[Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Hermit Books] Just Another Guy #เชนตรี : แจ้งข่าว [31/10/2560] P.14  (อ่าน 186373 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คนหึงได้น่ารักมาก

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
โอ๊ยยสงสารซัน5555 พี่เชนหึงเงียบอ่ะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เจ็บปวด เเทนซัน 555555555

ออฟไลน์ imvodka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
30
ห่างไกล
 
           
ผมนึกไว้แล้ว ว่าการที่เชนปฏิเสธน้องผู้หญิงคนนั้นไปอย่างเย็นชาที่ร้านกาแฟวันนั้น จะต้องส่งผลกับชื่อเสียงของเขาแน่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ... เมื่อหลังจากนั้นไม่นานผมได้เห็นหน้าตัวเองกับเชน ถูกแอบถ่ายจากมุมที่จำได้ว่าเป็นโต๊ะของน้องคนนั้น พร้อมกับแคปชั่นที่ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
 
               
‘#เชนตรี หยิ่งมากกกก ขอถ่ายรูปนิดเดียวทำเป็นมองแรง คิดว่าหล่อนักเหรอคะ? เหอะ! #เบ้ปากรัว’
 
               
ผมดูรูปแล้วไล่อ่านคอมเมนต์ลงไปเรื่อยๆ และก็พบว่าส่วนใหญ่มีแต่คอมเมนต์ไปในเชิงเห็นด้วยทั้งนั้น เชนโดนด่าเยอะมากซะจนผมคิดว่าถ้าเป็นผมคงเครียดจนไม่กล้าเข้าเฟสบุ๊คอีก
 
               
‘จริง หยิ่งมาก เคยเจอที่คณะหน้าตาไม่เป็นมิตรสุด คงคิดว่าหล่อมาก #เชน #เชนตรี’
 
           
‘โคตรไม่ชอบ คนกรี๊ดไปได้ไง นิสัยโคตรแย่ #เชนตรี’
 
           
‘เคยคบเพื่อนเรา (เป็นผู้หญิง) แล้วทิ้งไป ที่แท้เป็นเก้งเหรอ เหอะ! สันดาน #เชนตรี’
 
           
‘เราเคยเจอ หล่อมากกกกกกจริง แต่นิสัยก็น่ากลัวมากกกกเหมือนกัน ชอบมองนิ่งๆ หยิ่งๆ กรี๊ดแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้อ่ะ #เชนตรี’
 
           
‘กรี๊ดคู่นี้มากกกก แต่ได้แต่จิ้นไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ออร่าโลกส่วนตัวสูงมาก #เชนตรี’
 
           
‘คู่รักอันตรายเหรอครับ 5555555 #เชนตรี’
 
           
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
 
               
“ทำไร” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นข้างหูพร้อมกับใบหน้าคมที่ชะโงกข้ามไหล่มาจากด้านหลังจนแผ่นอกที่เปลือยเปล่าเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จแนบลงมากับหลังผมเบาๆ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมือถือในมือผมที่ยังคงค้างอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดด้วยสีหน้าสงสัย
               
ผมเลยยื่นให้เขาดู “บอกแล้วว่าไม่น่าปฏิเสธ” ผมตำหนิ มันคงไม่กลายเป็นเรื่องแบบนี้ถ้าวันนั้นเรายอมให้น้องถ่ายรูปไปซะ เพราะสุดท้ายเธอก็แอบถ่ายอยู่ดี แถมยังเขียนถึงพวกเราไปในทางที่ไม่ดีซะอีก
               
เชนเอื้อมนิ้วมาเลื่อนดูคอมเมนต์ทั้งหมดผ่านๆ ก่อนจะชะงักอยู่ที่คอมเมนต์ล่าสุดเหมือนผม คิ้วเข้มขมวดขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางไม่พอใจเห็นได้ชัด
               
“ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ก็เหอะ แต่โดนด่าขนาดนี้...”
               
“เอามานี่ดิ๊” ยังไม่ทันจะพูดจบมือหนาก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมเฉยเลย
               
“เฮ้ย! ทำอะไร” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปในโทรศัพท์
               
ถึงจะโกรธก็เหอะ แต่ผมนึกว่าเขาไม่คิดจะตอบโต้กับอะไรพวกนี้ซะอีก แล้วอีกอย่าง นั่นมันล็อกอินเฟสบุ๊คผมอยู่นะเว้ย!
               
“อ่ะ” แต่ดูเหมือนว่าผมจะห้ามอะไรไม่ทัน เมื่อไม่กี่วินาทีต่อมามือหนาก็ส่งมือถือกลับมาให้ ผมกระวนกระวายรีบหาดูว่าเขาพิมพ์อะไรลงไป แต่ก็ไม่พบคอมเมนต์เพิ่มเติม
นอกจาก...คอมเมนต์ที่ตอบกลับคอมเมนต์ล่าสุดอีกที
 
           
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ : )’
           
‘มีแฟนแล้ว’
 

ผมคิดว่าเขาจะเมนต์ตอบโต้พวกที่ด่าเขาเสียอีก แต่นี่มัน...

เปาะ!

“คราวหลังอย่าทำตัวน่ารักให้มาก” เอื้อมมือมาดีดหน้าผากผมพร้อมกับทำเสียงเข้ม

เดี๋ยวนะครับ...

“มันใช่เวลามาสนใจคอมเมนต์ไร้สาระนี่มั้ยเนี่ย ไม่คิดจะทำอะไรกับพวกที่ด่าเลย?” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดผิดประเด็น

“ชินแล้ว” ร่างสูงตอบแค่นั้น พลางเดินไปที่ระเบียงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่แขวนอยู่บนราวมาคลุมผมเปียกๆ ของตัวเองไว้ แล้วเดินกลับมานั่งลงข้างผมพร้อมกับหันหลังให้

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องการอะไร ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมต้องทำหน้าที่เช็ดผมให้เขาทุกครั้งหลังอาบน้ำ ซึ่งมันก็ถือเป็นกำไรของผมนะ ที่ได้เล่นผมนุ่มๆ หอมๆ ของหมอนี่ ซึ่งคงไม่มีใครได้จับบ่อยนัก

เอ๊ะ... หรืออาจจะมีวะ

“ปกติแฟนคนก่อนๆ นายทำแบบนี้ให้ด้วยหรือเปล่า” ผมเผลอหลุดปากถามออกไปทันทีที่ใจคิด

“หือ?” เขาส่งเสียงประหลาดใจ แต่ก็ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ไม่นะ ไม่ค่อยชอบให้ใครเล่นหัว”

“แต่ตัวเองชอบเล่นหัวคนอื่นเนี่ยนะ?” ผมแย้งกลั้วหัวเราะ เมื่อคิดได้ว่าหมอนี่ชอบขยี้หัวผมเป็นกิจวัตร

อืม... แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าคำตอบของเขาทำให้ผมพอใจอยู่ไม่น้อย

“แล้วตอนนี้เลิกไม่ชอบแล้วเหรอ” ผมถามต่อ ขณะที่ลงน้ำหนักมือมากกว่าเดิม ด้วยความหมั่นไส้

“ยัง” เสียงทุ้มเอ่ย “แต่เห็นใครบางคนชอบ ก็เลยยอม” ว่าพลางหันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้ผม ก่อนจะดึงผ้าขนหนูออก แล้วจับมือผมสัมผัสกับผมที่ยังคงเปียกหมาดๆ ของเขาโดยตรงแล้วบังคับให้ลูบไปมา
                 
พอได้จับจริงๆ ก็พบว่าผมของเขานุ่มกว่าที่คิดไว้ แถมยังหนามากอีกต่างหาก เวลาผมแห้งมันคงจะให้สัมผัสที่ดีกว่านี้น่าดู เหมือนขนหมานุ่มๆ ฟูๆ น่าขยี้อะไรแบบนั้น

“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมชอบเล่นหัวคนอื่น” เขาแสยะยิ้มเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรอยู่ จนผมอดไม่ได้ที่จะทำในสิ่งที่ใจคิดอย่างการขยี้ผมเขาแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้

เชนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปัดมือผมออกแล้วยัดผ้าขนหนูกลับมาให้แทน ผมไม่ว่าอะไรและกลับมาเช็ดผมให้เขาต่อ แม้ว่ามันจะหมาดมากแล้วก็ตาม แต่ผมชอบกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเราแบบนี้นี่... ดังนั้นขอต่อเวลาอีกสักหน่อยเถอะ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์เชนก็ต้องไปฝึกงานแล้ว และผมคงไม่มีโอกาสได้เล่นหัวเขาแบบนี้อีกสักพัก

อา...ไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้นเลยแฮะ

“ไม่ไปแล้วดีมั้ย” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ราวกับอ่านใจผมออกอีกแล้ว “ย้ายมาฝึกบริษัทที่เชียงใหม่ดีกว่า” เขาว่า น้ำเสียงเอาแต่ใจ

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แล้วผลักหัวเขาเบาๆ “มันจะไปทันได้ไง”

ป่านนี้ทุกบริษัทคงมีนักศึกษาฝึกงานเต็มอัตราไปแล้ว อีกอย่างการที่จะได้ฝึกงานบริษัทใหญ่ๆ แบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา จะมาทิ้งโอกาสเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ไง

“แล้วเตรียมของครบยัง” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ถึงจะยังเหลือเวลาอีกพอสมควร แต่เขาต้องลงไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งหลายเดือน จะให้เตรียมตัวกะทันหันก็คงไม่ดี

“หึ” แต่เชนกลับหัวเราะในลำคอ หันมามองผมหน่ายๆ ปนขำกับนิสัยเหมือนแม่ที่แก้ไม่ได้ของผม ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือผมลงจากหัวเขาอีกรอบแล้วจรดริมฝีปากลงกับฝ่ามือผมเบาๆ พร้อมยิ้มมุมปาก

“เหลือคนนี้อ่ะ เอายัดใส่กระเป๋าไปด้วยได้มะ?”

เก่งนักนะ ไอ้เรื่องแกล้งให้ผมเขินแบบไม่ทันตั้งตัวเนี่ย
 
“พอเลย” ผม (แสร้ง) ทำเสียงดุ ลุกขึ้น และจะชักมือกลับมา แต่ฝ่ามือหนาก็ยังจับไม่ยอมปล่อยแถมยังออกแรงดึงจนผมล้มตัวลงไปนั่งตรงระหว่างขาเขาอีก
               
“ไม่พอ ยิ่งเวลาเหลือน้อยก็ยิ่งต้องตักตวง” มือหนายื่นออกมาโอบไหล่ผมจากด้านหลัง พร้อมกับยกคางขึ้นมาเกยหัวไว้ “คิดถึง”
               
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างประหลาดใจกับน้ำเสียงที่ฟังดูอ้อนแปลกๆ นั่น “ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเลย” ว่าพลางซุกหน้าลงกับแขนแข็งๆ ที่ยังคงเจือด้วยกลิ่นสบู่อ่อนๆ อย่างต้องการซึมซับกลิ่นนี้ไว้ให้นานที่สุด ก่อนเราจะต้องจากกัน
               
แค่คิดก็ใจหายแล้ว
               
“ทำไมไม่กลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ” เขาถามขึ้นมาหลังจากที่เราต่างเงียบกันไปสักพักน้ำเสียงจริงจังจนผมหลุดขำอีกรอบ
               
“ก็บอกแล้วว่าปิดเทอมไม่ว่าง” อดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวกลับไปใช้นิ้วจิ้มหน้าผากย่นๆ นั่นให้คลายออกอย่างรู้ทัน
               
แต่เชนก็กลับมาขมวดคิ้วอีก เขายกมือขึ้นมาจับมือผมออกจากหน้าผากเขา ท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจจนหงุดหงิด
               
“งั้นคงต้องทำอะไรสักอย่าง”
               
“หือ?” ผมเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันถามว่าหมายความว่ายังไง มือหนาก็ปล่อยจากนิ้วผมแล้วเอื้อมมือมาจับใบหน้าผมไว้แทน ก่อนจะจรดริมฝีปากลงมาบนริมฝีปากผมโดยไม่ให้ตั้งตัว
               
เอาอีกแล้ว... เล่นทีเผลออีกแล้ว
               
“ถ้ายังดื้อก็จะจูบแบบนี้” พูดเอาแต่ใจพลางกดจูบหนักๆ ลงมาอีกรอบ

“...”

“จะจูบทุกวัน...จนขาดไม่ได้ แล้วยอมตามฉันไปแต่โดยดีเลย” เชนจรดริมฝีปากร้อนจัดลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่จูบสั้นๆ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นจูบลึกซึ้งที่ตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจ

จูบที่กินเวลาเนิ่นนานราวกับต้องการจะให้ผมค่อยๆ ซึบซับสารเสพติดชนิดนี้ที่เขาป้อนให้ตามที่พูดไว้

“หึ” ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างนึกตลกในความเอาแต่ใจ พลางขยับเข้าไปใกล้และจูบตอบเขาเช่นกัน

ให้ตายเถอะ... ผมคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าหากเกิดเสพติดจูบนี้ขึ้นมาจริงๆ...


หลายวันผ่านไป

สุดท้ายวันที่พวกเราไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ ถึงผมจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ยังไงมันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี

ผมมาส่งเชนที่สนามบินในเช้าวันศุกร์ซึ่งเขาจองตั๋วไว้ มันไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาแค่ไปฝึกงาน อีกไม่กี่เดือนก็กลับแล้ว

แต่มันคงเป็นอีกไม่กี่เดือนที่ยาวนานน่าดู...

“หึ ดูทำหน้าเข้า” คนตัวสูงกว่าเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเหมือนเคย

ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่การที่เขายังยิ้มได้แบบนี้มันทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งคิดจุกจิกกับเรื่องแบบนี้เหมือนผมก็เหอะ แต่ไอ้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนไปแค่ไม่กี่วันเนี่ย มันอะไรกันวะ มีแต่ผมคนเดียวหรือไงที่กลัวความเหงาเวลาที่เขาไม่อยู่น่ะ

“ขอให้เหงาจนตาย” ผมสาป แต่จริงๆ อาจจะเป็นการสาปตัวเองก็ได้ เพราะคนที่มีแนวโน้มเป็นแบบนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผมมากกว่า เชนหัวเราะเบาๆ แล้วขยี้หัวผมแรงๆ อีกรอบแต่กลับไม่ปฏิเสธ

“ก็คงงั้น” อยู่ๆ เขาก็หยุดแกล้ง และมองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยสายตาจริงจังกว่าเดิม “ทั้งเหงา แล้วก็คิดถึงจนตาย”

คราวนี้กลับเป็นผมบ้างที่อยากจะหัวเราะให้กับสีหน้าอธิบายยากของคนตรงหน้า ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นทั้งดูหงุดหงิด เสียใจ กังวล และสับสนในเวลาเดียวกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมาไม่ได้ เลยได้แต่ขมวดคิ้วแน่น

ความจริงหมอนี่ไม่ได้เป็นปกติอย่างที่เสดงออกก่อนหน้านี้สินะ

“ไม่ต้องมายิ้มเลย” เชนดุเสียงเข้ม เพราะผมเผลอยิ้มมุมปากอย่างที่เขาทำ

ฮะๆ เข้าใจความรู้สึกเวลาเห็นสีหน้าเป็นกังวลจนดูตลกของอีกฝ่ายแล้วล่ะ

ให้ตาย น่ารักชะมัด

“เฮ้อ” แล้วอยู่ๆ เขาก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาพลางก้มหน้าล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ผม “แบมือ” ออกคำสั่งนิ่งๆ

ผมแบมือตามที่บอก เชนวางวัตถุเย็นๆ ไว้บนมือผม และพอเขาปล่อยมือออกผมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เขาให้คือสร้อยสีดำเส้นหนึ่งที่มีจี้สีทองเป็นรูปฟันเฟืองห้อยอยู่

นี่มัน... เกียร์?

“เก็บไว้ดีๆ ล่ะ กว่าจะหาเจอ” เขาพูดขณะที่เบือนหน้าหนีพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย ผมคงไม่คิดอะไร ถ้าหากว่าใบหน้าคมเข้มนั่นไม่กลายเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา

ผมหัวเราะ กำสิ่งที่เขาให้ไว้แน่น ก่อนจะแกล้งถามติดตลก

“คิดว่าให้ผู้หญิงคนก่อนๆ ไปแล้วซะอีก”

ที่ผมได้ยินมา มันเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของเด็กวิศวะน่ะ ที่จะมอบเกียร์ที่ได้มาจากการรับน้องอย่างยากลำบาก ให้แฟนตัวเองเป็นของแทนใจอะไรแบบนั้น

“ตอนแรกคิดว่ามันไม่สำคัญ ก็เลยไม่ได้ให้ใคร แต่คนนี้ต้องให้แล้วล่ะ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอย่างจริงจังอีกครั้งแม้ว่าใบหูจะยังไม่หายแดงก็ตาม “จะได้รู้ว่าหวง”

“หึ” ผมถึงกับยกหลังมือขึ้นมาปิดปากเพราะรู้ตัวว่าผมคงกำลังยิ้มกว้างมาก พลางเบือนหน้าหนีซ่อนใบหน้าที่คงจะกำลังแดงไม่แพ้กัน เชนขมวดคิ้วท่าทางไม่พอใจเล็กๆ ที่เห็นผมยิ้มในขณะที่เขากำลังจริงจัง มือหนาเลยเอื้อมมาขยี้หัวผมเบาๆ อีกครั้ง

ป่านนี้หัวผมคงจะฟูยิ่งกว่ารังนกแล้ว

แต่ช่างเถอะ... ถ้าสามารถยื้อเวลาได้ ต่อให้เขาขยี้จนผมร่วงหมดหัว ผมก็ยอม

ต่างคนต่างเงียบได้ไม่นานก็มีประกาศเรียกไฟล์ทของเชนดังขึ้นมา ผมหยุดยิ้มแล้วเงยหน้ามองเขาที่เริ่มขมวดคิ้วทำหน้างุ่นง่านอีกครั้งด้วยความรู้สึกโหวงๆ ในใจแปลกๆ

ผมน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครจะสามารถยื้อเวลาได้จริงๆ หรอก

“ไม่ไปแล้วดีมะ” แต่ประโยคเอาแต่ใจนั่นก็ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปขยี้ผมเขาบ้าง “เป็นเด็กหรือไง”

ผมล่ะอยากให้คนที่เคยคิดว่าเชนหยิ่ง แข็งกระด้าง หรือเย็นชาจนไม่น่าเข้าใกล้มาเห็นมุมนี้ของเขาจริงๆ จะได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้น่ารักกว่าที่คนพวกนั้นคิดมากแค่ไหน

แต่คิดอีกที... อย่าดีกว่า ผมขอเก็บมุมนี้ไว้ดูคนเดียวเถอะ

“ให้ตาย” แล้วพอผมหยุดเล่นหัว เขาก็สบถออกมาเบาๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาผมด้วยสีหน้างุ่นง่านกว่าเดิม “รู้งี้น่าจะจูบมาตั้งแต่ที่หอ” เขาว่า สีหน้าเสียดาย

“...” เขารู้ว่าผมคงไม่ยอมให้เขาทำอะไรแบบนั้นในที่สาธารณะแบบนี้ ถึงตอนนี้ในสนามบินจะมีคนอยู่ไม่เยอะเพราะมันเช้ามากก็เถอะ

“น่าจะกอดให้มากกว่านี้..."

"..."

"จูบให้มากกว่านี้... ตุนให้พอสำหรับสามเดือน”

ผมควรจะโกรธหมอนี่ดีมั้ยนะ ที่ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่ควรจะเศร้าที่ต้องจากกันแท้ๆ
หลายวันที่ผ่านมาพอรู้ว่าเหลือเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกไม่มาก ประจวบเหมาะกับตอนนี้ปิดเทอมพอดี ทำให้พวกเราเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆ นั้น ใช้เวลาแทบจะทุกวินาทีร่วมกัน ราวกับต้องการจะใช้มันทดแทนเวลาที่มันกำลังจะหายไป

เรานอนกอดกันทุกคืน เล่นหัว จับมือ ทำทุกย่างที่จะแสดงออกถึงความรักในเวลาที่เหมาะสม เขาจูบทักทายผมในทุกๆ เช้าและทุกครั้งที่ใจต้องการ จูบลึกซึ้งที่ราวกับจะซึมซาบเข้าสู่ใจผมอย่างช้าๆ จนเหมือนจะขาดไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ
แต่คงไม่ได้มีแค่ผมที่เสพติดสัมผัสของกันและกัน เพราะเชนเองก็ดูเหมือนใกล้ลงแดงเต็มทีเมื่อคิดว่าจะต้องห่างเหินจากสัมผัสเหล่านั้นนับเดือนๆ

“สวมนี่ให้หน่อย” ผมว่าพลางยื่นสร้อยห้อยเกียร์ที่เขาเพิ่งให้ไปตรงหน้าร่างสูง

เชนไม่ตอบอะไร แค่เอื้อมมือมาหยิบมันไป แล้วขยับเข้ามาใกล้เพื่อสวมคอให้ผม

ใกล้พอ...ที่ผมจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ ตอบแทนสำหรับของแทนใจที่เขามอบให้

“...!”

คนตรงหน้าเบิกตากว้างทันทีที่ผมเอื้อมมือไปดึงคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้ และทาบริมฝีปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากของเขาเบาๆ โดยไม่ทันให้ตั้งตัว มอบจูบที่แสนอ่อนหัดให้เขาด้วยความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นอยู่ในใจ ทั้งความเป็นห่วง กังวล คิดถึง และความรักทั้งหมดของผม ถูกถ่ายทอดออกไปผ่านรสจูบที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อนในชีวิต

“หึ เอาคืนกันหรือไง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากบางทันทีที่ผมถอนริมฝีปากออก หน้าผากของเขายังคงแตะอยู่ที่หน้าผากของผม ลมหายใจร้อนๆ ยังคงรินรดลงมาบนปลายจมูกอย่างไม่อยากจะจากกัน
               
“...” ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มมุมปากกลับไป รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้งเขาแบบที่เขาชอบทำบ้าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าวินาทีต่อมา ผมจะถูกเขาเอาคืนจนได้

“ถ้าตกเครื่องขึ้นมา ฉันจะโทษนาย” ว่าจบริมฝีปากร้อนจัดก็ทาบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง

สอนให้ผมรู้ว่า ‘จูบ’ ที่แท้จริง มันเป็นยังไง




-------------------------------------------------
พี่เชนดูหลงน้องมากอ่ะ 5555555
ยังไงฝากคู่ #เชนตรี ด้วยน้า

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

 :-[

-- makok_num --

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ละมุนมาก
หวังให้ระยะทางทำอะไรคู่นี้ไม่ได้
ไม่เอามือที่สามสี่อะไรนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หล่อนๆทั้งหลายช่างไม่รู้อะไรซะแล้ว

ออฟไลน์ NUBTANG

  • Nothing is impossible. "[+++++]"
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้ยย ... น่ารักไปแล้วววว

อย่าแอบไปมีใครนะเชนนน

ออฟไลน์ Sweettemp

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กรี๊ดดด น่ารักเกินไปละคู่นี้ อยากจะอ่านทุกวันเลย  :ling1: จะรอตอนต่อไปนะคะ


ปล.พี่เชนอย่าไปมองใครนะ ไม่งั้นจะจิ้นให้มีคนมาจีบตรีซะให้เข็ด  :hao3:

ออฟไลน์ Wingging gao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เขินแรง :-[ :-[ ฟินแทนตรี :haun4:#เชนตรี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
รักแท้ไม่แพ้ระยะทางนะเออ #เชนตรี

 :กอด1:  :กอด1:   :กอด1:  :กอด1:

 :n1:  :n1:  :n1:  :n1:

.....

ออฟไลน์ BeautifulGirl

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
หน้านี่ร้อนผ่าวๆ เขิน-////-

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
โหยยยเชนไปฝึกงานละอ่ะ ขอให้ระยะทางทำให้ทั้งสองคนรักกันมากๆนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบ  ต่างคนต่างห่วงหา คิดถึงกัน ไม่อยากจากกัน :katai2-1:
อย่ามีอะไร ที่ทำให้ เชน  กับ ตรี ผิดใจกัน  :mew2:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
31
คนกลาง
 
               
สามเดือนมันนานเกินไป...เกินไปจริงๆ
               
และคนที่เหงาและคิดถึงจนตายก่อน จะต้องเป็นผมแน่ๆ พนันได้เลย
               
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ร้อยของวัน เมื่อคิดได้ว่านี่ก็เข้าวันที่สองแล้วที่เชนไม่ติดต่อมา
               
แค่หนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้า ได้คุยแค่โทรศัพท์หรือแชทไลน์ผมก็แทบบ้าแล้ว แต่นี่หมอนั่นดันเงียบหายไปตั้งแต่เช้าเมื่อวาน โทรไปไม่รับ ทักไลน์ไม่ตอบแบบนี้ แล้วจะไม่ให้ผมกลุ้มได้ไง นี่มันไม่ปกติสักนิด ถึงระหว่างวันจะยุ่งแค่ไหน แต่ก่อนนอนก็ควรคุยกันให้หายคิดถึงบ้างไม่ใช่เหรอ...

ใช่มั้ย หรือผมเข้าใจผิด?
               
ผมข้องใจจนอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูกล่องแชทที่ยังคงเงียบสนิทมาจนถึงตอนนี้ คำถามล่าสุดที่ผมถามไปก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ ยังไม่แม้แต่จะถูกเปิดอ่านด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่นี่มันเกือบจะสองทุ่มแล้ว เขาน่าจะเลิกงานตั้งนานแล้ว
               
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
               
“ตรี เดี๋ยววันนี้มีเด็กใหม่มา ตรีช่วยดูหน่อยนะ” ผมกำลังจะพิมพ์ข้อความลงไปในกล่องแชท แต่เสียงของพี่โม รุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟก็ทำให้ผมชะงัก เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนอีกครั้ง แล้วหันไปพยักหน้ารับ
               
“ครับ”
               
พี่โมยิ้มให้ เหมือนจะไม่เห็นว่าผมหยิบมือถือขึ้นมาระหว่างงานเลยไม่ว่าอะไร “เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ เดี๋ยวก็คงออกมา” พูดจบพี่โมก็เดินหายเข้าไปในครัวอีกรอบ
               
ผมไม่ได้ตอบอะไร และหันกลับมาหยิบนู่นจับนี่บนเคาน์เตอร์ไปเรื่อย รอเด็กใหม่ที่ว่า อยากจะหยิบมือถือออกมาอีกรอบเพื่อพิมพ์สิ่งที่ตัวเองอยากจะถามลงไป แต่ก็กลัวว่าพี่โมจะเดินออกมาเห็น ถึงจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าพี่โมจะไม่ดุผมถ้าเอาสมาร์ทโฟนมาเล่นระหว่างงาน แม้ตอนนี้ในร้านจะแทบไม่มีคนเลยก็เถอะ
               
ร้านของพี่โมเป็นร้านกาแฟเปิด 24 ชั่วโมงอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยนัก ซึ่งในช่วงเวลาปิดเทอมแบบนี้จึงไม่แปลกที่คนจะไม่เยอะเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่กลับบ้านกัน ตอนนี้ทั้งร้านมีลูกค้าแค่สองโต๊ะเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่กำลังคุยกันสนุกสนาน และอีกโต๊ะเป็นคนวัยทำงานซึ่งนั่งเล่นคอมอยู่ที่มุมร้านเงียบๆ ท่าทางไม่ต้องการให้ใครรบกวนผมจึงไม่ต้องทำอะไร นอกจากรอให้ใครสักคนเรียก
               
และเพราะว่าคนไม่เยอะเท่าช่วงเปิดเทอม พนักงานพาร์ทไทม์กะดึกจึงมีแค่ผมคนเดียว เพราะพี่โมเองก็อยู่ดูแลด้วย มันเลยอดตกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ พี่แกก็จ้างพนักงานมาเพิ่ม ทั้งๆ ที่ลูกค้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย
               
“พี่โม ผูกไอ้นี่ให้ผมหน่อย” ความคิดของผมหยุดชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินมาจากหลังร้านพลางพยายามผูกผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอย่างทุลักทุเล
               
“อ้าว” เขาดูจะตกใจนิดๆ ที่ผมไม่ใช่พี่โม ร่างที่เตี้ยกว่าผมนิดหน่อยหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าของร้าน แต่พี่โมกำลังยุ่งอยู่ในครัวผมจึงอาสาทำแทน
               
“หันหลังสิ” ผมทำท่าวนนิ้วพลางขยับเข้าไปใกล้ แม้ท่าทางจะดูงงๆ แต่เด็กใหม่ก็หันหลัง ยอมให้ผมผูกผ้ากันเปื้อนให้แต่โดยดี ซึ่งใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็เรียบร้อย
               
“ขอบคุณครับ” เขาผงกหัวนิดๆ ขอบคุณผมหน้ามึนๆ ก่อนจะมองหน้าผมนิ่ง
               
"..."
                 
"..." หมอนี่มองหน้าผมนานมากจนอยากจะถามว่ามีอะไร แต่ยังไม่ทันได้ถามดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูซุกซนนั่นก็เบิกกว้างขึ้นมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
               
“ตรี! ตรีใช่ป่ะ” เขาตะโกนเสียงดังมากจนผมคิดว่าลูกค้าที่มีอยู่น้อยนิดน่าจะหันมามองพวกเราแล้ว
               
“คะ...ครับ” ผมพยักหน้าตอบงงๆ ตกใจที่อยู่ๆ ก็โดนทักจากคนที่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
               
“จำผมได้มั้ย... ไม่สิ จะไปจำได้ยังไง” ประโยคหลังเขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้อีกรอบ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดๆ อะไรบางอย่างสักพัก
               
ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวง เอ่อ... เดี๋ยวพี่โมมาเห็นก็ซวยแพ็คคู่หรอก
               
ผมกำลังจะเตือนเขาสักหน่อย แต่เจ้าของใบหน้าใสติดจะน่ารักกว่าผู้ชายทั่วไป ก็ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผมดูก่อน
               
“นี่ไง ที่เราเคยคุยกัน”
               
“หือ?” ผมขมวดคิ้ว ยื่นหน้าเข้าไปอ่านหน้าจอมือถือที่เปิดหน้าเฟสบุ๊คของเขาซึ่งมีคอมเมนต์ตอบโต้ใต้โพสต์รูปของผมกับเชนที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ขึ้นมา
 
               
‘คนชื่อตรีน่ารักดีนะครับ J’
           
‘มีแฟนแล้ว’
           
‘55555 ครับ รู้แล้วครับ’
 
           
นี่มัน... เรียกว่าคุยกันเหรอ...
               
ข้อความนั่นผมไม่ได้เป็นคนพิมพ์สักหน่อย แถมที่เขาตอบผมก็ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เพราะเป็นพวกไม่ชอบเช็กการแจ้งเตือนบนเฟสบุ๊คอยู่แล้วถ้าไม่ใช่อะไรที่สำคัญจริงๆ
               
“อา... ข้อความนี่ตรีคงจะไม่ได้เป็นคนตอบเองใช่มั้ย” เขาถามน้ำเสียงฟังดูผิดหวังแปลกๆ
               
ผมชะงักไปนิดหน่อยอย่างไม่รู้จะตอบยังไง แต่สุดท้ายก็พยักหน้า “ครับ”
               
รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
               
“ว่าแล้วเชียว... ดีใจเก้อไปสิผม” เขาหัวเราะเจื่อนๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มใสแก้เก้อ ขณะที่ผมได้แต่ยืนมองอย่างไม่เข้าใจ
               
ดีใจเรื่องอะไร?
               
“ช่างเหอะ” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเสียงดัง แต่เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า ก่อนจะหันมยิ้มกว้าง “ผมชื่อโชนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่โม จะมาช่วยทำงานกะดึกตั้งแต่วันนี้ครับ” ยิ้มที่เหมือนเด็กนั่นดูสดใสซะจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
               
“ครับ พี่โมบอกแล้ว เดี๋ยวผมสอนงานให้นะ” ผมพูดยิ้มๆ แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะ เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบ
               
“ไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ผมก็อายุเท่าตรีนั่นแหละ” เขาว่า ยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาที่ตี่อยู่แล้วกลายเป็นรูปสระอิ
               
“แต่ เมื่อกี้คุณก็แทนตัวเองว่าผมนะ” ผมเลิกคิ้วงงๆ ถ้าเขาไม่สุภาพมา ผมก็คงไม่พูดเป็นทางการขนาดนี้หรอก
               
“เออว่ะ” คนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นมาเกาแก้มเหมือนนึกขึ้นได้ “โทษที ผมติดน่ะ” แล้วหันมายิ้มให้อีกรอบ
               
“...” ยิ้มเก่งจังแฮะ
               
“งั้นเอางี้ดีกว่า ผมจะเรียกแทนตัวเองว่าผมแล้วเรียกตรีว่าตรี ส่วนตรีก็เรียกผมว่าโช แต่จะแทนตัวว่าอะไรก็แล้วแต่ตรี ดีป่ะ”
               
ผมต้องใช้เวลาประมวลผลอยู่สักพักว่าเขาพูดอะไร กว่าจะเข้าใจแล้วตอบตกลงไปอย่างมึนๆ “อ่าๆ งั้น... เราแทนตัวเองว่าเราละกัน”
               
“โอเค”   
               
เขาตอบอย่างกระตือรือร้น ซึ่ง... ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแค่นี้ทำไมเราต้องคุยกันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ด้วย
               
“ตรีมีอะไรก็สอนผมได้เลยนะ ดุได้ด้วย ผมไม่โกรธหรอก” เขายิ้มกว้างและบ่อยมาก จนผมอยากจะยื่นมือไปบีบแก้มที่ดูน่าจะนิ่มมากนั่นสักทีให้หุบยิ้มบ้าง กลัวว่าเขาจะเมื่อย
               
แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรบ้าบอแบบนั้นหรอกครับ ดีแต่พยักหน้ารับแหละ
               
“งั้น เดี๋ยวเราสอนดูเมนูกับชงกาแฟ” ผมว่า แล้วหันมาค้นเมนูของร้านที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ถ้าเป็นปกติคงต้องสอนเรื่องง่ายๆ อย่างมารยาทการต้อนรับลูกค้าก่อน แต่ร้านเราไม่ได้เคร่งขนาดนั้น มีแต่คนกันเอง แถมดูจากโหงวเฮ้งแล้วหมอนี่ท่าจะรู้เรื่องการเข้าหาคนอยู่พอสมควร ก็เลยข้ามขั้นนั้นมาเลยดีกว่า แต่ผมเอง ก็ใช่ว่าจะชงกาแฟเก่ง ทุกวันนี้ก็ทำได้แค่เมนูง่ายๆ ส่วนอะไรที่มันต้องใช้ฝีมือพี่โมก็เป็นคนทำหมด ดังนั้นส่วนที่เหลือค่อยให้พี่โมสอนเองละกัน
               
โชดูจะตั้งใจเรียนรู้มาก แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการล้างอุปกรณ์ หรือต้องเก็บอะไรไว้ตรงไหน เขาก็ตั้งใจดูไม่ละสายตา... อันที่จริง ผมว่าเขาเอาแต่มองหน้าผมตลอดเวลาเลยมากกว่า
               
“เอ่อ” ผมอ้ำอึ้ง เมื่อรู้ตัวแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้สนใจที่ผมสอนเลยแม้แต่นิด “มีอะไรติดหน้าเราหรือเปล่า” ผมถามพลางยกมือขึ้นถูๆ หน้าตัวเองอย่าระแวง โชหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือผมออก
               
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องเช็ดหรอก”
               
“แล้วมองหน้าเราทำไม?” ผมถามตรงๆ รู้สึกงงกว่าเดิม
               
“เปล่า” เขาตอบกลั้วหัวเราะ “มองหน้าตรีแล้วไม่เบื่อดี”
               
“หือ?” ผมเริ่มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่เขาพูดเลยแม้แต่นิด แต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมอธิบาย เขาหัวเราะอีกรอบแล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่องด้วยการเดินไปยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ
               
“จริงๆ พี่โมเคยสอนผมชงกาแฟแล้ว ให้ลองทำให้ชิมป่ะ” โชหันมาถาม ส่วนผมก็ยังขมวดคิ้วไม่เข้าใจประโยคก่อนหน้าของเขาอยู่เลย จนคนตัวเล็กกว่าต้องหันมาถามอีกรอบ “ตรีอยากกินกาแฟอะไร”
               
“...” ผมไม่ตอบ เพราะตั้งตัวไม่ทัน คนตรงหน้าเลยยิ้มแล้วตอบเองเสร็จสรรพ
               
“เอาลาเต้ละกันเนอะ เดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือลาเต้อาร์ตเป็นหน้าตรีให้ดู ฮ่าๆๆ” เขาไม่สนใจสีหน้าต้องการคำอธิบายของผมเลยแม้แต่น้อย แถมยังหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันไปวุ่ยวายกับการชงกาแฟด้วยท่าทางที่ชำนาญกว่าผมซะอีก
               
ผมมองการกระทำของเขาอยู่สักพักด้วยคำถามมากมายที่แล่นเข้ามาในหัว แต่ก็ต้องหยุดสนใจเพราะมีลูกค้าใหม่เดินมาสั่งออร์เดอร์พอดี
               
“อเมริกาโน่เย็นค่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งมาใหม่บอกพร้อมกับยื่นเงินให้ผมในจำนวนที่พอดี
               
“ครับ เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟที่โต๊ะนะครับ” ผมยิ้มรับ แล้วเธอก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
               
ผมหันไปมองโชกำลังจะบอกออเดอร์เพราะดูเหมือนเขาจะทำได้ดีกว่า แต่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็หันมายิ้มกว้างให้เหมือนจะบอกว่ารู้หน้าที่แล้ว ผมเลยไม่พูดอะไร แค่พยักหน้ารับรู้ แต่แทนที่จะทำออร์เดอร์ของลูกค้าก่อน สิ่งที่มาวางตรงหน้าผมที่ยืนรอไปเสิร์ฟ กลับเป็นลาเต้ร้อนที่มีฟองนมวาดเป็นรูปแมวซะอย่างนั้น
               
“อะไรเนี่ย” ผมถาม กำลังจะแย้งว่าลูกค้าไม่ได้สั่ง แต่เสียงใสก็ตอบกลับมาก่อน
               
“บอกแล้วไงว่าผมจะทำลาเต้ให้” โชยิ้มกว้าง
               
“แต่ลูกค้า...” ผมกำลังจะแย้ง แต่แน่นอนว่าไม่ทันเขาอีกแล้ว
               
“คร้าบบ เดี๋ยวจะรีบทำให้ลูกค้าเลยครับ ตรีกินนี่ไปเหอะ ผมเป็นคนเอาไปเสิร์ฟเอง” ว่าจบเขาก็หันไปชงกาแฟต่อ ไม่เปิดโอกาสให้ผมแย้งอะไรเลยสักนิด
               
ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองเขา ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเครื่องชงกาแฟ ท่าทางอารมณ์ดี (เกินไป) ก่อนจะก้มลงมองลาเต้ที่มีรูปหน้าแมวนี่อีกครั้งอย่างชั่งใจ
               
ผมควรกินมันมั้ยเนี่ย?
               
“กิน ไม่กินผมไม่เอาไปเสิร์ฟนะ” เขาส่งเสียงขู่ ทั้งที่ยังง่วนอยู่กับการเทกาแฟใส่แก้ว
               
แล้วทำไมผมโดนขู่วะ?
               
เป็นคำถามที่ไม่รู้จะไปเอาคำตอบที่ไหน แถมยังได้คำถามใหม่คือ แล้วทำไมสุดท้ายผมถึงยอมกินตามคำขู่ของเขา?
               
โชหัวเราะอย่างพอใจเมื่อเห็นผมยกกาแฟของเขาขึ้นดื่มในที่สุดก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่ตกลงไว้ และกลับมาตอนที่ผมวางแก้วลงพอดี เขาเดินมายืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์มองผมแล้วถามยิ้มๆ
               
“เป็นไง ใช้ได้มั้ย?”
               
“อร่อยดี” ผมตอบ
               
“งั้นก็กินให้หมดดิ” เขาว่า พยายามดันแก้วกาแฟมาให้
               
“มันร้อน” ผมเงยหน้าขึ้นไปขมวดคิ้วใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยัดเยียดนัก ถึงมันจะอร่อยจริงๆ ก็เหอะ แต่คอผมก็ไม่ได้ทำจากทองแดงนะที่จะได้ดื่มของร้อนๆ แบบนี้รวดเดียวหมด
               
“ฮ่าๆ” แล้วทำไมอยู่ๆ หมอนี่ถึงได้ขำขึ้นมา ผมไม่เข้าใจจริงๆ “ตรีนี่น่ารักกว่าที่ผมคิดอีก”
               
“...”
               
“เสียดายที่มีแฟนแล้ว”
               
“...” ผมนิ่งไป รู้สึกแปลกๆ กับคำพูด และสายตาที่เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มซุกซนนั่น
               
“เอ้อ ตอนนี้พี่เชนไปฝึกงานอยู่ใช่มั้ย” แต่อยู่ๆ แววตาประหลาดนั้นก็หายไป พร้อมกับคนตัวเล็กที่เบือนหน้าหนีทำทีเป็นสนใจอย่างอื่นและเปลี่ยนประเด็นสนทนาหน้าตาเฉย
               
“รู้ได้ไง” เลิกคิ้วถามอย่างงุนงง
               
ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้จักผมกับเชนจากโพสต์นั้น แต่ก็ไม่น่าจะรู้ละเอียดขนาดนี้
               
“ก็เราเป็นเพื่อนพี่เชนในเฟส” เขาหันมายิ้มตอบ “เขาเพิ่งอัพรูปไปเที่ยวกับที่ทำงานเมื่อกี้นี้เอง”
               
“...”
               
เดี๋ยวนะครับ... หมายความว่ายังไง? ที่ไม่ติดต่อผมกลับมาเพราะไปเที่ยวอยู่งั้นเหรอ?
               
พอได้ยินแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะฝืนกฎหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเฟสของเชนดูเพื่อเช็กว่าเขาพูดเรื่องจริงหรือเปล่า และก็พบว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เพิ่งมีรูปที่เชนไปเที่ยวกับบริษัทอัพขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ใช่จากเจ้าตัว
               
เป็นเฟสของผู้หญิงคนหนึ่งที่โพสต์และแท็กเขาพร้อมกับคนในรูปอีกหลายคน
               
“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ พี่เชนสวยดีนะ ผมเห็นยังใจสั่นเลย” โชพูดกลั้วหัวเราะ เรียกให้สายตาผมกลับมาพิจารณารูปนั้นดีๆ อีกครั้ง
               
ในรูปถ่ายเชนนั่งอยู่ตรงกลางโซฟาตัวยาว ถูกล้อมรอบด้วยคนวัยทำงานกลุ่มหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุด และทำให้ผมสะดุดใจก็คือผู้หญิงผมบ็อบปากแดงท่าทางเฉี่ยวๆ ที่นั่งอยู่ข้างเขา ซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์กำลังใช้แขนข้างหนึ่งกอดคอเชนเอาไว้ด้วยท่าทางสนิทสนมพลางมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี ขณะที่เชนมองเธอกลับด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ถูก แต่มุมปากบางกลับปรากฏเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าเขากำลังรู้สึกเอ็นจอยกับเธอไม่น้อยเช่นกัน
               
นี่มัน... ทำไม?
 
               
‘ฉลองต้อนรับเด็กฝึกงานคนใหม่ ที่รองมือรองเท้าชั้นดี จงมาเป็นทาสพี่ซะหนุ่มน้อย 5555’
               
               
ผมอ่านแคปชั่นที่คงจะถูกเขียนขึ้นมาขำๆ ด้วยความรู้สึกสับสนอย่างประหลาด และกลับยิ่งสับสนไปอีกเมื่อไล่สายตาลงมาเห็นคอมเมนต์ตอบกลับของเชน ที่ปกติ ผมแทบไม่เห็นเขาตอบโพสต์ใครถ้าหากไม่สนิทจริงๆ
 
               
‘ยิ้มจนเห็นตีนกาแล้วป้า’
           
‘ใครป้า!’
           
‘ไม่รู้ตัว?’
           
‘กวนตีน!’
           
‘ครับ : )’
 
               
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้อความนี้จะถูกพิมพ์จากแอคเคาท์ของคนที่ผมพยายามติดต่อทั้งวันทั้งคืน.... แต่หลักฐานมันก็เห็นอยู่ตำตา

ผมไม่ได้โกรธที่เขาออกไปเที่ยวโดยไม่บอก ไม่ได้คิดจะห้ามด้วยซ้ำถ้าหากเขาจะออกไปฉลองอะไรต่อมิอะไรกับที่ทำงาน

แต่ผม...ไม่เข้าใจเลย... ไม่เข้าใจเรื่องที่ว่าทำไมผมโทรหา เขาไม่รับ แชทไลน์ไป เขาก็ไม่ตอบ...
แต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขากลับคุยกับผู้หญิงที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครในเฟสบุ๊คด้วยบทสนทนาที่ดูสนิทสนมผิดปกติแบบนี้
               
มันหมายความว่ายังไง...



-- makok_num --

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew5:   ความเหงามาพร้อมความหน่วง
แต่ระหว่างโชกับเชน เราเลือกที่จะระแวงโชมากกว่านะมาดีหรือมาร้ายใครจะไปรู้
หน้าใสๆใจดีหรือเปล่า
พี่เชนรีบๆติดต่อมาเถอะสงสารตรี ขอบคุณคนเขียนจ้า

ออฟไลน์ imfckwn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
นั่นไง ใจคนรอ แค่วินาทีเดียวก็คิดไปได้ต่างๆนาๆ กับอีกคนที่เหมือนไม่รอ ชั่วโมงนึงก็ว่าแปปเดียว

เคลียร์ด้วยเชนไม่ติดต่อเพราะกลัวคิดถึงมากกว่าเดิมก็ควรจะบอก ไม่งั้นให้ตรีไปคบกับโชแทนเลย

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เอ้า พี่เชนนนนนนนนนนนนน

ก่อเรื่องโดยไม่รุ้ตัวอีกแล้วเน้อ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Disthaporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไม่เอาเเบบเน้ :sad4: ตรีเชนจะจบลงด้วยดีใช่มั้ยคะ เรากลัวใจคนเขียน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน5555 รอตอนต่อไปนะคะ งอนหนักๆนะตรี ปล. ไม่เอาไอ้พนักงานคนใหม่ ชื่ออะไรไม่รู้ลืม :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นึกไว้แล้วๆ เชียว ว่าสองคนนี้ต้องมีคนเข้าหา
แต่เชน เป็นไร ไม่อ่าน ไม่ทัก ไม่ตอบ  :ling1:
นี่เหรอ อยากจะแพคตรีไปฝึกงานด้วย อยากจะเปลี่ยนที่ฝึกงานเป็นเชียงใหม่ :m31:
ใจคนรอมันคิดไปต่างๆนาๆ  งงๆ กับเชน  :m16:
รอนะ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
32
คลุมเครือ
 
               
วันต่อมา

ผมอยากได้คำอธิบาย... สัสๆ
               
แต่หนึ่งวันที่ผ่านมา หลังจากผมรัวคำถามมากมายลงไปในแชทไลน์ และกดโทรออกเบอร์เดิมซ้ำๆ เหมือนคนที่บ้านไฟไหม้ ก็ยังคงไม่มีใครรับสาย แถมยังถูกซีนแล้วไม่ตอบเลยสักคำถาม เล่นเอาผมร้อนใจจนแทบบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่นี่
ผมรอโทรศัพท์จากเชนทั้งคืนแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะโทรกลับ และล่าสุด เมื่อเช้าผมลองโทรไปหาเขาอีกครั้ง มันก็ โทรไม่ติดแล้ว
               
มันหมายความว่ายังไงกันแน่
               
ผมอึดอัดใจถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำงานเสร็จผมก็เปิดเข้าไปดูโปร์ไฟล์ของผู้หญิงคนนั้นในเฟสบุ๊คเพื่อดูว่าเธอเป็นใคร ก่อนจะพบว่านอกจากจะสวยจนแม้แต่ผมที่แค่เห็นรูปยังหวั่นไหวแล้ว โปรไฟล์เธอยังดีเข้าขั้นเพอร์เฟ็กต์อีกต่างหาก
               
แค่เห็นนามสกุล ผมก็ขนลุกแล้ว
               
ผู้หญิงผมบ๊อบปากแดงคนนั้นชื่อริบบิ้น เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกานต์สุริยะ... บริษัทที่เชนกำลังฝึกงานอยู่ เพิ่งจบปริญญาโทมาจากต่างประเทศได้สองปี เป็นทายาทรุ่นใหม่ไฟแรงที่อนาคตคงจะได้เป็นผู้บริหารของบริษัทมีชื่อเสียงระดับประเทศ ...นั่นคือประวัติของเธอที่ผมพอจะสืบได้ และพอใจที่จะหยุดสืบแต่เพียงเท่านี้ เพราะแค่นี้ผมก็รู้สึกต่ำต้อยมากพอแล้ว
               
ยิ่งนึกถึงภาพที่เธอยิ้มให้เชนอย่างเริงร่า ในขณะที่เขาก็ยิ้มตอบ มันก็ยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่าน คิดไปไกลว่าทั้งสองคนคงกำลังคิดอะไรๆ ต่อกัน
               
อันที่จริงผมไม่อยากทำตัวงี่เง่าเหมือนผู้หญิงเป็นเมนส์แบบนี้เลยสักนิด... แต่มันก็อดที่ไม่ได้จริงๆ
               
ในเมื่อภาพที่เห็น และพฤติกรรมของเขา มันชวนให้คิดแบบนั้น
               
ผมอาจจะคิดมากไปเอง... อันนั้นผมรู้ตัว แต่ว่า ถ้าได้คำอธิบายจากเจ้าตัวสักนิด ผมก็คงไม่คิดมากอย่างนี้ ดีไม่ดี ผมอาจจะหลับหูหลับตาเชื่อทุกๆ คำพูดของเขาอย่างไม่มีการโต้แย้งใดๆ เลยก็ได้ แต่นี่มันไม่ใช่ มันไม่มีคำอธิบายใดๆ ทั้งคำพูด และตัวอักษร

ให้ตาย! หมอนั่นเป็นบ้าอะไรวะ ทำไมอยู่ๆ ถึงหายหน้าไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้

ถ้าเขากำลังแกล้งให้ผมเสียสติล่ะก็...บอกเลยว่าผมใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

“ตรีๆ” ขณะที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านจนหัวจะระเบิด อยู่ๆ ก็มีใครบางคนเอานิ้วมาจิ้มๆ ไหล่ จนผมสะดุ้งแล้วหันไปเลิกคิ้วถาม

“ฮะ?”

แชะ!

ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจทันทีที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น ก่อนจะเพิ่งเห็นว่าในมือของโชที่เดินมายืนข้างๆ มีโทรศัพท์มือถือที่เปิดกล้องหน้ากดถ่ายเซลฟี่ไปแล้วโดยไม่บอกไม่กล่าว

“เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลง เมื่อพบว่าหน้าตัวเองเหลอหลามากในรูปที่โชถ่าย

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ” ขนาดโชยังหลุดขำออกมาเสียงดังทันทีที่มองรูปนั้น “หน้าตรีโคตรตลก” เขาชี้หน้าผมแล้วขำเสียงดังไม่หยุด ทำเอาลูกค้าที่คืนนี้มีเพียงกลุ่มเดียวหันมามองงงๆ จนผมต้องหันไปผงกหัวขอโทษแทนคนตัวเล็กกว่าที่ยังคงกลั้นขำไม่อยู่

มันไม่ได้ตลกขนาดนั้นสักหน่อย -_-

“ถ่ายไปทำไมเนี่ย” ผมถามเสียงขุ่น จะยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์จากมือโช แต่เขาก็ไหวตัวทัน

โชหยุดหัวเราะ แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างแทน “พี่โมบอกให้หาวิธีโปรโมทร้าน”

“แล้ว?” ถ่ายเซลฟี่มันช่วยโปรโมทร้านยังไง?

“ถามแปลก” เขายิ้มขำ “จะมีอะไรช่วยโปรโมทได้ดีไปกว่าพนักงานหนุ่มหล่อหน้าใสหัวใจกะล่อนอีกล่ะครับ” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายักคิ้วทะเล้นให้ ขณะที่ผมถึงกับชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะกับประโยคเสี่ยวๆ เหนือความคาดหมายนั่น
คิดได้ไงวะ

“ยิ้มได้ซะที” เขาพูดอะไรสักอย่างพึมพำ แต่ผมได้ยินไม่ชัดจึงไม่ใส่ใจ ก่อนที่โชจะเปลี่ยนเรื่อง “เฟสบุ๊คตรีอะไรนะ ผมจะแท็กรูป” เขาถามขณะที่ก้มหน้ากดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์

“ทำไมต้องแท็กอ่ะ” ผมเลิกคิ้ว คิดว่าเขาจะแค่โพสในเพจร้านซะอีก

“ก็...” เขาอึกอัก ยกมือขึ้นมาเกาแก้มเก้อๆ เหมือนเคย ก่อนจะถามกลับเสียงอ่อน “ผมแท็ก...ไม่ได้เหรอ?”

ผมหลุดหัวเราะอีกรอบกับท่าทางเหมือนหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้ของเขา ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมๆ และยอมบอกชื่อเฟสตัวเองไป สักพักก็มีการสั่นเตือนมาจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง

“แอดแล้ว รับดิ” โชหันมาพยักเพยิดหน้าท่าทางกระตือรือร้นเกินจำเป็น

“พี่โมห้ามเล่นมือถือระหว่างงานนะ” ผมขมวดคิ้ว

เจ้าของใบหน้าใสจึงแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กแล้วหันมากระซิบ “ก็อย่าบอกพี่โมสิ” ว่าพลางกระพริบตาปริบๆ
ผมหัวเราะพลางส่ายหน้ากับความขี้เล่นไม่เลือกเวลาของเขา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับแอดคำขอเป็นเพื่อนล่าสุด ก็อย่างที่ว่าแหละ ตอนนี้พี่โมไม่อยู่ร้าน และถ้าไม่มีใครบอก พี่โมก็คงไม่รู้...

แต่อันที่จริงถึงพี่โมอยู่ เขาก็คงไม่โดนดุหรอก เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงาน ผมก็ยังไม่เห็นโชวางมือถือเลย ในขณะที่ผมแค่จะหยิบมือถือขึ้นมาเช็กข้อความ ก็ถูกมองเขม่นแล้ว (สองมาตรฐานชัดๆ -_-) แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เพราะได้ยินมาว่าพี่โมขอให้เขามาช่วยทำงานโดยไม่มีค่าจ้างตอบแทน ไม่เหมือนผม ที่ทำในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์ และต้องการเงิน
“โพสต์ละ” โชหันมายิ้มกวนๆ ให้อีกรอบ ผมจึงก้มมองมือถือตัวเอง กดแจ้งเตือนที่เพิ่งขึ้นดู และก็เห็นรูปที่โชแท็กมา
หน้าผมโคตรตลกจริงๆ ด้วย

แล้วอะไรคืออีกคนกลับยิ้มหวาน หน้าใส สภาพกายหยาบต่างกันสุดขั้วขนาดนี้

“ลบแล้วถ่ายใหม่ได้มะ” ผมหันไปถาม สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่ารับไม่ได้กับรูปนี้จริงๆ แต่โชกกลับขำแล้วยื่นมือถือตัวเองที่โชว์รูปเดียวกันมาให้ดู

“ลบได้ไง ดูดิ ยอดไลค์พุ่งพรวดแล้ว” ผมก้มดูจำนวนคนที่กดไลค์ ก็พบว่ามันขึ้นไปแตะยี่สิบไลค์ถายในไม่กี่นาที แถมเริ่มมีคอมเมนต์จากสาวๆ ที่เข้ามากรี๊ดกร๊าดเขาแล้วด้วย

อ่า... ลืมบอกไปเลย ว่าจริงๆ แล้วโชเองก็ฮอตใช่ย่อยนะครับ ด้วยใบหน้าน่ารักสไตล์หนุ่มตี๋ แถมอัธยาศัยดีเลิศขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่จะถูกสาวๆ รุมกรี๊ด ผมเพิ่งรู้ก่อนหน้านี้เอง ว่าตอนปีหนึ่งเขาเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะบริหารพ่วงด้วยเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัยอีกต่างหาก แต่ว่าตอนนั้นผมไม่ได้สนใจโลกภายนอกเท่าไหร่ ก็เลยไม่รู้จัก

และด้วยชื่อเสียงระดับท็อปของโช การที่เขาแค่ถ่ายรูปลงโซเชียลเนตเวิร์กและบอกโลเคชั่นร้าน ก็อาจจะเป็นการโปรโมทที่ดีจริงๆ ก็ได้

“มาทายกันมั้ยว่าวันนี้ลูกค้าจะเพิ่มสักกี่คน” เขาเสนอไอเดีย ขณะที่กระโดดขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ข้างๆ ผม

“ยากไปมั้ย นับเป็นคนเนี่ย” ผมแย้งขำๆ

“เออว่ะ” เขายกมือเกาแก้มอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะเสนอไอเดียใหม่ “นับเป็นโต๊ะดีกว่า ตรีว่าคืนนี้ลูกค้าจะเพิ่มขึ้นสักกี่โต๊ะ” ว่าพลางเหลียวกลับไปมองโต๊ะว่างด้านหลัง

“อืม” ผมนิ่งคิด

ถ้านับรวมโต๊ะทั้งหมดในร้าน ก็มีอยู่สิบสี่โต๊ะ ตอนนี้มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียวเอง แถมนี่ก็ค่อนข้างดึกแล้ว ถึงจะใช้หน้าหล่อๆ โปรโมท ก็คงมีลูกค้าเพิ่มมาไม่มากนักหรอก

“สัก...ห้ามั้ง” ผมเดา 

โชหัวเราะ แล้วกระโดดกลับมายืนข้างผมอีกรอบแกล้งทำเป็นนับโต๊ะ แต่ท่าทางไม่ได้ใส่ใจเลย

“ผมว่าเต็มร้าน” ว่าเสียงดังพลางยิ้มทะเล้น “คนแพ้ต้องยอมทำตามที่คนชนะบอกทุกอย่างนะ”

“...” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนตกกะไดพลอยโจรให้พนันอะไรไรสาระไปแล้ว

แต่ก็เอาเถอะ ยังไงผมก็คิดว่าตัวเองคงไม่แพ้หรอก การที่ลูกค้าจะเต็มร้านภายในคืนนี้เนี่ย เป็นอะไรที่ยากกว่าเอาหินถมมหาสมุทรซะอีก

“อืม” ดังนั้นผมจึงตอบตกลงไปอย่างไม่คิดอะไร

“ผมไม่แพ้แน่ คอยดูเหอะ” โชยิ้มกว้างอย่างพอใจและหันไปหาอะไรทำฆ่าเวลา

ผมเองก็กำลังจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเคานเตอร์ที่เขาเพิ่งจะกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมืดเจ้าของร้าน แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่เพิ่งจะเอาใส่กระเป๋า

ผมเลิกคิ้วอย่างงุนงงเพราะไม่คิดว่าจะมีใครโทรมาหาเวลานี้ แต่เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์โทรเข้า คิ้วของผมก็ขมวดแน่นโดยอัตโนมัติ

เชน...

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของผมทันที มีเรื่องที่ผมจำเป็นต้องคุยกับเขาเยอะจนผมต้องใช้เวลาเรียบเรียงความคิดอยู่ในสมองสักพักและเอาแต่จ้องสายเรียกเข้าที่ยังคงทำให้โทรศัพท์ของผมสั่นไม่หยุด

ตอนแรก... ผมคิดว่าตัวเองจะโกรธเขาจนต้องรีบกดรับสายเพื่อต่อว่าเขาที่หายหน้าไป ไหนจะเรื่องผู้หญิงคนนั้นอีก

แต่พอเอาเข้าจริง... ตอนนี้ผมกลับโล่งใจ ที่เห็นเบอร์โทรของเขาอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าเขายังคิดถึงผมบ้าง

เฮ้อ ผมนี่บ้าชะมัด

“ฮัลโหล” หลังจากที่จ้องเบอร์ของเขาอยู่นาน สุดท้ายผมก็กดรับก่อนที่สายจะตัดไป

แต่แทนที่จะได้ยินน้ำเสียงรู้สึกผิด หรือคำอธิบายที่อยากฟัง กลับกลายเป็นว่าเสียงที่ลอดผ่านปลายสายมา เป็นเสียงทุ้ม ที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดแบบที่นึกภาพออกทันทีว่าเขากำลังมีสีหน้าแบบไหน

[ มันเป็นใคร ]

“...”

[ คนที่ถ่ายรูปด้วย มันเป็นใคร ] เชนย้ำคำถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงต่ำที่ฟังดูกดดันยิ่งกว่าเดิม

แต่... ขอโทษนะครับ คนที่หายหน้าไปก่อน มีสิทธิ์มาตั้งคำถามทำน้ำเสียงไม่พอใจแบบนี้ด้วยเหรอ?

ไม่ยุติธรรมเลย

ผมหันไปมองโช ส่งสัญญาณว่าจะขอออกไปโทรศัพท์หลังร้าน พอเห็นโชยิ้มรับผมก็ปลีกตัวออกมา

[ ได้ยินหรือเปล่า ] เสียงขุ่นถาม ขณะที่ผมกำลังเดินออกมา

“ได้ยิน” ผมตอบเสียงขุ่นไม่แพ้กัน
 
[ มันเป็นใคร ] เขาย้ำคำถามเดิมอีกรอบ

ทำไมเอาแต่ใจขนาดนี้ ผมโทรหาทั้งวันไม่ยอมรับ แต่พอตัวเองโทรมากลับเร่งเร้าจะเอาคำตอบ น่าหมั่นไส้ชะมัด
               
แต่ถึงจะหมั่นไส้แค่ไหน ผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจทรุดตัวนั่งลงที่ชานพักบันไดตรงประตูหลัง และตอบคำถามตามตรง
               
“เพื่อนร่วมงาน”
               
[ แล้ว? ]
               
“แล้วอะไร” ผมถามกลับ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องซักไซ้
               
[ ถ่ายรูปทำไม ] เขาถามเสียงขุ่นกว่าเดิม ให้เดา คิ้วเข้มต้องกำลังขมวดแน่นเหมือนเคยแน่ๆ
               
“โชเขาอยากถ่ายรูปโปรโมทร้านเฉยๆ” ผมตอบเสียงหน่าย 
               
[ ชื่อโช? ] น้ำเสียงหาเรื่องสุดๆ

อันที่จริงผมไม่ใช่คนที่ต้องถูกซักไม่ใช่เหรอ แถมเขากำลังพาดพิงไปถึงคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย แบบนี้มันงี่เง่าไปแล้ว

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละครับ แค่ทำงานด้วยกัน” ผมพูดเสียงดังขึ้น และสุภาพขึ้นเพื่อให้เขารู้ว่าผมเริ่มไม่พอใจแล้ว
               
เชนเงียบไป ผมรู้ว่าเขายังข้องใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมตอบคำถามไปตามตรงด้วยความบริสุทธิ์ใจหมดแล้ว
คราวนี้คงถึงคราวผมถามกลับบ้าง
               
“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์” เสียงผมมันเต็มไปด้วยความกังวลมากกว่าความโกรธ
               
และผมก็ค้นพบว่าความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองไม่ใช่ความไม่พอใจที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงอื่นอย่างสนิทสนม แต่มันเป็นความรู้สึกกลัว... กลัวว่าจริงๆ แล้วเขาพร้อมที่จะทิ้งผม กลับไปคบผู้หญิงอีกครั้ง
               
[ ไม่ว่าง ] เขาเงียบไปนาน ก่อนจะตอบกลับมาห้วนๆ
               
แค่นั้นเอง
               
“แต่มีเวลาเช็กเฟส? แชทไลน์ก็มีเวลาอ่านนี่ ไม่คิดจะเจียดเวลาตอบหน่อยเหรอ?” ผมถามยาว รู้สึกกังวลมากจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ พยายามห้ามสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
               
ไม่ชอบเลยที่ไม่ได้คุยกันต่อหน้า กับปัญหาบ้าๆ แบบนี้…อย่างน้อยผมก็อยากเห็นสีหน้าเขา อยากรู้ว่าดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นจะให้คำตอบกับผมยังไง
               
เชนเงียบไปนาน นานมากจนผมคิดว่าเขาตัดสายผมไปแล้ว แต่สุดท้ายผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ จากปลายสาย ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมา [ ขอโทษ แต่เหตุผลมัน... โคตรจะงี่เง่าเลย ]
               
“...”
               
[ โง่ชะมัดที่ยอมทำอะไรแบบนี้ ] เขายังคงพึมพำในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แปลกๆ
               
“เหตุผลอะไร” ผมถาม ไม่ว่าเหตุผลมันจะงี่เง่าแค่ไหนก็พร้อมจะฟัง เพราะมันคงไม่มีอะไรงี่เง่าไปกว่าความรู้สึกของผมตอนนี้แล้ว
               
“เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า” ในเมื่อเขาเงียบ ผมจึงถามต่อ
               
[ อืม ] เขาตอบเสียงเบา
               
เป็นคำตอบที่เล่นเอาผมชะงักไปเลย... หมายความว่ายังไงวะ
               
“เธอเป็นใคร” ผมถามคำถามที่ควรเอ่ยเป็นประโยคแรกที่เห็นเขาโทรมาด้วยซ้ำ
               
[ เจ้านาย ] เขาตอบ
               
สั้นมาก สั้นจนผมขมวดคิ้วถามต่อเสียงเข้ม
               
“ขอคำอธิบายด้วยครับ” เสียงผมนิ่งมาก แต่ตอนนี้ใจผมไม่ได้นิ่งเลย
               
มันกระวนกระวายไปหมด อึดอัดจนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว
               
[ เดี๋ยวนะ ] แต่แทนที่จะตอบ เขากลับเบรกผม ก่อนจะถามกลับ [ นี่หึงเหรอ? ] น้ำเสียงเขาดูประหลาดใจ
               
“...” ผมสิที่ควรจะประหลาดใจ
ทำไมเขาถึงคิดว่าผมจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองหายหน้าไปตั้งหลายวัน แถมมีรูปยิ้มหน้าระรื่นกับผู้หญิงสวยๆ โผล่มาให้เห็นอีก
               
ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับ จะได้ไม่หึง ไม่รู้สึกอะไรเลย
               
[ ให้ตาย ใครกันแน่ที่ควรจะหึง ฉันยังไม่เคลียร์เลยนะว่าตกลงไอ้ตี๋นั่นมันเป็นใคร ทำไมดูสนิทสนม ] แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงวนกลับมาเรื่องนี้อีก กำลังจะเฉไฉโยนความผิดให้ผมหรือไง
               
“บอกแล้วไงว่าเพื่อนที่ทำงาน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ผมตอบ ยืนยันคำตอบหนักแน่น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่เชื่อ
               
[ รู้ได้ไงว่าจะไม่หวั่นไหว หน้าตามันน่ารักขนาดนั้น ]
               
ผมขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ชักจะไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทำไมถึงพูดแบบนี้วะ

“น่ารักแล้วยังไง คิดว่าฉันชอบคนที่หน้าตาเหรอ” ผมขึ้นเสียง ไม่เคยโกรธเขาขนาดนี้มาก่อนเลย

คิดว่าตัวเองงี่เง่าแล้ว แต่เขากลับงี่เง่ากว่าอีก

“แล้วอีกอย่าง... คิดว่าชีวิตนี้ฉันจะรักผู้ชายได้สักกี่คนกัน” ผมขมวดคิ้ว พูดอย่างจริงจัง “คนที่ฉันรักตอนนี้ก็มีแค่
นายคนเดียว ไม่ได้คิดจะมองใคร” ผมไม่เคยมั่นใจขนาดนี้มาก่อนเลย สาบาน
               
[ … ]

“ก็รู้นี่ว่ากว่าจะรู้ใจตัวเอง มันยากเย็นแค่ไหน ฉันไม่ยอมปล่อยความรู้สึกนี้ไปง่ายๆ หรอก”
               
[ … ]
               
“ไม่ยอมปล่อยนายไปด้วย”

เพราะฉะนั้น... ไม่ว่าเขาจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง จะแก้ตัวยังไง ก็พร้อมจะเชื่อเขาทุกอย่าง ต่อให้เขาโกหกและผมต้องกลายเป็นคนโง่ก็ยอม
               
[ ... ] เชนเงียบไป มีเพียงเสียงหายใจที่ลอดผ่านสายโทรศัพท์มาเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าเขายังฟังผมอยู่
               
“ไม่เชื่อเหรอ” ผมขมวดคิ้ว ผมพูดความรู้สึกของตัวเองไปหมดเปลือก ถ้าเขาไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วจริงๆ
               
[ เปล่า ] เขาตอบเสียงเครียด ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมา [ กำลังอดทนอยู่ ]
               
“...”
               
[ พูดออกมาแบบนั้น ตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายไปเลยใช่มั้ย ]
               
“...” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดว่าเขากำลังพูดอะไร
               
[ เชี่ยเอ๊ย ไม่น่าโทรหาเลยว่ะ ] แล้วอยู่ๆ เชนก็สบถออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง น้ำเสียงของเขาดูเครียดมาก จนคนที่คิดว่ากำลังโกรธอย่างผม ถึงกับหายโกรธและเปลี่ยนเป็นเป็นห่วงเขาแทน

[ คิดถึงชิบหาย คิดถึงจนจะร้องไห้แล้ว ] เขาพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงอ่อนแรงจนผมรู้สึกว่าเขากำลังจะร้องไห้จริงๆ แม้ว่าจะจินตนาการภาพเขาร้องไห้ไม่ออกเลยสักนิดก็ตาม 
               
“พี่เชน” ผมเอ่ยชื่อเขา ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกปวดใจแปลกๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของเขา เพราะผมเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้น มันอยากเห็นหน้า อยากกอด อยากจูบ อยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียงหรือเห็นแค่ข้อความแบบที่เป็นทุกวันนี้ แต่เพราะทำแบบนั้นไม่ได้ มันก็เลยเจ็บ
               
เผลอๆ อาจจะเจ็บกว่าตอนที่เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ
               
[ อย่าเรียกแบบนั้น ] เขาเอ่ยเสียงเบาและฟังดูอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก
               
“ขอโทษ” ไม่รู้เหมือนกันว่าขอโทษทำไม รู้แต่ว่ามันเป็นความผิดของผมที่เขาเป็นแบบนี้
               
[ ห้ามขอโทษ ] เขาดุ
               
“...”
               
[ อย่ามาอ้อน ตอนที่กอดไม่ได้ ]
               
“...”
               
[ แล้วถ้าจะหึง ก็มาหึงต่อหน้า ]
               
“...”
               
[ ขอโทษที่ต้องทำให้อึดอัด แต่ว่า ถ้าอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ก็มาดูเอาเอง ] เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ [ มาหาฉัน แล้วจะอธิบายให้ฟังทั้งหมดเลย ]
               
มันเป็นการบังคับกันด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าผม กลับไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย
               
[ มาหาหน่อย ] และเมื่อไม่ได้ยินคำตอบทันที เขาก็เริ่มเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
               
“...”
                 
[ เถอะนะ ]
               
“...”
               
[ นะครับ ]
                 
ให้ตาย แล้วแบบนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไง




-- makok_num --
               

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
บุกไปหาเลยตรี
เขาจะเจอกันแล้วใช่ไหม.  :mew1:
ไม่รู้ทำไมกลัวมาม่าหนักเรื่องครอบครัว

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เหยย

ตรีไปเลย สู้ๆ ขอลางานกลับบ้าน :D ซัก 3 วัน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
..... ให้ไปหาหรอ :katai2-1:
ไปเลยตรี   เชียร์ :mew1:
รอต่อไป  :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
สนุกจังเลยคะ ชอบๆ มาต่ออีกเยอะๆ นะคะ ^^
เป็นกำลังใจให้นักเขียนคะ  :L2:

ออฟไลน์ NUBTANG

  • Nothing is impossible. "[+++++]"
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไปหาเลย เอาให้เคลียร์ ไม่เคลียร์ก็เตะเชนไปเลย!

ออฟไลน์ Glitterycandy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 169
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
พึ่งเข้ามาอ่าน โอ้ยพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง!!

สนุกมากกกกกกกกกก เชนหายไปซะขนาดนั้น นี่เป็นตรีนะโกธรยาว

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
รีบไปเลยตรี ไม่อยากให้เรื่องมันหน่วงแล้วววววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด