Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75423 ครั้ง)

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
หนูกานต์น่ารัก จุ้บๆ  :mew1:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกแล้วก็น่ารักมากๆ เรื่องนี้

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





10 .



คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย?


ถ้ามีใครเข้ามาถามแบบนี้ผมคงมองหน้าให้รู้ว่าคนบ้าหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วเป็นฝ่ายเดินหนีไปเสียเอง เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนตอนนี้จะสามสิบเข้าไปแล้วยังไม่เคยมีสักครั้งที่อะไรแบบนั้นจะแวบผ่านเข้ามาในชีวิต ไอ้ความรู้สึกที่จู่ๆเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งผ่านจนขนลุกซู่ลองเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟก็คงไม่ต่างกัน หรือประเภทมองผ่านแล้วดวงตาคู่นั้นมาประทับอยู่ในใจ จะหลับหรือตื่นก็เหมือนยังเห็นนั่นยิ่งแล้ว ความจำผมไม่ค่อยดี โดยเฉพาะใบหน้าคนนี่ถือว่าแย่มาก ถ้าหน้าไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่ไม่เห็นจะต้องจำให้เปลืองรอยหยักในสมอง เพราะฉะนั้นอย่าถามว่ารายสุดท้ายที่ขึ้นเตียงด้วยหน้าตาเป็นอย่างไร เอาว่าให้เจ้าหล่อนพอดูได้ ไม่ตื่นมาตอนเช้าแล้วมาสคาร่าไหลเป็นทางหรือน้ำลายย้อยเป็นปื้น ผมก็อาจเรียกใช้บริการซ้ำอีกครั้ง


ในโลกนี้ถ้าจะมีอะไรที่ผมเชื่อคงเป็นความคิดและการกระทำของตัวเอง ถ้าผมคิดดี ผมย่อมทำดี และการทำดีจะส่งผลสำเร็จให้สิ่งดีๆทั้งหลายตามติดมาเป็นลูกโซ่ แต่ก็มีบางครั้งที่เรื่องไม่คาดฝันทำให้ทุกอย่างเหนือการควบคุม และเหตุการณ์ที่ชัดเจนจนไม่ว่าหลับหรือตื่นก็ยังจำได้นั่นคือ... อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตพ่อไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผมต้องวางความฝัน ทิ้งชีวิตอย่างที่เป็นนายของตนเองเพื่อเข้ามารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัว ความจริงถ้าผมจะทิ้งไปเลยก็ย่อมได้แต่เห็นแก่พนักงานทุกคนที่อุทิศกายใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพ่อมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วก็ทำไม่ลง โดยส่วนตัวผมไม่ได้นึกรังเกียจการเป็นเจ้าของโรงแรมและสถานบันเทิง ทำใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่ายังไงก็ต้องเข้ามาบริหารงานต่อ เพียงแต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงในเวลาที่ไม่มีพ่อคอยให้คำแนะนำหรือกำลังใจอีกต่อไป


ในเมื่อชีวิตไม่เคยสะดุดกับนามธรรมสวยๆที่ชื่อว่า ‘พรหมลิขิต’ อีกทั้งเวลาแต่ละวันก็อยู่กับสิ่งที่หลายคนเบือนหน้าหนี แล้วเหตุการณ์อย่างวันนั้นจะเรียกว่าอะไรดีนะ


ผมกำลังจะออกจากโรงแรมก็บังเอิญเห็นเฮียสยามกำลังคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แถวลานจอดรถ เป็นชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มคู่หนึ่งที่พอได้รู้ที่มาที่ไปแล้วทำให้นึกเกลียดธุรกิจอันแสนใหญ่โตขึ้นมาจับใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเป็นหนี้บ่อนแล้วไม่มีปัญญาหามาคืน และไม่ใช่รายแรกที่ความเป็นมนุษย์ถูกใช้เทียบกับมูลค่าของหนี้จากการพนัน จึงเป็นที่มาของคำสั่งที่ผมเคยห้ามไว้เด็ดขาด


‘ตลอดชีวิต...ขนาดนั้นเชียว’ อย่าคิดว่าผมต้องการดูถูกหรือเสียดสีใคร แต่สำหรับการพนัน บางคนต้องเสียทั้งชีวิตยังไม่พอใช้หนี้ด้วยซ้ำ


‘ใช่ครับ ใช่มั้ยไอ้กานต์ บอกท่านไปสิว่าเอ็งจะรับใช้ท่านไปจนตลอดชีวิตน่ะ’


คนเป็นพ่อนำเสนอขนาดนี้ผมเลยอดให้ความสนใจลูกชายที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆไม่ได้ เด็กคนนี้ตัวเล็ก แขนขาผอมเพรียว ผิวขาวสว่างจนดูบอบบางน่าทะนุถนอม อีกทั้งชื่อก็ยังฟังคล้ายผู้หญิง แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับน่าทึ่งในท่าทีทระนงองอาจ เจ้าตัวยืนหลับตานิ่งราวผู้แพ้ แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาเลือกจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง มิใช่ถูกบังคับหรือยอมจำนน


‘ท่าทางจะขี้อาย’ ผมแกล้งแซวแล้วได้เห็นว่าริมฝีปากบางเม้มแน่นขึ้น


‘ไม่เลยครับ ลูกผมเป็นคนร่าเริง นิสัยขยันขันแข็ง ถ้าท่านรับมันไว้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ’


‘ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าตกลง’ ความจริงคือผมกำลังลังเล และนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย ‘แล้วนั่น ทำไมมีรอยช้ำอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าไปยกพวกตีกับใครมา’


‘ไม่ครับ ไม่ใช่เลย กานต์มันเป็นเด็กดี เรียนก็เก่ง พี่มันบอกว่าน้องได้เกรดตั้งสามจุด จุดอะไรนี่ล่ะครับผมก็จำไม่ได้ แต่รอยนี่...เอ่อ...มันคงซุ่มซ่ามเดินไปชนอะไรเข้า เด็กผู้ชายก็ยังงี้ เดี๋ยวเดียวก็หายครับ’ เด็กคนนี้ทำให้ผมทึ่งได้อีก ถ้าคำกล่าวอ้างนี้ไม่เกินจริงก็นับว่าน่าเสียดายมันสมองและความสามารถ


‘ได้โปรดเถอะครับท่าน ตัวผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินตั้งห้าแสนจะไปเอามาจากที่ไหน ช่วยรับลูกชายผมไว้แทนเถอะ อย่างน้อยผมจะได้เบาใจว่ามันมีที่พึ่ง ถือว่าผมเอาลูกชายมาฝากให้ท่านเมตตาสักคนนะครับ’


ฝ่ายพ่อขอร้องแทบจะทิ้งตัวลงกราบกรานแต่ตัวลูกชายเอาแต่ก้มหน้านิ่ง คนของผมเองก็เร่งให้รีบไป เป็นสถานการณ์ตึงเครียดที่รอเพียงการตัดสินใจของผมเพียงผู้เดียว


‘ตกลง’ ไม่กี่ครั้งที่ผมอาศัยเพียงสัญชาตญาณในการเอ่ยคำๆนี้ ‘หนี้ห้าแสนพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามกลับมาที่คาสิโนอีก เพราะขืนยังวนเวียนอยู่แถวนี้ฉันคงต้องเมตตาเด็กอีกไม่รู้กี่คน’


ผมไม่ได้สนใจคำขอบคุณหรือคำสัญญาใดๆ เพราะรู้ว่าผีพนันสิงใครแล้วใช่จะยอมออกง่ายๆ แต่จังหวะที่เดินผ่านร่างเล็กบังเอิญได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ คิดว่าเจ้าตัวคงกำลังนึกกลัวอนาคตในฐานะลูกหนี้มูลค่าห้าแสน แต่นับว่าเขามีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควรจึงไม่ได้เอาแต่ฟูมฟายหรือหาทางออกอย่างผิดๆ จุดนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่ยอมให้เด็กคนนี้แทรกซึมเข้าในชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้...


“อื๊ออออ เอามา จะกิน บอกว่าเอามาไงเล่า!”


ห้องสูทที่ผมใช้เป็นที่พักส่วนตัวไม่เคยมีใครได้เข้ามานอกจากพนักงานทำความสะอาดซึ่งต้องจำให้ขึ้นใจว่าเตียงนอนจะต้องเรียบ ตึง ขนาดว่าลุกไปแล้วก็แทบไม่มีรอยยับย่น แต่สภาพในตอนนี้หาจุดที่เรียบได้สักตารางฟุตก็นับว่าเก่ง และตัวการไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าเด็กหยิ่งจองหองที่ไม่รู้จักเจียมตัวเผลอดื่มคอกเทลเข้าไป แล้วยังตามด้วยวิสกี้เพียวๆจนเมาไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่ลากตัวออกมาซะก่อนคงทำทาวเวอร์แก้วแชมเปญพังครืนไม่เป็นท่าแน่


“โว้ย ร้อนนนน! ได้ยินมั้ยว่าร้อนชิบหายเล้ยยยย!!”


เด็กขี้เมาร้องแล้วดิ้นพล่าน พยายามจะแกะกระดุมเสื้อกั๊ก ส่วนผ้าพันคอกับสูทนั้นลอยตกเตียงไปนานแล้ว ผมเข้าไปช่วยเลยเอาออกให้ทั้งตัวจะได้ไม่ต้องถอดกันหลายเที่ยว พอเหลือแค่เสื้อกล้ามกับบอกเซอร์ก็ทำท่าจะนอนหลับปุ๋ย ผมนึกหมันไส้เลยเขกกะโหลกไปหนึ่งที


“โอ๊ยยย!!” เสียงร้องดังเกินเหตุมาก “ใครวะ แน่จริงมา อะโด่ หมาลอบกัด!”


ผมก้มลงไปเสยกระหม่อมอีกสักที เจ้าตัวดีเลยคว้าได้เนคไทที่คาคอผมอยู่แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งโงนเงนตาปรือ ผมลองจิ้มเบาๆทำเป็นหัวเราะคิกคักเลยผลักให้ล้มหงายลงไป แต่ดันลืมว่าจะถูกดึงตามลงไปด้วย สุดท้ายเลยต้องกลายเป็นหมอนข้างให้มันทั้งก่ายทั้งกอดทั้งซุกทั้งไซ้ บอกไม่ถูกว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆน่าจะเป็นฝ่ายที่รู้ตัว อ้อ! ก็ผมล่ะสิ


“อื๊อออ คุณกรแกล้งผมอีกแล้ว ปล่อยยย” อาการละเมอทำให้เผลอฝากรอยยิ้มลงไปกับแก้มนุ่ม ช่างเหมือนกับตอนนั้น... ครั้งแรกที่ผมห้ามใจไม่อยู่เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆมันยวนใจ ชวนให้กดจมูกลงแล้วไซ้ซอนไปตลอดวงหน้า ผิวเนียนเกินชาย ไม่ว่าจะแก้มซ้ายแก้มขวาก็หอม ซอกคออวลกลิ่นแป้งเด็กจางๆก็ยิ่งหอม ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่ชวนให้ค้นหา เสียงเล็กครางห้ามยิ่งปลุกเร้าอารมณ์จนยากจะถอนตัว


‘คุณอะไร เรียกให้ชัดๆสิกานต์’ ที่ถามเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวบ้างว่ากำลังทำให้ใครจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว


‘คุณ...กร ไม่...ไม่นะครับ ปล่อยผม’


‘ให้ปล่อยใครน๊า ได้ยินไม่ชัดเลย’ ไม่เคยเลยที่จะแกล้งทรมานใครแบบนี้ แล้วถามใจจริงผมสิว่าอยากปล่อยหรือเปล่า


‘ปะ..ปล่อย..กานต์’ ขาเริ่มสั่นพาลจะล้มลงไปทั้งคู่ผมเลยยกคนตัวเบาขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงาน ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างกับลูกกวางกลัวถูกจับกิน แต่ถ้าผมเป็นเสือจริงๆจะเก็บเจ้ากวางน้อยตัวนี้เอาไว้ เรื่องอะไรจะกินคำเดียวหมดแล้วอดเสพความหอมหวานนี้ไปนานๆล่ะ


‘อื๊อออ ปล่อยกานต์นะ...นะครับคุณกร’ อาาาา หวานหูชะมัด ผมเพิ่งรู้ว่าคำอ้อนเสียงอ่อนๆมันน่าฟังขนาดนี้


‘ปล่อยก็ได้ แต่ต่อไปถ้ากานต์ดื้อ จะมาหาว่าคุณกรใจร้ายไม่ได้นะรู้มั้ย’


เด็กน้อยหลับตาแน่น ผิวแดงซ่านไปทั้งหน้าจรดลำคอ ที่ยังดูซีดไปหน่อยคงเป็นริมฝีปากที่ผมละเว้นไว้เพื่อให้เจ้าตัวมีโอกาสต่อรอง เมื่อการเจรจาสิ้นสุดก็ถึงคราวที่ผมจะได้พิจารณาคู่สัญญาให้ลึกซึ้งอีกสักที สองที หรือสาม...


“...คุณกร...”


เสียงละเมอเรียกให้กลับมายังเตียงกว้างที่ไม่ได้มีผมแค่คนเดียว ร่างบางกระชับวงแขนแน่นขึ้น เรียวขาขาวยกก่ายสะเปะสะปะผมเลยหนีบขารัดไว้ เพราะขืนไม่ระวังลูกชายสุดที่รักของผมอาจถูกทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ แค่ตอนนี้มันก็ต้องเก็บกดตัวเองจนน่าสงสารพออยู่แล้ว มีอะไรไปกระทบกระทั่งอาจแผลงฤทธิ์จนผมเองก็ควบคุมไม่อยู่ได้เหมือนกัน


“กานต์ เมาหรือเปล่า” ผมลองเรียกเพื่อดูปฏิกิริยาว่าจะยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างมั้ย


“อื้ออออ ฮิ ฮิ”


เอ๊ะ ยังไง?! ปากยอมรับแต่ส่ายหน้าเสียคอแทบหลุด แถมหัวเราะไม่เลิก สรุปคือไม่ใช่เมาเฉยๆ แต่เมามากจนไม่รู้เรื่องนั่นแหละ


“ปล่อยได้แล้ว”


ผมบอกและพยายามแกะมือกาวออก เพราะตอนนี้ชักร้อนจนแอร์ก็เอาไม่อยู่ เล่นกับคนเมานี่ถือเป็นการทำร้ายตัวเองยังไงไม่รู้ แต่พอผมขยับ อีกฝ่ายก็เริ่มดิ้น ร้อนรนอย่างกับตกอยู่ในฝันร้าย


“ไม่เอา ไม่นะ ไม่ให้ไป แม่จ๋า อย่าทิ้งกานต์”


“ลืมตามาดูหน่อย ฉันไม่ใช่แม่นายนะ”


“แม่...อย่าไป...”


สภาพนี้พูดยังไงก็ไม่มีทางรู้เรื่องกัน แล้วถึงจะสงสารเด็กที่ร้องไห้หาแม่แต่ผมไม่อยากทำตัวเป็นแม่ใคร โดยเฉพาะกับเจ้าเด็กคนนี้


“ขี้แยเอ๊ย นี่ฉันกร ได้ยินมั้ยว่าฉันชื่อกร ไม่ใช่แน่นาย”


“คุณกร...ใจร้าย แม่จ๋า คุณกรแกล้ง”


อ้าว! เป็นงั้นไป นี่ขนาดละเมอไม่รู้เรื่องยังมีฟ้อง เจ้าหมอนี่ต้องเป็นลูกแหง่ติดแม่แน่ๆ มิน่าล่ะ เห็นเวลาอยู่กับน้ามาลัยล่ะช่างอ้อนเหลือเกิน


“เอ้าไหนว่ามา ฉันไปแกล้งอะไรนาย” แล้วผมนี่ก็บ้า พยายามจะคุยกับคนเมาให้รู้เรื่องอยู่นั่นแหละ


“คุณกร...ชอบ...”


จู่ๆผมก็ขนลุกซู่ แค่คำธรรมดาๆคำเดียวที่ออกจากปากคนเมาจะมีสาระหรือความหมายอะไรได้แค่ไหน แต่พอออกจากปากเจ้าเด็กคนนี้กลับเหมือนมีระเบิดดังตูมที่กลางอก แล้วหัวใจของผมก็ถูกกระตุ้นเกินจังหวะปกติที่ควรเต้น


“ตื่นมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน นายว่าฉันชอบอะไร กานต์ กานต์” ผมเขย่าร่างเล็กให้ได้สติก่อนที่ผมจะเสียสติซะเอง


“ชอบ...คุณกร...”


หลังการระเบิดคือภาวะหยุดนิ่งเนื่องจากตกอยู่ในอาการช็อค ที่ผมเป็นอย่างนี้ไม่ได้แปลกประหลาดเกินไปใช่มั้ย?


“กานต์!” ผมดึงร่างอุ่นมาแนบอกแล้วกระซิบถามชิดใบหูอ่อน วินาทีนี้มันเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ต้องการการกระตุ้นอย่างด่วนที่สุด “กานต์ชอบคุณกรหรือเปล่า?”


“...ชอบ...”


ถึงไม่เคยทำแต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังเอานิ้วแหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟ เหมือนมีพลังงานบางอย่างแล่นซ่านไปจนทั่วทุกอณูในร่างกาย ปิดตาลงแต่ยังเห็นใบหน้าที่กำลังพริ้มหลับในอ้อมกอด ได้ยินคำละเมอเบาๆสะท้อนก้องไปทั้งหัว เล่นเอาเบลอเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดหัวแต่ไม่เจ็บ กลับจุกไปด้วยความสุขที่พองฟูขึ้นเต็มใจ


“คุณกร...”


“หืม?”


“...หนาว...” ผมรีบกระชับอ้อมแขน แถมจูบอุ่นๆที่ริมฝีปากสีฉ่ำ ไม่เคยเอาใจใครมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ


คนๆนี้คือส่วนผสมลงตัวอย่างที่สุดระหว่างความน่ารัก ขี้อ้อนอย่างเด็กๆ ช่างประจบ ช่างเอาใจจนคนทั้งโรงแรมหรือแม้แต่มาดามหลิวซึ่งดูเย็นชาไว้ตัวยังเทใจให้ แต่ในอีกแง่มุมได้พิสูจน์ความสามารถ สติปัญญาความเฉียวฉลาดให้เป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังใจกล้า มีความเด็ดเดี่ยว กตัญญูรู้คุณถึงขนาดยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ


ถ้าผมจำไม่ผิด กานต์ แปลว่า ผู้เป็นที่รัก และถ้าผมจับความรู้สึกตัวเองไม่พลาด ในหัวใจของผมเริ่มเกิดกระแสแห่งความผูกพันประหลาดที่ทำให้กานต์กลายเป็นคนที่ผม...อยากจะรักเสียแล้ว




จบตอนแล้วจ้า


ตอนนี้ก็เปลียนบรรยากาศมาอ่านพาร์ทคุณกรบ้าง


สงกรานต์ไปเที่ยวกันบ้างคะ ส่วนเราป่านนี้ยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน มันร้อนมากจนละลายย้วยอยู่กับบ้านนี่ล่ะคะ่


 :bye2:



ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





11 .



การนอนคือวิธีการพักผ่อนที่ดีที่สุด ยิ่งถ้าหลับสนิทถึงขนาดไม่ฝันเลยยิ่งจะเป็นเวลาสุดพิเศษที่ร่างกายได้หยุดพัก ซ่อมแซมและเยียวยาให้กลับมามีพลังพร้อมสำหรับชีวิตในวันรุ่งขึ้น ว่าไปแล้วเมื่อคืนผมน่าจะหลับลึกมากๆ ชนิดที่หลับไปตอนไหน ยังไงก็จำไม่ได้ แต่ทำไมพอตื่นมันถึงได้...ปวดเหมือนหัวโดนวางระเบิดอย่างนี้ล่ะเนี่ย!?


เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกตัวดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เหมือนเคยได้ยินแต่นึกไม่ออกว่าคืออะไร แล้วมันก็ดังซ้ำอีกครั้ง น่ารำคาญชะมัดแต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกตัวเลยต้องทนฟังอยู่อย่างนั้น อีกสองครั้งล่ะมั้งถึงได้หยุด


เอ๊ะ! ผมไม่ได้ตกใจที่เสียงนั้นเงียบไป แต่เพราะพื้น หรือ เตียง  หรือจะอะไรก็ตามที่ผมใช้นอนอยู่ขยับ แล้ว... เฮ้ย! ไม่ใช่แค่ขยับ เตียงมันพูดได้ด้วย!!!


“โทรมาทำไมแต่เช้า”


เสียงคุ้นหูหนักกว่าเก่า ผมเลยพยายามลืมตาจะได้รู้สักทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้เห็นอะไรสักอย่าง... ผ้าสีขาว มีเม็ดพลาสติกกลมๆติดอยู่... อ๋อ เสื้อ! ถ้าเป็นเสื้อก็ต้องมีคนใส่ ใครกันนะ?


“อืม ก็นอนอยู่ด้วยกัน”


เสียงนั้นหายงัวเงียและเริ่มขุ่น เจ้าตัวคงไม่พอใจที่ถูกปลุกแต่เช้า อาจจะถูกเซ้าซี้หรือตื๊อถามอะไรที่ไม่อยากตอบก็ได้มั้ง


“ฉันไม่ทำอะไรเขาหรอกน่ะ แค่นี้ใช่มั้ยจะวางแล้ว”


วางก็ดี ถ้าเงียบหน่อยผมจะได้นอนต่อ ไม่ไหวแล้ว ทั้งปวดหัว คอแห้ง แรงไม่มี สมองก็ไม่ค่อยอยากทำงาน พยายามจะนึกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มาตกอยู่ในสภาพนี้...


เมื่อคืนมีงานเลี้ยง มีคนเยอะแยะ แล้วก็มีคุณภากร อ๊า! ใช่แล้ว เมื่อคืนผมไปงานแต่งกับคุณกร อืมมม กลับมาที่คนเยอะแยะ เยอะที่สุดก็ผู้หญิงนั่นล่ะที่วนเวียนรอบตัวเขาจนผมเวียนหัวแต่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสายตาของเขาล่ามเอาไว้ ยืนจนเมื่อยผมก็หันไปเจออะไรสักอย่างในแก้ว สีสวยๆ หอมๆ ดูน่าลองผมก็เลย... อ๋อ! จำได้แล้ว ผมลองดื่มคอกเทลที่พี่คนนั้นเอามาเสิร์ฟแล้วผมก็...จำอะไรไม่ได้อีกเลย...!


ฮืออออ กานต์ขอโทษครับแม่ กานต์รู้ว่าเหล้ามันไม่ดี เพราะกานต์ผิดคำพูดถึงได้ปวดหัวจะระเบิดอย่างนี้ แม่ยกโทษให้กานต์นะ กานต์สัญญา สาบานเลยว่าจะไม่แตะต้องอะไรที่มีแอลกอฮอล์อีก แม้แต่หยดเดียวก็จะไม่เอาเข้าปากเด็ดขาดเลยครับ


“คิดว่าอย่างฉันจะหมดหนทางถึงขนาดต้องปล้ำคนเมาหรือไง!”


คนที่ถูกผมใช้ต่างที่รองนอนส่งเสียงหนวกหูอีกแล้ว เหมือนจะโกรธซะด้วย หรือว่าเขาจะรู้สึกหนัก งั้นผมลุกก็ได้ โอ๊ย! ไม่ไหว ยกหัวไม่ขึ้นอ่ะ...


“เดี๋ยวนะ...” เหมือนเขาจะรู้เลยช่วยช้อนหัวผมไว้แล้วดึงตัวให้ลุกขึ้นไปนั่งพิงอะไรสักอย่างที่อุ๊น อุ่น “อืม ตื่นแล้ว แต่ยังเบลอๆ เป็นเด็กริอาจกินเหล้าก็เมาหัวทิ่มยังงี้แหละ สมน้ำหน้า!”


ไรวะ?! คิดว่าช่วยแค่นี้มีสิทธิ์มาด่ากันแล้วงั้นเหรอ เหอะ! ไม่รู้จักซะแล้วว่าไผเป็นไผ ไหนขอดูหน้าหน่อยดิ๊ แต่แค่จะลืมตามันก็ปวดหัวจี๊ดจนต้องร้องโอ๊ยออกมา เขายังมีหน้ามาหัวเราะเยาะผมอีก ฝากไว้ก่อนเถอะ!


“เฮ้ยเมธ แค่นี้ก่อนว่ะ ท่าทางไม่ดีเลย หน้าซีดๆ สงสัยจะแฮงค์ เกิดอ้วกขึ้นมาล่ะงานเข้าแน่”


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แค่ได้ยินชื่อนี้ผมก็ขนหัวลุกจนตาสว่างทันที ถ้าตอนนี้คือเวลาเช้าแล้วผมยังไม่ลุกจากที่นอนก็หมายความว่าจะเข้างานสาย และถ้าคุณเมธเข้าออฟฟิศแล้วไม่เห็นผม...โอยยย ไม่อยากจะคิด!


“จะถามอะไรก็ถาม อย่ามาลีลา”


พอสติเริ่มกลับมาผมก็จำเสียงนี้ได้ จะเป็นใครอีกล่ะนอกจากคนที่ผมขอกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ถ้าเขาไม่บังคับผมไปงานด้วย ผมจะเมาแล้วตื่นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวขนาดนี้เหรอ


ผมพยายามลืมตาสุดกำลัง ภาพเบลอๆที่เห็นจำได้ว่าเป็นห้องนอนในห้องสูทของโรงแรม ใกล้เข้ามาคือเตียงกว้างสีขาวกับผ้านวมนุ่มฟูที่คลุมขึ้นมาจนถึง... เฮ้ย!  ตายห่าแล้วไอ้กานต์!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมทำอะไรลงไป ทำไมอยู่ดีๆถึงมานั่งพิงอกซบคุณภากรในสภาพเกือบจะเรียกว่าล่อนจ้อนอย่างนี้


โอยยย คิดก็ปวดหัว ไม่คิดก็ปวดหัว...


“อยู่ดีๆทำไมถึงอยากรู้ คนเป็นเลขาต้องสอดส่องเรื่องส่วนตัวเจ้านายขนาดนี้เชียว” ผมไม่ใช่คนสอดรู้แล้วก็เดาไม่ออกด้วยว่าสองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ถึงไม่อยากฟังเสียงเขาก็ลอยเข้าหูผมอยู่ดี “เออๆ รู้น่ะว่าถามในฐานะเพื่อน ก็ได้ ฉันก็จะตอบในฐานะเพื่อนเหมือนกัน”


ผมค่อยๆเงยหน้าแอบมอง หลอกตัวเองว่าคุณภากรคงไม่รู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว แต่ถ้าเขารู้ผมจะมีโอกาสได้ยินมั้ยว่า...


“ฉันคิดว่าฉันชอบเด็กคนนี้ว่ะ” 


ความเจ็บปวดจากที่ขมับแล่นลงกลางอกจนลมหายใจติดขัด เขาคงหมายถึงผู้หญิงที่ถูกตาต้องใจจากงานเลี้ยงเมื่อคืน เป็นใครสักคนที่สาว สวย มีพร้อมทั้งชาติตระกูล ทรัพย์สินเงินทอง ความรู้ความสามารถ ไม่แน่ว่าโรงแรมแห่งนี้อาจจะได้ต้อนรับนายหญิงคนใหม่ในเร็ววัน พอถึงตอนนั้นผมก็คง...


“อืม ใช่ ฉันชอบกานต์”


ผมเบิกตาโพลงพร้อมกับที่คุณภากรก้มลงมายิ้มให้ อย่าบอกนะว่าเขาแค่พูดผิด หรือไม่ผมก็หูฝาดไปเอง


“นายคงไม่รู้หรอกว่าขนาดแค่คำว่าชอบฉันก็ไม่เคยมีให้ใคร ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าชอบแล้วจะยังไง อาจจะจบอยู่แค่นี้หรือวันข้างหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นความรัก หรือไม่แน่ว่า...ฉันอาจจะตกหลุมรักไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกันด้วยซ้ำ...” เขาคุยโทรศัพท์กับคุณเมธ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนทุกคำที่ออกมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆนั้น...สำหรับผมคนเดียว


“นายว่าจริงมั้ยล่ะ”


แล้วยังแถมท้ายด้วยประโยคที่ไม่รู้ว่าถามใคร ไม่รู้คนในสายว่ายังไงแต่ตัวผมเองเสก้มหน้าแนบหูกับแผงอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจของคุณภากรถนัดทีเดียว


เคยได้ยินว่าเวลาคนเราโกหกมักจะใจเต้นเร็ว แต่หัวใจดวงที่ใกล้หูผมนี้ยังสงบ มีจังหวะมั่นคงจนกลายเป็นใจของผมเองที่เต้นไม่เป็นส่ำ หรือเป็นผมต่างหากที่กำลังโกหกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับถ้อยคำพวกนั้น ผมไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าเขากำลังบอกรัก แล้วตัวผมล่ะ มีอะไรจะสารภาพหรือเปล่า


ผมก็แค่ นายกานต์ แค่เด็กกะโปโลธรรมดาที่ไม่มีความรู้สูงส่ง ไม่ได้อยู่ในสกุลดัง ไม่เคยมีเงินเก็บเกินหลักพัน ทุกวันนี้ยังต้องก้มหน้าทำงานใช้หนี้ แต่เขาคือคุณภากร คือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน คือคนที่มีพร้อมทุกอย่างจนน่าอิจฉา แล้วคนอย่างเขาจะต้องการคนอย่างผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงๆน่ะเหรอ


จู่ๆหัวใจก็สั่นระรัวด้วยความกลัวเมื่อรู้สึกถึงความเป็นไป ‘ไม่ได้’ ที่คั่นกลางระหว่างผมกับเขา ความจริงที่ว่าเราต่างเป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นเขาทำเป็นลืมไปหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วผมจะทำเป็นลืมเหมือนเขาได้มั้ย ความสัมพันธ์ที่หันหลังให้ความเป็นจริงจะยั่งยืนตลอดกาลได้หรือ แล้วถ้าสักวันเขายอมจำนนขึ้นมา ถ้าถึงวันนั้นผมจะยังทนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงต่อไปได้หรือเปล่านะ...?!


“แค่คนที่ฉันชอบเป็นผู้ชายแล้วมันจะหมายความอย่างนั้นฉันก็คงไม่มีอะไรจะปฏิเสธ แต่ขอให้รู้ว่าถ้าฉันเป็นเกย์ ผู้ชายที่ฉันชอบจะมีแค่กานต์คนเดียว”


อาาาา ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วลอยขึ้นสู่ความฝันอันหอมหวาน ผมว่าผมได้คำตอบแล้ว ต่อให้อนาคตจะมืดดับ หรือต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บปวดเดียวดาย ขอแค่มีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างในปัจจุบันที่เป็นอยู่นี่ก็พอ และความจริงข้อหนึ่งที่ผมแน่ใจมากกว่าสิ่งใด ไม่ต้องสนว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่คนที่ผมชอบคือคุณภากรแค่คนเดียว


“เออน่ะ นานๆทีน้ำเน่าบ้างไม่ทำให้โลกมันแย่ขึ้นหรอก งั้นแค่นี้ก่อน กานต์นอนจ้องฉันตาแป๋วแล้วเนี่ย” หาเรื่อง! ผมก็แค่อยากเห็นรอยยิ้มของเขาชัดๆ แค่มองเฉยๆ ไม่ได้จ้องอะไรขนาดนั้นสักหน่อย


มือถือถูกตัดสายแล้วทิ้งส่งจนผมอยากขำเพราะนึกเป็นภาพเหมือนคุณเมธโดนจับโยนให้กระเด้ง กระดอน ดึ๋งๆอยู่บนเตียง ถ้าเป็นจริงคงน่าตลกพิลึก ส่วนคนที่กำลังกอดผมอยู่นี่ก็ทำตัวประหลาดพอกัน ผมยิ้มเขาก็ยิ้ม ผมเงียบเขาก็เงียบ แต่ก็เป็นเขาที่ทำลายความเก้อเขินระหว่างเรา


“อรุณ...”


เขาทำเหมือนครูที่เอ่ยนำให้นักเรียนพูดตาม มิน่าล่ะ เมื่อกี้ยังเรียกว่าผมเป็นเด็ก งั้นเขาก็...หมาป่าชราที่มาเสียท่าลูกแกะล่ะว้า


“สวัสดิ์” ส่วนผมก็บ้าจี้เล่นตามเขาซะอีก เฮ้อ พอกัน!


เขายิ้มแล้วหอมหน้าผากผมแรงๆหนึ่งที ไม่ใช่ว่าผมจะสมยอมนะ แต่เพราะรู้ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดีจะโดนหนักขึ้น เรื่องอะไรผมจะต้องดิ้นรนให้เปลืองตัวกว่าเดิม


“ปล่อยสักทีสิครับ” เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ตาผมขอบ้างล่ะ


“แน่จริงก็ดิ้นให้หลุดเองสิ”


วิสัยหมาป่าเจ้าเล่ห์ ท้าทายให้ลำพองตน แล้วพอลูกแกะทำจริงกลับขยับอ้อมแขนแน่นแล้วสูดกลิ่นเนื้อจนแกะน้อยแก้มช้ำ แน่จริงก็ขย้ำซะเลยสิ กินเสียให้หมดในคำเดียว จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป


“อะไรกัน แค่นี้ก็งอนแล้วเหรอ”


เขายอมปล่อยแล้วเลื่อนมือลงไปกอดเอวผมไว้หลวมๆ ผมเลยออกแรงดันแผงอกเปลือยเปล่าให้ห่างอีกหน่อยจะได้มองเขาถนัดขึ้น ใครๆก็บอกว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ผมเลยอยากจ้องให้ลึกเข้าไปถึงหัวใจของผู้ชายคนนี้


“ตกลงว่า...คุณกับผม...” สมองผมยังทำงานได้ไม่เต็มร้อย ก็ขนาดว่าจะถามอะไรผมยังไม่แน่ใจตัวเอง มันเหมือนมองผ่านไปในสายหมอกจางๆ เห็นเป็นเงารางๆ คงดีถ้าเขาช่วยส่งเสียงมายืนยันว่าเขาจะอยู่ตรงนี้กับผมจริงๆ


“เป็นแฟนกันแล้วนะ” เป็นคำสรุปที่ทำให้เงารางๆปรากฏปิ๊งเป็นตัวคนชัดจนน่าตกใจ “ที่ผ่านมาฉันยอมรับว่าเคยมีใครมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้จริงๆว่าแฟนกันคืออะไร ต้องทำตัวยังไงหรือคิดถึงกันแค่ไหน แต่ฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป ฉันชอบที่จะได้เห็นหน้า ได้ยินเสียง ได้นั่งกินข้าว ได้คุย ได้เถียง ได้กอด ได้หอม ฉันชอบที่จะได้รู้สึกว่ากานต์เป็นของฉัน เข้าใจหรือเปล่า”


“ก็...เข้าใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามัน...ง่ายไปหรือเปล่าครับ” ผมบอกเสียงอ่อยๆ เพราะแค่ฟังที่เขาอธิบายมาก็ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว แล้วไม่ใช่ว่าหนาว แต่มันร้อนไปทั้งหน้า เขาพูดเองไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไงเนี่ย


“หึ อยากได้ยากๆก็ไม่บอก”


ซวยแล้ว! จู่ๆรอยยิ้มของคุณภากรก็ดูน่ากลัวขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวผมที่ดิ้นไม่หลุดอยู่แล้วยิ่งถูกรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แล้วเขาก็ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งอย่างสนิทแนบแน่น ไม่ว่าจะเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย รายละเอียดปลีกย่อยแค่ไหนก็ครบถ้วนด้วยสื่อกลางอย่างลิ้นร้อนที่กวาดต้อนทั่วโพรงปากผมอย่างเชี่ยวชาญ ผสานทุกอณูของพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆในร่างกายด้วยน้ำลายชื้นฉ่ำจนเกิดเสียงประหลาดดังระงมทั่วห้อง


อย่างน้อยหมาป่าจอมหื่นก็ยังปราณีให้ลูกแกะอย่างผมได้มีเวลาปรับตัวให้คุ้นเคยกับความสัมพันธ์ เขาจึงแค่จูบและช่วยให้ปลดปล่อยความสุขโดยไม่แตะต้องล่วงเกินให้ผมเจ็บตัว จากนั้นเราก็กลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวัน กินข้าวเช้าด้วยกัน ลงมาที่ออฟฟิศแล้วแยกย้ายกันทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะทุกครั้งที่หันไปเจอแววตามากความหมายคู่นั้น


นอกจากตัวเอง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะรู้สึกผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า พี่พัชรีน่าจะแค่ตื่นเต้นไม่หายที่ได้จับผมแต่งตัว แถมพี่พอลยังฝากบอกมาว่าสนใจอยากให้ผมไปเป็นนายแบบถ่ายแฟชันให้ร้านเสื้อของแกหน่อย พอคุณภากรรู้เข้าก็เซย์โนแทนผมทันที แต่ไม่รู้ล่ะ ผมแอบงุบงิบนัดแนะกับพี่พัชแล้วเพราะคิดว่าน่าสนุกดีแถมยังได้ค่าเหนื่อยเล็กๆน้อยๆ ถึงผมไม่มีเรื่องใช้เงินก็จะได้เก็บเอาไว้ให้พี่กัญกับพ่อบ้าง


ส่วนคุณวรเมธนั้นผมเชื่อว่าเขาต้องรู้แน่ๆแต่ก็ไม่เห็นมีท่าทีอะไร เคยโหดยังไงก็โหดยังงั้น แถมสั่งงานผมเพิ่มโทษฐานที่ลางานครึ่งวันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เฮ้อ! ไม่คิดจะอ่อนข้อให้ผมบ้างเลยหรือไงนะ


และสำหรับคนที่ผมแคร์มากที่สุด...


“เป็นยังไงบ้าง พวกเด็กๆคุยกันให้แซดว่าเมื่อคืนกานต์ถึงกับเมาพับเชียว เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านกินเหล้าทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ดี เมื่อเช้าป้าไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ พอรู้ว่ากานต์อยู่กับนายเลยไม่กล้าไปเรียก ดูซิเนี่ย สีหน้ายังไม่สู้ดีเลย ปวดหัวหรือเปล่า ป้าไปหายามาให้เอามั้ย”


ผมกะเวลาไปรอเจอตอนที่ป้ามาลัยตรวจงานเสร็จเรียบร้อย พอเห็นหน้าป้าก็ใส่ไม่ยั้ง แต่เพราะคือความรัก ความห่วงหาอาทรที่กระหน่ำเข้ามา ผมเลยยิ้มรับหน้าบาน


“เอาครับ” แกล้งตอบเสียงเนือยๆแล้วเขยิบตัวเข้าไปสวมกอด ป้ามาลัยอวบกว่าแม่กานดาเล็กน้อย เวลากอดเลยเต็มไม้เต็มมือดีจริง “แต่ยาไม่เอา จะเอาแบบนี้”


“อะไร้! มากอดป้าแล้วจะหายปวดหัวหรือไง” ป้าทำเป็นเอ็ดแต่ก็กอดตอบผมแน่นพอกัน


“กอดป้าแล้วกานต์มีความสุข หายเจ็บหายปวด สบายที่สุดในโลกเลยครับ”


“เดี๋ยวเถอะนะ จู่ๆก็มาอ้อนคนแก่”


ป้าตีเบาๆที่แขนแต่อีกมือลูบหัวไม่หยุด ผมเลยยิ่งขนลูกอ้อนออกมามัดใจ ขอบอกว่านี่ยังน้อย มารยากระบวนท่าพวกนี้ผมฝึกฝนมาแต่เด็กจนชำนาญ ใครโดนผมอ้อนเข้าล่ะก็ รายไหนรายนั้น ไม่เคยรอด!


“ก็กานต์รักของกานต์ ป้ามาลัยเหมือนเป็นแม่อีกคนของกานต์เลยนี่ครับ”


“ป้าก็รักกานต์เหมือนลูกจ๊ะ อยู่ที่บ้านป้าชอบเล่าเรื่องของกานต์ให้ลุงฟัง เขามีอะไรก็ไปเล่าต่อให้ตาหมึกรู้อีกทอด วันก่อนโทรมายังแซวใหญ่ว่าป้าแอบไปมีน้องชายให้เขาแล้วไม่บอก ถ้าหมึกขึ้นมากรุงเทพเมื่อไหร่ต้องขอมาดูตัวกานต์แน่ๆ”


พี่หมึกคือลูกชายคนเดียวของป้ามาลัย เพิ่งเรียนจบโรงเรียนนายเรืออากาศและขอสมัครไปประจำที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนี้ได้เป็นนักบินผู้ช่วยอยู่ที่ปัตตานี ผมเข้าใจว่าป้ากลัวและเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆกับลูกชายคนเดียว พี่หมึกเองก็คงรู้จึงโทรมาส่งข่าวคุยเล่นอยู่เสมอ ส่วนผมได้แต่ฟังเรื่องราวของพี่หมึกด้วยความชื่นชมในการเสียสละความสุข ความสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง และคอยช่วยป้ามาลัยสวดภาวนาให้พี่หมึกและทุกคนที่นั่นอยู่รอดปลอดภัย


“กานต์ก็อยากเจอพี่หมึกเหมือนกันครับ อยากเห็นนักบินกองทัพอากาศตัวเป็นๆ พี่เขาต้องเท่ห์ ดูสมเป็นชายชาตรีมากๆเลยใช่มั้ยครับ” ผมเคยเห็นแต่รูปถ่ายพี่หมึกในชุดนักเรียนนายเรืออากาศ แต่แค่นั้นพี่เขาก็ดูดีสุดๆแล้ว


“ฟังพูดเข้า อยู่กับคนแก่เลยติดใช้คำเก่าๆหรือไง ‘ชายชาตรี’ แหม ป้าเองก็ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วนะ จำได้ว่าตอนเจอลุงครั้งแรกก็รู้สึกว่าเขาสมชายชาตรีอยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหว ขี้บ่น ขี้น้อยใจยิ่งกว่าป้าซะอีก” รายของลุงสามารถนี่ก็โดนป้ามาลัยนินทาเป็นประจำ แต่ในดวงตาของป้าก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและผูกพันอย่างคนที่เป็นคู่ชีวิตโดยแท้


“แล้วอย่างกานต์นี่จะเรียกว่าสมชายชาตรีได้หรือเปล่า” ผมสบช่องที่จะได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ “ถ้ามีคนมาบอกว่าชอบกานต์ ป้าจะว่ายังไงครับ”


“ก็ดีสิ มีคนมาชอบลูกป้า ป้าจะว่าไม่ดีได้ยังไง แต่แหม ผู้หญิงสมัยนี้ช่างใจกล้ากันจริง ใช่สาวๆที่โรงแรมเราหรือเปล่าจ๊ะ”


“โรงแรมเราน่ะใช่ครับ แต่ไม่ใช่...สาวๆ...” ป้าถามยิ้มๆแต่ผมเริ่มกลัว ถ้ารู้ความจริงทั้งหมดป้าจะยังยิ้มออกมั้ยนะ


“เอ๊ะ! แต่ที่ป้ารู้จักก็ไม่เห็นจะมีแก่ๆคนไหนชอบเด็ก ใครกัน ป้าเดาไม่ถูกแล้วเนี่ย”


“เขาก็ไม่ใช่สาวๆ หมายถึงไม่ได้เป็นสาว แต่ก็ไม่ใช่ว่าแก่ โอ๊ย! พูดเองงงเอง คือกานต์จะบอกว่าคนนั้นเขาเป็น...” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นไว้ให้ถึงที่สุดแล้วค่อยพ่นพรวดออกไปพร้อมกับ... “ผู้ชายน่ะครับ!”


“ต๊าย! เอาอะไรมาพูด บอกมาซิว่าใครมันมาแกล้งกานต์ เดี๋ยวป้าไปจัดการให้ จะเอาเรื่องให้ถึงหัวหน้างานไปเลย เล่นอะไรพิเรนๆอย่างนี้ได้ยังไง”


ป้ามาลัยดูเดือดร้อนแทนผมมาก แต่พูดตรงๆนะ...


“กานต์ว่าใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกครับ”


“ทำไมจะไม่ได้ หรือว่าเขาใช้ตำแหน่งหน้าที่มาข่มขู่ กานต์ไม่ต้องไปกลัวนะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ป้าจะเรียนคุณภากรให้เอง รับรองว่านายต้องช่วยกานต์ได้แน่”


พอบอกอย่างนี้ป้าก็ยิ่งโมโหจนน่ากลัวว่าความดันจะขึ้นเสียก่อน งั้นผมรีบเฉลยเลยดีกว่า...


“งั้นกานต์ว่าป้าอย่าทำอะไรเลย เพราะคนที่มาบอกว่าชอบกานต์ก็...คุณภากรนั่นแหละ”


“อกอีแป้นแตก!!” ป้ายกมือทาบอก สีหน้าตกใจจนผมนึกด่าตัวเองที่หาเรื่องมาให้ป้าร้อนใจแท้ๆ “กานต์ว่าอะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีซิ นะ..นายเนี่ยนะ!”


“ครับ เมื่อเช้าพอตื่นมานายใหญ่ของป้าบอกว่าชอบกานต์ แล้วกานต์ก็...”


“หมายความว่ายังไง กานต์ทำไมลูก?”


ผมยั้งปากไว้เพราะยังตัดสินใจอยู่ว่าจะบอกดีหรือเปล่า แต่เมื่อก่อนผมยังคุยกับแม่ได้ทุกอย่าง ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นความลับหรือเรื่องน่าอายแค่ไหน กับป้ามาลัยก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่


“กานต์ก็คิดว่าชอบคุณกรเหมือนกัน” พูดออกไปแล้วรู้สึกโล่งอก ที่เหลือก็แค่รอฟังผลตอบรับเท่านั้น “ป้าจะว่าอะไรกานต์มั้ย...”


“เดี๋ยวนะลูก ขอป้าหายใจหายคอก่อน” ป้ายกมือทาบอกอีกรอบแล้วสูดหายใจลึกๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน นายเนี่ยเหรอจะชอบผู้ชาย แล้วกานต์ก็เป็นไปกับเขาด้วย?!”


ผมรู้ว่าเป็นใครก็คงไม่เชื่อ เพราะที่ผ่านมาคุณภากรมีข่าวกับสาวๆพอให้พนักงานโรงแรมเก็บไปเมาท์กันอยู่เสมอ แต่ละนางขึ้นแท่นดาราแถวหน้า หรือไม่ก็ไฮโซสาวสวยทั้งนั้น แล้วผมล่ะเป็นใคร...เด็กกะโปโลแถมเป็นผู้ชายอีกต่างหาก ใครรู้เข้าคงพาลคิดว่าผมทำเสน่ห์ยาแฝดใส่คุณกรแน่ๆ


“ป้าคง...เกลียดกานต์แล้ว”


“เปล่าลูกเปล่า ป้าแค่ตกใจ กานต์ไม่ได้ทำผิดหรือคิดร้ายใครสักหน่อย ป้าจะไปว่าหรือเกลียดอะไรกานต์ทำไม”


“แต่กานต์เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้ชาย... ลองนึกดูง่ายๆ ถ้าพี่หมึกมาบอกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย ป้าจะรับได้เหรอครับ”


ผมมองป้าแล้วยิ่งใจเสีย ดวงตาของป้านิ่งเหมือนไม่มีใครที่ผมรู้จักอยู่ในนั้น ครู่ใหญ่ที่ป้าเงียบไปก่อนจะกระพริบตาขับไล่ความเฉยชาแล้วกลับมามองผมด้วยสายตาของป้ามาลัยคนเดิม


“ถ้ากานต์ถามป้าเฉยๆ ป้าก็คงสองจิตสองใจ บอกไม่ถูกหรอกว่าจะรับได้หรือเปล่า แต่ถ้าถามในฐานะแม่ ป้าตอบได้ทันทีว่าไม่ขัดข้องเลยถ้าสิ่งนั้นเป็นความสุขของคนที่ป้ารัก จริงอยู่ที่คนเป็นแม่ย่อมอยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา มีเมียมีลูกสืบวงศ์ตระกูลให้ชื่นใจ แต่ถ้าเขาเลือกแล้วมีความสุข และคนที่เขาเลือกก็เป็นคนดี ไม่ได้คิดมาหลอกลวงหรือทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ คนเป็นแม่ก็มีแต่จะอวยพรให้เท่านั้นเองจ๊ะ”


“แต่ยังไงพี่หมึกก็ต้องหาสะใภ้สาวๆ สวยๆมาให้ป้าชื่นใจได้แน่ ทหารอากาศที่ทั้งหล่อแถมนิสัยดีไม่มีทางขาดรักหรอกครับ” ผมแซวให้ป้ายิ้มออกและรู้ว่าในรอยยิ้มนั้นคือความภูมิใจของคนเป็นแม่


“พี่เขาน่ะช่างเถอะ ป้าไม่ห่วงหรอก มาคุยเรื่องกานต์ดีกว่า แล้วตกลงยังไงลูก กานต์กับนาย...”


คำถามของป้าทำให้ผมต้องหยุดคิด นั่นสิ อย่างคุณภากรกับผมจะเรียกว่าอะไรดี?


“คุณกรบอกกานต์ว่า... เป็นแฟนกันแล้วนะ”


“หา?! อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้น?!  บอกชอบแล้วเป็นแฟนกันเลยเนี่ยนะ” เที่ยวนี้ป้าไม่เอามือทาบอกแต่ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังยกใหญ่ สงสัยป้าคงตกใจมากจนคิดว่าผมจะตกใจตามไปด้วย “ตายๆๆ นี่นายเห็นกานต์เป็นคนยังไง นึกจะชอบก็ชอบ นึกจะรักก็รัก คอยดูนะ ถ้ามาทำมักง่าย คิดจะเล่นๆกับกานต์ล่ะก็ นายก็นายเถอะ ป้าไม่มีวันยอมหรอก”


“ป้าคร้าบ! นี่ตกลงจะไม่ค้าน ไม่ต่อต้านอะไรสักนิดเลยเหรอเนี่ย” ผมเงยหน้ามองแล้วถามเสียงอ่อยๆ


“อ้าว! ก็กานต์บอกเองว่าชอบนายเหมือนกันแล้วป้าจะค้านอะไรได้อีกล่ะ ความจริงป้าก็ไม่ได้อยากสนับสนุนเพราะเรื่องแบบนี้ต้องมีอีกหลายคนไม่ยอมรับแน่ แต่ป้าเชื่อว่านายจะต้องคุ้มครองดูแลกานต์ได้ ที่สำคัญมันเป็นความสุขของคนที่ป้ารักถึงสองคน ป้าจะไม่ยินดีด้วยได้ยังไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกานต์จะมีป้าคอยเอาใจช่วยนะลูก”


“กานต์รักป้าม๊ากมาก”


โอยยย คำว่ารักก็ยังน้อยไปสำหรับป้ามาลัยที่แสนดีของผม


“หืม? มากกว่านายหรือเปล่าจ๊ะ”


โดนป้าแซวอย่างนี้ผมเลยคิดหนัก ตอบดีรอดตัว ตอบมั่วก็เรื่องยาว งั้นผมขอเดินทางสายกลางเพราะต่างก็เป็นคนสำคัญที่ผมขาดไม่ได้ทั้งคู่


“เท่ากันได้มั้ยครับ แหะ แหะ”


ป้าฟังคำตอบแล้วคงถูกใจเลยหัวเราะร่วน ส่วนตัวผมบอกได้เลยว่านี่คือความสุขอย่างที่สุด คนที่ผมให้ความสำคัญยอมรับในทุกๆสิ่งที่ผมเลือกและพร้อมเป็นกำลังใจให้ นั่นคือการเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นทั้งๆที่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ


เช้านี้มีคนบอกรักผม ตกเย็นก็มีคนร่วมยินดีกับความรักนั้น เป็นวันที่ดีมากวันหนึ่งเลยว่ามั้ยครับ



จบตอนแล้วจ้า


เขาบอกรักกันแล้วนะ เนียนๆอ่ะ อิ อิ   :-[


ปล. เรื่องสั้นก็อัพตอนสองเหมือนกันนะจ๊า  :hao3:


 :bye2:



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รวดเร็วปานวอกเชียวคุณกร

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รอ รออ่านตอนใหม่คับ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1






12 .



อันที่จริงถ้าไม่นับเรื่องพ่อ ชีวิตของผมที่ผ่านมาก็ถือว่าสุขสงบดี ตื่นมารู้ตัวว่าต้องทำอะไร วันทั้งวันหมดไปกับงานที่ทำซ้ำๆเป็นประจำ เสร็จสรรพกลับบ้านอาบน้ำเข้านอน ครบเดือนรับเงิน จ่ายไป มีเหลือเก็บบ้างตามอัตภาพ เป็นชีวิตอย่างคนธรรมดาที่อาจดูน่าเบื่อแต่ก็คงดีกว่าต้องดิ้นรนจนวุ่นวายเกินไป แต่พอผมก้าวเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ ความสุขสงบของชีวิต... เฮ่อ! ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละครับ!


นับตั้งแต่ที่ถูกยัดเยียดสถานะแฟนโดยความ...ก็อาจเรียกว่าเต็มใจนิดหน่อย ผมก็กลายเป็นลูกแกะที่มีหมาป่าตัวใหญ่ตามติดเป็นเงา ถ้าไม่นับเวลาเข้าประชุมหรือออกไปธุระข้างนอก ไม่มีตอนไหนเลยที่คุณภากรจะไม่มาป้วนเปี้ยนวอแวอยู่ใกล้ๆ ขนาดว่าหนีไปหาป้ามาลัยก็ยังถูกตามรังควานจนสุดท้ายป้าต้องยอมเป็นฝ่ายทิ้งผมไว้กับเขาเสียเอง แต่เชื่อมั้ยว่าผมยังโชคดีมีที่หลบภัย เป็นที่เดียวที่คุณภากรยอมปล่อยให้ผมคลาดสายตา แถมยังไม่กล้าบังคับขู่เข็ญหรือเร่งจะเอาตัวผมกลับไปอีกด้วย


“นี่มันจะทุ่มนึงแล้ว ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ” อย่างดีก็แค่มานั่งพ่นลมหายใจทิ้งแล้วส่งเสียงหงอยๆถามเป็นระยะ


“อีกนิดนึงนะครับ เหลือไม่กี่หน้าเอง” เป็นคำตอบเดียวจากปากผมมาตั้งแต่...น่าจะสักห้าโมงเย็นเห็นจะได้


“เฮ้ยเมธ ฉันว่านายก็ควรกลับบ้านกลับช่องไปพักผ่อนได้แล้ว อีกอย่างนายเป็นคนแนะนำฉันเองว่าให้ลดโอทีของส่วนออฟฟิศ เพราะฉะนั้นถึงจะอยู่มืดค่ำแค่ไหนก็ไม่ได้อะไรหรอกน่ะ มีแต่เปลืองแอร์เปลืองไฟเปล่าๆ กลับๆไปซะเถอะไป๊”


คุณภากรทำอะไรผมไม่ได้เลยหันไปเล่นงานเจ้าของหลุมหลบภัย แต่เชื่อเถอะถึงเป็นเจ้าของโรงแรมก็ทำอะไรคุณวรเมธไม่ได้หรอก


“ผมแค่อยากทำงานให้คุ้มเงินเดือนเท่านั้นครับเจ้านาย” คำตอบคุณเลขาช่างบาด สายตาที่มองมาก็ยิ่งทำให้ผมร้อนๆหนาวๆ ยังกลัวๆอยู่ว่าที่นี่จะกลายเป็นหลุมฝังศพผมแทนเสียก็ไม่รู้


“โอเค งั้นฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ จ้างให้นายเลิกทำงานเดี๋ยวนี้เลย ฉันขี้เกียจจะรอแล้วนะโว้ย”


ผมเหลือบมองทั้งคู่แล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบเสมือนจริงมาก หมาป่าเกเรหมดหนทางสู้จึงได้แต่ส่งเสียงข่มขู่พญาเหยี่ยวที่เกาะคอนไม้อยู่สูงสุดเอื้อม เสียงคำรามดังจนแผ่นดินสะเทือนแต่ฝ่ายเหยี่ยวแค่เหยียดสายตาลงมอง ไม่ต้องทำอะไรก็ชนะใสๆแล้ว


“แล้วท่านประธานมานั่งรออะไรมิทราบ” โอ๊ะโอว พญาเหยี่ยวก็แขวะเป็นแฮะ


“หนอย! รู้แล้วยังจะแกล้ง ฉันก็รอว่าเมื่อไหร่นายจะปล่อยแฟนฉันเลิกงานซักทีสิไอ้บ้า!”


“โอว มาย ก็อด ใครหรือครับ เป็นเกียรติเหลือเกินที่จะได้เห็นหน้าค่าตาหวานใจท่านประธาน ช่วยแนะนำให้ผมรู้จักทีเถอะ”


เฮ้ย! แล้วไหงหมาป่ากับพญาเหยี่ยวดันแท็กทีมมารุมลูกแกะที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะ เล่นอย่างนี้ผมก็ตายคนเดียวน่ะสิ


“คุณเมธ! คุณกร! พอได้หรือยังครับ ถ้าจะคุยต่องั้นผมขอตัวไปที่อื่นก็ได้”


“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนน๊า คุณกรขอโทษ จะรูดซิปปากให้เงียบกริ๊บเลย”


หมาป่าเจ้าเล่ห์ตะครุบผมหมับ ทำเสียงอ่อนเสียงหวานเกลื่อนความผิดจนน่าหมันไส้ ส่วนเหยี่ยวตัวร้ายเสมองไปทางอื่น แต่ผมเห็นกับตาว่าเขายกแฟ้มมาปิดหน้าแล้วแอบขำ ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็เชิญ อย่างน้อยต่อหน้าป้ามาลัย พี่พัชรี และคุณวรเมธซึ่งรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมก็พอจะเป็นตัวของตัวเองได้บ้าง จะเขินจะอาย หรือกระทั่งข่มคุณภากรก็ทำได้โดยไม่ต้องกลัวใครสงสัย


“จริงนะครับ” พอผมเสียงเข้มขึ้น คนเอาแต่ใจก็มักจะยอมลงให้ “งั้นก็นั่งรอเฉยๆ ผมขออ่านอีกแค่...”


เสียงสัญญาณสั้นๆจากมือถือทำให้ผมชะงัก พอเช็คดูผมยิ่งเงียบไปและคงเผลอทำอะไรผิดสังเกตให้คุณกรเอ่ยปากถาม แม้แต่คุณเมธยังวางแฟ้มลงแล้วหันมามองเลย


“พ่อส่งข้อความมาครับ บอกว่ารออยู่ข้างล่าง ให้ผม...”


“ไม่ต้องไป!”


เฮ่อ! หมาป่าเกเรเริ่มหงุดหงิดอีกแล้ว ดีนะงานนี้ผมได้เหยี่ยวเป็นพวก


“มากไปน่ะกร จะห้ามพ่อลูกไม่ให้เจอกันได้ยังไง”


“แต่พ่อที่... ก็ได้ๆ งั้นฉันไปด้วย” ถึงจะพูดไม่หมดแต่ผมรู้ว่าคุณกรหมายถึงอะไร เขามองตาผมแล้วเป็นฝ่ายถอนหายใจจนผมรู้สึกว่าเขากังวลเกินไปหรือเปล่า ผมไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอที่ต้องให้เขาคอยเป็นห่วงตลอดเวลาสักหน่อย


“ไม่ต้องหรอกครับ ไปแป๊บเดียวเอง” คิ้วเข้มเริ่มตึงๆ ท่าจะไม่ดี ผมเลยรีบปรับกลยุทธ์ “พ่อคงมาเรื่องเดิมๆ คุณกรรออยู่ที่นี่ดีกว่า กานต์จะรีบไปรีบมาแล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆทานกัน นะคร้าบ”


อีกครั้งที่ลูกอ้อนของผมได้ผลถึงขนาดที่คุณภากรยิ้มออกและดึงเข้าไปหอมแก้มต่อหน้าต่อตาบุคคลที่สาม คุณเมธเลยขำพรืดแล้วรีบไล่ผมออกจากห้องแทบไม่ทัน ผมลงมาที่ด้านหน้าโรงแรมแต่ไม่เห็นใครเลยวิ่งอ้อมไปแถวลานจอดรถที่เคยเจอกับพ่อคราวที่แล้ว ที่มุมหนึ่งของลานกว้างใต้เงาแป้นบาสเกตบอลใหญ่ พ่อโบกมือเรียกแต่พอผมวิ่งเข้าไปหาถึงได้รู้ว่าพ่อไม่ได้มาคนเดียว


“คราวนี้เท่าไหร่” ผมดึงพ่อห่างออกมาเพื่อสอบถามอย่างเข้าใจสถานการณ์ดี ทีแรกเห็นพ่อชูสามนิ้ว ผมแอบโล่งอกเพราะในตัวตอนนี้มีอยู่สองพันกว่า อาศัยหยิบยืมอีกนิดหน่อยก็ได้แล้ว แต่พอได้รู้จำนวนจริงๆแทบลมจับ “สามหมื่น!”


“จริงๆก็แค่สองกว่าๆ แต่ทีนี้มันมีดอกเบี้ย ไม่ได้ให้เขามาเกือบอาทิตย์แล้ว พ่อจำเป็นจริงๆเลยต้องมาเดือดร้อนเอ็งนี่แหละ”


“พ่อก็รู้ว่าผมทำงานที่นี่ไม่มีเงินเดือน ดีแต่ว่าเจ้านายใจดีก็ให้พิเศษบ้างนิดๆหน่อยๆ เงินตั้งสามหมื่นผมจะไปเอาจากที่ไหน?!”


“เรื่องนั้นพ่อก็รู้ แต่ที่นี่คนเยอะแยะ ไม่มีใครที่เอ็งพอจะ...”


“พ่อ! ใครเขาจะให้ยืมกันทีเป็นหมื่นๆ แค่พันสองพันผมก็เกรงใจเขาจะแย่อยู่แล้ว”


“แล้วเอ็งจะให้พ่อทำไงเล่า!”


ผมเชื่อว่าพ่อคงรู้สึกผิดหรือไม่ก็เหลือความละอายใจอยู่บ้างเลยพยายามกระซิบกระซาบกันค่อยๆ แต่เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่จมูกผมรู้สึกได้บวกกับความร้อนใจเป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มากนัก จุดนี้ล่ะที่ผมต้องฝืนจนไม่อยากจะทน พ่ออ้างความเครียดเลยกินเหล้า แต่พอเหล้าเข้าปากก็ยิ่งสร้างเรื่องปวดหัวให้ทบทวีขึ้น และที่มันจี๊ดเพราะทุกครั้งที่มีปัญหา พ่อถึงจะเพิ่งนึกได้ว่ามีผมเป็นลูกชายที่ควรทดแทนบุญคุณโดยการตามสะสางเรื่องทุกอย่างให้


คราวที่แล้วผมถูกพามาทิ้งไว้ที่นี่ คราวนี้พ่อก็พาผู้ชายท่าทางไม่เป็นมิตรมาอีก พอเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็ยกมือกุมบั้นเอว เฮ่อ...ไม่ต้องโชว์ออฟผมก็รู้น่ะว่าพี่แกมีปืน หน้าโฉดขนาดนี้พกแค่ไม้กระบองก็หน่อมแน้มเกินไปล่ะ


“ใจเย็นก็ได้ครับพี่ ผมแค่ขอคุยด้วยเฉยๆ”


“ถ้าคุยแล้วไม่จ่ายก็อย่าเลย เสียเวลาว่ะไอ้หนู”


ฟ้ามืดแล้วยังใส่แว่นดำ ผมเลยเดาอารมณ์เขาไม่ถูก แต่ก็คงต้องลองเจรจาเพราะให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางหาเงินก้อนตั้งสามหมื่นมาใช้หนี้ได้แน่ๆ


“งั้นถ้าผมจะขอผ่อนจ่ายได้มั้ย สักเดือนละ...สอง หรือ สามพัน...”


“เห็นพี่เป็นเด็กอมมือหรือไงไอ้น้อง แค่นั้นเอากลับไปหยอดกระปุกที่บ้านดีกว่ามั้ย”


“โธ่พี่! ถ้าพ่อผมหรือผมมีเงินมากขนาดนั้นจะต้องไปเป็นหนี้พี่หรือครับ”


“ไม่สนโว้ย! อย่างน้อยวันนี้เงินต้นต้องได้ ไม่งั้นก็มีเจ็บตัวกันบ้าง”


เจ้าหนี้อารมณ์เสียที่ไม่ได้เงิน แล้วคิดเหรอว่าลูกหนี้อย่างผมจะของขึ้นบ้างไม่ได้ ในเมื่อคนมันไม่มีแล้วจะให้มันมีขึ้นมาได้ไงกันวะ?!


“งั้นก็ตามใจพี่เหอะ เพราะผมไม่มีให้จริงๆ”


“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ารังแกเด็ก”


“โอ๊ย! ผมรู้ครับว่าพี่กล้าอยู่แล้ว ขูดเลือดขูดเนื้อกันเหมือนคนอื่นเขาไม่ใช่คนยังทำได้เลยนี่”


“เฮ้ย! อย่ามากวนตีน เห็นหน้าหวานๆปากหมาเหมือนกันนะมึง”


บอกตามตรงว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทเขา แต่ลองสมมติว่าตัวเองเป็นหนูจนตรอก จะซ้าย ขวา บน ล่าง หรือด้านหลังก็เจอแต่กำแพง ทางรอดเดียวคือข้างหน้าที่มีแมวตัวใหญ่รอท่า ขืนอยู่รอให้แมวเข้ามากินก็ตาย ลองสู้ดูสักตั้ง อย่างน้อยโอกาสรอดกับตายก็ยังห้าสิบห้าสิบล่ะน่ะ


“ไม่เหมือนพี่ใช่มั้ยครับ จะหน้าตาหรือสันดานก็...”


ผมว่าหมอนี่ถอดแบบตัวร้ายหนังไทยมาชัดๆ ยังไม่ทันตั้งตัวหมัดพี่แกก็ซัดเข้าแก้มผมจังๆ อูยยยย ทำไมไม่หัดให้สัญญาณกันก่อนวะ!


“กานต์!” ยังดีที่มีคนรู้คิวของความเป็นพ่อ รีบเข้ามาห้ามก่อนที่ผมจะโดนซ้ำ “มากไปหรือเปล่าเฮีย เด็กมันตัวนิดเดียว ทำไมต้องทำรุนแรงกันด้วย!”


“มึงก็หัดสั่งสอนลูกให้มีมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่ซะบ้าง”


แม่งเอ๊ย! พ่อผมไม่ทันทำอะไรยังโดนผลักซะกระเด็น ตัวมันนั่นแหละพ่อแม่สั่งสอนแล้วไม่หัดจำ!


“มารยาทกูมี มีมากด้วย แต่ไม่ได้เอาไว้ใช้กับผู้ใหญ่เลวๆอย่างมึงโว้ย!”


“หนอย ไม่เข็ด เงินไม่ได้งั้นขอกระทืบมึงแทน อยากรู้นักโดนตีนกูแล้วจะจองหองได้สักกี่น้ำ”


ผมยังยืนมึนๆก็เลยถูกผลักไปกระแทกกับโครงแป้นบาส โอยยย เจ็บหลังเพิ่มมาอีกอย่างแล้ว


“อย่าเลยเฮีย ผมขอล่ะ เด็กมันไม่รู้จักคิด เฮียอย่า...”


“มึงจะหลบหรืออยากเจ็บตัวเองไอ้บัติ!”


ผมแอบดีใจนะที่เห็นพ่อไม่ตอบแต่ก็ยังยืนขวางตัวผมไว้ แต่พ่อเองใช่จะแข็งแรง โดนปัดเบาๆก็กระเด็นไปอีกทาง แล้วผมก็โดนซ้ำแผลเดิม ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าแอนตาซิลได้จ่ายแน่ แต่มันเห็นผมยังยืนอยู่ได้เลยเสยท้องอีกหนึ่งหมัด จุกสิครับงานนี้! ถึงจะเคยโดนน้ำมือพ่อมาบ้างแต่ผิวท้องผมมันไม่มีทางด้านชาหรือหนาขึ้นเพื่อรับแรงกระแทกอะไรแบบนี้แน่


“ขนาดนี้ยังยืนไหว เก่งเหมือนกันนี่”


“ก็เก่งพอจะทนความเลวของมึงได้ละกัน”


ขาดคำผมก็โดนคว้าคอกระชากจนขาลอยจากพื้น ผมจ้องผ่านแว่นดำรู้สึกได้ถึงแววตาโกรธจัด แต่ยังเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องรองรับแรงอารมณ์นั้นอีกครั้ง...


“เฮ้ย! ถ้าไม่อยากตายมึงปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้!!”


เฮียสยามมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมลูกน้องคุมหลังอีกหนึ่งแผง ทุกคนซ่อนอาวุธครบมือเพราะทีแรกเฮียคงกลัวลูกค้าโรงแรมตกใจเลยวิ่งตัดลานจอดรถมาตัวเปล่า แต่พอมาถึงเท่านั้น เฮียชักปืน ส่วนพวกพี่ๆมีทั้งมีด ไม้ แถมสนับมือพราว สีหน้าแต่ละคนอยากเล่นปิดประตูตีแมวกันเต็มแก่ สถานการณ์แบบนี้ถึงไอ้คนที่ซ้อมผมจะใจเด็ดแค่ไหนก็คงไม่อยากไปเฝ้ายมบาลก่อนวัยอันควร มันเลยรีบปล่อยแล้วพยายามมีไมตรีกับเจ้าถิ่นสุดกำลัง


“ใจเย็นน่าเฮียหยาม ผมแค่มาเคลียร์ธุระเฉยๆ พ่อไอ้เด็กนี่มันติดหนี้เสี่ย เป็นเฮียก็ต้องทำเหมือนผมไม่ใช่หรือไง”


เห็นท่าทีอ่อนน้อมแล้วรู้เลยว่าเฮียสยามต้องมีชื่อเสียงพอตัว แต่พอผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงปรากฏตัวเท่านั้น ไม่ว่านักเลงหน้าไหนก็ก้มหน้ากลัวหงอกันเป็นแถบ


“เท่าไหร่”


น้ำเสียงเยียบเย็นดังแทรกมาแล้วลูกน้องเฮียสยามก็หลีกทางให้สองคนสุดท้ายที่เพิ่งมาถึง คุณวรเมธรีบตรงเข้ามาประคองผม ส่วนคุณภากรยืนรอนิ่ง เมื่อได้คำตอบก็หันไปรับธนบัตรปึกหนึ่งจากเฮียสยามแล้วโยนลงบนพื้นเบื้องหน้าเจ้าหนี้ของพ่อ


“ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไป ฝากบอกเสี่ยด้วยว่าโรงแรมฉันไม่ใช่ที่ให้ใครมาทวงหนี้ ถ้ายังส่งคนมาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีก เสี่ยอาจเสียลูกน้องมือดีไปไม่รู้ตัว” 


ชายแว่นดำพยักหน้ารับและก้มลงหยิบของ ไม่มีท่าทีลนลานแต่ก็ไม่กล้าสบตาเจ้าของเงิน และก่อนที่จะมีใครกระพริบตาเขาก็ล้มลงไปนอนกองเพราะเฮียสยามบังเอิญเอ็นข้อเท้ากระตุกเหวี่ยงเข้าชายโครงพอดิบพอดี


“โทษฐานที่มึงแตะต้องคนของนายกู!” เฮียสยามชี้หน้าบอกเบาๆแต่น้ำเสียงโกรธจัด และผมว่ามันอาจเป็นวิถีของนักเลงเพราะฝ่ายนั้นแค่พยักหน้ารับแล้วรีบหันหลังเดินออกจากเขตโรงแรมไปทันที


ทุกคนอยู่ในภาวะสงบรอ เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์สั่งการ และตอนนี้เขาก็หันมาจัดการกับสิ่งรกหูรกตาที่เหลือ...พ่อผมเอง!


“ยังจำที่ฉันบอกได้หรือเปล่า” คุณภากรเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่แววตากล่าวโทษทุกคำ ส่วนผมแค่ขยับก็ถูกคุณเมธจับตัวไว้ เฮียหยามส่ายหน้าห้ามเบาๆ ดูเหมือนทุกคนล้วนลงความเห็นว่าพ่อเป็นคนผิดและสมควรรับโทษ


“จะ..จำได้ครับท่าน แต่ผม...ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ” พ่อก้มหน้าตอบทำให้ผมต้องหันหนีด้วยความแสลงใจ ผมอาจจะโกรธในสิ่งที่พ่อทำแต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรผมก็ไม่เคยเกลียดพ่อได้ลง


“ไม่มีทางเลือกถึงต้องพาลูกชายมาที่นี่ให้ฉันรับไว้ นั่นยังไม่พออีกหรือไง”


จู่ๆคุณภากรก็หันมาพร้อมสายตาที่เหมือนส่องผ่านเข้ามาอ่านใจผมออก ตัวผมเองก็เริ่มจะเข้าใจความคิดของเขา รู้ว่าเขาไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ และเขาไม่พอใจที่เห็นผมถูกทำร้าย แต่ผมก็อยากให้เขารู้ว่าผมไม่เป็นไร ผมอยากให้เขาอภัย เพราะความโกรธที่ปะทุขึ้นรังแต่จะทำร้ายเขาเอง ส่วนพ่อผมน่ะเดี๋ยวพอเหล้าเข้าปากก็ลืมหมดแล้ว


“กานต์เป็นคนของฉันแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวาย ถ้าคุณยังมีความเป็นพ่อหลงเหลืออยู่บ้าง หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้”


คุณภากรพูดกับพ่อแต่ยังจรดสายตาอยู่ที่ผม เขายิ้มปลอบโยนผมส่วนผมก็ยิ้มขอบคุณเขา นั่นทำให้ผมได้คิด...เมื่อใดที่คนเราเปิดใจให้กัน ความรักกับความเข้าใจก็คงเป็นผลพลอยได้ที่ช่วยค้ำชูซึ่งกันและกัน


พ่อเอ่ยขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วนแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่เหลียวแลผมเหมือนเคย แต่ช่างเถอะ หัวใจของผมมันชินชาเกินกว่าจะหวังหรือผิดหวังอะไรได้อีก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือร่างกายที่หายชาและระบมมากขึ้นทุกที คุณเมธคงรู้สึกได้ว่าผมทิ้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเลยรีบบอกให้ไปหาหมอ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็ถูกพามาพบนายแพทย์ท่าทางใจดีที่คุณกรเรียกว่า...


“เสร็จยังไอ้ด๊อก” ผมอาจจะเบลอเพราะความเจ็บและฤทธิ์ยา แต่หูผมฟังไม่ผิด ด๊อกเฉยๆ ไม่มีเตอร์ตามมาอีกพยางค์แน่นอน


“แน่ใจนะว่าจะไม่มีแผลเป็น ไอ้รอยช้ำนี่กี่วันถึงหาย แล้วไม่เอกซเรย์ดูหน่อย เผื่อข้างในจะมีอะไรร้าวบ้างหรือเปล่า เกิดกลับไปพักฟื้นแล้วทรุดล่ะก็จะกลับมาระเบิดคลินิกซังกะบ๊วยนี่ให้ราบเป็นหน้ากองเชียว”


เจ้าของไข้ที่ทำตัวรู้ดีกว่าหมอร่ายอาการจนผมสงสัยว่าใครกันแน่ที่บาดเจ็บ จริงอยู่ที่ผมโดนค่อนข้างหนัก หน้าเยิน ปากแตก ท้องช้ำ หลังระบม แต่ผมเคยโดนหนักกว่านี้ก็ยังรอดมาได้ แค่เนี้ยสะ...อ๋อยยยย!


“อะแฮ่ม หมอขอโทษนะครับคุณคนไข้” คุณหมอที่ถูกตามตัวด่วนเลยโผล่มาในชุดเล่นกอล์ฟยิ้มให้ผมที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียงตรวจโรคแล้วค่อยหันไปฉีกปากใส่เพื่อนตัวเอง  “เลิกเรียกกูยังงี้ซะทีนะไอ้กร ไม่งั้นจะเอาไซรินจ์นี่ทิ่มมึงเดี๋ยวนี้แหละ”


คนที่กำลังถือหลอดฉีดยาอันใหญ่ยักษ์นั่นคือคุณหมอชวิน เป็นเพื่อนสมัยเด็กของคุณภากรและนับไปนับมาก็ถือเป็นญาติห่างๆที่ไม่เคยได้ติดต่อกันของคุณวรเมธ พอมาพบกันอีกครั้งก็เลยกลายเป็นเพื่อนที่ไม่รู้จะเรียกว่าซี้กันอีท่าไหนดี วันนี้เป็นวันหยุด คุณหมอตั้งใจจะไปไดร์ฟกอล์ฟ แต่ยังไม่ทันได้ตีสักลูกก็ถูกคุณภากรจิกตัวให้มาดูแลผม ส่วนเหตุผลที่ต้องมาที่คลินิกของรุ่นพี่คุณหมออีกที เพราะคุณเมธกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่และอาจมีข่าวเสียหายมาถึงโรงแรมได้


“แล้วจะให้เรียกชื่อเล่นมึงหรือไงไอ้ลูกชิ้น เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นหมอลูกชิ้นหมาก็จะมาว่ากูอีก” กลับมาที่ฝีปากท่านเจ้าของโรงแรมซึ่งผมฟังแล้วก็...โอย ปวดหัวจี๊ด!


“กูชื่อชิน หัดจำแล้วเรียกให้ถูกๆซะที”


“มึงก็หัดชินให้ได้สมชื่อก่อนสิ” คุณกรสวนกลับ ไม่มีลงให้เพื่อนตัวเองสักนิด แต่พอหันมาเห็นสีหน้าเพลียๆของผมเข้าก็กลับเข้าโหมดจริงจัง “แล้วตกลงอาการคนไข้ว่าไง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแน่นะ”


“จะน่าเป็นห่วงก็เพราะต้องมาอยู่ใกล้มึงนั่นแหละ” พี่หมอลูกชิ้น เอ๊ย! พี่หมอชินแขวะส่งท้ายแล้วหันมาถามผมบ้าง “แล้วคนไข้ล่ะครับ คิดว่าตัวเองโอเคหรือเปล่า”


“ก็...” ผมลองสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกตึงๆ หน่วงๆไปทั้งตัว แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกได้ว่าอากาศมันเดินทางไปถึงไหนต่อไหนในร่างกาย แสดงว่ายังไม่ตายง่ายๆ “น่าจะนะครับ แต่ตอนนี้มันมึนจนไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว”


“ฤทธิ์ยาน่ะ ยังไงหมอก็อยากให้พักเยอะๆ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาก็วิ่งปร๋อแล้ว”


“อย่าให้มันเร็วถึงขนาดนั้นเลย ขืนลุกมาวิ่งจริงๆคงได้หามกลับมาหามึงอีกรอบ”


“เฮ้ย! มือชั้นนี้ บอกว่าหายก็หายสิ มึงอย่าห่วงให้มันเวอร์นักเลย ลูกผู้ชายโดนแค่เนี้ยจิ๊บจ๊อย ยิ่งเป็นเด็กร่างกายกำลังโต กำลังวังชายังดี ฟื้นตัวเร็วจะตาย”


“เอาไว้ให้มึงโดนกระทืบแล้วไม่ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มได้ก่อนค่อยมาพูด”


“แต่พี่หมอก็พูดถูกนะครับ ผมว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เคยโดนมาเยอะกว่านี้ยังไม่เป็นไรเลย”


คนไข้ตัวจริงอย่างผมได้แต่หันซ้ายหันขวามองหมอกับเจ้าของไข้เถียงกันแล้วต้องพยายามห้าม คุณวรเมธที่ยืนเงียบมาตลอดคงสงสารหรือไม่ก็กลัวจะโดนลากเข้าไปร่วมวงด้วยเลยออกปากช่วยผมอีกแรง


“พรุ่งนี้จะยังไงก็ช่างเถอะแต่ตอนนี้ให้กานต์พักก่อนดีกว่า ส่วนคุณหมอกับคุณแฟนก็เลิกกัดกันสักที ฉันฟังแล้วปวดหัวแทน”


ฟันธงไม่ได้ว่าตกลงคุณเมธอยากจะช่วยหรือทำให้งานเข้า เพราะคุณหมอนักกอล์ฟหันขวับมาทำตาโตมองผมใหญ่ เสร็จแล้วก็หันไปอ้าปากหวอใส่คุณกร ท่าทางเขาจะไม่ได้สงสัยมาก่อนว่าเพื่อนสนิทจะเปลี่ยนรสนิยมมาชอบเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายซะด้วย อย่าว่าแต่พี่หมอ จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่เลย


คุณกรขยับมายืนชิดขอบเตียงแล้วยกมือแตะรอยช้ำที่มุมปากผมเบาๆ พี่หมอเลยถอยกรูดไปหาคุณเมธที่ได้แต่ตบไหล่เพื่อนพร้อมมีรอยยิ้มบางๆ


“หมดหน้าที่นายแล้วหมอ ให้แฟนเขาจัดการกันต่อ เราสองคนไปหากาแฟกินแก้เลี่ยนลูกตาดีกว่า”


พอเหลือกันอยู่ตามลำพัง ผมชักร้อนๆหนาวๆเมื่อร่างสูงเล่นวางมือเท้าขอบเตียงแล้วยืนจ้องหน้าผมชนิดตาไม่กระพริบทีเดียว


“เรื่องวันนี้ทำให้ฉันโกรธมาก โกรธหมดทุกอย่าง ทุกคน โกรธตัวเอง โกรธแม้กระทั่งคนตรงหน้าฉันนี่” เขาจ้องจนผมไม่กล้ากระพริบตาตามไปด้วย เลยได้เห็น...ในดวงตาของเขามีเงาผมอยู่ชัดเจนเหลือเกิน “ทำไมถึงไม่ระวังตัว ทำไมปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย รู้หรือเปล่าว่าการเห็นคนที่เรารักเจ็บน่ะ มันเจ็บปวดมากกว่าตั้งไม่รู้กี่ร้อยเท่า อยากจะทรมานฉันนักใช่มั้ย”


จู่ๆผมรู้สึกลมหายใจบางลงจนเหมือนจะจางหายไป แล้วความสุขก็หลั่งไหลเข้ามาแทนที่


“มิน่าล่ะ”


“มิน่าอะไรอีก?”


“ก็มิน่าว่าทำไมถึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะคุณกรเจ็บแทนแล้วนี่เอง ขอบคุณนะครับ รักคุณกรจัง”


โชคดีที่ผมไม่ได้โดนซ้อมจนถึงกับน่วมไปทั้งตัว เลยยังมีแรงยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบและซบลงกับแผงอกกว้างของหมาป่าตัวใหญ่ ผมหลับตาแล้วสูดกลิ่นน้ำหอมเคล้ากลิ่นเหงื่อจางๆด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด ไออุ่นซ่านประโลมหัวใจให้คลายความเหนื่อยล้า ผมก็แค่เด็กคนหนึ่ง ยังไม่คุ้นชินกับความยากลำบากของชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่เพียงความอ่อนโยนเล็กน้อยก็พอจะทำให้ผม...




จบตอนแล้วคร้าบ

 :bye2:






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
โกรธ!!!!!!! แต่ก็ยังมีความหวานให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เพราะคุณกรเจ็บเเทนนี่เองหูยยยยน่ารักง่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เจอประโยคคุณกรเจ็บแทน :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ว่าแต่คุณพ่อก็หาเรื่องมาให้ลูกเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจนะ :m31:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
เพิ่งได้มาอ่าน น้องกานต์ น่ารัก ขี้อ้อนแบบนี้ คุณกรไม่รอด
แอบสงสัย กานต์ไม่ใช่ลูกแท้ๆรึเปล่าทำไมพ่อถึงทำขนาดนี้ ไม่เห็นทำไรพี่กัญบ้างเลย

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
โหยยยยทำไมถึงหาเรื่องให้กานต์อยู่เรื่อยเลยวะนี่ลูกป๊ะ

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
น่ารัก  :o8: :o8:

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





13 .




มองหนุ่มน้อยที่กำลังหลับตาพริ้ม ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ในขณะที่มือทั้งสองข้างเริ่มหมดแรงเกี่ยวตัวผมไว้แล้วก็ได้รู้ว่า...หลับไปซะแล้ว!


อยากจะหัวเราะดังๆแต่กลัวแรงสะเทือนทำให้คนเจ็บตกใจตื่นเลยค่อยๆปลดเรียวแขนอ่อน ผ่อนร่างบางลงนอนบนเตียงแคบ ชักผ้าห่มคลุมให้แล้วประทับรอยจูบลงบนหน้าผากอุ่นส่งเจ้าชายแสนน่ารักของผมเข้าสู่ห้วงนิทรา


ผมมองคนกำลังหลับแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นยิ้มที่ไม่มีเหตุผล รู้แต่แค่เห็นเจ้าเด็กนี่มุมปากมันก็ขยับไปเองโดยอัตโนมัติ ก็ปากนี้ล่ะที่เคยยอมรับว่า ‘ชอบ’ แต่นับวันหัวใจจะบวกให้เป็นคำว่า ‘รัก’ มากขึ้นทุกที


‘คิดจะทำอะไรกันแน่ เดี๋ยวนี้นายเปลี่ยนรสนิยมแล้วหรือไง’


พอจะเริ่มทบทวนความรู้สึกตัวเองเมื่อไหร่ คำถามนี้ก็มักดังขึ้นมาในห้วงความคิด วรเมธเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานที่ต้องเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ไม่แปลกที่เขาจะเอะใจและถามออกมาตรงๆ


‘ไม่ดีเหรอวะ ชีวิตจะได้มีรสชาติใหม่ๆบ้างไง’


ผมตอบแล้วจิบเบียร์แก้คอแห้ง ถ้าว่างและไม่ล้าจากงานมากเกินไป เรามักชวนกันมานั่งจิบเหล้าเคล้าเสียงเพลงที่คลับ แอร์เย็นๆ เบียร์นุ่มๆ เพลงเพราะๆ ส่วนสาวๆแห้วหมด เพราะไอ้เลขาใหญ่บอกว่าขอพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากได้คนมาเกาะแกะให้รำคาญ และเผื่อคุยเรื่องอะไรจะได้ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน ผมเลยได้แต่นั่งมองนักร้องครวญเพลงตาละห้อย


‘เชื่อตายล่ะ’ ฟังเข้า! นี่ดีนะที่ต่อหน้าคนอื่น มันยังดูให้ความเคารพเจ้านายอย่างผมอยู่บ้าง ‘อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องนั้น’


ไม่แปลกที่วรเมธจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับโรงแรม คลับ หรือคาสิโน แต่ถึงขนาดรู้ถึงชีวิตส่วนตัวของผมด้วยนี่ออกจะมากไปหรือเปล่า


‘ไอ้คุณเลขา ชักจะแสนรู้เกินหน้าที่ไปมั้ยครับ’


‘อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้แส่อยากรู้ แต่คุณภัทเป็นคนเรียกไปหาแล้วก็คุยเรื่องนี้ให้ฟังเอง’


นึกแล้ว! แรกๆแม่ผมก็เหมือนทุกคนที่ไม่เชื่อน้ำหน้าพนักงานใหม่ที่มีเบื้องหลังเป็นลูกชายลูกหนี้ของพ่อ แต่เมื่อเขาได้พิสูจน์ว่ามีความสามารถ และช่วยเกื้อหนุนประธานอ่อนหัดอย่างผมได้เป็นอย่างดีเลยได้รับความไว้วางใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แม่ยังฟังเจ้าหมอนี่มากกว่าลูกชายตัวเองด้วยซ้ำ


‘แล้วนายบอกแม่ไปว่าไง’ ผมส่งสัญญาณสั่งเบียร์เพิ่ม คุยเรื่องนี้ทีไรแล้วอยากเมาจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ถ้าตัวต้นเหตุเป็นคนอื่นผมคงจัดการได้ง่ายกว่านี้ แต่พอเป็นคุณภัทราพรผมเลยได้แต่...เซ็ง!


‘ก็เรียนไปตามตรงว่าคุณภากรไม่ใช่สมภารที่จ้องจะกินไก่วัด เพราะฉะนั้นสาวๆในคลับหรือที่โรงแรมน่ะไม่ต้องห่วง ส่วนที่ว่าท่านจะแอบไปกินใครที่ไหน ยังไง บังเอิญว่ากระผมไม่ได้ตามไปมุดอยู่ใต้เตียงก็เลยไม่ทราบ บอกได้แต่ว่าในตารางนัดมักจะมีช่องว่างที่หาที่มาที่ไปไม่ได้อยู่บ่อยๆก็เท่านั้นเอง’


เมื่อแรกที่รู้จักกัน ผมเพิ่งเสียพ่อแต่นับแล้วก็หลังจากที่พ่อเมธตายไม่ถึงปี เรามองตาแล้วไม่ต้องพูดอะไรก็เหมือนเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ผมสนิทใจและเลือกเขามาเป็นเลขาส่วนตัวแทนคนเก่าคนแก่ที่มีทั้งอายุและประสบการณ์ เมื่อความเศร้าผ่านพ้นไปและความสนิทสนมที่มีมากขึ้นถึงได้รู้ว่าคนๆนี้ใช่จะเคร่งเครียดตลอดเวลา แต่คนอื่นที่ไม่เคยเจอกับตัวก็คงไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมันก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน


‘แสดงว่านายเห็นลิสต์สาวๆของแม่ฉันแล้วสิ’


หลังจากที่พ่อเสีย ผมยุ่งกับงานส่วนแม่ขังตัวเองอยู่กับความเศร้าโศกจนผิดไปเป็นคนละคน จะว่าผมเลวก็ได้แต่เมื่อก่อนผมนึกว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกันแต่ต้องฝืนใจอยู่ด้วยกันเพื่อหน้าตาทางสังคม เลยเพิ่งได้รู้ว่าจริงๆแล้วแม่รักพ่อมากจนเหมือนโลกทั้งใบพังทลายไปต่อหน้า แม่เลื่อนลอยเคว้งคว้าง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนต้องกำชับให้ภาวิณี น้องสาวผมคอยดูแลอย่างใกล้ชิด


เมื่อสภาพจิตใจของแม่ดีขึ้นและพวกเราตัดสินใจส่งยัยภาไปเรียนต่อ แม่ก็เริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองและนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านหรือมีโอกาสได้นั่งคุยกัน แม่จะเฝ้าพรรณนาความดีเลิศของบรรดาสาวๆที่ท่านหมายตาอยากได้เป็นลูกสะใภ้ แรกๆผมไม่เอะใจ คิดว่าเป็นเรื่องปกติของวงสังคมไฮโซ แต่พอเห็นผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไม่ได้สนใจใครอย่างที่ควร แม่จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีการที่เป็นรูปธรรมสุดๆ นั่นคือที่มาของแฟ้มประวัติกองโตซึ่งจะมีทั้งรูปถ่ายเต็มตัว ครึ่งตัว ประวัติส่วนตัว ปูมหลังครอบครัว การศึกษา อาชีพการงาน ความสามารถพิเศษ และอื่นๆอีกมากมาย ผมอ่านไปก็ขำไปเพราะบางรายถึงขั้นใส่ชื่อสุนัขตัวโปรดหรือกระทั่งประเทศที่เคยไปเที่ยวมา ขอถามหน่อยเถอะ ถ้าผมจะมีเมียสักคน ผมจะสนข้อมูลไร้สาระพวกนี้หรือไง... บ้าไปแล้ว!


‘ที่ดูๆก็โอเคทั้งนั้น ทำไมไม่หลับตาจิ้มมาสักคนล่ะ’ อยากย้อนสักคำ ถ้าให้มันเลือกบ้างจะเอามั้ย


‘กลัวว่าพอลืมตามาแล้วจะเจอฝันร้ายไปตลอดชีวิตน่ะสิ แม่คิดว่าตัวเองเพอร์เฟคท์ที่สุด ก็เลยเฟ้นหาลูกสะใภ้ที่เหมือนๆกัน แล้วถ้าต้องอยู่กับผู้หญิงที่เหมือนแม่ไปตลอดชีวิต ฉันคงได้หนีไปกบดานบ้านสวนแน่ๆ’


เหตุผลหนึ่งที่ผมคิดว่าพ่อแม่ไม่รักกันก็เพราะหลังจากที่คุณปู่เสีย พ่อมักจะไปค้างที่บ้านเดิมซึ่งเราเรียกกันว่าบ้านสวนจนบางทีผมกับน้องไม่ได้เห็นหน้าพ่อตัวเองเป็นอาทิตย์ๆ พอถามแม่ แม่จะอารมณ์เสียแล้วก็แต่งตัวออกไปชอปปิ้งหรือออกงานสังคมตามเรื่องตามราว จะเรียกว่าเป็นสถานการณ์บ้านแตกก็ไม่ผิดนัก น่าเสียดายตรงที่ผมไม่เคยคิดจะถามเหตุผลจากพ่อตรงๆ แต่เมื่อได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศของบ้านสวนด้วยตัวเองก็ยอมรับว่าติดใจและเข้าใจความรู้สึกของพ่อขึ้นมาบ้าง


‘งั้นก็หาเองสักคน อย่างน้อยไม่ถูกใจแม่แต่ก็ถูกใจนาย’


‘ถ้าหาได้จะมานั่งกลุ้มอยู่อย่างนี้เหรอวะ’


อย่างที่บอกว่าความจริงผมไม่ใช่คนเรื่องมาก เพียงแต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้ผมสนใจถึงขนาดอยากสานต่อจริงจัง ส่วนเรื่องพรหมลิขิตยิ่งห่างไกลจากสมอง วันๆก็ทำแต่งาน แล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปหา... ไม่ใช่แค่เมีย แต่คือผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูก เป็นคนที่จะยืนอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตเชียวนะ


‘หวังว่านี่จะไม่เกี่ยวอะไรกับเด็กคนนั้น’ ภากรในตอนนั้นไม่ตอบแต่จงใจยกยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์ได้ใจจนเพื่อนเต้นผาง แต่ถ้าเป็นผมในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่คิดถึง ‘เด็กคนนั้น’ เชื่อว่ารอยยิ้มและแววตาจะไม่มีทางเหมือนเดิม ‘เวรแล้วไง อย่าบอกนะว่าจะพากานต์ไปหาแม่ในฐานะลูกสะใภ้ ฉันว่านอกจากฟ้าผ่าแล้วนายยังจะโดนแจกันสมัยราชวงศ์หมิงทุ่มใส่หัวแน่ๆ’


‘ก่อนจะให้ความเห็นช่วยถามกันสักคำได้มั้ยว่าฉันคิดอะไร’


‘ไม่ว่าจะคิดอะไรมันก็บ้าทั้งนั้น บ้ามากๆเลยนะเว้ยไอ้กร’


ผมยิ้มด้วยความคะนองในแผนการของตัวเอง จะว่าผมไม่คิดหน้าคิดหลังคงไม่ได้ แต่อาจเป็นอะไรสักอย่างที่ดลใจให้ผมเลือกจะทำแบบนั้น อะไรที่ว่าคงคล้ายๆ... บุพเพสันนิวาสล่ะมั้ง?!


‘ฉันก็แค่อยากให้มีข่าวไปเข้าหูแม่เฉยๆว่าฉันอาจจะ แค่อาจจะเฉยๆไม่ได้ฟันธงสักหน่อยว่าใช่ แล้วเด็กนั่นก็เข้าล็อกพอดี รูปร่างหน้าตาโอเคพอจะทำให้ใครๆเชื่อได้ แถมไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นปัญหา มีหนี้ก้อนโตปิดปากอยู่ จะกล้ามาโวยวายหรือเรียกร้องอะไรก็ให้มันรู้ไปสิ’


‘ตกลงว่านายจะหลอกทั้งแม่ ทั้งเด็ก แล้วยังทุกคนที่โรงแรมด้วยงั้นเหรอ’


‘แหงสิ มันต้องเนียนกันหน่อยไม่งั้นแม่ไม่ไม่มีทางเชื่อ ฉันรู้นิสัยแม่ดี ถ้าสงสัยแล้วจะระวังตัวมากขึ้น คงไม่กล้าเร่งเรื่องแต่งงานเพราะกลัวว่าฉันจะเตลิดแล้วมีแฟนผู้ชายเข้าจริงๆ ทำไปทำมาฉันอาจจะรอดตัวไปเลยก็ได้’ ผมบอกแล้วสังเกตสีหน้าคนฟัง ร้อยทั้งร้อยเจ้าเมธก็คงไม่เห็นด้วย ‘ถึงไม่สำเร็จแต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่หว่า แค่ลองดู ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แค่บ่ายเบี่ยง ผัดไปเรื่อยๆ ยังไงแม่ก็คงไม่ถึงขั้นจับฉันมัดแล้วส่งเข้าหอหรอกน่ะ’


พูดจบผมก็จิบเบียร์อีกหนึ่งอึก หยิบถั่วโยนขึ้นสูงแล้วอ้าปากรอ บ๊ะ! พลาดซะได้


‘เฮ้ยกร นี่ฉันพูดจริงๆนะ’ เมธขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งกว่าเวลาคุยเรื่องงาน ‘นายอย่าทำอย่างนี้เลย โกหกแม่มันบาปมาก แล้วเด็กที่โดนพ่อเอามาขายก็น่าสงสารพออยู่แล้ว อย่าไปซ้ำเติมเขาอีกเลย ถึงนายคิดว่าถ้างานสำเร็จจะตบรางวัลเป็นการตอบแทนแต่นั่นก็เท่ากับนายเอาเงินฟาดหัว ใช้เงินซื้อศักดิ์ศรีคนน่ะมันสมควรทำเหรอ ฉันว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องเสียมากที่สุดอาจจะเป็นตัวนายเองก็ได้’


‘พูดอะไรเข้าใจยากจังวะเมธ’ ผมรู้สึก...เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ และไม่รู้ทำไมถึงต้องหลบสายตาไปอีกทาง


‘เออ ฉันตั้งใจให้มันยาก นายจะได้ไม่คิดทำอะไรง่ายๆ เพราะไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วจะทำอะไร หรือเห็นความรู้สึกใครเป็นของเล่นก็ได้นะกร’


ไม่ใช่แค่ครั้งนั้น แต่วรเมธชอบจะย้ำคำเตือนในทุกเมื่อที่มีโอกาส อย่างตอนที่ผมเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆเลยจงใจเมินเฉยและเพิ่มระยะห่างไม่ให้ความสนิทสนมทำให้ไขว้เขว แต่ผลที่เกิดขึ้นทำเอาหัวใจกระตุกผิดจังหวะ พอจะตามออกไปขอโทษก็ไม่เจอตัวแล้วยังถูกหลบหน้าหลบตาไปอีกหลายวัน หรืออีกครั้งตอนกำลังจะเข้างานเลี้ยง ขอบอกว่าผมไม่ชอบใจเลยที่ถูกเมิน และยิ่งทรมานเอามากๆที่ต้องทนเห็นภาพความสนิทสนมระหว่างเลขากับผู้ช่วยของมัน นึกอยากจะชกไอ้คนฉลาดให้หน้าคว่ำ แต่กลับโดนมันน็อกด้วยประโยคที่ง่ายแสนง่าย...


‘กร...แน่ใจแล้วใช่มั้ย’


ไม่เชิงว่าเป็นคำถาม หรือจะทำให้ได้คำตอบอะไรมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อมือเล็กในอุ้งมือกระชับตอบ ผมก็บอกตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยเด็กคนนี้ไปเป็นอันขาด


ร่างบางบนเตียงขยับเบาๆดึงผมให้กลับมายังห้องตรวจในคลินิกของรุ่นพี่ไอ้หมอลูกชิ้น ดูท่าว่ายาจะออกฤทธิ์ดี ผมจึงก้มลงจูบหน้าผากอุ่นและปล่อยให้คนเจ็บได้พัก ดึกขนาดนี้คงไม่มีใครมาหาหมอแล้ว แต่พอผมเดินตามเสียงเพื่อนออกมาที่ด้านหน้าก็พอดีกับที่ประตูคลินิกเปิดออกอย่างแรง...


“กานต์!” หญิงสาวที่พรวดพราดเข้ามาอยู่ในชุดนักศึกษาติดเข็มมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอเห็นเจ้าเมธก่อนใครก็รัวคำถามใส่เป็นชุด “ฉันมาหากานต์ กานต์อยู่ที่นี่ใช่มั้ย เขาไม่สบายเป็นอะไรตรงไหน เป็นมากหรือเปล่า?!”


“เธอเป็นใคร?” คนเขาใจร้อนจะเป็นจะตายแต่ดูเจ้าเมธถามกลับทื่อๆ ทำเสียงเหมือนยังหาวไม่เสร็จ มันสมควรโดนเท็กซ์บุ๊คเล่มหนาที่น้องเขาอุ้มอยู่ทุ่มใส่หน้ามากๆ


“ฉัน...” อีกฝ่ายก็อึ้งไปเหมือนกัน หรือจะเป็นการดีเพราะดูเหมือนเธอจะใจเย็นลงบ้าง “...กัญญาค่ะ เป็นพี่กานต์ ที่โทรเข้ามือถือกานต์แล้วคนที่รับบอกว่าอยู่ที่คลินิกนี้ ใช่คุณหรือเปล่า แล้วตกลงว่าน้องชายฉันเป็นอะไร ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่คะ”


“น้องชายของน้องมีเรื่องมานิดหน่อย ส่วนอาการก็มีแผลแตกที่มุมปาก ตามร่างกายมีรอยฟกช้ำแต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ที่ห้องด้านใน เชิญทางนี้ครับ” ไอ้หมอลูกชิ้นคงกลัวจะต้องทำแผลเพิ่มเลยรับหน้าที่แจงอาการและพาเธอเข้าไปดูอาการเจ้าตัวจ้อยของผม


ครู่ใหญ่สองคนก็พากันกลับมา ท่าทางของเด็กสาวสงบขึ้น แต่ยังมีสีหน้ากังวลตามประสาคนเป็นพี่ เธอเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วนั่งหลับตา ถอนหายใจยาวแล้วร้อง เฮ้อ! ออกมาเสียงดังจนพวกผมมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ท่าทางว่าแม่หนูคนนี้จะลืมไปล่ะมั้งว่ายังมีผู้ชายตัวโตๆรายล้อมเธออยู่ถึงสามคน และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือพนมมือขึ้น ก้มหัวไหว้พวกเราแล้วเอ่ยคำขอบคุณ เธอเล่าว่าพอเลิกเรียนกำลังจะกลับหอก็ได้รับโทรศัพท์บอกข่าวจากพ่อ จึงรีบโทรหากานต์และตามมาถึงที่นี่ แต่ที่เธออยากรู้มากที่สุดคือที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด


ผมมองอีกสองคนที่เหลือ ชวินไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนวรเมธถึงจะรู้ดีแต่ทำหน้าขี้เกียจ ผมในฐานะเจ้านายมันแท้ๆเลยต้องรับหน้าที่นี้เอง


“พ่อของเธอเป็นหนี้ฉันแล้วให้ลูกชายมาทำงานแทน แต่คงมีเจ้าหนี้รายอื่นด้วยเลยพากันมาหากานต์ที่โรงแรม พอไม่ได้เงินก็ลงไม้ลงมือ ดีที่พวกเราไปช่วยไว้ได้ทัน ส่วนหนี้ก้อนที่ว่าฉันเคลียร์ให้แล้วเรียบร้อย ถ้าจะมีอะไรนอกเหนือจากนั้น เธอคงต้องไปถามพ่อเอาเองแล้วล่ะ”


“จะบ้าตาย! พ่อนะพ่อ!” กัญญาฟังแล้วกำหมัดแน่น สีหน้ายากจะบรรยาย ดีแล้วที่ผมสรุปสั้นๆ ขืนใส่รายละเอียดมากจะไปเป็นการยุให้ลูกเกลียดพ่อเสียเปล่าๆ “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยน้องชายหนูไว้ ส่วนเรื่องหนี้ถ้าคุณพอที่จะผ่อนปรน หนูสัญญาว่าจะหามาใช้คืนให้เร็วที่สุด จะจ่ายให้ครบพร้อมดอกเบี้ยแน่นอน แต่ขอคิดตามอัตราปกติที่กู้ธนาคารได้มั้ยคะ”


“เธอพูดเรื่องอะไร...”


ผมถามด้วยรู้สึกผิดหู แทนที่จะกลัวเธอกลับจ้องตาผมและตอบด้วยวาจาฉะฉาน เห็นอย่างนี้แล้วเชื่อล่ะว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ รูปลักษณ์อาจต่างกันเพราะกานต์ขาวใสแลดูบอบบางในขณะที่พี่สาวผิวออกแทนเลยคมเข้มกว่า แต่จิตใจนั้นเข้มแข็งและเปี่ยมไปด้วยความกล้าไม่เป็นรองกันเลย และที่จะประมาทไม่ได้คือสติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้ทันคน ดูอย่างเจ้าตัวเล็กของผมก็ได้ จ๊ะจ๋าไม่กี่คำก็ทำให้ผมได้โรงแรมที่ภูเก็ตโดยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่มสักอย่าง แล้วมาดูสิว่าสาวน้อยคนนี้จะเจรจาให้ได้อะไรบ้าง


“หนูอยากไถ่ตัวกานต์ น้องหนูไม่ใช่สิ่งของที่จะได้เอาไปวางค้ำประกันหนี้ คุณเป็นถึงเจ้าของโรงแรม แถมมีกิจการอย่างอื่นอีกตั้งมากมายน่าจะรู้ถึงหลักเกณฑ์ดีไม่ใช่เหรอคะ ถ้าลูกหนี้มีเหตุให้ไม่สามารถชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ เจ้าหนี้มีสิทธิ์บังคับชำระหนี้ได้ก็จริง แต่โดยหลักมนุษยธรรมแล้วควรเปิดโอกาสให้มีการเจรจาประนอมหนี้ หรือพูดอย่างง่ายๆได้น้อยหน่อยก็อาจขาดทุนแค่กำไรยังดีกว่าปล่อยให้กลายเป็นหนี้สูญ และความจริงกานต์เพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ การที่คุณเอาตัวเขาไว้อย่างนี้อาจเข้าข่ายพรากผู้เยาว์หรือกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นความผิดทางอาญาด้วยนะคะ”


“นี่เธอกำลังกล่าวหาฉันหลายกระทงเลยนะ” 


ผมสั่งตัวเองไม่ให้ขำหรือหลุดยิ้ม ว่างๆคงจะต้องสัมภาษณ์กันหน่อยล่ะว่าเธอกำลังเรียนคณะอะไรกันแน่ถึงยกมาได้หมดตั้งแต่บัญชียันกฎหมาย แต่ถึงอีกฝ่ายจะเป็นพี่สาวร่วมสายเลือด ผมก็จะไม่มีวันยอมปล่อยกานต์ไป แม้ต้องใช้ไม้ตายที่ออกจะสกปรกอยู่สักหน่อย


“งั้นขอถามสักข้อ ไม่ทราบว่าคุณกัญญาต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรือมีข้อเรียกร้องอะไรถึงจะสามารถใช้หนี้เงินห้าแสนบาทพร้อมดอกเบี้ยตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดได้ล่ะครับ”


“ห้าแสน!” เธออุทานลั่น เวลาทำตาโตแล้วดูคล้ายน้องชายอยู่เหมือนกัน “นี่มันอะไรกัน?! ทำไมถึงได้...”


“ฉันจะไม่บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่ที่ฉันอยากเคลียร์ให้ชัดคือตอนนี้น้องชายเธอเป็นคนของฉันแล้ว ฉันต้องขอโทษจากใจจริงที่ปล่อยให้เหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นและขอสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรกานต์ได้อีก ไม่ว่าใครแม้แต่พ่อของพวกเธอเอง พอใจหรือยัง”


“คุณ...!” ผมรู้ว่าเธอไม่อยากเชื่อ แต่คงไม่ใช่พวกที่เข้าใจอะไรยากจนเกินไป “ขอบคุณค่ะ”


กัญญาจ้องผมไม่วางตา คือความจริงผมไม่ได้แพ้พวกตาโตๆ แต่เห็นแล้วมันก็อดเอ็นดูไม่ได้


“และข้อเสนอสำหรับเธอ ฉันยินดีจะมอบทุนการศึกษาจนจบระดับสูงที่สุดเท่าที่เธอจะเรียนได้ พร้อมค่าใช้จ่ายส่วนตัวมากเท่าที่ต้องการโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อผูกมัดใดๆ ถ้าเธอตกลงก็เข้าไปที่โรงแรมได้ทุกเมื่อ ฉันจะให้เลขาร่างสัญญาไว้ให้”


“อะไรนะคะ?! พะ..เพื่ออะไร?!” นอกจากตาโตแล้วยังตามมาด้วยอาการอ้าปากค้างจนผมเผลอยิ้มออกมา ไม่ใช่อะไร แค่นึกว่าถ้ากานต์ได้รู้เรื่องนี้บ้างจะทำหน้ายังไง จะตกใจเหมือนอย่างพี่สาวหรือเปล่านะ


“เป็นความพอใจของฉัน และเพื่อความสบายใจของน้องชายเธอ หรือถ้าเธออยากให้ดูเป็นธรรมมากขึ้นจะเพิ่มในข้อสัญญาว่าเรียนจบแล้วมาทำงานชดใช้ทุนก็ได้ โรงแรมของฉันยินดีต้อนรับเสมอ”


พ่อผมเก็งกำไรด้วยการแปลงหนี้เป็นบุคลากรชั้นเลิศอย่างวรเมธได้ แล้วทำไมผมจะไม่ดำเนินรอยตาม นักลงทุนที่เห็นหุ้นดีๆอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ช้อนซื้อก็ถือว่าโง่เต็มที


“นี่ฉัน...ฝันไปหรือเปล่า...?” กัญญาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เจ้าเมธดันหวังดีช่วยหาทางพิสูจน์ให้


“โอ๊ย! ทำบ้าไรวะไอ้เมธ เจ็บนะโว้ย!!” คุณหมอที่ไม่ระวังตัวเลยร้องลั่นคลินิกเพราะโดนตบกะโหลกเข้าจังๆ


ผมหันไปสบตาเจ้าของฝ่ามือพิฆาต รู้ทันทีว่ามันอ่านเกมผมออกจึงช่วยตบมุขส่งให้ ผมก็เลยรับมาใช้ประโยชน์ทันที


“คนเป็นหมอบอกขนาดนี้แสดงว่าเธอไม่ได้ฝันไปหรอก แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เธอกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกานต์ แล้วฉันจะบอกเขาให้ว่าเธอมาเยี่ยม”


“ค่ะ” กัญญารับคำอย่างว่าง่าย แต่จู่ๆก็ร้องลั่นจนไอ้หมอสะดุ้งอีกรอบ “แย่แล้ว! คือหนูอยู่หอของมหาลัย ถึงกลับตอนนี้ก็ไปไม่ทันเวลาปิดหอแล้วค่ะ”


“แล้วจะทำยังไงล่ะ เขาไม่มีผ่อนปรนให้บ้างเลยเหรอ”


“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับไปค้างกับอาได้ งั้นหนูลาเลยดีกว่า ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณ...”


พอเธอทักก็ทำให้นึกขึ้นได้ คุยกันตั้งนานผมกับเพื่อนๆยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย


“ภากร ส่วนนั่นเลขาฉัน วรเมธ แล้วก็หมอชวิน หรือจะเรียกหมอ...ชินก็ได้” เห็นไอ้หมอทำหน้าลุ้นเลยแกล้งให้มันเสียวเล่น รายต่อไปก็ไอ้เลขาท่ามาก มันทำเป็นนั่งตาลอยไม่สนใจอะไร แต่ผมเห็นนะว่ามันก็แอบมองน้องเขาอยู่บ่อยๆ “เดี๋ยวให้เมธไปส่งเธอดีกว่า เป็นผู้หญิงไปไหนมาไหนกลางคืนคนเดียวมันอันตราย”


“ไม่ต้องหรอกค่ะ” กัญญาปรายตามองว่าที่สารถีแล้วรีบบอก แต่ผมก็อยากลองลุ้นดูสักตั้ง


“อย่าปฏิเสธเลย ถ้ากานต์รู้ว่าพี่สาวเขาปลอดภัยจะได้สบายใจเหมือนกัน”


เจ้าตัวจ้อยนอนหลับไม่รู้เรื่องก็ยังมีประโยชน์ช่วยให้แผนการของผมลงล็อกได้อย่างที่ต้องการ พอคล้อยหลังวรเมธและกัญญา เจ้าหมอก็ดูอาการคนไข้อีกครั้งแล้วอนุญาตให้ผมอุ้มใส่รถพากลับไปพักฟื้น ทีแรกก็ว่าจะกลับโรงแรมแต่คิดไปคิดมา ยังมีสถานที่อีกแห่งที่ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นในทุกครั้งที่ได้ไปเยี่ยมเยือน คงดีถ้ากานต์จะได้พักฟื้นทั้งร่างกายและจิตใจที่...บ้านสวนของผม




จบตอนแล้วจ้า



อยู่กรุงเทพไม่ไหวแล้ว  หนีร้อนไปนอนบ้านสวนกันตอนหน้านะคร้าบ


 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2016 16:54:30 โดย minemomo »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ที่สุดแล้วคือพี่กรหลอกน้องกานต์อย่างงั้นเหรอ :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
เฮ้ย....ชอบเรื่องนี้อ่ะ น้องกานต์น้องกัญน่ารัก ทั้งสองคนเลย

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เหมือนเมธจะเจอเนื้อคู่ เหมือนกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง น่าเอ็นดู

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1





14 .





เช้านี้ผมลืมตาขึ้นด้วยอาการชาไปหมด ที่ว่าชานั้นนับตั้งแต่ความรู้สึกแปลกที่แปลกทางจนต้องกระพริบตาปริบๆอยู่พักใหญ่ มองขึ้นไปคือผืนผ้าโปร่งสีขาวคลับคล้ายคลับคลาน่าจะเรียกมุ้ง มุ้งหลังนี้ไม่ได้ผูกโยงด้วยเส้นเชือกแต่คลุมลงมาจากราวไม้สี่เสา ตัวเตียงที่ผมนอนอยู่จึงถูกกั้นไว้โดยรอบแต่ยังมองผ่านออกไปได้และผมแน่ใจว่านี่คือห้องหรือน่าจะรวมถึงบ้านที่ประกอบขึ้นจากไม้ทั้งหลัง คงไม่ใช่ว่าผมหลับอยู่ดีๆแล้วถูกดูดเข้ามาในกระจกบานไหนหรอกนะ!


เมื่อสติเริ่มคืนมาผมก็ต้องผจญกับอาการเสียวแปล๊บๆโดยเฉพาะบริเวณท้องกับแผ่นหลัง ส่วนที่หน้าไม่ต้องจับดูก็รู้ว่าแก้มบวม อ้าปากแล้วรู้สึกตึงๆแต่ไม่เจ็บมากเท่าที่คิด น่าจะเป็นเพราะได้รับการรักษาทันทีและพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่คงดีกว่าถ้าจะมีใครสักคนบอกได้ว่าทำไมผมหลับไปบนเตียงคนไข้ในคลินิกแต่ดั๊นมาตื่นบนเตียงไม้ในบ้านเรือนไทย ตอนนี้ถ้าผมจะปวดหัวคงไม่ได้เกี่ยวกับแผลที่โดนซ้อมแล้วล่ะ


เสียงเหมือนเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาแล้วห่างออกไปเรียกความสนใจให้ผมยันตัวลุกขึ้น เตียงที่นอนอยู่นี้ไม่ได้นิ่มหยุ่นเหมือนติดสปริง มีความนุ่มเพียงผิวหน้าแล้วรองฐานด้วยวัตถุแน่นเป็นแผ่นหนา ถ้าไม่ใช่เตียงใยมะพร้าวก็คงยางพารา แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ให้ความรู้สึกสบายพอเหมาะ ไม่ใช่ทำให้ปวดตัวหรือขี้เกียจจนไม่อยากลุกจากที่นอน ผมแหวกประตูมุ้งออกแล้วหย่อนขาลงรู้สึกถึงความเย็นจากพื้นไม้ไล่ขึ้นจากฝ่าเท้า มองไปรอบตัว นอกจากเตียงนอน เครื่องเรือนชิ้นอื่นก็ล้วนทำจากไม้และมีขนาดใหญ่โตอย่างที่เห็นแล้วบอกได้ทันทีว่าเป็นฝีมือช่างโบราณ ส่วนข้าวของที่บ่งบอกความทันสมัยอย่างทีวีหรือชุดเครื่องเสียงนั้นถูกรวมไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ซึ่งนับเป็นการจัดห้องที่ดูเป็นสัดส่วนดี


เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงรีบเดินไปที่หน้าต่างด้วยความอยากรู้ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ต้องอ้าปากค้าง พระอาทิตย์ยามเช้าทอแสงผ่านหมู่เมฆพอรวมกับมวลอากาศเย็นชื้นเกิดไอน้ำค้างให้ความรู้สึกสดชื่น สูดลมหายใจได้เต็มปอด ผมชะโงกหัวออกไปจนสุด เท่าที่สายตาจะมองเห็นบอกได้ว่ากำลังอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาณาเขตสีเขียวคล้ายผืนป่าย่อมๆ มองออกไปไกลๆพอจะเห็นแนวหมู่บ้านจัดสรร แต่ถ้าจะหาตึกสูงอย่างที่ชินตาในกรุงเทพก็ต้องไกลลิ๊บบบโน่น ส่วนที่ไม่ไกลจากตัวบ้านคือลำคลองเส้นยาวกว้างประมาณถนนสองสามเลน ซึ่งทำให้ผมรู้ที่มาของเสียงประหลาดนั้น... เรือหางยาวติดเครื่องยนต์ที่แล่นปรู๊ดผ่านไปนั่นเอง


ผมหันกลับเข้ามาในห้องและเริ่มสำรวจตัวเองบ้าง อาการเจ็บปวดกลายเป็นอะไรที่ธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ห่อหุ้มตัวผมอยู่ เสื้อผ้าป่านตัวใหญ่กับกางเกงแพรสีเข้มผิวมันวาว เนี่ยนะชุดที่ผมใส่นอนมาทั้งคืน? ไม่ไหวแล้ว! ผมต้องการคำอธิบายจากใครก็ได้ ยังไงก็ได้ อย่างด่วนที่สุดก่อนที่จะรู้สึกตัวเองหลงยุคเป็นคุณหลวงในละครหลังข่าวไปจริงๆ!


ด้วยผนังที่ดูกลมกลืนกันไปทั้งห้องเลยต้องหาอยู่นานกว่าจะเจอทางออก ผมค่อยๆแง้มบานไม้แล้วก้าวข้ามธรณีประตูสูงออกมาที่...ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ประตูบานอื่นๆปิดสนิทหมด แถมไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ ผมเลยลองเดินหา อาศัยตามกลิ่นหอมหวานเหมือนขนมมาเรื่อยๆจนเจอเข้ากับผู้หญิงวัยกลางคนเดินขึ้นบันไดมา และเป็นฝ่ายเอ่ยทักทันทีที่เห็นผม...


“อ้าว! ตื่นแล้วหรือคะคุณ กำลังจะเข้าไปเรียกอยู่พอดีเชียว”


คุณน้าคนนี้แนะนำตัวเองว่าชื่อ รื่นฤดี เป็นคนที่คุณภากรมอบหมายให้ดูแลผมเลยสรุปได้ว่าที่นี่คือบ้านของคุณภากร แต่ใช่ว่าเขาจะเอาผมมาปล่อยทิ้ง จำได้ว่าช่วงเช้าวันนี้มีประชุมเขาก็เลยต้องรีบออกไปโรงแรมก่อนที่ผมจะทันตื่น


“เอ่อ...ที่นี่มีโทรศัพท์มั้ยครับ” ผมไม่ได้กลัวใครจะเป็นห่วง ก็แค่อยากส่งข่าวเฉยๆ


“เกือบลืม นี่ของคุณค่ะ”


น้ารื่นฤดีเป็นผู้หญิงที่ดูกลมกลืนกับบรรยากาศของบ้านหลังนี้อย่างที่สุด ผมยาวสีดำขลับตลบขึ้นเป็นมวยปักปิ่นไม้อย่างง่ายๆ ดวงหน้าหมดจดมีรอยยิ้มซื่อๆแต่งแต้มให้งามสมวัย เครื่องแต่งตัวเรียบง่ายแต่เชื่อว่าผู้หญิงยุคนี้ไม่น่าจะใส่เป็นอย่างผ้านุ่งยาวกรอมเท้า ที่นอกจากจะดูเรียบร้อยกว่ากระโปรงบานๆยังสามารถเดินเหินกระฉับกระเฉงจนน่าทึ่ง ส่วนด้านบนเป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีครีมปักลายดอกไม้เล็กๆ มีกระเป๋าซ่อนด้านข้างซึ่งเป็นช่องที่น้ารื่นหยิบมือถือของผมมาส่งให้


“คุณกานต์เข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว เสร็จแล้วจะได้กินข้าวกินยาก่อนดีกว่ามั้ยคะ เพราะคุณกรฝากให้เรียนว่าถ้าประชุมเสร็จแล้วจะโทรกลับมาเอง”


น้ารื่นรีบบอกเมื่อเห็นผมกดโทรศัพท์ทันที แหม อะไรกัน! ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะโทรหาใคร จะไม่ชอบน้าเขาก็ตรงที่รู้ทันนี่ล่ะ


“แต่ผมไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง เสื้อผ้า...”


“เดี๋ยวน้าจัดการให้ ถ้าคุณกานต์ต้องการอะไรก็บอกได้ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”


ผมก้มมองชุดนอนซึ่งห่างไกลจากตู้เสื้อผ้าผมราวล้านปีแสงแล้วแอบหวั่นใจ ไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องนุ่งโจงหรือมีผ้าขาวม้าเคียนพุงหรือเปล่า แต่ก่อนอื่นผมคงต้องจัดการเรื่องที่ฟังแล้วจั๊กจี้หูนี่ซะก่อน


“งั้นน้าก็เลิกเรียกกานต์ว่าคุณได้มั้ย ไม่อยากโดนคำนี้หลอกหลอนเหมือนตอนอยู่ที่โรงแรมน่ะครับ”


“อุ๊ย! ไม่ได้ค่ะ คุณกานต์เป็นคนของนาย ไม่ว่าน้าหรือพวกข้างล่างทุกคนต้องให้ความเคารพคุณเหมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่งค่ะ”


“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเป็นเจ้านายใครนี่ เอางี้ก็ได้ ถ้าคุณกรไม่ได้อยู่ด้วย เรียกกานต์ว่ากานต์เฉยๆ แล้วกานต์ก็จะเรียกน้าว่าน้ารื่น ตกลงนะครับ”


“แต่น้าว่า...”


“ไม่รู้ล่ะ ถ้าน้ารื่นบอกว่ากานต์เป็นเจ้านาย งั้นกานต์ก็ขอออกคำสั่งอย่างนี้ ถ้าไม่ทำตามกานต์จะบอกคุณกรว่าโดนน้ารื่นขัดใจ”


ผมรู้ข้อเสียตัวเองอยู่อย่างว่าถ้ามีคนยอมลงให้ หรือให้ท้ายจะยิ่งเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ ไม่ชอบใจอะไรก็หาวิธีเอาชนะ แต่ยังดีที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย คนที่ถูกผมงอแงใส่เลยไม่มีใครรำคาญ กลับเอ็นดูด้วยซ้ำ


“เกเรเหมือนกันนะคุณเนี่ย” น้ารื่นเก็กหน้าดุแต่ผมฉีกยิ้มหวานๆสู้ก็เลยเป็นฝ่ายชนะไป “ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเผลอก็อย่าถึงกับลงโทษเลยนะ น้ากลัวจะแย่แล้ว”


พอขู่เข็ญน้ารื่นฤดีได้ ผมก็กลับเข้าห้องไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยความรอบคอบของคุณภากรที่ให้คนขับรถย้อนเอาเสื้อผ้าที่โรงแรมกลับมาให้ ผมจึงไม่ต้องรู้สึกประหลาดกับสภาพตัวเองนัก และเพื่อให้คุ้นกับเรือนไทยที่แสนใหญ่โตหลังนี้ผมจึงเริ่มสำรวจพื้นที่ตามประสาคนไม่มีอะไรทำ ตัวเรือนชั้นบนมีห้องหับมากมายแต่ส่วนใหญ่ใส่กุญแจปิดไว้ ที่เปิดใช้เป็นปกตินอกจากห้องที่ผมนอนเมื่อคืนก็มีแค่ห้องของน้ารื่นกับห้องพระที่อยู่อีกฟากหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ


ผมเตร่ลงมาข้างล่างและพบว่าที่นี่ไม่ได้มีคนเยอะแยะเหมือนอย่างภาพบ้านเจ้าขุนมูลนายในละครย้อนยุคที่เคยดู คนเก่าคนแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณปู่และคุณพ่อของคุณภากรเหลือแค่ยายปุยกับยายเป้า พี่น้องฝาแฝดที่ยังดูแข็งแรงเกินวัย ความจำดี ชอบเล่าเรื่องเก่าๆให้ผมฟัง เสียอย่างเดียวที่เริ่มหูตึงทั้งคู่ เวลาคุยกันเลยต้องตะโกนบ้าง ตาหมายกับตามี คู่นี้แค่ชื่อพ้องแต่ดูไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เวลาคนหนึ่งว่าซ้ายอีกคนจะบอกขวา ยายปุยแอบนินทาว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเคยจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่สาวเจ้าดันหนีไปกับผู้ชายบ้านอื่น สุดท้ายก็มาโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายเลยมีเรื่องกันตั้งแต่หนุ่มยันแก่


ส่วนคนงานรุ่นใหม่ๆน้ารื่นเล่าว่าจะอยู่บ้านพักที่ปลูกแยกออกไปทางด้านหลัง พอสายก็หายเข้าสวนไปทำงานของตัวเอง มีธุระเรียกใช้งานหรือเวลาเย็นๆจึงจะแวะเข้ามาตักกับข้าวแบ่งๆกันไปบ้าง ที่เรือนใหญ่นี้นอกจากตายายสองคู่ น้ารื่น ก็จะมีแค่ครอบครัวของลุงพัน ป้าจิตและลูกๆที่ช่วยกันดูแลบริเวณรอบๆให้ร่มรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อย แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อย่างในอดีตแต่ก็น่าอยู่และผูกใจผู้พักอาศัยได้เหมือนที่เคยเป็นมา


“ถ้ามีเวลาว่างคุณกรก็ชอบมาค้างที่นี่ เสียอย่างเดียวค่อนข้างไกล แล้วถนนหนทางแถบนี้ก็สร้างไม่เสร็จสักที ทั้งคนทั้งรถเยอะขึ้นทุกวัน ถ้าต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้าก็ต้องตื่นก่อนไก่โห่กันเลยล่ะค่ะ”


“แล้วน้ารื่นเป็นคนที่นี่เหรอครับ”


“เมื่อก่อนพ่อแม่น้ามาเช่าที่ทางคุณปู่ของคุณกรทำมาหากินอยู่แถวนี้ ตอนที่น้าเหลือตัวคนเดียว คุณปู่กับคุณกฤตก็ยังเมตตาบอกว่าให้อยู่ด้วยกันไม่ต้องไปไหน พอมาถึงคุณกร เธอก็สั่งให้คอยดูแลบ้านหลังนี้ เก็บค่าเช่าที่ ค่าเช่าตึกแถวในตลาด จัดการพวกผลหมากรากไม้ในสวน เธอบอกว่าไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรแต่หลักๆคือให้ทุกคนพออยู่พอกิน เหลือก็ขายเก็บออมไว้ พวกเด็กๆก็ส่งให้เรียนหนังสือสูงๆ ใครเจ็บป่วยก็ให้รักษาพยาบาลอย่างดี คนที่นี่เลยอยู่กันแบบญาติพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลและรักเคารพคุณกรกันทุกคน”


ผมมองน้ารื่นด้วยความทึ่ง ที่เล่ามานั่นไม่ใช่งานง่ายหรือหน้าที่เล็กๆน้อยๆเลย ถ้าจะพูดไปก็เหมือนคุณภากรมอบหมายให้น้ารื่นเป็นผู้จัดการใหญ่ มีอำนาจทุกอย่างรองจากเขาเท่านั้นเอง เอ๊ะ! แล้วอย่างนี้น้ารื่นจะไม่สงสัยเหรอว่าผมเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้มาลอยชายอยู่ที่นี่ได้


“มองหน้าน้าแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย” แน่ะ! รอบๆตัวผมนี่ยังไง ทำไมถึงมีแต่คนรู้ทัน


“แล้วน้ารื่น...ไม่มีอะไรจะถามกานต์บ้างเหรอครับ”


ผมสรุปเอาเองจากการที่โลกของเรือนไทยหลังนี้เหมือนจะตัดขาดตัวเองจากสังคมสมัยใหม่ แล้วอย่างที่น้ารื่นบอกว่าทุกคนทั้งรัก เทิดทูนแทบจะบูชาคุณภากรอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ว่าเขาเคยพาใครมาที่นี่บ้างหรือเปล่า และถ้าจะให้มันดูปกติและยอมรับได้สักหน่อย คนๆนั้นควรจะ...ไม่ใช่อย่างผมใช่มั้ยล่ะ


“ไม่นี่” น้ารื่นมองผมยิ้มๆ แต่ผมทำใจยิ้มตอบไม่ไหว เธอจึงเขยิบมาใกล้ เอามือผมไปกุมไว้แล้วลูบแขนปลอบเบาๆ “เว้นแต่ว่าคุณเองนั่นล่ะที่อาจมีเรื่องไม่สบายใจ หรือกำลังสงสัยอะไรอยู่ ถ้าอยากได้คนช่วยรับฟัง น้าก็ยินดีนะคะ”


ผมมองเข้าไปในดวงตาของน้ารื่นฤดีแล้วรู้สึกถึงความเข้าอกเข้าใจจึงกล้าพอจะเอ่ยถามเรื่องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว


“น้ารื่นเคย...มีแฟนมั้ยครับ”


“อาจจะไม่ถึงกับเป็นแฟนเหมือนอย่างคนสมัยนี้แต่ก็... น่าจะเรียกได้ว่าคนที่ชอบๆพอกัน” มีความเศร้าฉายขึ้นมาแวบหนึ่งก็จางไปอย่างรวดเร็วประสาคนที่ทำใจได้แล้ว “แต่ดวงน้าคงอาภัพคู่ล่ะมั้ง ถึงจะรักมากแค่ไหนแต่น้ารู้ตัวเองดีว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลย พอเขาต้องไปแต่งงานตามคำสั่งผู้ใหญ่ เราจึงตัดสินใจจากกันด้วยดีและมีเพียงมิตรภาพในฐานะเพื่อนให้กันเสมอมา”


“แล้วตอนนี้เขา...”


“เสียไปได้หลายปีแล้ว” ผมรีบบอกขอโทษที่เผลอไปสะกิดความทรงจำร้ายๆ ถึงกระนั้นก็น่าอิจฉาที่น้ารื่นยังมีรอยยิ้มและรู้จักจัดการกับความเศร้านั้นได้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องเศร้าแต่นึกถึงทีไรน้าก็มีความสุขเพราะแม้เราจะไม่ได้คู่กันแต่เขาก็อยู่ในใจน้าเสมอ”


ผมอดคิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ขนาดน้ารื่นทั้งสวยและแสนดียังต้องพลาดจากคนที่เธอรัก แล้วอย่างผมนี่ไม่เรียกว่าห่างไกลจากความฝันหรือไง


“งั้นน้ารื่นคงคิดว่าความรักยังไงก็สู้ความเหมาะสมหรือความถูกต้องไม่ได้ใช่มั้ยครับ”


“ถ้านั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวน้าเองก็ใช่ แต่น้าจะไม่มีวันเอาความคิดตัวเองไปตัดสินใจแทนใครเด็ดขาด คนเราแต่ละคนมีรายละเอียดในชีวิตไม่เหมือนกันทำให้มีมุมมองที่ต่างกัน จังหวะชีวิตก็ต่างกัน ไม่มีใครคิดแทนใครได้หรอกค่ะ”


“คนอื่นเขาคิดกันอย่างนึง แต่เรากำลังจะทำอีกอย่างนึง มันจะไม่เป็นไรเหรอครับ”


“ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้สร้างความวุ่นวายหรือทำให้ใครเดือดร้อน เราก็น่าจะมีสิทธิ์ทำได้ไม่ใช่หรือคะ”


ผมคิดตามและให้คำตอบกับตัวเอง แต่บางครั้งคำตอบหนึ่งก็มักนำไปสู่คำถามไม่สิ้นสุด


“แล้วถ้าไม่สร้างความเดือดร้อนแต่ก็ไม่มีใครเขาทำกัน แถมทำไปแล้วอาจถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดล่ะครับ”


“ก็ถ้าประหลาดแล้วมีความสุข กับยอมทำตามที่เขาเรียกว่าปกติแต่ต้องทนอึดอัด ทุกข์ใจไปตลอดชีวิต คิดว่าอย่างไหนจะดีกว่ากันล่ะคะ”


ผมถอนหายใจแล้วแกล้งทำคอตก เพิ่งเคยเจอนี่ล่ะคนที่ให้คำแนะนำแบบที่เราต้องคิดหาคำตอบเอาเอง น้ารื่นเลยขำผมใหญ่


“ก็น้าบอกแล้วนี่คะว่าไม่อยากตัดสินใจแทนใคร และที่จริงก็เชื่อว่าคุณน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับเท่านั้นเอง”


ถึงไม่พูดออกมาแต่มีบางอย่างในน้ำเสียงและแววตาบ่งบอกว่าน้ารื่นรู้เรื่องระหว่างผมกับคุณภากร และอะไรก็คงไม่เท่าความเข้าใจและการยอมรับที่ส่งมาถึง แต่พอเป็นอย่างนี้ดันกลายเป็นผมที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า


“กานต์ก็คงเหมือนกับน้ารื่นมั้งครับที่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด ไม่อยากให้เขาเลือกกานต์แล้วจะถูกคนอื่นมองไม่ดี”


“แต่ถ้าคนๆนั้นแน่ใจแล้วว่าอะไรคือความสุขในชีวิต คุณกานต์จะห้ามไม่ให้เขาไขว่คว้าหาความสุขนั้นไว้หรือคะ”


น้ารื่นขอให้ผมตอบตัวเองให้ได้ก็พอ เธอนั่งเป็นเพื่อนสักพักก็ขอตัวไปดูแลการเตรียมมื้อเย็น ปล่อยให้ผมนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาท่าน้ำต่อ ลมพัดเย็นๆ สายน้ำไหลเอื่อยกล่อมใจให้รู้สึกสงบและมีสมาธิได้อย่างประหลาด แต่จู่ๆก็มีเสียงที่ขัดกับธรรมชาติดังขึ้น


เฮ่อ...ก็ยังคิดอยู่ว่าชีวิตอย่างผมนี่จะสงบไปได้สักกี่น้ำ!


“เป็นยังไงบ้างกานต์ หายดีหรือยัง มีไข้หรือยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ย”


ยังไม่ทันได้ฮัลโหลก็โดนสวนมาเป็นชุด และน่าแปลกที่พี่กัญญารู้ว่าผมไม่สบายด้วยเหรอ


“อะไรกันครับ กานต์ไม่ได้...”


“ไม่ต้องเลยนะ!” น๊าน นานจริงๆที่พี่กัญญาจะตวาดเสียงเขียวขนาดนี้ “พี่รู้เรื่องหมดแล้ว ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องที่กานต์ไปทำงานกับคุณภากร แล้วก็ที่ถูกเจ้าหนี้ซ้อมเมื่อคืนด้วย นี่ถ้าพี่ไม่ได้ตามไปดูให้เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อ แล้วกานต์ก็ไม่คิดจะบอกอะไรเลยใช่มั้ย ทำไมถึงทำอย่างนี้ หรือกานต์คิดว่าพี่จะเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้น้องลำบากอยู่คนเดียว กานต์เห็นพี่เป็นคนอย่างนั้นเหรอ?!”


ผมกลืนน้ำลายทั้งที่คอแห้งจนเหนียวไปหมด พี่กัญญารู้เรื่องแล้วไม่รู้ว่าควรจะโล่งอกหรือยิ่งหนักใจดี แต่ตอนนี้คงต้องรีบลดอาการเดือดลงก่อนจะมีลูกไฟแลบออกจากมือถือ


“เปล่านะครับ แค่เรียนพี่กัญก็เครียดจะแย่ เลยไม่อยากเอาเรื่องไปทำให้ไม่สบายใจเพิ่มอีก แล้วที่จริงกานต์ก็สบายจะตาย อยู่ที่โรงแรมทำงานออฟฟิศไม่หนักเลย สนุกดีด้วย ส่วนเมื่อคืนกานต์ไม่ระวังตัวเอง สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก กานต์ขอโทษ พี่กัญอย่าโกรธเลยน๊า”


“สัญญาด้วยว่าต่อไปจะไม่มีมีความลับกับพี่อีก!” ผมรีบอือออ แต่ก็แอบไขว้นิ้วเผื่อไว้ “แล้วนี่กานต์อยู่ไหนน่ะ กลับไปที่โรงแรมเหรอ”


“อยู่...เอ่อ...” นั่นสิ! ลืมถามน้ารื่นเลยว่าบ้านนี้อยู่จุดไหนของ...ประเทศไทยดีกว่า เพราะเท่าที่ดูวิวเมื่อเช้าไม่น่าใช่เขตกรุงเทพแล้ว “รู้แต่เป็นบ้านคุณกรแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหนเหมือนกันครับ”


“อ้าว! อะไรกัน ถึงเขาจะเป็นเจ้านายแต่พี่ว่ากานต์ไว้ใจเขามากไปหรือเปล่า เกิดเขาคิดไม่ดีหรือพากานต์ไปขายจะทำยังไงเนี่ย?!”


“พี่กัญ! ทำไมไปว่าคุณกรแบบนั้นล่ะครับ”


“กานต์นั่นแหละอะไร พี่ยังไม่ได้ว่าสักคำ ทำไมต้องทำเหมือนปกป้องเขาด้วย”


“ปะ...เปล่าสักหน่อย” จู่ๆก็มีเหงื่อไหลตกจากหน้าผากหนึ่งหยด แต่ผมไม่ได้ร้อนตัวนะ คงจะแค่ร้อนอากาศ บ่ายแก่แล้วก็ต้องอบอ้าวบ้างเป็นธรรมดา


“แน่นะ?!” พี่กัญญายังไม่เลิกคาดคั้น แต่พอผมรับปากก็ยอมรามือง่ายๆ แสดงว่าน่าจะมีเรื่องอื่นที่ติดใจมากกว่า “เอาเถอะ ที่จริงพี่เองก็ต้องขอบคุณที่เขาช่วยกานต์ไว้แถมท่าทางเขาก็ดีกับกานต์มาก แต่...ไม่รู้สิ ยังไงพี่ก็ไม่อยากไว้ใจคนพวกนี้เลย ดูอย่างอีตาเลขานั่นก็ได้ ทั้งกวนประสาท พูดจาเพี้ยนๆ มีแต่ลับลมคนในจนพี่จะบ้าตาย!”


กับคนนอกที่ไม่สนิทกันผมว่าคุณวรเมธออกจะนิ่ง ชอบเก็กมาดเป็นคุณเลขาใหญ่ เลยไม่อยากเชื่อว่าพี่กัญจะโดนดีจนถึงกับเก็บเอามานินทาให้ผมฟังได้ขนาดนี้


“คุณเมธน่ะเหรอครับเพี้ยน กานต์ว่าเขาดูเป็นคนปกติกว่าคุณกรด้วยซ้ำ”


“หื้ย กานต์ไม่ต้องไปเข้าข้างนายแว่นนั่นเลยนะ อยู่ให้ห่างๆไว้ ยิ่งห่างเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเชื่อพี่สิ”


“ครับๆ” โดยเฉพาะน้ำเสียงพี่กัญด้วยแล้ว ไม่รู้สิ จะว่าอคติก็ไม่น่าใช่ ผมว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆแน่ “แล้วนี่พี่กัญทำอะไรอยู่ครับเนี่ย”


“อยู่ห้องสมุดน่ะ ว่าจะอ่านหนังสือสักพักแล้วค่อยกลับหอ แต่ไม่ไหว อ่านไม่รู้เรื่องเลย”


“ทำไมล่ะครับ หรือว่าห้องสมุดคนเยอะ” อย่างนี้ต้องเรียกว่าแปลกมากด้วย เพราะปกติพี่กัญเป็นคนสมาธิดี ขนาดแถวบ้านผมเสียงดังจะตายยังอ่านหนังสือเตรียมสอบได้หน้าตาเฉย ผมเสียอีกที่ต้องอยู่ในที่เงียบๆ ไม่มีใครกวนถึงจะอ่านรู้เรื่อง


“ไม่ใช่หรอก พี่คงไม่มีสมาธิเองมากกว่า ช่างเถอะ ช่างๆๆๆ อุ้ย! แค่นี้ก่อนนะกานต์ เจ้าหน้าที่ตาเขียวใส่พี่ใหญ่แล้ว เอาไว้ว่างๆจะโทรหาใหม่นะ” บทจะโทรก็โทรมา บทจะเลิกก็ตัดสายไปซะเฉยๆ พี่สาวใครเนี่ย?!


ผมย่นจมูกใส่รูปที่ถ่ายคู่กับคนที่เพิ่งจะวางสาย พี่สาวของผมทั้งเก่ง กล้า และออกจะก๋ากั่นไปบ้างแต่บางครั้งก็ทำอะไรโก๊ะๆ เปิ่นๆให้อดห่วงไม่ได้ เราสองคนมีกันและกันมาตลอด นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครที่ได้รู้จักพี่กัญในมุมนี้ ถ้าใครคนนั้นมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ขอให้เขาปรากฏตัวโดยเร็วและรักพี่สาวผมให้มากๆก็แล้วกัน





จบตอนแล้วคร้าบ



บ้านใครฝนตกบ้าง บ้านเค้าตกแหละ เย็นขึ้นมาจิ๊ดนึง แล้วก็ร้อนเหมือนเดิม  :mew5:



 :bye2:


ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




15 .




เรือหางยาวคำรามลั่นลำคลองอยู่ตลอดทั้งวัน แต่กว่าที่จะได้ยินเสียงเครื่องของเมอร์ซิเดสคันโตก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่ม ผมรีบลงไปเปิดประตูด้านหลังและตั้งใจยิ้มให้กว้างๆเพราะคนที่ลงจากรถดูหน้าเซียว ท่าทางล้า ไม่รู้ว่าเพราะประชุมยาวทั้งวันหรือต้องนั่งรถมาไกล สิ่งแรกที่ออกจากปากคุณภากรคือคำขอโทษที่ไม่ได้โทรหา และต่อมาคือเรื่องงานที่ทำให้เขากับคุณวรเมธต้องบินด่วนไปสิงคโปร์พรุ่งนี้ รู้อย่างนี้ผมเลยรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องถ่อกลับมาถึงที่นี่


“ทานข้าวเลยมั้ยครับ หรือมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำก่อนจะได้สบายตัว”


“อืม อะไรก็ได้ แต่ขอแบบนี้ก่อน...”


ผมถามเพราะอยากจะเอาใจ แต่ก็ไม่คิดว่าคนเอาแต่ใจจะดึงตัวผมเข้าไปกอด แล้วยังดมหัวผมอีกฟอดใหญ่ นี่ดีนะที่เมื่อเช้าสระผม เอ้ย! ไม่ใช่สิ ดีนะที่ผมลงมาคนเดียว ส่วนคนขับรถกับบอดีการ์ดก็แยกย้ายกันไปพักหมดแล้ว


“อื๊อ! คุณกร ทำบ้าอะไรเนี่ย?!”


“ก็อยากรู้ว่าหายดีหรือยัง ดิ้นได้ขนาดนี้แสดงว่าไม่เจ็บตรงไหนแล้วสิ”


โอ้ว! เหตุผลหรือนั่น อยากรู้นักถ้าเป็นเขาโดนแบบนี้จะยังรู้สึกเจ็บอะไรได้อีก มันขนลุกจนเสียวไปทั้งตัวสิไม่ว่า


“แค่อยากรู้ถามเอาก็ได้นี่ครับ”


“แล้วคิดว่าฉันอยากรู้แค่นั้นจริงๆหรือไง”


โอยยย รู้หรอกน่ะว่าแค่นี้หรือแค่ไหนก็ไม่พอสำหรับเขา ถามกันหน้าด้านๆแล้วยังมีหน้ามาหอมแก้มผมอีก


“ช่างคุณสิ ปล่อยได้แล้ว คุณไม่อายแต่ผมอายนะ!”


“อายอะไร ตรงนี้ไม่มีใครสักคน หรือว่าอายฉัน ไม่เป็นไรน่า ฉันยังไม่อายเลยเห็นมั้ย”


“คุณกร!...”


แล้วผมก็ถึงจุดที่ต้องก้าวข้ามความอาย เฮ่อ... คือจะบอกว่าถึงอายจนแทรกแผ่นดินหนียังไงก็คงโผล่ไปเจอเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมควรรีบย้ายตัวเองไปในที่ที่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ด้วย เผื่อเขาจะมีสำนึกขึ้นมาบ้าง


พอขึ้นมาถึงบนเรือน ได้กลิ่นกับข้าวที่น้ารื่นกำลังตั้งสำรับก็น้ำลายสอกันทั้งคู่ คุณกรเองก็ท่าทางจะหิว ไม่รู้ว่าทำงานทั้งวันได้พักกินอะไรบ้างหรือเปล่า ผมในฐานะแขกที่เริ่มคุ้นเคยกับเรือนหลังนี้แล้วเลยเดินนำเขาไปยังริมชานด้านหนึ่งที่มีโอ่งมังกรใบย่อมบรรจุน้ำเต็มเปี่ยม แล้วส่งสายตาบอกให้เจ้าของบ้านนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว


คุณภากรทำตามและมองตามการกระทำของผมไม่วางตา สิ่งที่ผมทำจะเรียกสวยๆว่าการปรนนิบัติพัดวีก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ฝืนใจ สองมือทำไป ในใจพลันคิดถึงตอนที่เด็กมากๆ พ่อยังขับแท็กซี่และจะกลับเข้าบ้านมาอาบน้ำ กินข้าวเย็นก่อนออกไปวิ่งกะกลางคืนต่อ ผมจะออกไปรอเปิดประตูให้แล้วพ่อก็อุ้มผมเดินเข้าบ้าน พี่กัญยกแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟ ส่วนผมก็ขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วถอดถุงเท้าออกแต่พ่อจะแกล้งงอเท้าไว้ทำให้ผมต้องออกแรงดึงจนหงายหลัง แล้วเสียงหัวเราะของเราสามคนพ่อลูกก็จะดังขึ้นในบ้านหลังเล็กๆแสนอบอุ่น


ตัดกลับมาที่ผมกับคนที่เป็นทั้งเจ้านาย เจ้าหนี้ และเจ้า... ก่อนอื่นผมถอดรองเท้าถุงเท้าของเขาออก บรรจงพับปลายขากางเกงขึ้นสองสามทบ แล้วค่อยลุกมาตักน้ำในตุ่มให้เขาล้างมือและกวักลูบหน้า ส่งผ้าขนหนูให้เช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนผมก็จ้วงน้ำอีกขันยองตัวลง...


“กานต์! ไม่ต้องก็ได้”


เสียงห้าวดังขึ้นเหนือหัว ผมเงยตอบด้วยรอยยิ้มแล้วก้มหน้าทำตามที่ตั้งใจ มือของผมดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเท้าคู่ใหญ่ที่ขาวซีดเพราะต้องสวมถุงเท้ารองเท้าอยู่ตลอดทั้งวัน ผมรินน้ำรดจนทั่ว ถูเบาๆ ลงน้ำหนักที่ข้อเท้า รอบส้นและเรียงแต่ละนิ้ว เสร็จแล้วก็บอกให้เขายกเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อตักน้ำล้างอีกครั้งเป็นอันเรียบร้อย


“อยากไปเที่ยวสิงคโปร์มั้ย”


คุณภากรยืนรอผมล้างมือล้างเท้าบ้าง คงไม่มีอะไรทำมั้งเลยเอ่ยปากชวนเอาดื้อๆ เชอะ! เห็นผมง่ายนักเหรอ แล้วถามหน่อย สิงคโปร์นะไม่ใช่สิงห์บุรี เกิดผมไปแล้วถูกปล่อยเกาะจะมีปัญญาหาทางกลับมั้ย


“คุณกับคุณเมธไปทำงาน จะเอาเวลาที่ไหนเที่ยวล่ะครับ”


“ไปกับเจ้าเมธถึงมีเวลามันก็ไม่โผล่หัวออกไปไหนหรอก แต่ถ้ากานต์ไปฉันจะได้เที่ยวด้วยไง”


“ถ้าจะเอาผมไปเป็นข้ออ้างไว้หนีเที่ยวก็อย่าเลยครับ”


“รู้ทัน! แล้วอย่างนี้จะรู้ใจฉันด้วยหรือเปล่านะ”


ผมตอบได้ก็เก่งเกินไปล่ะ โชคดีที่น้ารื่นส่งเสียงบอกว่าสำรับจัดเสร็จแล้ว ผมเลยรอดตัวรีบเข้าไปช่วยคดข้าวใส่จาน บนตั่งไม้ตัวใหญ่มีผ้าขาวฉลุขอบปูทับ เรียงรายด้วยกับข้าวทั้งทอด ผัด ยำ แกงจืด แกงเผ็ด ดูมากมายเกินไปสำหรับจานข้าวแค่สองใบ


“พวกข้างล่างกินกันเรียบร้อยแล้วค่ะ” น้ารื่นรีบบอกเมื่อเห็นผมมองหาจานเพิ่ม “แต่เดี๋ยวคงพากันขึ้นมา นานๆทีคุณกรมาค้างเลยดีใจกันใหญ่”


“นี่สงสัยจะเห็นฉันเป็นหมู มาบ้านสวนทีไรช่วยกันขุนจนอ้วนกลับไปทุกที” คุณกรนั่งขัดสมาธิลง มองกับข้าวละลานตาแล้วก็คงรู้สึกอิ่มเหมือนผม


“โธ่! คุณกรก็ช่างค่อน เดี๋ยวแม่ครัวมาได้ยินเกิดงอนเข้าคนอยู่ทางนี้จะลำบากเอานะคะ”


“ยังไงเหรอครับน้ารื่น” ผมถามพลางนึกถึงหน้าที่ประจำของแต่ละคน ยายปุยเป็นแม่ครัวใหญ่ของบ้าน ยายเป้าถนัดไปทางขนม ส่วนน้าจิตเป็นลูกมือ คอยทำตามคำสั่ง สุดท้ายแม่ครัวใหญ่จะรับผิดชอบชิมรสก็เป็นอันเสร็จแกงสักหนึ่งหม้อ


“คนแก่ก็ขี้น้อยใจเหมือนเด็กๆนั่นแหละค่ะคุณกานต์ งอนขึ้นมาไม่พูดไม่จา แต่ก็มาเปรยๆให้ได้ยินว่าเจ้านายไม่เห็นค่าบ้างล่ะ แก่แล้วเลยไม่มีใครสนใจบ้างล่ะ หนักๆเข้าถึงขั้นข้าวปลาไม่กินก็มี แล้วยายปุยน่ะเป็นเบาหวาน ยายเป้าเป็นความดัน ไม่ยอมกินข้าวกินยาพาลไม่สบายก็บ่นอีกว่าชีวิตไม่เหลืออะไร ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว พวกน้าแค่คอยปลอบก็อ่อนใจไปตามๆกันแล้วล่ะค่ะ”


ผมนึกภาพแล้วก็เห็นจะจริง เพราะขนาดเมื่อตอนบ่ายผมขอไม่รับของว่างเพราะจะรอกินมื้อเย็นทีเดียวก็โดนยายเป้าค้อนขวับ แถมเหน็บอีกว่าขนมไทยพื้นๆไหนจะสู้ของฝรั่งราคาแพงๆ ผมเลยต้องรีบหยิบมากินแทบไม่ทัน แต่ได้แค่อันเดียวก็อิ่มเพราะตะโก้ของยายแกกระทงใหญ่มาก ทั้งเยอะกว่า หอมมันกว่า และแน่นอนว่าอร่อยจนพวกที่ขายในตลาดเทียบไม่ติดเลย


“รู้สึกผิดขึ้นมาเลยนะเนี่ย” คุณภากรคุ้นเคยกับคนที่นี่มาก่อนก็คงโดนมาบ้างไม่มากก็น้อย


“ถ้าไม่อยากโดนคนแก่งอนงั้นคุณกรทานเยอะๆนะคะ” น้ารื่นบอกเจ้านายตัวเองแล้วหันมามองยิ้มๆ ลูบแขนผมใหญ่ “คุณกานต์ก็ด้วย ดูซิเนี่ย ผ๊อม ผอม”


“รายนี้แค่ดมเอาก็อิ่มแล้ว เคยกินข้าวเช้าด้วยกันทีนึง มีอะไรบ้างล่ะ น้ำส้มครึ่งแก้ว ขนมปัง กับข้าวต้มอีกสองสามคำ” ผมเกือบจะปลื้ม ไม่คิดว่าเขาจะจดจำได้ทุกรายละเอียด แต่พอฟังจนจบ... “กินแค่นั้นถึงได้เตี้ยเป็นคนแคระอยู่ยังเงี้ย”


“ผมไม่ได้เตี้ย!” ปรี๊ดแตกสิครับ! ปมด้อยของผมหลักๆมีอยู่สองอย่าง อันแรกคือหน้าหวานเหมือนผู้หญิง แต่นั่นเป็นจุดที่คนชมซึ่งผมก็ยิ้มรับ ไม่ถือสา แต่ไอ้เรื่องส่วนสูงนี่ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่สบอารมณ์เลยให้ตาย


“อ๋อ! แค่แกร็นเฉยๆใช่มั้ย” แล้วมาเจอกวนประสาทตัวพ่อเลยยิ่งไปกันใหญ่


“ไม่เอาค่ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ทานข้าวก่อนดีกว่า กำลังร้อนๆเลย”


“น้ารื่นก็ดูคุณกรสิครับ”


เป็นพยานนะครับว่าผมยังไม่ทันพูดอะไรเลยก็โดนสวนซะก่อน


“เพิ่งรู้ว่าพวกขี้ฟ้องนี่ส่วนใหญ่จะตัวเตี้ย เอ๊ะ! หรือเพราะเตี้ยเลยยิ่งขี้ฟ้องกันนะ”


“คุณกร!” ผมตวาดลั่นบ้านแล้วหันไปหาคนกลางที่รีบออกตัวทันที


“น้าขออนุญาตไม่เข้าข้างไหนทั้งนั้น ขอตัวไปดูที่หลับที่นอนก่อน ทานข้าวกันดีๆ อย่าทะเลาะถึงขั้นล้มโต๊ะเป็นพอนะคะ”


น้ารื่นฤดีลุกไปแล้ว ผมรีบเขยิบให้ห่างคนขี้แกล้งแต่ยังไงก็พ้นไปจากโต๊ะกินข้าวไม่ได้อยู่ดี พยายามมองแต่ของที่จะตักใส่ปากก็ไม่วายโดนกวน ได้ยินชื่อตัวเองอยู่หลายที ผมเลยสะบัดเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้


“อะไรอีกล่ะครับ!?”


“ทำไมต้องโกรธเวลาที่โดนล้อว่าเตี้ยด้วย ในเมื่อมันเป็นความจริง คนเราไม่มีใครไม่เตี้ยหรอกนะ”


ผมหันขวับ ใช้สายตายิงคำถามประมาณว่า ‘จะไม่จบใช่มั้ย?!’


“แล้วคุณจะบอกว่าตัวเองก็เตี้ยงั้นดิ?!”


“ใช่ ฉันยังเตี้ยกว่าเจ้าเมธตั้งสามเซ็นแน่ะ” เห็นผมตั้งใจฟังเขาเลยพูดต่อ จะรู้มั้ยว่าที่ผมนิ่งเนี่ยเพราะมันจี๊ด! “คำว่าสูงหรือเตี้ยมักมาพร้อมการเปรียบเทียบ เปรียบกับคนที่สูงกว่าก็บอกว่าตัวเองเตี้ย แต่ถ้าเทียบกับคนที่เตี้ยกว่าเราก็จะกลายเป็นสูงไปไม่ใช่หรือไง”


เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนจะสอนสัจธรรมอะไรสักอย่าง แต่ขอโทษ ผมไม่ซึ้ง!


“คุณจะพูดอะไรกันแน่?”


“ทำไมต้องคอยเปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้แล้วเก็บมาเป็นอารมณ์ให้ตัวเราไม่ชอบ ไม่สบายใจด้วย กานต์เป็นตัวของตัวเอง เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ก็ดีที่สุดแล้วเชื่อฉันสิ”


ที่จริงผมก็พอรู้ เข้าใจความหมายที่เขาต้องการบอก แต่บางครั้ง เข้าใจ กับ ยอมรับ มันก็คนละเรื่องกัน


“คุณไม่ใช่ผมก็พูดได้ คนที่มีทุกอย่างพร้อมก็ต้องบอกว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ลองไปถามคนที่เขาไม่มีอะไรเลย ใครเขาจะบอกว่าไม่ต้องการอะไรได้อีกล่ะ”


อีกครั้งที่ผมรู้สึกตัวเองด้อยค่าเมื่อเทียบกับผู้ชายคนนี้ เขารวย ผมจน เขาเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมยังเด็ก เขามีทุกอย่าง แต่ผมไม่มี...แม้สักนิดที่จะช่วยให้เชิดหน้าชูตาในฐานะคนข้างกายเขาก็ยังไม่มี


“โอเค ไม่เถียงก็ได้ ฉันไม่อยากโดนงอน” หาเรื่อง! ผมแค่ตักแกงแล้วก้มหน้ากินข้าว งอนใครเมื่อไหร่กัน พอจะตักข้าวอีกคำก็ถูกจับข้อมือไว้ให้ฟังเสียงบ่นอะไรก็ไม่รู้ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้รู้ไว้ กานต์ยังเด็ก ตัวเล็กกว่าฉัน เวลาที่ ยืนข้างกันก็เลยดูตัวเตี้ยกว่าไม่เห็นแปลก และที่ฉันชอบย้ำบ่อยๆนั่นก็เพราะฉันชอบเวลาที่มีกานต์อยู่ใกล้ๆ อยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไปต่างหากล่ะ”


ผมมองไล่จากปลายมือไปจนถึงใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นฉาบไว้ แววตาที่รออยู่อ่อนโยนและให้เกรียติผมเป็นคนสำคัญ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมแพ้ อดขำไม่ได้กับนิสัยงอแงเป็นเด็กๆของตัวเอง


“มานี่มา กินข้าวกัน กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยเนี่ย” เห็นผมยิ้มออก คุณภากรเลยได้ใจ ดึงตัวผมกลับไปนั่งข้างๆ “อย่าไปงอนแข่งกับสองยายเลย ยิ่งงอนยิ่งเตี้ยนะรู้หรือเปล่า”


“ระวังเหอะ ผมจะเอาส้อมแทงคอคุณ!” ผมกำส้อมแน่น เอาจริงนะเนี่ย


“เปล่าประโยชน์น่า จิ้มไอ้นี่ดีกว่า แทงให้มิดแล้วเอามาเสียบใส่ปากฉันนี่...” มือใหญ่กำรอบมือผมไปจิ้มชิ้นปลาหมึกลวกในจานยำรวมมิตรแล้วเอาใส่ปากตัวเองเฉยเลย “อืมมมม อร่อยจะตาย”


ผมพยายามขัดขืนแล้วแต่เขาก็ยังยึดมือผมไปใช้ต่างมือตัวเอง สรุปมื้อนี้ผมเลยไม่ได้กินข้าวคนเดียวในความหมายที่ว่าตัวเองกินไม่พอ ยังต้องตักป้อนคนข้างๆจนอิ่มด้วยกันทั้งคู่ พอถึงเวลาของหวานมีลอดช่องน้ำกะทิที่ยายเป้าโชว์ฝีมือทำตัวลอดช่องเองเลยรับประกันความสดอร่อย เนื้อลอดช่องสีใบเตยแท้เด้งดึ๋งดั๋งในปาก น้ำกะทิก็หวานมันหอมกลิ่นควันเทียน ขนาดคุณภากรบอกว่าอิ่มข้าวยังกินหมดถ้วย ไม่รู้ว่ากลัวโดนงอนเลยแกล้งเอาใจคนแก่หรือเปล่า


ตอนช่วงเสิร์ฟของหวานนี้มีหลายคนทยอยกันขึ้นมาทักทายคุณภากรเหมือนอย่างที่น้ารื่นบอก ลอดช่องน้ำกะทิหม้อใหญ่เลยหมดเกลี้ยงในพริบตา เสร็จแล้วก็นั่งคุยกันต่อเพื่อย่อยมื้อเย็นไปในตัว ดูนาฬิกาอีกทีเกือบสี่ทุ่ม น้ารื่นมองหน้าผมก็เสนอให้แยกย้ายเพราะตาปรือไม่แพ้พวกเด็กๆที่ผล็อยหลับคาตักพ่อแม่ไปหลายคนแล้ว


พอทุกคนเดินลงจากเรือนไปจนหมด น้ารื่นก็ตามลงไปด้วยเพื่อตรวจตรารอบบ้านอีกครั้งก่อนเข้านอน ผมเลยเอ่ยราตรีสวัสดิ์แล้วกลับเข้าห้องไปพักบ้าง ส่วนคุณภากร... เฮ้ย! จะเดินตามมาทำไมเนี่ย?!


“จะนอนก็ไปห้องคุณสิครับ”


ผมหันหลังยืนพิงประตูห้อง ถอยไม่ได้แล้ว จะเดินหนีไปที่อื่นก็โดนคนตัวโตยืนขวาง สีหน้าหมาป่าเจ้าเก่าตัวเดิม ยิ้มเยาะลูกแกะโง่เขลาที่เดินนำมาตกหลุมพรางซะเอง


“ก็นี่ไง” ไม่บอกเปล่า เอื้อมมือมาเคาะแผ่นไม้ที่ด้านหลังผมเพื่อบอกพิกัดซะด้วย


ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้โกหก หรือที่จริงเจ้าของบ้านจะนอนห้องไหนก็มีสิทธิ์โดยชอบอยู่แล้ว แต่เผอิญว่าผมไม่ชอบ พูดตามตรงคือไม่สะดวกทั้งใจและกายที่จะร่วมห้องด้วย คราวที่แล้วผมเมาไม่รู้เรื่องแต่ตื่นมานอนทับเขาอยู่ กลัวว่าคราวนี้จะตื่นมาแล้ว...


อื๊ยยยย แค่คิดก็สยองแล้ว!


“งั้นผมไปขอนอนกับน้ารื่นก็ได้” อย่างที่บอกว่าน้ารื่นได้รับอนุญาตให้พักบนนี้ด้วย และห้องก็อยู่อีกฟากของเรือนนี่เอง มีแสงสว่างลอดออกมาให้ผมรู้สึกอุ่นใจ วิ่งตัดชานไปปรู้ดเดียวก็สบายแล้ว


“คิดเหรอว่าฉันจะยอม”


ฮืออออ ถ้าไปได้อ่ะนะ...!


“จะเข้าห้องเองดีๆหรือจะให้ฉันอุ้มเหมือนตอนที่พาไปนอนที่เตียงเมื่อคืน”


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาวาววามเห็นสีหน้าตัวเองตื่นกลัวอย่างกับเจอผี สรุปผมเลยทำตามดีกว่าโดนผีทะเลอุ้มเข้าห้องจริงๆ แต่พอข้ามธรณีประตูมาหมาป่าก็เลิกสนใจลูกแกะโดยสิ้นเชิง เขาถอดเสื้อโยนใส่หัวผมแล้วเดินผิวปากเข้าห้องน้ำ ครู่ใหญ่ก็ออกมาในชุดนอนเรียบร้อย ไล่ให้ผมไปอาบน้ำส่วนตัวเขาเองเอกเขนกเอนทับหมอนเปิดทีวีดูเฉย... ผมเลยเอ๋อแดก!


ในเมื่อเขาทำเหมือนไม่มีอะไร ผมเลยต้องพยายามทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง ตอนกำลังอาบน้ำแว่วเสียงเจ้าของห้องหัวเราะอยู่ตลอด ไม่รู้ดูอะไรอยู่ถึงขำนักหนา ตอนแต่งตัวเสร็จมีเสียงโทรศัพท์ดัง พอออกมาเห็นเขาไปนั่งเท่ห์อยู่ตรงกรอบหน้าต่างคุยกับคุณวรเมธเรื่องที่จะไปสิงคโปร์ ผมเลยเดินไปหรี่เสียงโทรทัศน์เสร็จแล้วก็ว่าจะเข้านอน เพราะถึงไม่ง่วงแต่แกล้งตาย เอ้ย! ไม่ใช่สิ แกล้งหลับไปก่อนน่าจะปลอดภัยกว่า


“อึ้ย!...” ยังไม่ทันถึงเตียง กางเกงแพรเจ้ากรรมดันทำพิษ ผมยังไม่ชินวิธีการพับๆทบๆเหมือนอย่างที่น้ารื่นสอนเลยได้แต่ขมวดปมไว้ให้แน่นๆ แต่กางเกงมันใหญ่กว่าตัวแถมเนื้อผ้าก็ลื่นขนาดนี้เลยเอาไม่อยู่ ดีนะที่ตะครุบไว้ได้ทัน น้ารื่นบอกว่าพรุ่งนี้จะเย็บขอบแล้วใส่ยางยืดให้ งั้นคืนนี้หาอะไรคาดแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน...


“เอ้ย!... อูยยยย” แค่หันหลังจะเดินกลับไปเอาเข็มขัด ผมก็สะดุดชายกางเกงล้มไม่เป็นท่า แถมเอาหัวเข่าลงพื้นอีก เจ็บมากขอบอก!


“ห้องฉันมีกบด้วยเหรอ ตัวใหญ่มั้ยล่ะ?”


เป็นเจ้าของบ้านที่นิสัยดีเลิศ ไม่ช่วยแล้วยังมายืนเยาะเย้ยกันอีก แต่... เอ่อ...! ผมว่าเขาจะคุกเข่าลงมาแล้วดูอาการผมอย่างใกล้ชิดจนเกินไป...มั้ย?!


“ดูสิ แดงหมดแล้ว กระแทกตรงไหนอีกหรือเปล่า” ไม่ดูเปล่า มีเป่าลมเพี้ยงๆด้วย บรื๋อออ จู่ๆเมืองไทยมีหิมะตกเหรอ หนาวไปถึงกระดูกแล้วเนี่ย


คืนนี้กางเกงแพรที่น้ารื่นจัดให้สีฟ้าสดมีลายรูปกลมๆสไตล์จีนทั่วตัว ส่วนที่คุณภากรพูดถึงคือหัวเข่าของผมที่แดงเป็นปื้นและพรุ่งนี้คงจะช้ำจนกลายเป็นสีม่วง แต่ประเด็นที่น่าห่วงกว่าคือถ้าจะเห็นหัวเข่าผมได้แสดงว่าขากางเกงต้องถูกเลิกสูงขึ้นมา... ฮืออออ ให้เป็นอย่างนั้นเสียยังดีกว่าที่มันเป็นอยู่ตอนนี้!


 “มะ..ไม่เป็นไรครับ!” ผมบอกแล้วรีบกระถดหนีแต่ก็ยิ่งทำให้กางเกงหลุดออกจากตัว ใช่แล้วครับ คุณภากรไม่ได้เลิกขากางเกงผม แต่กางเกงบ้ามันลื่นออกจากเอวไปทั้งตัวเองต่างหาก ยิ่งผมขยับมันก็จะยิ่งหลุด ตกลงว่าผมโง่เองที่ใส่กางเกงแพรไม่เป็น หรือมันเป็นกางเกงผีที่ไม่อยากให้ผมใส่กันแน่นะ


แต่ก่อนอื่น ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะโชว์หวิวก่อนนอน แล้วก็ช่วยทำให้เขาเลิกมองผมด้วยสายตาแบบนี้สักที!!


“ซื้อบื้อจริง นุ่งยังไงกางเกงมันถึงได้หลุดไม่เป็นท่าอย่างนี้หะ?” เขาเอ็ดผมยิ้มๆ ก็ไอ้รอยยิ้มอย่างนี้แหละที่น่ากลัว ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในห้องทำงานตอนโน้นและทำให้ผมเสียจูบแรกในชีวิต


“ก็...ก็ผมไม่เคย...” โชคดีที่ตัวเสื้อยาวพอจะคลุมอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง เซฟด้วยกางเกงในอีกชั้นหนึ่ง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ใส่อะไรเลยสักชิ้น สายตาวาววามไล่มองจากปลายขา ผ่านผ้าลื่นเหลือบสีฟ้าสด ถึงรอยนูนแดงที่หัวเข่า ไต่เรื่อยตามเรียวน่องแล้วมุดเข้าชายเสื้อผ้าป่านสีขาว ที่อธิบายมาทั้งหมดนี่แค่สายตาเท่านั้นนะ!


“งั้นมานี่ ฉันสอนเอง” แล้วมือของเขาก็ตามมา มือทั้งสองข้างช้อนตัวผมขึ้นแล้วอุ้มเดินตรงไปที่เตียง


“เฮ้ย! คุณกร! จะทำอะไร ปล่อยผมนะ”


“ดิ้นทำไม ฉันก็แค่จะสอนนายใส่กางเกง”


จริงดิ สาบานให้ฟ้าผ่าตายเลยนะว่าเขาสนใจไอ้เศษผ้าสีฟ้าที่ห้อยติดปลายเท้าผมมาจริงๆ?!


“ไมต้องครับ ผมใส่เอง ผมใส่ได้ คุณ...คุณคุยกับคุณเมธอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปคุยต่อสิครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”


เขาหยุดนิดนึงเพื่อมองหามือถือตัวเองแต่ไม่เจอ หวังว่าคงไม่เผลอเขวี้ยงทิ้งลงหน้าต่างไปแล้วหรอกนะ


“ช่างเถอะ เมธมันคงวางสายไปแล้วล่ะ”


ผมชักเท้าหนีเลยโดนมือใหญ่รวบกำข้อเท้าไว้แน่น อีกมือดูเหมือนจะพยายามจับขาผมใส่เข้าไปในขากางเกงให้ได้


“อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นฉันอาจจะอยากทำมากกว่าสอนนายใส่กางเกงก็ได้”


“คุณกร!” คำขู่นั่นทำให้ผมกลัวได้อยู่หรอก แต่นอกจากกางเกงยังมีอีกอย่างที่รูดขึ้นมาตามขา นี่สิที่ผมทนไม่ได้ ขนลุกหมดแย้ววว! “จะ..จะสอนก็บอกกันดีๆสิ มะ...มาลูบขาผมทำไม!”


“เปล่า แค่มือไปโดนเฉยๆ”


ให้ตาย! แค่โดนบ้าอะไรผมถึงได้รู้สึกครบเลยว่าสองมือคนเรามียี่สิบนิ้ว เชื่อเขาก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว ถ้าผมมีมดลูกอ่ะนะ!


“คุณกร...!”


“หืม?”


“มะ..ไม่...!”


ไม่อะไร? ไม่รู้สิ! ผมหลับตาปี๋ ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากความเสียวที่สะท้านไปถึงสันหลังเมื่อมือใหญ่บีบคลึงต้นขาผมราวกับเด็กเล่นดินน้ำมัน


“ว่าไง?”


“ไม่....อื๊ออออ....”


สัมผัสที่เปลี่ยนไปชวนให้หรี่ตาแอบมองแล้วเห็นแต่กลุ่มผมสีดำ แต่แค่นั้นก็จะบ้า ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเพี้ยนถึงขนาดจูบขาผมลง ริมฝีปากอุ่นมากๆลากผ่านจากริมนอกเข้าถึงปลีน่องด้านใน ลามเลีย ขบเม้ม ราวกับหมาป่าหิวโซละเลียดชิมคัสตาร์ดเนื้อเนียนนุ่ม ไม่ๆๆๆๆ เป็นภาพที่ไม่เข้ากันเลยแต่ก็ให้ความรู้สึกปั่นป่วนเหมือนมีเฮอร์ริเคนกระหน่ำซัดอยู่ในท้องสักสิบลูก


“พูดให้รู้เรื่องสิกานต์ ไม่อะไร?”


เขาถามแล้วงับชายเสื้อผมเลิกขึ้น จูบที่หน้าท้องเบาๆ ส่วนสองมือเลื่อนลงด้านล่าง สอดเข้าในกางเกงตัวเล็กเค้นขยำก้นผมด้วยอาการหมันเขี้ยว


“คุณกร...ไม่...”


“ว่าไงครับ จะไม่อะไรคุณกรหืม?”


ลมปากอุ่นกระซิบถามติดหูขณะที่มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังแล้วดึงเสื้อผมออกไปทางหัว เขายันตัวขึ้นถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นแผงอกกว้าง ผมเอื้อมมือไปแตะแผ่นท้องเป็นลอนชัดด้วยสมองอันขาวโพลน ทุกการกระทำน่าจะเป็นไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ ผมคงอยากดูสมชายกว่านี้ คงอยากเป็นเจ้าของร่างกายที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆเลยเริ่มต้นด้วยการลองสัมผัส ผิวแน่นจับแล้วอุ่นจัด มีตุ่มไตขึ้นไม่ต่างจากเนื้อตัวผม นึกอยากชิมจึงแนบริมฝีปาก แลบปลายลิ้นแตะ สูดกลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆขึ้นไปจนสะดุดที่กลางอก กำลังจะอ้าปากงับก็มีมือมาประคองหน้าผมเงยขึ้นแล้วป้อนรสหวานละมุนลิ้นให้แทน


ผมไม่รู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนี้ เอาเป็นว่า...ขอโยนความผิดให้หรีดหริ่งเรไรที่ส่งเสียงรบกวนค่ำคืนอันเงียบสงบ โดนเจ้ากบตัวที่ผมจับพลาดไปกินเสียให้หมดได้ก็ดี ขอกล่าวโทษอุณหภูมิที่ลดต่ำทำให้ผมต้องไขว่คว้าหาไออุ่นมาประโลมร่างกายและจิตใจ ขอสาปเจ้าผีกางเกงแพรที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกแปลกๆ แช่งให้มันต้องทนเป็นของที่ถูกใส่แล้วถอดทิ้งวันยังค่ำไปทั้งชาติ แต่ที่ผมจะไม่แตะต้องเลยคือหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่อ่อนโยนและถนอมเหยื่อของมันราวสมบัติล้ำค่า เพราะผมรู้ดีที่สุดว่าลูกแกะตัวนี้ยินยอมรับความสุขนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ






จบตอนแล้วคร้าบ



อะไรๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น
ก็ครั้งแรกอ่ะ แค่นี้พอโนะ โฮะ โฮะ โฮะ

 :o8:





 :bye2:


ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
ลูกแกะโดนกิน  :m25:

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
เกิดอะไรขึ้น อยากรู้ๆ  :hao7:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
เนื้อเรื่องน่ารัก! น่าติดตาม! อ่านสนุกด้วย
++ ให้เลยค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
หวายยยยยยเขินเยย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :hao7: นี้มันคืออาราย~~~

ออฟไลน์ loukmoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด