Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11  (อ่าน 75417 ครั้ง)

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
บทเรียนในชีวิตตัวเองก็ไม่ช่วยให้คิดได้สินะคุณแม่อ่ะ

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




22 .





สรุปแล้วบรรยากาศบ้านสวนสไตล์คุณชัชทำให้ผมต้องแช่น้ำคลองจนปากเขียว พอตกเย็นแทนที่จะกินข้าวบนเรือนอย่างตอนที่อยู่กับคุณภากรก็พาลงมาล้อมวงกับทุกคนเป็นที่สนุกสนาน ฝีมือยายปุยนั้นถูกปากแน่อยู่แล้ว แถมมื้อนี้ยังมีเมนูโปรดที่มีคนบ่นอยากกินได้ทุกวัน พอนั่งขัดสมาธิลงเหมาะเจาะ ท่านที่ปรึกษาโรงแรมใหญ่เลยจัดการเลาะเนื้อปลาทูชิ้นสวยโยนใส่จานราดน้ำพริกกะปิหอมๆ คลุกเคล้าเข้ารสแล้วลงมือเปิบอย่างชำนิชำนาญ รอบตั่งไม้ตัวใหญ่ที่พวกเรานั่งกินข้าวเลยมีแขกรับเชิญเพิ่มขึ้นมานอกจากเจ้าสี่ขาหน้าประจำคือแม่แมวที่พาลูกๆมานั่งส่งสายตามีความหวังกันเป็นแถว


“ลองๆ อร่อยแน่นอน” คงเห็นผมนั่งมองตาค้างอีกคนเลยแบ่งใส่จานมาให้


มองไปรอบวงนอกจากคุณชัชแล้ว ตาหมาย ตามี ยายปุย ยายเป้า และลุงพันพร้อมใจใช้ช้อนที่ติดอยู่กับตัวกินข้าวกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยใช้มือเปิบข้าวเลย เห็นอย่างนี้แล้ว...


“ลองดูมั้ยคะ”


น้ารื่นฤดีถามยิ้มๆ แล้วก็คงรู้ใจเลยลุกไปตักน้ำจากตุ่มมาให้ผมล้างมืออีกที ระหว่างนั้นทุกคนวางจานรอแล้วพอผมพร้อมก็ช่วยกันสอน ช่วยกันลุ้นใหญ่ เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะหย่งมือหยิบข้าวให้เป็นคำแล้วเอาเข้าปากโดยไม่ทำหก เห็นทุกคนเลอะกันไม่เกินสองข้อนิ้ว แต่ของผมนี่ยังกับจุ่มมือลงชามแกงมาอย่างนั้น


“ไม่ไหวๆ เห็นเก่งทุกเรื่องแต่แค่กินข้าวยังสู้ยัยเพลินไม่ได้เลย” คุณชัชบ่นพลางเก็บเม็ดข้าวที่ร่วงรอบจานโยนใส่หัวเจ้าถั่วแปบ หมาพันธ์ทางสีออกเหลืองที่กระดิกหางรอรับทุกอย่าง ผมเลยได้แต่หันไปยิ้มแหยๆกับเด็กหญิงหน้าแป้นแล้นวัยห้าขวบที่ยังทำได้ดีกว่า เพราะถึงจะมือเลอะแต่ข้าวทุกเม็ดก็ยังอยู่ในจาน ไม่หล่นเกลื่อนกลาดเหมือนผม


“พอจะเอาเข้าปากข้าวมันก็ร่วงเอง ผมไม่ได้ตั้งใจกินเลอะเทอะสักหน่อย”


ผมแก้ตัวแบบไม่เข้าข้างตัวเองสักนิด เขาได้ฟังก็หัวเราะอยู่ในคอส่วนผู้ใหญ่คนอื่นยิ้มขำๆ มียายเป้าที่นั่งตรงข้ามนี่ล่ะที่ออกปากเป็นกำลังใจให้


“ไม่เป็นไรหรอกพ่อคุณ คนเพิ่งหัดก็อย่างนี้ทั้งนั้น กินไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เก่งนะ”


“เอ้า! อ้าปาก ปล่อยให้กินเองกว่าจะหมดจานได้ทำแม่โพสพร้องไห้กันพอดี” คนตัวโตขำเสร็จก็ขยับเข้ามาจนหัวเข่าเกยกัน นิ้วยาวๆจับข้าวหนึ่งคำยื่นมาตรงหน้า ผมมองด้วยความลังเล คิดในใจว่าวิธีป้อนของเขามันดูแปลกๆอยู่ แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปาก ถือว่าข้าวคลุกปลาทูคำนี้กลมกล่อมทั้งรสชาติอาหารและขี้มือคนป้อนแล้วกัน


“แต่คุณกานต์นี่กินง่ายอยู่ง่ายดีนะคะ ทีแรกนึกว่ากับข้าวพื้นๆคุณจะทานไม่ได้ซะอีก” เด็กหญิงเพลินสะกิดแม่ยิกๆ ป้าจิตเลยเอาใจป้อนลูกสาวพลางเอ่ยชมผมอีกคน มื้อนี้อิ่มลูกยอพอๆกับข้าวเลยแฮะ


“โธ่ ป้าจิต! ก็ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆนี่แหละ บางทีอยู่บ้านคนเดียวยังต้องหุงข้าวเจียวไข่กินเองเลย ได้มาชิมกับข้าวฝีมือยายปุยกับขนมของยายเป้าเนี่ยยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์อีกนะครับ”


“แหม! ไม่ต้องมายอคนแก่ก็ได้ อยากกินอะไรบอกมาเดี๋ยวพวกยายทำให้ทุกอย่างเลยจ๊ะ”


คราวนี้เป็นยายปุยเอ่ยปากท่าทางพอใจสุดๆ ฝั่งสองตาคงกลัวน้อยหน้า ตามีเลยส่งเสียงถามผม แต่ท่าทางดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย


“นี่ๆ พ่อหนุ่ม แล้วสนใจจะลองของเด็ดบ้างมั้ย รับรองว่าในกรุงเทพหากินไม่ได้แน่ๆ”


“หู๊ยยย” ยายเป้าขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ยายปุยเบ้หน้าตบอกปุๆ “พ่อกานต์อย่าไปฟังไอ้มีมัน ของดีๆมีเยอะแยะไม่กิน ไพล่ไปจับงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรไม่รู้ กินกันเข้าไปได้ยังงั้ย บาปกรรม!”


เมนูของสองตาชวนให้จุกที่คอขึ้นอย่างยายเป้าว่า แต่คนตัวโตที่ยังกินเองคำ ป้อนผมคำนี่สิ ตาลุกเชียว!


“เฮ้ย! จริงหรือเปล่าลุงมี ได้อะไรมา ทำหรือยัง”


“ก็งูสิงนี่แหละ มันเลื้อยอยู่แถวนี้ ไล่ยังไงก็ไม่ไป กลัวมันจะเข้าครัวเลยต้องขมาแล้วตี ตัวใหญ่พอมีเนื้อเลยว่าจะผัดเผ็ดแกล้มเหล้าสักหน่อย เปรี้ยวปากมาหลายวันแล้ว”


“ดีๆ เดี๋ยวฉัน.. โอ๊ย! ไอ้กานต์!?”


คุณชัชร้องลั่นแล้วสะบัดมือเร่าๆ แหม! เยอะไปนะ ผมแค่งับเบาๆ ไม่ทันได้ออกแรง รอยเขี้ยว รอยฟันสักนิดยังไม่มีให้เห็นเลย


“ผมกัดแทนไอ้ตัวนั้นแหละ ถ้าอาไปกินงูนะ ผมจะไม่กินข้าวด้วยอีกเลย!”


“หนอย! เดี๋ยวเถอะไอ้แสบ!” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง เขาเองก็พลอยผสมโรงและยังป้อนข้าวผมต่อ สงสัยจะไม่เข็ด


อิ่มหนำกับมื้อเย็นกันเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อนหรือจัดการงานช่วงสุดท้ายก่อนเข้านอน ส่วนผมกับคุณชัชพากันขึ้นมานั่งรับลมเล่นที่ชานเรือน กำลังนั่งอ่านเอกสารที่เซฟใส่ไอแพดมาอยู่เพลินๆต้องสะดุด หันไปตามเสียงเรียกก็เห็นคนตัวยาวนอนเท้าศอกมองอยู่


“มาใกล้ๆซิ” พอผมเขยิบเข้าไปตามคำสั่งก็ตามมาด้วยคำถาม “อยากกลับไปเรียนหนังสือมั้ย”


“อาเบื่อผมแล้ว?”


“เปล่า” ใบหน้านิ่งมีรอยยิ้มบางๆ มือใหญ่เอื้อมมาประกบข้างแก้ม บีบอุ้งมือเบาๆ “ถ้าอยากเรียน ฉันจะส่งเอง ไปเมืองนอกเลยก็ได้ เรื่องเงินไม่มีปัญหา”


“...อยากให้ผมไปเหรอครับ...”


“ถ้าเขาเห็นว่าเราด้อย เรายิ่งต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้เขายอมรับให้ได้สิ”


เท่านี้ผมก็รู้ว่ามีอะไรที่มากกว่าแค่กลับไปใส่ชุดนักเรียนเดินเข้าโรงเรียน จะเรียกว่าผมควรถูกส่งไปชุบตัวให้ดูมีค่ากว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ล่ะมั้ง


“ต่อให้ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวแล้วรอดกลับมาได้ คุณภัทก็คงไม่มีวันเห็นผมดีไปได้หรอกครับ”


“น้อยเนื้อต่ำใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อที่คุณภัทพูดมามันก็มีส่วนถูก เขาชี้มาถือว่าดี เราจะได้แก้ให้ตรงจุด ไปเรียนให้สูงๆ เก่งๆ จะได้กลับมายืนเคียงข้างกรได้อย่างไม่อายใคร เผื่อวันหน้าคุณภัทจะหายดื้อแล้วโยนอคติบ้าๆนั่นทิ้งไปซะบ้าง”


คุณชัชไม่เถียงแสดงว่าเขาเองก็เห็นด้วย เรื่องที่ผมกับคุณภากรเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็เป็นอุปสรรคใหญ่มากพออยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ ถึงผมเกิดเป็นผู้หญิงขึ้นมาก็ใช่ว่าแม่ของเขาจะยอมรับ คนต่ำต้อย ไม่มีเกรียติ ไม่มีเงิน มีหรือจะอยู่ในสายตาคุณภัทราพรได้


“ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ทั้งที่มีพร้อมทุกอย่าง ดูเป็นคนมั่นใจแต่ลงท้ายก็ยังแคร์สายตาคนอื่น เก็บเอาเสียงนินทาของชาวบ้านมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ลงท้ายชีวิตครอบครัวก็ไม่มีความสุขเพราะทำตัวเองแท้ๆ” ร่างหนาถอนหายใจเฮือก หงายหลังผึ่งไปกับพื้นกระดานแล้วเล่าต่อ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณภัทถึงยอมแต่งงานกับพี่กฤต แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วทำไมถึงไม่เชื่อมั่นในคนที่เป็นสามี เขาไม่ได้มองพี่กฤตจากตัวพี่กฤตเองแต่กลับไปฟังเสียงพวกปากหอยปากปูที่ไม่เคยจะเห็นใครดีกว่าตัวเอง พี่กฤตเป็นลูกชาวสวน ไม่มีรถแพงๆขับ ไม่มีเงินในธนาคารเป็นร้อยๆล้านแล้วมันหนักหัวใครหรือเปล่า แค่ที่เขาเป็นคนดี ขยันขันแข็ง มีสมอง มีความรับผิดชอบกับหน้าที่การงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องนี่ยังไม่พอเชิดหน้าชูตาในฐานะลูกเขยเจ้าสัวอีกหรือไง”


ผมคิดตามแล้วเริ่มเข้าใจสภาพที่คุณภากรเติบโตขึ้นมา รวมกับที่เขาเคยหลุดปากเล่า ถึงจะอยู่พร้อมหน้าแต่ไม่เคยมีความสุข พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกๆอยู่อีกทาง เรียกว่าครอบครัวแตกแยกก็ยังได้ ที่ยิ่งไม่อยากเชื่อคือต้นเหตุจะเป็นเพียงจุดเล็กๆที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันแค่นี้เองน่ะเหรอ


“ความดีเป็นอะไรที่มองไม่เห็นแล้วแถมต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในขณะที่ทรัพย์สินเงินทองมันจับต้องได้ง่ายกว่า เป็นสิ่งที่คนเราใช้วัดมูลค่าทุกๆอย่างอยู่แล้วก็เลยพลอยเอามาวัดคุณค่าคนด้วยกันมั้งครับ”


“ก็คงใช่ แถมเวลาของพี่ชายฉันยังหมดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ กว่าจะรู้ว่าดีหรือไม่ดีก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทีแรกฉันนึกว่าเรื่องของพี่กฤตอาจจะทำให้คุณภัทคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเปล่าประโยชน์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาได้เลย”


คุณชัชถอนหายใจอีกเฮือก ท่อนแขนใหญ่ยกประสานรองศีรษะแล้วหลับตานิ่ง รอบตัวเราจึงเกิดเป็นความเงียบ มีเพียงสรรพเสียงของยามค่ำคืนแว่วมาจากดงไม้ที่รายล้อมตัวบ้าน ทีแรกว่าจะเขยิบกลับไปนั่งเอกสารต่อแต่สมองก็ฟุ้งจนไม่เหลือสมาธิแล้ว


“แล้วอาคิดว่า...” ผมเอ่ยเบาๆเพราะยังไม่แน่ใจว่าคนที่นอนเล่นอยู่หลับไปจริงๆหรือยัง “นอกจากคุณภัท ยังมีใครที่น่าจะเกลียดขี้หน้าผมอีกมั้ยครับ”


“ถามอย่างนี้ หมายถึงหนูภาล่ะสิ” เขาถามยิ้มๆทั้งที่นอนหลับตา “เมื่อก่อนฉันก็สนิทกับหลานสาวคนนี้นะ แต่พอพี่กฤตเสีย ฉันย้ายไปอยู่ที่โน่นที่นี่ซะนานเลยห่างๆกันไป ตั้งแต่เขาไปเรียนเมืองนอกนี่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่รู้ป่านนี้จะโตเป็นสาวขนาดไหนแล้ว”


“ผมก็ไม่เคยเจอครับ แต่ป้ามาลัยคุยกับคุณกรเรื่องงานวันคริสต์มาส คิดว่าคุณภาวิณีน่าจะกลับมาเพราะเป็นวันเกิดคุณกรด้วย”


“พี่น้องคู่นี้ดูเผินๆเหมือนไม่สนิทแต่จริงๆรักกันมาก ตอนเล็กๆหนูภาเป็นเด็กขี้หวงซะด้วยสิ”


คุณชัชพูดขึ้นมาลอยๆ แต่คำโบราณก็ว่าไว้ ดูนางให้ดูแม่ แม่เป็นอย่างไร ลูกสาวคงไม่แคล้วเป็นอย่างนั้นหรืออาจจะหนักกว่า


“งั้นผมคงโดนแน่ๆ!”


“เฮ้ย! อย่าเพิ่งคิดมาก อาจจะไม่ใช่ก็ได้ หนูภาไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาคงจะใจกว้าง ยอมรับอะไรได้ง่ายกว่าแม่เขาล่ะน่ะ”


ถึงคุณชัชจะปลอบยังไงผมก็ทำใจและเตรียมตัวยอมรับไว้แล้ว จะพูดว่าใช้ความหน้าด้านหน้าทนเข้าสู้ก็ได้แต่เป็นไงเป็นกัน ถ้าคุณภากรยังต้องการผม ผมก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไปแน่นอน แต่ก่อนจะถึงคนในครอบครัว ผมลืมนึกไปเลยว่าท่านเจ้าของโรงแรมใหญ่คนนี้เคยครองตำแหน่งหนุ่มโสดในฝันหลายปีซ้อนมาแล้วนี่


“คุณกานต์! โทรศัพท์ค่ะ” เพิ่งจะแยกจากป้ามาลัยมา กำลังเดินผ่านเคาเตอร์รีเซปชันที่โถงด้านหน้า ผมก็ต้องชะงักแล้วหันไปตามเสียงเรียก เอานิ้วชี้หน้าตัวเองเพื่อขอคำยืนยัน “เขาต้องการเรียนสายคุณกานต์จริงๆค่ะ ดิฉันกำลังจะต่อขึ้นไปข้างบนแต่คุณผ่านมาพอดี แต่ถามยังไงก็ไม่ยอมบอกชื่อหรือว่าจะติดต่อเรื่องอะไร จะให้ดิฉันปฏิเสธไปมั้ยคะ”


ผมส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปรับโทรศัพท์มาแนบหูอย่างงงๆ


“ผมกานต์พูดครับ ไม่ทราบว่า...”


“แกไม่ต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร แต่จำใส่สมองไว้ว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครแย่งภากรไปจากฉันได้เป็นอันขาด”


“ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผม...”


“ฉันไม่ได้เข้าใจผิด แกนั่นแหละที่กำลังหลอกให้เขาทำเรื่องทุเรศ อุบาทว์ อัปรีย์ บัดสีบัดเถลิงที่สุด ฉันขอสั่งให้แกออกไปจากชีวิตเขาซะ ไม่อย่างนั้นฉันเล่นงานแกแน่!”


หูผมชา หัวยังมึน จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่หัวใจผมก็ปวดหนึบจนต้องรีบเดินหนีออกมาสงบสติอารมณ์ไม่ให้ใครเห็น ยังดีที่ผู้หญิงคนนั้นเสียงไม่ดัง ลักษณะเหมือนกัดฟันพูดด้วยความเจ็บแค้นแสนสาหัส ไม่อย่างนั้นคงมีเสียงลอดออกมาให้พนักงานทั้งโรงแรมเก็บไปเมาท์ว่าผมถูกผู้หญิงของคุณภากรโทรตามรังควาน โอ๊ย! ปวดกะบาลชิบ!


เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าใช้อำนาจออกคำสั่งว่าจะไม่รับโทรศัพท์สายนอกเป็นอันขาด แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีที่เล็ดรอดมาถึง ทุกรายล้วนพูดในทำนองเดียวกัน บางคนก็ว่าเป็นแฟน บ้างอ้างเป็นเมีย มีถึงขนาดบอกว่ากำลังท้องแต่คุณภากรไม่ยอมรับเพราะมาติดพันผมอยู่ ผมสู้ทน หรือความจริงควรบอกว่าอายเป็นบ้าเลยไม่กล้าบอกใครแม้แต่ป้ามาลัยหรือคุณชัช ฝ่ายคุณภากรเองก็ไม่มีท่าทางผิดปกติ หวังว่านี่จะเป็นเพียงการเล่นตลก อาจมีใครระแคะระคายเรื่องของผมเลยคิดจะแกล้ง พอผมไม่เล่นด้วย พวกเขาคงหมดสนุกไปกันเอง


“คุณกานต์คะ!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหยุดกึก เสียวแว้บแต่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติเพราะไม่อยากให้ป้ามาลัยที่เดินมาด้วยกันผิดสังเกต ผมหันไปมองทำหน้าเฉยๆ แต่ป้ามาลัยออกปากเอ็ดอย่างคนที่เห็นอะไรไม่เรียบร้อยไม่ได้


“จะตะโกนทำไมจ๊ะเธอ ค่อยๆเดินเข้ามาบอกดีๆก็ได้ ทำอย่างนี้แขกที่มาพักจะคิดว่าโรงแรมเราเป็นอะไร?!”


“ขอโทษค่ะคุณมาลัย ก็หนูกลัวจะตามไม่ทันนี่คะ” พี่พนักงานในชุดของแผนกต้อนรับรีบกระพุ่มมือไหว้ขอโทษแล้วค่อยหันมาบอกธุระกับผม “มีแขกขอพบคุณกานต์ ตอนนี้กำลังรออยู่ที่สวนค่ะ”


“ใครล่ะ?” ยังคงเป็นคนข้างตัวผมที่เอ่ยถาม พออีกฝ่ายเอาแต่ส่ายหน้าก็เลยเป็นเรื่อง “เอ๊ะ! ใครก็ไม่รู้ ธุระอะไรก็ไม่ทราบ แล้วจะมาตามให้คุณเขาไปพบ เธอนี่ยังไงนะ?!”


“ก็หนูถามแล้วแต่เขาบอกแค่ว่าขอพบคุณกานต์เป็นการส่วนตัว ถึงคุณกานต์ติดงานหรือยังไม่ว่างก็ไม่เป็นไร รอได้น่ะค่ะ”


ท้ายประโยคพี่เขาหันมาส่งสายตาเพราะคงกลัวคุณแม่บ้านใหญ่จับใจ ผมเห็นแล้วสงสารเลยพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาเคลียร์กับป้ามาลัยเอง


“อาจจะเป็นพ่อหรือพี่กัญก็ได้ สวนอยู่แค่นี้ กานต์ไปคนเดียวได้ ป้ารีบไปประชุมเถอะครับ”


ป้ามาลัยคงยังติดใจเรื่องที่พ่อพาคนมากระทืบผมเลยยิ่งเป็นห่วง ถ้าไม่ติดว่ามีงานรออยู่คงไม่ยอมง่ายๆ


“ตามใจแล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรกานต์เรียกเฮียสยามเลยนะ โทรหาคุณชัชก็ได้ เห็นขึ้นไปคุยกับนายตั้งนานแล้ว เดี๋ยวคงลงมาเรียกหาให้วุ่นหรอก”


ผมรับคำหนักแน่นแล้วรอส่งป้ามาลัยเข้าลิฟต์ไปเรียบร้อยจึงค่อยเดินออกมาที่สวน ตอนบ่ายอย่างนี้แดดค่อนข้างแรง บรรดาแขกพากันหลบอยู่ใต้ร่ม ผ่อนคลายอิริยาบถตามสบาย จึงไม่ยากที่จะสังเกตหาคนที่รอ อาจดูเหมือนเธอนั่งเล่นอยู่คนเดียวแต่พอเห็นผมเข้าก็ขยับตัวนั่งตรงมีท่าทีเตรียมพร้อม พอผมเดินเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก มือเรียวขาวยกขยับแว่นกันแดดแล้วผายมือบอกให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน


ฝ่ายที่บอกว่ามีธุระเอาแต่เงียบ ผมเลยยิ่งอึดอัดเพราะรู้ว่าหลังแว่นสีดำสนิทมีสายตาที่กำลังจ้องเขม็ง แต่ในเมื่อเธอไม่พูด ผมก็เอาตาม จะได้รู้กันไปว่าใครจะมีความอดทนมากกว่า และใช้โอกาสนี้พิจารณา... อาจจะเป็นมิตรหรือค่อนไปทางศัตรูเสียล่ะมั้ง
ผมบอกได้ทันทีว่าเธอคนนี้ดูดีมากๆ หน้าตาผิวพรรณขาวหมดจด รูปหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่ง รีมฝีปากอิ่มสวย ผมยาวสลวยทำสีแล้วดัดเป็นลอนใหญ่ปล่อยยาวเคลียบ่า เสื้อผ้าเครื่องประดับล้วนบอกยี่ห้อและราคา กิริยาท่าทางแม้แต่อาการเชิดหน้านิดๆบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างคนที่รู้ตัวว่าสวย รวย และเป็นต่อ


“จะมองอีกนานมั้ย ไม่มีมารยาท!”


เป็นการเริ่มต้นที่สวยงามมาก เหมือนผมโดนตบหน้าเบาๆไปแล้วหนึ่งฉาด เธอตำหนิได้ถูกเพราะยังไงผมก็เป็นผู้ชาย มานั่งมองเขาไม่พูดไม่จา แม่กานดารู้เข้าคงหยิกผมเนื้อเขียว


“รู้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการพบ...ด้วยเรื่องอะไร”


จะว่าเครียดก็เครียด จะว่าขำก็ขำที่อีกฝ่ายยังอึกอัก ไม่รู้จะใช้คำไหนพูดกับผมดี เพราะถ้าจะพูดไปท่าทางผมคงผิดจากที่เธอคาด บอกแล้วว่ายังไงผมก็เป็นผู้ชาย สักนิดก็ไม่เคยคิดอยากจะแต่งตัวหรือทำตัวตุ้งติ้งอย่างพี่พอล แค่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างนี้


“รบกวนบอกธุระของคุณอีกสักทีก็ดี เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันน่ะครับ”


ผมบอกแล้วอมยิ้มนิดๆ แต่เธอกลับทำหน้าเครียดแล้วหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าถือมาวางบนโต๊ะ


“แล้วรู้มั้ยว่านี่อะไร”


ของที่ว่าคือขวดแก้วไซส์ประมาณซุบไก่สกัดแต่ผอมกว่า บรรจุของเหลวใส ไม่มีสีแต่จะมีกลิ่นหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผมเงยมองคนตรงหน้าเห็นรอยเหยียดยิ้ม เดาว่าแววตาหลังแว่นดำคงจะเหี้ยมเกรียมไม่น้อย นั่นทำให้คิดไปถึงเหตุการณ์บางอย่างที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆในละครหลังข่าว หรือในความเป็นจริงก็เคยได้ยินข่าวว่าสิ่งนี้อาจทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้ หวังว่าดวงผมคงจะไม่อาภัพอับโชคจนต้องมาเจออะไรที่น้ำเน่าขนาดนั้นหรอกนะ!





จบตอนแล้วคร้าบ



สรุปแล้วเรื่องนี้คือนิยายน้ำเน่าดีๆนี่เอง 555


เป็นกำลังใจให้หนุ่มกานต์กันต่อไปนะคะ


 :bye2:




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1




23 .




ผมมองหญิงสาวสลับกับขวดแก้วใสที่วางอยู่ระหว่างเราแล้วก็ให้เสียวสยองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เอาจริงๆนะ ผมห่วงตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็กลัวแขกคนอื่นจะพลอยโดนลูกหลง พาลให้เกิดเรื่องเสียหายมาถึงโรงแรม ยิ่งถ้าเป็นข่าวขึ้นมา ตัวคุณภากรเองก็ต้องถูกขุดคุ้ย คราวนี้ล่ะคุณเอ๊ย ต่อให้เขาดื้อดึงแค่ไหน คุณภัทราพรคงได้โอกาสเฉดหัวผมออกจากที่นี่เป็นแน่


“อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกัน แต่ถึงยังไงผมขอเตือนว่าคุณไม่ควรเอาของอันตรายอย่างนี้มาในที่สาธารณะ ควรจะคิดถึงความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องบ้างนะครับ”


ผมเอื้อมมือไปจะหยิบขวดแก้วมาเก็บไว้กับตัวเพื่ออย่างน้อยจะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่เจ้าของรีบคว้าเอาคืนไปได้


“ห่วงตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง” เธอเขย่าขวดในมือเล่นพร้อมรอยยิ้มและแววตาสะใจ “ที่จริงฉันแค่เอามาขู่ แต่ถ้าแกยังดื้อด้านก็คงต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง เอาเป็นว่าฉันจะพูดตรงๆ ไปจากที่นี่ซะ!”


“ขอโทษครับ คุณไม่ใช่คนที่จะสั่งผมอย่างนั้นได้ ตรงกันข้าม ถ้าคุณกำลังจะสร้างความเสียหายให้กับที่นี่ ผมสามารถเรียกรปภ.มาเชิญคุณออกไปได้ทุกเมื่อ”


ผมบอกด้วยน้ำเสียงธรรมดา พยายามไม่ให้ฟังดูเป็นการคุกคามหรือข่มขู่ แต่ผู้หญิงคนนี้คงไม่ต่างจากกาน้ำที่ตั้งบนเตาไฟมาสักพักแล้ว ไม่ว่าผมจะรีบปิดไฟหรือปล่อยเอาไว้ ข้างในนั้นก็คือน้ำร้อน ขึ้นกับว่าจะแค่อุ่นจัดหรือเดือดพล่านจนกลายเป็นไอเท่านั้นเอง


“ปากดี! ไม่สำนึกว่าตัวเองเป็นใครแล้วริอาจวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดว่ามีคนหนุนหลังถึงได้กล้าใช่มั้ยล่ะ”


“ผมว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว คุณกลับไปดีกว่าครับ”


ผมลุกขึ้นเตรียมถอยเผื่ออีกฝ่ายจะได้มีเวลาสงบสติอารมณ์ แต่กลับกลายเป็นเร่งเชื้อให้น้ำเดือดพลุ่งพล่าน ถ้อยคำหยาบคายหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวชุดใหญ่จนฟังไม่ทันทีเดียว


“แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันไอ้กระเทย หน้าด้าน มารยา ไม่มียางอาย หน้าสวยๆนี่ใช่มั้ยที่แกใช้ยั่วยวนใครต่อใครให้หลงผิดกันไปหมดน่ะ ฉันอยากรู้นักถ้าหน้าเละเป็นผีจะยังมีใครรักใคร่ใยดีแกอีกมั้ย”


“กรุณาสุภาพด้วยนะครับ!” ถึงจะไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาแต่ผมก็อดโกรธไม่ได้เลยต้องพยายามพูดให้น้อยที่สุด ส่วนเสียงที่ดังขึ้นนี่มันคุมไม่อยู่จริงๆ


“กับพวกตัวประหลาด เป็นผู้ชายดีๆไม่ชอบ ดัดจริตอยากมีผัวอย่างแกทำไมจะต้องสุภาพ ฉันขอถามอีกครั้งแกจะไสหัวไปจากที่นี่มั้ย”


เธอลุกตาม กำขวดแก้วไว้ในมือแล้วกระชากเสียงถามอย่างเอาเรื่อง บรรดาแขกที่พักผ่อนอยู่รอบสวนเริ่มให้ความสนใจ 


พนักงานโรงแรมที่อยู่แถวนี้ก็ทำท่าจะเข้ามาแต่ผมส่งสัญญาณห้ามเพราะกลัวจะบานปลาย  กำลังคิดอยู่ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์นี้ยังไง ฟ้าก็ส่งฮีโร่มาช่วยผม...


“กานต์!”


คุณชัชตะโกนเรียกแล้วตรงลิ่วมาหา ท่าทางเขารู้สึกได้ถึงความตึงเครียดเพียงแต่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พอผมกระซิบบอกว่าน่าจะมีอะไรอยู่ในขวดใบเล็กๆนั่น เขาก็รีบดึงผมไปหลบอยู่ด้านหลังแล้วเป็นฝ่ายออกหน้าเจรจา


“นี่คุณผู้หญิง ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องอะไร แต่ผมว่าคุณรีบออกไปจากโรงแรมนี้ อย่าให้ต้องใช้กำลังกันจะดีกว่า”


“ฉันไม่ไป มันนั่นแหละต้องไป!”


อาจเพราะน้ำเสียงคนตัวโตไม่ได้ทุ้มนุ่มหล่อเหมือนใบหน้า ลักษณะท่าทางก็ชวนหาเรื่องมากกว่าจะยอมอ่อนข้อล่ะมั้ง คนฟังจึงยิ่งฉุนเฉียวหนัก คิดไปให้คุณชัชออกโรงอาจไม่รอด ผมเลยก้าวออกไปเพื่อลองเกลี้ยกล่อมอีกทีแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอยกขวดแก้วขึ้นมาเปิดฝาแล้วสาดของเหลวด้านในออกมาสุดแรง มีเสียงกรี๊ดดังจากโดยรอบ ผมตกใจยืนค้าง คุณชัชได้สติกว่ารีบพลิกเอาตัวเขาบังผมไว้จนมิด


“กานต์ไม่เป็นไรนะ?!” มารู้สึกตัวเมื่อเขาเขย่าตัวและถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“ไม่...ไม่เป็นไร อาล่ะครับ! เป็นอะไรหรือเปล่า?!”


“ก็... เย็นๆล่ะมั้ง” เขาบอกเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าโดนสาดน้ำกรด มือใหญ่เอื้อมไปจับที่หลังเสื้อเอากลับมาดูก็ปรากฏว่าแค่เปียกน้ำ... ธรรมดา


ผมคว้าอกเสื้อคุณชัชแล้วถอนหายใจ โล่งอกที่สุดในชีวิต ส่วนคนก่อเรื่องนอกจากไม่กลัวที่ถูกจับได้ ยังไม่มีแม้แต่จะสำนึกผิดกับเรื่องบ้าบอที่ทำลงไป


“บ้า! บ้าที่สุด ทุกคนเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว ทำไมต้องปกป้องไอ้เด็กนี่ด้วย ทำไม?!”


“ผมว่าคุณนั่นแหละที่บ้า คนดีๆเขาไม่มาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้หรอก ขอบอกเป็นคำสุดท้าย ออกไปแล้วอย่าได้กลับมาที่นี่ เลิกคิดมาวุ่นวายกับกานต์ ถ้าผมรู้ว่าคุณยังตามรังควานเขาไม่เลิก ได้เห็นดีกันแน่!”


ร่างสูงถลันเข้าไปชี้หน้าตะคอกด้วยความโกรธจัด แต่ร่างบางไม่หนี เชิดหน้าท้าทายแถมจิกเรียกด้วยน้ำเสียงแรงพอกัน ส่วนผมกลายเป็นคนนอกที่เริ่มเกิดลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง


“อาชัช!” เสียงแหลมตะโกนใส่ใบหน้าคมเข้ม


“ใช่ ผมนี่ล่ะชื่อชัช เป็นที่ปรึกษาของโรงแรมนี้ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรให้มาคุยกับผม ห้ามไปยุ่งกับกานต์อีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?!”


ลางสังหรณ์ที่ว่าสว่างวาบขึ้นจนกลายเป็นความแน่ใจ ผมรีบเข้าไปดึงคนตัวโตไว้ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายและให้ผลร้ายมากกว่าดี แต่เขากลับดันให้ผมหลบแล้วเปิดฉากฟาดฟันฝีปากต่อ


“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ยอมให้ใครทำอะไรเราแน่ โทรเรียกสยามมาที่นี่เลย ถ้าแม่นี่ยังดื้อด้านก็หิ้วออกไปทิ้งหน้าโรงแรมโน่น แขกที่ทำตัวเสียมารยาทเราไม่ต้อนรับ ยิ่งพวกแรดมาแว้ดๆปล่อยไว้ก็สร้างความเดือดร้อนรบกวนคนอื่นที่เขามาพักกันดีๆ ไล่ตะเพิดไปได้เลยไม่ต้องสนใจ”


ผมฟังแต่ละคำแล้วอยากยกมือกุมขมับ แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น อุดหูก่อนดีกว่า...!


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด


เสียงกรีดร้องยิ่งเรียกความสนใจจนแขกที่อยู่ในตัวโรงแรมถึงกับวิ่งออกมาดู รวมถึงใครอีกคนที่เหมือนเทวดามาโปรดผมแท้ๆ


“กานต์! เกิดอะไรขึ้น?!” คุณภากรคงวิ่งมาตามเสียงเหมือนคนอื่น เขาตรงเข้ามาหาผมก่อน แล้วค่อยหันไปหาคู่กรณีที่ยังยืนประจันหน้ากันอยู่ “อาชัชครับ อ้าว! ยัยภา!”


นั่นไง ผมว่าแล้ว! ทำไมซื้อหวยมันไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ!!


“พี่กรมาก็ดี  จัดการให้ภาเดี๋ยวนี้เลย!”


คราวนี้คุณชัชเองก็ได้รู้ล่ะว่า ‘แม่นี่’ ของเขาคือคุณภาวิณี น้องสาวคนเดียวของคุณภากร หลานสาวเขานั่นแหละ และแน่นอนว่ากลายเป็นโจทก์ของผมอีกคนตามคาด


“จัดการอะไร?” คุณภากรเข้าไปหาก็ถูกสะบัดไม่ใยดี เลยพยายามหาเรื่องคุยเลี่ยงไป “แล้วเราน่ะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมพี่ไม่รู้ เพิ่งมาถึงหรือว่าแอบกลับเมืองไทยแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน?”


“ไม่ต้องถาม ไม่มีอารมณ์จะตอบ พี่กรไล่ไอ้เด็กตุ๊ดนี่ไปให้พ้นๆหน้าภาก่อน”


ผมว่าบ้านนี้เอาแต่ใจตัวเองกันทุกคน หนักสุดคงเป็นลูกสาวแถมยังเป็นน้องคนเล็กอีก บทจะวีนขึ้นมาเลยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น พอเห็นพี่ชายลังเล เอาแต่หันกลับมามองผมด้วยสีหน้าปั้นยากก็ระเบิดอารมณ์ใส่ไม่ยั้ง


“ยืนบื้อทำไม ไล่มันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวนี้ๆๆ ได้ยินมั้ย!”


คุณภากรคงอยากกุมขมับ ทั้งปวดหัวกับเสียงกรี๊ด ทั้งต้องหาทางให้น้องสาวสงบลงก่อนจะต้องขายขี้หน้าคนทั้งโรงแรม สุดท้ายเลยหันไปขอความช่วยเหลือคุณอาที่ยังยืนมองหลานสาวคนสวยอย่างไม่เชื่อสายตา


“เอายังไงดีอา!?”


“อย่าเพิ่งถาม ขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่านี่... หนูภาจริงๆน่ะเหรอ?”


“อาไม่ได้เจอยัยภาตั้งหลายปีคงจำไม่ได้ แต่ผมว่าเสียงกรี๊ดลั่นโลกอย่างเมื่อกี้คงลืมไม่ลงหรอกมั้งครับ”


“นั่นสิ นิสัยเอาแต่ใจ จะเอาให้ได้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนเลย นึกว่าไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งหลายปีจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นซะอีก”


สองหนุ่มส่งเสียงงุบงิบคุยกัน น่าจะเป็นวิธีการซื้อเวลาเพื่อหาทางออก แต่สำหรับคุณภาวิณีตอนนี้ ต่อให้เป็นดนตรีแจ๊สก็คงระคายหูไม่ต่างจากเสียงแมงหวี่แมลงวัน


“หยุดนะ เมื่อกี้ที่อาด่าหนู...” เธอชะงักเหมือนนึกได้ ริมฝีปากสีฉ่ำเม้มแน่นข่มความรู้สึกแล้วจึงค่อยพูดต่อ “...ด่าฉันฉอดๆยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ แก่แล้วแต่ไม่มีความคิด กอดมัน โอ๋มันเข้าไปเถอะไอ้เด็กตุ๊ดเนี่ย คนเขาคงได้หัวเราะเยาะกันทั้งโรงแรม ฉันเห็นแล้วจะอ้วก!”


“พูดจาไม่ดีเลยนะภา” คุณภากรเอ่ยปราม สีหน้าอ่อนใจที่ทำอะไรไม่ได้


“ทำไมล่ะ ภาเห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่เหมือนอย่างพี่กร อย่างอาชัชนี่ โดนมารยาไอ้เด็กตุ๊ดจนหน้ามืดตามัว เห็นผู้ชายด้วยกันน่ารักน่าใคร่ ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


ผมได้แต่ยืน... พรุนไปทั้งตัว! ลำพังแค่คำพูดของคุณภาวิณี ผมก็ตอบโต้อะไรไม่ได้เลย นึกอยากจะวิ่งหนี แค่เหลียวหลังก็เจอสายตาของแขกและพนักงานมากมายที่รายล้อม บางคนถึงขั้นมองมาแล้วซุบซิบคุยกัน ผมเห็นคุณภากรทำท่าจะเดินมาหาเลยรีบส่ายหน้าห้ามไว้เพราะไม่อยากตอกย้ำภาพคู่ของเขากับผมในสายตาคนอื่นมากไปกว่านี้


“ยัยภา! พี่บอกให้หยุด ไม่อย่างนั้น...” เขาคงเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรเลยพยายามกำราบน้องสาวตัวเองให้ได้ แต่สิ่งที่เธอตอบกลับมา...


“ไม่อย่างนั้นพี่กรจำทำอะไรภา รู้ตัวมั้ยว่าทำให้แม่เสียใจแค่ไหน ภาเคยเห็นแม่ร้องไห้แค่ตอนพ่อตาย แต่นี่แม่โทรไปร้องไห้กับภา พี่กรคิดสิว่าแม่รู้สึกยังไง แต่ถ้าพี่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้งั้นภาจะบอกให้ว่าแม่รู้สึกยังไง”


คุณภาวิณีเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นคาดผมแล้วหันขวับมาจิกสายตาสะกดผมไว้ เธอก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่ามาดมั่นแล้วเมื่อถึงระยะที่ใกล้พอ ฝ่ามือขาวก็กระทบแก้มผมด้วยความเร็วเพียงกระพริบตา...


ฉาด!


ผมยืนนิ่งอย่างคนที่... ถูกตบ! จริงอยู่ที่ผมเคยถูกพ่อตบมาหลายครั้งแต่สำหรับคราวนี้... บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันมากกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหนังหน้า ผมสบตาคนลงมือแล้วได้เห็นความแวววามในคลองตายิ่งสะท้อนใจ ที่ผมเจ็บอาจเทียบไม่ได้กับที่เธอและคุณภัทราพรรู้สึก


“ยัยภา!” คุณภากรกระชากเสียงดุแต่เห็นสีหน้าเขาแล้ว... ผมยิ่งเจ็บแทน!


“เอาสิ จะว่าอะไรภาก็เชิญเลย แต่ถ้าพี่กรกล้า ภาก็จะตบมันอีก”


“พอได้แล้วนะภาวิณี!” คุณชัชก้าวเข้ามายืนบังตัวผมไว้ส่วนหนึ่งแล้วออกโรงปรามหลานสาวบ้าง


“เป็นแค่ที่ปรึกษาโรงแรมไม่ใช่เหรอคะ นี่มันเรื่องในครอบครัวเพราะฉะนั้นคุณไม่เกี่ยว แต่ถ้าอยากจะปกป้องมันนัก... ก็ได้!”


ถึงจุดนี้ ไม่ว่าใครก็คงช่วยอะไรผมไม่ได้ ขนาดคนตัวโตอย่างคุณชัชยังถูกผลักจนเซ แล้วผมก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่เดิมอีกครั้ง


“มีใครจะปกป้องไอ้เด็กตุ๊ดนี่อีกมั้ย?” หญิงสาวเชิดหน้ากราดสายตาวาวราวกับแม่เสือที่พร้อมกระโจนเข้าสู่การต่อสู้


“อาครับ พากานต์ออกไปก่อน เดี๋ยวผมคุยกับยัยภาเอง” คุณภากรคว้าแขนแต่คนเป็นน้องสะบัดหนีทันที


“ไม่ให้ไป! มันจะไปไหนไม่ได้นอกจากไสหัวออกจากที่นี่แล้วก็ไปจากชีวิตพี่กรซะ ไม่อย่างนั้นก็ให้มันตายคามือภาตรงนี้นี่แหละ”


“พอซะที!” คุณชัชตวาดก้องแล้วคว้าเรียวแขนที่กำลังง้างได้ที่ “กรดูกานต์ด้วย ที่เหลืออาจัดการเอง”


ผมกระพริบตาไล่อาการชาแล้วทันได้เห็นคุณชัชลากหลานสาวไปทางลานจอดรถ ไม่นานก็มีเสียงล้อบดถนนลั่นทั้งคู่จะมุ่งหน้าไปที่ใดก็สุดรู้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ ผมไม่มีหน้ามองใครอีกแล้ว ได้แต่ปล่อยให้คุณภากรพาเดินไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม


“กานต์” เสียงกระซิบปลุกผมจากภวังค์ รู้สึกถึงสายลมพัดเย็นและไออุ่นจากเรือนกายแข็งแกร่ง “ฉันขอโทษ...”


ผมยังพูดอะไรไม่ออกเลยได้แต่ฝังหน้ากับแผงอกกว้าง นึกขอบคุณที่เขาเลือกพาออกมาที่สวนหย่อมของห้องทำงานเพราะให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัว แล้วยังจะ... จะอะไรก็ช่างมันเถอะ! ผมขอบคุณที่เขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ทิ้งผมไปมากกว่า


“เป็นยังไงบ้าง ขอดูหน่อย...นะครับ”


ผมถูหน้ากับแผ่นอกแทนคำตอบ เขาจับไหล่จะดันตัวผมออก ผมเลยรีบยกแขนกอดไว้ กอดให้แน่นเหมือนอย่างที่เขากอดผมเมื่อกี้ ส่วนเขาก็เอาแต่ขอโทษโดยไม่รู้ว่านั่นล่ะที่ทำให้ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออก


“อยู่นี่เอง” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด ใครคนนั้นเปิดประตูค้างไว้บอกชัดว่าไม่คิดจะเข้ามาร่วมวงโศกา มีแต่สายตาตำหนิเล็กๆส่งมา “หาอยู่ตั้งนานว่าหายไปไหน เห็นฉันใจดีเลยคิดจะอู้งานอีกแล้วหรือไง”


“ไอ้เมธ!”


คุณภากรคำรามลั่นแต่อีกฝ่ายก็ยังทำหน้ารำคาญ เหมือนเขาไม่ได้รู้เรื่อง ไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากจะให้ทุกคนตั้งใจทำงานของตัวเอง แต่เชื่อเถอะขนาดมีคนเดินสะดุดบันไดโรงแรม คุณวรเมธยังรู้เลย ผมเลยต้องรีบดันตัวเองอ้อมจากอ้อมกอดแล้วหันไปถามธุระท่านเลขาใหญ่ตามหน้าที่ที่ควรทำ


“ไปจัดตู้เอกสารที่ห้องหน่อย ชักจะเยอะไปแล้ว เดี๋ยวแฟ้มเก่าๆจะได้คีย์เข้าระบบแล้วโละๆไปซะบ้าง”


“ก็ผมเพิ่งทำไปอาทิตย์ที่แล้วเองนี่ครับ”


“แล้วคิดว่าแค่นั้นมันหมดแล้วหรือไง อย่าบ่น ตามมาเร็วเข้า!”


ผมจะก้าวไปตามที่คนหน้าเฉยกวักมือเรียก แต่ก็ยังถูกคนทางนี้ดึงแขนไว้


“แต่ฉันว่าน่าจะให้กานต์พักซะหน่อย” เจ้าของโรงแรมบอกเสียงขุ่น สีหน้าเอาเรื่องไม่น้อย


“นี่มันบ่ายกว่า หมดเวลาพักตั้งนานแล้วนะครับท่านประธาน”


“มันจะมากไปแล้วนะเมธ!”


ทางนี้เริ่มหงุดหงิดแต่ฝ่ายโน้นยังชิลล์ได้อีก เขาปล่อยมือจากประตูมายืนพิงกระจก สองมือสอดมือในกระเป๋ากางเกงมองพวกผมยิ้มๆ


“ฉันว่านายนั่นแหละที่มากไปนะกร หรือไม่ก็คงลืม กานต์เป็นผู้ชาย ถึงภายนอกจะไม่ได้ดูแข็งแรงแต่ก็มีความเข้มแข็งมากกว่าที่นายคิด ใช่มั้ย?”


ท้ายประโยคคุณเมธหันมาถามแต่ผมยังงงๆเลยเอาแต่ยืนมองหน้าเขาไม่ทันได้ตอบอะไร


“เอ้า! เลยพอกันทั้งคู่” คุณเมธแกล้งถอนหายใจยาว ดวงตาหลังกรอบแว่นใสมองตรงขณะที่ก้าวเข้ามาหาผมด้วยจังหวะเนิบช้าพอๆกับน้ำเสียง “แค่คำพูดก็ทำให้นายยอมแพ้ได้แล้วงั้นเหรอ ในเมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าแล้วจะเดือดร้อนทำไม สู้เอาเวลาที่จิตตกอยู่นี่ไปทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เขายอมรับไม่ดีกว่าเหรอไง จำได้หรือเปล่าที่นายเคยบอกฉันว่าไม่ได้อยากมีมูลค่า แต่อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ถ้าขืนยังเอาแต่เศร้า ทำเป็นคนอ่อนแอไม่เอาไหน คิดว่าใครเขาจะเห็นคุณค่าในตัวนายได้ล่ะ”


“คนอย่างผมจะเป็นคนที่มีคุณค่าได้จริงๆเหรอครับ” ผมเงยหน้าถาม กำลังใจค่อยๆคืนมา


“กานต์ที่ฉันรู้จักเป็นได้แน่ แต่ถ้าขี้แยแบบนี้...” คนตัวสูงเหยียดยิ้มแล้วเคาะหน้าผากผมเบาๆ “ฝันเอาคงง่ายกว่า”


คำพูดของคุณวรเมธเรียกให้ผมได้สติ โดยเฉพาะประโยคที่เขายกขึ้นมาอ้างยิ่งทำให้ฉุกคิด ในเมื่อผมเคยมีความมั่นใจได้ขนาดนั้นแล้วทำไมถึงจะมายอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้


“ให้สิบนาทีแล้วรีบตามมา ขืนชักช้า ทำไม่เสร็จวันนี้ก็ไม่ต้องกินต้องนอนกันล่ะ” เห็นผมยิ้มออก คุณเมธก็คงหมดธุระ มือใหญ่ขยี้หัวผมเบาๆแล้วหันหลังเดินกลับออกไปอย่างไม่สนใจอะไรไม่ต่างจากตอนปรากฏตัว


ผมสูดลมหายใจเข้าแล้วหันหลังกลับ คุณภากรกางแขนกว้างรอให้ผมถลาเข้าไปหา ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวอยู่เหมือนกัน


“เมธมันเก่งเนอะ พูดหวานๆไม่เป็นแต่ก็ยังปลอบใจคนได้”


ผมยิ้มให้กว้างเท่าที่อยากให้เขาเห็นแล้วจะได้สบายใจ ไม่ห่วงผมอีก


“ขอโทษครับ ผมมันไม่มีอะไรดีเหมือนอย่างที่คุณภาวิณีว่า แล้วก็ยังเอาแต่ทำตัวอ่อนแอไม่เอาไหนเหมือนที่คุณเมธด่าอีก แต่ผมสัญญาว่าต่อไปจะขยันกว่านี้ จะตั้งใจทำงาน จะพยายามเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนยอมรับ ผมจะเข้มแข็งเพื่อคนที่ผมรักครับ”


“คนที่ผมรัก?”


เจ้าของอ้อมกอดแกล้งย้อน ผมไม่กล้าตอบ ไม่รู้จะอธิบายยังไงด้วยเลยเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มคนๆนั้นเสียหนึ่งที อาศัยจังหวะที่เขากำลังอึ้งวิ่งหนีไปอีกห้องที่ไม่ไกลกันมาก พอเจอหน้ากันคุณเลขาใหญ่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชี้นิ้วไปยังตู้เก็บเอกสารถัดจากที่ผมจัดการเสร็จไปแล้ว ผมมองรอบตัวแล้วก็ต้องเป่าปากเพราะถ้าเจ้าของห้องตั้งใจจะเคลียร์ให้หมดนี่จริงๆ สงสัยจะไม่ต้องเหนื่อยแรงคุณภาวิณีมาจัดการผมแล้วล่ะครับ!






จบตอนแล้วคร้าบ



ขอย้ำอีกครั้งว่าคุณเมธไม่ไช่ผู้ร้ายนะจร๊า

เคราะห์กรรมของหนุ่มกานต์แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ขอกำลังใจให้ที่รักของคุณกรกันเยอะๆนะคะ





ทุบตึกทำไมอ่ะคะ B52 จริงๆคืออยากทุบคนเขียนใช่มั้ยล่ะ

ตัดจบตอนก่อนได้กวนทรีนมว้าก ยอมรับเลย 555



 :bye2:




ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
น้องสาวคุณกรนี่แรงเอาเรื่อง

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
ทำไมผู้หญิงในครอบครัวคุณกรน่ารำคาญจริงๆเลย

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
เจอศึกหนักกำลังสอง แถมศึกนี้รายกาจกว่าคนก่อนอีก
กานต์สู้ๆนะ คนรอบข้างที่เป็นกำลังใจให้ก็ยังมีอีกเยอะ
อย่ายอมแพ้

ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พระเอกตัวจริงคือคุณเมธ 5555 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องราวตอนแรกเหมือนจะดีอ่านไปอ่านมาตอนนี้โอ้ยนีมันวงเวียนชีวิตหรือเปล่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
โอยยยยยยย ไม่ชอบ ผญ แบบนี้เลย โอยยยยยยยย

ออฟไลน์ aoraor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรดูไม่ช่วยอะไรกานต์ได้เลยอ่ะ

เหมือนพระเอกโง่ๆในละคร 5555555555 //อินจัด

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
คุณกรถ้าไม่สามารถดูแลหรือปกป้องคนที่คุณรักได้ก็สมควรปล่อยมือค่ะ
เข้าใจค่ะว่าแม่ ว่าน้อง แต่ไม่สมควรให้ทำถึงขนาดนี้มั้ย
เป็นพี่ชายยังไงน้องไม่ให้ความเคารพแถมดูเหมือนกลัวน้องตัวเองอีกต่างหาก
บริหารงานมาได้โรงแรมไม่เจ๊งนี่ทึ่งจัดมาก  :z6:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
น้องสาวกรเปิดตัวได้แรงมาก
กลับมานี่คงได้แท๊กทีมกับแม่มาหาเรื่องกานต์แน่ๆเลย

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนท์เลยนะ คือดีง่ะ ชวยให้ได้เห็นอีกหลายๆแง่มุมของเรื่องที่เขียน  :pig4:

แม้จะ กระซิกๆ น่าสงสารพระเอกเรื่องนี้ที่โดนถล่มจนเละตุ้มเป๊ะก็ตาม  :mew2:

ตอนที่เขียนเองยังไม่รู้สึกว่าคุณกรจะไร้สมรรถภาพขนาดนี้
เพราะพยายามโฟกัสที่เรื่องของกานต์ให้มากกว่า
แต่เมื่อดูภาพรวมแล้วก็ยังพอใจกับทุกตอน ทุกฉากที่เกิดขึ้น
เราอยากให้ทุกตัวละครมีหลายๆมิติ มีทั้งข้อดี ข้อด้อย
ทั้งความเข้มแข็ง อ่อนแอ น่าชื่นชม น่าสงสาร และอาจจะน่าหมันไส้
ยังไงก็ให้โอกาสคุณกรได้ยึดตำแหน่งพระเอกต่อไปเถอะน๊า

ขอให้ติดตามไปจนจบแล้วมาดูกันว่านอกจากความหล่อและรวย
ผู้ชายคนนี้จะมีอะไรให้คู่ควรับตำแหน่งพระเอกเรื่องนี้หรือไม่ค่ะ




ในส่วนของภาวิณีนั้น แค่เปิดม่านมาก็ได้รับเสียงตอบรับเกรียวกราว ตอนที่ 24 นี่เลยยกให้นางไป


ที่จริงทีแรกจะเก็บไว้เป็นตอนพิเศษ แต่คิดๆไปใส่มาในเรื่องหลักดีกว่า
เพราะไม่งั้นเดินเรื่องต่อไป มีเหตุการณ์เพิ่มเติมกว่านี้นางอาจจะถูกหมายหัวจนอยู่ไม่ได้
ทุเรียนเดี๋ยวนี้หากินได้ทั้งปีเสียด้วยสิ





ปล. อ่านให้จบตอนนะ อย่าเพิ่งรีบปิดหน้าเพจไปเสียก่อน นะๆ please




24 .




ของทุกอย่างวางพร้อมอยู่บนเคาเตอร์ตรงหน้า น้ำเปล่าอยู่ในระดับเศษสามส่วนสี่ของถ้วย เย็นหน่อยก็ดี น้ำแข็งจะได้ไม่ละลายเร็ว ค่อยๆรินน้ำเชื่อมเข้มข้นสีแดงลงไปอีกหนึ่งส่วนตามที่ฉลากบอก ความหวานค่อยๆคลายตัวเกิดพรายพลิ้วตีวนจากก้นแก้วขึ้นสู่ผิวน้ำ ใช้ช้อนยาวคนอีกนิดก็ได้น้ำแดงรสชาติกำลังพอดี แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังเหลือส่วนผสมสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุด... ของเหลวสีใส ไร้กลิ่น ไร้รสอีกห้าถึงสิบหยด... ที่จริงยัยเพื่อนตัวแสบบอกว่าใส่ๆไปเถอะ ไม่ต้องนั่งนับหรอก แต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เกิดใช้มากไปแล้วมีผลข้างเคียงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ


ครู่เดียวน้ำหวานสีแดงสมบูรณ์แบบก็ถูกรินใส่ในแก้วสูง รองด้วยที่รองแก้ว ยกวางในถาดพร้อมเสิร์ฟ...! ไม่ได้ๆ ที่ไม่พร้อมคือตัวฉันนี่ ขอทำใจอีกนิดนึงแล้วกัน...


“คอนโดแบบนี้ก็น่าอยู่ดีนะ สงสัยอาต้องหาเอาไว้สักห้องจะได้รู้สึกเหมือนเป็นบ้านตัวเองหน่อย” เสียงเข้มลอยมาจากชุดโซฟา มองไปก็ได้เห็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการ บังคับลากฉันออกมาจากโรงแรม เขากำลังหงายตัวพิงเบาะนุ่มแล้วเหลียวมองรอบห้อง ยิ้มกว้างอย่างนั้นคงจะถูกใจอย่างที่พูดจริงๆ


“แล้วทุกทีเวลาอยู่กรุงเทพ อาไปนอนที่ไหนล่ะ”


“ถ้าไม่กลับบ้านสวนก็เปิดห้องที่โรงแรม ไม่ได้เข้าไปที่บ้านใหญ่หรอก มันอยู่ไม่สบายยังไงก็ไม่รู้”


“นึกว่าเที่ยวโต้รุ่งจนจำไม่ได้ว่าไปหลับนอนที่ไหน กับใครซะอีก”


ฉันแกล้งประชดไปอย่างนั้นแต่เท่าที่พอรู้มา อาชัชไม่ใช่ผู้ชายเสเพลอย่างที่ใครๆคิด อาจจะมีเที่ยวเตร่ตามประสาชายโสดบ้างแต่ก็ไม่มีผู้หญิงมาตามตอแยแสดงความเป็นเจ้าของ และไม่เคยเลี้ยงใครเป็นตัวเป็นตน ไม่เหมือน... ฮึ! ยิ่งคิดยิ่งแค้น พี่กรนะพี่กร เป็นผู้ชายก็ดีอยู่แล้ว ดันริจะลองกินพวกเดียวกันเอง ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อก่อนไม่น่ากันท่าพวกเพื่อนๆ ได้นังพวกนั้นเป็นพี่สะใภ้ยังจะดีกว่าไอ้หนุ่มหน้าหวานนั่น!


“คิดถึงเมื่อก่อนนะ เวลาไปที่บ้านทีไร หนูภาชอบแย่งหน้าที่พวกเด็กๆเอาน้ำมาเสิร์ฟ พอโตอีกหน่อยก็หัดชงน้ำแดงเอง จำได้ว่าแก้วแรกหวานจนแสบคอ บางรอบก็จืดสนิท แถมยังนึกพิเรนท์อยากให้หวานมากๆแต่ดันไปหยิบผิดเอาเกลือมาใส่ซะได้ ไอ้เราก็ต้องจำใจกินให้หมดแก้ว ไม่งั้นคงได้ซดน้ำตาคนชงแทน”


คนบ้า! ทำไมถึงจำได้? แล้วยังมาพูดตอนนี้ให้เกิดความลังเล เอาไงดีล่ะภาวิณี สิ่งที่เธอกำลังจะประเคนใส่ปากเขามันเลวร้ายกว่าที่เคยทำมาเป็นร้อยเท่าพันเท่าเชียวนะ ถ้าเดินหน้าและผ่านวันนี้ไปได้ก็จะไม่สามารถแก้ตัว ไม่มีทางย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก แต่ถ้าไม่ทำ... เธอก็จะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากความทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ มิหนำซ้ำอาจจะต้องเจอกับเรื่องที่เลวร้ายชนิดที่คิดไม่ถึง เธอจะยอมให้...


ไม่ยอม! คนอย่างภาวิณีจะไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!!!


“ขนมพวกนี้ก็ด้วย โตแล้วยังชอบอยู่อีก” คนตัวโตรับแก้วน้ำไปถือไว้ อีกมือเอื้อมไปหยิบกล่องขนมในตะกร้าที่วางไว้บนโต๊ะกลางให้มุมพักผ่อนดูเก๋ขึ้น เวลาดูหนังก็จะได้มีของกินเล่นเพลินๆด้วย “แถมตัวเองเลือกกินแต่ครีมไปหมด พอเหลือแท่งป๊อกกี้แหยะๆก็มายัดเยียดให้คนอื่นกินแทน พออาไม่อยู่เผลอเอาไปยัดใส่ปากใครบ้างหรือเปล่าเนี่ย?”


อีกแล้วนะ! ทำไมต้องรื้อฟื้นให้ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน... ซูซานบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ายอมกินหมดแก้วนี่ก็น่าจะเร็วกว่านั้นนะ


“เรื่องงี่เง่าทั้งนั้น ยังจำอยู่ได้!”


“ก็ไม่มีเหตุผลที่อาจะลืมเรื่องของหนูภานี่ครับ” คนหน้าเข้มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม ทุ้ม แถมด้วยรอยยิ้มกว้างทั้งปากและดวงตาเหมือนทุกครั้งที่อยากจะโอ๋เอาใจกัน และถึงรู้ฉันก็ยังชอบให้เขาทำแบบนี้อยู่ดี


“แล้วเมื่อกี้ใครที่จำหนูภาไม่ได้”


คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วปรี๊ด! เมื่อก่อนเขาพูดกันว่าผู้ชายเจ้าชู้เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ แต่สมัยนี้ถึงเห็นผู้ชายก็เอาเรื่องเหมือนกัน อย่างอาชัชนี่ก็ไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลงเสน่ห์เด็กกานต์นั่นไปถึงแค่ไหนแล้ว


“โธ่! เอาอะไรกับคนแก่ หนูภาไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างแต่ก่อนแล้ว โตเป็นสาวแถมสวยขนาดนี้ ไปเจอกันที่ไหนอาก็จำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”


“นอกจากจำไม่ได้” จิกตาจ้องจนรอยยิ้มของเขากลายเป็นเจื่อนสนิท “ยังมาว่าหนูภาบ้า ทำตัวแรดแว้ดๆใส่ไอ้เด็กตุ๊ดนั่นอีก”


“เฮ่อ...” เขาถอนหายใจแล้วกระดกแก้วจนเหลือแต่น้ำแข็ง น่าน มันต้องอย่างนั้น “หนูภาเลิกว่ากานต์แบบนั้นสักทีเถอะ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่หนูคิด ถ้าได้รู้จักกันจริงๆเชื่อว่าหนูจะต้องชอบเขาด้วยซ้ำ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ถึงอาจะเป็นอาแต่ก็ไม่อยากเข้าข้างคนผิด คิดดูดีๆ สิ่งที่หนูทำสมควรโดนตำหนิจริงๆหรือเปล่า”


“ไม่สน!”


“เลิกเอาแต่ใจเสียทีหนูภา ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”


“อาชัชก็เลิกทำเหมือนหนูภาเป็นเด็กๆซะที! หนูภาโตแล้ว เป็นผู้หญิงเต็มตัว ให้หนูภาเป็นแฟนอายังได้ เลิกมองหนูภาเป็นหลานสาวตัวเล็กๆได้แล้วค่ะ!!”


ฉันลุกขึ้นตะโกนลั่นห้อง ได้แผดเสียงออกไปก็รู้สึกดีขึ้น รู้ตัวอยู่หรอกว่าเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย ปากบอกให้เขาเลิกมองเป็นเด็ก แต่เอาเข้าจริงก็ยังมาแว้ดๆใส่เขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ถ้าเขาจะออกอาการเหวอๆ ทำตัวไม่ถูกก็คงไม่แปลก เอ๊ะ! หรือว่าส่วนผสมพิเศษนั่นกำลังจะออกฤทธิ์ แอร์ก็เย็นแต่เขาเริ่มเหงื่อแตก สีหน้าท่าทางตื่นๆ


“โอเคๆ อาเข้าใจแล้ว ถ้ายังไงอากลับก่อนดีกว่า แล้ววันหลังค่อยคุยกันใหม่”


“จะรีบไปไหน ไม่กลัวหนูภากลับไปเล่นงานไอ้เด็กตุ๊ดแล้วเหรอไงคะ”


“มะ...” ใช่แน่แล้ว แค่โดนจับแขนเขาก็สะดุ้ง ตัวสั่นๆด้วยเนี่ย แถมพูดไปกลืนน้ำลายไป อย่างกับคนติดอ่างแน่ะ “...ไม่หรอก อะ... อารู้ว่าหนูภาโตแล้วไง ไม่ทำอย่างนั้นหรอกใช่มั้ยล่ะ”


โอกาสทองอย่างนี้ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือแน่ พอเขาลุกจากโซฟา ฉันเลยรีบไปดักหน้าต้อนไว้ แต่ท่าทางเขาก็เริ่มมึนๆ แค่ยืนยังตัวงอเป็นกุ้งคงเดินหนีไปไหนไม่ได้หรอก


“อ้อ! ตกลงว่าอาชัชเห็นหนูภาโตแล้วจริงๆ?”


“กะ...ก็จริงสิ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ยี่สิบบบบบ...”


“ยี่สิบหก” ขี้เกียจรอเลยตอบให้แล้วจี้ซ้ำ “แล้วสวยมั้ยคะ?”


“สะ... สวย?” เขาเงยหน้า หรี่ตามองแบบงงๆ พอโดนจิกตาใส่หน่อยก็กลัวหงอเหมือนทุกที “เอ่อ... จ๊ะๆ สวย หนูภาสวยมากเลย”


เขาตอบเสร็จก็รีบหนี มีฉันยืนขวางก็เอี้ยวตัวพยายามจะหลบ เห็นไม่พ้นเลยยื่นมือมาดันให้เปิดทาง แต่แค่ปลายนิ้วแตะถูกตัวก็สะดุ้งเหมือนโดนของร้อน ที่จริงคงเป็นเขานั่นแหละที่ร้อนจนหน้าแดงก่ำ แต่แปลกที่ขนกลับลุกไปทั้งตัว... เอ่อ... ที่ว่าทั้งตัวก็ไม่น่าจะใช่แค่ขนหรอกนะที่ลุกได้


“ถ้าหนูภาทั้งสาวแล้วก็สวยมากๆ งั้นเวลาอาชัชมองหนูภา ไม่รู้สึกอะไรแปลกๆบ้างเหรอคะ?”


“ปะ... แปลก... ยังไง?!” เห็นแล้วก็ขำ อยากให้เขาส่องกระจกดูหน้าตัวเองตอนนี้จริงๆ จะได้รู้ว่าแปลกยังไง


“ก็อย่างเช่น...”


ถึงจะแน่ใจแล้วว่าของขวัญจากซูซานได้ผล แต่ก็อยากลองพิสูจน์ให้ชัวร์อีกหน่อยเลยลองแตะนิ้วข้างแก้มสาก ลากเบาๆผ่านลำคอกำลังจะลงมาถึงแผงอกก็ถูกมือใหญ่ปัดทิ้งเสียก่อน


“อาจะกลับ!” เขาบอกสุดเสียงแต่กลับฟังเหมือนคนกำลังจะขาดใจ


“เดี๋ยวสิคะ อาชัชต้องอยู่เล่นกับหนูภาก่อน” คนตัวโตโซเซเต็มที แค่ผลักเบาๆก็ล้มตึงกลับไปที่โซฟา “เหมือนอย่างเมื่อก่อนไง อาชัชชอบให้หนูภานั่งตักแล้วก็กอดหนูภาเอาไว้อย่างนี้ จำได้มั้ยคะ”


อาจจะไม่ค่อยตรงความหมายนัก แต่ที่มือเขาถูกดึงมาจับเอวคนที่คร่อมตักอยู่ก็น่าจะเรียกว่ากอดได้ล่ะนะ


“นะ...หนูภา!” แค่เรียกชื่อยังหอบ ก็แน่ล่ะ ตอนนี้ร่างกายของเขาคงอยากทำอย่างอื่นมากกว่าหายใจ แต่ถึงขนาดนี้ก็ยังมีสติรู้เรื่อง “...ใส่อะไรในน้ำ...?!”


“อ๋อ! พอดีก่อนจะกลับมา เพื่อนที่โน่นให้ของขวัญมานิดหน่อย แต่หนูภาไม่เคยใช้ก็กลัวๆ เลยเอามาให้อาชัชลองแทนไงคะ”


“จะ... จะบ้าหรือไง! คิดบ้างมั้ยทำยังงี้มันจะยิ่งอันตรายกับตัวหนูเอง!?”


“ถ้าเป็นอาชัช หนูภาไม่กลัว”


ทำเป็นกล้า ปากบอกไม่กลัว แต่กว่าจะรูดซิบเพื่อช่วยให้เขาปลดปล่อยความอึดอัดในด่านแรกได้ก็เล่นเอามือไม้สั่น แล้วพอได้เห็น... เอ่อ... อะไรที่ควรได้เห็น หัวใจมันก็เริ่มเต้นโครมคราม บอกไม่ถูกว่าเพราะตื่นเต้น หรือ ตื่นกลัวกับขนาดอันใหญ่โตเกินคาดคิด


“แต่อา... เป็นอา...” เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจ พยายามจะคุมสติที่เหลือเพียงน้อยนิด แต่ถึงจุดนี้เขาเองก็คงรู้ว่าเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์สิ้นดี


“อย่าหลอกตัวเองสิคะ อาชัชก็รู้ว่าความจริงเป็นยังไง แล้วหนูภาก็รู้ถึงตัดสินใจทำอย่างนี้ อย่าฝืนให้ทรมานตัวเองเปล่าๆเลยค่ะ”


ความจริงที่รู้กันเพียงไม่กี่คนคือสิ่งที่เพาะบ่มความรู้สึกในใจให้เติบโตและรุนแรงขึ้นจนไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้อีกต่อไป เขาคงไม่รู้ว่าฉันเองก็รู้จึงยังพยายามต่อต้าน แต่ตราบใดที่ได้กอบกุมความลับตรงหน้าไว้ เขาก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ ไม่ว่าจะบีบหรือคลายเขาก็ทำได้แค่ครวญครางอย่างคนกำลังจะขาดใจ


“หนู...ภา...ปะ...ปล่อยอา...!”


“ไม่! หนูภาไม่มีวันปล่อย หนูภาจะไม่ยอมยกอาชัชให้ใครเด็ดขาด!”


ฉันเร่งเร้าความรู้สึกต้องการจนคำว่าถอยเลือนหายไปจากสมอง และจากจุดนั้นคนที่เอาแต่หนีก็กลับมาเป็นฝ่ายรุกตามสัญชาตญาณที่ถูกปลุกขึ้นด้วยของเหลวใสบริสุทธิ์แต่มากด้วยพิษสง ความปรารถนารุนแรงกระหน่ำซ้ำๆจนร่างกายแทบแหลกราญแต่ฉันก็ยินดีรับ เพราะเขาคือผู้ชายที่เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักกับความรักด้วยซ้ำ


ในความรู้สึกที่ผสมผสานทั้งความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์ และความเจ็บปวดแสนสาหัส ความทรงจำในวัยเยาว์ค่อยๆปรากฏเป็นภาพฝันที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของฉันอยู่ทุกเช้าค่ำ


‘ขอบใจมากนะชัชที่ยอมรับปากว่าจะช่วยดูแลครอบครัวของพี่ตลอดไป’


ตอนนั้นฉันน่าจะแค่ห้าขวบ พี่กรไปโรงเรียนแล้วเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว หลังจากนอนกลางวันตื่นมา พอรู้ว่าอาชัชกำลังคุยอยู่กับคุณพ่อ ฉันก็รีบวิ่งไปหา แต่คุณแม่เคยสั่งว่าเวลาผู้ใหญ่คุยกันอย่าเข้าไปยุ่งเลยต้องหลบอยู่ที่หน้าประตูก่อน ค่อยรอจ๊ะเอ๋ตอนที่อาชัชออกมาคงสนุกดี


‘พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ผมต่างหากที่ต้องทดแทนบุญคุณที่ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็ไม่มีวันชดใช้หมด ถ้าแม่ไม่เก็บผมมาเลี้ยง ไม่มีลุงกล้าอบรมสั่งสอนเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ แล้วก็ไม่มีพี่กฤตที่คอยให้โอกาส ขนาดผมหลงผิดไปทำตัวเป็นอันธพาลสิ้นคิดก็ยังจะให้โอกาสได้แก้ตัวจนกลับมาเป็นผู้เป็นคน ไอ้ชัชคนนี้ก็คงไปนอนตายอย่างหมาข้างถนนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้’


อาชัชพูดยาวจนฟังตามเกือบไม่ทัน แถมน้ำเสียงก็เศร้า ผิดกับคุณพ่อที่พูดอย่างอารมณ์ดี


‘ไม่เอาน่ะ อย่าพูดอย่างนี้สิ พี่เห็นชัชเป็นน้องชายของพี่จริงๆ ไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย’


‘อย่าดีกับผมนักเลยพี่ คอยด่าให้ผมไม่ลืมตัวบ้างก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องให้ใครมายกย่องชื่นชมผมหรอก คนอย่างผมไม่มีอะไรเทียบพี่กฤตได้สักอย่าง’


‘ก็บอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก ที่พี่บอกทุกคนว่าชัชเป็นน้องชายมันก็เป็นเรื่องของการปกครองคน เพราะถึงพี่จะเข้ามาบริหารงานในฐานะลูกเขยของเจ้าสัวแต่หาคนใกล้ตัวที่ไว้ใจได้ยากจริงๆ ที่ชัชมาช่วยเป็นหูเป็นตา เป็นแขนเป็นขาให้ต่างหากที่ช่วยพี่ไว้ได้มากเลยล่ะ’


‘สรุปว่าผมถูกหลอกใช้?!’ จู่ๆเสียงของอาชัชก็ดังขึ้น แอบดูเห็นเขาส่ายหน้า แต่พูดไปยังหัวเราะไปได้ คงไม่มีอะไรไม่ดีแล้วล่ะ ‘ให้ตาย! พี่นี่เก่งชะมัด โดนไม้นี้เข้าเป็นใครก็ต้องยอมสู้ตายถวายหัวกันล่ะ’


‘เออๆ ขอบใจ แต่อย่าให้ถึงกับสู้จนตัวตายเลย คนที่สู้แล้วรู้จักเอาตัวรอดด้วยถึงจะมีประโยชน์จำไว้นะ’


‘ผมถามจริงๆนะ พี่กฤตมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดเรื่องตายบ่อยจัง’ เสียงอาชัชเบาลงอีก ทำหน้ายุ่งๆ ไม่ยิ้มแล้วด้วย


‘แค่พูดเผื่อไว้น่ะ ชัชก็รู้ว่าธุรกิจของเจ้าสัวใช่ว่าจะขาวสะอาดทุกอย่าง ตัวพี่เองไม่คิดว่าจะทำให้อะไรๆถูกต้องได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยพี่ก็จะพยายามให้ลูกน้องทุกคนอยู่รอด และโดยเฉพาะกรกับภา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่พวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานเจ้าสัว เป็นลูกของพี่กับคุณภัท พี่ไม่อยากให้เขารู้สึกแย่กับสิ่งที่ครอบครัวตัวเองทำ พวกเขาควรเติบโตขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ สามารถยืนหยัดมองหน้าผู้คนในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย ชัชเข้าใจใช่มั้ย’


อาชัชพยักหน้าเบาๆ แต่ตัวฉันพอได้ยินพ่อเรียกชื่อถึงกับสะดุ้ง กลัวจะโดนจับได้ว่าแอบฟัง


‘ผมเข้าใจ ถึงจะไม่ใช่อาโดยสายเลือด แต่ผมก็รักภาวิณีกับภากรเหมือนหลานแท้ๆของผม ผมสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเขาสองคนครับ’


‘พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ และพี่เชื่อว่าพวกเขาก็รักชัชมากเหมือนกัน ดูอย่างยัยภาก็ได้ ติดชัชเป็นตังเม กลับบ้านมาเจอหน้าพี่แต่ถามถึงชัช สงสัยจะรักอามากกว่าพ่อซะแล้ว!’


‘ฮ่า ฮ่า อิจฉาผมล่ะซี้’ อาชัชหัวเราะเสียงดัง แถมกล้ายกมือชี้นิ้วใส่หน้าคุณพ่อด้วย ‘พี่ชัชไม่ต้องห่วงเลยครับ ผมนี่แหละจะทำหน้าที่พ่อคนที่สอง ผมจะหวงยัยหนูให้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ไอ้หนุ่มหน้าไหนชายตามองผมจะเสยเข้าให้ แล้วถ้ายังกล้าเข้ามาจีบ พ่อจะยิงให้ไส้แตก!’


‘ขืนทำอย่างนั้นยัยภาคงได้ขึ้นคานกันพอดี!’ คุณพ่อทำหน้าตกใจแต่ก็ยังยิ้มไปพูดไป


‘ปล่อยให้ขึ้นคานยังดีกว่าให้ไปอยู่กับคนเลวๆนะพี่ หลานคนเดียวผมเลี้ยงได้ ต่อให้ไม่มีใครรัก ผมรักเองก็ได้’


ความฝันจางหายไปแต่ประโยคสุดท้ายนั้นยังติดหูและผนึกแน่นในใจเสมอมา ยิ่งเวลาผ่านไปจนเริ่มเข้าใจความหมายของทุกถ้อยคำก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าอาชัชกับฉันไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆทางสายเลือด ในโลกนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าอาชัชเป็นเด็กที่คุณย่าเล็กรับมาอุปการะ และตัวเขาเองก็บอก... ต่อให้ไม่มีใครรัก ผมรักเองก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะรักเขาเหมือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่ง หรือถ้าเราจะมีความสัมพันธ์อย่างคู่รักทั่วไปมันก็คงไม่ผิดไม่ใช่หรือไง


“อย่า...” คนตัวใหญ่เริ่มได้สติ ยังไม่ลืมตาแต่ส่งเสียงพึมพำอย่างคนละเมอ “...อย่าไป...”


“หนูภาไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย” ฉันก้มลงกระซิบข้างหู แถมจูบเบาๆที่ขมับเอาใจอีกสักที


“ขอโทษ...” อาการละเมอยังไม่หมด ลักษณะเหมือนจะเป็นฝันร้ายเพราะเขาทำหน้านิ่ว ขมวดคิ้วทั้งที่ไม่รู้สึกตัว “ฉันขอโทษ...”


เห็นอย่างนี้ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ คงจะจริงที่ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ฉันมองเขาอย่างคนรักในขณะที่เขาเห็นฉันเป็นแค่หลานสาวคนหนึ่งมาตลอด ความผูกพันทางกายในค่ำคืนที่ผ่านมาก็เริ่มต้นจากความใคร่ ไม่ใช่ความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ ถ้าเขาจะเจ็บปวดจากการกระทำนั้นก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้


“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูภาต่างหากที่เป็นคนเริ่ม หนูภาขอโทษ แต่หนูภารักอาชัชจริงๆ รักมานานมากเหลือเกิน อาชัชอย่าโกรธกับสิ่งที่หนูภาทำลงไปเลยนะคะ”


“ไม่... ฉันมันเลว... แต่ฉันรักเธอ...”


ได้ยินแค่นี้หัวใจก็พองฟูจนคับอก ก่อนที่จะ...


“...รักเธอจริงๆนะกาน...”


จบสิ้นแล้ว! โลกสีชมพูที่เคยสว่างไสวดับวูบเหลือแต่ความมืดมิด หัวใจดวงเดียวกันถูกมีดแหลมกรีดลงจนแปลบปลาบไปทั้งอก ความรักความรู้สึกที่เฝ้าบ่มเพาะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุ่มเททำไป และความสาวที่เก็บถนอมเพื่อมอบให้คนเพียงคนเดียวก็หมดคุณค่าลง... ในพริบตา!


“กาน...”


มีดเล่มเดิมจ้วงแทงซ้ำจนต้องอุดปากกลั้นเสียงกรีดร้อง เลือดในกายแห้งเหือดแต่น้ำตาพรั่งพรูราวสายน้ำ ร่างหนาขยับเลยต้องรีบพลิกหลบเพราะไม่อยากกลายเป็นสำเนาใช้ซ้ำแทนใครอีก และสั่งใจให้จงจำเถอะว่าคนที่อาชัชเฝ้ารัก เฝ้าฝันถึง คนที่เขาโหยหาจนต้องละเมอไขว่คว้าคือเด็กคนนั้น ไม่ใช่เธอหรอกนะภาวิณี!





จบตอนแล้วคร้าบ




อยากรู้จริงๆว่าจบตอนนี้แล้วนางจะได้ฟีดแบคยังไงบ้าง จะตั้งตารออ่านคอมเมน์นะคะ

 :a5:



ส่วนเรื่องสั้นสนพ.วุ่น Y ลงครบสามตอนแล้ว
คิดว่ามีแค่นี้เพราะยังไม่เห็นต้นฉบับเพิ่มมา ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53006.0#lastPost



ปล. นิยายวายแต่มีเรื่องขายหญิงด้วยนี่ไม่ผิดประเภทใช่มั้ยคะ
เพราะทำไปทำมาเรื่องนี้มีหลายคู่มาก แต่บังเอิญว่าคู่หลักคือคุณกรกับกานต์นะคะ




 :bye2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2016 19:45:14 โดย minemomo »

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ภาวิณีหลงรักอาชัช แต่ใช้วิธีนี้มันผิดนะ
ถึงมีอะไรกันอาชัชจะรับผิดชอบ แต่ก็ไม่มีทางได้ความรัก

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เราว่ามีได้นะอย่างบางเรื่องก็มีมากถมไปแต่จะไม่ลงลายละเอียดมาก เท่าที่เคยอ่านมาในแต่ละเรื่องจะโฟกัสเนื้อเรื่องไปที่คู่วายมากกว่าส่วนคู่ชายหญิงก็จะกล่าวถึงอย่างพอจับใจความได้ว่าเป็นอย่างไงมากกว่า
ปล.กานนี่คือชื่อผู้หญิงที่อาชัชเคยบอกว่าชอบป่าว ไม่น่าใช่น้องกานของเรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2016 09:39:05 โดย บูมเบส »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
อ่า สรุปชีรักอาตัวเอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Dolamon

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สรุปว่านางรีกอาตัวเอง
แต่อาชัชดันไปรัก กาน
อะไรมันจะยุ่งเยิงกันขนาดนั้น

ออฟไลน์ minemomo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1







25.





มองเลยออกไปด้านนอก พระอาทิตย์ยังไม่ยอมตอกบัตรเข้างาน ผิดกับบรรยากาศของโรงแรมที่แม้จะเงียบลงกว่าตอนกลางวันแต่ก็ยังมีพนักงานหลายคนทำงานของตนไป ส่วนตัวผมที่มาเดินลอยชายอยู่นี่ก็ไม่ใช่ว่ามีหน้าที่อะไร แต่เพราะวันนี้คุณภากรกับคุณวรเมธจะออกเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อทำการเจรจาขั้นสุดท้ายกับเจ้าของรีสอร์ทที่นั่น คุณเมธจะเข้ามาสมทบที่โรงแรมเพื่อออกไปขึ้นเครื่องที่สนามบินแต่เช้า ผมเลยตั้งใจลงมาเตรียมมื้อเบาๆเอาไว้ให้รองท้อง แต่เอ๊ะ... ผมเพ่งมองไปที่โซฟารับรองแขกตรงล็อบบี้ ยกมือขยี้ตาอีกทีก็ยังไม่อยากเชื่อว่าที่เห็นอยู่นั่นจะใช่... คุณชัช!


ร่างสูงใหญ่ยังอยู่ในชุดเดิมของเมื่อวานและเหมือนทุกๆวันคือเสื้อผ้าสีดำสนิททั้งตัว แต่ที่ผิดหูผิดตาคือสภาพยับเยินยู่ยี่อย่างกับไปรื้อเสื้อในตะกร้ามาใส่ซ้ำ แถมหน้าตาก็หมองคล้ำ คิ้วหนาพันกันยุ่งจนดูเป็นคนละคนกับที่ผมรู้จัก ขนาดเดินเข้าไปใกล้จะถึงอยู่แล้วยังไม่รู้สึกตัว แต่เป็นผมเองที่สะดุดสายตากับอะไรบางอย่างเลยต้องรีบผละออกมาเพื่อ...


“อาครับ”


พอกลับมาอีกครั้ง ผมเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วแตะตัวเรียกคนใจลอยเบาๆ ลูกตาสีดำหันมาแต่ไร้จุดโฟกัส ผมเลยใช้ผ้าขนหนูชื้นในมือค่อยๆเช็ดรอยแดงที่เลอะเป็นปื้นไปทั้งแก้ม ปาก จนถึงลำคอ กระดุมสองเม็ดหลุดจากรังอยู่แล้ว เลยได้เห็นว่าคราบเหนียวนั้นปรากฏประปรายที่แผงอก แทรกด้วยริ้วแดงคล้าย... รอยเล็บ! ด้วยความอยากรู้ผมกะจะแกะกระดุมอีกสักเม็ดแต่เจ้าของเสื้อคงได้สติพอดี เลยตะครุบมือผมไว้แล้วดึงให้ขึ้นไปนั่งด้วยกันบนโซฟา


คุณชัชยังเอาแต่เงียบจนผมอึดอัด ไม่รู้จะทำอะไรเลยกลับผ้าในมือแล้วเช็ดส่วนอื่นของใบหน้าคร้ามคมให้เกลี้ยงเกลาจะได้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง ส่วนตรงริมฝีปากผมพับมุมผ้าแล้วแตะเบามือที่สุดเพราะเพิ่งเห็นว่าเป็นแผลเหมือน... โดนกัด!


พูดกันตรงๆ ถึงผมจะยังเด็กแต่ก็เป็นผู้ชาย เห็นสภาพนี้รู้เลยว่าผ่านศึกหนักมาชัวร์ แต่ที่น่าสงสัยคือเมื่อวานคุณชัชบอกว่าจะพาคุณภาวิณีไปเคลียร์เรื่องของผม แล้วนี่เคลียร์กันอีท่าไหนล่ะถึงได้เยินกลับมาขนาดนี้ หรือถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าพ่อเสือดำคงออกล่าเหยื่อมาทั้งคืน ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะอิ่มหมีพีมัน ไม่ใช่มานั่งตัวเหี่ยว หน้าเป็นมันอย่างนี้สิ


“อาชัช...” เมื่อไม่มีอะไรให้เช็ดอีก ผมเลยวางผ้าแล้วหยิบมือใหญ่มากำไว้แทน “...อยากเล่าอะไรมั้ยครับ”


คนตัวโตยอมมองตาแต่ปากยังปิดสนิท มือใหญ่บีบตอบเบาๆแล้วดึงตัวผมเข้าไปแนบกับแผ่นอก จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเต้นตุบๆ อ้อ! มีลมร้อนๆพ่นใส่หัวผมอีกหลายเฮือกเชียวล่ะ


“ผมจำได้ อาเคยบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ หรืออยากร้องไห้ก็ให้มาหาร้องไห้กับอา พอทำตามที่อาบอกผมก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ ตอนนี้ผมก็เลยอยากบอกอาเหมือนกัน...” ผมเงยหน้ามองแล้วยิ้มให้เขาดูเป็นตัวอย่าง “ถ้าเมื่อไหร่ที่อามีปัญหา อยากได้ที่ระบายแต่ไม่รู้จะไปหาใคร อย่าลืมสิครับว่าอายังมีผมอยู่ทั้งคน”


“อย่างเราจะช่วยอะไรฉันได้” มือใหญ่เลื่อนขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ใบหน้าเครียดขรึมสว่างขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นแค่อาการเหยียดปากนิดเดียวก็นับว่าผมทำสำเร็จ


“อาชัชมีเรื่องอะไร บอกกานต์ได้มั้ย” ผมกำมือใหญ่ไว้ด้วยสองมือ ออกแรงอ้อนเพื่อให้เขายอมเปิดใจหรืออย่างน้อยก็ระบายสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมาบ้าง


“เรื่อง...” เหมือนเขากำลังจะหลุดปากแต่คงนึกได้ว่าไม่ควรทำให้ผมสังหรณ์ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว “บอกไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่ถึงจะสารภาพออกไปก็คงไม่ช่วยให้ฉันพ้นจากความผิดบาปไปได้”


“อาชัชไปทำเรื่องที่ผิดกับใครอีกแล้วเหรอครับ” ผมถามเพราะพลันนึกไปถึงเรื่องรักเก่าที่เขาเคยเล่าให้ฟัง


“ไม่ต้องมาหลอกถาม!” เพราะมือไม่ว่าง เขาเลยก้มหัวลงมาโขกหน้าผากเบาๆแทนการเขกมะเหงก ผมเลยทำหน้าเจ็บไปตามน้ำ


“จะว่าไม่ใช่เรื่องของเด็กอีกอ่ะดิ” ผมเองก็มือไม่ว่างเลยก้มหัวถูหน้าผากกับอกเสื้อยับๆนั่นแหละ “แต่กานต์ว่าถ้าอาทำผิดกับใครก็ควรไปขอโทษหรือไม่ก็ทำอะไรที่พอจะชดเชยความผิดนั้น ที่มานั่งสำนึกผิดอยู่คนเดียวก็เหมือนจมอยู่กับปัญหา ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอกครับ”


“เรื่องบางเรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกกานต์”


“ใช่ครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะหนักหนาจนไม่น่าให้อภัย แต่ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เราจึงต้องเดินไปข้างหน้า พยายามแก้ไขในส่วนที่พอจะทำได้และระวังไม่ให้ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง อาชัชของกานต์เป็นคนเก่งและเข้มแข็งจะตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้สบายมาก เพราะฉะนั้นอาต้องไม่ยอมแพ้ ไม่เอาแต่มานั่งท้อแท้อย่างนี้สิครับ”


ทั้งหมดที่พูดไปผมเอามาจากชีวิตตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง เพราะคงไม่ผิดถ้าผมจะกล่าวโทษว่าพ่อเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องจากพวกเราไป และที่ผมยังติดใจจนไม่อาจให้อภัยกับความผิดนี้ก็เพราะพ่อไม่เคยพยายามแก้ตัวหรือแก้ไขให้อะไรๆดีขึ้น สิ่งที่พ่อทำมีแต่จมอยู่กับอดีตและทำให้ชีวิตดิ่งลงเหวลงไปทุกวัน ผมเลยไม่อยากให้คุณชัชเป็นเหมือนพ่อไปอีกคน


“อาชัชของกานต์...” คุณชัชทวนคำลอยๆแล้วแค่นยิ้ม “ฉันเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอก็ตอนที่มาเจอเรานี่ล่ะรู้มั้ย”


“ไหงงั้นล่ะครับ?” ผมย่นคิ้วใส่ หวังดีแท้ๆแต่กลับถูกเขากล่าวหาซะงั้น


“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยมีใคร ถึงจะมีคนมากมายห้อมล้อมแต่เวลาสุขฉันก็สุขคนเดียว ยิ่งเวลาทุกข์ได้แต่เก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่เดี๋ยวนี้ให้เป็นอย่างเดิมคงไม่ไหว ไม่ว่าจะตอนไหนก็อดคิดถึงไอ้ตัวแสบอย่างเราไม่ได้เลย”


“อาชัชก็เลยกลับมาหากานต์ที่นี่” ผมถามแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


“ก็น่าจะใช่ ตอนอยู่ในรถมันยังงงๆ รู้ตัวอีกทีก็เลี้ยวเข้าโรงแรมมาแล้ว”


คุณชัชกดหัวผมแนบอกแล้วหอมฟอดใหญ่ ผมเลยสอดมือกอดเอวหนารับรู้ถึงไออุ่นเคล้ากลิ่นเหงื่อจางๆ สำรวจตัวเองแล้วก็คงเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกอบอุ่นและสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้


“กานต์ดีใจที่อาชัชคิดถึงและกานต์ก็เต็มใจจะอยู่เคียงข้างอาชัชเสมอนะครับ”


“ขอบใจ นึกแล้วก็น่าเสียดาย ถ้าฉันเจอเราก่อนใครบางคนแถวนี้ก็คงดี” คำพูดแปลกๆชวนให้มองตามสายตาเขาไปจนได้เห็นคนที่เราก็รู้ว่าใครกำลังยืนหน้าตึงจ้องเขม็งมาทางนี้ “หึ! ตอนเด็กๆเจ้ากรมันออกจะสปอร์ต ไม่นึกว่าโตมาจะกลายเป็นหมาหวงก้างซะได้ ฉันไปดีกว่า”


“อ้าว! อาจะไปไหนครับ” ผมรีบลุกแล้วเดินตาม แค่อยากรู้อย่างที่ถามไม่ได้ตั้งใจจะหนีใครจริงๆนะ


“ไปพยายามแก้ไขเรื่องผิดพลาดอย่างที่เราแนะนำไงล่ะ”


คนตัวโตยอมให้ส่งแค่ประตูโรงแรม คำพูดทิ้งท้ายกับรอยยิ้มสุดเท่ห์ทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือคุณชัชคนเดิมที่สามารถทำได้อย่างที่พูด ผมเลยยืนส่งยิ้มเป็นกำลังใจจนเขาขึ้นรถขับออกไป เสร็จแล้วก็ยังต้องฉีกปากกว้างๆเมื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับเงาทะมึนที่ด้านหลัง


“ทำไมอาชัชมาแต่เช้า ไม่ได้กลับไปนอนบ้านสวนหรือไง” ปากถามแต่สีหน้าเหมือนเห็นผมเป็นอาตัวเองงั้นแหละ


“ไม่ทราบครับ” ผมตอบเลี่ยงไป แต่ถ้าให้สันนิษฐานจากสภาพที่เห็นคิดว่าเมื่อคืนไม่น่าจะได้นอนเลยมากกว่า ส่วนสาเหตุว่าทำไมคงต้องเค้นจากเจ้าตัวให้แน่ๆอีกที


“แล้วนั่นจะรีบร้อนออกไปไหนอีกล่ะ”


“ก็ไม่ทราบครับ”


“งั้นจะมีเรื่องไหนที่ฉันถามแล้วนายตอบได้บ้างมั้ย?!”


คุณภากรใส่อารมณ์จนผมต้องมองซ้ายมองขวา เช้าขนาดนี้ยังไม่ค่อยมีคนก็จริงแต่อย่างน้อยพี่พนักงานที่เฝ้าประตูก็คงตกใจถึงได้ทำเป็นยืนตัวตรงแหนว กางหูซะกว้างเชียว แต่ช่างเถอะ หลังจากที่โดนคุณภาวิณีอาละวาดซะเละขนาดนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว


“มีอยู่เรื่องนึงที่เมื่อกี้อาชัชบอกแล้วผมก็เห็นด้วยที่สุดเลย” อยากจะทำหน้ากรุ้มกริ่มแต่ทำไม่เป็นเลยได้แต่อมยิ้มนิดๆแล้วยื่นหน้าไปกระซิบบอก “แฟนผมขี้หึงม๊ากมาก”


“หึ! รู้แล้วก็หัดทำตัวให้มันดีๆ”


คนขี้หึงเลยหายโมโหกับลงโทษแค่บีบจมูกผมเล่นเบาๆ ผมตะเบ๊ะรับแล้วรีบบอกธุระที่ทำให้หายตัวลงมา ไม่ได้กะจะเอาใจใครเลยนะเนี่ย


“ไม่ดีกว่า เช้าขนาดนี้กระเพาะยังไม่อยากทำงาน เดี๋ยวรอเมธมาก็จะออกไปสนามบินแล้วล่ะ”


“งั้นไปนั่งเป็นเพื่อนผมก็ได้ จะได้รอคุณเมธด้วย คุณกรจะไม่อยู่ทั้งวัน ผมคิดถึงแย่เลย”


“ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย!?” คนหล่อทำเป็นอึ้ง ไม่คิดว่าผมปากหวานก็เป็นล่ะซี้!


“นั่นไง หูฝาดที่ไหน หิวจนลมออกหูแล้วไม่รู้ตัวมากกว่า ไปกินข้าวกันนะครับ น๊าาา”


ไม่รู้ล่ะ ผมอุตส่าห์รีบตื่นลงมาเตรียมอะไรไว้ตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ลากเขาไปนั่งให้ได้ก่อนแล้วค่อยๆชวนคุย ตักโน่นตักนี่ให้ ขี้คร้านเขาก็ต้องยอมกินตามใจผมจนได้ พอคุณเมธมาก็พอดีอิ่มจะได้ไปทำงานด้วยสภาพที่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนผมก็ถือว่าเริ่มต้นวันได้ดี ทุกอย่างกลับเข้าสู่จังหวะเดิมๆ มาเตร่รอรับป้ามาลัย สะสางตารางงานกับพี่พัชรีแล้วก็จัดการเรื่องที่คุณเมธสั่งไว้ รับโทรศัพท์ที่คอยโทรมากวนประสาทบ้าง แล้วก็ต้อง...ต้อนรับแขกคนสำคัญ!


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ในห้องของภากร”


จู่ๆมีคนเปิดประตูเข้ามาก็ตกใจจะแย่แล้ว ยิ่งมาโดนคำถามยิงตรงด้วยน้ำเสียงเย็นชาหน้าแอบโหดของคุณภัทราพรเข้าไปอีก ผมเลยเสียเวลายืนอึ้งไปสองวินาทีแล้วค่อยอธิบายอย่างนอบน้อมว่าโต๊ะทำงานผมก็อยู่ในห้องนี้เหมือนกัน เมื่อไม่มีคำอนุญาตให้นั่ง จะหนีออกจากห้องก็ไม่ควร ผมเลยย้ายตัวเองตามไปยืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่เพื่อรายงานในสิ่งที่ผู้มาเยือนอาจจะอยากรู้


“คุณภากรไปคุยธุระเรื่องรีสอร์ทที่สิงคโปร์แต่จะบินกลับเย็นนี้เลยครับ”


“ฉันรู้แล้ว”


เพล้ง! รู้สึกหน้าแตกเบาๆ งานนี้ต่อให้ผมยืนหายใจเฉยๆก็คงขัดเคืองนัยน์ตาดุๆคู่นี้ หาเรื่องชิ่งออกจากห้องน่าจะดีกว่า


“ท่านจะรับเครื่องดื่ม...”


“ไม่ต้อง”


สรุปคืออยู่ก็ไม่ดี จะหนีก็ไม่ได้ ผมเลยเงยหน้าสบตาเจ้าของโรงแรมคนก่อน ดวงตาสองคู่ช่างให้ความรู้สึกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ และเหมือนแววตาปราณีของคนในรูปจะส่งกำลังใจให้ผมลองสู้ดูสักตั้ง!


“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”


“ถ้าฉันสั่งเธอได้ เราคงไม่ต้องมาทนเห็นหน้ากันอยู่อย่างนี้ไม่ใช่รึไง”


ฉึก! โดนย้อนด้วยคำพูดตัวเองนี่มันจี๊ดชะมัดยาด


“ผมทราบครับว่าท่านต้องการอะไร แต่ผมก็เรียนแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องนั้นผมไม่สามารถทำให้ได้ ขอโทษด้วยครับ”


“ไม่ต้องแล้ว ฉันเบื่อจะฟังคำนี้เต็มที” มือเรียวโบกปัดจนประกายเพชรเม็ดเป้งสะท้อนแสงไฟเข้าตาผมพอดี “เมื่อวานยัยภามาที่นี่ ได้เจอกันแล้วใช่มั้ย”


ผมรับคำสั้นๆเพราะแค่นึกถึงก็แสบแก้มยิบๆขึ้นมาเชียว


“แล้วรู้มั้ยว่าถ้ายังดื้อจะโดนมากกว่านี้”


คราวนี้ผมไม่รู้จะตอบอะไรและคงเผลอทำหน้าเพลียๆให้เห็น คุณภัทเลยนึกว่าผมอยากลองดี ไม่แคร์กระทั่งคำเตือนของท่านล่ะมั้ง


“นี่เธอ!”


แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรีบบอกคำที่ท่านเองก็ไม่อยากฟังแต่ก็ไม่รู้ทำไมชอบกดดันให้ผมต้องพูดซะจริง


“จะขอโทษเรื่องอะไรอีก?!”


“ผมขอโทษที่ทำให้ท่าน...” ผมแอบเงยมองแวบหนึ่งเพื่อดูให้ชัวร์ว่า... “ไม่พอใจอีกแล้ว เอ่อ...เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมไปเอาน้ำตะไคร้มาให้ท่านลองชิมก่อนดีกว่า เป็นสมุนไพรแก้กระหายคลายหวัดแถมมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ด้วย น้ารื่นเพิ่งให้คนเอามาให้เมื่อเช้านี้เองครับ”


ผมเค้นสมองร่ายสรรพคุณสุดฝีมือ กะจะให้ฟังไม่ทันจนต้องยอมเออออแล้วก็เผื่อน้ำตะไคร้เย็นๆจะช่วยให้คุณภัทสดชื่น สบายใจ ไม่ต้องนึกชอบแต่ให้เกลียดขี้หน้าผมน้อยลงสักศูนย์จุดห้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี


“เธอว่าไงนะ!” แววตาคมดุตวัดมองจนผมสะดุ้งโหยง แถมน้ำเสียงยังเรียกได้ว่าตวาดแว้ดเป็นครั้งแรก “ทำไมถึงได้รู้จักนังนั่น นี่อย่าบอกนะว่ารู้เรื่องบ้านสวนด้วย?”


เหมือนมีลางสังหรณ์เตือนให้หุบปากแต่คำบางคำก็ผิดหูจนนึกสงสัยขึ้นมา ถ้าผมยอมเงียบ คุณภัทราพรก็คงแค่โมโหแต่ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แล้วถ้าผมลองต่อเชื้อล่ะ บางทีอาจจะได้รู้ว่าไฟกองนี้มีต้นเพลิงมาจากอะไร


“คุณกรเคยพาผมไปค้างสองสามครั้ง ที่นั่นสงบร่มรื่นมากเลยนะครับ ทุกคนน่ารักเป็นกันเอง ทั้งยายปุย ยายเป้า ตาหมาย ตามี ลุงพัน ป้าจิต โดยเฉพาะน้ารื่นนี่ต้องเรียกว่าเก่งมากๆ ผู้หญิงคนเดียวแต่คุมคนงานได้เป็นสิบ แถมยังใจดี คอยดูแลผมทุกอย่าง นี่ขนาดไม่ได้กลับไปก็ยังคอยส่งของอร่อยๆมาให้ที่โรงแรมเรื่อยเลยครับ”


หรือคิดอีกทีผมอาจประมาทจนคาดการณ์ผิดไป ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แค่กองไฟที่จุดขึ้นแล้วจะดับได้ง่ายๆ แต่เป็นภูเขาไฟลูกใหญ่ที่พร้อมจะพ่นลาวาร้อนออกมาทำลายล้างทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง


“มิน่าล่ะ!” เฮือก! พัดด้ามเล็กในมือถูกคุณภัทราพรฟาดกับโต๊ะจนหักสะบั้น! “มีคนให้ท้ายอย่างนี้นี่เอง น้ำหน้าอย่างเธอถึงได้กล้ามาแข็งข้อกับฉัน ใช่สินะ นังนั่นมันทำอะไรฉันไม่ได้เลยอาศัยยืมมือคนอื่นมาทำลายครอบครัวฉันแทน ฉันไม่น่าปล่อยให้นังงูพิษอย่างมันชูคอวางท่าอยู่บ้านสวนจริงๆ!”


คุณภัทราพรพูดจบก็ลุกออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ผิดกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิง เพราะขนาดผมที่ถูกเหม็นขี้หน้ามาตลอดยังไม่เคยได้เห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธ พร้อมจะอาละวาดและอาจถึงขั้นลงมือทำร้ายได้ขนาดนี้ เห็นแล้วยังนึกเสียวแทนคนที่ถูกจิกเรียกว่า ‘นังงูพิษ’


เฮ้ย! เดี๋ยวนะ ถ้าคุณภัทราพรกำลังจะไปบ้านสวน และคนๆนั้นหมายถึงน้ารื่นฤดีก็...ซวยแล้ว! ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาผมก็คือตัวต้นเหตุเลยน่ะสิ แย่แน่ๆ ทำไงดีวะไอ้กานต์?!


ผมกลายเป็นหนูที่วิ่งติดกับดักตัวเอง อยากจะรีบไปช่วยน้ารื่นแต่ก็จนใจเพราะไม่รู้ว่าบ้านสวนอยู่ที่ไหน ครั้งแรกคุณภากรพาไปแบบหมดสติ ส่วนตอนไปกับคุณชัชถ้าไม่หลับก็กำลังนอยด์ๆ ไม่ทันได้สนใจอะไรอีก ถามพี่พัชรีกับเฮียสยามบอกไม่แน่ใจเพราะเคยไปแต่นานมากแล้ว ป้ามาลัยก็ติดประชุมไม่รับโทรศัพท์ แล้วนี่จะมีใครช่วยผมได้บ้างมั้ยเนี่ย...


“ไงไอ้แสบ หน้าตาตื่นเชียว จะรีบไปไหน?”


แล้วฟ้าก็ส่งฮีโรมาช่วยผมอีกครั้ง แถมแปลงร่างกลับมาเป็นหนุ่มใหญ่มาดเท่ห์ หน้าตาสดใสปิ๊งๆเหมือนเดิมแล้วด้วย สงสัยจะไปเคลียร์เรื่องผิดพลาดจากเมื่อคืนได้เรียบร้อยถึงได้เดินยิ้มหน้าบานเข้าโรงแรมมาเชียว


“อาชัช!” ผมคว้าแขนแล้วลากคนตัวโตกลับออกไปทางที่เขาเพิ่งเข้ามานั่นแหละ “ไปบ้านสวนด้วยกันหน่อย เดี๋ยวนี้เลยครับ!”


คุณชัชยอมขึ้นรถแล้วขับออกจากโรงแรมตามที่ผมสั่งแบบงงๆ แต่พอได้ฟังที่มาที่ไปเท่านั้น...


“ชิบหายแล้ว!” เขาสบถเสียงลั่นแล้วเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งที่ตอนแรกทำท่าจะจอดเพราะสัญญาณไฟเหลืองกระพริบแล้ว “มิน่าล่ะ ตอนสวนกันตรงสี่แยกโน้น เห็นรถบ้านใหญ่ขับเร็วยังกับพายุ ยังนึกอยู่ว่าเดี๋ยวไอ้คนขับมันต้องโดนคุณภัทด่าแน่ๆ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นยังงี้ไปได้!?”


ได้ยินแบบนี้ ระดับความรู้สึกผิดของผมเลยพุ่งตามความเร็วรถไปติดๆ


“มันจะแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับอา?”


“แย่ไม่แย่เราก็ลองคิดดู ตอนงานศพพวกที่บ้านสวนได้แต่นั่งฟังพระสวดอยู่นอกศาลา แล้วโดยเฉพาะรื่นน่ะเกือบจะไม่ได้ขึ้นเมรุไปวางดอกไม้จันทร์ด้วยซ้ำ”


“ทำไมคุณภัทต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะครับ น้ารื่นไม่ใช่คนที่ทำให้คุณท่านประสบอุบัติเหตุสักหน่อย”


“ไม่ได้ทำให้พี่กฤตตายแต่ทำให้คุณภัทตายทั้งเป็นน่ะสิ”


“หรือว่า... น้ารื่นจะเป็น...?!” ผมยั้งปากไว้เพราะรู้สึกว่าไม่ควรพูด แต่เรื่องบาดหมางระหว่างสองหญิงหนึ่งชายคงมีกันได้ไม่กี่เรื่องหรอก


“ก็นั่นแหละที่เขาคิดๆกัน ถึงยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าพี่กฤตกับรื่นจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไงได้ คนนึงตายไปแล้ว อีกคนก็ปิดปากสนิท ไม่ว่าใครถามยังไงก็ไม่ยอมบอก แล้วมันยังมีคดีเพิ่มขึ้นมาตอนที่เปิดพินัยกรรม พี่กฤตยกบ้านสวนให้เจ้ากรแต่ดันระบุให้รื่นเป็นคนดูแลทุกอย่างจนกว่ากรจะอายุครบยี่สิบห้าค่อยโอนกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้นไม่พอยังอนุญาตให้รื่นอยู่ที่นั่นต่อโดยชอบธรรม ถ้าถูกใครรบกวนหรือมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ไม่ได้ก็อนุโลมให้ออกไปแต่จะได้ทุนไปตั้งตัวอีกสิบล้าน ไอ้คนที่ระแวงอยู่แล้วเลยยิ่งปักใจเชื่อถึงได้จงเกลียดจงชังจนทุกวันนี้ไงล่ะ”


คำว่า ‘จงเกลียดจงชัง’ ดูจะอ่อนไปด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงภาพของคุณภัทราพรที่ผมได้เห็น


“แล้วคุณภัทเคยเล่นงานน้ารื่นหรือเปล่าครับ”


“ถ้าถึงขั้นทำร้ายให้เจ็บตัวน่ะไม่เคยหรอก เพราะพอเสร็จงานศพกับเรื่องพินัยกรรมคุณภัทก็ทำเหมือนลืมบ้านสวนไปเลย แต่ลองใครพูดชื่อรื่นฤดีขึ้นมาเป็นของขึ้น ที่แล้วๆมาพวกเราพยายามจะเลี่ยง กรเองก็ไม่ค่อยให้แม่เขารู้หรอกว่ายังไปมาหาสู่พวกบ้านสวนอยู่ ไม่รู้ว่าคุณภัทเกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาถึงได้คิดไปจะไปเหยียบที่นั่น แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ฉันว่าวันนี้บ้านสวนราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ”


ผมอยากจะร้องไห้ อยากจะเขกกะโหลก อยากจะตบปากตัวเองชะมัด ฮือออ นี่ผมทำบ้าอะไรลงไป มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว ถ้าน้ารื่นเป็นอะไรขึ้นมาผมต้องตายไปตกนรกสถานเดียว ขณะที่ผมกำลังภาวนาให้เรื่องร้ายกลายเป็น... ไม่ต้องถึงกับดี แต่ขอให้ร้ายน้อยกว่าที่ผมกลัว รถก็เบรกเอี๊ยดตามด้วยเสียงอุทานของคนขับ


“เฮ้ย! มีไรกันวะนั่น?!”


มองไปที่หน้าเรือนไทย หลายคนรวมทั้งน้ารื่นกำลังวิ่งวุ่นอยู่รอบรถเบนซ์คันโตทำให้ผมนึกโล่งอก แต่พอเห็นลุงพันอุ้มร่างไร้สติลงมาส่งที่รถเท่านั้น ผมกับคุณชัชก็หันมามองหน้าแล้วสบถเป็นเสียงเดียวกัน!





จบตอนแล้วคร้าบ



จบตอนแบบให้ลุ้นกันพอตื่นเต้นเนาะ  :katai2-1:


 :bye2:



ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
ลุ้นๆๆ  :z13:

ออฟไลน์ Fahsaizzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
คือสงสัยอ่ะ ตกลงอาชัชไม่เสร็จยัยภาใช่มั้ย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลุ้นกันอย่างสนุกสนาน

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
ใครเป็นอะไรละนั่น

ออฟไลน์ tuckky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
เป็นตอนที่วุ่นวายจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด