแหละ

ออฟไลน์ คนริมคลอง

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-1
ตัวร้ายออกมาแล้ว  โอมระวังตัวด้วยนะครับ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สนุกมากๆค่ะ รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ว่าแล้วต้องเป็นคีรี แต่คีรีไม่เห็นวิญญาณสินะ งั้นก็น่าจะยังไม่รู้ว่าอาศิรเห็น

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                                       อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ

                                                                                  บทที่ 10


               “คุณโอมกลับมาแล้ว”


               เสียงป้าแก้วดังขึ้นเรียกความสนใจจากการผัดอาหารในกระทะตรงหน้าของอนูบิสได้เป็นอย่างดี เขาหันไปมองและยิ้มให้

อาศิรที่กลับบ้านหลังจากหายไปทำงานที่โรงพยาบาลถึงหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ใบหน้าของอาศิรบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยและอิดโรย

อย่างเห็นได้ชัด


               “เหนื่อยมากหรือโอม”


               คำถามอย่างอาทรจากร่างสูงที่กำลังทำอาหารอยู่ทำให้อาศิรหายจากความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขามองอนูบิสที่มี

ผ้ากันเปื้อนสวมคาดไว้และในมือมีตะหลิวถืออยู่อย่างแปลกตา


               “ทำอะไรกันอยู่ครับเนี่ย”


               “ป้าแก้วสอนให้ผมทำกับข้าว สนุกดีเหมือนกันนะโอม”


               “เห็นพ่อหมีพูเขาอยู่ว่างๆก็กลัวเหงา ป้าก็เลยจับมาสอนทำกับข้าวไงคะคุณโอม”


               อาศิรยิ้มขำ ขนาดอยู่ในสภาพหน้ามันเพราะความร้อนจากเตาแก็สอนูบิสก็ยังดูดีเหลือเกิน ยิ่งใบหน้าขรึมโปรยยิ้มอ่อนให้ป้า

แก้วก่อนจะเผื่อแผ่มายังเขา อนูบิสก็ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นจนอาศิรใจสั่น

               บ้าแล้วโอม ใจสั่นเพราะผู้ชายนี่นะ

                พยายามสะกดใจให้สงบอย่างยากลำบาก เขาได้แต่มองอนูบิสที่หันกลับไปให้ความสนใจกับป้าแก้วเพื่อจะทำอาหารใน

กระทะให้เสร็จจึงได้หันมายิ้มให้เขาอีกครั้ง


               “เสร็จแล้วโอม อาหารฝีมือผม”


               เจ้าตัวยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะที่ป้าแก้วเป็นผู้ตักอาหารใส่จานให้


               “คุณโอมไปพาคุณยายออกมาจากห้องทีเถอะค่ะ ช่วงนี้คุณยายเป็นอะไรก็ไม่รู้บ่นว่าเหนื่อย ไม่มีแรงแล้วก็ไม่ยอมทานอะไร

เลย”


               คิ้วโก่งแทบจะชนกันทันที อาศิรรีบหันหลังกลับไปยังห้องของยายจันทร์โดยมีอนูบิสเดินตามหลัง เมื่อเข้าไปในห้องอาศิรก็รีบ

ถลาเข้าไปหาหญิงชราที่นอนพักอยู่บนเตียง


               “ยายจ๋า โอมกลับมาแล้ว”


               บอกให้ยายจันทร์รับรู้พลางประคองให้หญิงชราให้ลุกนั่งขึ้นมา


               “กลับมาแล้วหรือโอม งานหนักมากไหม”


               อาศิรถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างสะท้อนใจเมื่อได้ยินคำถามด้วยความเป็นห่วงจากยายของเขา

               เพราะอาศิรเลือกที่จะทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาลที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก งานที่ทำจึงล้นมือจนแทบไม่มีเวลาเป็นการส่วน

ตัวแม้แต่จะดูแลยายของเขาเสียด้วยซ้ำ


                “ก็หนักเอาการอยู่จ้ะยาย เมื่อคืนนี้โอมเข้าห้องผ่าตัดทั้งคืนเลย”


               “งานหนักมากโอมก็ต้องระวังรักษาตัวนะลูก”


               ยังไม่วายที่หญิงชราจะเป็นห่วงหลานเพียงคนเดียว มือเหี่ยวย่นลูบผมอาศิรด้วยความรักแม้ว่าดวงตาจะมองไม่เห็นแต่อาศิรก็รู้

ว่าหัวใจของยายจันทร์กำลังมองเขาอยู่ อาศิรวางมือดึงมือของยายมากุมไว้ด้วยความรักไม่แพ้กัน


               “ไม่ต้องห่วงนะยาย โอมดูแลตัวเองได้”


               ยายจันทร์ยิ้มรับ หญิงชราเงยหน้าไปทางอนูบิสที่ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง


               “ยายฝากโอมไว้กับพ่อหมีพูด้วยนะ ในเมื่อมีวาสนาได้มาเป็นเพื่อนกันแล้วก็ช่วยดูแลโอมด้วย”


               อนูบิสก้าวเข้ามาแล้วคุกเข่านั่งเคียงข้างอาศิร เขาดึงมืออีกข้างของยายจันทร์มากุมไว้เช่นกันแล้วตอบรับหนักแน่น


               “ผมสัญญาครับคุณยายว่าจะดูแลโอมให้ดีที่สุด”


               คำเอ่ยสัญญาจริงจังจนเรียกเลือดไปเลี้ยงบนใบหน้าของอาศิรได้ไม่ยาก มันทำให้เขาไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำว่าตอนนี้อนูบิ

สมีสีหน้าเช่นไรบ้างยามเอ่ยตอบคำขอของยายจันทร์


               “อย่ามัวแต่คุยกันเลย โอมหิวแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่า”


               ข่มความขัดเขินเพื่อจะพยุงยายจันทร์ให้ลุกจากเตียงและก้าวเดินไปยังโต๊ะอาหารที่ป้าแก้วเตรียมรอไว้แล้ว อาศิรค่อยๆป้อน

อาหารให้ยายของเขาด้วยตนเอง โต๊ะอาหารอบอวลด้วยความอบอุ่นจนกระทั่งเขาพายายจันทร์กลับไปที่ห้องเมื่อมื้ออาหารสิ้นสุดลง
               





               “ปล่อยให้อยู่บ้านแค่แป๊บเดียว รู้สึกว่าจะกลายเป็นขวัญใจคนแก่ไปแล้วนะพ่อหมีพู”


               อนูบิสยิ้มขำเมื่อได้ยินเสียงค่อนขอดลอยมาตามลม เขามองอาศิรนัยน์ตาพราวขณะอยู่เพียงลำพังในห้องของอาศิร


               “ทำไม โอมหวงคุณยายเหรอ หรือว่ากลัวคุณยายจะรักผมมากกว่าโอม”


               “ไม่ใช่สักหน่อย”


               อาศิรเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ในคารมของเทพจากอียิปต์ อนูบิสนั่งลงที่ขอบเตียงพลางส่งสายตาล้ำลึกจ้องมองอาศิรที่นั่งอยู่ตรง

โต๊ะหนังสือจนอาศิรต้องเบนสายตาหนี


               “โอมอย่าห่วงไปเลยนะว่าคุณยายจะรักผมมากกว่าโอม ไม่มีใครหรอกที่ได้รักโอมแล้วจะเลิกรักโอมได้”


               เสียงนุ่มกว่าเคยยามเอ่ยออกมาพร้อมดวงตาที่ทอดมองนั้นสร้างความอบอุ่นในหัวใจของอาศิรได้อย่างประหลาด และยิ่งเมื่อ

เขานึกถึงคำสัญญาที่อนูบิสพูดกับยายจันทร์ว่าจะดูแลเขามันทำให้หัวใจของอาศิรเต้นแรงเหลือเกิน


               “แล้วที่พูดกับยายในห้องน่ะ ท่านก็ไม่เห็นต้องไปตกปากรับคำอะไรกับยายขนาดนั้น ยายแก่แล้วช่วงนี้ก็มีอาการหลงๆลืมๆอยู่

บ่อยๆ บางทียายก็พูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัวหรอก”


               ใบหน้าคมเข้มอมยิ้มและเอียงคอมองเขา ทำให้อาศิรยิ่งเขินจัดเข้าไปอีก


               “กลัวผมจะทำไม่ได้เหมือนที่พูดงั้นสิ จำไว้อย่างหนึ่งนะโอม เมื่อเทพองค์ใดเอ่ยวาจาสัตย์ออกมา คำนั้นจะไม่มีวัน

เปลี่ยนแปลง”


               มือใหญ่เอื้อมดึงมือของอาศิรมากุมไว้ อาศิรเพิ่งรู้ว่าเมื่อเทียบกันแล้วมือของเขาเล็กกว่ามือของอนูบิสจนอีกฝ่ายกอบกุมไว้ได้

หมด


               “ยกเว้นว่าโอมไม่อยากให้ผมกระทำตามวาจาที่พูดออกไป”


               ใครบอกว่าไม่อยาก

               อาศิรไม่สามารถปฏิเสธใจของตนเองได้เลยว่าวาจาที่อนูบิสเอ่ยออกมาทำให้เขายินดีแค่ไหน ยินดีจนไม่อยากนึกถึงว่าวันใด

ที่อนูบิสได้จัดการตามล่าปีศาจร้ายสำเร็จดังประสงค์แล้วเดินทางกลับเขาจะรู้สึกเช่นไร


               “เทพพูดมากแบบนี้ทุกองค์หรือเปล่า ไม่เอาละ ขี้เกียจพูดด้วย ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนอนดีกว่า”


               ผลักไหล่หนาออกห่างพลางกระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าคุมโปงหนีจนอนูบิสได้แต่หัวเราะ เขาเดินไปปิดไฟที่กลายเป็นหน้าที่

ของเขาตั้งแต่มาอาศัยอยู่ในห้องนี้ก่อนจะก้าวตามไปนอนเคียงข้าง


               “นี่ มืออย่าไวสิ”


               ตีเผียะไปที่มือใหญ่เมื่อสอดเข้ามาโอบกอดไว้อย่างเช่นเคย อนูบิสไม่ยอมแพ้และยิ่งกระชับวงแขนให้แน่นหนามากขึ้นอีก


               “โธ่ โอม ถ้าไม่ได้กอดโอมผมก็คงนอนไม่หลับ น่านะ อย่าผลักไสนักเลย”


               ถอนหายใจราวกับรำคาญแต่ความเป็นจริงหัวใจของอาศิรยิ่งกว่าตีกลองกระหน่ำเสียอีก เขาแสร้งส่งเสียงแข็งกลบเกลื่อน

ความขัดเขินของตัวเอง


               “ก็ได้ นี่เห็นใจกลัวว่าจะทำให้เทพอย่างท่านนอนไม่หลับแล้วกลายเป็นเทพแพนด้าหรอกนะ อื้อ อย่ากอดแน่นนักสิผมหายใจ

ไม่ออก”


               ต่อว่าแต่ก็ยอมอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นจนกระทั่งอาศิรเคลิ้มหลับไปในวงแขนของอนูบิสนั่นเอง






               “คุณโอม คุณโอม ตื่นเถอะ คุณยายแย่แล้วค่ะ”


               เสียงเคาะประตูดังโครมครามแข่งกับเสียงลมฟ้าลมฝนที่พัดกรูแทรกรอยแยกของหน้าต่างเข้ามาทำให้อาศิรสะดุ้งตื่น แต่ก็

ไม่ทันร่างสูงของอนูบิสที่ก้าวลงจากเตียงไปที่ประตูก่อนหน้าเขาแล้ว


               “เกิดอะไรขึ้นครับป้าแก้ว”


               อนูบิสเป็นฝ่ายเอ่ยถามเมื่อเห็นป้าแก้วที่ยืนหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ


               “คุณยายค่ะ ไข้ขึ้นสูงและก็หายใจหอบใหญ่แล้ว”


               “ยาย!”


               อาศิรวิ่งผ่านอนูบิสไปยังห้องของยายจันทร์ที่อยู่ตรงข้ามด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นสภาพของหญิงชราที่กำลังหอบตัวโยน

อาศิรก็แทบจะทำอะไรไม่ถูก เขาต้องรีบสงบสติอารมณ์ลงและตรวจร่างกายยายของเขาเท่าที่จะทำได้


               “ยายมีอาการของปอดติดเชื้อ ต้องรีบพายายไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด”


               เอ่ยเสียงสั่นจนอนูบิสต้องรีบกุมมือปลอบโยนเมื่อเห็นอาศิรกำลังสติแตก


               “อย่าเพิ่งตกใจโอม ตั้งสติก่อน”


               เมื่อได้ยินคำเตือนอาศิรจึงพอจะคิดออก เขารีบวิ่งกลับไปที่ห้องและคว้าโทรศัพท์มือถือกลับมาเพื่อโทรให้โรงพยาบาลส่งรถ

ฉุกเฉินมารับ ทุกคนรอด้วยความกระวนกระวายใจ เวลาที่ผ่านไปทุกวินาทีเกือบจะทำให้อาศิรขาดใจจนกระทั่งรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล

มาจอดหน้าบ้านอนูบิสจึงอุ้มยายจันทร์ไปขึ้นรถทันที


               “ใจเย็นนะโอม”


               อนูบิสได้แต่ปลอบโยนตลอดทางไปยังโรงพยาบาลที่อาศิรทำงานอยู่ และเมื่อรถจอดหน้าห้องฉุกเฉินก็เป็นเขาเองที่ลงไปสั่ง

การรักษาที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนอนูบิสได้แต่ส่งกำลังใจไปช่วยอยู่ด้านนอก


               “คลื่นไฟฟ้าหัวใจเต้นผิดปกติด้วยว่ะโอม”


               เพื่อนหมอคนหนึ่งที่อยู่เวรในห้องฉุกเฉินบอกเขาเมื่อผลการตรวจร่างกายเบื้องต้นออกมาแล้ว สีหน้าของอาศิรยิ่งเครียดหนัก

เข้าไปอีก


               “แอดมิทเลยดีกว่าว่ะ เอาไปให้ยาแอนตี้ไบโอติคก่อนแล้วเรื่องหัวใจก็รีบขอคิวตรวจพิเศษ”
               




               กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบรุ่งสางเมื่ออาศิรวุ่นวายอยู่กับการจัดการให้ยายจันทร์เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติจนเรียบร้อย

สีหน้าของเขาอิดโรยและซีดเผือดเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง อาศิรยกมือปาดน้ำตาแห่งความห่วงใยที่เอ่อท้นออกมา

               อนูบิสเดินตามเข้ามาในห้อง เขามองสภาพของอาศิรด้วยความเป็นห่วงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างพลางกุมมือของอาศิร

เป็นกำลังใจ ความอบอุ่นแล่นผ่านมือเข้าหาจนความอดทนของอาศิรหมดลง เขาปล่อยโฮออกมาอย่างไม่นึกอาย


               “โอม”


               อนูบิสโอบบ่าของอาศิรเข้าหาตัวให้คนที่กำลังอ่อนแอได้ซบอยู่กับไหล่ของเขาและร้องไห้ออกมาจนพอใจโดยไม่ได้ขัด อนูบิ

สรอจนกระทั่งอาศิรเย็นลงและเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา


               “ผมนี่มันใช้ไม่ได้เลย เป็นหมอเสียเปล่าแต่กลับดูแลยายของตัวเองไม่ได้ มัวแต่ทำงานดูแลคนอื่นแต่ปล่อยให้ยายป่วยจน

อาการหนัก”


               “อย่าโทษตัวเอง”


               อนูบิสปรามเสียงหนัก เขาเชยคางและเอื้อมมือเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าของอาศิรออกจนหมด


               “โอมคือความภาคภูมิใจของยาย ถ้าโอมต่อว่าตัวเองคนที่เสียใจก็คือยายนะ แค่ที่โอมทำทั้งหมดในคืนนี้ก็ทำให้ยายดีขึ้นมาก

แล้ว โอมเก่งมาก”


               คำปลอบโยนนั้นราวกับน้ำทิพย์ที่ชโลมลงมาบนหัวใจอันอ่อนล้า อาศิรรู้สึกตื้นตันกับความอบอุ่นที่มี

อนูบิสเคียงข้าง


                “ขอบคุณนะครับอินทร์ภู”


               ดวงตาเรียวฉ่ำชื้นทอดมองใบหน้าคมของเทพอนูบิสก่อนเอ่ยออกมาจากความรู้สึกจากหัวใจของอาศิร


               “ขอบคุณที่อยู่กับผม ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจในยามที่ผมอ่อนแอ ผมดีใจนะที่วันนี้ผมมีคุณอยู่ด้วย”


               คำกล่าวอย่างจริงใจและสัตย์ซื่อของอาศิรทำให้อนูบิสอดใจไม่อยู่ เขาวางฝ่ามือแนบไปกับกรอบหน้าของอาศิรและประสาน

สายตาล้ำลึก อนูบิสเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ราวกับมีแรงดึงดูดและบรรจงกดริมฝีปากลงไปบนเปลือกตาฉ่ำน้ำที่พริ้มตารอรับอย่างเผลอไผล


               “โอม”


               พึมพำแผ่วเบาขณะเลื่อนริมฝีปากลงต่ำจนปลายจมูกโด่งชนกันเบาๆ อนูบิสเอียงใบหน้าจนได้องศาให้จมูกหลบกันพ้นเพื่อที่

จะประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มแผ่วเบา

               อาศิรสะดุ้งวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน เขาลืมตาขึ้นมองอนูบิสที่อยู่ใกล้จนลมหายใจเป่ารดอยู่ข้างแก้มเมื่อคราวนี้เขา

ใกล้ชิดกับอนูบิสมากกว่าครั้งไหนๆ อาศิรนึกตกใจตัวเองที่ไม่ได้นึกรังเกียจอนูบิสเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นชายเฉกเช่นกับเขา

อนูบิสเองก็ชะงักไปเมื่อเห็นท่าทีของอาศิร


               “โอม ถ้าไม่...”


               อาศิรเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าหาจนริมฝีปากชนกันอีกครั้ง ต่างก็นิ่งงันและเฝ้าถามจิตใจของตนเอง อาศิรถอนใบหน้าออกมาและ

ช้อนตามองดวงตาคมที่มองกลับด้วยสายตาพร่างพราว

               เข้าใจซึ่งกันโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาอีกแล้ว อนูบิสลูบไล้กลีบปากนุ่มด้วยปลายนิ้วก่อนจะตามติดด้วยริมฝีปากของเขา

โดยที่อาศิรเองกับเปิดรับอย่างเต็มใจ เรียวปากของอาศิรถูกประทับจูบแผ่วเบาอ่อนหวานและเพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ อนูบิสค่อยๆแตะ

ปลายลิ้นเข้ากับกลีบปากแทนคำวอนขอให้อาศิรยอมรับเมื่อเขาส่งผ่านลิ้นชื้นเข้าไปสัมผัสอยู่ภายใน


               “อื้อ อนูบิส”


               หวานจนหัวใจเต้นไหวระรัวเมื่ออนูบิสตวัดเกี่ยวลิ้นของอาศิรเข้าหา เนื้อปากสลับห่างและบดเบียดขณะ

อนูบิสคลอเคลียไม่เลิกรา มืออุ่นจนร้อนขยับวางบนแผ่นหลังและกระชับร่างที่เล็กกว่าเข้าแนบชิดในอ้อมกอด


                “เซเฮดเจนเมรูท”


               คำนั้นอีกแล้ว

               คำที่อาศิรยังข้องใจไม่หายว่ามันหมายถึงอะไร

               อนูบิสค่อยๆผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า แต่แค่นั้นก็ทำให้อาศิรหอบหนักไปกับจูบแรกที่แสนอ่อนหวาน ดวงตาสองคู่ยังคง

สบประสานถักทอเยื่อใยที่มองไม่เห็นซึ่งกัน


                “เจ้าคือแสงสว่างแห่งรักของข้า”


               เสียงนั้นเพียงแค่กระซิบอยู่ข้างใบหูแต่มันกลับสะท้อนไปมาอยู่ในหัวใจของอาศิร เขายิ้มอย่างตื้นตันพลางเอียงซบลงไปบน

บ่ากว้างที่พาให้เขาเอนกายลงไปบนที่นอนนุ่มและโอบกอดราวกับเขาเป็นเด็กน้อย


               “นอนเสียเถิด เมอริ ราตรีนี้เหนื่อยมากพอแล้ว ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเช่นนี้ไม่ไปไหน”


               เสียงนั้นคือเสียงเห่กล่อมให้อาศิรหลับตาลงและปล่อยวางเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งปวงให้เขาได้หลับลงในอ้อมกอดแห่งรักของ

เทพอนูบิส



TBC


               หมายเหตุจากผู้แต่ง

                Sehedjenmerut =  Shining of Love 

                Meri = beloved

                :hao3: :hao3:






[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2016 20:37:32 โดย Belove »

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :hao7:  อร๊ายยยย  ในเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ ก็กลับมีเหตุการที่ดีอยู่ นะจ๊ะพ่อหมีพู !!!

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อื้อหือ  ท่านหมีพูช่างมีความปากหวานขั้นเทพ
ใช่ไหมจ๊ะโอม อย่าชิมแล้วอุบไว้คนเดียวสิ.  :mew1: 
เดาว่าตอนหน้าจะดุเดือดนะ รอดูการกระชากหน้ากากคนเลวค่ะ

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
โธ่พ่อหมีพูห์.....ตั้ลล๊าคคคคคคคคคค :katai2-1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

จูบกันแล้วววววววว :m1: :m1: :m3: :m3: :m3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ๊ย เคลิ้มมมมมมมมม

หวานมากกกกกกค่ะ >\\\\\\<
 :impress3:

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
เขาต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ หวานอ่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
อื้อ!แอบหวานเบาๆ >///<

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากได้พ่อหมีพู

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
 “เจ้าคือแสงสว่างแห่งรักของข้า” สำหรับเทพที่อยู่ในดินแดนแห่งความตาย ดูยิ่งใหญ่มีค่าสุดๆๆๆอ่ะ

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
โอ๊ย ตายๆๆๆ เก๊าเขิน  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
เทพโรแมนติกมากกก

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
อนูบิส หวานเวอร์  :-[

ห่วงคุณยายจัง

ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ประกาศลาพักประมาณ 1 เดือนค่ะ


เป็นเพราะว่าตั้งแต่เริ่มแต่งนิยายเอง
รวมถึงต้องทำงานประจำด้วยแล้ว ทำให้คนแต่ง
ไม่มีเวลาได้เสพงานนิยายของนักเขียนท่านอื่นๆเลย


รู้สึกเหมือนลูกศิษย์ที่ออกมาท่องวิทยายุทธลองผิดลองถูกในบู๊ลิ้ม
แล้วไม่มีอาจารย์ชี้แนะ


จึงขอลาพักไปอ่านนิยายนักเขียนในดวงใจและหาข้อมูลมาพัฒนาฝีมือ
แล้วจะกลับมาแต่งนิยายตัวเองต่อ


รอเค้ากันด้วยน้าตะเอง


Belove


 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ iNcamisang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ THANZ

  • ̷̷̸̸̷̸̐̐THANZ̷̷̸̸̷̸̐̐
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                       อนูบิส จ้าวแห่งแดนมรณะ

                                                                    บทที่ 11


               อาศิรลางานหนึ่งวันเพื่อดูแลยายจันทร์โดยมีอนูบิสอยู่ใกล้ๆ แต่เพราะหอผู้ป่วยวิกฤติให้เข้าเยี่ยมได้เป็นเวลา อนูบิสจึงได้แต่

นั่งรออยู่ภายนอก ส่วนอาศิรอาศัยความเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลจึงเข้าไปดูอาการยายของเขาได้ นายแพทย์หนุ่มมองหญิงชราที่นอน

อยู่บนเตียงพร้อมสายระโยงระยางด้วยความสงสาร


               “เส้นเลือดในหัวใจอุดตัน แต่คิวฉีดสียาวมาก อาจารย์กลัวว่าคุณยายจะรอไม่ไหว”


               แพทย์ประจำหอผู้ป่วยวิกฤติที่เป็นอาจารย์ของอาศิรบอกกับเขาถึงเรื่องการรักษา


               “ทำไมไม่พายายไปโรงพยาบาลของหมอกำจรล่ะอาศิร”


               คำแนะนำนั้นทำให้อาศิรต้องออกมาภายนอก เขาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างกับอนูบิสพร้อมกับถอนลมหายใจหนักอึ้งออกมา


               “คุณยายเป็นไงบ้าง”


               อนูบิสเอ่ยถามอย่างห่วงใย เขาเคยพบเห็นความตายมามากมาย หากแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อนูบิสอยากจะยั้งไว้ให้เนิ่นนาน

ที่สุด อาศิรก้มหน้ามองมือตนเองที่บีบแน่นอยู่บนตัก


                “การรักษาที่นี่อาจจะไม่ทันการ อาจารย์ของผมแนะนำให้ผมพายายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลของพ่อเพื่อความรวดเร็ว แต่ผม

ไม่...”


               “โอม” อนูบิสเอ่ยเสียงนุ่มเพื่อหยุดความวิตกร้อนรุ่มในหัวใจของอาศิร


               “ถือทิฐิไม่ช่วยให้ยายดีขึ้นนะโอม”


               คำเตือนของอนูบิสเตือนสติอาศิรได้เป็นอย่างดี เมื่อคิดถึงสภาพของยายแล้ว อาศิรจำเป็นต้องละทิ้งอคติในใจและตัดสินใจ

โทรศัพท์หากำจร


               “ว่าไงไอ้โอม ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา”


               พ่อของเขารับสายในเวลาไม่นานนัก อาศิรเม้มปากชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกไป


               “พ่อครับ ยายไม่สบายอาการหนักมาก เป็นนิวมอเนียและที่สำคัญคือเส้นเลือดหัวใจตีบ ตอนนี้แอดมิทอยู่ไอซียู”


               “แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน แกถึงต้องโทรหา”


               ดูเหมือนกำจรจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่ยายของบุตรชายนอกสมรสเจ็บป่วย จนอาศิรต้องกลืนก้อนสะอื้นลงไป


               “คิวแคทแลปที่นี่ยาวมาก ผมเกรงว่ายายจะรอไม่ไหว ก็เลยอยากจะขอพายายไปรักษาที่โรงพยาบาลของพ่อจะได้ไหมครับ”


               กำจรเงียบไปครู่หนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่อาศิรแทบจะกลั้นหายใจตามจนกระทั่งกำจรส่งเสียงอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ


               “เห็นคุณค่าของฉันขึ้นมาแล้วล่ะสิทีนี้  ถึงได้ยอมก้มหัวมาขอร้อง ก็ได้ แกจะพายายมารักษาที่นี่ก็ได้ เพียงแต่ว่ามันก็ต้องมีข้อ

แลกเปลี่ยน”


               “พ่อ!”


               อาศิรอุทานอย่างเหลืออด


               “แม้แต่ชีวิตยายของผม พ่อก็ยังต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนหรือครับ”


               “ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ได้มาโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่แกต้องเรียนรู้ ไอ้โอม” กำจรพูดเสียงหนักเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้

พูดเล่น


               “และของแลกเปลี่ยนที่ฉันต้องการไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยเมื่อเทียบกับชีวิตยายของแก”


               “พ่อต้องการอะไร”


               อาศิรเอ่ยเสียงแหบโหยเอ่ยถามบิดาตนเอง ก่อนที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปบ้าง


               “ก็แค่ให้แกลาออกจากโรงพยาบาลที่แกทำงานอยู่ แล้วมาทำงานกับฉันที่นี่ไงล่ะ”


               อาศิรถึงกับกัดฟันเมื่อได้ยินข้อเสนอ กำจรรู้ดีอยู่แล้วว่าอาศิรไม่อยากไปทำงานที่โรงพยาบาลของเขา แต่ก็ยังใช้ความ

ต้องการของตนเองมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนในเวลาที่เหมาะเจาะเหลือเกิน กำจรมั่นใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้อาศิรไม่อาจเอ่ยปฏิเสธได้

และก็จริงอย่างที่คาดไว้


               “ตกลงครับ ผมจะลาออกจากที่นี่ถ้ายายจะได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดเมื่อไปถึงโรงพยาบาลของพ่อ”


               อาศิรตัดสายโทรศัพท์ เขาทิ้งศีรษะไปกับผนังปูนด้านหลังอย่างหมดแรง มือของเขาถูกอนูบิสกอบกุมด้วยความเห็นใจ


               “เหนื่อยมากใช่ไหมโอม เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอน อาหารก็ยังไม่ตกถึงท้อง รออยู่ที่นี่นะผมจะไปหาซื้ออาหารมาให้”


               อนูบิสเริ่มเรียนรู้การใช้ “เงินตรา” แลกเปลี่ยนสิ่งของที่ต้องการ อาศิรให้เงินตราที่เขาไม่รู้จักไว้ติดตัวจำนวนหนึ่งเพื่อให้เขา

ดำรงชีวิตได้ในสังคมใหม่แห่งนี้ อาศิรได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่เดินห่างออกไปด้วยความตื้นตัน

               อย่างน้อยก็ยังมีอนูบิสเคียงข้างในวันที่อ่อนล้าเต็มที เขานึกถึงยามเช้าที่ผ่านมา เมื่อสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก อาศิร

เห็นตนเองอยู่ในอ้อมกอดของอนูบิส แรงโอบรัดนั้นอบอุ่นจนไม่อยากขยับตัว แต่เขาจำเป็นต้องฝืนความรู้สึกนั้นอย่างเสียดายด้วยความ

เป็นห่วงยาย

               จะดีแค่ไหนหากได้อยู่ในอ้อมกอดของอนูบิสเช่นนี้ทุกครั้งที่ลืมตาตื่น

               อาศิรปล่อยใจไปกับภวังค์นั้นจนต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขา และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นเจ้าของเสียง

เรียก


               “ได้ข่าวว่าคุณยายป่วยเหรอโอม”


               คีรีนั่นเอง คงจะได้ข่าวเพราะเขาลากะทันหัน อาศิรรีบลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ทักทาย


               “นิวมอเนียน่ะครับพี่คีรี เมื่อคืนนี้ฝนตกหนัก อากาศชื้นมาก”


               “นั่นสินะ ขอพี่เข้าไปเยี่ยมคุณยายหน่อยแล้วกัน”


               อาศิรพยักหน้ารับ เขาเดินนำเข้าไปในหอผู้ป่วยวิกฤตจนถึงเตียงของยายจันทร์ และพูดคุยกับคีรีถึงอาการของยายอีกเล็กน้อย

จึงได้เดินกลับออกมาด้านนอก


               “คงจะต้องพายายไปโรงพยาบาลของพ่อ”


               อาศิรเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาของเขาหรุบลงด้วยความกังวลจึงไม่ทันได้เห็นนัยน์ตาของคีรีที่สว่างวาบอยู่แวบหนึ่งก่อนจะจาง

หายไปอย่างรวดเร็ว


               “ก็ดีนะโอม ที่นั่นเครื่องมือทันสมัยมากและไม่ต้องรอคิวนานเหมือนที่นี่ แล้วผมจะไปเยี่ยมยายที่โน่นนะโอม ผมต้องไปแล้ว

ต้องไปตรวจคนไข้โอพีดี”


               อาศิรยกมือไหว้ขอบคุณที่คีรีมาเยี่ยมยายของเขา คีรีรับไหว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป อาศิรมองตามจนเห็นคีรีเดินสวนกับ

อนูบิสที่หอบหิ้วถุงใส่อาหารมาพะรุงพะรัง อาศิรมองเห็นอนูบิสชะงักไปชั่วขณะเมื่อคีรีเดินผ่านเขาไปจนถึงกับเหลียวหลังไปมองพักใหญ่

จึงเดินมาหาอาศิร


               “คนนั้นใคร”


               อาศิรแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าของอนูบิส หัวคิ้วสีเข้มของเขาย่นเข้าหากันด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง


               “หมอคีรี เขาเป็นหมอผ่าตัด มีอะไรหรือเปล่าอินทร์ภู”


               “กลิ่นของเขาแปลกๆ”


               จะว่ากลิ่นสาบสางก็ว่าได้ กลิ่นมันชวนสะอิดสะเอียนจนจมูกหมาในอย่างอนูบิสแทบจะทนไม่ไหว มันผิดกับกลิ่นของมนุษย์

คนอื่น อาศิรได้แต่เอียงคอมองสีหน้าเครียดขรึมของอนูบิส


               “ไม่ใช่หรอกมั้งอินทร์ภู จมูกเพี้ยนหรือเปล่า หรือว่าเป็นหวัด ส่งน้ำกับขนมปังมาให้ผมเถอะท้องเริ่มประท้วงแล้ว”


               อาศิรสะกิดแขนให้อนูบิสนั่งลงพร้อมกับเขาและคว้าของกินในมือไปจากอนูบิส ส่วนคนซื้อมากลับได้แต่นึกถึงกลิ่นสาบสาง

นั้น

               อนูบิสสังหรณ์ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะเขาไม่ได้เป็นหวัดอย่างที่อาศิรบอกแน่ๆ เขามั่นใจ







               ปาลวิ่งกระหืดกระหอบไปยังฝ่ายนิติเวชเพราะใจภักดิ์โทรศัพท์ปลุกเขาตั้งแต่ตอนเช้า ปาลหาข้อมูลต่างๆจนเพิ่งจะได้นอนไป

เมื่อตอนดึกนี่เอง แถมยังต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ของใจภักดิ์


               “รีบมาด่วนไอ้ปาล งานเข้าแล้ว”


               นั่นแหละทำให้เขาต้องฝ่าการจราจรอันติดขัดจากบ้านมาด้วยบิ๊กไบค์คันเก่งของเขาเพื่อให้มาถึงที่ทำงานโดยเร็วที่สุด และ

เมื่อวิ่งมาถึงฝ่ายนิติเวชที่ใจภักดิ์ทำงานอยู่ หญิงสาวก็ชี้นิ้วไปยังร่างกายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงกลางห้อง


               “งานเข้าแต่เช้า เคสนี้ญาตินำศพมาส่งให้ช่วยตรวจสอบสภาพศพ”


               “แล้วมันเกี่ยวกับกูยังไงวะ ถึงต้องขุดมาจากที่นอน” ปาลเลิกคิ้วถาม ใจภักด์เดินนำเขาเข้าไปใกล้และชี้ให้ดูรอยเย็บที่สีข้าง

ฝั่งซ้าย


               “ผู้ชายคนนี้ถูกรถชนเมื่อวาน ญาติบอกว่าที่โรงพยาบาลผ่าตัดที่ช่องท้องเพื่อหยุดเลือดในช่องท้องแต่ช่วยไม่ทัน คนไข้ช็อก

และเสียชีวิตในห้องผ่าตัด ญาติรับศพไปที่วัด พอเปิดศพมาจะแต่งตัวก็เห็นรอยเย็บที่อยู่สูงขึ้นไปจากช่องท้องตรงนี้”


               ใจภักดิ์ใช้ปลายนิ้วชี้ลากให้ปาลมองตาม มันเป็นรอยเย็บหยาบๆที่อยู่เหนือรอยเย็บของช่องท้องที่ละเอียดกว่าอย่างเห็นได้

ชัด


               “กระดูกชี่โครงมีรอยหวำลึก เหมือนมีบางอย่างที่ควรจะอยู่ในนั้นแต่ไม่อยู่ ญาติก็เลยนำศพมาให้นิติเวชตรวจสอบ แล้วก็โป๊ะ

เชะ”


               ใจภักดิ์ดีดนิ้ว


               “ เปิดออกดูแล้วเจอว่ากระดูกซี่โครงที่สามและสี่หักออกพร้อมกับ แถ่น แทน แท้น หัวใจก้อนเท่ากำปั้นหายไปสิคะคุณ”


               “หมายความว่าเคสนี้ตายก่อนหน้านี้แล้วมีคนผ่าเอาหัวใจออกไปจากศพใช่ไหม”


               “ใช่ ซึ่งมันก็น่าสงสัยที่ว่า พอตายแล้วก็ฝากศพไว้ที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลก่อนที่ญาติจะไปรับศพมาเมื่อตอนเช้ามืด

แล้วใครกันนะที่กล้าลักลอบเข้าไปในแผนกนิติเวชของโรงพยาบาลเผื่อขโมยหัวใจคนตายออกไป”


               สมองของปาลทำงานเร็วจี๋ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผู้ตายจนพอใจ จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้ใจภักดิ์เดินตามออกมาด้าน

นอกห้องผ่าศพ  ปาลวางกระดาษที่เขาปรินท์ออกจากอินเตอร์เนทปึกหนึ่งมาส่งให้ใจภักดิ์อ่าน


               “นี่คือที่หาเจอในอินเตอร์เนท สภาพศพที่เจอมันเหมือนกันการแต่งศพเพื่อทำมัมมี่ชะมัด”


               ใจภักดิ์มองเอกสารเหล่านั้นทีละใบ หลังจากนั้นหญิงสาวก็ย่นคิ้วเป็นปมพอกับปาล


               “เหมือนจริงๆด้วยว่ะ”


               “หรือว่าคนทำมันเป็นพวกบ้ามัมมี่ เราอาจจะต้องหาคนที่ชำนาญเรื่องนี้มาช่วยดู เพราะยังหาข้อมูลอะไรใหม่ๆไม่ได้ก็ดันมามี

ศพนี้เป็นศพที่สามอีก”


               “งั้นแกไปหาไอ้คนชำนาญมัมมี่อะไรของแกนะปาล ส่วนฉันจะแวะไปที่โรงพยาบาลที่คนตายรักษาตัวหน่อย เผื่อจะได้ข้อมูล

อื่น”


               แบ่งงานกันแล้วใจภักดิ์จึงได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลของรัฐที่ญาติให้ข้อมูลมา แต่เพราะไม่คุ้นเคยสถานที่หญิงสาวจึงยืน

คว้างก่อนจะตัดสินใจก้าวไปตึกที่อยู่ใกล้ที่สุด


               “ขอโทษค่ะคุณพยาบาล”


               เอ่ยทักพยาบาลคนหนึ่ง ตัวเล็กๆหน้าใสๆที่กำลังวุ่นวายอยู่ใกล้เคาน์เตอร์ท่ามกลางคนไข้ล้นห้องและเจ้าหน้าที่ที่กำลัง

ทำงานกัน


               “ฉันจะมาขอประวัติของ...”


               “ใครให้ญาติขึ้นมาบนตึกตอนนี้เนี่ย”


               ใจภักดิ์สะดุ้งโหยงเมื่อเจอเสียงดุแว้ดใส่จากหญิงสาวตัวเล็กในชุดพยาบาลตรงหน้า


               “ไม่ใช่ญาติ คือว่า...”


               “ไม่รู้หรือไงว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาให้ญาติขึ้นมาเยี่ยม ทำไมรปภ.ถึงปล่อยให้ขึ้นมาได้นะ ไม่รู้หรือว่า...”


               “คุ๊ณณณ ฟังกันหน่อย”


               ใจภักดิ์ยกมือห้าม ใจชักจะเดือดปุดๆเมื่อเจอการต้อนรับพร้อมขับไล่แบบนี้”


               “ฉันไม่ใช่ญาติ ฉันเป็นตำรวจจะมาขอประวัติคนไข้”


               “แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ ปล่อยให้ยืนพูดเสียตั้งนาน”


               อ้าว แล้วจะแทรกตอนไหน แม่คุณใส่เป็นพรืดติดกันขนาดนี้


               ใจภักดิ์มองหน้าพยาบาลตรงหน้า ก็หน้าขาวใสน่ารักดีล่ะนะ ถ้าไม่ติดว่าปากจัดชะมัด


               “ตำรวจจริงหรือเปล่า มิจฉาชีพสวมรอยมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”


               ใจภักดิ์อยากจะยกมือกุมหน้าผาก แต่หญิงสาวก็ต้องใช้มือหยิบบัตรประจำตัวออกมาส่งให้คุณพยาบาลหน้าเด็กตรงหน้าหยิบ

ไปอ่าน


               “ร้อยตำรวจโทแพทย์หญิงใจภักดิ์”


               เจ้าหล่อนอ่านออกเสียงก่อนจะหรี่ตามอง แถมยังยักไหล่ใส่ใจภักดิ์ตอนที่ส่งบัตรคืนให้อีกต่างหาก


               “ก็ไม่รู้นี่ว่าเป็นตำรวจ ถือว่าไม่ผิด แล้วจะหาคนไข้ชื่ออะไรล่ะ”


               ใจภักดิ์ส่ายหน้ากับท่าทางของหญิงสาว  แต่ก็ต้องบอกชื่อกับแผนกออกไป


               “มาผิดตึกแล้ว ตึกนี้อายุรกรรม ตึกศัลยกรรมต้องออกจากตึกนี้ไปเดินเลี้ยวซ้าย”


               พูดจบก็สะบัดหน้าเดินกลับไปทำงานปล่อยให้ใจภักดิ์อ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ


               เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ยายพยาบาลโหด


               ใจภักดิ์ปลงในใจพร้อมกับภาวนาเพื่อไม่ต้องเจอกับพยาบาลแสนดุผิดกับหน้าตาและชื่อที่ใจภักดิ์แอบอ่านจากป้ายชื่อที่เจ้า

หล่อนคล้องคออยู่


               อย่าได้เจอกันอีกเลยนะ แม่พยาบาลสาวชาลินี




มีต่ออีกนิด...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2016 01:21:31 โดย Belove »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด