เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}  (อ่าน 154159 ครั้ง)

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
โอยยยย เจ็บจนไม่อยากจะทน

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
วินเลวมากอ่ะ จิตใจทำด้วยอะไร   :angry2: :z6:
กานต์เป็นเด็กที่ตามเล่ห์เหลี่ยมคนเลวๆแบบวินไม่ทันด้วย เลยถูกหลอกง่าย
สงสารกานต์ พี่ณัฐกับพ่อรพินทร์ก็น่าสงสารเหมือนกัน
 :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ mylittle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย สงสารกานต์ TT จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยย.. เกลียดอิเชี่ยวินนนนนน ยังไม่เห็นจุดที่มันจะสำนึกผิดได้ กับพ่อมันยังมีเกลียดมีแกล้ง มันมีลูกเองจะสำนึกจะรู้สึกอะไรหรอไม่มีทาง

เชียร์พี่ณัฐเป็นพระเอก

 :katai1:

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
เสน่หา...รักเอย ตอน๑๖

แก้วเอย...
กลีบกลิ่นปลิดปลิวโรยรา
หมดเยื่อสิ้นใยเสน่หา
ภุมราแหนงหน่ายบ่ายหนี
สุข สมหวัง แลทุกข์ระทมตรมไหม้
ไฉนเลยเลือกได้
ฉันใด


   วันเวลาผ่านไปแช่มช้าราวหมุนโม่หนัก บาดแผลในใจถูกราดรดด้วยหยาดน้ำตาทุกวัน...ทุกวัน จนเกาะกุมกลายเป็นความด้านชา หยาดน้ำตาที่เคยไหลบ่าเหมือนน้ำหลากค่อยเหือดหายลงทีละน้อย...ละน้อย เหลือไว้เพียงดวงตากวางแดงช้ำเหม่อลอยราวกับร่างไร้ชีวิต รพินทร์เงยหน้าจากหนังสือในมือมองเลยไปยังร่างบนเตียง จากเด็กร่าเริงช่างเจรจากลายเป็นซึมเศร้าเหงาหงอยหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ เปลี้ย ๆ รพินทร์ระบายลมหายใจพรู นิ่งคิดครู่หนึ่ง หลังจากอดทนปล่อยให้รพีกานต์จมจ่อมอยู่กับตัวเองมาหลายวัน ก่อนตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้เพื่อพูดคุย

“น้องกานต์ ฟังนะลูก พ่อจะอ่านวรรคทองของเรื่องสี่แผ่นดินให้ฟัง”  รพินทร์แตะแขนเล็กดึงความสนใจลูกรัก รพีกานต์ผินใบหน้าเซื่องซึมหันมา ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนฟังของรพินทร์จะเริ่มดังขึ้น

*“คนเราเมื่อรักมาก ย่อมเสียดายมาก ถ้าไม่อยากเสียดายมาก ก็อย่าไปรักอะไรให้มันมากนัก ถ้าจะรักต้องให้รู้ว่า เป็นกรวดรึว่าเพชร ถ้ารู้ค่าของมันเสียแล้วว่าเป็นกรวดรึว่าเพชร เมื่อมันไปหาย ก็ไม่เสียดายมากนัก”  รพินทร์ลดหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาเศร้าสร้อยก่อนเอ่ยปากถาม

“กานต์เข้าใจประโยคนี้ไหมลูก” น้ำตาเม็ดโตที่ร่วงเผาะจากดวงตาสั่นไหวของลูกสร้างความปวดหนึบกับหัวใจของรพินทร์ไม่น้อย บาดแผลยังสดใหม่ รบเร้าไปก็รังแต่จะสร้างความขื่นขมเพิ่มทุกข์แก่ลูก มือขาวเลื่อนขึ้นลูบศีรษะทุยแผ่วเบา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใยเต็มเปี่ยม

 “คนเราอ่อนแอได้ แต่ไม่ใช่ตลอดไปนะครับน้องกานต์ กานต์เป็นแบบนี้ พ่อเป็นห่วงกานต์มากนะ รู้ไหม พี่วินเป็นเพชรน้ำเอกสำหรับกานต์ แล้วกานต์ล่ะครับ กานต์เป็นอะไรสำหรับพี่เขา เขาให้คุณค่าตอบแทนน้ำใจของกานต์บ้างไหม ใช่ว่าเราให้สิ่งใดกับใครไปแล้ว เขาจะตอบแทนคืนกลับมาให้เหมือนกันเสมอไปเสียเมื่อไหร่ ใช้สติตรึกตรองดูให้ดี กานต์ให้ดวงแก้วแก่วานร ทุ่มเทความรักให้กับคนที่ไม่เห็นค่า ลิงตัวนั้นถึงได้ไม่รู้คุณค่าในสิ่งที่ได้ไป มันควรแล้วหรือที่กานต์จะมัวแต่จมจ่อมอยู่กับทุกข์ จนลืมไปหมดสิ้นว่าชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้ให้เผชิญ กานต์มีค่ากับพ่อมากนะลูก กานต์มีค่ากับทุกคนที่รักกานต์” รพินทร์ร่ายยาวพลางจับมือเล็กยื้อมาแตะที่หน้าอกด้านซ้าย จุดที่หัวใจกำลังเต้นตุบ ๆ สายตาอ่อนโยนถ่ายทอดความรักความปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยมส่งให้ทางสายตาแทนคำพูด

“กานต์แค่เสียคนที่ไม่ได้รักกานต์ไปนะลูก แต่ที่ตรงนี้ ยังมีคนที่รักกานต์เสมอ กานต์ลืมไปแล้วหรือลูก ว่าพ่อรักกานต์มากแค่ไหน” น้ำเสียงสั่นเครือในตอนท้ายฉุดรั้งหัวใจรพีกานต์ขึ้นจากความมืดมิด

“ฮึก! พ่อครับ กานต์ขอโทษ”

เหมือนดวงตะวันผ่องอำไพสาดแสงสว่างชี้ทางแก่คนหลงทางมืดมน ภาพแต่หนหลังครั้งเยาว์วัยที่บิดาเคยเลี้ยงดูอุ้มชูมาเป็นอย่างดี ลิ้นไรไม่เคยให้แตะต้องระคายผิวเนื้ออ่อน ชีวิตบริบูรณ์เพียบพร้อมทุกสิ่งอย่างอย่างน่าอิจฉา“บวรกิตติ์วิวัฒน์” ตระกูลเชื้อสายเก่าแก่ที่ยินยอมให้เด็กกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้าได้มีโอกาสใช้นามสกุลร่วมวงศ์วานเผ่าพันธุ์ด้วย  ทั้งที่ความจริงแล้ว หากรพินทร์จะปฏิเสธยกให้เป็นธุระของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเสียก็ย่อมได้ น้ำใจแสนประเสริฐเสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่เจ็บช้ำให้บรรเทาเบาบางลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ รพีกานต์น้ำตาไหลสบตากับบุพการีตรงหน้า ไร้เสียงสะอื้นเฉกเช่นเก่า หากหัวใจตระหนักซึ้งในบุญคุณของคนที่คอยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา

ร่างเล็กปล่อยโฮโผกอดบุพการีเต็มหน่วย หลายวันที่เฝ้าคอย สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอัครวินท์ ในขณะที่คนที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ต้องมาพลอยไม่เป็นอันกินอันนอนไปด้วย รพีกานต์เห็นสีหน้าทุกข์ใจของบุพการีแล้วก็ได้แต่อดสูที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้ผู้มีพระคุณต้องพลอยทุกข์ใจไปด้วย รพีกานต์กินไม่ได้นอนไม่หลับ รพินทร์เองก็พานกินอะไรไม่ลงตามไปด้วย จนดวงหน้าผ่องใสเป็นนิจซูบหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 “กานต์มีค่าสำหรับพ่อเสมอนะลูก แล้วกานต์ก็ยังมีค่าสำหรับหลาย ๆ คนด้วย เวลาจะเยียวยากานต์ให้ดีขึ้นนะลูกนะ” รพินทร์ลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม รพีกานต์เป็นเด็กเข้าใจอะไรง่าย รพินทร์เชื่อว่าลูกจะต้องผ่านมันไปได้ รพินทร์ดันกายเล็กนั่งตรงพลางส่งยิ้มละไมให้ นิ้วเรียวกรีดหยาดน้ำตาที่ร่วงเผาะ หากไม่ดูเจ็บปวดรุนแรงเท่าเก่าแล้ว เมื่อรพีกานต์สัมผัสได้ถึงความรักที่รพินทร์มอบให้

“ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวเราไปทำบุญกันเนอะ” รพินทร์บีบแก้มนุ่มนิ่ม เบาใจขึ้นหน่อยที่ลูกเริ่มตาสว่าง รพีกานต์มองรอยยิ้มอบอุ่นก่อนเอ่ยปากถาม

“พ่อเคยรักใครแล้วเสียใจแบบนี้บ้างไหมครับ”

“เคยสิ” รพินทร์ยิ้มบางระลึกถึงความรักที่เคยจารจำในหนหลัง ม่านหมอกแห่งความทุกข์ระทมดับสลายเหลือไว้เพียงความทรงจำจาง ๆ ให้นึกถึงเป็นครั้งคราว ทว่าไม่มีผลต่อจิตใจอีก

“พ่อรักเขามาก มากจนเกือบคิดฆ่าตัวตายแน่ะ ตอนถูกสลัดทิ้ง แต่ดวงยังไม่ถึงฆาต พ่อเลยได้เจอกับกานต์น้อย เบรกไม่ให้คิดสั้น” รพินทร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างขบขันกับความคิดชั่ววูบของตนเองในตอนนั้น มองย้อนกลับไปก็ได้แต่ขอบคุณโชคชะตาในวันนั้นที่ดลใจให้เขาได้พบกับรพีกานต์ เด็กทารกแรกเกิดสองเพศที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างถังขยะสกปรก ให้เผชิญกับมดแมลงและสายฝนอย่างเดียวดาย

“เพราะพ่อได้เจอกานต์ เด็กน้อยที่ส่งเสียงร้องไห้จ้า ฉุดสติให้พ่อคิดได้ เจ้าหนูตัวแดงในวันนั้นพยายามดิ้นรนขวนขวายที่จะมีชีวิตรอดอย่างเต็มกำลัง ทั้งที่ถูกมดแดงรุมยำทั้งตัว พ่อในตอนนั้นเสียอีก ที่เข้มแข็งได้ไม่สู้เด็กทารก กานต์ต้องรักตัวเองมาก ๆ นะลูก ไม่ว่าจะเจอกับอะไร กานต์ก็ต้องเข้มแข็ง ชีวิตกานต์ยังต้องก้าวไปข้างหน้า ยังต้องเจออะไรที่มากมายกว่านี้ ถึงตอนนั้นกานต์จะรู้เองว่า ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต นะลูกนะ พ่อเป็นกำลังใจให้” รพินทร์กุมมือบางอย่างให้กำลังใจ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลาเยียวยา บาดแผลคราวนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันให้รพีกานต์เข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า

“ครับพ่อ” รพีกานต์รับคำ พ่อยังคงเป็นดวงตะวันอบอุ่นในใจเสมอ



วันเวลาเคลื่อนผ่านไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกของรพีกานต์ที่ทุเลาลงเรื่อย ๆ รพีกานต์ปิดรับการรับรู้เกี่ยวกับอัครวินท์ทุกรูปแบบ ชีวิตดำเนินไปโดยมีพี่ชายคนดีคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่างเช่นวันวาน หัวใจที่เคยบอบช้ำเริ่มสมานฟื้นตัวดีขึ้นทีละนิดจนทำใจได้ในระดับหนึ่ง

“พี่ณัฐปล่อยกานต์ลงเถอะ กานต์เดินเองได้น่า เดินไปด้วยแบกกานต์ขี่หลังไปด้วยแบบนี้ไม่หนักหรือไง” รพีกานต์ส่งเสียงประท้วงน้อย ๆ เมื่อพี่ชายคนดีพาขี่หลังเดินเลียบชายหาดดูพระอาทิตย์ตกดินเย็นย่ำตะวันรอนแสง

“ไม่หนักหรอก ตัวกานต์แค่นี้ พี่ให้ขี่หลังเดินทั้งวันยังได้ ลิงน้อย” ณัฐธีร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี กระชับคนตัวเล็กบนแผ่นหลัง

“แวะกินอะไรก่อนกลับเนอะ กานต์อยากกินร้านไหน เลือกเลย”

“ร้านนั้นก็น่านั่ง แต่พี่ณัฐปล่อยกานต์ลงก่อน อายเขา” คนตัวเล็กเสียงอู้อี้ ณัฐธีร์ยิ้มน้อย ๆ ย่อกายลงปล่อยให้รพีกานต์ได้เดินเอง สองร่างกอดคอกระหนุงกระหนิงพากันไปร้านริมทะเลที่รพีกานต์หมายตาเอาไว้

“วันนี้กานต์ดูจะกินเยอะกว่าปกตินะ สั่งเพิ่มไหม” ณัฐธีร์เอ่ยถามขณะมือสาละวนกับการแกะกุ้งแกะปูบริการคนตัวเล็กที่โซ้ยเอาโซ้ยเอาอย่างเอร็ดอร่อย

“น้ำจิ้มซีฟู้ดเปรี้ยวดี กานต์ชอบ สั่งเพิ่มอีกก็ได้ เอายำด้วยนะ ขอเปรี้ยว ๆ เลย” รพีกานต์บอกขณะหยิบกุ้งจิ้มน้ำจิ้มส่งเข้าปาก วันนี้รู้สึกอยากของเปรี้ยวอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ณัฐธีร์รับคำ สั่งอาหารให้ตามที่บอก เห็นรพีกานต์กินอย่างเอร็ดอร่อยเขาเองก็พลอยเจริญอาหารตามไปด้วย สองศรีพี่น้องซัดกันเต็มคราบก่อนสารถีหนุ่มหล่อจะพาน้องน้อยกลับเข้ากรุงเทพฯ

“อือ อุก! พี่ณัฐ กานต์อยากอ้วก” รพีกานต์พะอืดพะอม ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กจนต้องร้องบอก ณัฐธีร์รีบตบไฟเลี้ยวแวะจอดรถข้างทางในทันที

“กานต์เป็นอะไร”

“กานต์ อื้อ!” ไม่รอให้ได้พูดจบ รพีกานต์รีบเปิดประตูออกไปอาเจียนข้างนอกรถทันที ณัฐธีร์ตามไปคอยลูบหลังส่งน้ำให้กลั้วปากด้วยความเป็นห่วง

“สงสัยกินอาหารทะเลเยอะไปแน่ ๆ พี่เห็นกานต์ซัดเอา ๆ ไม่พูดไม่จาเลย” ณัฐธีร์ลูบหลังให้น้องน้อยจนรพีกานต์ค่อยยังชั่วจึงเริ่มเดินทางกันต่อ รพีกานต์เวียนศีรษะจนแทบจะยัดยาดมเข้าไปในรูจมูก มือถือถุงพลาสติกทำท่าจะอาเจียนตลอดเวลาจนณัฐธีร์เริ่มอดห่วงไม่ได้

“แวะโรงพยาบาลหรือคลินิกก่อนไหม ท่าทางพะอืดพะอมแบบนี้ อาจจะแพ้อาหารหรือเปล่า กานต์หน้าซีดมากเลยนะ” ณัฐธีร์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดพรายแถวหน้าผากและขมับให้ขณะรถติดไฟแดง รพีกานต์เวียนศีรษะอย่างหนักพยักหน้าอือออไปตามเรื่อง ณัฐธีร์ใช้แอปพลิเคชันหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อพาน้องไปตามจุดหมาย


ณัฐธีร์กระสับกระส่ายไม่น้อยขณะรอผลตรวจ เมื่อเช้ารพีกานต์ก็ตื่นมาโอ้กอ้ากแต่เช้ามืดไปแล้วหนหนึ่ง ไม่คิดว่ารอบเย็นจะมีอาการอีก น้องน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ใจคนห่วงคิดสะระตะไปเรื่อยขณะรอฟังผล

“หมอว่ายังไงบ้าง” ณัฐธีร์ผุดลุกปรี่เข้าไปหาคนหน้าซีดที่เปิดประตูออกมาพลางสูดยาดมไปด้วย

“หมอบอกรอผลตรวจก่อนครับ จริง ๆ แล้วกานต์เวียนหัวแล้วก็อาเจียนตอนเช้าติดต่อกันมาหลายวันแล้ว” รพีกานต์บอกเสียงเหนื่อยอ่อนขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างกันในสภาพอ่อนแรง

“ทำไมกานต์ไม่บอกพี่ แล้วปล่อยผ่านมาได้ยังไงตั้งหลายวัน” ณัฐธีร์ตั้งท่าจะไล่เลียงต่อ แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษจึงยั้งปากเสีย อย่างไรก็มาถึงมือหมอแล้ว ชายหนุ่มนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยใจภาวนาให้น้องน้อยอย่าเป็นอะไรร้ายแรงเลย



“คุณหมอบอกว่าอะไรนะครับ!” รพีกานต์ทวนคำถามซ้ำด้วยใบหน้าซีดเผือดหลังเค้นหาเสียงตัวเองเจอ หัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่มเหมือนลำแสงอัสนีบาตฟาดลงกลางใจเมื่อได้ยินคำวินิจฉัยจากแพทย์ที่ตรวจรักษาอาการ

“หมอบอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ ตรวจซ้ำอย่างละเอียดแล้ว คนไข้ทราบหรือเปล่าครับว่าร่างกายคุณข้างในมีมดลูกที่สมบูรณ์อยู่” รพีกานต์สมองขาวโพลนอย่างตกตะลึงจนพูดต่อไม่ออก คำแนะนำจากแพทย์ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจับใจความอะไรไม่ได้สักอย่าง ขาสั่นพั่บ ๆ ก้าวพาใบหน้าซีดเผือดออกจากห้องตรวจ เจอณัฐธีร์ที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ แล่นมาจุกที่คอ ตลอดทางกลับบ้านรพีกานต์เอาแต่นั่งเงียบด้วยความช็อกกับเรื่องที่ได้รู้

ท้อง!

รพีกานต์ท้อง!

คนเดียวที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ได้

อัครวินท์!



“กานต์ยังไม่บอกพี่เลยว่าหมอบอกว่ายังไงบ้าง โรคกระเพาะหรือเปล่าครับ” ณัฐธีร์ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่บนปลายเตียงโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรนับแต่ออกจากห้องตรวจ มือหนากุมมือเล็ก บีบเบา ๆ ส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยทางร่างกายให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“พี่ณัฐกลับไปก่อนได้ไหม กานต์อยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นในที่สุด ทว่าคนได้ยินอย่างณัฐธีร์กลับรู้สึกวิตกจนไม่สามารถทำตามคำขอนั้นได้

“กานต์เป็นอะไร ทำไมถึงบอกพี่ไม่ได้ ทำไมต้องขอให้พี่กลับไปก่อน” ณัฐธีร์รู้สึกหวิวในอกอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ณัฐกลับไปก่อนนะ กานต์ขอ ถือว่ากานต์ขอร้อง อย่าเพิ่งถามอะไรกานต์เลย” สีหน้าเว้าวอนราวกับจะร้องไห้นั้นยิ่งทำให้ณัฐธีร์ใจแป้ว ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาจากความรู้สึกบางอย่างที่สั่งสมในใจมาตลอด น้องน้อยดูมีลับลมคมในทำอย่างกับเขาเป็นคนอื่นไปเสียอย่างนั้น เรื่องสำคัญแค่ไหนถึงบอกพี่ชายคนนี้ไม่ได้ หรือพี่ณัฐคนนี้จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับน้องไปแล้วจริง ๆ

“หลัง ๆ มานี่เหมือนกานต์มีความลับกับพี่ตลอด กานต์เปลี่ยนไปนะ หรือพี่กลายเป็นคนอื่นสำหรับกานต์ไปแล้ว” น้ำเสียงณัฐธีร์สั่นเครือคล้ายจะตัดพ้อกลาย ๆ ไม่ได้มีเจตนาคาดคั้นอะไร สีหน้าเจ็บปวดที่เคยซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดปะทุออกมาอย่างอดรนทนเก็บเอาไว้ต่อไปไม่ไหว อันที่จริงแล้วระยะหลังมานี่ เขารู้สึกระแคะระคายกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวรพีกานต์ตลอด เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา

เขารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ มีเพื่อนเขาบางคนเคยเห็นแล้วนำมาบอกเล่าเก้าสิบ มีรูปยืนยันชัดเจน แต่ในเมื่อรพีกานต์ไม่พูด เขาเองก็เลือกที่จะเป็นไอ้งั่งปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อที่จะไม่ต้องสูญเสีย เขายอมทุกอย่าง ยอม...เป็นคนโง่งม

“พี่ณัฐ...” รพีกานต์เสียงสั่น แผ่วหวิวลงในตอนท้าย ดวงตาเอ่อคลอสบตากับนัยน์ตาแดงก่ำของพี่ชาย หัวใจปริฉีกบีบคั้นหนักหน่วง แต่เล็กจนโตตั้งแต่ได้รู้จักกัน ไม่เคยสักครั้งที่เห็นพี่ร้องไห้ แต่ตอนนี้ ดวงตาแดงก่ำแม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ความรู้สึกก็บอกรพีกานต์ได้ดีว่า “พี่ณัฐกำลังร้องไห้”

“กานต์...” น้ำเสียงสั่นไหวขาดห้วง หัวใจสั่นไหวรุนแรงสั่นสะท้านในอก รพีกานต์จ้องตากับณัฐธีร์ด้วยความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก นาทีวัดใจ ระหว่างพูดออกไปกับเก็บงำเอาไว้ อย่างไหนจะดีกว่า

“ไม่เป็นไร พี่จะกลับก่อนก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วกานต์ไม่สบาย ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไม่ได้หรือ พี่นอนโซฟาข้างนอกก็ได้ ไม่รบกวนกานต์หรอก แค่อยากให้รู้ว่าห่วง แต่...พี่กลับดีกว่า”...ไม่มีพี่ กานต์ก็มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ณัฐธีร์ตัดบท จำใจกลืนก้อนสะอื้นกับคำพูดประโยคสุดท้ายลงคอพลางบ่ายหน้าเดินกลับไปที่ประตู ข้างหลังประตูนั่น ใครอีกคนคงรอที่จะเข้ามาหาน้องน้อยของเขา ไม่สิ กานต์ไม่ใช่น้องน้อยของเขาอีกแล้ว เมื่อใดหนอที่หัวใจแปรเปลี่ยน หรือที่ผ่านมาไม่เคยนึกรักกันเลย แล้วใยไม่บอกไม่กล่าว ทั้งที่เขาก็รอมาตลอดให้น้องพูด

“กานต์ท้อง” รพีกานต์โพล่งสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาในที่สุด ทนไม่ได้ที่เห็นพี่ชายคนดีหันหลังให้กันแบบนี้ รู้ตัวว่าเลว ความเจ็บช้ำที่ได้รับมันก็สาสมกันแล้ว พี่ณัฐจะดุด่าว่ากล่าวกันอย่างไรก็ยอม แต่จะไม่โกหกพี่ชายอีกแล้ว

“ฮึก...กานต์ท้อง ได้ยินไหม กานต์เลว กานต์ทรยศหักหลังความไว้ใจของพี่ณัฐ ฮึก ฮือ...” น้ำตาที่เคยเหือดหายไปเดือนกว่า ๆ ไหลบ่าทะลักทลายลงอีกหน ณัฐธีร์ตะลึงงัน อ้าปากค้างเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกบาล รวดเร็วจนแทบหยุดหายใจ เลือดในกายเย็นเฉียบฉับพลัน ทั้งร่างชาดิกตรึงนิ่งไม่กระดุกกระดิกกับสิ่งที่ได้ยิน

กานต์ท้อง!

ท้อง!

!!

เหมือนเวลาหยุดหมุน นาฬิกาทุกเรือนบนโลกพร้อมใจกันหยุดเดิน ณัฐธีร์ยืนนิ่งเหมือนลอยคว้างอยู่ท่ามกลางอวกาศ สมองตื้อขาวโพลนเหมือนแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า นี่เขากำลังเผชิญอยู่กับความฝันหรือความจริงกัน ยินเสียงสะอึกสะอื้นฮักของร่างข้างหลัง คนที่เขารักและมอบดวงใจทั้งหมดให้ไป

“กานต์...ท้อง...” ณัฐธีร์ทวนคำด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ ร่างแข็งทื่อหันกลับมามองน้องน้อยเต็มตาเพื่อยืนยันในสิ่งที่ได้ยิน

“เขาทิ้งกานต์ไปแล้ว” อีกประโยคที่ผ่านลำคอออกมาก็ไม่ต่างจากเอาค้อนมาทุบหัวณัฐธีร์ รพีกานต์ก้มหน้ากอดตัวเองสะอื้นตัวโยน

“กานต์ยังมีพี่” ณัฐธีร์เอ่ยเสียงสั่นพลางขยับตัวปราดเข้าไปหา อุ้งมือสั่นเทาไม่ต่างกุมมือสั่นเทาของน้องเอาไว้มั่น รพีกานต์เหมือนดวงแก้วล้ำค่าที่แตกละเอียดย่อยยับลง และถูกเหยียบย่ำซ้ำจนแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดีไปเสียแล้ว และณัฐธีร์ก็พยายามกอบเศษแก้วนั้นให้หลอมรวมเป็นแก้วดวงเก่า นอกจากจะไม่สัมฤทธิ์ผล เศษของแก้วยังบาดลึกไปถึงหัวใจของเขาจนเป็นแผลเหวอะฉกรรจ์ หากมองเป็นรูปธรรมคือเหวอะจนโลหิตอาบพลั่ก ๆ ท่วมท้นดวงใจบอบช้ำ ณัฐธีร์เจ็บจนชา เนื้อตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกขวัญเสีย น้ำตาสักหยดก็ไม่มีไหล สมองตื้อเหมือนโลกทั้งใบพังครืนถล่มลงใส่หน้าชนิดตั้งตัวไม่ติด แข้งขาอ่อนแรงลงจนแทบทรุดฮวบทว่าหัวใจยังดื้อดึง กุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย ช่างปะไร ถึงแก้วดวงเก่าจะแตกเป็นเสี่ยงไปแล้วไม่ต่างจากหัวใจของเขา แต่ณัฐธีร์จะหลอมขึ้นใหม่ เป็นแก้วดวงเดิมด้วยความรักของเขา

“พี่จะรับเป็นพ่อของลูกกานต์เอง” เอ่ยคล้ายสติไม่สมประดี ทั้งที่รู้ตัวทุกขณะจิต

“กานต์เหมือนแก้วที่แตกไปแล้ว ไม่มีทางเหมือนเดิม และพี่ชายก็ไม่ควรต้องมาแบกรับแทน” น้องน้อยบอกพี่ชายน้ำตาไหลอาบ แผลเก่ากลัดหนองปริฉีกอีกหนจากร่องรอยจารที่คนใจร้ายทิ้งไว้ให้ ตัดเยื่อไม่ขาดใย กลับกลายเป็นมีสายใยเล็ก ๆ ถือกำเนิดขึ้นในกาย

“แตกก็แตกไป พี่จะเอามาหลอมใหม่” ณัฐธีร์ดื้อดึง รั้งตัวบางเข้ามากอดแนบแน่นอย่างกลัวหลุดหาย น้ำตาทะลักราวเขื่อนทำนบแตก เขายอมปิดหูปิดตาดื้อดึงแต่จะไม่ยอมเสียรพีกานต์ไป แสงตะวันฉายฉานที่เคยส่องสว่างเรื่อรองให้ชีวิตมีความหวัง จู่ ๆ ก็ดับพรึบ ณัฐธีร์มืดมนอับจนแสงสว่าง เหมือนคนจมน้ำสำลัก หาทางตะเกียกตะกายอยู่ในแอ่งน้ำวน

“พี่ณัฐทำอย่างนั้นไม่ได้” รพีกานต์เหมือนหัวใจถูกบีบคั้นอย่างหนักหน่วง ตัวเองเจ็บปวดแล้วยังต้องมาทนเห็นพี่ชายแสนดีทุรนทุรายเหมือนถูกน้ำกรดราดรด

“พี่ไม่ยอม” ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงพื้นคุกเข่าต่อหน้า ใจจริงณัฐธีร์อยากมัดล่ามน้องน้อยไม่ให้ออกไปไหนเสียด้วยซ้ำ ด้วยกลัวน้องจะหนีหายไปจากเขา แต่ก็ใจไม่แข็งพอ แค่คิดว่าเชือกหยาบจะบาดผิว โซ่แข็งจะเสียดสีจนน้องเจ็บ เขาก็ทำไม่ลง นอกจากใช้วงแขนกับหัวใจพัง ๆ รั้งน้องเอาไว้ ณัฐธีร์กอดเอวบางซุกหน้าอย่างดื้อดึง น้ำตาทะลักราวเขื่อนแตก หัวใจบีบรัดเจ็บปวดเหมือนใจจะขาด จะตายลงเสียให้ได้ แต่จะไม่ยอม ต่อให้ต้องตายลงแทบเท้า เขาก็จะไม่ยอมเสียน้องไป ราคีใดแปดเปื้อนมันก็ไม่อาจแปดเปื้อนความรักของเขา ยังรักเหมือนเก่า และจะรักมากกว่าเก่า เผื่อแผ่ไปยังชีวิตน้อย ๆ ในอุทร สิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของรพีกานต์ เขารักได้หมดโดยไม่มีเงื่อนไข ความรักของเขาไม่เคยมีเงื่อนไข ฆ่ากันเสียเถิด หากจะต้องสูญเสียหัวใจเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ไป

“ได้โปรด อย่ามองพี่ด้วยสายตาเวทนาอย่างนั้น อย่ามองเหมือนกับว่ากานต์จะทิ้งพี่ไป เดี๋ยวพี่ก็เรียนจบ ตอนนั้นกานต์คงคลอดพอดี พี่จะรีบหางานทำเลี้ยงกานต์กับลูกเองนะ” ณัฐธีร์น้ำตาไหลอาบ ละล่ำละลักกุมมือน้องน้อย มืออุ่นสั่นสะท้านไปถึงหัวใจรพีกานต์ น้องเหมือนคนบาปหนักหยาบช้า ที่ทำร้ายหัวใจคนแสนดีเสียสาหัสสากรรจ์ น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงเผาะ ปวดใจกว่าถูกอัครวินท์เฉดหัวทิ้งไม่ใยดี ก็ตรงที่ได้เห็นน้ำตาพี่ชาย รพีกานต์ทรุดลงนั่งเสมอพี่ สองมือประนมก้มลงกราบแนบตักด้วยความรู้สึกผิดเต็มหน่วยอย่างเกินให้อภัยตัว น้ำตาได้ชะล้างอาการหน้ามืดตามัวจากความลุ่มหลงครอบงำแล้ว ที่เหลือคือเห็นชัดเจนในหัวใจคน

“กานต์ขอโทษ แต่กานต์ให้พี่ณัฐรับผิดชอบไม่ได้” รพีกานต์สะอื้นฮักตัวสั่นเทา เอ่ยปากขอโทษทั้งน้ำตาอาบ พิกุลดอกน้อยถูกขยี้จนแหลกเละ เมื่อความดีของพี่ไม่อาจรักษาน้องน้อยเอาไว้ได้...

“ไม่! กานต์อย่าพูดอย่างนี้ พี่จะไม่ยอมเสียกานต์ไป พี่รักกานต์! แล้วพี่ก็พร้อมจะรักลูกของกานต์ด้วย กานต์ไม่ต้องห่วง เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะอย่างนั้น กานต์อย่ากังวลไปเลยว่าพี่จะรังเกียจแก นะกานต์นะ ให้พี่เป็นพ่อของลูกกานต์” ณัฐธีร์กระชับต้นแขนน้องเขย่าเบา ๆ ส่งสายตาวิงวอน รพีกานต์มองพี่ชายน้ำหูน้ำตาไหล เออหนอ คนไม่ได้ทำกลับพยายามจะรับผิดชอบ แต่คนที่ทำ เจ็บป่วยอยู่โรงหมอก็ไม่เคยแวะเวียนมาหา

“พี่ณัฐไม่ได้ทำ กานต์จะให้พี่รับผิดชอบได้ยังไง พี่ควรจะโกรธกานต์ เกลียดกานต์ ดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ได้ให้สาสมกับสิ่งที่กานต์ทำ ฮือ พี่ณัฐดุกานต์ซี ดุกานต์ ด่าว่ายังไงก็ได้ ฮึก!” รพีกานต์ตีอกชกลมตัวเองด้วยความคับแค้นใจ โกรธเกลียดตัวเองที่กลายเป็นแบบนี้ จะบอกกับพ่อได้อย่างไร แล้วอนาคตอีกเล่า ทุกอย่างพังครืนลงในพริบตานับแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ สุดท้ายตนเองก็ไม่ต่างจากลูกทรพีเนรคุณที่หาเหตุให้บุพการีต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

“กานต์อย่าทำร้ายตัวเอง” ณัฐธีร์ยื้อกำปั้นที่กำลังทุบตีตัวเองของรพีกานต์ ถึงเขาจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ต้องการเห็นน้องน้อยทำร้ายตัวเอง

“พี่ไม่เคยโกรธหรือเกลียดกานต์ ที่ผ่านเป็นยังไงจากนี้พี่ก็จะเป็นเหมือนเก่า รักกานต์เหมือนเก่า เรามาเริ่มกันใหม่นะกานต์นะ กานต์ไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร พี่จะคอยดูแลกานต์และลูกเอง นะกานต์ พี่ขอร้อง” ณัฐธีร์อ้อนวอน นอกจากจะไม่ดุด่าว่ากล่าวให้ระคาย น้ำใจพี่ชายยังเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและปรารถนาดีจนรพีกานต์ยิ่งละอายแก่ใจ

“พี่ณัฐทำอย่างนี้ กานต์ก็ยิ่งละอายใจ พี่ณัฐยังมีโอกาสได้เจอคนดี ๆ อีกมาก อย่าเอาอนาคตมาผูกไว้กับกานต์เลยนะ”

“ไม่! ไม่เอา! พี่ไม่เอาใครทั้งนั้น! พี่รักกานต์ พี่ต้องการแค่กานต์ แค่กานต์คนเดียว กานต์จะเป็นยังไงพี่ก็รัก” ณัฐธีร์ส่ายหน้าหวือไม่ยินยอม มือรั้งร่างเล็กเข้ามากอดจมอกร้องไห้โฮ สองร่างสั่นระริก หัวใจสั่นสะท้านไหวอย่างรุนแรงราวกับจะปริฉีก ต่างฝ่ายต่างฟูมฟายปริ่มใจจะขาดไปด้วยกันในค่ำคืนอันยาวนาน

รักเอย...
ยามรักหอมหวานปานมธุรสเดือนห้า
ยามเจ็บช้ำร้าวระทมประหนึ่งดื่มน้ำผึ้งขม




ภายในห้องสี่เหลี่ยมของโรงพยาบาลอวลไปด้วยบรรยากาศความคุ้นเคยกันระหว่างแพทย์และผู้มารับการตรวจ รพินทร์มาตรวจสุขภาพประจำปีที่นี่ทุกปี และแพทย์ผู้ตรวจก็เป็นรุ่นพี่ที่คุ้นเคยกันมานาน การมาตรวจสุขภาพจึงเหมือนมาเยี่ยมเยียนกันเสียมากกว่า

“ปกติดีไหมพี่อาจ” รพินทร์เอ่ยถาม นายแพทย์องอาจ หัสดินเทวา มองใบหน้าผ่องใสของหนุ่มรุ่นน้องก่อนเอ่ยปาก

“พินทร์ใจเย็น ๆ นะ คือ...พี่จะบอกว่า ตรวจพบเชื้อมะเร็งในตัวพินทร์”

........................................



*คนเราเมื่อรักมาก ย่อมเสียดายมาก ถ้าไม่อยากเสียดายมาก ก็อย่าไปรักอะไรให้มันมากนัก ถ้าจะรักต้องให้รู้ว่า เป็นกรวดรึว่าเพชร ถ้ารู้ค่าของมันเสียแล้วว่าเป็นกรวดรึว่าเพชร เมื่อมันไปหาย ก็ไม่เสียดายมากนัก
จากวรรณคดี สี่แผ่นดิน ของ ศาสตราจารย์ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

 :hao3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ฮือออ พ่อรินทร์ก็ป่วย น้องกานต์ก็ท้องอีก
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ น้องแมว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกน้ำตาจะไหลตาม   ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย   อีพระเอกบ้า ฉันแบนแก 2 วิ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออออ.  อีวินมันเลวจริงๆ สงสารกานต์มากๆเลย พ่อยังป่วยอีก

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
จะรอดูว่ากานต์จะทำให้ณัฐเสียใจอีกไหม :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อ่านตอนนี้แล้ว สงสารณัฐมาก ตัดใจออกจากกานต์เถอะ ยังไงกานต์ก็รักได้แค่พี่ชายมากกว่านี้คงไม่ได้  ณัฐหาเมียใหม่เถอะ ให้กานต์ไปตามทางของเขาเถอะ อีกหน่อยรพินทร์ก็จะตายเพราะเป็นมะเร็งล่ะ ต่อไปก็คงเป็นเรื่องของกานต์คนเดียวเต็มๆ
 รอ รอ อ่านตอนต่อไปคับ ลุ้นว่ากานต์จะจบที่พี่วินหรือมีคนใหม่มีครอบครัวใหม่

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชักจะชุลมุนล้าววววว

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เมื่อไหร่ดราม่าจะผ่านไป

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โธ่เอ๋ยคุณพ่อ  อะไรจะรันทดขนาดนี้   ชีวิตนี้ได้เคยเจอความสุขบ้างหรือเปล่านะ
มีแฟนก็โดนทิ้ง มามีลูกก็พอมีความสุขบ้างก็มาเจอมารจากตระกูลนั้นมาระรานเหยียบย่ำ  นี่ลูกกำลังจะมีหลานก็มาป่วย

เราไม่อยากเชื่อว่าอิวินมันจะเป็นพระเอกนะ   ส่วนณัฐนั้นความรักนานๆไปก็ต้องรู้ตัวเองว่าจะได้อยู่ตรงจุดไหน   

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอยยยยย... กานต์ยอมให้พี่ณัฐเป็นพ่อเถอะนะ

ส่วนรพินทร์ ตกใจแรง.. ฮรืออ.. คนเขียนใจร้ายเขารักคุณพ่อ

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :z6: อยากกระโดดถีบอิพี่วินและพ้องเพื่อนสักพันครั้ง

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สงสารณัฐมากกว่ากานต์อีก
รู้ทั้งรู้ว่า ยังมีมดลูกอยู่ ไม่ระวังตัวเลย
แถมยังผลักไสคนที่ดีกับตัวเองอีก พ่อก็เป็นมะเร็งอีก ดราม่าหนัก

ออฟไลน์ question09

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-10
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

ชีวิตสุดรันทด น่าสงสารอ่ะ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เคราะห์กรรมซ้ำซัด.....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pawara123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอยยย อะไรจะซวยซ้ำ ซวยซ้อนขนาดน้าน หน่วงหัวจิตหัวใจคนอ่านมากจร้า  เห้อ ค่อยมาติดตามต่อตอนต่อไป รอไม่ไหวแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ meanmena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
หน่วงงงงงงงง คำเดียวเลยหน่วงงงงง

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
เสน่หา...รักเอย ตอน ๑๗

คือน้ำผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ
คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
คือเกสร ดอกไม้ คือไฟรุม
คือความกลุ้ม คือความฝัน นั่นแหละรัก
(ผลงานประพันธ์โดย รยงค์ เวนุรักษ์)

“มะเร็ง!”
รพินทร์หัวใจร่วงวูบด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตาขยายกว้าง ปากซีดสั่นระริกหลุดเสียงอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เลือดในกายเย็นเฉียบ ด้วยรู้ดีถึงความร้ายกาจของโรคมะเร็งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโรคเอดส์เสียอีก ภาพใบหน้าลูกรักผุดวาบขึ้นในใจให้วูบโหวง
“พินทร์ใจเย็น ๆ ก่อน ที่ตรวจเจอนี่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะแรกเริ่ม ยังมีโอกาสขาดหาย นับว่าโชคดีที่พินทร์มาตรวจสุขภาพประจำปีไม่ได้ขาด”
นายแพทย์เจ้าของไข้รีบบอกปรามดึงสติก่อนรพินทร์จะเผลอตกใจจนเพริดไปไกล ทั้งคู่พูดคุยเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการรักษาจนแจ้งใจดีแล้ว รพินทร์จึงกลับมาที่บ้าน ร่างสูงปิดประตูห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางนิ่งคิด แม้จะใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุไม่คาดฝันที่บางครั้งเราก็คาดไม่ถึง แม้จะระมัดระวังดีแล้ว ก็ยังมีความประมาทของผู้อื่นที่อาจพลาดมาทำลายชีวิตเรา

ชีวิตไม่มีความแน่นอนอะไรสักอย่าง และความไม่แน่นอนนั้นคือสัจธรรมที่จริงแท้อย่างที่สุด

รพินทร์ปลงพลางคิดถึงลูก ร่างโปร่งลุกจากเตียง มือไขเปิดลิ้นชักหยิบโฉนดที่ดินและสมุดบัญชีเงินฝากออกมาดูอย่างครุ่นคิด ที่ดินหลายแปลงทั้งเชียงใหม่ ปากช่อง จันทบุรี และที่นี่ รพินทร์เป็นทั้งเจ้าของโรงเรียน และทำธุรกิจโรงงานน้ำพริกและเครื่องแกงต่าง ๆ ผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตอนนี้กำลังขยายการผลิต ผลิตอาหารไทยจำพวกแกงกะทิสูตรตำรับชาววังเก่าสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องส่งออก นอกจากนั้นยังมีรายได้จากทางอื่นอย่าง ค่าเช่าแผงขายของในตลาด ค่าเช่าตึกแถว  อะพาร์ตเมนต์ ร้านอาหารริมน้ำ รายรับแต่ละเดือนรวมแล้วไม่น้อย ยังมีมรดกตกทอดจำพวกเครื่องเพชรเครื่องทองในตู้เซฟที่จะกลายเป็นของรพีกานต์ในอนาคตอีก รพินทร์ดูบัญชีทรัพย์สินแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

เจ้ากานต์น้อยของพ่อวัยกำดัดเพียงสิบแปดปีกับทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ลูกเอ๋ย สินทรัพย์มากมายเหล่านี้จะสร้างสุขหรือทุกข์ให้เจ้ากันหนอยามที่ไม่มีพ่อ ด้วยว่าทรัพย์นั้น หากมีน้อยก็ย่อมเป็นบ่อนให้คนขวนขวายอยากหามาครอบครองให้มาก ทั้งโดยสุจริตก็ดี ทุจริตก็ดี หากครั้นมีมากเกิน ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ภัยได้เช่นกัน ตระหนักถึงจุดนี้แล้วรพินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกหน

“กานต์ของพ่อ”
รพินทร์สูดหายใจลึกอย่างใช้สติ เขายังมีญาติพี่น้องที่พึ่งพากันได้ บวรกิตติ์วิวัฒน์สืบเชื้อสายผู้ดีเก่าและข้าราชการน้ำดีเก่าแก่ กุลบุตรทุกผู้ล้วนได้รับการอบรมเพาะบ่มนิสัยให้เติบโตมาด้วยคุณธรรม และละอายต่อการประพฤติชั่ว พี่ชายคนโตของรพินทร์เป็นผู้พิพากษา พี่ชายคนรองเป็นนักการทูต ตอนนี้ประจำการอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ พี่ชายคนที่สามเป็นแพทย์เจ้าของโรงพยาบาล และรพินทร์น้องสุดท้องเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่นี่ รพินทร์จรดปากกาลิขิตพินัยกรรม แล้วเสร็จจึงจัดการติดต่อทนายความประจำตระกูล พูดคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยก็เบาใจไปมากโข

“คงต้องชวนน้องกานต์ไปเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เสียหน่อยแล้ว”
รพินทร์หมายมั่นฝากฝัง หลังจากตรึกตรองดีแล้ว บรรดาพี่น้องต่างก็แต่งงานมีครอบครัว มีทายาทลูกหลานสายเลือดแท้ให้ปู่ย่าได้ชื่นใจ แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความผิดแผกต่อรพีกานต์ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ รพินทร์จึงไม่ค่อยได้พาลูกไปเยี่ยมปู่ย่าบ่อยนัก

 “เอาเถอะ พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ถึงไม่ตายวันตายพรุ่ง แต่เตรียมไว้ก่อนดีที่สุด”
รพินทร์ยกยิ้มอย่างเบาใจ ที่เหลือก็แค่ตัวเขาเองที่ต้องเรียกกำลังใจให้ตนเองต่อสู้กับโรคร้ายนี้เพื่อลูกและตัวเอง รพินทร์ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ลูกยังต้องการเขา และเขาก็ยังอยากอยู่กับลูกไปนาน ๆ



“พี่ณัฐ กานต์แค่ท้องนะครับ ไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย”
คนตัวเล็กหน้าบูดบู้บี้เล็กน้อยขณะใช้สายตาขึงดุจ้องปรามพี่ชาย ณัฐธีร์ยิ้มแหยลดมือที่ตักข้าวจ่อปากเพื่อป้อนลง ปล่อยให้น้องน้อยได้ตักกินเอง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ณัฐธีร์หันไปหาผลไม้ หยิบส้มมาปอกเปลือกไว้รอ รพีกานต์กินข้าวเสร็จก็รีบแย่งจานเอาไปล้างให้ จนคนท้องอ่อนอกอ่อนใจกับคนเอาใจกันจนเกินเหตุ พอรู้ว่าน้องท้อง ณัฐธีร์ก็ประคบประหงมจนแทบอุ้มไปส่งเข้าห้องเรียน อาหารการกินซื้อมาบำรุงคนท้องไม่ได้ขาด น้องน้อยติดจะหงุดหงิดบ้างในบางครั้งตามประสาคนท้อง พี่ชายก็ยิ้มสู้ท่าเดียวจนคนท้องสงบลงเอง ด้วยเห็นรอยยิ้มหมาน้อยแล้วอาละวาดไม่ลง

“ช่วงนี้แพ้หนักไหม”
 ณัฐธีร์เอ่ยถามขณะส่งนมกล่องเจาะใส่หลอดแล้วเรียบร้อยยื่นให้

“ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ พอนั่งเรียนรู้เรื่อง”
รพีกานต์นั่งพิงโซฟา หลายวันมานี่ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มมีอาการทั้งง่วงนอนและหิวบ่อย กินจุบจิบอยู่ตลอด พี่ชายคนดีก็ซื้อของกินมาบำรุงไม่ได้ขาดจนรพีกานต์นึกเกรงใจ เพราะเงินทองของพี่หามาด้วยความยากลำบาก ต่างจากรพีกานต์ที่มีบริบูรณ์จนเกินพอ จนน้องน้อยเริ่มปั้นหน้าบึ้งตึงพี่ชายถึงหยุดควักเงินตัวเองซื้อ

“พี่อยากแพ้แทน กานต์จะได้ไม่ทรมานแบบนี้”
ณัฐธีร์ทรุดลงนั่งราบข้างโซฟา ขยับศีรษะหนุนปุบนตักพลางหันหน้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่หน้าท้องแบนราบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความรักใคร่เต็มเปี่ยม

“ตัวเล็กอย่ารังแกคุณแม่นักนะครับ พ่อณัฐรักหนูนะ”
ตู่ว่าเป็นลูกตัวเองหน้าตาเฉย ณัฐธีร์สวมกอดเอวเล็กเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาปิดลงพลางซุกหน้าเข้าหาราวกับจะสื่อสารให้เด็กในท้องได้รับรู้ถึงความรักแสนบริสุทธ์เต็มเปี่ยมที่มีให้ รพีกานต์หลุบสายตาลงมองคนดื้อเงียบแล้วก็ได้แต่สะท้อนในใจถึงความดีงามของอีกฝ่าย หัวใจอ่อนยวบปวดหนึบในอกด้วยความสงสาร

“เพิ่งจะเดือนกว่า เด็กคงยังไม่รับรู้หรอกมั้งครับ”
รพีกานต์เปรยขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล มือเรียวลูบศีรษะพี่ชายแผ่วเบา สัมผัสกับเส้นผมนุ่ม ก่อนจะถูกฉวยไปแตะจุมพิตอ่อนหวานละมุน คลอเคลียปลายจมูกโด่งคมสันอ้อยอิ่งกับฝ่ามือนิ่ม จวบจนพอใจแล้วจึงเลื่อนไปวางแนบลงบนแก้มอย่างรักใคร่นักหนา
 
“พี่ลองเสิร์ชดูในเน็ต อายุครรภ์สองสามเดือน สมองของเด็กก็เริ่มทำงาน รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้ว เพราะอย่างนั้น พี่จะคุยกับลูกบ่อย ๆ”
ณัฐธีร์ย้ำหนักแน่นว่าเจ้าตัวเล็กเป็นลูกตัวเอง รพีกานต์เคยทัดทานแล้วแต่ก็ไร้ผล ดูเอาเถิด คนดีก็ดีเสียจนสิ่งเลวร้ายแผ้วพานอย่างไร หัวใจก็ยังผ่องแผ้ว แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่เคยจะขึ้งโกรธเอื้อนเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนเชือดเฉือนให้น้องรู้สึกแย่ รพีกานต์ละอายแก่ใจนัก เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่พี่ณัฐก็ยังยินยอมที่จะเอากระดูกมาแขวนคอตัวเอง

“พี่ณัฐ คือ...”

“เอ...ตั้งชื่อว่าอะไรดีน้า ลุ้นจังว่าลูกพ่อณัฐคนนี้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เดี๋ยวพี่ไปขอให้หลวงตาตั้งชื่อให้เนอะ ชื่อเล่นเราช่วยกันตั้ง ถ้ากานต์แพ้ ต้องบอกพี่นะ”
ณัฐธีร์ชิงตัดบทเสียก่อนที่รพีกานต์จะทันได้พูดจบ ใบหน้าปริ่มสุขคุยจ้อเสียยืดยาว วาดภาพเด็กเล็ก ๆ ในอ้อมแขนตัวเอง เขารักของเขา เทิดทูนบูชาด้วยหัวใจ รพีกานต์เป็นดั่งดวงแก้วล้ำค่า แม้จะเจอมรสุมมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้สั่นคลอนหัวใจของเขาที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยน

 “ให้คนที่ทำแพ้แทนเถอะครับ เอาให้หนัก ๆ ตื่นมาคารวะชักโครกทุกเช้า หน้าทิ่มลงชักโครมไปเลย”
เมื่อพี่ไม่อยากฟัง รพีกานต์ก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่พี่วาดฝัน น้ำเสียงเข่นเขี้ยวฉุนเฉียวเล็ก ๆ ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด ตาเริ่มปรือ

“พี่ณัฐ กานต์ของีบหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะตื่นมาอ่านหนังสือ”
คนตัวเล็กกว่าบอกพี่ชาย ณัฐธีร์ลุกจากตักพาไปส่งเข้าห้อง ห่มผ้าห่มให้พร้อม ดวงตาอ่อนโยนทอดมองลึกซึ้ง ก่อนโน้มใบหน้าลงแตะจูบแผ่วเบาที่หน้าผากมนและหน้าท้อง เผื่อแผ่ไปยังตัวเล็กที่ชวนแม่นอน

“งั้นเดี๋ยวพี่จะอ่านหนังสือรอนะครับ”
รพีกานต์พยักหน้าเข้าใจ จวบจนพี่ชายออกจากห้องไปแล้ว ความกังวลที่เก็บงำไว้จึงฉายชัดบนใบหน้า วันหยุดที่จะถึงนี้ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อเพื่อสารภาพในสิ่งที่เกิดขึ้น

“พ่อครับ กานต์ขอโทษ กานต์จะทำยังไงดี”
รพีกานต์หวาดวิตกไม่น้อย ด้วยรู้ตัวว่ากำลังทำให้บุพการีผิดหวัง ใครเลยจะคิดว่าตนเองจะท้องได้ เป็นความผิดพลาดที่คิดไม่ถึงมาก่อนจริง ๆ


ในขณะที่รพีกานต์กำลังตกที่นั่งลำบาก อีกด้านอัครวินท์ซึ่งกำลังฟอนเฟ้นลูบไล้เรือนกายนุ่มนิ่มของหญิงสาว จู่ ๆ ก็รู้สึกฉุนกึกจนแทบผงะ คันจมูกยุบยับ ก่อนบ่ายหน้าผละออกมาจามเสียงดังลั่น

“ฮัดเช้ย!”

“พี่วินเป็นอะไรไปคะ”
สาวน้อยถามอย่างฉงนปนอารมณ์ค้างหน่อย ๆ เมื่อจู่ ๆ อัครวินท์ก็ผละออกดื้อ ๆ แถมคว้าหลอดยาดมของหล่อนที่หล่นอยู่แถวโซฟาเอามาเปิดฝาออกสูดฟืด ๆ เหมือนคนจะเป็นลม อัครวินท์รู้สึกเวียนศีรษะอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกคลื่นเหียน พะอืดพะอม จนนึกอยากอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก

“พี่เวียนหัว อุก! ถอยออกไปก่อน อย่าเข้ามาใกล้ พี่เหม็นน้ำหอมเธอชะมัด ใช้ยี่ห้ออะไรเนี่ย ไอ้ที่ซื้อให้ทำไมไม่ใช้ ไปอาบน้ำใหม่เลยนะ เหม็นอย่างกับหมาเน่า”
อัครวินท์โพล่งอย่างไม่เกรงใจ หัวคิ้วขมวดชนกัน มือไม้โบกไล่วุ่นวาย ทั้งบ่ายหน้าหนี ส่ายหน้ารับไม่ได้กับกลิ่นฉุนกึกที่ผ่านเข้าจมูกพานให้นึกคลื่นเหียน

“เอ๊ะ อะไรเนี่ยพี่วิน! ก็ยี่ห้อนี้ พี่วินเป็นคนซื้อให้เองนี่คะ แถมก่อนซื้อเรายังช่วยกันเทสต์เลือกกลิ่นด้วยกัน พี่เองนั่นแหละ ไม่สบายแล้วพาล”
หญิงสาวที่ได้ยินถ้อยคำบริภาษก็นึกฉุน เริ่มมีน้ำโหจนแหวเข้าให้บ้าง มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าหล่อนเหม็นเหมือนหมาเน่าตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม

“พี่กลับก่อนละ”
คนเอาแต่ใจตัวหงุดหงิดจนผละหนีออกมาดื้อ ๆ เมื่อประตูห้องปิดลงจึงค่อยหายใจโล่ง

“เป็นห่าอะไรวะ เข้าใกล้ผู้หญิงแล้วอยากอ้วกเนี่ย”
เสือหื่นสบถอย่างหัวเสีย สาวน้อยที่เพิ่งจากมาไม่ใช่รายแรก เมื่อคืนออกท่องราตรีก็เป็นลักษณะนี้ สาวสวย ๆ ที่โฉบเข้ามาหา อัครวินท์เป็นต้องผงะหนีทุกรายไป คนหาที่ระบายไม่ได้งุ่นง่านหมดอารมณ์จะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อ จึงหันหัวรถเลี้ยวกลับบ้าน
ร่างสูงสมาร์ตเปิดประตูลงจากรถ กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าบ้านพลันสายตาเหลือบไปเห็นมารดาที่สวนนั่งเล่น จึงเปลี่ยนทิศทางสาวเท้าเลี้ยวไปอีกทาง

“สงสัยวันนี้พายุจะเข้า ลูกชายแม่กลับบ้านแต่หัววัน”
ผดาชไมเอ่ยทักบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน พลางยกชากุหลาบในถ้วยเซรามิกเนื้อเคลือบอย่างดีขึ้นจิบ

“เบื่อ ๆ น่ะครับคุณแม่ อยู่ใกล้สาว ๆ แล้วเวียนหัว”
อัครวินท์ถอนหายใจเฮือก ทิ้งกายลงนั่งแรง ๆ บนเก้าสนามแบบเหล็กดัด มือหยิบคุกกี้ในจานส่งเข้าปากส่ง ๆ

“หือ มีแบบนี้ด้วยหรือ วินนี่นะ เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้”
ผดาชไมเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยอัครวินท์นั้นตั้งแต่เล็กจนโต ความที่ฉายแววหล่อจัดแต่เด็ก แถมยังช่างพูดช่างออดอ้อนฉอเลาะ ประจบผู้ใหญ่เก่งเป็นที่สุด ทั้งปู่ย่า พี่เลี้ยง แม่บ้าน ยันสาวใช้ต่างตกหลุมพรางความน่ารัก พากันโอ๋เอาใจนายน้อยของบ้านกันเป็นแถบ ๆ พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่มโตขึ้นหน่อยพ่อตัวดีก็มีสาว ๆ มาคอยมะรุมมะตุ้มจนแทบตีกัน  จู่ ๆ อัครวินท์มาบอกว่าเข้าใกล้สาว ๆ แล้วเวียนศีรษะ ผดาชไมได้ยินแล้วออกจะประหลาดใจไม่น้อย

“แล้วคุยกับแม่มีอาการอะไรไหม” อัครวินท์ส่ายหน้าเนือย ๆ แทนคำตอบ

 “กับคุณแม่ วินก็เฉย ๆ นะครับ สงสัยวินจะไม่ถูกกับน้ำหอมที่พวกนั้นใช้น่ะครับ”
อัครวินท์บอกก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นถุงบรรจุบางอย่างสีเขียวที่สาวใช้หิ้วผ่านหน้าไป จึงอดร้องถามไม่ได้

“ถุงอะไรน่ะพี่เปิ้ล”

“ตะลิงปลิงค่ะคุณวิน ซื้อมาจากตลาด คุณวินจะรับซักหน่อยไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลล้างน้ำแล้วจัดใส่จานมาให้ลองชิม”

“หน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยเห็น รสชาติเป็นยังไงหรือครับ” อัครวินท์ทำหน้าแหยงเล็ก ๆ แต่ก็ยังไม่ละสายตา

“รสเปรี้ยวมากค่ะคุณวิน เปรี้ยวปรี๊ด จี๊ดใจสุดๆ”
หล่อนหลับตาปี๋ ลากเสียงยาวประกอบคำบรรยายสรรพคุณความเปรี้ยวแบบสุดฤทธิ์สุดเดชเสียจนคนฟังน้ำลายสอ เผลอกลืนน้ำลายตาม อยู่ ๆ ก็นึกอยากลองกินผลไม้รสเปรี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“งั้นพี่เปิ้ลจัดมาให้ผมลองชิมหน่อยแล้วกัน ขอบคุณครับ”

“ได้เลยค่ะ อ้อ มีมะม่วงกับกระท้อนด้วย คุณวินสนใจไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลจัดน้ำปลาหวานให้แจ่ม ๆ”
อัครวินท์พยักหน้าหงึก สาวใช้รีบกุลีกุจอจ้ำปรูดไปจัดแจงให้ ผดาชไมยิ่งขมวดคิ้วหนักด้วยความฉงนงงงวยเข้าไปใหญ่

“ปกติวินไม่ชอบผลไม้รสเปรี้ยวนี่ลูก ทำไมวันนี้มาแปลก” ถามพลางจ้องใบหน้ามองหาความผิดปกติ

“อยู่ ๆ ก็นึกอยากกินครับ ไม่รู้ทำไม ทั้งเวียนหัว ทั้งอยากของเปรี้ยว”
อัครวินท์บอกพลางสูดยาดมที่หยิบติดมือมาด้วย เป็นภาพที่มองแล้วสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ผดาชไมไม่น้อย นั่งรอไม่นานสาว
ใช้ก็จัดผลไม้ใส่จานมาให้ อัครวินท์ฉวยตะลิงปลิงจิ้มพริกเกลือส่งเข้าปาก เคี้ยวกร้วม ๆ อย่างถูกใจ ตามด้วยมะม่วงน้ำปลาหวาน กระท้อนทรงเครื่อง ผดาชไมเห็นแล้วเสาะท้องแทน

“ระวังท้องเสียนะตาวิน กินขนาดนี้”

“อร่อยออกครับ คุณแม่ไม่สนใจบ้างหรือ”
ผดาชไมส่ายหน้า มองดูบุตรชายหยิบผลไม้กินด้วยท่าทีแช่มชื่นอย่างแปลกใจ อินทัชผ่านมาพอดีเห็นสองแม่ลูกจึงเข้ามาทัก

“โอ้โห มะม่วงน้ำปลาหวานเห็นแล้วเปรี้ยวปาก สองแม่ลูกจัดของเปรี้ยวกันเลย”
เอ่ยพลางหยิบชิ้นมะม่วงส่งเข้าปาก ผดาชไมยิ้มบางให้สามีก่อนเบนความสนใจมาที่ลูกชายตัวดีต่อ อดเปรยขึ้นลอย ๆ ไม่ได้

“คงไม่ได้ไปทำลูกสาวบ้านไหนท้อง แล้วแพ้ท้องแทนหรอกนะ ตาวิน”
ผู้เป็นมารดาตีคิ้วย่นปรารภแบบไม่คิดอะไร อัครวินท์ชะงักไปนิด ก่อนเอ่ยบอก

“วินป้องกันตลอดน่า ไม่ต้องห่วง จะมีก็แต่...” อัครวินท์ยั้งคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเผลอนึกถึงรพีกานต์

“หือ ?”

“เปล่า ๆ ไม่มีอะไรครับ”

“พ่อละกลัวยัยรินจะเจอผู้ชายแบบวินจริง ๆ วินมีน้องสาวนะลูก วินรักน้องยังไง คนในครอบครัวเขาก็รักเหมือนกัน”
อินทัชถอนหายใจเบา ๆ  ยอมรับว่าปล่อยปละให้คนในบ้านประคบประหงมตามใจลูกจนเกินพอดี

“ผมเลือกแต่คนง่าย ๆ สนุกแบบไม่ผูกมัดหรอก อีกอย่างยัยรินเห็นอย่างนั้นก็ฉลาดดูคนนะครับ”
อัครวินท์แย้งเสียงขุ่น พ่อมักมองว่าเขาทำตัวแย่อยู่เรื่อย

“พฤติกรรมของเรานี่ละ ทำให้น้องขยาดผู้ชาย เพลา ๆ บ้างเถอะวิน” อินทัชสาวต่อ ใจอยากปรามลูกบ้าง

“พอเถอะพ่อ”
อัครวินท์หมดอารมณ์กินต่อ มือตบโต๊ะปังลุกพรวดจ้ำเท้าหนี บทสนทนาระหว่างครอบครัวจึงหยุดลงแค่นั้น อินทัชเองก็กะบึงกะบอนลุกจากเก้าอี้ตรงไปที่รถ สตาร์ตเครื่องขับบึ่งออกไป ผดาชไมถอนหายใจเฮือก รามือจากนิตยสารวางปุบนโต๊ะอีกคน

“เฮ่อ! ไม่มีวันไหนจะคุยกันได้ดี ๆ เสียที”



รพินทร์จัดแจงทำอาหารไว้รอสุดฝีมือเมื่อรู้ว่าลูกจะมาหา อาหารโบราณมีทั้ง พระรามลงสรง แกงรัญจวน แสร้งว่ากุ้งแนมด้วยปลาดุกฟู ปิดท้ายด้วยยำทวาย มีลูกมือเป็นเด็กชายฉายสิริ พ่อหนูน้อยวัยหกขวบ หลานแม่บ้านที่มาขอพึ่งใบบุญ เพราะถูกแม่แท้ ๆ และพ่อเลี้ยงทำร้ายทารุณเสียสาหัส จนชาวบ้านเห็นแล้วอดเวทนาไม่ไหว ครั้นจะแจ้งตำรวจจับเสีย พ่อหนูก็ดูจะขาดที่พึ่ง จึงได้โทรศัพท์มาบอกกล่าวแก่ผู้เป็นป้า นางผอบจึงได้ไปรับตัวมาขออนุญาตรพินทร์เลี้ยงดูอยู่ชายคาเดียวกัน รพินทร์เห็นพ่อหนูครั้งแรกก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดูถูกชะตาด้วยนัก วงหน้าเล็กอ่อนใสผุดผ่องคล้ายวงจันทร์ ตาโตดำขลับแม้เจือแววเศร้าสร้อยหม่นหมองคล้ายอัญมณีมีรอยร้าว จมูก ปาก ดูเล็กกระจิริดพริ้มเพราอย่างน่ารักน่าชัง

 “หน้าตาได้เค้าแม่เสียเยอะค่ะคุณ แม่เขาสวยจัดเชียวละ ผู้ชายแทบฆ่ากันตายเพราะแย่งกันจีบ ทั้งผิวพรรณขาวผ่องลออนี่ก็ด้วย เสียดายถูกพ่อเลี้ยงทั้งซ้อมทั้งทุบตีทำร้ายจนลายพร้อยไปทั้งตัว นังแม่มันก็ไม่สนใจใยดี ตอนที่ดิฉันไปรับ เห็นแล้วแทบช็อกตาตั้ง มันกำลังจะทำบัดสีเอากับเด็ก เด็กผู้ชายมันก็ไม่เว้นค่ะคุณ เดรัจฉานในร่างคนแท้ ๆ ถ้าดิฉันไปช้ากว่านั้น ลูกเอ้ย จะเป็นยังไง”
นางผอบเสียงสั่นเครือด้วยความเวทนาหลาน มือย่นลูบตามเนื้อตัวอย่างจะเรียกขวัญ จากนั้นมา เป็นอันว่าเด็กชายฉายสิริจึงได้อยู่ในความดูแลของรพินทร์

“เดี๋ยวคงใกล้ถึงกันแล้วละ”
รพินทร์ยิ้มบางให้เจ้าของดวงตาใสแจ๋ว หนูน้อยมีพัฒนาการช้ากว่าคนอื่นแต่ก็เชื่อฟังดี มืออุ่นจูงมือเล็กไปรอลูกชายที่ศาลานั่งเล่นหน้าบ้าน รพินทร์มีหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนพ่อหนูขลุกเพลินอยู่กับสมุดภาพระบายสี นาน ๆ จึงจะหยิบขนมในขวดโหลและดื่มน้ำหวานบ้าง


ยิ่งรถแล่นเข้าใกล้บ้านมากเท่าไหร่ รพีกานต์ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าเรียวฉายแววหม่นหมอง ในหัวคิดสะระตะจนเผลอถอนหายใจออกมาหลายต่อหลายหน ณัฐธีร์เหลียวมองวงหน้าหม่นเป็นระยะ

“อย่ากังวลไปเลย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กานต์มีพี่อยู่ข้างกานต์เสมอนะ”
ณัฐธีร์ละมือมากุมมือบางให้กำลังใจ รพีกานต์ยิ้มขื่น ก่อนบ่ายหน้าหันมองวิวข้างทาง ไม่มีแก่ใจจะชวนพี่ชายคุยจ้อเช่นทุกที

รถแล่นไปจอดหน้าบ้าน รพีกานต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่คราวนี้มีร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยคนหนึ่งกระวีกระวาดวิ่งหัวซุนมาเปิดประตูให้ ณัฐธีร์ขับรถเคลื่อนผ่านเข้าไปจอดด้านใน รพีกานต์เปิดประตูลงมาด้วยความสนเท่ห์กับหนูน้อยแปลกหน้าหน้าตาจิ้มลิ้ม

“หลานป้าผอบน่ะ แกรับมาขออยู่ด้วยกัน ชื่อเล่นหนูตะวัน ชื่อจริงเพราะพริ้งว่าฉายสิริ ตะวันไหว้พี่กานต์ซีหนู พี่กานต์เป็นลูกชายของฉันเอง ส่วนที่ยืนข้างกันคือพี่ณัฐ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพี่กานต์ รู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก”
รพินทร์บอกกล่าวถึงที่มาที่ไปของหนูน้อยหน้าแฉล้มพร้อมแนะนำให้รู้จักกัน มือเล็กยกขึ้นกระพุ่มไหว้ผู้มากวัยกว่าตามคำบอกอย่างว่าง่าย รพีกานต์เห็นแล้วอดที่จะเอ็นดูไม่ได้

“น่ารักจริงเชียวหนูตะวัน”
ร่างเล็กอายม้วนต้วนเมื่อถูกชมซึ่ง ๆ หน้า ดวงตากลมหลุบต่ำถอยฉากไปหลบข้างหลังคุณรพินทร์ด้วยความไม่คุ้น ซึ่งณัฐธีร์เห็นแล้วก็ฉีกยิ้มพลอยนึกเอ็นดูไปด้วย

“แบบนี้คุณพ่อคงหายเหงาขึ้นมาหน่อยนะครับ มีเด็กเล็กมาอยู่ด้วย”

“หายเหงาขึ้นเยอะอยู่ หนูตะวันว่านอนสอนง่าย ไม่ค่อยซน เอาละ นั่งรถมาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนเถอะ พ่อเตรียมข้าวเย็นไว้รอแล้ว ณัฐกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ”
รพินทร์ชวนสมาชิกเข้าบ้านพลางรุนหลังหนูน้อย รพีกานต์หันมาสบตาณัฐธีร์แวบหนึ่งก่อนเดินตามบิดาเข้าบ้านไป

“น้องกานต์ยังไม่ค่อยหิวหรือลูก”
รพินทร์มองใบหน้าเหม่อลอยของลูกให้อดพิศวงไม่ได้ ปกติรพีกานต์จะมีสีหน้าแช่มชื่นเจริญอาหารทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน ต่างจากครั้งนี้ที่ลูกดูจะใจลอยเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกล

“กานต์คงเพลียน่ะครับ”
ณัฐธีร์แก้ต่างให้พลางตักกับข้าวใส่จานน้อง ดวงตาคมมองสบดวงตาที่ฉายแววกังวลพลางพยักหน้าให้อย่างรู้กัน รพีกานต์พยักหน้ารับรู้ตอบก่อนฝืนกินข้าวต่อ ด้วยไม่อยากให้เสียน้ำใจคนทำไว้รอ

“กานต์เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
รพีกานต์ยิ้มอ่อน ๆ เอ่ยบอกแก่บุพการีให้คลายกังวล ดวงตามีแววละอายใจ สบตากับบิดาได้ไม่เต็มตานัก ในใจหนักอึ้งอึดอัดเหมือนถูกถ่วงด้วยตุ้มหนักอยู่ตลอด

“โล่งอก นึกว่าพ่อมือตกเสียอีก”
รพินทร์ค่อยเบาใจ ว่าพลางตักแกงรัญจวนใส่จานให้ลูก ที่บ้านไม่มีใครกินเนื้อวัว แกงรัญจวนจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูแทน ซึ่งเจ้าของสูตรต้นตำหรับก็คือ ท่านหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ ตามบันทึกในสมัยรัชกาลที่ ๕

“กับข้าวฝีมือคุณพ่ออร่อยที่สุดสำหรับกานต์ครับ”
รพีกานต์พยายามปั้นยิ้มเอาใจ ปัดเรื่องกังวลออกไปก่อน พยายามกินข้าวจนหมดจานอย่างพ่อสอน ณัฐธีร์ตักไข่เจียวรวมมิตรผักหลากสีให้หนูน้อยสายตาเอ็นดู แก้มขาวขึ้นสีชมพูอ่อน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ป้าผอบเพิ่งบอกไปเมื่อเย็นว่าเจ้าตัวเล็กพูดไม่ได้ กิริยาท่าทีที่แสดงออก พอเดาได้เลา ๆ ว่ากำลังอายคนหล่อด้วยความไม่คุ้น ณัฐธีร์จึงยิ่งเอ็นดู พลางคิดไปว่า ลูกของกานต์กับเขา คงจะน่ารักไม่แพ้หนูตะวันแก้มแดงคนนี้

 :katai5: มีต่อด้านล่างจ้า :katai5:

ออฟไลน์ Moony_Darling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-4
ตอน ๑๗ (ต่อ)


อิ่มหมีพีมันในมื้อเย็นกันเรียบร้อย รพินทร์จึงมานั่งที่ห้องนั่งเล่น หนูน้อยฉายสิริได้รับอนุญาตให้มาดูโทรทัศน์ได้ไม่เกินสี่ทุ่มแล้วต้องเข้านอน ร่างเล็กจ้องเป๋งกับจอโทรทัศน์หน้ากว้างขนาดใหญ่ ต่างจากเครื่องเล็กจ้อยที่บ้านเก่าซึ่งถูกตาแปะร้านขายของชำเซ้งไปแทนค่าเหล้าที่พ่อเลี้ยงติดแกไว้ รพินทร์เองเห็นหนูน้อยตั้งอกตั้งใจดูก็พลอยเพลินไปด้วย รพีกานต์หายหน้าไปพักใหญ่หลังกินข้าวเสร็จ ก่อนกลับเข้ามาในห้องพร้อมณัฐธีร์ ในมือเรียวมีพวงมาลัยดอกมะลิที่เพิ่งร้อยเสร็จเดินเข้ามาหาพ่อด้วยท่าทีกริ่งเกรง

“อ้าวกานต์ มาดูสารคดีด้วยกันมา ตาหนูตะวันท่าจะชอบ ดูซี จ้องเป๋งเชียว”
รพินทร์ลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู พลางร้องชวนลูก ไม่ทันสังเกตสีหน้าอมทุกข์ที่กำลังรวบรวมความกล้าอย่างยิ่งยวดที่จะบอกกล่าวบางอย่างแก่เขา ท่าทางรักและเอ็นดูเด็กไม่เชิงทำให้รพีกานต์คลายใจซักเท่าไรนัก

“พ่อครับ...”
รพีกานต์เอ่ยขึ้นเสียงสั่น น้ำตาจะร่วงไม่ร่วงแหล่ ร่างโปร่งทรุดลงตรงหน้าบิดา มือยื่นพวงมาลัยให้พลางกราบลงตัก

“กานต์เป็นอะไรลูก”
รพินทร์ตกอกตกใจกับท่าทีแปลกไปของลูก ซึ่งรู้สึกได้ตั้งแต่กลับมาแล้ว

“กานต์ ฮึก...กานต์”
รพีกานต์ร้องไห้โฮ น้ำตาร่วงเผาะ ๆ จนรพินทร์ตกใจ เมื่อนึกขึ้นได้จึงบ่ายหน้าหันไปบอกหนูฉายสิริให้ไปนอน ก่อนหันมาหาลูก

“กานต์เป็นอะไรไป ลุกขึ้นมานั่งคุยกับพ่อดี ๆ บนโซฟานี่มา”
รพีกานต์ส่ายหน้าหวือแทนการตอบรับ ร่างเล็กโผเข้ากอดขาพลางแนบใบหน้าสะอึกสะอื้นบนตัก ยิ่งเพิ่มความงุนงงให้แก่รพินทร์เข้าไปใหญ่ ณัฐธีร์เองก็ขยับมาลูบหลังปลอบประโลมแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดแทน ด้วยอยากให้รพีกานต์เป็นคนบอกกล่าวแก่บิดาด้วยตนเอง

“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน กานต์เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน หืม ?”
รพินทร์ลูบศีรษะลูก สายตาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ณัฐธีร์แทน

“มีอะไรกันหรือณัฐ น้องเป็นอะไร ?”

“เอ่อ...” ณัฐธีร์อึกอัก สายตาปรายมองคนตัวเล็กอย่างลังเล “คือ...คือว่ากานต์...เอ่อ”

“กานต์ท้องครับพ่อ ฮือ”
กลายเป็นรพีกานต์ที่โพล่งขึ้นเสียเอง รพินทร์นิ่งเหมือนถูกสตัน ก่อนได้สติถามซ้ำอีกรอบ เพื่อย้ำว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป

“เมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะลูก”
รพีกานต์ดึงใบหน้าขึ้นจากตักพ่อพลางก้มงุด ไหล่ไหวเยือก ๆ ก่อนหลุดเสียงอู้อี้ออกมา “กานต์ท้องครับพ่อ”

“ฮึก กานต์ท้อง”
บอกซ้ำพลางเงยใบหน้าขึ้นสบตาบุพการีอย่างคนรอทัณฑ์พิพากษา ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ฉ่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาท่วมทะลักไหลอาบลงแก้มไม่ขาดสาย รพินทร์เองได้ยินถึงกับจุก ช่างน้ำหนักไม่ถูกระหว่างรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง กับที่ลูกบอกว่าตั้งครรภ์ อย่างไหนจะทลายหัวใจกว่ากัน

“กานต์...ท้องหรือลูก”
รพินทร์หลุดเสียงครางหวิวอย่างไม่เชื่อหูนัก แม้จะรู้ถึงความผิดปกติของรพีกานต์ แต่ก็ไม่คิดว่าลูกจะท้องได้

“ผมเป็นพ่อของเด็กครับ! ผมจะรับผิดชอบน้องทุกอย่าง”
ณัฐธีร์โพล่งขึ้นทั้งน้ำตาไหลพลางเขยิบกอดร่างสั่นระริกอย่างพร้อมร่วมรับผิดเต็มที่ รพีกานต์ส่ายหน้าไม่ยินยอมให้ตราบาปตกแก่ผู้บริสุทธิ์ เอ่ยบอกทั้งน้ำตาไหล

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่พี่ณัฐ”
ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นสบตาบุพการี ในดวงตาร้าวรานคล้ายจะเฉลยเป็นนัยว่าใครคือพ่อเด็ก ...อัครวินท์...
รพินทร์หัวใจร่วง นิ่งงันอย่างคนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ รพีกานต์ตีความว่าบุพการีกำลังผิดหวังในตัวเขามากมายนัก มือสั่นระริกกระพุ่มลงกราบแทบเท้าผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมา แต่รพีกานต์ก็ไม่วายหาเรื่องร้อนใจมาให้

“กานต์ขอโทษครับพ่อ ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวัง”

“ผมขอโทษที่ดูแลน้องไม่ดีครับ”
ณัฐธีร์ประนมมือร่วมกราบกรานด้วยอีกคน ทั้งที่เคยรับปากเอาไว้มั่นเหมาะ ว่าจะดูแลดวงแก้วรพีกานต์ดวงนี้ให้ดี สุดท้ายเขาก็ทำอย่างปากว่าไม่ได้ รพินทร์ได้สติกลับมาเมื่อเห็นลูกทั้งสองกราบกรานอยู่แทบเท้าไม่ยอมถอย หัวใจคนเป็นพ่อสัมผัสได้ถึงความร้าวรานมากมายที่ลูกได้รับ นอกจากจะไม่นึกอยากตำหนิซ้ำ ตอนนี้คือเขาต้องช่วยลูกหาทางออก

“กานต์ ณัฐ ลุกขึ้นมาก่อน”
รพินทร์สะกิดลูก อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องมีทางออก

“หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นมาคุยกันก่อน เราต้องหาทางออกให้เรื่องนี้นะลูก ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในท้องของกานต์ กานต์คิดมาหรือยังว่าจะเอายังไง”
รพินทร์รั้งกายลูกขึ้นมานั่งบนโซฟาเดียวกัน มือเรียวยื่นไปสัมผัสหน้าท้องแบนราบที่มีหลานเล็ก ๆ ของเขาถือกำเนิดอยู่ข้างในนั้น

“อายุครรภ์เท่าไหร่แล้ว”

“เดือนกว่าครับ”
รพีกานต์บอกทั้งหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตา ด้วยละอายแก่ใจเกินกว่าจะมองหน้าผู้เป็นบิดา

“กานต์จะเก็บไว้ไหม”
รพีกานต์เงยหน้าพรวดด้วยความตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำถาม ปากบางอ้าค้างอย่างคิดไม่ถึง ด้วยไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ณัฐธีร์เองได้ยินก็ตกใจไม่ต่าง หากรพินทร์ยังคงครองสตินิ่ง เปิดปากอธิบายต่อ

“กานต์ฟังพ่อก่อน กานต์กำลังเรียนอยู่ นี่ก็ใกล้สอบแล้ว หากกานต์จะเก็บเด็กไว้ สอบเสร็จกานต์ต้องหยุดเรียน ไปดรอปเอาไว้ก่อน คลอดแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อเมื่อพร้อม”
รพินทร์มองใบหน้าซีดนิ่งงันก่อนพูดต่อ

“ส่วนลูกของกานต์พ่อจะดูแลให้ตอนกานต์ไปเรียน เสียเวลาจบช้ากว่าเพื่อนหน่อย และพ่อจะบอกให้ฟังไว้อีกอย่าง การมีเด็กก่อนวัยอันควร กานต์จะต้องสูญเสียโอกาสหลาย ๆ อย่างที่คนโสดพึงทำได้ หรืออีกทางหนึ่ง หากกานต์ไม่อยากให้ชีวิตยุ่งยากก็ไม่ต้องเก็บไว้ มันก็พอมีทาง เสร็จแล้วก็ทำเป็นลืมไปเสียว่าเคยเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น แต่อย่าลืมว่า การฆ่าเด็กบริสุทธิ์เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองนำมาซึ่งบาปมหันต์ ทั้งที่จะตกแก่ตัวกานต์เอง ตกแก่พ่อที่ร่วมรับรู้และพากานต์ไป รวมถึงแพทย์ที่กระทำการซึ่งปกติแล้วคือผู้ช่วยชีวิต ไม่ใช่ผู้คร่าชีวิต หากกานต์เลือกอย่างนั้นแล้ว พวกเราล้วนเป็นฆาตกรร่วมกัน”
ใบหน้ารพินทร์นิ่งขึง หากจับน้ำเสียงดี ๆ จะรู้ว่าปลายเสียงนั้นสั่น แต่เขาต้องการให้ลูกได้คิด ได้ตรึกตรองดี ๆ เพื่อจะได้ไม่นึกเสียใจทีหลัง หากชีวิตในวันข้างหน้าจะไร้อิสระด้วยพันธะที่มี รพีกานต์หน้าซีดเผือดเมื่อได้ยิน ณัฐธีร์ถึงกับส่ายหน้าหวืออย่างไม่เห็นด้วยกับทางเลือกที่สอง มือชื้นเหงื่อกุมมือเล็กบีบเบา ๆ

“และไม่ว่ากานต์จะเลือกทางไหน อย่าลืมว่า ห้ามเสียใจทีหลังเด็ดขาด”
รพินทร์เสียงเข้มกว่าปกติ ไม่เชิงว่าดุ แต่เขากำลังลองเชิงให้ลูกได้ตัดสินใจเลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง ในเมื่อชีวิตพลิกผันมาเช่นนี้ รพีกานต์จะต้องรู้จักเข้มแข็งนับแต่นี้ไป ปีกของรพินทร์ปกป้องลูกมาตลอด โอกาสนี้ รพีกานต์จะต้องรู้จักบินด้วยกำลังตน

“กานต์อาจผิดพลาด แต่กานต์ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายลูกของกานต์ครับพ่อ แล้วกานต์ก็ไม่ต้องการให้ผู้ที่มีพระคุณต่อกานต์ต้องมีตราบาปจากการร่วมรับรู้ในการกระทำของกานต์ สัตว์ยังไม่เคยทิ้งลูก กานต์เป็นคน กานต์จะไม่ทำร้ายลูกของกานต์”
ดวงตาของผู้เป็นพ่อเอ่อรื้นคลอเต็มหน่วยตา เมื่อได้ยินคำจากปากลูก รพินทร์โผกอดลูกรักด้วยความตื้นตัน เขาไม่เคยสอนให้ลูกไร้ความรับผิดชอบ แต่รพีกานต์จะต้องรู้ว่า การมีลูกนั้น ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องเสียสละอะไรบ้าง เมื่อลูกของเขาได้เลือกแล้ว ก็แสดงว่าลูกได้ยอมรับมัน ซึ่งไม่ผิดจากรพินทร์คิดไว้ รพินทร์ผละกายออกพลางประคองดวงหน้าลูกด้วยสองมือ

“ดีแล้ว พ่อไม่เคยสอนให้กานต์เห็นแก่ตัว แต่จากนี้กานต์ต้องรู้ไว้ว่า ชีวิตของกานต์ไม่ได้มีอิสระมากเช่นแต่ก่อนแล้ว กานต์มีพันธะ จะเที่ยวเตร่กลับบ้านดึก ๆ หรือไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกอย่างคนโสด ๆ แต่กานต์ไม่ได้สูญเสียความสุขไปหรอก กานต์กำลังจะได้ความสุขอีกแบบจากชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เหมือนที่พ่อได้จากกานต์”
รพินทร์ฉีกยิ้มกว้างให้ลูก

“พ่อไม่โกรธกานต์หรือครับ ที่กานต์สร้างปัญหาให้”

“โกรธแล้วได้อะไรละลูก แค่นี้กานต์ของพ่อก็ทุกข์มากแล้วกว่าจะกล้าเปิดปากสารภาพกับพ่อ ดีแค่ไหนที่กานต์ไม่ตัดสินใจอะไรผิด ๆ เงินทองเรามี เลี้ยงลูกกานต์ซักสิบคนก็ยังไหว ตอนแรกคิดว่าจะตันสุดแค่นี้ มีเด็กเล็ก ๆ บ้านคงครึกครื้นขึ้นเยอะ”
รพินทร์ลูบศีรษะลูกอย่างเข้าใจ พื้นเพรพีกานต์ไม่ใช่เด็กไม่ดี เพียงแต่ได้เจอคนใจร้าย กระนั้นแล้วเนื้อแท้จิตใจก็ยังดีงาม รพินทร์ต้องการแค่นี้เองจริง ๆ

“กานต์รักพ่อที่สุด พ่อเป็นพ่อพระมาโปรดสำหรับกานต์ พ่อเข้าใจกานต์ทุกอย่าง”
รพีกานต์โผเข้ากอดบิดาอย่างตื้นตัน พ่อรพินทร์พร้อมที่จะทำความเข้าใจและให้อภัย ชีวิตนี้จะหาได้ที่ไหนประเสริฐเท่าอีกหนอ

“เอ่อ ลูกของกานต์ ขอพี่เป็นพ่อเด็กได้ไหม ทั้งกานต์ทั้งลูก พี่จะดูแลเอง กานต์แต่งงานกับพี่นะ ถ้ากานต์ยอม พี่จะสู่ขอกานต์กับคุณพ่อของกานต์ตรงนี้”
ณัฐธีร์ถามขึ้น รพีกานต์มองพี่ชายด้วยความลำบากใจแกมความรู้สึกละอาย

“เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กานต์ไม่อยากให้พี่ณัฐต้องเอาชีวิตมาทิ้งกับกานต์ มาแบกรับภาระที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพี่ พี่ณัฐยังมีโอกาสได้เจอคนดี ๆ กว่ากานต์นะครับ แค่นี้กานต์ก็ละอายใจจนมองหน้าพี่ณัฐได้ไม่เต็มตาแล้ว”

“เจอคนดีกว่านี้แล้วยังไงครับ เจอคนดีกว่านี้แล้วจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตพี่อย่างนั้นหรือ แล้วกานต์คิดหรือว่าพี่จะมีความสุขกับคนดี ๆ ที่กานต์ว่าจริง ๆ น่ะหรือ ในเมื่อพี่รักกานต์ พี่ไม่ได้รักคนดี”
ณัฐธีร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาแน่วแน่มั่นคง เขารักรพีกานต์ที่เนื้อแท้ รักก็คือรัก ไม่มีอะไรมาหักล้างความรู้สึกนี้ลงได้

“พี่ณัฐ...”

“ให้โอกาสพี่นะ พี่ขอแค่โอกาส ตอนนี้กานต์ไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร หรือกานต์ยังไม่ลืมใครคนนั้นก็ไม่เป็นไร หากเขาคนนั้นไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว ก็ขอโอกาสให้พี่คนนี้ได้ดูแลกานต์และลูก พี่ขอเท่านี้จริง ๆ”
ณัฐธีร์วอนขอ สายตาเว้าวอนจนหัวใจรพีกานต์ปวดหนึบ เพราะยังลืมใครอีกคนไม่ได้ เพราะยังรักอยู่เต็มเปี่ยมทุกอณูหัวใจ ถึงแม้เขาคนนั้นจะใจร้ายต่อหัวใจดวงนี้ยังไง ก็ยังคงกุมหัวใจของรพีกานต์เอาไว้ทั้งดวง

รักเอย ต่อให้เจ็บช้ำระกำใจซักปานใด ถึงปากบอกชังชิงซักแค่ไหน แต่ความรักก็ยังเอ่อท้นอยู่เต็มอณูหัวใจ รพีกานต์ค้นพบว่า แม้จะทำเป็นโกรธเกลียดชิงชังอัครวินท์ซักเท่าใด แต่อีกใจก็ยังคงถวิลและโหยหา อยากให้เขาคนนั้นกลับคืนมา และอยากให้อัครวินท์ได้รับรู้ว่า ตอนนี้ในท้องของรพีกานต์ มีเลือดเนื้อเชื้อไขน้อย ๆ ของเขาอยู่
รักเอย...

 :hao5:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
สงสารณัฐอ่ะ คนไม่รักยังไงก็ไม่รักเพราะกานต์ยังไม่ยอมรับ กานต์นะ ใหม่ๆก็คงจะตัดใจไม่ได้อยู่หรอก นานไปก็จะตัดใจได้เอง ง่ายสุดก็หาผัวใหม่ ขนาดพ่อรพินทร์ยังตัดใจจากแฟนได้เลย ทำไมกานต์จะทำไม่ได้ล่ะ
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
คนหนึ่งก็สุดแสนจะมั่นคง
อีกคนก็ไม้หลักปักเลน แสนชั่ว

เรารู้สึกว่าณัฐเจอว่าที่คู่หมายแล้วนะหนูฉายสิริ

ไม่ทราบเหมือนกันว่าเราเข้าใจถูกไหม
อินทัชทิ้งรพีเพราะต้องแต่งงาน
ทุกวันนี้ยังอยุ่กับภรรยาแต่ก็มีชู้รักเป็นคนขับรถ
ถ้าจริงตามนั้นโคตรของโคตรสงสารพ่อของกานต์เลย

อาจจะเพราะว่าเราสุขนิยมมากเกินไปเราจึงอยากให้พ่อของกานต์ได้เจอความสุขบ้าง
อย่างน้อยก็ในบั้นปลายของชีวิต

หนูฉายสิรินอนดึกนะคะ 4 ทุ่ม  สงสัยเมืองไทยนอนดึกได้เพราะอนุโลมให้ดูละครไทยหลังข่าว    ลูกเราต่ำกว่า 10 ปีนอน 2 ทุ่ม ไม่เกิน 2 ทุ่มครึ่ง  12+ นอน 3 ทุ่ม  ตื่น 6 โมงเช้า ต่างกันที่วัฒนธรรมนะคะ

บทการบรรยายของคนเขียนนิ่มมากๆค่ะ   แต่ไม่ทราบว่าจงใจหรือว่าเคยชิน  บทสนทนาบาวช่วงดูไม่เป็นธรรมชาติ  เช่นที่พ่อถามกานต์ว่า
อายุครรภ์เท่าไหร่    แทนที่จะเป็น กี่เดือนแล้ว   คือ ณ บริบทนี้เราก็ไม่คิดว่าถามสั้นๆแบบนี้แล้วจะเข้าใจผิด   - สงสัยเฉยๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ question09

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-10
อัครวินท์คนชั่ว

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ร้องไห้จนตาบวมเลยค่ะ สงสารน้องกานต์

คนเขียนอย่างแต่งให้พ่อรพินเป็นอะไรนะ มันจะดราม่าเกินไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด