♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♡♡ ร้านกาแฟแห่งนี้มีความรักอยู่ ♡♡ by「aonair」 UP! บทที่ 27-ส่งท้าย [จบ]  (อ่าน 12760 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
21



“พี่ซัน เงยหน้าอีกนิดนึงครับ” อตินว่าพลางช่วยเชยคางคนเป็นพี่ขึ้น พักศีรษะไว้บนขอบโซฟา ขณะที่เบสกำลังเตรียมบีบยาหยอดตา

คนเจ็บนอนพักอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้เบสกับอตินเปลี่ยนผ้าก็อซ สาบานว่าตั้งแต่กลับมาจากร้าน อตินกับซันยังจับมือกันแทบไม่ได้ปล่อยเลย และเริ่มจะกลายเป็นภาพชินตาของคนอื่นไปแล้วซะด้วย ยกเว้นก็แต่บางคนที่อาจจะไม่อยากมองน่ะนะ

ขณะที่กำลังล้อมวงกินผลไม้ที่น็อตปอกมาให้ มินก็เดินหน้าเครียดเข้ามาขวางหน้าจอโทรทัศน์ เรียกเสียงประท้วงจากพี่ทุกคน

“เฮ้ย มีไร”

“เป็นไรหน้าเครียด”

“พอดีญาติผมเสียอะครับ อาจจะต้องขอลางานสัก 4-5 วันไปช่วยงาน” มินตอบกลับ ทำให้บรรยากาศหม่นลงแทบจะทันที

“เสียใจด้วยนะ”

“ขอบคุณครับ แต่ก็เป็นญาติห่างๆ”

“จะไปพรุ่งนี้เลยเปล่า เดี๋ยวฉันคุยกับคุณวาโยให้เอง”

เบสรับอาสา พยายามตบบ่าปลอบใจคนเป็นน้อง มินก้มหัวเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปจัดกระเป๋าในห้องนอน ทิ้งให้คนที่เหลือนั่งมองหน้ากันปริบๆ ในที่สุดมาร์ชก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“งั้นช่วงที่มินไม่อยู่ ให้อตินมานอนกับฉันก็ได้”

อตินถึงกับสะดุ้ง ส่วนคนอื่นก็พากันตกอกตกใจแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก แอบเห็นซันขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะรีบคลายออกและปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น็อตกับแจนแอบส่งสายตาปรึกษาหาเบส แต่ทันทีที่มาร์ชถามย้ำ กลับไม่มีใครกล้าขัดได้

“เอ้อ อย่างงั้นก็ได้”

“ได้ไหมอติน?” แจนถาม ทำให้ทุกสายตาหันไปรวมกันที่เจ้าของชื่อ

“เอ่อ ก..ก็ ก็ได้ครับ”

มาร์ชยกยิ้มพอใจ ขณะที่คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งเร่งเร้าความสงสัยในใจของสมาชิกที่เหลือให้เพิ่มพูน พวกเขาว่าจะไม่คิดแล้วนะ แต่ทุกอย่างในช่วงนี้กลับทำให้ต้องคิด...ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่ แล้วถ้าเป็นอย่างที่คาดเดา การที่อตินยอมคบกับซัน จะไม่ยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงหรอกเหรอ?

น่าเป็นห่วงจริงๆ

สามคนนี้.....

 

“วันนี้พ่อกับแม่ของคุณเกลมาที่ร้านด้วยล่ะ” อตินนั่งกอดเข่าอยู่ข้างซันบนเตียง ข้างๆ กันมีน็อตกำลังทาครีมในห้องนอนของตัวเอง

“จริงเหรอ แล้วมีอะไรหรือเปล่า?” รีบถามกลับด้วยความเป็นห่วง จนคนตัวเล็กอดยิ้มขอบคุณไม่ได้

“ไม่เป็นไร เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วรู้เรื่องวีรกรรมของลูกสาว เลยมาขอโทษ”

“ค่อยโล่งอก พี่นึกว่าเขาจะมาขออตินซะอีก”

“ฮ่าๆ บ้าเหรอ” อตินหัวเราะตาหยี ตีแขนซันไปที คนตัวใหญ่ยิ้มขำแล้วยื่นมือออกมาด้านหน้า เขารู้ดีว่าซันต้องการอะไร จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้หลวมๆ

“ถึงขอก็ไม่ให้”

“อื้อ...ไม่ไปอยู่แล้ว”

ซันยิ้มกว้าง ยิ้มแบบที่เคยมีมาตลอด เขาดีใจนะที่เห็นพี่ชายคนนี้กลับมาร่าเริงอีกครั้ง อย่างน้อยในตอนนี้...เขาอยากลืมหัวใจตัวเอง แล้วทำหน้าที่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ตอนนี้เขาเป็นแฟนซัน นั่นคือเรื่องจริง

“ซัน ไปอาบน้ำได้แล้ว” เบสเปิดประตูผ่างเข้ามา แล้วปีนขึ้นเตียงอย่างถือวิสาสะ พยายามดึงคนบ้าที่เอาแต่เกาะแขนอตินไม่ปล่อย

สักพักก็พากันเดินออกไปอาบน้ำที่ห้องของเบส อตินไม่มีเหตุผลอยู่ต่อเลยตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงจริงจังของน็อต เขาหันกลับมานั่งบนปลายเตียง เอียงคอหาคนเป็นพี่อย่างตั้งคำถาม

“อติน”

“ครับ?”

“เราจะคบกับซันต่อไปแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

“....ทำไมละครับ”

“นายน่ะใจอ่อนมากเกินไป” ทั้งคำพูดและสายตา ราวกับจะมองทะลุจิตใจเขาไปซะหมด แถมยังดูเหมือนว่าน็อตรู้อะไรมากกว่าที่คิดอีกด้วย

“อย่างมิน หมอนั่นยังเด็กและเข้าใจอะไรง่าย เรื่องมันถึงจบด้วยดี แต่ซันน่ะไม่ใช่นะ”

อตินหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้าน็อตตรงๆ ด้วยว่าเขารู้ดี ทุกสิ่งที่ได้ยินมันคือเรื่องจริงที่เขารู้แก่ใจดี...เพราะเขาใจอ่อนมากจนไม่อาจเห็นคนสำคัญเสียใจได้ แม้สักคนเดียว แต่แย่หน่อยที่หัวใจของเขามีให้ได้แค่คนเดียว...เพราะงั้นมันถึงเจ็บปวดไงล่ะ

ถ้าเรื่องของมินยังยืดยาวมาถึงตอนนี้ ถ้าเด็กนั่นเอาแต่งอแงและตีหน้ารวดร้าวใส่ทุกวันๆ เขาก็อาจใจอ่อน ยอมรับความรู้สึกมาบ้างก็ได้ แต่เพราะมันจบแล้ว หมอนั่นยอมรับอะไรๆ ง่ายกว่าที่คิด ซึ่งก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นหลายเปราะ ส่วนที่ยังติดค้างก็คือซัน ความรัก ความทุ่มเท ที่ซันให้มา มันมากมายจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ลงคอ ยิ่งมาเจอเรื่องของเกล ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนคนนั้นยอมเสี่ยงเพื่อเขาได้มากแค่ไหน และยอมเสียสละได้มากเพียงใด...

ทำขนาดนั้น แล้วจะให้เขาทิ้งไปอีก...

จะไม่ดูใจร้ายไปหน่อยเหรอ...

“หมอนั่นกำลังเอาเปรียบจากจุดอ่อนของนาย” อตินเงยหน้าขึ้นสบตาน็อตนิ่งๆ เขาไม่นึกอยากได้ยินคนที่คลุกคลีอยู่กับซันมาเนิ่นนาน กล่าวหาว่าร้ายซันแบบนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ไม่อยากให้พูดแบบนี้

“ไม่หรอกครับ...พี่น็อตไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“แต่...”

“ผมเลือกแล้ว...และผมเป็นคนเลือกเอง”

เขาพูดทิ้งท้ายแค่นั้น ก่อนปลีกตัวออกจากห้องอย่างด่วนจี๋ ไม่รอต่อล้อต่อเถียงให้ยืดยาว ก็เขาเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เองนี่นะ เลือกแล้ว ตัดสินใจแล้ว ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขากำหนดเอง อะไรที่ตามมา เขาก็ขอรับผลของมันเอง

ไม่เป็นไรหรอก ให้มันเป็นแบบนี้แหละ ดีซะอีก เขาได้ตอบแทนความรักของซันให้มากเท่าที่จะมากได้...ทำให้ซันกลับมายิ้มกว้างๆ ได้อีกครั้ง บางทีเนื้อเพลงของเพลงนั้นอาจจะมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คิดก็ได้

ผู้ชายคนนั้นจะยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเขาเชียวนะ แถมยังน่าสงสารขนาดไหน คนที่ราวกับว่าไม่เคยถูกเข้าใจ ไม่เคยถูกรัก...วันนี้ซันอาจรอแค่เขาคนเดียว ที่จะสามารถเติมเต็มช่องว่างในจิตใจเหล่านั้นได้ อืม...ถ้ามีแค่เขาที่จะทำได้ เขาก็จะยอมทำ

จะเป็นคนที่เข้าใจ จะเป็นคนที่รักซันเอง...

แบบนี้ไม่ดีเหรอ กับมินเขาก็เคลียร์ได้แล้ว กลายมาเป็นเพื่อนรักที่ซี้กันยิ่งกว่าเดิม กับมาร์ชก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว ได้กลับมาเป็นพี่น้องที่ผูกพันกันเหมือนเดิม แถมนี่ยังได้รับความรักล้นปรี่จากพี่ชายอีกคน

ต้องเรียกว่าโชคดีต่างหาก

แล้วเรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างมีความสุขใช่ไหม...

ใช่ไหม.....

 

ประตูห้องนอนถูกเปิดออก พร้อมภาพของมาร์ชที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกไม่ชินเลยแฮะ ต้องย้ายมานอนห้องนี้แทนที่ซันงั้นเหรอ แล้ว...ต้องอยู่กับมาร์ชสองต่อสองกี่คืนล่ะ

อตินส่ายหัวแล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ ถึงเขาจะแอบชอบมาร์ช แล้วยังรู้สึกว่ามาร์ชมีท่าทีแปลกๆ กับตัวเองขนาดไหน ยังไงปัจจุบันเขาก็เป็นแฟนซัน ไม่ควรคิดเกินเลยอะไรอีกแล้ว เฮ้อ...ก็เลือกไปแล้วนี่ เลือกที่จะดูแลซันแล้ว ก็ต้องตัดใจจากมาร์ชนะ จะปล่อยให้ตัวเองมีความสุข แล้วทิ้งให้ซันซึมเศร้าตลอดไป ได้ยังไง

คนตัวเล็กโดดขึ้นเตียงมาซุกหน้าลงกับหมอนของซัน แล้วสูดเอากลิ่นกายที่คุ้นเคย ใช่แล้ว ตัดใจจากมาร์ชซะเถอะ คนที่ควรจะรัก คือคนที่เพิ่งไปช่วยนายออกมาจากยัยโรคจิต แถมยังยอมเสี่ยงตาบอดเพื่อปกป้องนายเลยนะ ซันคนดีที่อยู่ข้างนายตลอดไง

กล้าทรยศความรักของคนคนนั้นได้ลงคอเหรอ...

ไม่หรอก...ไม่กล้าหรอก...

มันมหาศาลเกินไป...

อุตส่าห์ได้รับมาทั้งใจ เขาคงไม่กล้าขว้างมันทิ้งง่ายๆ หรอก...

“อาบน้ำก่อน แล้วค่อยขึ้นเตียงสิ” เสียงมาร์ชเอ็ดขึ้น ทำให้อตินยู่หน้าเป็นเด็ก แต่ก็ยอมลากสังขารเข้าห้องน้ำไปอย่างว่าง่าย ไม่นานนักจึงกลับออกมาพร้อมกลิ่นสบู่หอมฟุ้ง

“ผมกลิ่นเหมือนพี่มาร์ชแล้วอ่า” อตินแซวแล้วก้มลงดมตัวเองฟุดฟิด เพราะสบู่ที่ใช้มันของมาร์ชนี่น่า

คนตัวสูงกวักมือเรียก เขาเลยปีนขึ้นไปนอนข้างๆ แอบชะโงกหน้ามองจอโทรศัพท์ที่กำลังเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น LINE หน่ะ แชทกับใครแต่หัวค่ำ ทำไมดิสเพลย์เป็นรูปผู้หญิงสวย

“คุยกับใครครับ”

“เพื่อน”

มาร์ชตอบสั้นๆ แล้วรั้งคออตินเข้ามาซบไหล่ตัวเอง มือซ้ายกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนวางทิ้งไว้บนหัวเตียง ปล่อยให้เพื่อนที่ว่ากลายเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น

“ช่วงนี้ที่ร้านเงียบขึ้นเยอะเลยนะครับ” คนตัวเล็กชวนคุยเรื่อยเปื่อย พลางดึงหนังข้างเล็บเล่น

“ก็ไอ้ซันไม่อยู่นี่”

“นั่นสิ อยากให้พี่ซันดีขึ้นไวๆ จัง”

“แล้วเราเหนื่อยหรือเปล่า ต้องคอยไปๆ มาๆ ดูแลมัน” คงพูดถึงเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบป้อนอาหารกลางวัน แต่เขาก็เอาแต่ส่ายหน้า

“ไม่เลย ผมเต็มใจ”

มาร์ชพยักหน้าแล้วลุกขึ้นนั่งเต็มตัว ส่งสายตาบอกให้อตินเข้านอนได้แล้ว คนตัวเล็กก็ว่าง่ายแสนง่าย รีบย้ายตัวเองกลับไปที่เตียงด้านข้าง แทรกร่างเข้าไปในผ้าห่มผืนใหญ่ทันที มาร์ชยิ้มพอใจแล้วชะโงกหน้าตามมา จนสายตาสองคู่ประสานกันแค่เอื้อมมือ

“ราตรีสวัสดิ์” คนเป็นพี่ลูบปอยผมสีน้ำตาลด้านข้าง แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมา ฝากรอยจูบบางเบาไว้บนหน้าผากมน กลิ่นกายหอมฟุ้งโชยขึ้นเตะจมูกจนไม่อยากผละออกไปไหน

“พี่มาร์ช ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”

“หือ” เลิกคิ้วสูง แต่กลับถูกสายตาอ้อนๆ ช้อนใส่

ให้ตาย...ยอมแพ้เลย

คนถูกขอเพียงแค่ยิ้มๆ แล้วลุกไปปิดสวิชต์ไฟ ทันทีที่ห้องมืดและเงียบ เด็กน้อยจึงค่อยๆ งัวเงียจนใกล้จะหลับมิหลับแหล่ รออยู่นานกว่าที่เสียงแหบๆ ของคนข้างตัวจะดังขึ้นแผ่วเบา ราวกับต้องการเพียงแค่กระซิบให้ได้ยิน

“I shouldn't love you but I want to, I just can't turn away.”

มาร์ชไม่ได้ร้องตรงจังหวะสักเท่าไร แต่เขากลับค่อยๆ เปล่งแต่ละประโยค แต่ละคำ ออกมาช้าๆ ชัดๆ สายตาอ่อนโยนระคนปวดใจจับจ้องอยู่บนใบหน้าหวาน ไล่ตั้งแต่เส้นผม ผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท จมูกโด่งรั้น จนถึงริมฝีปากอิ่ม

“Just so you know...this feeling's takin' control of me and I can't help it. I won't sit around. I can't let him win now.”

เสียงเพลงจากปากของมาร์ชดูลึกซึ้งและแฝงความหมายมากมาย แม้แต่คนที่กำลังจะหลับก็ยังอดอดสัมผัสถึงมันไม่ได้ อตินพยายามข่มตาไม่ให้ลืมขึ้น และปล่อยให้สมองซึบซับเสียงแหบพร่านั้นอย่างตั้งใจ ได้แต่คิดว่ามาร์ชกำลังร้องเพลงนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ มันเป็นแค่เพลงเพลงหนึ่ง หรือกำลังจะบอกอะไร?

“Just so you know...”

จุมพิตบางเบาจรดลงบนแก้มเนียนอีกครั้ง ก่อนที่ห้องทั้งห้องจะเงียบลงจนน่ากลัว...

น่ากลัวว่าจะมีใครได้ยินเสียงโครมครามจากหัวใจถึงสองดวง

 

“อติน ตื่น” เสียงตำหนิดังขึ้นข้างหู สร้างความรำคาญให้ร่างเล็กบนเตียง เขารีบกระชับผ้าห่มไว้แล้วงอตัวเป็นกุ้ง

“ตื่นเร็ว”

“อื้ออ” งอแงเหมือนเด็ก แถมยังยกมือขึ้นปิดหูอีกต่างหาก

มาร์ชมองร่างดักแด้บนเตียงอย่างหน่ายใจ แล้วใช้สองมือช่วยดึงหมอนออกจากหัว ได้ยินเสียงศีรษะกระแทกเตียงดังโปก แต่อตินก็ยังมีความพยายามที่จะนอนต่อ แถมยังหันมากระชากหมอนในมือเขากลับไปอีกต่างหาก เออ เจริญ

งั้นลองเจอมุกนี้เป็นไง?

“อติน...” คนตัวสูงนั่งลงบนเตียง เอี้ยวตัวเข้าหาร่างบางที่เอาแต่คุดคู้ อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรแล้วยกขาก่ายหมอนข้างแน่น

มาร์ชยกยิ้มมีเลศนัย แล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงไปใกล้ใบหูเล็ก...ลมเย็นๆ ถูกเป่าออกจากปากแผ่วเบา พอให้อีกฝ่ายระคายเคืองจนถึงยกมือขึ้นปัดแทบไม่ทัน นี่ กลายเป็นเด็กขี้เซาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยากให้เขาเล่นแรงๆ ใช่ไหมฮะ

งั่บ..

“โอ้ย!” ดวงตากลมโตเบิกโพล่ง รีบเด้งตัวลุกขึ้น แล้วคลานหนีออกห่าง สายตาขัดเขินจ้องใบหน้ากรุ้มกริ่มของมาร์ชอย่างนึกคาดโทษ มือเล็กยกขึ้นลูบใบหูแดงฉ่าของตัวเองหลายๆ ที พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อจนปิดไม่มิด

คนบ้าประเภทไหนที่เข้ามากัดหูคนอื่นตอนนอนแบบนั้น แถมยังไม่สำนึกอีก โอ้ยย ไอ้พี่มาร์ช อยากให้เขาหัวใจวายตายงั้นเหรอ!

“พี่มาร์ชบ้า”

“ก็ไม่ยอมตื่นนี่ ไป ไปอาบน้ำได้แล้ว”

คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังปิดหูอยู่อย่างนั้น เรียกเสียงหัวเราะของรูมเมทคนใหม่ได้เป็นอย่างดี อยากจะบ้า! เพราะใครกันล่ะทำให้เขาตื่นยากแบบนี้ ก็เมื่อคืนต้องนอนใกล้กัน แถมยังโดนลอบหอมแก้มกลางดึก เล่นเอานอนไม่หลับเกือบทั้งคืน นี่ยังง่วงอยู่เลย

ผ่านไปพักหนึ่ง อตินกับมาร์ชถึงได้ฤกษ์ปรากฏตัวบนโต๊ะอาหาร มีแจนช่วยป้อนอาหารซันอยู่ อตินเห็นแบบนั้นเลยรีบขอสลับที่แล้วจัดการต่อเอง คนปิดตาจากที่เอาแต่ตีหน้าบึ้ง เลยยิ้มปริ่ม แก้มแทบฉีกออกจากหู

“ทำไมวันนี้ช้าจัง”

“ผมตื่นสายอ่า” อตินหัวเราะแห้งๆ แล้วตักซุปเข้าปากคนเป็นแฟน

“ทำไมตื่นสาย” เบสถามเสียงต่ำ เหลือบมองมาร์ชแวบหนึ่งไม่ให้จับได้

“ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุกน่ะครับ”

“อ่า รีบๆ กินเถอะ เดี๋ยวจะสายกันไปหมด”

ทุกคนพยักหน้าแล้วรีบตักอาหารเข้าปาก ภาพที่อตินคอยดูแลและเอาใจซัน เริ่มกลายเป็นความเคยชินของพี่ๆ ดูเหมือนตั้งแต่เกิดเรื่องเกล ความสัมพันธ์คลุมเครือของสองคนนี้จะพัฒนาไปไวยิ่งกว่าแสง พวกเขาได้แต่เฝ้ามองสองคนนี้ด้วยความเป็นห่วง เพราะเดาไม่ออกจริงๆ ว่าในใจของอติน รู้สึกยังไงกันแน่ ที่ยอมซันขนาดนี้...เพราะรัก หรือเพราะเหตุผลอะไร

คนที่กินข้าวเสร็จแล้ว พากันทยอยออกไปรอนอกบ้าน สุดท้ายก็เหลือแค่อตินคนเดียว ซึ่งยังต้องจัดการกับพี่ชายสุดดื้อ

“ต้องไปแล้วเหรอ”

“ครับ เดี๋ยวกลางวันก็กลับมาแล้ว”

“ไม่อยากให้ไปเลย” ซันอ้อน รั้งข้อมือบางเอาไว้แน่น จนอตินหลุดหัวเราะในท่าทีเด็กน้อยของเขา

“ต้องไปจริงๆ แล้วครับ”

คนตัวเล็กค่อยๆ แกะมือซันออกจากตัว แล้วโน้มหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกทั้งสองคนชนกันผะแผ่ว ซันดูพอใจกับท่าทีนั้น และยอมโบกมือลาแต่โดยดี อตินโบกมือตอบ ไม่ลืมกล่าวคำล่ำลาครั้งสุดท้าย เพราะรู้ดีว่าซันคงมองไม่เห็นมือที่ยกขึ้นกลางอากาศนั้น

“จะลุกจะเดินระวังด้วยนะครับ ผมไปละ”

อตินลดมือลงแล้วเดินตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เขาคงไม่สะกิดใจอะไรแล้ว ถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนติดตลกของคนในบ้านดังแว่วมาให้ปวดใจเล่น

“อย่านอกใจล่ะ”

ครับ...ไม่นอกใจหรอก

 

“สตรอเบอรี่เฟรนช์โทสต์ของพี่แจนขายหมดไวมากเลย” อตินกำลังโฟ่เรื่องขนมเมนูใหม่ของร้าน ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้วางขายจากคุณวาโยเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีซันนั่งฟังอย่างตั้งใจอยู่บนเตียง หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ส่วนน็อตกำลังนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซนนั่งเล่นด้านนอก

“แล้วเราได้ชิมหรือยัง”

“แล้ว อร่อยมากกกก”

“ขนาดนั้นเลยหรอ”

“ใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะจิ๊กมาให้พี่ซันกินนะ” ทั้งสองคนหลุดขำออกมาพร้อมกัน ไอ้เรื่องแผนชั่วนี่เหมือนจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยยังไงไม่รู้ สาบานได้ว่าถ้าน็อตหรือแจนได้ยินเข้า ต้องถูกวีนไปสามวันเจ็ดวันแน่ๆ

“แล้วมินเป็นไงบ้าง”

“ก็โทรมาหาเมื่อช่วงบ่าย บอกว่างานดูยุ่งๆ คงอีกสักสองสามวันถึงจะกลับ”

“เราก็ต้องนอนกับมาร์ช..” ซันพูดเสียงอ่อยแปลกๆ อตินพอจะดูออกเลยรีบเข้าไปเกาะแขนคนตัวใหญ่ให้หายคิดมาก รีบทำเป็นออดอ้อนใส่อย่างติดตลก

“ทำไม หึงหรอครับ”

“หึงสิ”

“โอ๋ ไม่หึงน้า~”

คนตัวเล็กไถแก้มไปกับต้นแขนแกร่ง เรียกรอยยิ้มคืนกลับมาบนใบหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง ซันรีบดันหัวกลมออกห่างเพราะจั๊กจี้ ก่อนจะคลำหามือนุ่มมากอบกุมไว้แน่น ราวกับกลัวว่าคนข้างกายจะหายไปไหน

“พี่รักอตินนะ รักมากเลย”

กี่ครั้งแล้วที่ได้ยินแบบนี้ เขาเอาแต่ย้ำซ้ำๆ เหมือนกำลังกลัวบางอย่าง...

“ครับ รักพี่ซันครับ” อตินตอบกลับเสียงราบเรียบ บีบมือใหญ่เป็นการตอบรับ อย่างน้อยซันก็มองไม่เห็น สีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“กี่โมงแล้ว ง่วงหรือยัง?” ซันรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อห้องทั้งห้องดูเงียบลงจนชวนอึดอัด

“ก็ง่วงนิดหน่อยนะ สามทุ่มแล้วอะครับ”

เพราะต้องตื่นเช้าไปเปิดร้าน พวกเขาเลยมีวิสัยการนอนที่ไม่ดึกนัก ส่วนใหญ่ไม่เกินสี่ห้าทุ่มก็ต้องคลุมโปงแล้ว ยกเว้นบางคืนที่มีเรื่องให้คิดจนนอนไม่หลับเท่านั้น ซันกอดอตินอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กกลับห้อง

ประตูไม้ถูกเปิดขึ้น พอดีกับเสียงมือถือของเขาที่ดังเอะอะ จนมาร์ชต้องยกมือขึ้นปิดหูอย่างรำคาญ อตินก้มหัวเกรงใจแล้วรีบคว้ามือถือบนเตียงขึ้นมากดรับสายทั้งที่ยังไม่ทันได้มองหน้าจอ

(ฮัลโหล)

“พี่เลโอ!” น้ำเสียงตื่นเต้น เรียกให้สายตาคมเหลือบขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับไปสนใจหนังสือเล่มหนาในมือ

(เป็นไงบ้าง สบายดีนะ?)

“ก็...ดีมั้งครับ”

(พี่รู้เรื่องซันแล้ว ไม่เป็นไรแน่เหรอ)

อตินคลานขึ้นไปนอนพิงหมอนบนเตียงตัวเอง พยายามไม่หันไปสบตากับคนบนเตียงข้างๆ แอบแปลกใจเล็กน้อยที่ข่าวความเคลื่อนไหวฝั่งนี้ กระจายไปถึงหูเลโอรวดเร็ว แต่ก็นะ เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ ลูกค้าก็คุยกันปากต่อปากไปเรื่อยแหละ

“พี่ซันเหรอครับ ไม่เป็นไรหรอก หมอรักษาให้แล้ว อีกไม่กี่วันก็ไปเปิดตาได้ครับ”

(เรื่องนั้นพี่รู้ หมายถึงเราน่ะ คบกับซันไม่เป็นไรเหรอ)

เสียงเลโอไม่ค่อยได้เข้าหัวอตินนัก เพราะอยู่ดีๆ มาร์ชก็หันมาสะกิดเรียก แล้วตบมือลงกับเตียงด้านหน้าตัว เหมือนจะบอกให้เขาย้ายไปนั่งใกล้ๆ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไงก็เลยเลื่อนตัวเองไปนั่งคุยโทรศัพท์อยู่หน้ามาร์ชตามนั้น ทำไปทำมาก็เลยใช้อกกว้างแทนพนักพิงหลังซะเลย

“หะ พี่เลโอว่าไงนะครับ?”

(พี่ถามว่า เรื่องที่เรายอมคบกับซันน่ะ ไม่เป็นไรแน่เหรอ?)

“อ้าว รู้ด้วย”

(รู้สิ เรื่องพวกนายมันกระจายไปทั่วแล้วไหมล่ะ)

พวกลูกค้าแฟนคลับทั้งหลายนี่บางทีก็รู้ดีรู้ไวจนน่ากลัวเลยแฮะ แต่เลโอรู้แล้วก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องบอกให้รู้อยู่วันยังค่ำ

“ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ผมกับพี่ซันไม่เข้ากันตรงไหน”

อตินเสร้งพูดให้ดูตลก ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้ตลกด้วยเลย และคนด้านหลังก็คงไม่ตลกเหมือนกัน ถึงได้สอดแขนแกร่งเข้ามาล็อกเอวเขาไว้ซะแน่น คางแหลมวางเกยอยู่บนไหล่ เล่นเอาบ่าเขาทรุดไปข้างหนึ่ง ตัวไม่ใช่เบาๆ นะ ยังจะกล้า

(เอ้า ก็นายชอ..)

“พี่ฮันบิ๊นน” คนตัวเล็กรีบแทรกขึ้นเสียงแหลม แอบเหล่ตามองด้านหลัง กลัวว่าจะทันได้ยิน

(อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกัน)

“ครับ”

(งั้นจะพูดดังๆ เลย) คนปลายสายแกล้งหยอกพร้อมหัวเราะชอบใจ จนอตินเริ่มลนลานอยู่ไม่สุข แต่ถึงงั้นก็ขยับมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีไอ้บ้ากำลังโถมตัวเข้าใส่

“ไม่เอา~ ความลับดิ”

มาร์ชนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น ยิ่งท่าท่างดีใจตลอดเวลาเมื่อได้คุยกับพี่คนสนิทยิ่งทำให้เขานึกหมั่นไส้ วงแขนแข็งแรงเกี่ยวรัดเอวบางเข้าหาตัวยิ่งขึ้น ก่อนจงใจขบเบาๆ ไปที่หูขวาอย่างหยอกล้อ เล่นเอาคนด้านหน้าสะดุ้งจนเกือบทำมือถือหล่น

“อ้ะ!”

(หือ?)

“ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

(มะกี้ร้อง?)

“ยุงกัด...อึ๊!” ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนยุงตัวที่ว่าหาเรื่องอีกรอบ มาร์ชแกล้งใช้ปลายลิ้นแหย่เข้าไปในรูหูที่กำลังขึ้นสีแดงจัด เสียงหัวเราะไม่ค่อยเป็นมิตรดังขึ้นในลำคอ ชวนให้คนตัวเล็กขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา

อตินรีบเบี่ยงตัวหลบทันทีที่สัมผัสถึงความเปียกชื้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นถูหูตัวเองแรงๆ พร้อมหันขวับไปถลึงตาใส่ แต่ดูเหมือนคนซ้อนหลังจะไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด กลับยิ้มกริ่มแล้วโอบร่างเขาไว้แน่นกว่าเดิมจนชักหายใจไม่ออก มาร์ชส่งสายตาเป็นเชิงให้วางโทรศัพท์ แต่อตินยังส่ายหน้าและพยายามคุยต่อ

(มีอะไรหรือเปล่า?)

“เปล่าครับ แล้วนี่พี่เลโอทำอะไรอยู่”

(ชงโกโก้ให้พี่จินน่ะ เห็นบ่นอยากดื่ม)

มือเล็กค่อยๆ แกะแขนหนาออกไปอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายก็หลุดรอดออกมาจากการเกาะกุมจนได้ นี่รัดจนเอวเขาจะคอดอยู่แล้ว ยังมาตีหน้าดุใส่อีก

อตินแลบลิ้นใส่มาร์ชไปทีแล้วกรอกเสียงอ้อนลงไปในมือถือ “คิดถึงโกโก้ของพี่เลโอจัง ไว้ทำให้ผมอีกน้า”

มาร์ชขมวดคิ้วแล้วส่งสัญญาณมือให้เขาวางโทรศัพท์อีกรอบ เขาก็ส่ายหน้าอีกรอบ จนทางนู้นสงบไป แต่นิ่งได้แค่แป๊บเดียวก็เริ่มต้นปริศนาใบ้อันใหม่ คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงระยะแขน มาร์ชใช้มือแตะที่หู ก่อนทำท่ากากบาท จากนั้นจึงแตะนิ้วลงกับปากตัวเอง แล้วยื่นมาแตะริมฝีปากของเขาแผ่วๆ เหมือนต้องการจะสื่อว่าถ้ายังไม่ยอมวางสายอีก จะไม่ได้โดนแกล้งแค่ที่หู แต่คราวนี้จะสอดเข้าไป..ใน..ปาก!

“พ..พี่เลโอ”

รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้นมาบนใบหน้าเรียว พร้อมกับร่างหนาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าประชิด จนเขาเผลอหลับตาหนี รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาบนแก้มทั้งสองด้าน

(อะไรเหรอ?)

“คือ..ผม ผมง่วงแล้วอะ ไว้คุยกันวันหลังนะครับ”

(อ้อ อื...)

ไม่รอให้อีกฝ่ายล่ำลาจบก็รีบกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะผลักอกกว้างตรงหน้าออกห่างอย่างแรง แล้วรีบอพยพตัวเองกลับมาบนเตียงของซัน รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง หวังช่วยปิดบังสีแดงเรื่อบนหน้า

ถ้ามาร์ชยังเอาแต่เล่นแบบนี้

สักวัน...เขาคงต้องกลายเป็นคนทรยศ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
22



“นอนหลับสบายดีรึเปล่า?”

ซันถาม ขณะนั่งอยู่บนเตียงตัวเอง เพราะว่าวันนี้น็อตเป็นเวรไปซุปเปอร์ ซันก็เลยดอดมาอยู่กับอตินในห้องก่อน ถึงแม้จะมีมาร์ชเป็นมารผจญอยู่ไม่ห่างก็ตามเถอะ

“สบายดีครับ แล้วพี่ซันล่ะ?”

“ก็...ดีมั้ง”

“ทำไมอะ”

“ก็พี่น็อตกรนเสียงดังนี่”

คนตัวเล็กขำแล้วลูบผมซันเป็นเชิงปลอบ เอ...วันนี้เบสสระผมให้ด้วยนี่น่า หอมฟุ้งเชียว เป็นกลิ่นแชมพูแบบเดียวกับเบสเป๊ะเลย แปลกดี

“สระผมแล้ว”

“อื้อ พี่เบสเกือบทำแชมพูเข้าตา”

“หะ จริงเหรอครับ อะไรเนี่ย”

อตินส่งเสียงตกใจจนอีกฝ่ายต้องรีบกลั้นขำ เขารีบวางมือลงบนผ้าก็อซเหมือนอยากจะเช็คความเรียบร้อย ดูเหมือนเบสไม่ดูแลซันให้ดีเลย แบบนี้ไม่ได้นะ ใกล้จะเปิดตาเต็มทีแล้ว เขาอยากให้มั่นใจว่าซันจะดีขึ้นและปลอดภัยจริงๆ

“พี่เบสใช้ไม่ได้เลย มินก็ไม่อยู่ ไว้ผมอาบน้ำให้พี่ซันเองดีกว่าไหม”

“ดี” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย

ใบหน้าแดงเรื่อของเพื่อนสนิท ทำให้มาร์ชรู้ทัน รีบพาตัวเองไปนั่งลงข้างซัน ก่อนจะฟาดหัวจอมหื่นไปทีไม่แรงนัก คนโดนตีร้องโอยแล้วยกมือขึ้นลูบจุดนั้นป้อย พยายามหันซ้ายขวาหาตัวตนเหตุ

“ไอ้มาร์ช”

“ไม่ต้องเลยมึง จะใช้งานอตินมากเกินไปละ”

“แต่พี่เบสโหดกับกูอะ” สาบานว่าเขาโดนถูหลังเหมือนเอากระบองเพชรมาขูดเนื้อ ไม่มีการออมแรง หรือความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น

“งั้นเดี๋ยวกูอาบให้มึงเอง”

“ไม่เอาอะ สยอง” ซันทำท่าขนลุกแล้วขยับตัวออกห่าง

“หา ว่าไงนะ”

มาร์ชถามกลับเสียงเข้ม ก่อนพุ่งเข้าไปจี้เอวคนเป็นเพื่อนอย่างจงใจแกล้ง ซันขำตัวงอ พยายามทุบตีไปตามแผ่นหลังแข็งแรง อตินได้แต่นั่งอมยิ้มกับภาพผู้ชายร่างใหญ่สองคนกำลังตะลุมบอนกันแบบไม่ยุติธรรมนัก ก็ซันมองไม่เห็นนี่ มาร์ชเลยได้เปรียบเลย แต่ถึงจะแกล้งกัน ปากทั้งคู่ก็ยังหัวเราะ

“เฮ้ย!” ทั้งสามคนเผลอร้องพร้อมกัน เมื่อร่างของซันเซจนเกือบตกเตียง แต่มาร์ชก็คว้าแขนไว้ทัน ก่อนที่ทั้งคู่จะลงมานอนแผ่บนเตียงพลางหอบเหนื่อย

สรุปเมื่อกี้เล่นอะไรกัน แล้วปกติคนห้องนี่เล่นกันงี้เรอะ

ก๊อก ก๊อก

ประตูถูกเคาะสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดออก พร้อมร่างของน็อตที่แทรกตัวเข้ามา ซันตีหน้าบูดแล้วรีบควานหามืออุ่นของคนรัก พยายามแสดงให้เห็นว่ายังไม่อยากจากไปไหน

“ไป ซัน นอนได้แล้ว”

“ยังไม่ง่วงอ่า”

“แต่อตินง่วงแล้ว ให้น้องนอน เร็ว” คนถูกอ้างถึงตีหน้าเหลอหลา

“อตินง่วงแล้วหรอ?”

ซันเขย่ามือเล็กแล้วถามเสียงอ่อย อตินที่ยังงุนงงรีบหันมองน็อตเพื่อขอคำตอบ อีกฝ่ายรีบขยับปากโดยไม่มีเสียง ให้เขาตอบรับ เพื่อจะได้ลากซันกลับเข้าห้องสักที คนตัวเล็กตีหน้าลำบากใจแต่ก็คงต้องทำ ไม่งั้นซันก็ยังเอาแต่ดื้อไม่เลิก สงสารน็อต ท่าทางเหนื่อยมากแล้วด้วย

“ค..ครับ ง่วงแล้วล่ะ พี่ซันก็ไปนอนเถอะ”

คนตัวใหญ่ยื่นปากเป็นเด็ก จนอตินต้องรีบโถมตัวเข้าไปกอดปลอบหลวมๆ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายเดินไปส่งถึงเตียงนอนในห้องน็อต ซันถึงยอม ทำไปทำมาเหมือนไม่ได้เป็นแฟนกัน น่าจะเรียกว่าพ่อลูกซะมากกว่ามั้ง ยิ่งซันอ่อนแอ ก็ยิ่งทำตัวเหมือนเด็ก

แล้วเขาก็เป็นพี่เลี้ยง ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตกับหัวใจของเด็กคนนี้

เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่กว่าอตินจะเริ่มหาวครั้งแรก มาร์ชที่หันมาเห็นก็เลยถือโอกาสเอ่ยปากชวน เขาคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำแบบนี้

“จะนอนแล้วเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“งั้น...ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม?”

“หะ ตอนนี้?”

“อือ ตอนนี้แหละ”

ไม่รอคำตอบ มาร์ชก็ลุกมาดึงมืออตินขึ้น ก่อนหันไปคว้าเสื้อคลุมบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ พากันเปิดประตูแต่ละชั้นออกไปอย่างเงียบเชียบ มั่นใจว่ายังไม่มีใครได้ยินหรือจับได้ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว

พอออกมายืนตรงถนนหน้าบ้านได้ ถึงเพิ่งรู้สึกขนลุกจากลมเย็น อตินหลับตาปี๋แล้วใช้สองแขนโอบกอดตัวเอง ขนาดสวมเสื้อคลุมแล้วก็ยังหนาวแฮะ อากาศตอนกลางคืนนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย แถมมาร์ชยังเอาแต่พาเขาเดินไปเรื่อยราวกับไม่มีจุดหมาย พอถามว่าไปไหนก็ไม่ตอบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ...ได้มีเวลาอยู่กับมาร์ชแบบนี้ ต่อให้อากาศหนาวแค่ไหน เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

พวกเขาพากันเดินเลาะตามซอยบ้าน ทิศทางตรงกันข้ามกับตัวร้าน ผ่านไปพักหนึ่งก็มาถึงซอยแคบๆ ที่ดูเหมือนทางลัดไปสู่สถานที่บางแห่ง และเขาก็เดาถูก ทันทีที่สองขาก้าวพ้นจากซอยนั้น ภาพแม่น้ำสายหนึ่งก็ปรากฎอยู่ต่อหน้า ตลอดสองฝั่งถูกถมเป็นเนินหญ้าสำหรับชมวิวหรือปิกนิก ประกายระยิบระยับบนพื้นน้ำดูงดงามราวกับคลื่นอัญมณี

“สวยจังเลยครับ” อตินร้องเสียงตื่นเต้น ลืมความหนาวเย็นของลมที่พัดผ่านไปชั่วขณะ

มาร์ชค่อยๆ ประคองมือเขาเดินผ่านถนนเส้นเล็กลงไปเหยียบบนเนินหญ้า แล้วพากันนั่งมองคลื่นน้ำที่กำลังไหลอย่างเนิบช้า จุดนี้สงบมาก แทบไม่มีคนเดินไปมาเลย น้ำตรงนี้ก็ใสแถมไม่ส่งกลิ่น มีแสงไฟสีส้มนวลประดับประดาอยู่รอบๆ

“พี่มาร์ชรู้จักที่นี่ได้ยังไง”

“มีคนแนะนำมา”

“หือ?”

“เพื่อนน่ะ พอดีบ้านเขาอยู่แถวนั้น”

นิ้วเรียวชี้ออกไปด้านหน้า ฝั่งตรงข้าม ถัดจากเนินหญ้าด้านนู้นไป ก็มีบรรดาตึกราบ้านช่องตั้งเรียงรายไม่ต่างกัน สงสัยว่านี่อาจเป็นพื้นที่ของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่ก็คงไม่แปลกนัก เพราะมันไกลจากบ้านพักและร้านอยู่เหมือนกัน กว่าจะเดินมาถึงนี่บ่นในใจไปไม่รู้กี่สิบรอบ แต่ต้องยอมรับเลยว่าคุ้มค่ากับความเมื่อยจริงๆ

“สวยแล้วก็สงบด้วย ชอบมากเลยครับ” คนตัวเล็กส่งยิ้มหวานให้ เล่นเอาหัวใจอีกฝ่ายกระตุกวูบ มาร์ชยิ้มกว้างรับแล้วเอ่ยปาก

“อือ แต่ที่อยากให้ดูน่ะ อยู่บนนู้นต่างหาก”

อตินเอียงคอสงสัยเมื่อมาร์ชชูนิ้วขึ้นกลางอากาศ พร้อมเงยหน้ามองฟ้า พอเขาเงยหน้าขึ้นบ้างถึงเข้าใจ ประกายดาวนับล้านกำลังทอแสงแข่งกันอยู่บนนั้น ชัดเจนกว่าจุดไหนๆ แสงสีขาวมากมายตัดกันดีกับผืนกำมะหยี่สีดำสนิทเบื้องหลัง

“โห...”

สวยงามมาก มากจนไม่รู้จะบรรยายยังไงเลย

มาร์ชเอนหลังลงกับพื้นหญ้าแบบไม่กลัวเลอะ ตามมาด้วยอตินที่คงลืมกังวลเรื่องอื่นไปแล้วเหมือนกัน สองมือของพี่น้องยังคงกอบกุมกันอยู่ไม่หลุด สายตาสองคู่หันมองฟ้าเบื้องบน พวกเขาต่างพากันชี้โบ้ชี้เบ้แล้วหัวเราะมีความสุข หลายครั้งก็จะพากันยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก เมื่อรู้สึกว่าพูดเสียงดังไป ก่อนหลุดขำอีกรอบ

เข็มนาฬิกาเดินผ่านไปรวดเร็วกว่าใจหลายเท่านัก กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว มาร์ชยันตัวเองขึ้นยืนโดยที่ยังไม่ปล่อยมือ เขาก้าวเข้ามาบังวิสัยทัศน์อยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่ดูท่าไม่อยากกลับทั้งที่ดึกมากแล้ว

“กลับได้แล้วนะ”

“โหย ยังไม่อยากกลับเลย อยู่ต่ออีกแป๊บนึงน้า”

อตินงอแง แล้วเขย่ามือข้างที่จับกันไว้แรงๆ และไม่รู้ว่ามันแรงไปหรือพลาดตรงไหน ถึงทำให้ร่างสูงคว้ำหัวล้มตึงลงทับตัวเขาจนจุก

“โอยยย” หนักชิบ หนักมาก!

มาร์ชตกใจ รีบยันตัวเองขึ้นด้วยสองมือ สายตาเป็นห่วงถูกส่งไปให้ร่างแบนด้านใต้ อตินพยายามไม่แสดงว่าเจ็บ แล้วหัวเราะแห้งๆ ดวงตากลมจ้องมาร์ชเหมือนต้องการจะสื่อให้ลุกออกไป หากแต่เขากลับไม่ยอมขยับ...เหมือนถูกสะกดด้วยใบหน้าหวานด้านล่าง เสี้ยวหน้ากระทบแสงสีส้มจากหลอดไฟข้างถนน ยิ่งเสริมให้ภาพต่อหน้าดูสวยงามยิ่งกว่าอะไร น่ามองมากกว่าผืนน้ำ น่าจับจ้องมากกว่าผืนฟ้า

โครงหน้าเรียวของมาร์ชค่อยๆ เคลื่อนตัวลงอย่างเนิบช้า สายตาคมสีนิลแฝงไว้ด้วยเสน่ห์เล่ห์กลบางอย่างที่ทำให้อตินไม่อาจละออกไปได้ สุดท้ายคนตัวเล็กจึงเลือกหลับตาลงพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีชัดเจน เสียงลมหายใจของคนด้านบนดังใกล้แค่คืบ

เสียงก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายดังโครมครามจนน่าอาย มันคงไม่ดีที่ทำแบบนี้...

มันคงไม่ดีแน่...

อตินขมวดคิ้วมุ่นแล้วรีบพลิกตัวหลบในวินาทีฉิวเฉียด พยายามจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้ามากกว่าจะสนใจร่างสูงที่กำลังคร่อมเขาอยู่ ไม่รู้ว่ามาร์ชกำลังตีสีหน้าแบบไหน

โกรธ...ผิดหวัง...หรือ เสียใจ...

บริเวณรอบข้างเงียบตัวลงยิ่งกว่าเคย เงียบ...จนเขานึกกลัว

“พี่ขอโทษ” ในที่สุดมาร์ชก็ยอมเปิดปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดเอาเศษดินเศษหญ้าออกจากตัว พยายามอย่างมากที่จะปัดเอาเหตุการณ์เมื่อครู่ออกจากสมองไปพร้อมๆ กันด้วย

เจ้าของใบหน้าแดงก่ำรีบลุกขึ้นตามแล้วออกตัวเดินกลับไปยังทางที่ผ่านมา ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยตลอดทั้งคืนนั้น...

รวมทั้งตลอดทั้งวันรุ่งขึ้นด้วย

มาร์ชเข้าใจดีว่าตัวเขาไม่ได้มีสิทธิ์ทำแบบนั้น แต่มันก็อดไม่ได้ ในเมื่อหัวใจเขาร่ำร้องหาเด็กนั่นแทบทุกเวลา แต่ความรู้สึกของมาร์ชก็คงเทียบไม่ได้กับที่อตินกำลังรู้สึก...รู้สึกผิดต่อซัน เขาเกือบปล่อยใจไปกับบรรยากาศเมื่อคืนแล้ว และคงแย่มากถ้าเขาไม่หยุดมันไว้ทัน

“พรุ่งนี้มินก็กลับแล้วนี่” เสียงของซันดังขึ้นในโสตประสาท เรียกสติของอตินให้กลับมาเข้าตัว พยายามส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดแย่ๆ ในหัวออก

“ครับ น่าจะช่วงเย็น”

“อืม แล้ววันนี้ที่ร้านเป็นไงบ้าง”

“ก็เหมือนปกติอะครับ” ปกติหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะรู้สึกวันนี้บรรยากาศแถวเคาน์เตอน์จะดูมืดมนยังไงชอบกล

อตินหยิบแอปเปิ้ลชิ้นที่สามป้อนใส่ปากคนตรงหน้าอย่างใจดี ตอนนี้เขาแค่นั่งคุยเป็นเพื่อนซันเหมือนทุกวันบนโซฟาตัวประจำ พี่คนอื่นเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว แถมทีวีก็ไม่มีอะไรจะดู ภายในบ้านก็เลยเงียบเป็นพิเศษ

“แอปเปิ้ลหวานดีนะ”

“ครับ พี่น็อตเลือกเองเลย”

ซันยิ้มกริ่มแล้วเอื้อมมือออกไปแตะๆ อากาศตรงหน้า จนปลายนิ้วสัมผัสถูกแก้มเนียน ก่อนหยอดคำหวานน่าอาย

“แต่อันนี้ท่าจะหวานกว่า”

“บ้า” อตินรีบผละตัวออกแล้วว่าเสียงดุ ใบหน้าขึ้นสีไปกับมุกเมื่อครู่ ซันหัวเราะน้อยๆ ก่อนกลับมาตีสีหน้าจริงจัง เพราะถึงจะเป็นแค่การหยอกเย้า แต่เขาก็เห็นแล้วว่าอตินไม่เคยคล้อยตามเลยสักครั้งเดียว

“อติน...” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นพอให้เจ้าของชื่อนึกหวั่น

“ครับ?”

“ถ้าพี่ต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป อตินจะทิ้งพี่หรือเปล่า?”

คำถามชวนจุกกระแทกเข้าอกเขาดังปัก ภาพใบหน้าของมาร์ชที่ยื่นเข้ามาใกล้เมื่อคืนกลับวนเข้ามาหลอกหลอน ยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียใจต่อคนตรงน้า จานแอปเปิ้ลถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะกระจก ก่อนหันมาจ้องมองคนที่ไม่สามารถสบตาเขาตอบในเวลานี้

“ไม่ทิ้งหรอกครับ”

ซันยิ้มบางก่อนถามต่อ ยิ่งบีบคั้นเขามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“แล้วถ้าพี่หายแล้ว ก็จะเลิกกันหรือเปล่า?”

หัวคิ้วสองข้างย่นเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำถาม เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ ซันกำลังกลัว...กลัวอยู่ตลอดว่าจะสูญเสียเขาไป แล้วแบบนี้จะให้เขาใจร้ายขนาดปล่อยคนอ่อนแอคนนี้ไว้เชียวเหรอ

“ไม่เลิกหรอกครับ” ถ้าจะโทษก็โทษความใจอ่อนของเขานี่แหละ ผิดเองที่ไม่กล้าทำร้ายจิตใจคนตรงหน้าได้อีก

“เหรอ...”

ซันเว้นช่วง สองมือกำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน ร่างหนาตรงหน้าไม่ได้ดูแข็งแรงอย่างที่เห็นเลยสักนิด แม้ตัวใหญ่แค่ไหน แต่อตินรู้ดีว่าความจริงแล้ว ซันตัวเล็กนิดเดียว...เปราะบาง นิดเดียว...

“ต่อให้อตินมีคนอื่นที่รักอยู่ ก็จะไม่ทิ้งพี่เหรอ?”

คนตัวเล็กหน้าชา ดวงตาก้มหลุบต่ำทั้งที่รู้อยู่ว่าอีกฝ่ายคงมองไม่เห็น อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ซันถามคำถามนี้ออกมา ในใจดวงน้อยนึกกลัว...คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่กำมือแน่น การเว้นช่วงไปนานทำให้ซันเริ่มขมวดคิ้วยุ่ง คนโตกว่าเม้มปากสนิทจนอตินต้องรีบตอบรับให้อีกฝ่ายใจชื้น

“ไม่หรอกครับ ยังไงก็ไม่ทิ้งหรอก”

คนถามดูพอใจกับคำตอบ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันถูกคลายออก พร้อมรอยยิ้มที่เผยขึ้นบนใบหน้าสดใส อตินเผลอยิ้มตามออกมาเมื่อเห็นว่าซันสบายใจขึ้นแล้ว มือใหญ่พยายามเอื้อมมาแตะพวงแก้มนุ่ม แต่ก็ดูสะเปะสะปะเหลือเกินจนเขาทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายลดแขนซันลง และขยับตัวเข้าไปหาเอง เขาเดาออกว่าซันกำลังต้องการจะทำอะไร...

อตินพักมือทั้งสองข้างไว้บนบ่าแข็งแรง ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่เพียงแค่ตรงปลายจมูก ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งคู่จะประกบเข้าหากัน อย่างน้อยก็ให้สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าเขาจะยังคอยอยู่ข้างๆ ดูแลซันต่อไป

ตึก...

เสียงคล้ายฝีเท้าของใครสักคนดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้อตินต้องรีบผละตัวออก และกวาดสายตาไปทั่วบริเวณอย่างหวาดๆ มันคงไม่เลวร้ายเท่าไรเลยถ้าคนที่ส่งเสียงดังออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่รูมเมทคนปัจจุบันของเขาในตอนนี้

“พี่..มาร์ช...”

“มาร์ชเหรอ?” ซันตะโกนถาม ทำให้มาร์ชกล้าเดินออกมาจากเงามืด ใบหน้าเรียบเฉยจับจ้องไปที่อตินไม่วางตา

“อือ”

“มีอะไรรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไร กูแค่จะออกไปซื้อของ” มาร์ชตอบกลับแค่นั้น แล้วหันหลังให้ ไม่ลืมทิ้งท้ายไว้อย่างเจ็บแสบ “ขอโทษที่มาขัดจังหวะ”

ไม่ใช่นะ...ไม่ได้อยากให้เห็นสักหน่อย...

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
23



ซันอ้อนให้อตินอยู่คุยด้วยต่ออีกนาน จนปาเข้าไปดึกดื่นแล้วถึงยอมปล่อย จำได้ว่าเกือบสองชั่วโมงที่แล้วเห็นมาร์ชกลับเข้ามาพร้อมเบียร์เป็นลัง ท่าทางน่าเป็นห่วง พอล่ำลากับซันเรียบร้อยเขาก็รีบพุ่งกลับห้องนอนปัจจุบันทันที

ประตูเปิดออก เผยให้เห็นภาพมาร์ชกำลังนั่งกระดกเบียร์อยู่บนพื้น หลังเอนติดกับฟูกเตียงนอน สองขายืดสะเปะสะปะ มีกระป๋องเบียร์เปล่าวางเรี่ยราดไปทั่ว ดูเป็นภาพที่น่าอเนจอนาจยิ่งนัก

“พี่มาร์ช ทำไมดื่มขนาดนี้”

รีบก้มเก็บกระป๋องลงถังขยะ แล้วพาตัวเองไปนั่งลงข้างๆ ตั้งใจจะแย่งเบียร์ในมืออีกฝ่ายมาแต่กลับถูกปัดออก แถมด้วยหางตามาดร้ายแบบที่เขานึกกลัว

“พอได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานนะครับ”

“อย่ามายุ่ง” เขาถูกมาร์ชปัดมือออกอีกครั้งจนขีดความอดทนเริ่มพุ่งลงต่ำ

“นี่ผมเป็นห่วงนะ”

“ไปห่วงแฟนนายเถอะ”

“พี่มาร์ช! พาลแล้ว” คราวนี้อตินไม่ยอม รีบฉกเอากระป๋องเบียร์ในมือมาร์ชมาถือไว้ คนโตกว่าดูหงุดหงิดและพยายามเข้ามาแย่ง แต่ก็ดูยากลำบากเพราะเริ่มไม่มีสติแล้ว

พอเห็นว่าแย่งกลับมาไม่ได้ ก็เลยเลิกสนใจแล้วหันไปเปิดกระป๋องใหม่หน้าตาเฉย อตินต้องยื้อยุดอยู่อีกนานจนเขาชักเหนื่อยเหมือนกัน สุดท้ายก็ปล่อยให้มาร์ชดื่มต่อ ในขณะที่เขาทำได้แค่มองด้วยสายตาเวทนาระคนเสียใจ

อตินหันมองกระป๋องเบียร์ที่เหลือ ก่อนจะคว้ามาเปิดออกแล้วกรอกน้ำสีอำพันเข้าปากบ้าง เล่นเอามาร์ชทั้งอึ้งทั้งงง รีบป่ายมือเข้ามาหวังจะห้าม แต่อตินไม่ยอม ส่งสายตาท้าทายให้พร้อมกระดกน้ำขมอึกสุดท้ายลงคอ

“ถ้าพี่มาร์ชดื่ม ผมก็จะดื่ม”

คนตัวเล็กใช้แขนเช็ดปาก สองสายตาฟาดฟันกันอยู่ครู่ใหญ่ จนมาร์ชยอมส่ายหน้าเหมือนไม่ต้องการใส่ใจ ในหัวเขายังเดือดๆ เพราะภาพที่เห็นเมื่อตอนหัวค่ำอยู่เลย กะว่าจะออกไปซื้อยาสีฟันเพราะใกล้จะหมด กลัวพรุ่งนี้ไม่มีเวลา ดันไปเห็นภาพบาดตาที่อตินจูบซันเข้าให้ และคงไม่เจ็บขนาดนี้ถ้าคนที่เริ่มไม่ใช่ไอ้เด็กบ้าข้างๆ นี่!

สรุปเลยกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างดื่มเบียร์โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน มาร์ชน่ะคอแข็งอยู่แล้ว แต่วันนี้อาจจะมึนมากหน่อยเพราะดันโหมดื่มคนเดียวซะเยอะ ส่วนอติน...รายนั้นไม่ต้องพูดถึง หน้าแดงแจ๋ตั้งแต่กระป๋องที่สอง

“อติน...” คนโตกว่าหันหน้าเข้าหาเจ้าของชื่อที่ดูงงๆ “อตินมาที่ Café de Sept เพื่อเจอพี่ใช่ไหม?”

ดวงตาปรือเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนสติสตังเด้งกลับเข้าหาตัวแทบจะทันทีที่ได้ยินคำถาม ตอนนี้คงเดาไม่ออกแล้วว่าแก้มที่แดงเรื่อเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลหรือฤทธิ์คนกันแน่

“ทะ..ทำไม”

“อติน ชอบพี่หรือเปล่า?”

“ห..หะ”

คนตัวเล็กเริ่มลนลาน ไม่คิดว่ามาร์ชจะยิงคำถามสุดเถรตรงขนาดนี้ หรือว่าเมาแล้ว อะไร ยังไง ทำไมถึงถามแบบนั้น แล้วคาดหวังคำตอบแบบไหน !?

“ว่าไง” มาร์ชเริ่มจี้ พร้อมขยับตัวเข้าหา

“คือ...ผ..ผม...”

“...”

“...”

ตอบไม่ได้...จะให้ตอบว่าอะไร

ถ้าตอบตามหัวใจ ก็เท่ากับทรยศใครอีกคนนะ...

มาร์ชดูผิดหวังที่ไม่ได้ยินคำตอบเนิ่นนาน เขาลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาสับสนของอีกฝ่าย ยิ่งมาร์ชขยับเข้าไปใกล้ อตินก็ยิ่งต้องการถอยห่าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเมื่อแผ่นหลังของเขามันติดขอบเตียง ขาสองข้างชันเข่าขึ้นประชิดตัว พยายามไม่สบตาด้วย

คนเป็นพี่คลานเข้าไปจนได้ยินเสียงหายใจชัดเจน สองแขนแข็งแรงยันขอบเตียงเอาไว้เพื่อล็อกไม่ให้คนตัวเล็กมีทางหนี เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำถามที่จุกอกยิ่งกว่าเดิม

“แล้วอตินชอบซันจริงๆ เหรอ?”

“...”

...ไม่ได้...

นี่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน...

“อติน”

“ไม่รู้...” คนตัวเล็กเอาแต่หลบตา ในหัวปวดจี๊ด ไม่รู้เพราะเบียร์ที่ดื่มไปหรือเพราะอะไรกันแน่ “ผมไม่รู้”

มาร์ชกัดปากตัวเองทีหนึ่งเหมือนเจ็บใจ เขาเหมือนจะเดาออกแต่ก็เดาไม่ออกจริงๆ...ความจริงในใจของเด็กตรงหน้าน่ะ

แขนข้างหนึ่งปลดออกจากการกักกัน เปลี่ยนมาเชยคางมนให้หันมองหน้ากันตรงๆ ความสับสนมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวปะปนอยู่กับหยดน้ำภายในดวงตากลม ยิ่งบีบรัดให้เขาทนไม่ไหว...ต้องสะกดกลั้นความรู้สึกที่รุนแรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน ต้องทนอยู่กับสภาพแบบนี้ไปอีกนานไหม

เขาทนไม่ได้...ทนเห็นคนอื่นได้นายไป ไม่ได้...

“พี่มา..”

ซุ่มเสียงทั้งหมดถูกกลืนหายไปทันทีที่ริมฝีปากอุ่นประกบลงมา อตินรีบขืนตัวหนีแต่ก็ถูกมาร์ชกดไหล่บางเอาไว้ ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้าไปควานหาความหวานปนขมด้านในอย่างชำนิชำนาญ เป็นอีกครั้งที่พวกเขาจูบกันแบบนี้...และเป็นอีกครั้งที่อตินไม่สามารถฝืนร่างกายตัวเองให้ขัดขืนได้

“อืมม..”

มาร์ชพยายามเป็นผู้นำที่ดี ในขณะที่อตินกลับตอบรับอย่างง่กๆ เงิ่นๆ ดูเหมือนฤทธิ์แอลกอฮอลจะส่งผลให้สมองของเขาขาวโพลนและโล่งเปล่า มันคิดอะไรไม่ออก และไม่อยากคิดด้วย...แค่ตอนนี้เท่านั้น...

ไม่ขอคิดอะไรเลยได้ไหม?

“ฮ..แฮ่ก...” คนตัวเล็กหอบน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก มาร์ชยังคงตามมากดจูบลงกับพวงแก้มอุ่น ไล่ไปจนถึงซอกคอขาว จงใจทิ้งร่องรอยไว้บนเนื้อเนียน แทบทุกจุดที่เขาสามารถลากผ่าน

“พี่มาร์..ช”

อตินร้องห้าม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟังสักเท่าไร ถึงจะไม่ค่อยมีสติแต่ก็ยังพอรู้สึกตัว ถ้าเกิดมีรอยไปอวดชาวบ้านพรุ่งนี้ มีหวังกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ตกแน่

“ถ้านายตอบคำถามเมื่อกี้ได้ พี่ก็จะหยุด”

มาร์ชว่าเสียงเด็ดขาด แล้วเปลี่ยนมาช้อนร่างบางขึ้นไปนอนราบบนเตียงนอน เขารีบขึ้นคร่อมอตินไว้ไม่ให้หนี ก่อนกดจูบหนักๆ ลงกับไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อ คนตัวเล็กเม้มปากแน่นเหมือนกำลังโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถหาคำตอบที่ดีพอสำหรับคำถามนั้น

ความมึนงงตรงเข้าจู่โจมทีละเล็กทีละน้อย อตินไม่อาจขัดขืนการกระทำของมาร์ชได้เลย ด้วยว่าไร้เรี่ยวแรงจะต้าน จึงทำได้แค่นอนแผ่หรา ปล่อยให้อีกฝ่ายปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกจากกายชิ้นแล้วชิ้นเล่า

“อื้ออ..”

ลิ้นอุ่นจงใจหยอกล้อไปกับยอดอกสีทับทิม พอที่จะกระตุ้นความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างให้กับอตินได้บ้าง มาร์ชป่ายมือไปมาแทบทุกส่วนของร่างด้านใต้ ก่อนจบลงด้วยการขบติ่งไตข้างหนึ่งเบาๆ

“อ๊ะ”

เจ้าของดวงตาคมเหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กน้อยอย่างพอใจ เขาค่อยๆ ดึงกางเกงในชั้นสุดท้ายออก แล้วเริ่มต้นบทเรียนความเป็นผู้ใหญ่ให้กับส่วนสงวนที่กำลังแข็งขืนขึ้นตามอารมณ์ ร่างเล็กครางฮือไม่หยุดตลอดการปรนนิบัติอย่างเชี่ยวชาญ

“อ๊ะ..อ๊า”

สองมือขยุ้มกลุ่มผมสีแดงบริเวณกลางลำตัว พยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องเสียงดังให้คนด้านนอกได้ยิน แต่ก็ยากเหลือเกิน เมื่อภายในตัวมันรุ่มร้อนจนแทบระเบิดออก

“พี่มาร์ช...ออก..ไป” อตินผลักหัวมาร์ชซ้ำๆ จนคนโตกว่ายอมถอนปากออก มือใหญ่ช่วยรูดรั้งส่วนนั้นอีกสองสามครั้ง น้ำสีขุ่นก็พวยพุ่งออกมา พร้อมร่างบนเตียงที่กระตุกเกร็ง

คนตัวเล็กนอนหอบหนักๆ แต่กลับไม่มีเวลาให้เขาได้พักเลย เมื่อมาร์ชเริ่มปลดเสื้อผ้าของตัวเองออก และเดินไปหยิบถุงยางในกระเป๋าตังค์ออกมาสวมอย่างว่องไว แก่นกายขนาดใหญ่โตปรากฏอยู่ต่อหน้าจนอตินต้องรีบหลบตา ใบหน้าร้อนผ่าว

เขากำลังจะถูกเทวดาลงโทษใช่ไหม?

“อึ๊!”

“ไม่ต้องเกร็งนะ” มาร์ชจูบปลอบตรงขมับ เมื่อคนตัวเล็กเริ่มตกใจกับการแทรกแซง

“เจ็บ...”

“เดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”

ปอยผมสีน้ำตาลถูกปัดออกจากโครงหน้าหวาน ก่อนที่มาร์ชจะบดจูบลงไปบนริมฝีปากอิ่มอีกครั้งเพื่อกลั้นซุ่มเสียงและช่วยคลายความเจ็บจากส่วนล่าง ไม่นานนัก จุดแข็งขืนก็สอดผ่านเข้าไปได้เกินครึ่ง อตินเอาแต่ตีสีหน้าเหยเกแล้วจิกเล็บลงกับกล้ามแขนของเขาจนเป็นรอย

มาร์ชไล่พรมจูบลงไปตามใบหน้าและลำตัวของเด็กน้อย กลับไปหยอกเย้ากับยอดอกชูชันอีกครั้งให้หายเกร็ง เมื่อเห็นว่าอตินเริ่มผ่อนคลอยจึงค่อยๆ ขยับร่างกายเข้าออกเนิบช้า ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความวาบหวามทีละนิด อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลก็ได้ ที่ทำให้คนตัวเล็กไม่นึกรังเกียจการกระทำของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย

“อ้ะ..อ๊ะ”

มาร์ชเร่งจังหวะพลางสูดปาก เมื่อร่างด้านใต้เริ่มตอบรับเขาด้วยการตอดรัดรุนแรง อตินดูทรมานหากแต่ก็สุขสม แขนเรียวเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอหนา แล้วน้าวลงมาแลกลิ้นกันอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

“อื้ม..มม”

“ฮ้า...”

คนด้านบนถอนจูบออก แล้วกัดเบาๆ ไปตรงปลายจมูกโด่งรั้น อตินยู่หน้าก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้องมองมาด้วยสายตาแบบไหน... แววตาของมาร์ชดูสื่อความหมายมากมาย เหมือนว่ากำลังดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน

อตินวางแขนลงระดับข้างศีรษะ ให้หลังมือราบไปกับพื้นเตียง ก่อนที่คนด้านบนจะเลื่อนมือมาสอดประสานไว้กับมือของเขา มันดูอบอุ่นยิ่งกว่าการกระทำไหนๆ และก็พอจะทำให้ใครบางคนเลิกส่งสายตาแฝงความเศร้าสร้อยมาให้ได้บ้าง มาร์ชกุมมืออตินไว้แน่น ก่อนกระแทกร่างกายเข้าไปรุนแรงกว่าเดิม

“อ๊ะ...อ๊าา”

“พ..พี่มาร์ช..” คนถูกเรียกโน้มหน้าลงไปซุกไซ้อยู่กับใบหูแดงแจ๋ ทั้งขบทั้งแหย่อย่างไม่สนใจเสียงทักท้วงเท่าไร

“หือ?”

“อย่าแรง..นักสิ...”

คนตัวเล็กพูดไปหอบไป หยดน้ำใสเริ่มซึมออกมาจากขอบตาทั้งสองข้าง มาร์ชต้องรีบสะกดอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านในตัว แล้วปรับความเร็วให้อ่อนลงตามลำดับ ค่อยๆ จูบซับน้ำตาให้ร่างข้างใต้อย่างอ่อนโยน

“ขอโทษที พี่ทนไม่ไหว” มาร์ชยกยิ้ม แล้วหอมฟอดเข้ากับแก้มใส “ก็เราน่ารัก”

อตินรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างแดงซ่านไปหมด ยิ่งได้ยินซุ่มเสียงแปลกๆ รวมทั้งสภาพเปลือยเปล่าของพวกเขาทั้งคู่ มีหยดเหงื่อเกาะไปต่ามส่วนต่างๆ ก็ยิ่งดูน่าอายจนแทบอยากหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น

“มาทำมันให้จบไปพร้อมกันเถอะ” มาร์ชเอ่ยปากหลังจากเล้าโลมคนด้านล่างต่อจนพอใจ อตินหลุบตาแล้วพยักหน้าช้าๆ ท่าทีขัดเขินยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าดูน่ารักจนเขาเกือบถึงซะเดี๋ยวนั้น

ภายในห้องนอนของมาร์ชกับซัน บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงครวญครางด้วยแรงอารมณ์พุ่งพล่านจากหนึ่งเจ้าของห้อง และหนึ่งผู้เยี่ยมเยียน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทั้งหลายทั้งปวงที่ยึดถือมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ถูกปลดเปลื้องออกไปในเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนจะปล่อยใจให้จมลงไปในเหวลึกสุดลึกที่เรียกกันว่า ความต้องการ

แล้วมันจะผิดมากไหม ถ้านี่คือความต้องการ ที่แฝงไว้ด้วยความรัก...

 

เจ้าของร่างกำยำกระพริบตาถี่ทั้งที่ไม่ได้ลืมตาภายใต้ผ้าก็อซสีขาวสะอาด รู้สึกแสบตาขึ้นมาเอากลางดึก เสียงกรนแบบหลับลึกสุดๆ ของน็อตยังคงดังน่ารำคาญมาหลายชั่วโมงแล้ว ซันยันตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ คลำทางไปจนถึงประตู เขาเกรงใจเกินกว่าจะปลุกน็อตที่เหนื่อยมาทั้งวัน และคิดว่าควรช่วยตัวเองบ้าง

ดูเหมือนว่าเมื่อตอนหัวค่ำจะลืมขวดน้ำยาหยอดตาไว้แถวโซฟา เพราะดันหยิบไปอ้อนให้อตินหยอดให้ จากห้องน็อตไปถึงห้องนั่งเล่นก็ไม่ไกลมาก แค่ต้องเดินผ่านห้องของมาร์ชกับมินแล้วเลาะออกด้านซ้ายนิดหน่อย อืม บ้านนี้อยู่มากี่ปีแล้ว แค่ปิดตาเดินน่ะสบายมาก

มือใหญ่คลำทางไปตามพนังบ้าน ไล่ไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ประตูห้องนอนที่เขาพักพิงมาตลอดระยะเวลาการทำงาน ได้ยินเสียงกุกกักประหลาดดังแว่วออกมาพอให้เขาสงสัย นี่มันก็น่าจะดึกมากแล้ว ทำไมสองคนนั้นยังไม่นอนอีก เขาวางสองมือไว้กับบานประตู แล้วแนบหูลงไปเพื่อฟังเสียงนั้นให้ถนัดอีกครั้ง

“อื้อ..ออ”

เสียงของเตียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ ดังปะปนกับเสียงครางฮือของสองคนที่เขาคุ้นเคยดี ก้อนเนื้อในตัวเริ่มสูบฉีดรัวแรง พร้อมกับความหวาดหวั่นที่กำลังตีรวนขึ้นมาจุกอก สาบานว่าถ้าไม่มีผ้าก็อซกดอยู่ ตอนนี้เขาคงกำลังเบิกตากว้างค้างเติ่งอยู่เป็นแน่

“พี่มาร์ช...พี่มาร์ช..”

ชื่อของเพื่อนสนิทดังออกจากปากของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟน เสียงครางหวานยังคงดังระงมราวกับมีความสุขกันนักหนา ไม่ต้องเดาเลย ว่าทั้งคู่กำลังทำอะไรอยู่ใต้จมูกสมาชิกคนอื่นแบบนี้...

ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เขากลับไม่อยากเชื่อ...ปวดหัวคล้ายว่าอยากปฏิเสธสิ่งที่ได้ยินและรับรู้ มือข้างหนึ่งลดลงมาทาบกับอกซ้าย หัวใจที่เคยเต้นเป็นบ้า บัดนี้ ค่อยๆ สงบจนแทบจะหยุดไปเลยด้วยซ้ำ ทุกเสียงที่ได้ฟัง ราวกับเข็มนับพันที่ทิ่มเข้ามาอย่างไม่คิดปราณี

ซันทรุดตัวลงกับพื้นช้าๆ ดวงตาสองข้างปิดสนิท แต่กลับมีหยดน้ำไหลรินออกมา ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อเก็บกลั้นเสียงคร่ำครวญที่อาจหลุดลอด ได้แต่ตะโกนอยู่ในหัวสมองตัวเองคล้ายคนบ้า...บ้า...ที่เชื่อ...

เชื่อคำพูดที่บอกว่าจะไม่ทิ้งกัน

บ้า...ที่เชื่อซะสนิทใจ...

“อึ่ก..ก” คนตัวสูงขมวดคิ้วยุ่งยิ่งกว่ายุ่ง พยายามอย่างมากแล้วที่จะไม่ส่งเสียงใดๆ

แม้อยากหนีไปให้ห่างจากตรงนี้ แต่สองขากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะประคองตัวเองให้ลุกขึ้น มือสองข้างย้ายขึ้นมาปิดหูเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงจากภายนอก ปล่อยให้เสียงร่ำร้องในหัวเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุด ร่างหนาคดงออยู่กับพื้นเย็นเฉียบเพียงลำพัง น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลออกมาง่ายๆ กลับหยุดไม่ได้เอาเสียดื้อๆ

ดูไม่ได้เลย...ซัน...ดูไม่ได้เลย

ภาพรอยยิ้มของเด็กคนนั้นยังคงฉายขึ้นมาในหัวชวนให้คิดถึง คำพูดจริงใจกับแววตาสดใสนั้น เขานึกหลงรักมาตั้งแต่แรกจนถึงวินาทีนี้ คิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะปกป้องสิ่งสวยงามนั้นไว้ให้ได้ด้วยตัวเขาเอง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัว...ไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้อง

เหมือนว่าไม่ได้ต้องการเขาเลย...ด้วยซ้ำ

คงต้องรีบไปเอายาหยอดตาแล้ว...เพราะอยู่ดีๆ มันก็แสบไปหมด ร้อนผ่าวไปหมด...ถ้าหูไม่ได้ยินแทนก็คงจะดีใช่ไหม จะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวด้านหลังประตู

ไม่ต้องรับรู้เรื่องที่อตินกำลังจะกลายเป็นของใครคนอื่น

ซันกัดปากตัวเองแน่นแล้วค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล หลังมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วคลำทางออกไปด้านอื่น เส้นเลือดปูดโปนปรากฏบนขมับและกำปั้น แสดงให้เห็นถึงระดับความเครียดยิ่งกว่าปกติ แม้ว่าคืนนี้จะเงียบสงบขนาดไหน ในหัวของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยสุ้มเสียงน่ารังเกียจเมื่อครู่ เล่นซ้ำไปซ้ำมาให้รู้สึกเจ็บปวดไม่รู้จบ

ใครจะหาว่าเขาขี้โกงเรื่องอตินยังไง แต่เขาขอบอกเลยว่า...


ผู้ชายชื่อมาร์ชคนนั้น...


ขี้โกงกว่ามาก

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ Sirada_T

  • We Will [Luk] You!!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
ฮืออออ กำลังมาม่าเลย มารอนะคะ จะร้องไห้แล้ววววว

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
24


เจ้าของผมสีแดงขยี้ตาตัวเองสองสามที เขาเผลอตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืดเพราะเสียงสะอึกสะอื้นข้างตัว ร่างบางสั่นไหวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันชวนให้เขานึกเป็นห่วง แขนแกร่งวาดเข้าไปโอบรั้งร่างนั้นเข้ามากอดปลอบ พร้อมกดจูบหนักๆ ลงกับหัวไหล่มน

“ฮึ..ก”

“อติน ร้องไห้ทำไม?”

“ผม..ทำผิด...” อตินตอบกลับเสียงสั่น ขณะที่มาร์ชเลิกคิ้วสงสัย

“ทำผิดอะไร?”

“ทำผิด..ต่อพี่ซัน...”

คนตัวเล็กเฉลยพร้อมปล่อยน้ำตาออกมาอีกระลอกใหญ่ เขาเพิ่งจะงัวเงียตื่นขึ้นก่อนมาร์ชไม่เท่าไร ฤทธิ์แอลกอฮอลในร่างกายลดลงพร้อมกับสติที่กลับคืนมา เพิ่งได้ทบทวนทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยิ่งอยากจะทุบอกตัวเองให้แหลกละเอียด

ทั้งที่เตือนตัวเองอยู่ตลอดว่าจะไม่เผลอใจอีกแล้ว ทั้งที่บอกว่าจะต้องรับผิดชอบความรักของซัน แต่ตอนนี้เขากลับทำลายมันอย่างโหดเหี้ยม นึกไม่ออกเลยว่าจะมีหน้าไปเจอกันได้ยังไงดี

แค่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเดียว...ทำลายความพยายามทั้งหมดลงง่ายดาย

“ผม..เกลียดตัวเอง...พี่มาร์ช ผมเกลียดตัวเอง...” อตินยกมือขึ้นกุมหัวแล้วยิ่งงอตัวเหมือนเด็กเก็บกด มาร์ชได้แต่มองคนในอ้อมกอดด้วยสายตาเย็นชา...

ราวกับว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นฝันดี ที่แค่ตื่นมาก็หายไป...

“พี่ผิดเองอะ พี่เป็นคนเริ่ม”

“ฮือ..อ”

“แต่ที่พี่ทำไป เพราะพี่รักเรานะ”

เสียงสะอื้นหยุดไปทันทีที่ได้ยิน อตินรีบพลิกตัวกลับมาประสานสายตากับมาร์ช ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งดี

“พี่มาร์ช...ว่าไงนะครับ?”

“พี่บอกว่าพี่รักอติน” มือใหญ่เช็ดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน ถึงแม้ว่าภายในเขาจะนึกโกรธอยู่หน่อยๆ เพราะตื่นมาก็เอาแต่พูดถึงซันเลย แถมยังทำเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นเรื่องผิดพลาดมากจนรับไม่ได้ขนาดนั้นอีก

“ร..รัก?”

“ใช่ รัก แบบคนรักคนหนึ่ง”

ดวงตากลมสั่นไหวด้วยความสับสน เขาอยากจะดีใจที่ได้ยินแบบนี้ ในเมื่อความจริงเขาเองก็รักมาร์ชมากเหมือนกัน แต่ยิ่งได้รู้ เขาก็ยิ่งเสียใจ เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่...คงไม่สามารถทำให้เขาทั้งคู่รักกันได้ ที่สำคัญ เขาไม่สามารถทรยศความรักของซัน...

ยังไงก็ทำไม่ได้จริงๆ

ก่อนที่จะรู้สึกผิดบาปมากไปกว่านี้ เขาคิดว่าเขาควรหยุดมัน...ได้แล้ว...

“แต่ว่า...ผมมีพี่ซันอยู่นะ” อตินรีบผลักอกกว้างออกห่าง เมื่อมาร์ชตั้งท่าจะโน้มตัวเข้ามาใกล้

“แต่อตินไม่ได้รักซันไม่ใช่เหรอ?”

คำพูดจุกอกทำเอาคนตัวเล็กหน้าชา เขาเม้มปากแน่นแล้วจ้องมาร์ชเขม็ง ต่อให้เขาจะรู้สึกดีกับมาร์ชมาก หรือต่อให้มาร์ชจะรักเขายังไง เขาก็ไม่ได้ต้องการได้ยินคำพูดโจมตีแบบเมื่อครู่ อย่างน้อยมาร์ชควรนึกถึงจิตใจซันด้วย โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้

“ผมจะรักพี่ซันหรือไม่ก็เรื่องของผม” อตินผละออกจากอ้อมกอด แล้วลุกขึ้นนั่งจนเผยให้เห็นแผ่นอกเปลือยเปล่า “แต่ความจริงคือเขายังเป็นคนรักของผมอยู่ และเราไม่ควรทำแบบนี้”

“อตินจะปกป้องมันไปถึงเมื่อไร?” มาร์ชลุกขึ้นมาบ้าง สายตาโกรธเคืองถูกส่งออกมาสู้กัน

“...”

“พี่ไม่สนใจว่าอตินจะรู้สึกผิดบ้าบออะไรกับมัน แต่พี่รักอติน และพี่จะไม่ถอย”

น้ำเสียงจริงจังถูกเปล่งออกมาอย่างกระแทกกระทั้น มาร์ชไม่รอให้อตินเถียงกลับ ก็ลุกออกจากเตียงแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที คนตัวเล็กนั่งขยุ้มผ้าห่มแน่นพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอีกรอบ

การที่เรื่องราวดำเนินมาเป็นแบบนี้ บางทีอาจเป็นการกลั่นแกล้งครั้งใหญ่ของโชคชะตา เพราะต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็คงยังตอบรับซันแบบนั้นอยู่ดี หรือบางที...อาจจะต้องโทษหัวใจที่หวั่นไหวของตัวเขาเอง...

ความหวั่นไหวที่ไม่อาจตัดใจเลือกแค่ทางใดทางหนึ่งและปล่อยให้แค่ใครสักคนเจ็บปวด...

สุดท้าย มันก็กลายมาเป็นบทลงโทษ ที่ทำให้ทุกคนเจ็บช้ำเท่าๆ กันแทน...

 

“ทำไมพี่ซันทานน้อยจัง”

อตินรีบทักเมื่อก้าวมาถึงโต๊ะอาหารและเห็นข้าวผัดไข่ยังพูนจาน วันนี้ดูเหมือนทุกคนจะพากันตื่นเช้ากว่าปกติโดยมิได้นัดหมาย เบสกับน็อตกินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนั่งดูทีวีรอตรงโซนนั่งเล่น เหลือแจนที่พยายามป้อนข้าวคนหัวรั้น

“อ้าว แล้วนี่ไปโดนอะไรมาครับ” น้ำเสียงตกใจดังขึ้นเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้ข้างซันออก แล้วเพิ่งสังเกตเห็นพลาสเตอร์บนหน้าผากอีกฝ่าย แจนวางช้อนในมือแล้วเป็นคนช่วยอธิบาย

“เมื่อคืนพี่ซันเดินออกมาหยิบยาหยอดตาคนเดียวน่ะสิ เลยพลาดหัวกระแทกพาทิชั่นตรงห้องนั่งเล่น พี่น็อตต้องตื่นมาทำแผลให้กลางดึก ตกใจแทบแย่”

คนตัวเล็กฟังแจนเล่าไป ทั้งที่ใจเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัวบางอย่าง ซันออกมาข้างนอกเมื่อคืนนี้เหรอ แล้วไปห้องนั่งเล่น ก็ต้องเดินผ่านของพวกเขาน่ะสิ แล้ว...ได้ยินอะไรไหม...ทำยังไงดี...หรือว่าได้ยินแล้ว รู้แล้วเหรอ...

“อติน!” เสียงแจนตะโกนเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์

“ค..ครับ?”

“พี่บอกว่าช่วยป้อนข้าวซันต่อหน่อย พี่จะไปคุยโทรศัพท์”

“อ๋อ...ได้ครับ”

“ขอบใจนะ”

แจนเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร สวนกับมาร์ชที่เพิ่งได้ฤกษ์แงะตัวเองออกจากห้องพอดี คนหัวแดงเหลือบมองซันครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ อติน ซึ่งทำเป็นไม่สนใจเขาอยู่

“พี่ซัน...ทานอีกหน่อยนะครับ” ช้อนข้าวผัดถูกตักไปจ่อตรงหน้า แต่คนตัวใหญ่ก็ไม่มีทีท่าจะอ้าปากออกจนอตินต้องกล่อมซ้ำ

“เดี๋ยวหิวนะครับ”

คราวนี้เขาเอาช้อนเข้าไปแตะริมฝีปากอีกฝ่าย แต่ซันกลับนิ่งแถมยังเบือนหน้าหนี ไม่พูดไม่จาจนน่าสงสัย คนตัวเล็กหน้าซีดลงเรื่อยๆ กลัวว่าสิ่งที่กลัว...จะเป็นจริง

“ข้าวผัดไข่ฝีมือพี่น็อตน่ากินออก ทำไมพี่ซันไม่อยากกินน้า” ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามทำตัวร่าเริงให้เป็นปกติเข้าไว้ อย่าร้อนตัว...

เขาเริ่มตักข้าวในจานตัวเองเข้าปากบ้างระหว่างรอให้จอมดื้อยอมอ่อนข้อ ส่วนมาร์ชก็นั่งกินข้าวส่วนของตัวเองไปเงียบๆ ค่อยดีหน่อยที่ยอมไม่ปริปากพูดอะไร ถึงแม้บางครั้งจะชอบเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนด้วยสายตาเหนือกว่าจนน่าหมั่นไส้ขนาดไหนก็ตาม

“ผมไปหยิบน้ำมาให้พี่ซันดีกว่า”

อตินผละออกจากโต๊ะกินข้าวไปทางตู้เย็น มีมาร์ชเดินตามมาติดๆ คนตัวสูงโอบรั้งสะโพกมนเข้าหาจนอีกฝ่ายเกือบหลุดเสียงร้อง รีบตวัดสายตากลับไปทางซันบนโต๊ะ แม้รู้ดีว่าคงมองไม่เห็น แต่ก็อดระแวงไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้แค่ปลายจมูกเช่นนี้

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานหรอก” มาร์ชพูดเองเออเอง ไม่สนใจสายตาถมึงทึงที่ส่งมาเหมือนต้องการให้ปล่อยมือจากตัวด้วยกลัวใครมาเห็น

“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”

“ตอนออกจากห้องยังเห็นจะล้มอยู่เลย”

“เปล่า....งุ่ยย” อตินยู่หน้าเมื่อมาร์ชก้มลงมากัดปลายจมูกเขาเบาๆ

“อย่าดื้อ”

เสียงทุ้มดังทิ้งท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปหาสมาชิกคนอื่นตรงห้องนั่งเล่น ปล่อยให้เด็กดื้อที่ว่ายืนนิ่งหน้าขึ้นสี ทั้งที่ความรู้สึกผิดเริ่มตีขึ้นมาจุกอกอีกครั้ง อตินรีบสะบัดหัวไล่เหตุการณ์เมื่อครู่ออก แล้วยกแก้วน้ำอุ่นกลับไปหาคนบนโต๊ะ ตอนนี้มีแค่เขาสองคนอยู่ในบริเวณนี้

“พี่ซันดื่มน้ำสักหน่อยนะครับ” พยายามยกแก้วน้ำจ่อปาก แต่ซันก็ยังเฉยและไม่โต้ตอบใดๆ จนเขาชักเป็นห่วง

“ถ้าพี่ซันยังไม่ยอมกินอะไรเลย งั้นผมก็จะไม่กินเหมือนกัน”

เสียงรวบช้อนดังขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนตัวเล็กพูดจริง ซันยังคงนิ่งไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยจนผ่านไปหลายนาที อตินเองก็ไม่ขยับช้อนตักข้าวเข้าปากเหมือนกันทั้งที่ท้องว่างจนเริ่มปั่นป่วน ก็เมื่อกี้เขากินไปได้แค่สามคำเองมั้ง แต่ช่างปะไร ถ้าซันยังดื้อด้าน เขาก็ดื้อได้ แล้วมาดูกันว่าใครจะยอมก่อน

“อติน เห็นมาร์ชบอกว่าไม่ค่อยสบาย วันนี้ก็อยู่บ้านละกันนะ” น็อตเดินกลับมาลูบหัวคนตัวเล็กสังเกตเห็นจานข้าวที่ยังไม่ลดลงเลยบนโต๊ะ

“รีบๆ กินข้าวสิ แล้วจะได้พักผ่อน เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก พวกพี่ไปละ”

“ฝากดูแลไอ้ซันด้วยนะอติน แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย” เบสเดินผ่านมาสั่งเสีย แล้วจึงก้าวขาออกจากบ้าน

คนที่เหลือทยอยตามออกไป จนทั้งบ้านเงียบสงบ เขาและซันยังคงปั้นหน้าตึงใส่กันโดยไม่มีใครพูดอะไรราวกับกำลังแข่งขันอะไรบางอย่างผ่านทางโทรจิต ทุกครั้งที่อตินพยายามยื่นช้อนเข้าไปไปใกล้ ซันก็จะเบือนหน้าหลบไม่ยอมแม้แต่เผยอปากออก

โคร่ก...

ในที่สุดเสียงท้องร้องก็ดังขึ้นพอให้คนตัวเล็กเขินอาย อตินรีบก้มลงลูบหน้าท้องตัวเองหวังให้มันสงบ แต่กลับไม่เป็นผล แน่ล่ะ คนกินจุแบบเขา อยู่ดีๆ ให้มานั่งมองข้าวตาแป๋วโดยไม่ได้แตะมันยิ่งกว่าทรมานซะอีก แต่จะทำได้ไง...เขาคงไม่มีหน้านั่งกินข้าวสบายใจคนเดียว ทั้งที่คนข้างๆ ยังงอนอะไรอยู่ไม่รู้ ถึงเขาจะหิว แต่ซันก็คงหิวเหมือนกัน...มั้ง

โครกก...

ซันเผลอขมวดคิ้วไปตามเสียงร้องจากท้องอีกฝ่าย นี่เด็กนั่นคิดจะไม่กินข้าวตามเขาจริงดิ ทั้งที่ตัวเองหิวจนปิดไม่มิดเนี่ยนะ บ้าหรือบ้ากัน...อติน ทำไมชอบทำให้เขาเป็นห่วงตลอด แม้แต่ในเวลาที่เขาสมควรเป็นห่วงตัวเองมากที่สุดก็ตาม ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ทั้งที่ในอกน่ะยังเหมือนโดนไฟสุม ทั้งที่ในหัวสมองยังเต็มไปด้วยสุ้มเสียงน่าเจ็บปวดเมื่อคืน แต่ทำไมถึงต้องใจอ่อนกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ด้วย

“กินข้าวเถอะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาในท้ายที่สุด อตินฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบตักข้าวผัดคำใหญ่ป้อนให้ ก่อนที่จะตักเข้าปากตัวเองซะอีก

พวกเขานั่งกินข้าวกันต่อเงียบๆ ซันถามคำตอบคำจนน่าสงสัย แต่อตินกลับไม่กล้าถามออกไปตามตรง เหมือนกับว่าลึกข้างในใจของเขากำลังกลัวบางสิ่ง...กลัว จากความผิดที่ติดตัว

“แล้วที่ไม่สบายน่ะ เป็นอะไร” คำถามแรกจากซันถูกส่งมาให้ พอให้เขาโล่งใจนิดหน่อยที่อย่างน้อยก็ยอมคุยด้วยดีๆ แต่อีกใจกลับไม่นึกอยากได้ยินคำถามนั้นเลย เพราะนั่นแปลว่าเขาต้องเริ่มโกหกคำโตอีกครั้งหนึ่งแล้ว

“เอ่อ...ปว..ปวดหัวนิดหน่อยครับ”

“ทำอะไรถึงปวดหัว”

“ม..ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่เป็นอะไรมากหรอก พี่ซันไม่ต้องห่วงนะ”

“พักผ่อนน้อยหรือเปล่า เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ?” ซันเริ่มจี้ ในใจร้อนรุ่มด้วยนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องเมื่อคืน สองมือลอบกำหมัดแน่นเพื่อสะกดกลั้นความโกรธที่กำลังไหลเวียน

“เปล่า...เปล่านี่ครับ ก็นอน...ปกติ”

“อืม...แต่เมื่อคืนพี่นอนไม่ค่อยหลับ พาพี่ไปพักหน่อยสิ” อตินแอบถอนหายใจเบาๆ ค่อยโล่งอกที่ซันเลิกซักไซ้ เขายืนขึ้นแล้วยื่นมือออกไปให้ซันพึ่งพิง

“ครับ ไปนอนที่ห้องพี่น็อตเนอะ”

“ไม่ล่ะ” ซันรั้งมือบางไว้ก่อน แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ ชวนให้คนได้ยินใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “พี่อยากกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”

จะเข้าไปได้ยังไง เขากับมาร์ชเพิ่ง...พ..เพิ่ง...แบบว่า เพิ่งมีเรื่องแบบนั้น แล้วเมื่อเช้าก็รีบร้อนออกมากินข้าว เขาไม่รู้ว่ามาร์ชที่ตามออกมาทีหลัง ได้จัดการห้องให้เรียบร้อยหรือยัง มันไม่ใช่คราบไคลที่อาจหลงเหลือนะ แต่นั่นรวมถึงกลิ่นคาวประหลาดที่คลุ้งอยู่ด้านในด้วย และเขาก็ไม่คิดว่าซันจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร!

“เอ่อ...แต่ห้องมันรกนะพี่ซัน งั้นผมขอไปจัดเตียงให้พี่ซันก่อนดีกว่า รอแป๊...”

“จะไปปกปิดร่องรอยอะไรหรือเปล่า อติน” มือใหญ่ไม่ยอมปล่อยออกจากข้อมือเขา ทำให้อตินไม่สามารถผละตัวกลับไปที่ห้องได้ ซันค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้กินข้าว ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้นจนคนตัวเล็กรู้สึกเจ็บ

“หมายความว่าไงครับ”

คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตกลอกไปมาด้วยความหวาดหวั่น หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอก เขาไม่เคยนึกกลัวอะไรเท่าวันนี้เลย ราวกับว่ามียมทูตลอยมาหยุดตรงหน้า แล้วเอาเคียวสีดำจ่ออยู่ตรงลำคอ ป่าวประกาศว่าเขากำลังจะต้องตาย...

“อตินรักพี่ไหม จะไม่ทิ้งพี่ใช่ไหม?” ซันเปลี่ยนคำถามปุบปับ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือตามอารมณ์ในตัวที่พุ่งพล่าน

อตินเลิกหนีแล้วเปลี่ยนมาเกาะกุมมือของอีกฝ่ายแน่น พยายามจะส่งความรู้สึกบางอย่างไปให้ผ่านความอบอุ่นจนเกือบจะร้อนผ่าว มีหยดเหงื่อผุดขึ้นมาบนขมับทั้งสองฝั่ง

“รักสิ จะไม่ทิ้งด้วย ทำไมพี่ซันถามแบบนี้” คนตัวเล็กประท้วงเสียงอ่อน น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่ปวดหนึบ

คงไม่รู้ว่าซันเองก็ปวดใจไม่แพ้กัน ในเมื่อคำพูดของคนตรงหน้า มันสวนทางกับการกระทำที่ปิดซ่อนกันอยู่...แล้วจะให้เขาคิดยังไง จะให้ยิ้มแล้วเชื่อได้ยังไง...

“แล้วอตินนอนกับมาร์ชทำไม...”

คำพูดที่หลุดออกมาพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่น ราวกับเคียวสีดำอันเมื่อครู่ ที่จู่ๆ ก็ฟาดฟันลงมาหวังเอาชีวิต ต่างฝ่ายต่างยืนบีบมืออีกคนแน่นยิ่งกว่าแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มไม่แพ้กัน เสียงสั่นเครือของซันยังดังชัดเจนในโสตประสาท เป็นยิ่งกว่าตะปูที่ตอกลงมากลางอก ท้องไส้ถูกบีบรัดจากความเครียดที่กำลังตีขึ้นมาเรื่อยๆ

“อตินทำได้ยังไง” คนตัวใหญ่ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น ไม่หลงเหลือมาดของพนักงานซันที่คอยแต่จะเก๊กหน้าหว่านเสน่ห์

ตอนนี้ก็เป็นแค่นายซัน คนที่ถูกทรยศ...

ร่างเล็กรีบก้มลงไปกอดซันไว้ด้วยสองแขน อยากที่จะอธิบายแต่กลับไม่มีซุ่มเสียงใดๆ หลุดลอดออกจากปาก น้ำตายังคงไหลไม่หยุด พอๆ กับเสียงสะอื้นของทั้งคู่

“ฮืออ..พี่ซัน...”

“ฮึ..ก...”

“พี่ซัน...ผม..ขอโทษ”

อตินกระชับกอดให้แน่นขึ้น พยายามเปล่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก ความผิดทั้งหมดทั้งมวล ไหลมากองรวมกันที่อกด้านซ้าย ถูกตอกย้ำด้วยภาพที่กำลังฉายซ้ำในหัว เป็นเหตุการณ์น่าทุเรศตัวเองเมื่อคืน สลับกับใบหน้าเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตาของคนที่เขาสัญญาว่าจะอยู่ข้างๆ

แม้จะรู้ดีว่าไม่มีน่าขอให้ยกโทษให้...แต่ก็ต้องขอโทษอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ทั้งที่บอกแล้วว่าจะรัก ทั้งที่บอกแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งไม่ว่ายังไงก็ตาม...แต่เขากลับปล่อยตัวปล่อยใจ เพียงเสี้ยววินาที...ทุกอย่างก็พังทลายลงมา

รวมทั้งความรู้สึกดีๆ จากผู้ชายที่รักเขา หมดใจ...

“..อติน...” ซันส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่อยากยอมรับสิ่งที่ได้ยินเมื่อคืน ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นนี้ มีหัวใจเยือกเย็นขนาดไหนถึงหักหลังกันได้

ไม่อยากยอมรับความจริง.....

“ผม..ขอโทษ...”

น้ำตาที่ไหล เหมือนลำธารที่ไม่มีทางหยุด สองร่างกอดกุมกันอยู่บนพื้นบ้านเย็นเฉียบ ต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก มันเหมือนเรื่องตลกร้ายของโชคชะตา ที่นำพาให้พวกเขากลายมาเป็นแบบนี้ น่าหัวเราะเมื่อคนหนึ่งต้องทนเจ็บช้ำจากการไม่ถูกรัก ในขณะที่อีกฝ่ายกลับปวดร้าวจากการถูกรักมากเกินไป...

ช่างน่าหัวเราะจริงๆ

หัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะเนิบช้าอยู่ใกล้ๆ กัน หากแต่ก็ไม่ได้ประสานกัน ซันคงได้แต่เกลียดตัวเอง เกลียดที่ยังพยายามรั้งเขาไว้ทั้งที่เขาไม่เคยมอบความรู้สึกนั้นให้ เกลียดที่ยอมปล่อยไปไม่ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...เกลียดที่เขาต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แม้จะทำให้อีกฝ่ายลำบาก

เกลียด...ที่ยอมรับไม่ได้

อตินเองก็เกลียด เกลียดตัวเองขึ้นมา...ทั้งที่เหตุการณ์เมื่อคืนคือความสุขที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับ จากผู้ชายที่เขาเฝ้ารอและตามหา แต่ความสุขเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นร่องรอยที่ทำให้เขานึกรังเกียจตัวเอง รังเกียจความหวั่นไหวของใจตัวเอง ที่พัดไปนั่น พัดมานี่ เขากลายเป็นคนทรยศทั้งที่ไม่อยากและคิดว่าจะไม่เป็น ทุกคำพูด ทุกหยดน้ำตาของคนตรงหน้า เป็นเหมือนมีดที่เสียดแทงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนร่างกายเขาเต็มไปด้วยแผล

ปล่อยให้คนที่รักตัวเองมาก ต้องเสียใจมาก...

มันน่ารังเกียจ อติน...

เขากำลังเจ็บปวดจากการทำตามหัวใจตัวเอง หากแต่เป็นการทรยศความรู้สึกของอีกหนึ่งคนสำคัญ ซึ่งเขารับไม่ได้ เขาปล่อยให้คนตรงหน้าอ่อนแอและแตกสลายไปยิ่งกว่านี้อีกไม่ได้...

เขาต้องหยุด

เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นซันร้องไห้...เขาจะหยุดเอง

“พี่ซัน...ผมขอโทษ”

 

หลังจากการร้องไห้อันเหน็ดเหนื่อย ซันกับอตินก็มาหยุดลงบนโซฟาตัวประจำ คนตัวเล็กซบศีรษะลงกับไหล่กว้าง ขณะที่ซันยังคงนั่งนิ่ง มือสองข้างจับกันไว้แน่นเหมือนกลัวอีกฝ่ายจะหายไป พวกเขาอ่อนเพลียจากเหตุการณ์เมื่อครู่ รวมทั้งอ่อนล้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ขอบตาแดงก่ำของทั้งสองคนคงทำให้สมาชิกที่เหลือตกใจเมื่อกลับมาเป็นแน่

“พี่ซัน...” อตินผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าซันให้ชัดเจน คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เตรียมพร้อมสำหรับการไถ่บาปครั้งใหญ่

“ผมขออธิบายเรื่องเมื่อคืน”

“...”

“ผมกับพี่มาร์ช...” คนตัวเล็กกัดปากแรงๆ ก่อนจะพูดประโยคถัดไป “เรามีอะไรกันจริงๆ”

ซันขยับตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังเก็บกลั้นความโกรธในหัวอยู่ แต่ก่อนจะปล่อยให้ซันต้องเสียใจอีก อตินก็รีบพูดต่อพร้อมกุมมือที่กำลังกำหมัดเอาไว้

“แต่เพราะว่าผมเมา”

“ว่าไงนะ?”

“เมื่อคืนผมเมา เพราะว่าดื่มเบียร์...มันก็เลย...”

 “ไอ้มาร์ช มอมเราเหรอ?” คราวนี้ยิ่งดูเดือดกว่าเมื่อครู่ซะอีก คนตัวใหญ่คลายหมัดออก แล้วเปลี่ยนมาเขย่าข้อมือบางแรงๆ อย่างต้องการคำตอบ น้ำเสียงดุดันดังลอดไรฟันออกมาจนอตินต้องเผลอกลืนน้ำลายลงคอด้วยหัวใจสั่นกลัว

“ปะ..เปล่าครับ พี่มาร์ชไม่ได้มอมนะ พี่มาร์ชเองก็เมามากเหมือนกัน”

“นี่พวกนาย...” ซันขมวดคิ้วยุ่ง เพิ่มแรงบีบที่มือขึ้นอีกจนร่างเล็กเริ่มตีสีหน้าเหยเก

เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่รักมาก กับเพื่อนที่รักมาก จะเมา...แล้วปล่อยให้เรื่องบ้าๆ แบบนั้นเกิดขึ้น ถ้าที่อตินพูดมาคือเรื่องจริง ถ้าสิ่งที่เกิดเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลร้อยเปอร์เซ็นต์จริง...แล้วเขาควรจะโกรธ หรือโทษใครล่ะทีนี้

“มันเป็นอุบัติเหตุ...จริงๆ นะ” อตินพยายามย้ำ ทั้งที่ไม่กล้ามองหน้าซันตรงๆ

ก็เขารู้แก่ใจดี...ว่ามันไม่ใช่แค่เพราะว่า เมา น่ะสิ

“คงเป็นอุบัติเหตุที่บัดซบที่สุดเลย” ซันพึมพำ

อตินเม้มปากสนิทก่อนค่อยๆ คลายออก แล้วตรงเข้าสวมกอดร่างใหญ่ ซันสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะกอดตอบ เขาเริ่มลูบมือขึ้นลงกับแผ่นหลังบาง อยากจะช่วยปลอบประโลมจิตใจของเด็กตรงหน้า ถึงแม้ว่าหัวใจของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไรนักเลย

บางที...เขาก็อยากจะเชื่อคำพูดเมื่อครู่

ก็แค่เชื่อ...แล้วปล่อยให้เรื่องมันจบ

“พี่ซันลืมมันไปได้ไหม...” ร่างเล็กจ้องนิ่งจนแทบจะทะลุเข้าไปในผ้าก็อซสีขาว ริมฝีปากอิ่มเผยอออกอีกครั้ง พร้อมคำพูดแผ่วเบา

“..เพราะผมก็จะลืมเหมือนกัน...”

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
25



“วันนี้มินคงกลับมาแล้ว” ซันเปรยขึ้นขณะกำลังนั่งรออตินไปหยิบของว่างช่วงบ่าย พวกเขานั่งปรับความเข้าใจกันครึ่งค่อนวัน กว่าจะกลับมาคุยเป็นปกติเหมือนเดิมได้

“ครับ น่าจะถึงบ้านประมาณหัวค่ำ”

เสียงใสขานกลับพร้อมยกจานคุ้กกี้ที่แจนทำเผื่อไว้ออกมาตั้งโต๊ะ หยิบชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกรุบกรับ ซันดูพอใจเรื่องที่มินจะกลับมา รีบควานหามือเล็กเข้าไปกุมไว้เหมือนเก่า

“ดี อตินจะได้ไม่ต้องอยู่กับมัน”

คนตัวเล็กยิ้มบาง...แค่ยิ้มบางๆ กับคำว่ามันของซัน นั่นคงหมายถึงมาร์ชอย่างไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนหลังจากนี้ซันคงเพ่งเล็งมาร์ชยิ่งกว่าเคย ทั้งที่ปกติแทบไม่สนใจ แต่ใครจะรู้ว่าเพื่อนสนิทที่สุดคนนี้นี่แหละ ที่ทำให้ใจของเขาสั่นคลอน...

“ครับ”

คุ้กกี้ช็อกโกแลตถูกส่งเข้าปากซัน ผลัดกับตัวเองคนละชิ้น สองมือกุมกันไว้ไม่ปล่อย เวลาภายในบ้านผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน พวกพี่คนอื่นกลับเข้ามาพร้อมอาหารเย็น ไม่นานนักมินก็ตามมาสมทบ แถมของฝากจากทางบ้านอีกถุงใหญ่ หลังจากถามไถ่เรื่องญาติเสร็จแล้วก็มานั่งล้อมวงกันบนพื้น คอยเบสผ่าแตงโมผลโต

หัวหน้าพนักงานคว้ามีดแล้วจัดแจงแบ่งแตงโมออกเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่ากัน ดูเชี่ยวชาญจนอดชื่นชมไม่ได้ เสียงหัวเราะดังลั่นหลังจากที่น็อตแย้งไม่ให้ไปชมมาก เพราะเดี๋ยวเบสจะเหลิง จนคนเป็นพี่ต้องไล่ตีหัวน้องคนสนิทไปทั่วห้องนั่งเล่น

“หวานมากอะ” แจนร้องหลังจากกัดคำแรก พาเอาคนหิ้วกลับมายิ้มหน้าบาน

“แม่เลือกเองกับมือเลยครับ”

“ฝากขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยนะ”

อตินใช้ส้อมแคะเม็ดออกจากเนื้อสีแดงช่ำ ก่อนสะกิดร่างสูงข้างตัวให้หันมา ซันอ้าปากรอเหมือนรู้ แต่อตินกลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วจงใจกัดแตงโมดังๆ ใส่หู จนคนรอหน้าเสีย ท่ามกลางเสียงหัวเราะขำของคนอื่นๆ

“เอ้า นึกว่าจะป้อน”

“ฮ่าๆ ป้อนๆ” อตินรีบโอบไหล่ซันเข้าหาตัวแล้วยื่นแตงโมชิ้นเมื่อครู่ให้กัด

ความหวานของเนื้อแตงโมแตกซ่านอยู่ภายในปาก อดจะชื่นชมผลไม้พันธุ์ดีจากต่างจังหวัดไม่ได้ มินนั่งสาธยายถึงผลไม้นานาชนิดที่บ้าน เล่นเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้าง น้ำลายสอกันทั่วหน้า เบสยื่นคำขาดว่าหากมินกลับบ้านครั้งหน้า แล้วไม่แบกของกินเอร็ดอร่อยกลับมาจะไล่ให้ไปเป็นเด็กล้างจานสักสองสามอาทิตย์

“โห พี่เบส ผมไม่กล้าแย่งงานอตินหรอก”

“เฮ้ย พูดดีๆ”

คนถูกอ้างถึงรีบชี้นิ้วใส่หน้าเพื่อนหมี พวกพี่ๆ พากันหัวเราะในท่าทีของพวกเขา ก่อนที่น็อตจะแบกเครื่องปั่นออกมาเสียบปลั๊กในห้องนั่งเล่น แจนช่วยหยิบแตงโมชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ลงไป แล้วเริ่มแจกจ่ายน้ำแตงโมปั่นใส่แก้วพลาสติกให้สมาชิกทุกคน เบสลุกขึ้นชูแก้วในมือและเริ่มพูดเหมือนคนเมาแตงโม

“เนื่องในโอกาสที่ซันของเรา จะไปเปิดตาในวันพรุ่งนี้ ฉันขอให้ทุกคนร่วมกันดื่มอวยพรให้มันด้วย”

ทุกสายตาจับจ้องไปยังคนปิดตา รอยยิ้มเผยออกมาบนใบหน้าของทุกคนในบ้าน อตินช่วยจับมือซันให้ถือแก้ว แล้วทั้งเจ็ดคนจึงชูน้ำผลไม้ในมือขึ้นกลางอากาศ

“ขอให้ผลออกมาดีนะครับ” แจนเริ่มต้นพูดต่อจากเบส ตามด้วยน็อตและไล่มาถึงมิน

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันหยอดยาให้ทุกวัน หายเป็นปกติแน่นอน”

“ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีครับ”

“โชคดี” มาร์ชพูดสั้นๆ แต่ก็ยังยิ้ม นั่นถือเป็นภาพที่ทำให้อตินใจชื้นขึ้นเยอะ เขานึกว่ามาร์ชกับซันจะเกลียดขี้หน้ากันไปแล้วซะอีก ถึงยังไงก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นะ

“เอ้า คนโปรด พูดปิดท้ายหน่อยเร็ว” เบสแซวได้ถูกเวลาเหลือเกิน

อตินยิ้มเขินเล็กน้อยแล้วบีบมือข้างที่ว่างของซันไว้ ในหัวรีบประมวลผลว่าควรจะพูดคำไหนออกไปดี...แต่พอคิดออก มันกลับน่าอายจนไม่กล้าพูด โดยเฉพาะต่อหน้าพนักงานคนอื่น ทั้งห้องเงียบสนิทเหมือนตั้งใจเปิดทางให้คนตัวเล็กเอ่ยปาก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยว่าประโยคต่อไปมันฟังดูเลี่ยนจนมือหงิก

“รีบกลับมามองตากันไวๆ นะครับพี่ซัน” แม้จะพูดเบาขนาดไหน ก็ยังได้ยินชัดเจนกันถ้วนหน้า เบสร้องโหยหวนกับคำพูดสุดหวานเมื่อครู่ ออกอากาศโอเวอร์ซะยิ่งกว่าเจ้าตัวซะอีก

“โอย เลี่ยนอะ”

แจนร่วมแซว ก่อนที่ทั้งเจ็ดคนจะพร้อมใจกันยกน้ำแตงโมปั่นขึ้นซดหมดแก้ว ท่ามกลางความยินดีที่ซันใกล้หาย และกลับมาร่าเริง แม้แต่มาร์ชเองก็ยังอดร่วมยิ้มแย้มไปกับคนอื่นไม่ได้ ถึงแม้ในใจจะแอบหมั่นไส้เรื่องอติน แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นทิ้งไป ซันก็คือเพื่อนตายคนหนึ่งที่ทำงานด้วยกันมานาน การเห็นมันเจ็บออดแอดแบบนี้แล้วยังดีใจ ก็คงไม่ใช่วิสัยของเขาเท่าไรนัก

ภายในห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก...มีหัวใจเจ็ดดวงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา

ความผูกพันตั้งแต่วันแรกที่อตินก้าวเท้าลงเหยียบ Café de Sept จนถึงวันนี้ มันเพิ่มพูนจนล้นทะลัก แม้แค่สองมือก็ไม่อาจกอบโกยความรัก ความห่วงใยที่ได้รับมาไว้ครบ

เพราะมันยิ่งใหญ่และมากมาย...

แม้ว่าจะมีหลายเรื่องให้คิดหนักแต่เขาก็ยังดีใจเสมอที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของทุกคน แม้ว่าหนทางข้างหน้าดูเจ็บปวด...แต่เชื่อว่ายังยิ้มได้เสมอ ตราบที่ยังอยู่ภายใต้ชื่อ Café de Sept แห่งนี้

“เอ่อ ผมมีอะไรจะขอ” อตินเพิ่งนึกเรื่องในหัวออก จึงรีบพูดดักสมาชิกที่กำลังจะลุกออกจากห้องนั่งเล่นไว้

“อะไรเหรอ?”

“คือผม อยากขอสลับห้องนอนได้ไหมครับ” ทุกคนดูแปลกใจกับคำขอนั้น รวมทั้งซันเองด้วย

“ยังไงล่ะ?”

“ผมอยากมานอนกับพี่ซัน จะได้ดูแลสะดวก” น้ำเสียงจริงใจทำเอาไม่มีใครกล้าขัด แม้จะมีคนแอบไม่เห็นด้วยก็ตาม เบสชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอนุญาต

“อ่า งั้นให้อตินมานอนกับซัน แล้วมาร์ชย้ายไปนอนกับมินแทนละกันนะ”

มินทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่พอหันไปเห็นท่าทางห่วงใยของอตินที่มีต่อซัน เขากลับต้องรีบกลืนทุกข้อโต้เถียงลงคอ แล้วยอมเดินคอตกกลับเข้าห้อง ผิดกับมาร์ชที่ยังเอาแต่นั่งนิ่ง สายตาเรียบเฉยจนถึงขั้นน่ากลัวจับจ้องไปยังใบหน้าหวานซึ่งไม่ได้สนใจมองมา

ความจริงคือ เขาเลือกที่จะไม่มองไปทางนั้น แล้วรีบประคองร่างซันกลับเข้าห้อง ต้องทนอึดอัดอยู่เกือบชั่วโมง เพื่อรอมาร์ชเข้ามาขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ กว่าคลื่นความกดอากาศจากผู้ชายชื่อมาร์ชจะสงบลงได้ ก็ปาเข้าไปเกือบค่ำ เบสพาซันกลับมาส่งหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย และตอนนี้พวกเขาก็กำลังนั่งซบไหล่กันอยู่บนเตียง ในมือเลื่อนโทรศัพท์ไปมาเงียบๆ

“พี่ดีใจนะ ที่เราย้ายมานอนด้วยกัน”

“อื้อ ผมจะได้ดูแลพี่ซันได้ตลอดเวลาเลยไง”

ซันยิ้มรับแล้วยกมืออตินขึ้นจูบเบาๆ พวกเขายังนั่งคุยกันเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยจนเริ่มหาวหวอดทั้งคู่ แต่ก่อนจะได้หลับ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดอีกครั้งพร้อมการปรากฎตัวของคนที่เขาไม่นึกอยากเจอในเวลานี้

“พ..พี่มาร์ช”

คนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดปากแล้วรีบหันขวับกลับไปหาคนบนเตียง ซันขยับตัวลุกขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่หลุดออกมา ส่วนมาร์ชไม่สนใจอะไร เพียงแค่เดินดุ่มๆ เข้ามาในห้องแล้วเปรยเสียงเรียบ

“โทษที ลืมของน่ะ”

กล่องกระดาษสองกล่องใหญ่วางซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่งข้างเตียงมาร์ช เขาพยายามยกมันขึ้นพร้อมกันแต่กลับเซจนยืนไม่ไหว ลืมไปว่าของด้านในมันทั้งเยอะและหนัก

“พี่ซัน เดี๋ยวผมช่วยพี่มาร์ชยกของนะครับ” อตินตรงเข้ามาคว้ากล่องด้านบนไปจากมือ แล้วเดินลิ่วๆ ออกนอกห้องโดยไม่ฟังคำตอบรับจากใครทั้งนั้น

สักพักจึงมีมาร์ชยกอีกกล่องตามออกมา สายตาคำถามถูกส่งมาให้เหมือนอยากจะถามว่า ถือไหวไหม แต่อตินไม่สน เพียงแค่ก้าวขาให้ไวขึ้นจนเกือบถึงประตูห้อง แต่กลับต้องร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก้นกล่องก็แยกออก พร้อมกับตุ๊กตาปูนปั้นรูปหมูสามตัวที่ร่วงออกมา พร้อมกับของอื่นๆ อีกมากมายด้านใน คนตัวเล็กใจหายวาบเพราะคิดว่าทำของมาร์ชเสียหาย แต่เมื่อนั่งลงมองให้ดี ถึงเห็นว่าของแตกได้ส่วนใหญ่ถูกห่ออย่างดีไว้ด้วยบับเบิล ดวงตาตกใจกวาดไปทั่วพร้อมกับก้อนเนื้อในอกซ้ายที่เริ่มเต้นผิดจังหวะ

“ลูกหมูสามตัว...” อตินเผลอพึมพำบางอย่างที่เขากับมาร์ชรู้กันดี

งานวันเด็กตอนอายุ 10 ปี มาร์ชเป็นคนพาเขาไปเข้าซุ้มระบายสีตุ๊กตาปั้น ตอนนั้นคนเยอะมากจนแทบไม่เหลือที่ว่าง ถ้าจำไม่ผิดเขางอแงอยากได้ตุ๊กตาลูกหมูสามตัวที่เด็กอีกคนถือไว้เป็นอันสุดท้าย ถึงจะโดนดุและบอกว่าไม่ได้ แต่แค่เห็นเขาร้องไห้ มาร์ชก็รีบตรงไปก้มหัวคุยอะไรกับคุณแม่ของเด็กคนนั้นอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็กลับมาพร้อมตุ๊กตาปั้นลูกหมูสามตัว...เราช่วยกันระบายสีเละบ้างสวยบ้าง ก่อนจะเก็บมันไว้กับมาร์ชเพราะกลัวเขาทำตกแตกซะก่อน

เกือบลืมไปแล้วเชียวว่า จนทุกวันนี้ มันก็ยังอยู่กับมาร์ช...

มีของอีกหลายอย่างในกล่องที่เขาจำได้ขึ้นใจบ้าง เลือนรางบ้าง แต่ทุกชิ้นอันล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของในความทรงจำของเราทั้งคู่เมื่อตอนเป็นเด็ก ตั้งแต่ซองลูกอมที่ไม่ยอมแกะกินเพราะเสียดาย ดินสอกดที่พังตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ ไปจนถึงตุ๊กตาเน่าลายปิกาจู ของจับฉลากวันปีใหม่ที่เอาแต่เกี่ยงกันว่าใครจะได้ไป เพราะทั้งเขากับมาร์ช ต่างก็ชอบตัวการ์ตูนนี้พอกัน สุดท้ายเราก็สลับกันเก็บไว้คนละอาทิตย์ แต่ตอนจากกัน...ดูเหมือนมันจะติดอยู่กับอีกฝ่ายล่ะมั้ง

“เก็บไว้หมดเลย...เหรอครับ” ถามขึ้นทั้งที่ไม่มองหน้า และพยายามซ่อมกล่องกระดาษที่พัง พลางเก็บของเหล่านั้นกลับมาใส่เหมือนเดิม

“อือ..” มาร์ชยัดตุ๊กตาปิกาจูใส่มือเขา รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง “..ทั้งหมดเลย”

ทั่วทั้งบริเวณเงียบลงจนถึงขั้นได้ยินเสียงเพลงจากแลปท็อปของมินดังแว่วออกมา อตินนึกอยากจะส่งยิ้มให้คนที่เฝ้าทะนุถนอมความทรงจำของเขาไว้ แต่ในใจกลับอยากร้องไห้ดังๆ เสียมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำถามต่อมาจากปากมาร์ช

“ทำไมถึงอยากนอนกับซัน?”

“เป็นแฟนกัน...ก็ต้องนอนด้วยกันสิครับ” อตินกลั้นใจตอบออกไปแบบนั้น ทั้งที่ยังจดจ่ออยู่กับการเก็บข้างของกลับใส่กล่องสีน้ำตาล ไม่ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตีหน้าเครียดขนาดไหน

คนตัวเล็กรีบยกกล่องที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมขึ้น แล้วตะโกนเรียกมินออกมารับไป มาร์ชพยายามสะกดคำพูดทุกคำเอาไว้ก่อน และเดินเอากล่องไปเก็บเข้าที่เข้าทาง

“ต้องแยกกันเฉยเลย” มินพูดเสียงแง่งอน ทำให้อตินหลุดหัวเราะแล้วแกล้งตีต้นแขนหนาไปที

“เจอหน้ากันทุกวันอยู่ดีอะ”

“ฝากดูแลพี่ซันด้วยละกัน แล้วก็ระวังตัวด้วย”

“ฮ่าๆ โอเค” ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องเหมือนเดิม แต่นั่นก็เป็นข้อดีของมินแหละนะ

พวกเขายืนพูดคุยกันต่ออีกแค่นิดหน่อย มินก็ผละตัวไปหาแลปท็อปสีเงิน หน้าจอโชว์โปรแกรมแชท Skype ดูเหมือนกำลังคุยกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดอยู่ อตินบอกลาครั้งสุดท้ายแล้วหันตัวกลับ แต่ยังไม่ทันปิดประตูดี มาร์ชก็รีบแทรกตัวออกมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“พี่ยังคุยกับเราไม่จบ” มาร์ชพูดเสียงเย็นทันทีที่ประตูไม้ปิดตัวลง เขาลากข้อมือเล็กออกมาเกือบจะถึงห้องนั่งเล่น เพื่อกันไม่ให้มินได้ยินบทสนทนาทั้งหลาย

“แต่ผมง่วงแล้ว”

“พี่บอกว่าพี่รักอติน แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ อตินรักซันเหรอ?” คนตัวสูงไม่สนใจเสียงบ่น กลับยิ่งรุกไล่คำถามชวนอึดอัดใส่ พร้อมบีบมือเขาแน่น

“เราคบกัน ผมรู้แค่นี้ พี่มาร์ชเลิกถามสักที”

“อตินไม่ได้รักซันใช่ไหม อตินแค่สงสารมัน!”

“พี่มาร์ช หยุดเถอะ!” คนตัวเล็กหลุดหวีดเสียงร้อง พร้อมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม แววตาสั่นระริกจ้องมองคนตรงหน้าไม่กะพริบ ก่อนที่จะทำร้ายซันมากไปกว่านี้อีก...เขาจำเป็นต้องหยุด

ความรู้สึกในใจทั้งหมด...หยุดมันซะเถอะ

“ผมดีใจมากนะที่เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้ แต่มันก็แค่นั้นอะ ตอนนี้ผมมีพี่ซันอยู่แล้ว และผมไม่อยากทำผิดต่อเขา...ผมขอให้เราเป็นแค่พี่น้องที่ดีต่อกัน ไม่ได้เหรอครับ”

ขอบตาสองข้างมีน้ำใสๆ เอ่อคลอขึ้นมา ยิ่งบีบรัดหัวใจของคนมองขึ้นอีกเท่าตัว มาร์ชรักอตินมาก มากจนทนเก็บมันไม่ไหวอีกแล้ว แต่เมื่อพร้อมจะเผยออกไป...เรื่องราวกลับตาลปัตร การที่อตินเป็นคนขี้ใจอ่อนขนาดไหนเขารู้ดี และรู้ด้วยว่ากำลังเข้าข้างซันขนาดนี้เพื่ออะไร

เพราะงั้นมันถึงน่าเจ็บใจยังไงล่ะ...เพราะหมอนั่นมันเล่นขี้โกง

ขี้โกงที่รั้งอตินไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย และสุดท้ายก็ได้อตินไป...

“แล้วเรื่องเมื่อคืนมันคืออะไรล่ะอติน?” มาร์ชถามเสียงอ่อย เอื้อมมือไปคว้ามือเล็กมากุมไว้อีกครั้ง อตินหลุบตาหนีแล้วปล่อยให้ความเงียบตรงเข้ากัดกินภายในใจของพวกเขาทั้งคู่เป็นเวลานาน ริมฝีปากบางถูกเม้มแน่น นึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดตามความคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจโป้ปดออกไปคำโต

“ขอโทษครับ...ผมแค่เมา”

คนตัวเล็กสะบัดมือออกแล้วหันหลังให้มาร์ชที่เหมือนจะแข็งเป็นหินไปแล้ว เขาไม่มีหน้าจะรั้งอะไรไว้หลังจากได้ยินคำพูดเมื่อครู่ มันเหมือนว่าเขากำลังถูกปลุกให้ตื่นจากฝันดี เพื่อมาเจอความจริงที่โหดร้าย ต่อให้เขาจะเชื่อแค่ไหนว่าอตินมีใจให้กันบ้าง...ยังไง เขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเด็กคนนั้นอยู่ดี

ไม่เห็นยุติธรรมเลย...

 

ไม่ว่าจะมาร์ช อติน หรือ ซัน ต่างถูกโชคชะตา การตัดสินใจ และความรู้สึก ดึงเข้ามาในวงล้อมของความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ราวกับว่าฟ้ากำลังเล่นตลกกับพวกเขาก็ไม่ปาน แต่ดันเป็นตลก...ที่หัวเราะไม่ออกจริงๆ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
26



“โชคดีที่ไม่โดนตาดำ เลยไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ต้องหยอดยาต่ออีกสักอาทิตย์นะคะ แล้วช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้สายตามาก” พยาบาลสาวอธิบายอาการ หลังจากพาซันไปเปิดตาโดยปลอดภัย ท่ามกลางความปลาบปลื้มของสมาชิกคนอื่น

“ขอบคุณมากครับ”

“ค่า รอรับยาช่องเจ็ดเลยค่ะ”

“เป็นไงบ้างครับ?” อตินยิ้มกว้างถามขึ้น ซันยิ้มกลับจนตาหยี ก่อนเข้ามากอดร่างเล็กอย่างไม่สนใจสายตาใคร

“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“แฟนคลับพี่ซันคงดีใจกันใหญ่แล้ว” โยงไปถึงลูกค้าสาวๆ ที่เอาแต่ทำหน้าหงอยมาตลอดหลายวัน ในช่วงที่ซันหายหน้าไป

“แล้วแฟนครับล่ะ?” ซันถามน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม มือใหญ่ยกขึ้นบีบจมูกรั้นๆ ตรงหน้าไปทีด้วยหมั่นเขี้ยว อตินได้แต่ขำกลบเกลื่อน

“ก็ต้องดีใจสิครับ”

เสียงประกาศเรียกชื่อซันดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งเจ็ดหนุ่มจึงเดินกลับไปยังลานจอดรถ มีรถแวนจากบ้านคุณหนูชเวแจนขับมาบริการถึงหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อเช้าตรู่ เรียกว่าสร้างความประหลาดใจให้กับอตินอีกเป็นครั้งที่ล้าน สรุปได้ว่าไอ้พนักงานร้านนี้คือรวยอยู่แล้วทุกคนนี่หว่า เหมือนจะมาทำเอาสนุกกันทั้งนั้นเลย บ้าจริงๆ

“ไหนๆ วันนี้คุณวาโยก็ให้ลางานแล้ว เราไปเลี้ยงฉลองให้ซันกันดีไหม”

เบสเสนอเมื่อทุกคนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรถ มีแจนกับมินพยักหน้าหงึกหงักอย่างบ้าคลั่งจากด้านหลัง น็อตหัวเราะน้อยๆ แต่ก็มีท่าทีเห็นดีเห็นงามด้วย มาร์ชเพียงแค่ยักไหล่ตามใจ ส่วนซันกับอตินนี่ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก เพราะซันต้องทนกับโลกมืดมานานนับสัปดาห์ เขาย่อมต้องการปลดปล่อยความอึดอัดนั้น แต่สำหรับอติน เขาแค่อยากมีเวลาว่างกับสมาชิกทุกคนบ้าง เพราะตั้งแต่เข้าทำงานมา แทบไม่ได้พักเลยจนสงสัยอยู่หลายครั้งว่าคนอื่นไม่เหนื่อยบ้างหรือไง

“ที่ไหนดีล่ะ”

“อืม...ไม่รู้ซันจะอยากไปไหมนะ” เบสเอ่ยไม่มั่นใจนัก ทุกสายตาหันไปจับจ้องยังใบหน้างุนงงของซัน แต่สักพักก็เปลี่ยนสีหน้าเซ็งๆ เหมือนจะเดาความหมายของเบสออก

“อยากไปก็ไปดิ”

ซันพูดสั้นๆ ทำเป็นเสมองทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นสายตาหยอกล้อจากคนอื่น หลังจากทุกคนอพยพขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว อตินจึงได้โอกาสหันไปลอบถามเรื่องเมื่อครู่กับน็อตซึ่งนั่งข้างๆ โดยมีซันนอนหลับอยู่อีกฝั่ง

“นี่เรากำลังจะไปไหนหรอครับ แล้วทำไมพี่ซันถึงจะไม่อยากด้วยอะ”

“อ้อ เราจะไปร้านเนื้อย่างของครอบครัวขุนน่ะ”

“ขุน...พนักงานร้านคอเดียหรือเปล่าครับ?” ถึงเขาจะไม่เคยเจอ แต่ก็รู้สึกคุ้นชื่ออยู่ ถ้าจำไม่ผิดวันที่ไปเจอเลโอ ก็ได้ยินพนักงานคนอื่นพูดถึงคนนี้เหมือนกัน

“ใช่ แล้วก็อย่างที่รู้ว่าซันมันเกลียดร้านนั้นยิ่งกว่าใคร แต่ความจริงมันชอบกินอาหารร้านนี้มากเลยแหละ แต่มันคงไม่อยากยอมรับเท่าไร”

อตินยิ้มขำทันทีที่รู้ความจริง ดวงตากลมโตเหลือบมองร่างหนาด้านข้างที่ยังหลับปุ๋ย ซันดูเหมือนเด็กเกเร ที่ความจริงแล้วอ่อนโยนกว่าใคร ไอ้ความปากไม่ตรงกับใจก็คงเหมาะกับเขาดีแล้วล่ะนะ

“แล้วถึงจะบอกว่าเกลียดร้านนั้น ยังไงก็เป็นเพื่อนกันแหละ”

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ”

ใช้เวลาเพียงไม่นาน รถแวนสีขาวก็เทียบลงหน้าประตูร้านแบบอัตโนมัติ ทุกคนทยอยเดินตามเบสเข้าไปในร้านเนื้อย่างตระกูลซง เป็นตึกสองชั้นแบบ stand alone ดูโอ่อ่ากว่าที่คิดไว้มากนัก และคงไม่น่าตกใจเท่าไรเลยถ้าหากว่าเดินเข้าไปแล้วไม่เจอเข้ากับลูกชายเจ้าของร้านในชุดผ้ากันเปื้อน พร้อมเพื่อนๆ ที่กำลังถอดรองเท้าเตรียมเข้าไปนั่งในห้อง VIP

“เฮ้ย!/เฮ้ย!”

ทั้งสมาชิกคอเดีย และ Café de Sept ต่างทักทายกันด้วยเสียงอุทานพร้อมหน้าตาเหลอหลา เท่าที่นับได้ ฝั่งนั้นมีขุน เลโอ จิน ชาญ ไทป์ กับ ไนล์

“มาได้ไง?”

“ขับรถมาสิ ถามได้” ซันเป็นคนแรกที่เอ่ยปากตอบโต้ ตามมาด้วยเบสที่เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“เอ้า คุณชายซง จะไม่รับลูกค้าหน่อยเหรอครับ”

ขุนที่ยังงงๆ ได้แต่หันซ้ายขวาก็เห็นมวลลูกค้าเต็มร้าน ก่อนสายตาจะหยุดลงตรงประตูห้อง VIP ด้านหน้า

“โทษนะ เหลือห้องสุดท้ายแล้ว พวกนายต้องนั่งด้วยกันแล้วล่ะ”

“หาาา!”

เสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้งจากผู้ชายสิบกว่าชีวิตที่เอาแต่ยืนออกันบนทางเดิน จนคุณแม่ของขุนต้องเดินมาไล่ให้พวกเขาทั้งหมดเข้าไปนั่งรวมกันในห้อง VIP สุดท้ายของร้าน ก็นะ เล่นมาเอาช่วงเที่ยงวันพอดีแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่ลูกค้าจะเยอะ อย่างน้อยห้องนี้ก็ใหญ่พอสำหรับจุคนเกินสิบล่ะ

“กลายเป็นแบบนี้ได้ไงเนี่ย”

“ทางนี้สิต้องถามมากกว่า” พี่ใหญ่อย่างจินเถียงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดูรังเกียจอะไรนัก ตามมาด้วยเสียงคุ้นเคยจากเลโอ พี่ชายคนสนิทของอติน

“นั่นสิ พวกนายไม่ต้องไปทำงานกันหรือไง....อ้ะ”

ไม่ทันได้รับคำตอบ สายตาคมก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างบนใบหน้าของซันคู่อริ ก่อนจะส่งเสียงนึกขึ้นได้ออกมา และคนอื่นๆ ก็ดูจะเข้าใจตรงกัน

“ตา...ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” รีบถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าซันไม่ได้พันผ้าก็อซอย่างที่ควรอีกแล้ว

“เออ ก็เพิ่งไปเปิดตามาเนี่ย”

“วันนี้ซันนัดเปิดตา คุณวาโยเลยถือโอกาสปิดร้านให้เราพักน่ะ” น็อตอธิบาย แล้วยื่นมือไปจิ๊กเมนูในมือชาญมาดูหน้าตาเฉย

“แล้วพี่เลโอไม่ต้องทำงานหรอครับ” อตินถามกลับอย่างสงสัย และดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องด้วย

“อ๋อ ร้านคอเดียมีพนักงาน 12 คนนะ เราผลัดเวรวันเว้นวันน่ะ”

“พี่เบส บอกให้คุณวาโยรับพนักงานเพิ่มเถอะ” คนตัวเล็กรีบหันไปเขย่าแขนหัวหน้าพนักงานแล้วร้องขอความยุติธรรม เล่นเอาคนบนโต๊ะหัวเราะในท่าทีเด็กๆ ของอตินกันใหญ่

“ฉันก็อยากเหมือนกัน” เบสยีหัวเด็กน้อยแล้วขำฟันแทบเฉาะโต๊ะ

ดูเหมือนทั้ง 12 คนตรงนี้จะพยายามอย่างมากในการหาเรื่องขึ้นมาคุยกัน เพราะกลัวความอึดอัดที่อาจเกิดขึ้น ทำไปทำมา เลยเสวนากันถูกคอจนน่าแปลกใจ นั่นทำให้อตินรู้ได้เลยว่า ถึงแม้คอเดียกับ Café de Sept จะถือเป็นศัตรูทางการค้าขนาดไหน ความเป็นเพื่อนร่วมสายงานของพวกเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถูกฉาบเอาไว้แม้แต่น้อย สุดท้ายก็เห็นคุยกันได้ปกติดี ออกจะสนุกสนานด้วยซ้ำไป

ไม่นานนัก ขุนก็ยกเหล่าเนื้อวัว หมู ไก่ ซีฟู๊ด และผักนานาชนิดเข้ามาเสิร์ฟ แล้วถือโอกาสร่วมนั่งกินด้วยกันกับทุกคนซะเลย อตินแทบจะลืมคำว่าเกรงใจไปชั่วขณะ เพราะอาหารของร้านนี้อร่อยจริงๆ ขนาดไม่ใช่กูรูก็ยังรู้สึกได้ว่าเนื้อทุกชิ้นทั้งสดและดี

“เป็นยังไงกินได้ไหม” ลูกชายเจ้าของร้านหันมาถามคนตัวเล็กที่เอาแต่เคี้ยวหงุบหงับ อตินพยักหน้ารัวแล้วรีบกลืนเนื้อหมูลงคอ

“อร่อยมากเลยครับ น้ำจิ้มก็อร่อย”

“กินเยอะๆ นะ” คนโตกว่ายิ้มรับแล้วคีบเนื้อบนถาดส่งให้ ก่อนหันไปเอ็ดน้องชายอีกคนที่กำลังตักเนื้อเข้าปากไม่หยุด “ชาญ นายน่ะ กินน้อยๆ หน่อย”

คนถูกทักอมยิ้มแห้งแต่ก็ไม่ยอมหยุดกิน แถมยังเนียนคีบเนื้อใส่จานของขุนอย่างเอาใจ ทำเอาเขาได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอา นี่บวมจนคอเคอหายหมดแล้วยังจะกินมากอีก

“พี่ซัน พอแล้วครับ เดี๋ยวผมคีบให้บ้างดีกว่า” อตินทักถ้วงเมื่อซันเอาแต่ตักเนื้อใส่จานเขาลูกเดียวจนตัวเองแทบไม่ได้กินแล้ว นี่มาเลี้ยงให้ซันนะไม่ใช่ให้เขา ถึงมันจะอร่อยถูกปากมากก็เถอะ

“ไม่เป็นไร อตินชอบอะไร เดี๋...”

“อตินชอบนี่ไม่ใช่เหรอ / เอ้า เนื้อที่เราชอบ”

เลโอกับมาร์ชพูดขึ้นพร้อมกัน ในตะเกียบแต่ละคนมีเนื้อสีกำลังน่ากินคีบอยู่เหนือจานของคนตัวเล็ก อตินได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง น้ำลายอึกใหญ่ถุกกลืนลงคออย่างยากลำบาก มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว แน่นอนว่าซันเองก็ด้วย

พวกคอเดียคนอื่นดูงุนงงกับสถานการณ์ตอนนี้ ในขณะที่ฝั่ง Café de Sept กลับรู้สึกได้ถึงคลื่นความมาคุที่กำลังโปรยตัวลงมา ส่วนเลโอนั้นดูออกไวยิ่งกว่าใคร ไม่ต้องบอกเขาก็เดาได้เลยว่าตอนนี้ซันกับมาร์ชกำลังเล่นสงครามอะไรกันอยู่ และเขาคงไม่สนใจถ้ามันไม่ได้ทำให้น้องชายของเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย

“อตินชอบอันนี้เหรอ” ซันถามเสียงเรียบแล้วยกตะเกียบขึ้นคีบเนื้อชิ้นหนึ่งบนถาดมาวางบนจาน พยายามส่งสายตาบอกให้ทั้งเลโอและมาร์ชเก็บเนื้อในมือกลับไป

“ค..ครับ”

เวลาในห้องผ่านไปอย่างเอื่อยเชื่อยท่ามกลางเสียงพูดคุยจากทุกทิศ จะยกเว้นก็แต่วงล้อมของอตินที่ดูเงียบลงไปถนัดตาตั้งแต่เมื่อครู่ พอซันขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ เลโอก็นึกพิเรนท์ลุกตามออกไปแทบจะทันทีจนดูน่าสงสัย

ภายในช่องว่างแคบๆ หน้าห้องน้ำที่ไร้ผู้คน มีเสียงเตาย่างกับเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ทั่วร้านจนแทบไม่ได้ยินว่าผู้ชายสองคนตรงนี้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ ใบหน้าเครียดไม่ต่างกันฉายออกมาให้เห็น ก่อนที่เลโอจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นก่อน

“มึงรักอตินจริงๆ ใช่ไหม?”

“รักสิ มากที่สุด” ซันรีบสวนกลับท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่คำต่อไปที่ได้ยินกลับทำเอาเขาเถียงไม่ออก

“แล้วมึงทำร้ายอตินแบบนี้ทำไม?”

“...”

“มึงรั้งอตินไว้ ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้รักมึง”

“ไอ้เวรนี่” ซันรุดเข้าประชิดคนตรงหน้า มือสากกระชากคอเสื้อเลโอขึ้นอย่างรุนแรง สองสายตาฟาดฟันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่คนจากคอเดียจะออกแรงผลักร่างคนบุกรุกออกห่าง ไม่หยุดรุกไล่คำพูดตอกย้ำ

“แบบนี้ไม่เรียกว่ารักหรอก มึงแค่เห็นแก่ตัว ซัน!”

“กูรักอติน!”

เลโอเงื้อหมัดขึ้นกลางอากาศจนแม้แต่ซันยังแอบสะดุ้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่กำปั้นจะถูกลดลงพร้อมเสียงถอนหายใจแรงๆ บทสนทนาอันรวดเร็วและไม่เข้าใจกันจบลงด้วยประโยคแผ่วเบา

“กูไม่คิดว่ามึงจะทนได้ถึงที่สุดหรอก”

หันหลังกลับไปยังห้องอาหาร ไม่อยากจะใส่ใจไอ้คนหัวรั้นที่เอาแต่ทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายและยุ่งเหยิงกว่าเดิม ถ้าหากซันรักอตินจริง เขาก็ขอพนันว่าหมอนั่นจะทนต่อไปได้อีกไม่นาน เพราะถ้าไม่โง่เกินไปก็ต้องสังเกตได้ว่าอตินรักใคร หรือยังอยู่เพราะอะไร ถ้ายังจะรั้งเด็กคนนั้นไว้...ก็มีแต่จะทำร้ายกันไปไม่สิ้นสุดเท่านั้นแหละ

 

จะทนได้ถึงที่สุดหรือเปล่านั้น ซันไม่รู้หรอก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเลโอ เรื่องราวอันแสนยุ่งเหยิงที่ว่าก็เลยเถิดผ่านมาอีกเดือนนึงแล้ว เป็นหนึ่งเดือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย...คิดว่าเขาโง่หรือไงถึงจะไม่รู้ ว่าเด็กที่ยังคอยอยู่ข้างๆ ไม่เคยคิดอะไรด้วยเลยสักนิดเดียว

แต่จะปล่อยมือไปง่ายๆ...

เขาทำไม่ได้...

“อ้าว พี่ซัน ยังไม่เช็ดหัวอีกเหรอครับ?” อตินเอ่ยถามเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วยังเห็นคนบนเตียงหัวเปียกหมาดๆ อยู่เลย

“เช็ดให้หน่อยสิ”

เขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือขึ้นมายืนเข่าบนเตียงพร้อมหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มลงมือขยี้ผมสีน้ำตาลตรงหน้าไปมาให้แห้ง รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีสายคู่หนึ่งเหลือบมองตนเองไม่ห่าง

“พี่ซันมองอะไรครับ?”

“มองคนน่ารักไง”

อตินขำกับคำตอบติดตลกนั้น เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเช็ดผมให้ซัน โดยไม่สนใจว่าตอนนี้จะมีมือใหญ่วางลงกับสะโพกทั้งสองข้างของตัวเอง ซันยื่นหน้าเข้าไปใกล้แผ่นอกบางที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ จมูกโด่งรั้นกดลงแนบเสื้อคอตตอนสีเทา ทำให้อตินต้องหยุดมือชะงัก แล้วก้มลงมองภาพนั้นอย่างนึกตกใจระคนเอ็นดู

“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ซัน?”

อีกฝ่ายไม่ตอบเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ ซันผละตัวออกเล็กน้อย ก่อนจะรั้งแขนอตินให้นั่งต่ำลงจนใบหน้าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ริมฝีปากอุ่นตรงเข้าปิดปากบางทันทีอย่างไม่ทันให้อตินตั้งตัว

“อ..อือ...”

“พี่รักอตินนะ” ซันเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะซ้ำจูบลงมาอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน ต้องรีบดันไหล่หนาออกห่าง

“พ..พี่ซันเป็นไรหรือเปล่า?”

“เปล่า..”

“พี่ซันมีอะไร บอกผมได้นะ”

“อตินรักพี่ไหม?”

คนตัวเล็กแน่นิ่งไป คำถามนี้เขาได้ยินอยู่ทุกวัน ทุกวัน...ทุกวัน... มันเหมือนเขากำลังถูกสาปด้วยคำถามนี้ไปเรื่อยๆ

“รักสิครับ”

ซันยิ้มบางแล้วยกมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นจูบเน้น นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม พวกเขาควรเข้านอนได้แล้วเพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าไปทำงานอยู่

อตินลุกไปปิดไฟในห้อง แต่ก็ไม่ทันได้เดินไปถึงเตียงตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงตบฟูกดังขึ้นมาแปะๆ นี่คือสัญญาณจากซันที่ต้องการบอกให้เขาไปนอนบนเตียงเดียวกัน มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ซันมีเรื่องคิดมากในหัว และยิ่งถี่ขึ้นทุกทีแล้ว...

“กอด..ได้ไหม?” ซันถามขึ้นเมื่ออตินซุกตัวเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงแค่ไม้บรรทัดเดียว

“ต้องขอด้วยหรอครับ” อตินหลุดหัวเราะ และเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปติดอกกว้างตรงหน้าซะเอง ซันได้เพียงแค่ลอบยิ้ม ก่อนจะพาดแขนลงกับเอวของคนตัวเล็ก ความอบอุ่นมากมายถูกถ่ายทอดให้แก่กันจนอดหวงแหนช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ได้

“อุ่นไหม?” เสียงทุ้มถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ พร้อมรั้งเอวบางเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น อตินฉีกยิ้มทั้งที่ไม่ได้ลืมตา

“อุ่นครับ”

“...”

.

.

.

แล้วอุ่นเท่าอ้อมกอดของคนที่อยู่ในใจนายหรือเปล่า...?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
27

 

“ทุกคนมาแล้วเหรอ” เสียงก้องจากหน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้นทักทายทันทีที่พนักงาน Café de Sept ทุกคนทยอยเข้าร้านจนครบ วันนี้พวกเขามาเช้ากว่าปกตินิดหน่อย เพราะจู่ๆ คุณวาโยก็ส่งข้อความมาบอกเบสว่ามีเรื่องด่วนจะแจ้ง

“อะ..”

“น-นั่นมัน!”

“เธอ!”

“มาได้ไง!?”

พนักงานเก่าทุกคนดูจะตกใจจนพูดไม่ได้ศัพท์กันไปหมดเมื่อเห็นผู้หญิงตัวผอมบางเจ้าของเส้นผมสีบลอนด์ชมพูกำลังยืนยิ้มสดใสอยู่ข้างคุณวาโย มาร์ชดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แสดงกริยาอะไรออกมาให้เห็น

“เรลล่า นี่เธอจริงๆ เหรอ?” น็อตตรงเข้าไปจับมือหญิงสาวปริศนา

“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าฉันเป็นผีหรือไง”

“แต่เธอไม่กลับมาที่นี่ตั้งปีกว่าแล้ว”

“เป็นยังไงบ้าง?” เบสเอ่ยขึ้นบ้าง สีหน้าใจดีแบบนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นหรอกนะ

“ก็สบายดีค่ะ พอดีช่วงนี้ฉันรอรับปริญญา และการตอบรับจากมหาวิทยาลัย”

“โอ้ เผลอแป๊บเดียว จะต่อปริญญาโทแล้วเหรอ”

“ค่ะ” เรลล่ายิ้มกว้างอย่างภูมิใจในตัวเอง พนักงานคนอื่นๆ ต่างเข้าไปทักทายและแสดงความยินดีกับเธอ ไม่เว้นแม้แต่ซันที่จู่ๆ ก็ลากแขนเขาเข้าไปแทรกในวงล้อม

“เรลล่าของเรา ตัวโตขึ้นเยอะเลยนี่”

“ว่าฉันอ้วนเหรอ!”

“เฮ้ย เปล่า หมายถึงสูงขึ้นต่างหาก ยัยบ้า”

ซันยกมือขึ้นเขกหน้าผากขาวมน ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของหลายฝ่าย ก่อนที่ดวงตาตี่ของหญิงสาวหนึ่งเดียวในนี้จะไล่มาหยุดลงบนใบหน้าเหรอหราของเด็กไม่คุ้นตา

“แล้วนี่ใครคะ?”

“อ๋อ นี่อติน พนักงานใหม่ของร้าน”

“อติน นี่เรลล่า พนักงานหญิงคนแรกและคนเดียวของเรา” เบสกับน็อตช่วยกันแนะนำคนแปลกหน้าทั้งสองฝ่าย เมื่อเข้ามาพิจารณาให้ดีเขาถึงเพิ่งนึกได้ ว่าเรลล่าคนนี้ก็คือผู้หญิงที่มาร์ชเคยแชทด้วยนั่นเอง อ่า..ว่าแต่ นี่คือพนักงานหญิงที่เขาเล่าลือกันสินะ เห็นว่าทำงานกับที่นี่มาตั้งแต่แรกๆ แต่สุดท้ายก็ลาออกไปตั้งใจเรียน แล้ว Café de Sept ก็กลายเป็นร้านชายล้วนมาตั้งแต่บัดนั้น

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักจ่ะ...อติน” เรลล่าเผยรอยยิ้มน่ารัก แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มและสายตาที่มองมานักก็ไม่รู้

“ไอ้มาร์ชยืนนิ่งอยู่ทำไม ไม่เข้ามาทักเรลล่าเขาล่ะ?”

คราวนี้ทุกสายตากลับเลื่อนไปทางใบหน้าเรียบเฉยของคนพูดน้อย มาร์ชชั่งใจนิดหน่อย ก่อนจะขยับเข้ามาหยุดลงตรงหน้าหญิงสาว ท่ามกลางสายตาลุ้นๆ ของคนอื่น ทั้งสองคนจ้องตากันนานพอตัว กว่าที่มาร์ชจะยอมเปิดปาก

“อยู่ดีๆ กลับมาทำไมล่ะ?”

“เฮ้ย ทำไมเย็นชาจังวะ” ซันตบบ่ามาร์ชอย่างแรง ใจหนึ่งก็นึกขำ แต่ขณะเดียวกันก็อยากตำหนิ คนเคยสนิทอุตส่าห์กลับมาเยี่ยมเยียนทั้งที คำที่เลือกมาทักทายกลับใจร้ายจนน่าถีบ

“เอาล่ะๆ ทุกคนสงบลงก่อน เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเอง” คุณวาโยยกมือขึ้นปราม ก่อนจะเดินมาโอบไหล่เล็กของเรลล่าราวกับเป็นพ่อลูก

“ช่วงปิดเทอมยาวแบบนี้ร้านเรามันก็ยุ่งๆ ลูกค้าเยอะมากใช่ไหม พอดีเรลล่าเขาก็ว่างอยู่ ก็เลยจะมาช่วยงานเป็นกรณีพิเศษน่ะ”

“โอ้ ดีเลยๆ” แจนส่งเสียงออกมาเป็นคนแรกตามด้วยสมาชิกอื่น

แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะรัฐบาลเปลี่ยนช่วงปิดเทอมให้เข้ากับอาเซียน ทำให้ปีนี้มีเด็กๆ ว่างเรียนถึง 6 เดือน ลูกค้าเลยอัดแน่นมากจนแทบรับไม่ไหว ขนาดมีอตินมาช่วยแล้วก็ยังหนักหนาเอาการ ถ้าเรลล่ากลับมาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้บ้างก็คงเยี่ยมเลย

“ต้องเรียกว่ายินดีต้อนรับกลับสินะ”

“ฮ่าๆ แล้วแบบนี้ถ่านไฟเก่าจะไม่ปะทุแน่นะ”

เบสพูดติดตลก แอบส่งสายตาแซวๆ ไปทางมาร์ชกับเรลล่าที่ต่างตีหน้าไม่ไหวติง แต่ยังหัวเราะไม่ทันจบ หัวหน้าพนักงานก็ถูกน็อตกระทุ้งศอกใส่ท้องอย่างแรงจนจุก บรรยากาศแปลกๆ ชวนมาคุค่อยโปรยตัวเข้าใส่หลังจากเบสแกล้งล้อแบบนั้น คุณวาโยที่เห็นท่าไม่ดีรีบหนีขึ้นไปบนห้องทำงานเป็นคนแรก ปล่อยให้เด็กๆ จัดการเรื่องกันต่อเองซะงั้น

“อ่า..ฉันว่าเรารีบเตรี..”

“ที่พี่เบสพูด หมายความว่าไงหรอครับ?”

“อึก..”

แม้ว่าน็อตจะพยายามหันเหไปเรื่องอื่น แต่อตินกลับเป็นฝ่ายส่งคำถามน่าอึดอัดขึ้นมาก่อน พนักงานคนอื่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยกันเลย แน่ล่ะ ใครจะไปกล้าบอก...ไอ้ที่ห่วงไม่ได้ห่วงมาร์ชกับเรลล่านะ แต่ส่วนตัวเขาห่วงอตินต่างหาก ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ ว่าความสัมพันธ์และความรู้สึกของ ซัน อติน มาร์ช ในตอนนี้มันสับสนปนเปขนาดไหน

แล้วถ้าพูดเรื่องนี้ออกไป จะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงหรือเปล่า?

“ถ่านไฟเก่าอะไรหรอครับ?” อตินเลิกหวังคำตอบจากน็อตแล้วหันไปช้อนตาถามซันข้างตัวแทน ตอนนี้เขาแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เพียงแค่สงสัยมันเลยอยากรู้...และรู้สึกว่าต้องรู้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาร์ชกับเรลล่าเขาเคยคบกันช่วงนึงน่ะ”

คำตอบของซันทำเอาอตินหน้าชา เรลล่าคือแฟนเก่าของมาร์ชอย่างนั้นสินะ...ช่วงเวลาที่ไม่มีเขาอยู่ มาร์ชเองก็มีความรักกับใครต่อใครอย่างนั้นสินะ อืม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่น่า แล้วทำไมถึงได้หงุดหงิดแบบนี้

“ไม่ต้องใส่ใจหรอก พวกเราแค่ล้อกันเล่นๆ เอง ตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแล้ว จริงไหม?”

มินรีบพูดเพื่อหวังคลายบรรยากาศ เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมคำพูดของเบสต้องทำให้ทุกคนดูเครียดด้วย แต่อาจเป็นเพราะว่ามาร์ชกับเรลล่าต้องกลับมาทำงานด้วยกัน พวกเขาเลยกลัวจะมีปัญหารึเปล่า เพราะคนเคยคบกันมาก่อน ต้องกลับมาเจอหน้ากันทั้งที่มันจบไปแล้ว เลยกลัวว่าจะอึดอัดล่ะมั้ง

“อืม” มาร์ชตอบสั้นๆ พอให้ทุกคนคลายใจ แต่กลับต้องสะดุ้งเมื่อเรลล่าโพล่งออกมาเสียงดัง

“ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีรีเทิร์นก็ได้” คนตัวเล็กพูดไปขำไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก แต่คนอื่นในที่นี้กลับขำไม่ออก โดยเฉพาะมาร์ชและอตินซึ่งต่างเหลือบมองกันและกันอยู่

“ฮ่ะ..ฮ่ะ ฉันว่าเรารีบเตรียมร้านเถอะ เดี๋ยวจะได้เวลาแล้ว” เบสหัวเราะแห้งแล้วกลั้นใจตัดบท

เขาแสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอย่างรีบร้อน ก่อนก้าวขาออกจากหน้าเคาน์เตอร์ ทำให้วงล้อมตรงนั้นค่อยๆ กระจายกันไปเป็นจุดทั่วร้าน ทุกคนเริ่มจัดแจงหน้าที่ของตัวเอง โดยมีเรลล่าเข้ามาช่วยหนุนอีกแรง ไม่นานนักก็ถึงเวลาเปิดร้าน ก่อนที่ความวุ่นวายตลอดวันจะขจัดความอึดอัดใจช่วงเช้าออกไปได้...บ้าง

“ต่อไปอะไร?” มาร์ชถามหลังจากวางแก้วคาปูชิโน่เย็นลงบนถาดพร้อมเสิร์ฟ อตินรีบเอื้อมมือจะไปหยิบใบออเดอร์ขึ้นอ่าน แต่กลับไม่ทันมือเรียวของสาวน้อยแถวนั้น

“คาราเมลมัคคิอาโต้เย็น 1 ที่ ของโปรดมาร์ชหนิ” เรลล่าดึงใบออเดอร์มาไว้ในมือ ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาหลังเคาน์เตอร์สูง

“อตินเอานี่ไปเสิร์ฟทีนะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการให้เอง”

“อ่า..ครับ” ถึงจะยังงุนงง แต่ก็ยอมก้มหัวผ่านเธอไป ยังไม่ทันที่สองมือจะยกถาดคาปูชิโน่ เสียงดุๆ ของมาร์ชก็ขัดจังหวะขึ้นก่อน

“อติน ไม่ต้อง เรลล่ามีหน้าที่เสิร์ฟก็ทำไปสิ ให้อตินทำตรงนี้ดีแล้ว”

“เราไม่ได้มีหน้าที่เสิร์ฟสักหน่อย คุณวาโยบอกว่าให้เราช่วยพวกนายทุกคน”

“งั้นก็ออกไปช่วยน็อตกับเบสสิ” มาร์ชว่าพลางชายตาไปทางเพื่อนร่วมงานที่ยังวิ่งวุ่นเพื่อรับออเดอร์บ้าง เสิร์ฟเครื่องดื่มกับขนมบ้าง

“มาร์ชก็รู้ว่าเราไม่ถนัด แต่ก่อนเราก็เป็นลูกมือมาร์ชนี่”

“...”

“พี่เรลล่าช่วยพี่มาร์ชทางนี้เถอะครับ เดี๋ยวผมออกไปเสิร์ฟเอง”

คนที่เงียบมาสักพักเป็นฝ่ายตัดปัญหาและรีบยกถาดคาปูชิโน่ออกไปก่อนที่ใครจะทันได้เถียงอะไรออกมาอีก ไม่ได้จะตามใจเรลล่าหรอก แต่เขาแค่เห็นว่าลูกค้าเริ่มคุยกันเสียงดังแล้ว ขืนมัวพิรี้พิไรอยู่ต่อ คาปูชิโนแก้วนั้นคงละลายกลายเป็นน้ำเปล่าหมด

ถึงอย่างนั้น เรลล่าก็ไม่ได้พูดเล่นเลย เขาคืออดีตลูกมือของมาร์ชและอดีตพนักงานมาตรฐานของ Café de Sept จริง เพราะตั้งแต่สลับเรลล่าเข้าไปช่วยหลังเคาน์เตอร์ รู้สึกได้เลยว่างานเดินเร็วขึ้นถึงจะไม่ได้มากมาย แต่ก็เห็นถึงความมืออาชีพที่ต่างชั้นกัน...กับเขา

แต่...มันก็ดีแล้วนี่ ดีต่อร้านของเรา แล้วก็ดีต่อมาร์ชด้วย ได้เรลล่ามาช่วยแบ่งเบาภาระแบบนี้ ทุกคนคงพอใจล่ะนะ

เย็นวันนั้นเบสจงใจปิดร้านเร็วขึ้นเล็กน้อย ทุกคนไม่รอช้ารีบเก็บกวาดข้าวของและตรงดิ่งไปที่บ้าน น็อตกับแจนแอบแว้บออกไปซื้อผักกับเนื้อมาเตรียมไว้ตั้งแต่บ่าย มินยืนล้างหม้อชาบูที่ถูกเก็บจนเก่าไว้ในตู้ครัว มีซันกับอตินช่วยกันจัดโต๊ะสำหรับมื้อค่ำวันนี้

พวกเขาตั้งใจจะกินดีกว่าปกติหน่อย เพื่อถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเรลล่า แม้จะแค่ชั่วคราวก็เถอะ ตอนแรกก็ชวนคุณวาโยมาเหมือนกัน แต่เขาดันติดธุระกับเพื่อนซะได้เลยอดไป

“ชาบู ชาบู~” มินเดินเอาหม้อที่สะอาดดีแล้วมาวางลงกลางโต๊ะสองหม้อ ก่อนที่เบสจะตามมาช่วยเปิดสวิตช์ และตั้งค่าความร้อน

เรลล่ากับมาร์ชนั่งอยู่ตรงข้ามอตินกับซันพอดีอย่างกับมีใครจงใจแกล้ง ทันทีที่น้ำเริ่มเดือด เหล่าสมาชิกก็เริ่มแย่งกันคีบของตรงหน้าลงไปในหม้ออย่างสนุกสนาน ตลอดระยะเวลาทานอาหาร มีแต่การพูดคุยที่อตินไม่ค่อยเข้าถึงนัก

“เรลล่าต่อโทที่ไหนหรอ”

“มหาวิทยาลัย K น่ะ มันใกล้บ้านหน่อย”

“จริงอะ แบบนั้นก็ดีเลยสิ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ด้วย ต้องแวะมาบ่อยๆ แล้วน้า”

“เออจริงด้วย เพราะป.ตรี ต้องไปเรียนไกลถึงมหาลัย S ก็เลยย้ายไปอยู่หอ พวกเราคิดถึงเธอแทบแย่”

“น้อยๆ หน่อย ถ้าคิดถึงแล้วทำไมไม่ติดต่อมาหาบ้าง”

“ก็ยุ่งนี่ เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”

“เฮอะ ทีมาร์ชยังคุยไลน์กับฉันได้เลย”

อตินเผลอเหลือบตาขึ้นมองหน้าคนพูดสลับกับผู้ชายตัวสูงด้านข้าง ที่ดูไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เขาไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาจากคนอื่นๆ กำลังลอบมองตัวเองอยู่

“ขี้โกงอะ ทำไมมึงคุยกับเรลล่าแล้วไม่บอกพวกเรา” ซันชี้ตะเกียบไปตรงหน้ามาร์ชอย่างคาดโทษ แต่อีกฝ่ายกลับเพียงแค่ยักไหล่ไม่ยี่หระ

“ก็ยัยนี่ทักฉันมาก่อนเอง”

“อ้าว แบบนี้เรลล่าก็ขี้โกงน่ะสิ”

“อะไรเล่า ก็ฉันอยากคุยกับมาร์ชหนิ” เรลล่าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แถมยังชี้ตะเกียบใส่หน้าซันเพื่อแกล้งคืนอีกต่างหาก

“ได้นั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ ชวนให้คิดถึงสมัยก่อนเนอะ” น็อตพูดแทรกขึ้นมาเพื่อทำการเปลี่ยนเรื่อง เบสกับแจนก็ช่วยเสริมตามลำดับ

“อือใช่ ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ลูกค้ายังไม่เยอะเท่านี้ เราชอบทำชาบูกับสุกี้กินกันแทบทุกอาทิตย์เลย”

“แล้วเรลล่าก็กินเยอะสุดทุกทีด้วย ฮ่าๆ”

“โห แจน นายก็กินเยอะเหมือนกันแหละหน่า”

“แต่ไม่มีใครอ้วกเหมือนเธอ” มาร์ชหันไปกัดเรลล่าคำโต จนสาวน้อยถึงกับตีแก้มป่อง ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจจากคนทั่วทั้งโต๊ะ ทุกคนคงกำลังมีความสุขอยู่กับการย้อนอดีต ยกเว้นแค่อตินที่ได้แต่นั่งฟังโดยไม่รู้เรื่องอะไร ยิ้มบ้างหัวเราะบ้างไปตามเขา

ถ้าบอกว่าน้อยใจ...มันจะผิดมากไหมนะ

 

“ไม่เห็นออกมาเสิร์ฟนานแล้วนะ”

นี่คือคำทักทายยอดฮิตของช่วงนี้ หลังจากที่เรลล่ากลับมาช่วยงานที่ร้าน เธอรับอาสาเป็นลูกมือให้มาร์ชอยู่หลังเคาน์เตอร์นั่น พร้อมกับที่อตินถูกย้ายมาทำหน้าที่รับออเดอร์และเสิร์ฟเครื่องดื่มแทน

“ครับ”

“เพราะพี่เรลล่า พี่อตินก็เลยอดอยู่กับพี่มาร์ช” น้ำเสียงโกรธเคืองของเด็กสาวมัธยมชื่อม่อน ทำเอาอตินต้องรีบหันควับไปรอบตัวเพื่อเช็คว่าจะมีใครได้ยินหรือเปล่า

น้องม่อนควงคู่มากับน้องไอซ์ คู่หูดูโอ้ อีกสองลูกค้าขาประจำของร้าน ซึ่งบัดนี้เอาแต่นั่งปั้นหน้าตึงเมื่อต้องพูดถึงพนักงานหญิงหนึ่งเดียว

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ พี่เขาตั้งใจมาช่วยร้านน่ะ”

“แต่ว่าพวกเราชอบให้พี่อตินคอยเป็นลูกมือพี่มาร์ชมากกว่านี่”

“เฮะๆ” ไม่รู้ว่าควรพูดว่าอะไร นอกจากหัวเราะแห้งและพยายามหาช่องว่างเพื่อปลีกตัว แต่กลับไม่ง่ายเลยเมื่อน้องไอซ์ชิงพูดขึ้นบ้างอย่างออกอรรถรส

“แบบนี้มันมารความรักชัดๆ!”

“น้องไอซ์!” อตินรีบร้องแล้วทำมือจุ๊ปากเป็นเชิงห้ามปราม โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตพวกเขาเท่าไร เพราะวันนี้น้องทั้งสองเลือกที่นั่งติดมุมเสาพอดี

“มะ..มาร ความรักอะไรกันครับ พี่กับพี่มาร์ช..ไม่ใช่...”

“รู้หรอกน่า” ทั้งคู่ทำปากยื่นเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นเมื่อเขารีบโบกมือปฏิเสธเรื่องมาร์ช

“พอเถอะๆ อย่าว่าพี่เรลล่าเลยนะ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือช่วยร้านนี้และตั้งใจบริการลูกค้าครับ” เขารีบตัดบทก่อนจะก้มหัวให้เด็กทั้งสอง และก้าวขาออกจากบริเวณนั้น ยังไม่วายได้ยินสองสาวซุบซิบไล่หลังท่าทางไม่พอใจนัก

เขาไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่รู้สึกอะไรเลย การที่ถูกไล่ออกจากหลังเคาน์เตอร์ ไม่เจ็บปวดเท่าการเห็นพี่มาร์ชยิ้มแย้มให้ผู้หญิงคนอื่น คนที่เคยใช้เวลาร่วมกับพี่มาร์ชในตอนที่ไม่มีเขาอยู่ แบบนั้นมันน่าน้อยใจอย่างห้ามไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากได้ยินใครต่อใครมานินทาว่าร้ายเรลล่า ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด แถมยังใจดีมากอีกด้วย

ถ้าคนที่ผิดล่ะก็ ตอนนี้คือเขาเองมากกว่า...ผิดที่รู้สึกไม่ดี ผิดที่ไปนึกถึงสิทธิบ้าบอในตัวพี่มาร์ช ทั้งที่เขาไม่มี...

“รับออเดอร์ด้วยค่า” เสียงใสๆ จากลูกค้าเป็นตัวเรียกสติของเขาให้กลับมาสู่โลกตรงหน้า มือเล็กรีบควานหาสมุดโน้ตกับปากกาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนเพื่อจดรายการเครื่องดื่มย่างว่องไว

“คาราเมลเฟรปเป้ที่นึงค่ะ”

“ครับ รอสักครู่นะครับ”

หนังสือเมนูปกแข็งลายไม้ถูกเก็บกลับมาไว้แนบอก อตินตรงดิ่งกลับไปยังแถวเคาน์เตอร์ แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาถึงดี คนหัวแดงกลับรีบหุนหันออกมาจากประตูผลักบานเล็ก หน้าตาดูเคร่งเครียดจนอดกลัวไม่ได้

“พี่มาร์ช จะไปไห..”

“เดี๋ยวค่อยคุย” มาร์ชยกมือห้ามแล้ววิ่งเข้าหลังร้านทันที ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าเขาด้วยซ้ำ

คนตัวเล็กได้แต่ยืนนิ่ง ใบหน้าชาเป็นแถบ เขาพยายามสะบัดหัวไล่ความเย็นชาเมื่อครู่ออกไป แล้วนำใบออเดอร์ไปเสียบไว้ตามปกติ ส่วนสิ่งที่ไม่ปกติก็น่าจะเป็นเรลล่า ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตามองนิ้วโป้งตัวเองอยู่หลังเครื่องชงกาแฟ

“พี่เรลล่าเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“อ่า พอดีกระดาษบาดน่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก” หญิงสาวฝืนยิ้มพลางยกนิ้วขึ้นโชว์ มีเลือดสีแดงซึมออกมาจากปากแผลเพียงเล็กน้อย แต่ก็พอให้เสียวไส้ได้เหมือนกัน

เขามัวแต่คิดว่าจะช่วยเหลือเธอได้ยังไงในสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็ชั่งใจอยู่ได้แค่ไม่กี่วินาที เมื่อมาร์ชกระแทกประตูหลังร้านกลับออกมาพร้อมพลาสเตอร์ยาแบบผ้าสีเนื้อ คนตัวสูงแทบจะเดินชนไหล่เขาเข้าไปหลังเคาน์เตอร์โดยไม่หันมาสนใจกันเลยสักนิด ไม่ แม้แต่จะปรายตามอง

ตอนนี้ความสนใจและสายตาของมาร์ชคงอยู่ที่นิ้วเรียวเปื้อนแผลของพี่เรลล่าล่ะมั้ง

ไม่ใช่เขาอีกแล้ว...

.

.

งั้นเหรอ?

“พี่เรลล่า ไปพักก่อนดีกว่าครับ” อตินผลักประตูเข้าไปด้านหลังเคาน์เตอร์ สายตาห่วงใยทอดไปยังพลาสเตอร์ยาบนนิ้วชี้ เรลล่าส่ายหน้าตอบกลับมาอย่างดื้อรั้น

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าด้วย” ขืนปล่อยให้เรลล่าอยู่ตรงนี้ต่อ ก็ไม่รู้จะแบ่งเบาภาระได้มากแค่ไหน นิ้วมีแผลแบบนั้นจะปล่อยให้ทำงานใกล้ของร้อนต่อไปก็ดูท่าจะไม่ดี

“ไม่เป็นไรอติน พี่อยากช่วยมาร์ช..”

“พี่เรลล่าพักก่อนเถอะครับ เรื่องช่วยพี่มาร์ช เดี๋ยวผมทำเอง”

เรลล่าดูอึ้งไปหนึ่งจุดสามวิกับคำพูดตรงไปตรงมาของเด็กตรงหน้า ส่วนมาร์ชที่ยืนซ้อนหลังอยู่นั้นกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้ทีเดียว สุดท้ายสาวสวยจึงต้องยอมเดินเข้าไปพักหลังร้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ พร้อมคืนพื้นที่หลังเคาน์เตอร์ให้กับอตินดังเดิม

เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเอี่ยวตัวดึงผ้ากันเปื้อนให้แน่นขึ้น ก่อนดึงกระดาษออเดอร์แผ่นบนสุดขึ้นมาอ่านออกเสียงอย่างคล่องแคล่ว ไม่คิดชายตามองคนตัวสูงที่ยังยืนยิ้มอยู่เลยแม้แต่น้อย

“หืม..ช็อกโกแลตเย็น”

มือบางรีบคว้าเอาช้อนลึกสีเงินขึ้นตวงผงโกโก้ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้มาร์ชได้ย้ายร่างมาอยู่ด้านหลังเขาเรียบร้อยแล้ว แถมยังพิเรนท์ไปอีกขั้นด้วยการโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูทั้งที่อีกฝ่ายยังง่วนกับงานในมือ

“เป็นอะไรฮึ?”

อตินสะดุ้ง รีบเด้งตัวออกห่างพลางส่งสายตาตำหนิไปให้ มาร์ชหัวเราะน้อยๆ แล้วถือวิสาสะดึงช้อนตวงในมืออตินกลับไปวางไว้ที่เดิม เหมือนต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

“ทำท่าเหมือนโกรธใครมา”

“ป..เปล่าสักหน่อย”

“งอนพี่เหรอ?” มาร์ชแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเลิ่กลั่ก

“เปล่า”

อตินลากเสียงยาว สายตาเสมองไปทางอื่น บ้าชะมัดที่มาร์ชดันรู้ทันไปซะทุกเรื่อง ไม่แฟร์เลย ทั้งที่ดูเขาออกหมดแบบนี้ แต่เขากลับไม่สามารถเดาความรู้สึกของมาร์ชได้

“งั้นก็หึงสินะ” คนตัวสูงกระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ พร้อมกับใบหน้าของคนได้ยินที่เริ่มแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ แววตาสับสนหันกลับมามองมาร์ชอย่างเอาเรื่อง

“บะ บ้าหรอ! พูดบ้าอะไรน่ะพี่มาร์ช!”

เส้นผมสีแดงถูกเสยขึ้น ยิ่งทำให้เห็นตาหยีๆ ยามที่ยิ้มกว้างชัดขึ้นกว่าเดิม มาร์ชดูพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองนี้ ก่อนจะหันไปจัดการช็อกโกแลตเย็นที่ค้างไว้ ปล่อยให้คนเด็กกว่าเอาแต่ยืนส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ใกล้ๆ

“ก็เมื่อกี้เรลล่าได้แผลนี่น่า ก็แค่ไปหยิบพลาสเตอร์น่ะ” มาร์ชเริ่มอธิบายเสียงอ่อน จนอีกฝ่ายเผลอสงบและยืนฟังนิ่งๆ “พี่กับเขาไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เรลล่าก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

อะไรกัน...นี่เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ อย่างนี้...ก็แย่น่ะสิ

อตินยู่หน้าแล้วขยับเข้ามาตีแขนแข็งแรงไปทีอย่างนึกโกรธ เพราะถูกแกล้งอีกจนได้ มันเป็นแบบนี้เรื่อยมา ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจปฏิเสธเรื่องราวในคืนนั้น มาร์ชยังคงพยายามทำตัวมากเกินกว่าพี่ชายให้ได้ แกล้งให้เขาหวั่นไหวอยู่ตลอด ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถปล่อยมือจากซัน

แต่ก็ยังพยายามรุกล้ำหัวใจของเขาอยู่ได้

แถมยังทำมันได้ดีทุกครั้งอีกด้วย...

คนตัวเล็กก้มหน้าก้มตามองผ้าเช็ดโต๊ะบนเคาน์เตอร์ ไม่นึกอยากเห็นใบหน้าอิ่มเอมของคนด้านข้าง ที่คอยแต่จะซ้ำเติมความใจร้ายและน่ารังเกียจของตัวเขาเอง และมันคงไม่เลวร้ายมากเท่าไร หากว่าเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาเฉยชาของซัน ที่กำลังเพ่งมองมาจากอีกฝั่งของร้าน

ระยะทางนี้มันไม่ได้ใกล้พอที่จะทำให้ซันได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ได้ไกลพอที่จะทำให้เขาไม่เห็นท่าทีชวนสงสัยนั้น

เอาอีกแล้วไง...

ทำร้ายซันอีกแล้ว....

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
28

 

เสียงของสิ่วที่ถูกขูดลงไปบนเนื้อไม้แท่งพอๆ กับฝ่ามือผู้ชาย เรียกความสนใจจากอตินได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กโยนผ้าเช็ดตัวไว้กับราวตาก แล้วย้ายลงมานั่งบนพื้น แผ่นหลังพิงเข้ากับเตียงนอน สายตาจับจ้องไปยังร่างกำยำด้านข้าง ที่กำลังดูตั้งอกตั้งใจกับชิ้นงานในมือเป็นอย่างมาก

“ไม่เห็นพี่ซันแกะไม้มาสักพักแล้วนะครับ”

“อือ”

“ทำไมอยู่ดีๆ ก็กลับมาทำล่ะครับ”

“จะได้ไม่ฟุ้งซ่านน่ะ”

คำตอบที่ได้รับกลับทำเอาเขาไม่กล้าพูดต่อ ฟุ้งซ่านอะไร...นั่นเดาได้ง่ายชะมัด คงต้องเป็นเรื่องของเขา และความสัมพันธ์อันเปราะบางของเราแน่นอน

เขารู้ดีว่าเขาทำผิด ผิดที่ไม่สามารถตัดใจจากมาร์ชได้ ทั้งที่คิดแล้วว่าควรจะอยู่ข้างกายซัน ผิดที่เอาแต่คิดวุ่นวายเกี่ยวกับผู้ชายอีกคน ทั้งที่ยังนั่งอยู่ด้วยกัน ผิดที่ทำให้เรื่องมันกลายมาเป็นแบบนี้

“อติน..”

“ครับ?” เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ซันมากขึ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้หันมาสบตากันเลยก็ตาม

“นายคิดยังไงกับเรลล่าเหรอ?”

“เอ...คิดยังไง หมายความว่ายังไงครับ?” รู้สึกเหมือนว่าเม็ดเหงื่อจะเริ่มผุดขึ้นตามไรผม ทันทีที่ถูกจู่โจมด้วยคำถามคาดคั้นแปลกๆ

“ก็เรลล่ากลับมา เลยเหมือนมาแย่งหน้าที่นายไปรึเปล่า นายรู้สึกไม่ดีบ้างไหม?”

รู้สึกไม่ดีงั้นเหรอ...

ถ้าบอกว่าไม่ ก็ต้องโกหกน่ะสิ

แต่จะให้อธิบายว่าอะไรล่ะ ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจกับความรู้สึกตอนนี้เลย แค่น้อยใจที่ถูกแทนที่ ที่ถูกลดความสำคัญเหรอ...หรือมากกว่านั้น

แล้วอะไรที่จะมากกว่านั้นล่ะ?

“เรลล่าเขาสนิทกับมาร์ชมากนะ”

“หะ..”

“แบบนั้น...นายไม่หึงบ้างหรอ?”

ซันผละสายตาออกจากท่อนไม้ในมือ แล้วหันมาฉีกยิ้มหยอกล้อเขาหน้าตาเฉย ทั้งที่คนฟังน่ะสะดุ้งจนลมแทบจับ คนตัวเล็กเบิกตากว้างเพียงวูบหนึ่งก่อนจะรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติ อาจเพราะช่วงนี้เขาเอาแต่ถามถึงเรื่องเรลล่ากับมาร์ชมากเกินไป แล้วยังเสียสมาธิในเวลางานอยู่บ่อยๆ ด้วย แถมเมื่อช่วงบ่ายยังเผลอปล่อยใจให้ทำตัวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น... ซันเองก็ไม่ได้โง่ คงรู้อยู่แล้วล่ะ...แต่ว่า ทั้งที่ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาเลย เขาก็ยังจะพูด

นี่มันตั้งใจฆ่ากันเลยนี่น่า...

“พี่ซัน พูดอะไรครับ ผมจะไปหึงพี่มาร์ชได้ยังไง” อตินพยายามอย่างมากที่จะไม่หลบตา

“...อืม”

“...”

“นั่นสินะ นายเป็นของฉัน แล้วจะไปหึงไอ้มาร์ชได้ยังไง ถูกไหมอติน?”

ไม่ชอบเลย...

เดี๋ยวนี้ซันชอบยิงคำถามแปลกๆ ใส่ คำถามที่รู้อยู่แล้วว่าคนฟังต้องลำบากใจ และคนพูดคงเหมือนตายทั้งเป็นอย่างนี้...

“ครับ”

อตินตอบได้เพียงแค่นั้นก่อนเสมองไปทางอื่นอย่างห้ามไม่ได้ เขาได้ยินเสียงอุปกรณ์ไม้ทั้งหลายแหล่ถูกวางลงกับพื้น ก่อนที่ลำแขนแข็งแรงจะตรงเข้าล็อกตัวเข้าไว้ทั้งสองด้าน ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงตรงสันกรามจนเขานึกจั๊กจี้น้อยๆ แต่เมื่อหันกลับมาเผชิญหน้า ก็ต้องกลืนทุกคำพูดลงคอ เพราะซันตอนนี้ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าทุกครั้ง สายตาเว้าวอนดูคล้ายจะเจ็บปวดกับหัวคิ้วที่ขมวดยุ่ง ช่างน่าสงสารเหลือเกิน

ผู้ชายชื่อซัน ที่ถูกความรักและความไม่รักเข้าครอบงำ ช่างดูน่าสงสารและบอบบาง...นั่นทำให้เขานึกเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถมอบความสุขให้คนคนนี้ได้อย่างแท้จริง เขาทำไม่ได้...

จะพยายามแค่ไหนเขาก็หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้

และก็ไม่รู้แล้ว ว่าจะทนกันต่อไปแบบนี้ได้อีกนานเท่าไร

“เจ็บ..” ซันพึมพำเสียงแผ่ว หากเป็นคนอื่นได้ยินก็คงไม่เข้าใจ แต่เขาน่ะรู้ ว่าเจ็บของซันหมายความว่ายังไง

เขารู้มาตลอด ว่าซันน่ะรู้มาตลอด ว่าเขาไม่ได้คิดกับซันมากเกินไปกว่าพี่ชายที่แสนดี และก็รู้มาตลอด ว่าซันเองก็รู้มาตลอด...ว่าแท้จริงแล้วเขารักใครอยู่กันแน่

ถึงอย่างนั้น พวกเราก็แค่...พยายามดึงดัน

ที่จะไม่ยอมรับความจริง

“ครับ...เจ็บ...” อตินพยักหน้าแล้วรวบตัวซันเข้ามากอด พอดีกับที่คนตัวใหญ่โถมร่างหนักอึ้งลงกับอกบาง ขอซึมซับความอบอุ่นที่ยังคงเหลืออยู่

 

มันเจ็บปวด อติน...

เพราะพี่รักนาย ทั้งที่นายไม่ได้รักพี่

เพราะพี่อยากให้นายเป็นของพี่ ทั้งที่นายไม่ใช่ของพี่

เพราะพี่กอดนาย แต่ดูเหมือนนายไม่ได้กอดพี่

เพราะพี่.....ทำร้ายนาย พี่ถึงเจ็บปวดไง อติน...

 

 

[ Back to School ]

ป้ายผ้าขนาดใหญ่ถูกนำมาแขวนไว้เหนือประตูร้าน ด้านล่างของชื่อ Café de Sept ในเช้าวันหนึ่ง น็อตทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ในจังหวะที่พนักงานทั้งหมดกำลังก้าวขาเดินเข้าร้านไป

“จริงสิ ใกล้เปิดเทอมแล้วใช่ไหม”

“อ่า จริงด้วยนะ เปิดเทอมตามอาเซียน”

“พวกนักเรียนนักศึกษาหยุดกันตั้งนาน สมองไม่ฟ่อหมดแล้วหรอ” ซันแซวขำๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะ

คงมีแค่อตินคนเดียวล่ะมั้งที่สนใจในหัวข้อนี้ บางทีคนอื่นอาจจะหลงลืมกันไปหมดแล้ว ว่าเขามาทำงานแค่ชั่วคราว เพื่อรอวันเปิดเทอมเท่านั้น อ่า...ว่าแต่ ทำไมไอ้หมีที่เด็กกว่าเขาถึงไม่เห็นต้องเรียนหนังสือเลยล่ะ

แล้วก็เหมือนว่าเจ้าตัวจะมองออกซะด้วย ถึงรีบเดินมาตีคู่แล้วอธิบายหน้าระรื่น จนแทบห้ามมือตัวเองไม่ให้ฟาดลงกับหน้าเบิกบานนั่นไม่ได้

“เราก็เรียนนะ ลงเรียนแต่ไม่ค่อยได้เข้า ทำงานส่งบ้างแล้วก็ไปสอบเฉยๆ”

“ชีวิตดีไปอีก”

“ก็จบแล้วคงต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ดูแลสวนอยู่ดี เลยไม่ต้องห่วงมากไง แถมพวกแกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรด้วย ฮ่าๆ”

“อิจฉาเลยอะ”

“อ่า จริงสิ อตินเองก็ต้องกลับไปเรียน...” มินที่เพิ่งจะนึกเรื่องสำคัญออกรีบตีสีหน้าหมีหงอยทันที จนอตินต้องฉีกยิ้มกว้างให้

“ตอนนี้ก็ยังอยู่นี่น่า อนาคตน่ะ อย่าเพิ่งคิดเลย”

เด็กตัวสูงยิ้มเศร้าแต่ก็ยอมพยักหน้าและพากันไปรวมกลุ่มกับพี่ๆ ตรงหน้าเคาน์เตอร์ เหมือนทุกครั้ง มีซองเสื้อผ้าและเครื่องประดับติดป้ายชื่อของแต่ละคนวางทิ้งไว้ให้

ชื่อธีม Back to School แบบนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นชุดนักเรียนแน่นอนอยู่แล้ว แต่คนอย่างวาโย มีเหรอจะยอมให้ใส่ชุดนักเรียนแบบปกติเขา ในเมื่อตอนนี้มีสมาชิกเป็นเลขคู่พอดี จึงแบ่งฝั่งง่ายหน่อย โรงเรียนของจริงมันก็ต้องมีทั้งเด็กผู้ชายและผู้หญิงจริงไหม

ถ้างั้นก็จัดไป!

“ทำไมผมได้ชุดผู้หญิงอะ!?”

“ฉันด้วย”

“ผมก็ด้วย..”

อตินโวยวายลั่นร้าน ตามมาด้วยเสียงของน็อตและแจนตามลำดับ พวกที่เหลือเห็นแบบนั้นรีบกระชากซองในมือออกอย่างร้อนรน แต่ก็ต้องถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อชุดที่เหลือเป็นเครื่องแบบนักเรียนชายธรรมดา

“นี่มันเรื่องตลกอะไร..” อตินหันไปขอความเห็นใจจากมินที่กำลังพยายามกลั้นขำสุดความสามารถ ขณะที่แจนกำลังจะเดินเอาชุดไปทิ้งถังขยะ แต่เบสเข้ามารั้งตัวไว้ก่อน ส่วนน็อตคงเป็นคนที่ดูปล่อยวางมากที่สุด

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ใส่ชุดนักเรียนหญิงเป็นเพื่อนฉันไง” เรลล่าปลอบน้ำเสียงสดใสพลางยกกระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินขึ้นกางออก

“นั่นสิ น่ารักดีออก”

คราวนี้เป็นซันที่ตรงเข้ามาล็อคคออตินไว้ ใช้มือข้างหนึ่งหยิบกระโปรงสั้นประมาณเข่าขึ้นพิจารณา สลับกับใบหน้าสีมะเขือเทศของเด็กในอ้อมแขน ไม่รู้ว่าอายหรือโกรธกันแน่

“พี่ซันใส่แทนผมไหมล่ะ”

“ลาก่อย”

แหมมม ทีเงี้ยล่ะโดดตัวหลบแทบไม่ทัน ซึ้งใจจังเลยครับพี่ครับ!

“เรลล่าใส่น่าจะน่ารักนะ” เบสยิ้มตาหยี

“ขอบใจนะ แต่ฉันรอดูสามหนุ่มทางด้านนี้มากกว่า” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ แล้วหันมาส่งสายตาน่ากลัวให้อติน น็อต และแจน เล่นเอาทั้งสามถึงกับเสียวสันหลังวาบ

“ไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลย”

แจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วหันไปกอดน็อตแน่น ตามมาด้วยอติน จนกลายเป็นก้อนอะไรบางอย่างที่ดูน่าจับกลิ้งหลุนๆ

“แต่เจอธีมแบบนี้ ชักกลัวแล้วสิครับว่าจะได้เซอร์วิสแบบไหน” มินเกาหัวแกรกๆ ตามมาด้วยเสียงถอนใจรุนแรงของคนอื่น

“เซอร์วิสเหรอ...”

 

“คาเบะด้ง คาเบะด้ง คาเบะด้ง”

พระบิดา พระบุตร และพระจิต ร่วมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดช่วยให้พนักงานร้าน Café de Sept รอดพ้นวันอันแสนสับสนนี้ไปได้ด้วยดีด้วยเถิด

“คาเบะด้งงงง!” เสียงโห่ร้องน่ากลัวของลูกค้าสาวกลุ่มใหญ่ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นผิดหูผิดตา อตินกับมินได้แต่ยืนกระอึกกระอักเพราะทำตัวไม่ถูกอยู่แถวโต๊ะริมหน้าต่าง

ให้ตายเถอะ แค่เขาต้องมาสวมชุดนักเรียนหญิง กระโปรงสั้นๆ เผยเรียวขาเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มก็น่าอายพออยู่แล้ว ยังต้องมาเจอเซอร์วิสบ้าบอชวนให้ทั้งลำบากใจและคลื่นไส้ในเวลาเดียวกันอีก

“ว่าแต่ว่า คาเบะด้งนี่คืออะไร?” อตินหันไปกระซิบถามมินที่ดูหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ก็คือการผลักคนหนึ่งติดกำแพง แล้วอีกคนก็ใช้มือยันกำแพงไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหนีไงล่ะ” ลูกค้าสาวเจ้าของเสียงเชียร์ฮาร์ดคอร์เมื่อครู่ก้าวขึ้นมาอธิบายหน้าตาภูมิใจแรงมาก

“ให้ผมผลักมินเหรอ?”

“ว้าย ไม่ใช่นะอติน! ให้มินผลักอตินสิ”

“ไม่ค่อยเข้าใจเลยอะครับ”

“ถ้าไม่เข้าใจก็ดูโน่น” อตินมองตามนิ้วเรียวที่กำลังชี้ไปทางด้านข้าง เพิ่งเห็นว่ามีแม่ยก เอ๊ย..ลูกค้าอีกกลุ่มกำลังยืนออกันอยู่รอบตัวมาร์ชกับน็อต

แล้วอยู่ดีๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมาร์ชใช้มือขวาผลักอกน็อตที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเข้าไปติดกำแพงกระจกดังปัง ก่อนจะกระแทกฝ่ามือซ้ายลงไปกักตัวน็อตไว้อย่างเชี่ยวชาญ ยิ่งใบหน้าทมึงถึงที่ค่อยๆ ขยับเข้าหากันแบบนั้น ก็ยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องให้ดังระงม

“พอละ” มาร์ชเอ่ยเสียงรำคาญ และผละตัวออก ไม่ลืมหันไปรับแบงค์สีม่วงมาเก็บใส่กระเป๋า ในขณะที่น็อตเอาแต่ตะโกนไล่ตามหลังอย่างโกรธแค้น

“ไอ้มาร์ช! เมื่อกี้มันเจ็บนะ ผลักมาได้”

 อตินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบายได้ เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาสบตากับมิน เมื่อเด็กตัวสูงขยิบตาให้สัญญาณ มือหนาทั้งสองข้างก็ตรงเข้าตะปบหัวไหล่ของเขาหมับ ก่อนออกแรงดันร่างบางไปจนแผ่นหลังติดกระจก ขอบคุณพระเจ้าที่เพื่อนรักคนนี้ไม่ได้กระทำมันรุนแรงนัก ไม่งั้นหลังเขาคงหัก หรือไม่กระจกคงแตกเป็นแน่

คลื่นลูกค้าถูกย้ายมาทางพวกเขาแทนที่ มีเสียงกรี๊ดกับเสียงกระซิบดังขึ้นพอให้ใจเต้นรัวไปตามบรรยากาศ มินยังคงไม่ยอมคลายมือออกจากไหล่ และเอาแต่จ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนวิญญาณหลุดหาย ชักน่ากลัวว่าคนตรงหน้าเข้าใจความหมายของคาเบะด้งจริงๆ แล้วหรือยัง เขาแค่ให้ยันกำแพงนะ ไม่ได้ให้จูบ โปรดอย่าทำท่าเหมือนกำลังเตรียมใจแบบนั้น

“เอามือยันกำแพง แค่นั้นแหละ” อตินแอบกระซิบเสียงค่อย ทำให้มินตื่นจากภวังค์ และทำตามอย่างว่าง่ายท่ามกลางเสียงโห่ร้องชอบใจของแฟนๆ ด้านหลัง

คนตัวสูงถูกเรียกตัวไปถ่ายรูปต่อแบบไม่ให้พัก ทำให้อตินใช้จังหวะนี้ปลีกตัวออกจากฝูงชนซึ่งเริ่มหันไปเล็งเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือเบสกับแจน (ที่เหมือนอยากทำฮาราคีรีเต็มทีแล้ว)

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ระหว่างทางก็โดนเรียกไปทำนู้นทำนี่จนเสียเวลาไปกว่าสิบห้านาที ในวันนั้นของเดือนแบบนี้ แม้แต่ชั้นสองที่ปกติจะดูปลอดโปร่งก็ยังแน่นขนัด ท่าทางซันเพิ่งจะเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกค้าเสร็จ เพราะกำลังเดินถือถาดเปล่าตรงมาทางเขาพอดี

“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” นี่คือคำพูดยอดฮิตที่พนักงานทุกคนต่างใช้มันเพื่อเป็นกำลังให้แก่กัน

“นายก็ด้วย”

“อือ ผมจะบ้าตายแล้ว”

ซันหัวเราะแล้วดึงแขนเขาให้เข้าไปหลบอยู่หลังมุมหนังสือ จุดเดียวในร้านตอนนี้ที่ไร้ผู้คน เพราะส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นโซนของเด็กๆ มากกว่า แต่ในเวลาอย่างนี้ ไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้ามาเหยียบร้านหรอก ต้องเรียกว่าเป็นเวลาแห่งการกลั่นแกล้งจากเหล่าลูกค้าวัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่รสนิยมน่ากลัวพวกนั้นถึงจะถูก

“ไม่โดนให้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?” คนตัวหนาถามเสียงเป็นห่วง พลางกวาดสายตาไปทั่วเหมือนต้องการเช็คให้แน่ใจ

“ก็ไม่ครับ พี่ซันล่ะ?”

“ไม่มีเหมือนกัน นี่ พี่เป็นห่วงเรามากนะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมผ่านมันมาหลายรอบแล้วนะ ฮ่ะๆ”

“แต่รอบนี้ไม่เหมือนกันนี่ เห็นนายแต่งตัวแบบนี้แล้วน่าเป็นห่วง พวกลูกค้าต้องคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่ๆ”

“เรื่องไม่ดีเนี่ยนะ”

“ใช่ อย่างเช่นคิดว่าอยากแอบเปิดกระโปรงของอตินจัง หรือคิดว่าอยากจะทำให้อตินในชุดนักเรียนหญิงแปดเปื้อนจังเลยอะ”

โป้กก!

คนตัวเล็กจงใจโขกหัวตัวเองลงกับหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแรง จนซันเผลอร้องออกมาเสียงดังพลางยกมือขึ้นลูบเหม่งป้อยๆ

“พี่ซันนั่นแหละที่อันตรายที่สุด น่าเป็นห่วงตัวเองจริงๆ ให้ตาย”

“ฮ่าๆๆ พี่ล้อเล่นเอง”

อตินยู่ปาก แต่ก็อดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ เขามีความสุขที่เห็นซันร่าเริงแบบนี้ นี่แหละคือซัน พี่ชายคนที่เขานึกชอบมาตลอด สดใส ใจดี และสนุกสนาน ไม่ใช่คนอมทุกข์แบบเมื่อคืน หรือคืนก่อนๆ นั้น

ถ้าเป็นซันแบบตอนนี้ไปได้ตลอด ก็คงดีสินะ...

“ผมว่าเรารีบออกไปกันเถอะ ถ้าพี่เบสจับได้ว่าอู้งาน โดนแพ่นกบาลกันทั้งคู่แน่”

“อือ แต่ขอหอมทีนึงก่อนนะ”

“หา..”

เสียงจุ๊บเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นตรงข้างแก้ม ไม่รอให้เขาต่อว่า ซันก็รีบเผ่นออกไปด้านนอกแล้ว อตินตีแก้มป่องแล้วยกมือขึ้นทาบร่องรอยเมื่อครู่ รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นมาโดยที่เขายังไม่ทันจะรู้ตัว...ซันที่เป็นแบบนี้ ชอบมากกว่าตั้งเยอะเลย

“เฮ้อ” ถึงกับต้องถอนใจเมื่อคิดว่าต้องกลับไปเจอเซอร์วิสแปลกๆ อีกแล้ว แต่ช่วยไม่ได้แฮะ เมื่อเป็นงานมันก็ต้องทำ แล้วถึงจะกลัวนิดหน่อย แต่เวลาได้เห็นลูกค้าทุกคนมีความสุข เขาก็รู้สึกดีไปด้วยนั่นแหละ

อตินลากสังขารกลับลงมายังชั้นล่าง เขาตั้งใจจะเข้าไปช่วยงานหลังเคาน์เตอร์ที่มาร์ชประจำอยู่ แต่กลับต้องรั้งขาตัวเองไว้ก่อนเมื่อสังเกตเห็นกลุ่มคนบริเวณกลางร้าน เรลล่ากำลังถูกลูกค้าชายท่าทางเนิร์ดๆ พูดอะไรใส่

“ปุอิ๊ง ปุอิ๊งน่ะ ทำให้ดูหน่อยน้า”

“อ่า...ค่ะๆ”

ปุอิ๊ง?

เรลล่าดูมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่แล้วก็ยอมยกมือที่กำหมัดหลวมๆ ไว้ทั้งสองข้างขึ้นเหนืออก หยุดไว้ตรงข้างแก้ม ก่อนจะยกหมัดขึ้นลงคล้ายท่าแมวกวักหรือท่าแงๆ ของเด็ก พร้อมส่งเสียงน่าอายแทนไปด้วย

“ปุอิ๊ง..ปุอิ๊งง”

เสียงปรบมือดังขึ้นตามหลังเหมือนเธอเพิ่งไปกู้ชาติมา ลูกค้าชายคนนั้นดูปริ่มเปรมมากตอนยื่นแบงค์ห้าร้อยส่งให้ ในขณะที่สาวสวยกลับหน้าแดงจัดจนน่าสงสาร

ทั้งที่คนที่น่าสงสารจริงๆ ก็คือเขาเองมากกว่า เมื่อลูกค้าสาวแถวนั้นพุ่งเข้ามาดึงแขนเขาไว้ พร้อมดวงตาเปล่งประกายระดับห้าสิบแปด เธอควักแบงค์พันขึ้นมาตรงหน้า ก่อนประกาศกร้าว

“อตินก็ทำปุอิ๊งปุอิ๊งบ้างสิ”

แม่เจ้าาาาาาาา!!

“มะ..ไม่..” เขาตั้งใจจะบอกว่าไม่รับ แต่ขณะนั้นเองที่เรลล่าตรงเข้ามาฉีกยิ้มกว้างพร้อมเข้าร่วมเป็นแกนนำปรบมือหน้าตาเฉย

“เอาเลยอติน ทำให้น่ารักสุดๆ ไปเลยนะ”

“เอ่อ คือ...”

“เอ้า เอาเลยย” เรลล่าเชียร์หนักข้อขึ้นหลังจากยื่นมือไปรับแบงค์พันเมื่อกี้มาแบบไม่มีวี่แววว่าจะคืนเงินทอนให้สักบาท ยิ่งบีบเค้นเขามากขึ้นอีกเท่าตัว

คนถูกชงย่นหัวคิ้วด้วยความเครียด เขารู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่ต้องกลั้นไว้เลยอะ ฮือ พอเสียงเชียร์เริ่มดังขึ้น อตินจึงช่วยไม่ได้ที่จะยกสองแขนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม เขาพยายามฉีกยิ้มฝืนๆ และเริ่มออกเสียงอย่างยากลำบาก

“ป..ปุอิ๊ง..”

น้ำเสียงตะกุกตะกักถูกเปล่งออกมาทั้งที่เจ้าตัวยังหลับตาปี๋

“ปุอิ๊ง..ฮืออ”

“กรี๊ดดดดด!!!”

“น่ารักมากกก อ๊ากก!”

คลื่นลูกค้าดูแตกตื่นจนวุ่นวายลายตาไปหมด เสียงหวีดร้องดังไกลถึงท้ายซอย ถึงขนาดว่าเบสกับมาร์ชต้องรีบยกมือขึ้นอุดหู ท่าทางตกใจเป็นอย่างมากกับรีแอคชั่นอันแสนน่าสะพรึงกลัวนี้

อตินเลิกสนใจหน้าที่บ้าบอ แล้วรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังเคาน์เตอร์ เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนหญิงนั่งกอดเข่าตัวสั่นขวัญหาย ใบหน้าแดงเถือกจนถึงใบหูด้วยความอายแบบรุนแรง ในใจนึกภาวนาให้เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นแค่ฝันร้าย แต่กลับคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ในเมื่อยังคงได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากคนแถวนี้ดังเข้าหูอยู่ตลอด จนต้องใช้มือข้างหนึ่งตบน่องขาเจ้าของเสียงไปทีอย่างเคืองๆ ดวงตากลมโตเชยมองใบหน้าเรียวที่กำลังก้มลงมาเช่นกัน

“ไม่ต้องหัวเราะเลยนะพี่มาร์ช!”

“เข้าท่าออก” พูดแบบนั้นแล้วย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน ท่าทางขบขันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าจริงจังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“แต่อย่าไปทำให้ใครเห็นอีกล่ะ”

“ชิ!” คนเด็กกว่าส่งเสียงไม่พอใจทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

ก็ใช่ซี้~ คนเขาไม่ได้ทำแล้วจะน่ารักเหมือนพี่เรลล่านี่นะ แต่ก็ไม่เห็นต้องมาพูดตรงๆ เพื่อหักหาญน้ำใจกันเลย เมื่อกี้เขาต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนน่ะรู้บ้างไหม!

รู้หรอกน่าว่าไม่น่ารัก จะไม่มีวันทำอีกตลอดชีวิตอยู่แล้ว หึ!

“ไปแล่ว!” อตินลุกขึ้นกระทืบเท้าเดินออกไป ท่าทางหงุดหงิด ปล่อยให้มาร์ชได้แต่มองตามหลังอย่างเป็นห่วง

อะไรของเขา เมื่อกี้ยังดูน่ารักอยู่แท้ๆ แป๊บเดียวก็ตีหน้าโมโหซะงั้น แถมไม่ยอมอยู่ฟังเขาพูดให้จบอีก คนเขาอุตส่าห์จะเตือนด้วยความหวังดีสักหน่อยว่าอย่าไปทำท่าทางน่ารักแบบนั้นกับใคร ขืนถูกจับตัวไปทำมิดีมิร้ายเข้าจะว่ายังไง ขนาดเมื่อกี้เขายังอดจะคิดอกุศลด้วยไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกผู้ชายเสือสิงห์กระทิงแรดข้างนอกนั่น สักวันต้องตกเป็นเหยื่อคนเลว เพราะความน่ารักของนายนั่นแหละ ยัยอตินเอ๊ย

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
29

 

“อาหารฝีมือน็อตกับแจนนี่อร่อยจริงๆ นะ”

“ครับ อร่อยมาก”

“อยากมาฝากท้องทุกมื้อซะแล้วสิ”

อตินหัวเราะแห้งให้กับบทสนทนาเรียบง่ายของเขากับเรลล่า ภายในห้องครัวเพียงสองคน สมาชิกคนอื่นรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ขณะที่พวกเขาได้รับหน้าที่จัดการผลไม้มากมายจากซุปเปอร์ฯ วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เรลล่ามากินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดมากเช่นนี้

หญิงสาวทยอยล้างแอปเปิ้ลผลน่าทาน ขณะที่เขากำลังลงมือปอกฝรั่งลูกใหญ่ เดธแอร์เกิดขึ้นจนชวนให้รู้สึกไม่ดี เขาต้องรีบหาเรื่องมาคุยต่อ แต่จะคุยเรื่องอะไรล่ะ เรื่องร้านเหรอ ตอนนี้เนี่ยนะ หรือถามไถ่เรื่องชีวิตส่วนตัว แต่จะดูก้าวก่ายมากไปไหม

“นี่ อติน”

“ค..ครับ” คนถูกเรียกสะดุ้งและหลุดออกจากความคิดตัวเอง อีกฝ่ายเริ่มพูดต่อโดยที่ไม่หันมามองหน้าเขา

“เรื่องที่ว่า มาร์ชมีคนที่ชอบอยู่ มันจริงหรือเปล่า?”

อตินสตันท์ไปสามวิให้กับคำถามนั้น จะมาคุยกับเธอเรื่องของมาร์ช...นั่นคือสิ่งที่เขาไม่นึกปรารถนามากที่สุดเลย

“เอ่อ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ”

“หรอ แต่ฉันได้ยินมาแบบนั้นน่ะ”

“เหรอครับ..”

“อือ แต่เห็นว่ามาร์ชชอบเขาข้างเดียวนะ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้ม ก่อนจะเดินไปหยิบมีดกับจานมาปอกแอปเปิ้ลที่สะอาดดีแล้ว

“แบบนั้นฉันก็ยังมีหวังใช่ไหมอติน”

“หะ? ครับ?” คนถูกถามส่งเสียงตอบกลับด้วยความงุนงง มีหวัง...อย่าบอกนะว่า..

“ฉันน่ะ อยากกลับไปคบกับมาร์ช”

อตินสะอึก แต่ก็เลือกที่จะเงียบ

“ต่อไปฉันจะมาต่อโทที่มหาลัย K มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ฉันก็คิดว่าเราน่าจะกลับมาคบกันได้ น่าเสียดายนะ มาร์ชไปชอบคนอื่นแล้ว...”

“...”

“แต่ช่างเถอะ ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่ได้ชอบมาร์ชก็ไม่มีประโยชน์ แบบนั้นแปลว่าฉันยังมีหวังสินะ” มือเล็กพุ่งเข้ามาจับแขนเขาเขย่าเพื่อขอความคิดเห็น แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ไม่สามารถสรรหาคำพูดไหนมาโต้ตอบได้ นอกจากรอยยิ้มแห้งๆ

เขาไม่รู้ ว่าต้องพูดว่ายังไง...

ในเมื่อคนที่เรลล่ากำลังพูดถึง คือเขาไม่ใช่เหรอ...

คือเขานะ.....

“อติน~ เสร็จยัง?” เสียงซันดังขึ้นก่อนตัว ทำให้เขาต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดเมื่อครู่ออก ไม่นานนักก็สัมผัสถึงแรงโอบแถวสะโพก พร้อมใบหน้าหล่อเหลาข้างแก้ม

“จะเสร็จแล้วครับเนี่ย” เขาหันศีรษะไปตอบซัน ซึ่งกำลังยิ้มกว้างจนเรลล่าอดออกปากแซวไม่ได้

“แหม หวานกันจริงนะคู่นี้”

“ฮ่ะ เรลล่า อิจฉาล่ะสิ”

“ชิ”

หญิงสาวจิ๊ปากแล้วชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศอย่างติดตลก ซันหัวเราะแล้วทำทีหลบหลังอตินไปมา ปากก็ยังส่งเสียงหาเรื่องเขาไม่หยุด

“ถ้าอิจฉาก็ต้องเอาชนะใจมาร์ชให้ได้ก่อนนะ แบร่”

“เดี๋ยวเถอะซัน เรื่องนั้นฉันทำได้แน่ย่ะ”

“หรา”

เรลล่ายื่นปากไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคนขี้กวน แล้วยกจานแอปเปิ้ลออกจากครัวไป พอดีกับที่อตินจัดวางฝรั่งบนจานเสร็จเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้ขยับขา ซันก็โถมร่างหนักอึ้งลงกับแผ่นหลังของเขา พร้อมเชยคางลงกับไหล่ด้านหนึ่งอย่างออดอ้อน ทว่า คำพูดที่เปล่งออกมากลับทำร้ายจิตใจกันเห็นๆ

“เพราะเรลล่ารักมาร์ช ถึงยังไม่ถอดใจ”

“.....นั่นสินะครับ”

“ฉันเอง ก็ไม่อยากยอมแพ้เหมือนกัน...”

“.....”

ไม่อยากยอมแพ้และปล่อยมือนายไปเลยนะ อติน

แม้ว่าสักวันฉันจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนก็ตาม...

 

ครืนน...ครืนนน

“หวา ฟ้าร้องเฉยเลย” แจนชะเง้อคอมองออกไปทางนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดลงมากแล้ว

“เรลล่ารีบกลับบ้านดีกว่านะ เริ่มดึกแล้ว”

เบสทักขึ้นอย่างเป็นห่วง คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย รวมทั้งเจ้าตัว เธอหันไปเช็คข้าวของในกระเป๋าให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไรไว้ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พร้อมกับมาร์ช

“เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“เออ ดีเหมือนกัน ฝากด้วยล่ะ” หัวหน้าพนักงานฝากฝังความดูแลไว้กับพี่ใหญ่ ก่อนจะโบกมือลาเด็กสาวแล้วก้าวขาเข้าห้องนอน ไม่ลืมล็อกคอเด็กแจนให้ตามไปด้วยกัน ทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยผลไม้ชิ้นโต

อตินแอบลอบมองมาร์ชกับเรลล่าเดินออกไปจนพ้นประตูบ้าน ก่อนจะหันไปสนใจท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอกหน้าต่าง ชักรู้สึกถึงลางไม่ค่อยดีเท่าไร

เสียงจานผลไม้กระทบกันเรียกสติของอตินกลับมา น็อตกำลังจะยกจานเปล่ากลับไปที่ครัว เขาเลยต้องรีบวิ่งตามไปแย่งมาไว้ในมือเสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับพี่น็อต เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“พี่ช่วย”

“นิดเดียวเอง พี่ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

“เอางั้นเหรอ”

คนเด็กกว่าพยักหน้างึกงัก เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่าย น็อตยกมือขึ้นลูบหัวอตินอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้อง สุดท้ายจึงเหลือแค่อตินในครัวลำพัง หลังจากออกปากไล่ซันให้ไปอาบน้ำก่อนได้สำเร็จ

แล้วลางสังหรณ์แปลกๆ ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อฝนเริ่มตกกระทบกระเบื้องเสียงดังน่ารำคาญ และทำท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

จานในซิงค์ยังไม่สะอาดดี แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจมัน อตินคว้าผ้าบนเคาน์เตอร์ขึ้นมาเช็ดมือลวกๆ แล้วเดินไปหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหามาร์ชในทันที จำได้ว่าที่พักชั่วคราวของเรลล่าตอนนี้ไม่ได้ไกลมาก ถ้าลองกะเวลาจากตอนที่ออกจากบ้านไป ก็น่าจะส่งเธอเรียบร้อยแล้ว แต่โชคร้ายที่ฝนดันตกลงมาห่าใหญ่ แถมไม่ได้พกร่มไป น่าเป็นห่วง...

ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..

ติดต่อไม่ได้!?

นิวเรียวกดวางสายแล้วพยายามโทรออกอีกครั้ง เขาทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายปิดเครื่องหรือแบตหมด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ..

มาร์ชยังไม่กลับมา

และไม่รู้ว่าคืนนี้จะกลับมาไหม

 

 

‘ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีรีเทิร์นก็ได้’

 

‘ฉันน่ะ อยากกลับไปคบกับมาร์ช’

 

‘เพราะเรลล่ารักมาร์ช ถึงยังไม่ถอดใจ’

 

 

...แบบนั้น.....

 

ไม่เอานะ...

 

 

“ว่าไงนะ?” เบสขมวดคิ้วคุยกับมาร์ชที่เพิ่งโผล่หน้ากลับมาตั้งแต่รุ่งเช้า

“ฉันบอกว่าวันนี้เรลล่าขอลา”

“มีอะไรหรือเปล่า? แล้วเมื่อคืนทำไมนายไม่กลับบ้าน?”

“เห็นเธอบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ส่วนเมื่อคืนฝนมันตกหนักมาก ก็เลยค้างที่นั่นเลย”

“ค้างกับเรลล่า!?” ซันโพล่งออกมาพลางเบิกตากว้าง ก่อนค่อยๆ หรี่ลงอย่างจับผิด มีอตินแอบลอบสังเกตอยู่ด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นรัวประหลาด

“อือ ฉันนอนโซฟา”

“ฮันแหน่ะ ไม่มีอะไรแน่นะ”

“จะไปมีอะไรล่ะ” มาร์ชตอบปัด ท่าทางรำคาญ ก่อนจะขออนุญาตเบสไปอาบน้ำแต่งตัว คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากบ้านเพื่อไปจัดการเปิดร้านกันก่อน ยกเว้นแค่อตินที่ดูลุกลี้ลุกลนต่างจากปกติ

“อติน เป็นไรรึเปล่า?”

“เอ่อ..ป เปล่าครับ”

“งั้นก็ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวสายหรอก” น็อตกวักมือเรียกเด็กน้อยที่ไม่ยอมก้าวขาออกจากบ้านสักที ในขณะที่พวกเบสเดินนำหน้าไปแล้ว

“คือ..ผม...ผมปวดท้องเข้าห้องน้ำอะครับ เดี๋ยวขอตามไปทีหลังได้ไหม”

“อ่า”

“งั้นเดี๋ยวพี่รอ” ซันบอก แต่ก็โดนน็อตลากคอเสื้อกลับมาได้ทัน

“ไม่ต้องเลย เราต้องรีบไปจัดแจงร้านก่อนนะ นายก็ต้องมาช่วยด้วย ส่วนอติน ทำธุระเสร็จแล้วก็รีบตามไปล่ะ”

“ครับ”

อตินแสร้งย่ำเท้าให้ดูเหมือนคนต้องการเข้าห้องน้ำจริงๆ แต่ก็ไม่วายยืนส่งซันกับน็อตต่ออีกสักพักเพื่อให้อีกฝ่ายแน่ใจและไม่ต้องห่วง พอทั้งคู่ลับสายตาไปแล้ว เขาจึงปิดประตูบ้านกลับมา แล้วตรงไปทางห้องนอน...ของมิน

กับมาร์ช..

เสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดออกมาก่อนใครเพื่อน อตินพยายามปิดประตูไม้ให้เบาที่สุด ก่อนย้ายก้นไปนั่งแหมะอยู่บนเตียงที่เคยเป็นของเขามาก่อน ดวงตากลมกลอกไปรอบบริเวณ อดจะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนยังเป็นรูมเมทกับเด็กหมีคยอมมี่ไม่ได้

แต่การย้อนอดีตก็ต้องจบลงแค่นั้น ทันทีที่สายน้ำหยุดลง มีเสียงกุกกักตามหลังอีกไม่เท่าไร ประตูห้องน้ำก็เปิดขึ้น พร้อมกลิ่นสบู่คุ้นเคยที่โชยออกมาเตะจมูก มาร์ชในร่างเปลือยอกพร้อมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว จดจ้องแขกไม่ได้รับเชิญอยู่นาน เหมือนต้องการถามผ่านโทรจิตว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เข้ามาอยู่ในนี้ได้ไง

“เอ่อคือ..ผม ผมมารอพี่มาร์ช จะได้ไปร้านพร้อมกัน...” อตินพูดเสียงอ่อนลงเรื่อยๆ เขารู้ว่ามันดูน่าอายและไม่น่าเชื่อ แต่มาร์ชก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับรู้และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า

เขาใช้เวลาแต่งตัวไม่ถึงสองนาที ก็ย้ายมาหยุดอยู่หน้ากระจกบนโต๊ะ ดูเหมือนคนมันจะหน้าตาดีนี่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเติมเสริมอะไรมากมาย อย่างมาร์ชก็แค่ใช้ปลายนิ้วจัดผมตัวเองสองสามทีก็เสร็จละ เขายัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง เตรียมพร้อมไปทำงาน แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคคำถามที่ฟังดูโกรธเคืองยังไงพิกล

“ทำไมเมื่อคืนไม่กลับบ้านครับ?” อตินลุกขึ้นมายืนขวางทางเขาไว้ หัวคิ้วสองข้างขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ยิ่งดวงตากลมแป๋วที่กำลังช้อนขึ้นมอง ก็ยิ่งดูน่ารักน่าแกล้ง

“ก็บอกแล้วนี่ว่าฝนมันตกหนัก”

“แล้วบ้านพี่เรลล่าไม่มีร่มรึไง กางร่มกลับมาก็ได้นี่”

“ก็ไม่มีน่ะสิ ที่พักยัยนั่นเป็นแค่หอโล่งๆ เองนะ” มาร์ชอธิบายเสียงเรียบ แต่กลับยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิด ถึงอย่างนั้นอตินก็เลือกที่จะเชื่อ เพราะรู้อยู่หรอกว่าที่พักของเรลล่าตอนนี้เป็นแค่ที่พักชั่วคราวช่วงมาช่วยงานเฉยๆ คงไม่ได้มีของใช้ครบครันเหมือนบ้านคนอื่น

แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

“ผมเป็นห่วงพี่มาร์ชมากเลยนะ”

มาร์ชกระตุกยิ้มพอใจ แล้วแกล้งหยอกคนหน้าบูดไปทีอย่างนึกสนุก

“ขอบใจ แต่เป็นห่วงตัวเองดีกว่า”

“หะ?”

“มัวมาหึงผู้ชายอื่นแบบนี้ ไอ้ซันคงไม่ชอบใจ”

“ห..หึงอะไร! ผมแค่บอกว่าเป็นห่วง” อตินวิ่งตามไปดึงแขนเสื้อมาร์ชไว้ หลังจากที่อีกฝ่ายเพิ่งเดินตัดหน้าเขาไปยังลูกบิดประตู

“ไม่ได้หึงสักหน่อย”

คนตัวสูงหันหลังกลับมาเพื่อพบกับพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ เด็กตรงหน้าดูออกง่ายจนน่าหงุดหงิด แบบนี้ยิ่งทำให้เขานึกเกลียดโชคชะตาทั้งหลาย ที่พยายามพรากพวกเขาสองคนออกจากกันหน้าตาเฉย ทั้งที่ดูออกง่ายจะตาย...

ว่าความรู้สึกของอติน มันคืออะไรกันแน่

“หึงก็บอกว่าหึง ไม่ใช่บอกว่าเป็นห่วงแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้”

“อึ่ก...”

คนตัวเล็กหน้าชา ใบหูแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเขินอาย และมาร์ชก็ไม่ได้ใจดีขนาดจะปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดลอยไปซะด้วย

สองมือหนาตรงเข้าประคองใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนโน้มตัวลงไปจนลมหายใจรดใส่กันและกัน อตินหลับตาปี๋อย่างทุกที แต่กลับไม่คิดปฏิเสธสัมผัสนุ่มหยุ่นที่กำลังรุกล้ำเข้าหา มาร์ชจรดริมฝีปากลงกับริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนค่อยๆ สอดแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปควานหารสชาติอันชวนคิดถึง ลิ้นเล็กดูเงอะงะจนน่าขำ แต่ก็ยังพยายามตอบรับเขาได้เป็นอย่างดี

สติสัมปชัญญะของอตินราวกับถูกดูดกลืนหายไปด้วยจูบนี้ จนไม่ทันรู้สึกตัวว่ากำลังถูกไล่ต้อนกลับมาถึงเตียงนอนด้วยแรงนำจากคนตัวใหญ่ มาร์ชเลื่อนมือมาหยุดลงบนไหล่บาง แล้วผลักให้เด็กในความควบคุมนอนราบลงไปบนผ้าห่มสีขาว

เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง เปิดโอกาสให้อตินได้หายใจหายคอ ก่อนจะกดจูบร้อนๆ ทาบไปกับลำคอขาว ไล่ต่ำลงมาตามแนวไหปลาร้า พร้อมใช้มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเกะกะไปด้วยอย่างชำนิชำนาญ เสียงหอบหายใจดังขึ้นทักถ้วง

“พ..พี่มาร์ช อย่าครับ..”

อตินพยายามยืดตัวหลบ พลางใช้สองแขนดันแผ่นอกแกร่งด้านบนออกห่าง แต่ก็ไม่ได้ผลนักเมื่อแรงของทั้งคู่ช่างแตกต่างกัน อีกทั้งส่วนลึกในความรู้สึกของเขาเอง ก็นึกต้องการสัมผัสเหล่านี้อย่างปฏิเสธได้ยาก

“พี่ทำแบบนี้กับเราคนเดียว เข้าใจไว้ด้วย” นิ้วชี้จิ้มลงมาอกแผงอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรงจากอารมณ์ภายในร่างกาย

“เรลล่าก็เป็นเหมือนน้องสาวเท่านั้นแหละ”

“มะ..ไม่ได้ถาม..สักหน่อย”

คนตัวใหญ่ยิ้มมุมปาก จ้องมองท่าทีเขินอายกับการพยายามหลบสายตาของคนเบื้องล่างด้วยความเอ็นดู บางทีเขาน่าจะทิ้งร่องรอยไว้บนตัวเด็กนี่ให้รู้แล้วรู้รอด แต่แบบนั้นอตินก็คงเดือดร้อน ไม่ไหวเลยนะ...

ทั้งที่เรารักกัน แต่ก็ไม่สามารถรักกันอย่างนั้นเหรอ

ถ้าแค่นายจะกล้าทำตามใจตัวเองสักนิด

ก็คงไม่ต้องเจ็บปวด...

แต่เพราะเป็นคนจิตใจดีอย่างนายนั่นแหละ ถึงได้ไม่กล้าทำแบบนั้น... ถึงอย่างงั้นก็เถอะ อติน...ความดีของนายมันกำลังส่งผลร้ายล่ะ ไม่ใช่ต่อตัวเอง และไม่ใช่ต่อเขาเท่านั้น

แต่มันกำลังทำร้ายซันเช่นกันด้วย

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
30

 

สรุปว่าวันนั้นมาร์ชกับอตินโดนเบสกับน็อตบ่นตลอดวัน เหตุเพราะไปทำงานสายกว่าเวลาเปิดร้านตั้งครึ่งชั่วโมง ทั้งที่ควรจะทำธุระเสร็จตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว สำหรับมาร์ชก็คงแค่ฟังแล้วผ่านไป แต่สำหรับอตินมันไม่ใช่ คำตำหนิของเบสน็อตเทียบไม่ได้กับการเมินเฉยจากซันเลยแม้แต่น้อย ก็ถ้าไม่โง่ก็คงดูออกอยู่แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเสื้อผ้าของพวกเขาคงไม่ยู่ยี่จนผิดสังเกต

ร้ายกว่านั้นก็คือการที่เขาไม่มีหน้าจะไปง้อ หรือไปอธิบายอะไรด้วยซ้ำ

กลายเป็นว่าตั้งแต่ตอนนั้นซันไม่ได้ปริปากคุยกับเขาอีกเลย นอกจากพยักหน้าสองที ส่ายหน้าทีนึง แล้วก็ต่างฝ่ายต่างเข้านอนแบบไม่บอกกล่าว คำว่าฝันดีที่เคยกระซิบข้างหู คืนนี้ก็ไม่มีให้...

มันน่าตีตัวเองไหมล่ะ อติน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ซันก็ยังคงเมินเฉย ถามคำตอบคำจนน่าใจหาย หยาดฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หกโมงจนถึงเวลาใกล้เปิดร้าน ยิ่งทำให้เขารู้สึกหม่นหมอง

เสียงประตูร้านดังขึ้นเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมอง พบว่าเป็นเรลล่าที่กำลังวิ่งหนีฝนเข้ามาภายใน มินรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดหัวหลังร้านมาส่งให้เธอซึ่งกำลังเดินผ่านมายังแถวเคาน์เตอร์ พี่คนอื่นๆ ต่างก็พากันถามไถ่ถึงอาการป่วยเมื่อวาน

“หายดีแล้วเหรอ?”

“ได้กินยา พักผ่อน ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ถ้าเหนื่อยก็บอกล่ะ ไม่ต้องหักโหมหรอก ช่วงนี้งานที่ร้านก็ไม่ค่อยยุ่งมากแล้ว เพราะเริ่มเข้าหน้าฝน คนออกจากบ้านลำบาก”

“ขอบคุณมากค่ะทุกคน”

“พี่เรลล่ารีบเช็ดหัวก่อนเถอะครับ” อตินรีบออกปากเตือน เมื่อสังเกตเห็นหยดน้ำเกาะไปตามเส้นผมสีบลอนด์ เธอเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ แล้วปราดเข้าไปเขย่าแขนมาร์ชซึ่งกำลังเดินเครื่องชงกาแฟ

“มาร์ช เช็ดหัวให้หน่อยสิ”

“แค่นี้ทำเองสิ”

“หูย มาร์ชอ่า!”

คนตัวสูงจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากมน ดูราวกับพี่ชายกำลังดุน้องสาว แต่สุดท้ายก็ยอมดึงผ้าขนหนูในมืออีกฝ่ายมาเพื่อเช็ดหัวให้อยู่ดี แบบนี้จะทำให้ได้ใจกันไปใหญ่

อตินพยายามอย่างมากที่จะเชื่อใจและไม่คิดอะไรบ้าๆ เขาทำทีเป็นเดินเข้าไปช่วยพี่คนอื่นจัดแจงโต๊ะเก้าอี้เพื่อจะได้ไม่ต้องทนยืนมองภาพบาดตา แม้ว่ามาร์ชจะบอกว่าเป็นแค่พี่น้อง แต่เขาก็ยังไม่ชอบที่เห็นมัน ไม่ชอบเลยถ้าจะมีน้องคนไหนสำคัญไปกว่าตัวเอง...

“ให้เช็ดไม่ใช่กระชาก” เสียงเรลล่ายังคงดังลอดเข้ามาแม้จะทำเป็นไม่สนใจแล้วก็ตาม เขาว่าเขาควรขังตัวเองไว้หลังร้าน ไม่ก็ไปช่วยพี่แจนในครัวให้จบๆ ไป หลังเคาน์ต่งเคาน์เตอร์อะไรกัน ไม่ได้อยากทำสักหน่อย..

“เฮ้ย!”

คนหงุดหงิดใจร้องเสียงหลงเมื่อร่างทั้งร่างกำลังจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เพราะพื้นที่เปียกน้ำและความไม่ระวัง เขารีบกางแขนออกหวังช่วยทรงตัว แต่สิ่งที่ประคองไม่ให้หน้าคว่ำหลังคะเมนลงไป กลับเป็นความช่วยเหลือจากร่างหนา ซึ่งตรงเข้าชาร์จทันภายในเสี้ยววินาที ท่ามกลางความใจหายของสมาชิกร้าน เสียงดุดันก็ดังขึ้นข้างหู

“เดินดูทางบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เหม่อ”

“พ..พี่ซัน”

อตินประคองตัวจนกลับมายืนเต็มความสูงได้ดังเดิม ขณะที่น็อตรีบวิ่งไปหยิบไม้ถูพื้นมาจัดการกับรอยน้ำหกบนพื้น เบสต้องคอยตะโกนสั่งให้คนอื่นๆ หันกลับไปสนใจธุระตัวเองหลังจากสถานการณ์ชวนหวาดเสียวเมื่อครู่คลี่คลาย คงหลงเหลือเพียงแค่อตินกับซันที่ยังเล่นจ้องตากัน ไม่พูดไม่จา

ความจริงคือ เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี กับซันตอนนี้มันชวนให้อึดอัดแปลกๆ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคุยกับเขาเลยทั้งวันทั้งคืน ทั้งที่คิดว่าจะโดนโกรธมากขนาดไหน สุดท้ายก็ยังเป็นมือคู่นี้ที่ตรงเข้ามาช่วยเขาไว้ทันทุกที

อะไรกัน...

“เป็นอะไรรึเปล่า?” ซันเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูช็อคไป อตินรีบสะบัดหัวแล้วส่ายหน้า

“เปล่าครับ พี่ซัน ขอบคุณนะ”

“อือ”

อตินตั้งท่าจะเอ่ยปากพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ซันกลับปั้นหน้านิ่งแล้วเดินจากไปเมื่อเห็นว่าเขายืนทรงตัวดีแล้ว สุดท้ายก็ยังคุยกันดีๆ ไม่ได้สินะ

เพราะเขามันแย่เอง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะหักใจ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอยู่เคียงข้างซันเอง แต่เขากลับต้านความรู้สึกภายในไม่ได้ และกำลังจะทรยศอยู่ทุกเมื่อแล้ว...

ไลน์!

คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเสียงเตือนข้อความเข้าจากแอพพลิเคชั่นไลน์ดังขัดจังหวะ เขารีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแอบเดินไปหลบมุมเพื่อเปิดอ่าน ไม่กล้าให้เบสกับน็อตเห็น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขารู้สึกคลายใจแม้ว่าจะมีเรื่องเครียดในหัวก็ตาม

[Leo Beer: เป็นยังไงบ้าง]

[ATIN: พี่เลโออออ]

อตินพิมพ์แบบลากเสียงยาวเป็นหางว่าว ช่วงหลังมานี้เขาไม่ค่อยได้คุยกับเลโอเลย โดยเฉพาะหลังจากเรลล่าเข้ามาทำงาน ดูเหมือนเขาเอาแต่คิดมากไม่เป็นเรื่องจนแทบลืมโลกภายนอก ก็เกือบลืมไปว่ายังมีพี่ชายคนนี้อยู่อีกคน คนที่เขาสามารถระบายทุกเรื่องให้ฟังได้

[ATIN: ช่วงนี้ผมเครียดมาก ผมขอไปเจอพี่ได้ไหม?]

ฟังดูอ่อยแรง แต่เขาแค่ต้องการที่พึ่งพิงสุดท้าย ในสถานการณ์กืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

[Leo Beer: เอาสิ พี่ก็อยากเจอเราอยู่พอดี]

[ATIN: ให้ไปเจอที่ไหนดีครับ?]

[Leo Beer: ร้านเก่าที่เราเคยมาละกัน]

[Leo Beer: คืนพรุ่งนี้นะ]

[ATIN: โอเคเลย แล้วเจอกันนะครับ]

[ATIN: เดี๋ยวผมทำงานก่อนละ]

อตินเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋าทันทีโดยไม่รออ่านข้อความตอบกลับจากอีกฝ่าย เพราะมินเพิ่งเดินไปพลิกป้าย OPEN ออก พร้อมกับลูกค้ากลุ่มแรกที่มายืนรอตั้งแต่ห้านาทีก่อน

เขารีบเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ แต่ก็ต้องชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นภาพมาร์ชกำลังช่วยผูกผ้ากันเปื้อนให้เรลล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ลืมไปเหมือนกัน... ลืมไปเลยว่าตอนนี้ หน้าที่ของเขามันไม่ได้อยู่ตรงหลังเคาน์เตอร์ ไม่ได้อยู่...ข้างๆ มาร์ชอีกแล้ว

“เฮอะ” อตินอดจะส่งเสียงหงุดหงิดออกมาไม่ได้ ก่อนจะเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังห้องครัว โดยไม่หันกลับไปมองคู่รักเก่านั่นอีก

ภายในห้องครัว ยังคงมีบรรยากาศอบอุ่นแบบคุณแม่และพี่สาวคนโต กลิ่นแป้งกับครีมชวนให้เขาท้องร้องอยู่เสมอถึงแม้จะเพิ่งกินข้าวเช้าไปก็เถอะ

“พี่แจน พี่น็อต คืนพรุ่งนี้ผมขอกลับบ้านดึกหน่อยนะครับ”

“อะไรๆ เดี๋ยวนี้จะเกเรแล้วหรอ” น็อตตั้งท่าเป็นแม่ แล้วย่างเท้าเข้ามาใกล้ ในมือถือถาดขนมเตรียมนำไปวางโชว์ด้านนอก

“เปล่านะครับ ผมแค่นัดพี่เลโอไว้”

“อ่า นายเลโอ”

“ไปใกล้ๆ บ้านพักนี่เอง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

“งั้นก็ได้ แต่อย่าให้ดึกมากล่ะ วันรุ่งขึ้นยังต้องทำงานนะ ห้ามป่วยห้ามพักห้าม..”

“เข้าใจแล้วคร้าบๆ” อตินยกสองมือขึ้นโบกไปมาเพื่อเบรกการเทศนาของน็อตไว้ก่อน คนเป็นพี่ถอนหายใจแล้วยิ้มเอ็นดู ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาเข้าไปเป็นลูกมือแจนแทน ขณะที่ตัวเองยกขนมออกไปเรียงบนชั้น

“จะไปหาเลโอ มีอะไรรึเปล่า?” แจนถามขึ้นเหมือนรู้ทันไปหมด

เขาเองก็ไม่ได้ซื่อบื้อจนดูไม่ออก ว่าตอนนี้ทุกคนในร้านคงประจักษ์กันหมดแล้ว ถึงความสัมพันธ์และความรู้สึกอันสุดจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนของพวกเขาทั้งสาม มันคงเป็นสิ่งที่ทำให้บรรยากาศในร้านไม่ค่อยดีนักมาสักพักแล้ว...บางที เขาก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม

หรือไม่ก็แค่ทำให้ทุกอย่างมันจบสักที...

“ผมอยากไปเคลียร์ทุกอย่างครับ”

 

แต่ละชั่วโมง นาที วินาทีที่ผ่านไปตลอดทั้งวันทั้งคืน คือความทรมานของเขาที่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกมากมายในอก เขาต้องทนกับความเฉยชาจากซัน แล้วยังต้องทนกับความพยายามเอาชนะใจมาร์ชของเรลล่าด้วย แต่แย่ที่สุดก็คือการที่ต้องทนข่มใจตัวเองไม่ให้เตลิดเปิดเปิงนี่แหละ

ในที่สุดก็ถึงเวลานัดกับเลโอ ณ ร้านเหล้าสไตล์นั่งชิลร้านเดิม โต๊ะเดิมตรงมุมที่เอะอะน้อยที่สุด มีเลโอกำลังยืนกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปเหมือนเคย รอบข้างมีจิน เคฟ ไทป์ กับ ไนล์ ส่วนคนอื่นนั้นไม่เห็นวี่แวว

“พี่ๆ สวัสดีครับ” อตินยกมือไหว้เรียงคน ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ข้างเลโอ ซึ่งเคฟเป็นคนลากมาไว้ให้ ตอนนี้นักดนตรีประจำร้านกำลังเล่นเพลงช้าสบายๆ ทำให้เสียงไม่ดังเท่าไร

“ว่าไงเรา เครียดอะไรฮึ?” เลโอจับหัวเขาโยกสองสามที

“ก็เรื่องพี่มาร์ชกับพี่ซันนั่นแหละครับ”

ทุกคนบนโต๊ะต่างเหลือบมองใบหน้าซึมกระทือของเขาเงียบๆ แม้แต่พนักงานร้านคอเดียเองก็ยังดูออก ถึงเรื่องราวอันปั่นปวนชวนวิงเวียนศรีษะนี้

“ผมรู้นะว่าพี่ซันรู้ เรื่องที่ผมชอบพี่มาร์ช แต่พวกเราก็ยังพยายามหลอกตัวเอง พยายามจะประคองความสัมพันธ์เอาไว้”

“ความจริงพี่เคยคุยกับไอ้ซันเรื่องนี้แล้วนะ”

“หะ”

“พี่บอกมันแล้ว ว่าพวกนายจะฝืนคบกันต่อไปไม่ได้หรอก แต่มันก็ไม่เชื่อ สุดท้ายก็จะเจ็บกันหมด ทั้งอตินทั้งมาร์ช แล้วก็ทั้งมันด้วย”

“ใช่ครับ...มันฝืนไม่ได้เลยจริงๆ”

แม้ว่าเขาเองก็พยายามจะทำให้ได้เช่นกัน แต่ก็เข้าใจแล้วว่าไม่ได้ ยังไงก็หนีความรู้สึกตัวเอง หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้เขากับซันแทบไม่ได้คุยกันเลย ราวกับว่าความพยายามที่ผ่านมากำลังเดินหน้ามาถึงจุดสิ้นสุด เขาไม่สามารถมองตาแล้วรู้ใจซันได้เหมือนเก่า

ตอนนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าซันกำลังรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ และจะทำยังไงต่อไป

ความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้น มันค่อยๆ พังทลาย โดยที่เขาทั้งคู่ต่างรู้ดี...

แต่กลับไม่ยอมพูดมันออกมาให้เคลียร์สักที

ในขณะที่เรื่องราวต่อซันกำลังโคลงเคลงและไม่แน่ใจ ความรู้สึกที่เขามีต่อมาร์ชกลับยิ่งชัดเจน โดยเฉพาะตั้งแต่เรลล่ากลับมา เขารู้เลยว่าตัวเองรักและหวงมาร์ชขนาดไหน แต่ถึงจะรู้สึกขนาดไหน ในฐานะน้องคนหนึ่ง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

มันถึงได้ทรมานและสับสนจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ไอ้เรื่องบ้าๆ ที่กำลังดำเนินอยู่เนี่ย เขาอยากให้มันจบลงซะตอนนี้เลยได้ก็ดี!

“อ้าว คอเดียไม่ใช่เหรอน่ะ?” เสียงสดใสคุ้นหูดังขึ้น ช่วยดึงอตินออกจากความคิดนับล้านในหัว

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือเรลล่าที่กำลังเดินควงแขนมาร์ชตรงมาทางโต๊ะของพวกเขา มาร์ชดูตกใจเล็กน้อยที่ดันมาเจอกันในสภาพนี้ ผิดกับอตินที่ตกใจมากจนแทบอยากจะลุกหนี เขาพยายามหันไปขอความช่วยเหลือจากเลโอ แต่อีกฝ่ายยังเอาแต่กดโทรศัพท์ กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาได้ เคฟก็ถือวิสาสะชวนสองคนนั้นเข้ามานั่งร่วมโต๊ะซะดิบดีแล้ว

นี่มันเรื่องอะไรถึงทำให้ต้องมาเจอมาร์ชกับเรลล่าที่นี่ ทั้งที่เขาตั้งใจจะหนีจากการมีสองคนนั้นอยู่ในสายตาแท้ๆ เชียว ฮึ แล้วมันเรื่องอะไรถึงได้ควงกันมาร้านเหล้าสองต่อสองโดยไม่บอกกันสักคำ

“ไม่เจอกันนานเลยนะเรลล่า” จินทักทายพร้อมยิ้มตาหยี หญิงสาวหนึ่งเดียวรีบโบกไม้โบกมือแล้วยิ้มตอบตาหยีไม่แพ้กัน

“ถ้างั้นต้องเลี้ยงนะ” เรลล่าพูดติดตลก แต่ไทป์กลับพูดแทรกขึ้นมากลางปล่อง ดูท่าทางจะเริ่มเมาบ้างแล้ว จนไนล์ต้องเกี่ยวแขนสีคล้ำเอาไว้ไม่ให้พุ่งตัวออกไป

“ไม่ต้องเลย ควงลูกเศรษฐีมาซะขนาดนี้”

ทุกสายตาเลื่อนไปหาลูกเศรษฐีที่ว่า มาร์ชตีหน้านิ่งเฉย แล้วยกมือเรียกพนักงานแบบไม่ยี่หระนัก ก็จริงสิ เขาเกือบลืมไปเลยว่าผู้ชายชื่อมาร์ช แท้จริงแล้วมีเงินมากมายขนาดไหน ไม่สิ...ความจริงพนักงานร้าน Café de Sept ทั้งหมดก็เป็นพวกมีฐานะที่แค่อยากหาเวลาเล่นสนุกในร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ

“เห็นว่ากลับมาช่วยงานรอเรียนเหรอ?” ไนล์ตีไหล่ไทป์ให้อยู่นิ่งๆ แล้วโยนประเด็นอื่นเข้าแทนที่

ระหว่างที่พวกคอเดียกำลังพูดคุยกับมาร์ชและเรลล่าที่ไม่ได้เจอกันนาน อตินก็ซัดเหล้าบนโต๊ะไปแล้วสองแก้วเต็มด้วยความเร็วแสง แม้ว่าเลโอจะพยายามห้ามแต่เขาก็ดื้อจนได้

ความจริงคือเขาต้องการหาอย่างอื่นสนใจ แทนที่ภาพของคู่รักเก่าซึ่งกำลังบาดตาอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขาแทบไม่กล้าหันไปมองด้านนั้นเลย จึงไม่ทันเห็นว่ามาร์ชกำลังเหลือบมองมาเป็นระยะๆ ท่าทางเป็นห่วงแต่ก็ไม่อาจพาตัวเองหลุดออกจากบทสนทนาตรงหน้า

“อติน ใจเย็น” เลโอปรามเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่กระดกแก้วในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบไม่วางมือ ทั้งเนื้อทั้งตัวเริ่มร้อนผ่าว พวงแก้มสองข้างแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม พ่วงด้วยสายตาหยดเยิ้มจนชักกลัวว่าจะฟุบแหล่มิฟุบแหล่

 

I don't like the way he's looking at you
​          I'm starting to think you want him too

 

ลำโพงในร้านดังเป็นเพลงจังหวะกลางๆ แต่ความหมายนี่เหมือนโดนตบหน้ากลางสามแยกตอนเที่ยงตรง แม้ว่าสติสตังเขาจะเริ่มล่องลอยไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่เสียงเพลงกลับยังดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในโสตประสาท เลโอถอนหายใจให้กับความรั้นของน้องชายคนนี้ ก่อนค่อยๆ ประคองศีรษะโงนเงนของอตินให้พักไว้บนโต๊ะซึ่งถูกเคลียร์ขวดแอลกอฮอลล์ทั้งหมดออก ตอนนี้เขาเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น แม้จะฟุบตัวลงกับโต๊ะไปแล้ว แต่มือขวาก็ยังคงกำแก้วน้ำสีอำพันไว้แน่น หางตาแอบชายมองเรลล่ากับมาร์ชซึ่งยังคงเฮฮาอยู่กับเคฟและคนอื่นๆ

ทั้งที่อยู่ต่อหน้าแค่นี้ แต่เหมือนมองไม่เห็นกันเลยนะ

เพราะมีเรลล่าบังตาอยู่หรือไง...

อ้อ ไม่สิ

แบบนี้ต้องเรียกว่าบังใจ.....

 

​​​I turn my chin music up
​          And I'm puffing my chest
​          I'm getting ready to face you
​          You can call me obsessed


เพลงในร้านราวกับถูกปรับ volumn ให้ดังขึ้นอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงพูดคุยบนโต๊ะเดียวกันเบาลงไปได้เลย ยิ่งกับเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูที่ดูเหมือนจงใจให้เขาได้ยินแล้วด้วย

“ฉันว่าฉันจะกลับมาคบกับมาร์ชล่ะ” เรลล่ากระแทกเสียงแข่งกับบรรยากาศวุ่นวายรอบตัว มาร์ชไม่โต้แย้งอะไรแต่ก็ไม่ได้ยอมรับ ท่าทางหญิงสาวจะค่อนข้างมึนในระดับหนึ่ง

ท่ามกลางความยินอกยินดีจากพนักงานคอเดียที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา อตินเผลอปล่อยแก้วน้ำในมือจนกลิ้งลงไปแตกบนพื้น กระจัดกระจายไปทั่วเบื้องล่าง

“กรี๊ดด!”

เรลล่าร้องแว้ด พอดีกับที่เลโอรีบลุกขึ้นยืน แล้วพยายามจะอุ้มร่างเปื่อยๆ ของเขาให้หลบเศษแก้ว แต่ไม่ทันที่มือของเลโอจะแตะถูกตัว อตินก็เป็นฝ่ายดึงตัวเองขึ้นจากโต๊ะเอง พร้อมตะโกนเสียงดังอย่างลืมอาย

“ไม่ได้!!”

ทุกคนบนโต๊ะตีหน้าเหลอหลา พนักงานร้านที่กำลังจะเข้ามาจัดการกับแก้วที่แตกหยุดชะงักไป ลูกค้าท่านอื่นคอยเหลือบสังเกตการณ์อย่างสอดรู้ เด็กชายร่างผอมบางท่าทางไม่มั่นคงก้าวขาผ่านหน้าเลโอไปทางเรลล่ากับมาร์ช ใบหน้าแดงจัดจากฤทธิ์เหล้าทำเอาคนโตกว่านึกเป็นห่วง แต่กลับปรามอะไรไม่ทัน

อตินกล่าวเสียงเย็นอย่างคนไม่ได้สติเท่าที่ควร แต่นั่นก็น่ากลัวพอจะทำให้เรลล่าถึงกับขนลุกไปวูบหนึ่ง

“พี่มาร์ชเป็นของผม”

“มะ..หมายความว่ายังไง?” เรลล่ารีบย้อนถาม พลางจ้องหน้าอตินกับมาร์ชสลับไปมาหลายที พวกคอเดียคนอื่นๆ ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน

“พี่มาร์ชเขารักผม ไม่ได้รักพี่เรลล่า!”

“หะ..”

“ผมไม่ยอมให้พี่เรลล่ามายุ่งกับพี่มาร์ชแล้ว ผมกับพี่มาร์ช เรา-รัก-กัน”

อตินเน้นแต่ละพยางค์ชัดเจน จนเรลล่าเถียงไม่ออก เธอยืนเอ๋ออยู่สองจุดสามวิ ก่อนจะรีบสะบัดหัวรัวๆ แต่อตินก็ไม่ยอมเว้นช่วงให้ใครได้เถียง

“ผมเจอพี่มาร์ชก่อน รักพี่มาร์ชก่อน แล้วเรายังมีอะไ...อื้ออ” คนไม่มีสติสะบัดตัวอย่างหงุดหงิด เมื่อจู่ๆ มาร์ชก็รีบพุ่งเข้ามาปิดปากเขาไว้ด้วยมือใหญ่ สายตาดุๆ ที่ส่งมา ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวอย่างทุกทีอีกแล้ว

บางทีเขาอาจจะเมามาก จนสมงสมองไม่สั่งการ สต่งสติมันถึงขาดผึ่งแบบกู่ไม่กลับ

ทันทีที่เลาะมือของมาร์ชออกไปได้ อตินก็รั้งคอเสื้ออีกฝ่ายลงมาประจันหน้ากันอย่างแรง ท่าทางกราดเกรี้ยวดูไม่สมกับเป็นอตินที่ทุกคนรู้จัก แต่ถึงอย่างนั้น มาร์ชกลับนึกชอบใจในความตรงไปตรงมาเกินร้อยเปอร์เซ็นอย่างตอนนี้

“พี่มาร์ชห้ามยุ่งกับคนอื่นนะ” น้ำเสียงเด็ดขาดดังลอดไรฟัน ก่อนที่คนตัวเล็กจะทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิด

อตินไม่รอให้มาร์ชพูดอะไรกลับ ก็ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายลงต่ำกว่าเดิมพร้อมยืดตัวเองขึ้นสูง ริมฝีปากอุ่นจากความรุ่มร้อนในร่างกายถูกบดขยี้เข้ากับริมฝีปากของคนด้านบนอย่างเก่งกาจ มาร์ชเผลอยิ้มดีใจไปกับท่าทีขี้หวงของเด็กที่เคยปากหนักเหลือเกิน ก่อนจะเริ่มตอบรับจูบจากอตินท่ามกลางสายตาอึ้งๆ จากทุกคนทั่วบริเวณ

ก็เพิ่งรู้ว่าต้องเมาก่อน ถึงจะยอมทำตามใจตัวเองได้สักที

ไอ้เด็กนี่...มันน่าลงโทษให้ปากช้ำไปเลยจริงๆ ให้ตาย

“อ..อื้อ” อตินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ มาร์ชแกล้งดูดลิ้นเล็กหนักๆ อีกสองสามที จึงยอมปล่อยให้เด็กปากเก่งกลับไปยืนหอบตัวโยน

ดูเหมือนจูบเมื่อกี้จะถูกสูบเรี่ยวแรงไปซะหมด เขาถึงยืนด้วยตัวเองไม่ได้เลย ต้องคอยเกาะเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้าเอาไว้ตลอด สติที่เริ่มกลับเข้าร่างเป็นตัวเร่งให้หัวใจเต้นรัวจนแทบระเบิดออกมาจากอก ใบหน้าที่เคยแดงจากฤทธิ์เหล้ายิ่งแดงซ่านขึ้นไปอีกด้วยความเขินอายระดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

พอนึกได้ว่าเมื่อกี้พูดอะไรออกไป และทำอะไรออกไป...

...

...

อ๊ากกกกกกกก!!!!

อยากฉีกร่างตัวเองออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้แมวกินเดี๋ยวนี้เลยไอ้บ้าเอ๊ย! อตินแบ๊ม! นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป๊ โอ้ยยย ตายๆๆ แบบนี้เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองโลกแห่งความเป็นจริงอีกต่อไปแล้ว ฮือ ใครก็ได้เดินเอามีดมาแทงเขาที ตอนนี้เลย!

“สรุปว่า...”

มาร์ชโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู แต่ก็เป็นการกระซิบที่ดูกวนตีนดี เพราะมันดังจนแทบจะกลบเสียงดนตรีในร้านไปซะหมด

“...”

“พี่เป็นของอตินนะ”

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
31

 

“หวะ..!?”

คนตัวเล็กถูกมือใหญ่ลากออกไปทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ เขาเหลือบเห็นเงาของใครบางคนปะปนไปกับแขกในร้านแต่ก็ไม่มีเวลาให้ได้สนใจเท่าไรนัก มาร์ชเอาแต่ดึงเขาไปมาตามถนนอย่างเอาแต่ใจ แถมไม่ปริปากสักคำว่าจะไปไหน

สุดท้าย พวกเขาก็มาหยุดอยู่บนเนินหญ้าติดลำธาร ที่เดิมที่เคยหนีออกจากบ้านมานอนดูดาวด้วยกันคราวนั้น

“พี่คิดว่าจะไม่ได้อตินคืนแล้วซะอีก”

“ม..หมายความว่าไง..ครับ”

อตินถามอึกอักขณะหย่อนตัวลงด้านหน้ามาร์ชตามคำสั่งจากอีกฝ่าย คนโตกว่ายิ้มกว้างแล้วเชยคางลงกับศีรษะเล็ก

“พี่รู้นะว่าอตินชอบพี่”

“หะ...” ใบหน้าแดงก่ำยิ่งแดงขึ้นอีกเท่าตัว เขาแทบไม่กล้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนด้านหลังอีก

“แต่เพราะเรื่องซัน มันถึงขัดขวางความรู้สึกของเรา”

“...”

“พี่ไม่อยากให้อตินฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้ว เป็นแบบนี้ก็มีแต่เจ็บกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะซันนั่นแหละ อตินต้องยอมรับความจริง ที่ว่าอตินไม่ได้รักมัน!”

“แต่ว่า..”

“ไม่มีแต่แล้วอติน ซันมันก็รู้ดีแก่ใจว่าอตินคิดยังไง ตอนนี้มันเจ็บปวดเพราะต่างก็ฝืนกันหมด ถึงเวลาจบไอ้เรื่องบ้าๆ นี่สักที”

“ตะ...” อตินรีบกัดปาก ไม่ขอต่อล้อต่อเถียงอะไร ในเมื่อในใจเขารู้ดีว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้ และสักวันทุกอย่างที่พยายามรั้งกันมา ก็ต้องจบ...

พวกเขาทนฝืนต่อไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ

“เมื่อกี้...พี่ดีใจนะ ที่ได้ยินแบบนั้น”

อยู่ดีๆ มาร์ชก็เปลี่ยนเรื่องหลังจากปล่อยให้เขาจมอยู่ในความคิดสักพัก แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าจะไม่ยกเรื่องเมื่อกี้ขึ้นมาพูดอีก ฮือออ เมื่อกี้เขาเมานะถึงได้ทำตัวบ้าๆ ออกไป พ่อกับแม่ต้องร่ำไห้ให้กับความหน้าไม่อายของลูกชายคนนี้แน่นอนเลย

 “ฮือ เลิกพูดถึงมันเถอะครับ”

“ได้ไง ไหนพูดอีกทีซิ” มาร์ชแสยะยิ้ม แล้วใช้มือจับคางเขาให้หันไปหา

ทั้งที่ร่างกายเขาร้อนไปหมดด้วยความเขินอาย อีกฝ่ายกลับยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้...

“พูดอีกทีซิ...ว่าพี่เป็นของใคร?”

“อึ่ก..”

แม้จะอยากหลบสายตาตรงหน้า แต่ท่าทีจริงจังของมาร์ชก็ทำให้เขาหนีไปไหนไม่รอด อตินกลั้นใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนตัดสินใจส่งเสียงออกมา เบายิ่งกว่าลม

“..ข..ของ อติน..”

“ใช่ พี่เป็นของอติน แล้วอติน...ก็เป็นของพี่”

คนตัวสูงยกยิ้ม ก่อนโน้มตัวเข้ามาจูบปิดปากเขาไว้อย่างไม่บอกกล่าว มือเล็กเอื้อมจับชายเสื้อมาร์ชไว้ทันทีที่ลิ้นอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างจู่โจม ดูเหมือนเขาไม่สามารถขัดขืนจูบนี้ได้เลยแม้เพียงนิดเดียว ในเมื่อทั้งหัวใจเอาแต่ร่ำร้องด้วยความคิดถึง...

คิดถึงจูบที่อบอุ่นของพี่มาร์ช...

มาร์ชถอนจูบออก ปล่อยให้อตินเอนหลังลงซับแผ่นอกตัวเอง พร้อมปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนแทบจะเรียกว่าเอื่อยเฉื่อย เขาอยากให้คนตัวเล็กได้ซึมซับความผ่อนคลายในตอนนี้เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่างานหินกำลังรออยู่ในอีกไม่ช้า

อตินจะต้องบอกความจริงกับซัน

จะต้องไปทำให้มันจบ

 

“อยู่คนเดียวได้นะ” มาร์ชยังกังวล ไม่ยอมปล่อยมืออตินเลยจนถึงหน้าห้อง คนอื่นคงเข้านอนหมดแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”

“อืม พรุ่งนี้พี่จะรอ”

“ครับ” มือใหญ่บีบให้กำลังใจเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ก่อนดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้ แล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน มาร์ชเดินอ้อยอิ่งกว่าจะยอมเข้าห้องตัวเองไป

หลังจากนี้ก็มีแค่เขา ที่จะต้องเป็นคนจบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ประตูไม้ถูกเปิดออกช้าๆ หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาคลำทางไปทางสวิชต์ไฟ แต่เมื่อทั้งห้องสว่างขึ้นเขากลับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ไม่มีใครอยู่ข้างในนั้น...

ซันไม่อยู่งั้นเหรอ...?

อตินเดินตรงไปทางตุ๊กตาไม้ที่ดูเหมือนเพิ่งถูกหยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะพับ ที่ซันใช้ประจำตอนทำงานแกะสลัก เป็นตุ๊กตารูปร่างผู้ชายสองคนกำลังยืนจับมือกันอยู่ คนด้านซ้ายแน่นอนว่าคือเขาเอง เพราะสีชมพูที่ถูกป้ายลงไปตรงหน้าม้า กับผมสีน้ำตาลด้านหลังมันชัดเจนจนไม่ต้องเดา นี่คือตุ๊กตาตัวเดียวกันกับที่ซันง่วนอยู่กับมันช่วงหลังมานี้

ส่วนตัวทางด้านขวา เขาไม่แน่ใจ...มันคงจะเป็นซัน ถ้าดูจากหมวกใบใหญ่ที่ครอบหัวมันไว้ หมวกสีน้ำตาลที่ยังลงสีไม่เสร็จ ถูกสว่านเขียนเป็นคำว่า WANG เอาไว้ด้านบน ใช่หมวกของซันร้อยเปอร์เซ็นเลย แต่มันออกจะใหญ่โตเกินไปจนดูไม่สมส่วนหรือเปล่า...ทำไมมันใหญ่จนบังลงมาแม้กระทั่งลำคออย่างนี้

มือซุกซนกับหัวใจที่กำลังสูบฉีบด้วยความอยากรู้อยากเห็นเอื้อมออกไปจับปีกหมวกไม้เอาไว้ ก่อนค่อยๆ เปิดมันออกเพื่อพบกับสีแดงสดที่ถูกระบายลงไปบนส่วนผมของตุ๊กตาอีกตัว

เขาได้แต่ค้างมือนั้นไว้กลางอากาศ ดวงตาสั่นไหวจับจ้องไปยังตุ๊กตาไม้ของซันบนโต๊ะ หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ยิ่งถูกบีบรัดจนแสบหน้าอก...ไม่ใช่อตินกับซันหรอกเหรอ...

แอดด...

เสียงประตูห้องเปิดกว้างออกอีกครั้ง ทำให้อตินต้องรีบวางของในมือลงแล้วหันกลับไปยืนเต็มความสูง ซันกำลังก้าวขาเข้ามา ขอบตาแดงก่ำขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“พี่ซัน...”

“...”

อตินพยายามส่งสายตาคำถามไปให้ แต่ซันกลับเอาแต่เสมองไปทางอื่น เขาพอจะเดาออกแล้วว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น เงาของใครบางคนที่ร้านเหล้า คือคนตรงหน้าเขานี่เอง...

“นี่มันอะไรกันครับ?” อตินถามถึงเรื่องตุ๊กตาซึ่งดูยังไงมันก็คือ อตินกับมาร์ชจับมือกันไม่ผิดแน่

คนตัวเล็กตรงเข้าไปคว้ามือใหญ่ที่ชื้นเหงื่อ ออกแรงเขย่าเหมือนต้องการเรียกสติซันกลับมา ตอนนี้สภาพของเขาดูไม่ดีเลย

“พี่ซัน ผมถามว่านี่มันอะไร?”

“พี่ทำให้นาย..”

“ทำไม...?” ถามเสียงอ่อน ตัวเขาเองก็รู้สึกปวดร้าวพอๆ กัน

“เพราะพี่รั้งตัวนายไว้ นานเกินไป...”

ซันยอมหันมาสบตาด้วย หากแต่หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าแลดูเปราะบางจนคล้ายว่าจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากเท่าไรในการฝืนพูดคำแต่ละคำออกมา

“พี่รักนาย และอยากเป็นเจ้าของนาย...ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่า นายไม่ใช่ของพี่”

“...”

“..และไม่มีวันเป็นของพี่ด้วย”

อตินเผลอบีบมือที่จับอยู่แน่น เมื่อสังเกตถึงความสั่นเครือในน้ำเสียงของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวมีหยดน้ำวูบไหวอยู่ภายในนั้น แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องฝืนทำให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงสักที ไม่ใช่เพื่อตัวเขาหรือมาร์ช แต่ก็เพื่อซันเองด้วย

“ตลอดเวลาที่อตินคอยอยู่ข้างๆ พี่ดีใจมาก และขอบคุณมาก...”

“พี่ซัน ผมเต็มใจที่จะอยู่ข้างๆ พี่..”

“ใช่ พี่รู้ เพราะอตินเป็นคนดี อตินคอยอยู่กับพี่ในฐานะน้องชายที่แสนดีมาโดยตลอด” คำว่าน้องชายทำเอาหัวใจเขากระตุกวูบ ซันคงรู้ทุกอย่างมาตลอดจริงๆ ไม่ใช่หลังจากเรื่องคืนนั้นของเขากับมาร์ช แต่น่าจะรู้หัวใจของเขามาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ

แต่ก็ยัง...ดึงดัน...

จนทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากความพยายามนั้น...

“พี่ไม่อยากให้เราต้องฝืนอีกแล้ว ความเอาแต่ใจของพี่มันควรจะจบ”

“พี่ซั...”

“พี่ขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง” ซันพูดเสียงสั่น ขอบตาสองข้างรื้นไปด้วยน้ำใสๆ อตินห้ามไม่ได้นอกจากรีบตรงเข้าโอบกอดร่างตรงหน้าไว้ ไม่อย่างนั้น เขากลัวเหลือเกิน...ว่าซันคงทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ด้วยระดับความอ่อนแอในตอนนี้

“พี่ซันไม่ต้องขอโทษเลย ผมเองก็ผิด”

“ไม่..อตินไม่เคยทำอะไรผิดเลย อตินทำเพื่อพี่มากจริงๆ พี่..ที่เอาแต่ทำร้ายอติน..”

แขนแกร่งรวบตัวอตินเข้าไปกอดตอบ ร่างกายสั่นเทิ้มจนน่าใจหาย แม้ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นใดๆ เลย แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องที่ดังยิ่งกว่านั้นมาก มันเป็นเสียงที่ออกมาจากภายในของซัน...เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากความรักและความไม่รัก

เปราะบางจริงๆ ด้วย...

ซัน...

อตินปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เหมือนจะอยากแบ่งเบาความเสียใจของอีกฝ่าย พวกเขายืนกอดกันอยู่ในห้องท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก...ขอแค่ครั้งสุดท้าย ให้อ้อมกอดนี้ยังเป็นอ้อมกอดจากอติน คนรักของซัน

ก่อนที่วันรุ่งขึ้นมันจะไม่ใช่อีกต่อไป...

 

เพราะพี่รักนายอติน...

พี่ถึงต้องปล่อยนายไป

ไปหาคนที่นายรัก...

 

 

“เอ่อ.....” เบสลากเสียงยาว ท่าท่างลำบากใจที่จะพูดอะไร

พวกเขาตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อพบกับอตินและซันที่กลายเป็นใบ้พร้อมขอบตาแดงก่ำจนน่าสยองทั้งคู่ มาร์ชดูลุกลี้ลุกลนเหมือนเป็นห่วงใคร ในขณะที่เรลล่าก็แวะมากดกริ่งตั้งแต่เช้ามืดอย่างกับมีเรื่องสำคัญมาก

สมาชิกร้านทุกคนนั่งล้อมวงกับอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่มีใครยอมเปิดปากเล่าสักที ว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น พวกเขายังไม่ทันได้กินข้าวเช้าด้วยซ้ำ

“สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนอตินบอกจะไปหาเลโอ แล้วมาร์ชกับซันออกไปไหนถึงกลับดึกดื่น แล้วทำไมอตินกับซันถึงตาแดงแบบนั้น” อยู่ดีๆ น็อตก็ทำลายทุกอย่างลงด้วยการรัวคำถามทั้งหมดออกไปในทีเดียว เรลล่าเหลือบมองสามหน่อที่ดูอ้ำๆ อึ้งๆ จึงเสนอตัวขึ้นกลางปล่อง

“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันรู้ว่าฉันดูเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันขออธิบายแทนละกัน”

“เรลล่าก็รู้เรื่องเหรอ?” แจนถามอย่างตกใจ เขากำลังหมายถึงเรื่องราวความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนที่แม้แต่คนในบ้านอย่างเขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลย

“ก็...นิดหน่อยน่ะ” เรลล่าพยักหน้าก่อนเริ่มเล่าสิ่งที่เธอรู้มา “ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ...พวกนายคงรู้กันอยู่แล้วใช่ไหมว่า มาร์ชกับอตินน่ะชอบพอกัน”

แทบทุกคนต่างปิดปากเงียบ ดวงตาเบิกกว้างกับการพูดตรงๆ ที่ดูออกจะตรงเกินไปหน่อยของเธอ แต่จากรีแอคชั่นนี้ก็ทำให้เข้าใจว่าทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ

“แล้วซันก็ชอบอติน แล้วอตินก็ยอมคบซันจากเรื่องยัยเกล” เบสทำท่าจะแทรกว่าทำไมเรลล่าถึงรู้เรื่องราวในร้านมากจัง แต่เธอไม่รอให้ใครมีโอกาสขัด

“ความจริงฉันรู้จักกับเลโอ แล้วเลโอก็เป็นคนบอกให้ฉันกลับมาที่ร้าน เพื่อมาลองใจอติน”

“หะ!?” คนถูกเอ่ยชื่อรีบร้องเสียงหลง

“อืมใช่ โทษทีนะที่ไม่ได้บอก แต่เลโอบอกว่าถ้าไม่มีตัวละครลับแบบฉัน อตินก็คงยังไม่กล้าพอที่จะทำตามใจตัวเอง”

“พี่เลโอนะพี่เลโอ” อตินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่แจนจะพูดแทรกขึ้นมาอย่างคนมองเรื่องราวออก

“เข้าใจละ แปลว่าอตินกับซันเลิกกันแล้วสินะ”

“พี่แจน..” มินส่งเสียงปราม เหมือนไม่อยากให้พูดสะกิดใจกันตอนนี้ แต่ผิดคาดที่ซันเป็นฝ่ายตอบรับขึ้นมาเอง แถมยังไม่ได้ดูฝืนด้วย

“ใช่ เราเลิกกันแล้ว”

“พี่ซัน..” อตินส่งเสียงเป็นห่วง แต่ซันก็แค่หันมายิ้มแล้วยีหัวเขาเล่นเหมือนทุกที

“ต่อไปนี้พี่ก็แค่กลับไปเป็นพี่ชายของนาย”

“แล้วมาร์ช...” แจนเริ่มประโยค หวังให้ใครสักคนมาต่อให้จบ เพื่อเคลียร์สิ่งที่คาใจทุกคนอยู่ให้ออกไปสักที

“ก็อย่างที่พวกนายเดาได้ ฉันกับอตินรักกันมานานแล้ว และตั้งแต่นี้พวกเราสองคนจะคบกันอย่างเปิดเผยด้วย”

มาร์ชตอบแบบนั้นได้หน้าตาเฉย ขณะที่อตินเอาแต่นั่งก้มหน้า ใบหูแดงฉ่า สมาชิกร้านคนอื่นดูช็อคๆ นิดหน่อยกับเรื่องทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเดาสถานการณ์กันไม่ได้เลย หลังจากนี้ก็ได้แค่หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์บ้าๆ ขึ้นอีก

ซันต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นอีกก้าวว่าคนเราไม่สามารถครอบครองทุกสิ่งได้อย่างใจหวัง ในขณะที่อตินเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ใจอ่อนกับทุกอย่างจนดึงให้เกิดปัญหาตามมาเหมือนเคย และมาร์ชก็เช่นกัน เรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ไม่ยึดติดกับอดีตอีกแล้ว

“โอเคๆ เอาเป็นว่าพวกนายเข้าใจกันก็ดีแล้ว” เบสพยายามสรุปเพื่อจะได้แยกย้ายไปกินข้าวและเปิดร้าน ถ้าขืนยังชักช้าคงโดนคุณวาโยแพ่นกบาลกันหมด

“หวังว่านี่จะเป็นบทเรียนให้ทุกคนเติบโตขึ้นก็แล้วกันนะ” น็อตเสริมก่อนลุกขึ้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยคนอื่นๆ ซึ่งทยอยกันไปประจำตำแหน่งบนโต๊ะอาหาร

มินจงใจเลื่อนเก้าอี้มาใกล้ซันพลางตบบ่าคนเป็นพี่ปุๆ เขาพยายามสื่อให้เห็นว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร และนั่นดูเหมือนจะทำให้ซันพอหัวเราะออก อตินเดาว่าซันเองก็คงทำใจกับเรื่องเมื่อคืนมาสักระยะแล้ว ต่อแต่นี้ก็ยังอยากให้ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องยังคงเดิม

“แต่อตินเลิกกับซัน แล้วมาคบมาร์ชแบบนี้ พวกแฟนคลับนายคงสับสนน่าดูเลยนะ” เบสยกประเด็นใหม่ขึ้นมาพูด

จะว่าไปก็จริงแฮะ ช่วงแรกคงวุ่นวายกันใหญ่ อย่างตอนที่ข่าวเรื่องเขากับซันคบกันแพร่กระจายออกไปในกลุ่มลูกค้า ก็มีบางส่วนไม่พอใจ และมีบางส่วนที่ยังรับไม่ได้ อืม..แต่ก็มีบางส่วนที่แทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลองเหมือนกัน

ตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกันแฮะ ยิ่งพวกลูกค้าสาวๆ กับพวกนักจิ้นนักชงทั้งหลายเนี่ย เขาเดาจิตใจและความคิดพวกเธอไม่ออกเลย

 

“ได้ไงอะ!!” นั่นเสียงพี่ลูกโป่ง ลูกค้าปริญญาโท หัวหน้าแม่ยกซันอตินที่เคยเหมาโกโก้แจกคนในร้านมาแล้วตอนรู้ข่าวเรื่องสองคนนั้นคบกัน แต่ตอนนี้ดูท่าเหมือนเธอจะอยากจุดไฟเผาร้านมากกว่า

“นั่นสิ ทำไมอยู่ดีๆ พี่ซันถึงเลิกกับอตินล่ะ” ตามมาด้วยเหล่าลูกสมุนของเธอ

ความจริงเรื่องที่ลูกค้าถูกแบ่งเป็นหลายฝ่ายแล้วมาทะเลาะกัน ยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่พวกเธอรู้ข่าววงในเร็วปานสายฟ้าฟาดได้ยังไง

“เพราะเราไม่ได้รักกันไงครับ” ซันพูดขำๆ พยามทำตัวตลกกลบเกลื่อนเพื่อหวังคลายบรรยายมาคุระหว่างพวกลูกโป่ง กับอีกพวก...แม่ยกมาร์ชอติน ซึ่งนำทีมโดยน้องไอซ์กับน้องม่อน ดูโอ้คู่เดิมเพิ่มเติมคือความก้าวร้าว

“ถ้าไม่ได้รักกัน ฝืนไปมันก็ไม่ดีหรอกนะ” ม่อนรีบเสริมจากคำตอบของซัน ยิ่งทำให้ลูกโป่งเดือด

“ไม่จริง! ไม่จริงอะซัน นายรักอตินนี่!”

“เอ่อ...ก็ใช่อะนะ” ซันเกาหัวแกรกๆ เขาไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้แฮะ

“เห็นไหม!”

“เดี๋ยวๆ คือรักแหละ แต่อตินไม่ได้รักฉันหรอก เธอก็ใจเย็นๆ หน่อยเถอะ” เขาพยายามจะเตือนสติ

ลูกโป่งเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าประจำ อายุไล่เลี่ยกับพวกซัน ก็เลยสนิทกันง่าย และบางทีความสนิทนั้นอาจทำให้เธอลืมนึกถึงขอบเขตของคำว่า พนักงานกับลูกค้า จนทำให้เข้ามาก้าวก่ายมากเกินไป

“แต่ว่า..!”

“นี่พวกเธอ เกรงใจลูกค้าคนอื่นบ้างสิ” เสียงมาร์ชดังขึ้น ดูเหมือนเขาเองกำลังอารมณ์ไม่ดียังไงไม่รู้

วงล้อมของพวกกลุ่มแฟนคลับสาวๆ ตรงนั้นถูกแหวกออกให้มาร์ชเดินเข้าไป เบสกับน็อตแอบมองสถานการณ์อย่างเป็นห่วง โชคดีที่ตอนนี้ลูกค้าปกติคนอื่นยังไม่มาก แต่เพราะพวกเหล่าแม่ยก ก็เลยทำให้ในร้านดูอึดอัดและโหวกเหวกขึ้นถนัดตา

“พี่มาร์ช” ไอซ์กับม่อนร้องขึ้นพร้อมกัน แต่มาร์ชกลับตวัดสายตาตำหนิใส่พวกเธอจนต้องเงียบเสียงลง

“ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ว่าฉันกับอติน เราคบกัน”

“นาย!” ลูกโป่งทำท่าเหมือนจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ซันกันเธอไว้ได้ทัน

“เราสองคนรักกัน และพวกเธอคงไม่อยากขัดขวางความรักของคนอื่นใช่ไหม”

“..อึก”

“ฉันขอโทษแล้วกันที่แย่งอตินมาจากซันของพวกเธอ” มาร์ชพูดเสียงเรียบ แต่กลับฟังดูน่ากลัวจับขั้วหัวใจ

“แต่ถ้าไม่รู้อะไรจริง ก็อย่ามาพูดดีกว่านะ”

“เฮ้ยๆ” ซันส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นว่ามาร์ชเริ่มแสดงความโกรธออกมาเด่นชัดเกินไป ถึงพวกนี้จะวุ่นวายแต่ยังไงก็เป็นลูกค้าที่ควรเคารพนะ

“ถ้าฉันดูแลอตินได้ไม่ดี วันนั้นพวกเธอก็ค่อยมาด่าฉันเลยแล้วกัน”

“...”

ลูกโป่งหยุดนิ่งไป เธอครุ่นคิดบางอย่างในหัวอยู่นาน ก่อนหันไปซุบซิบปรึกษากันกับสมุนคนอื่น ขณะที่ฝั่งแม่ยกมาร์ชอตินกลับยิ้มชอบอกชอบใจ พลางปรบมือเสียงเบาๆ คลอไปด้วย ในที่สุดลูกโป่งก็ยอมเปิดปากอีกครั้ง หลังจากจงใจจิ๊ปากเสียงดัง

“ถะ..ถ้านายทำอตินเสียใจ พวกเราฆ่านายแน่ มาร์ช!”

มาร์ชยิ้มรับเหมือนมั่นใจนักหนาว่าไม่มีวันนั้น ซันถอดหายใจที่ไม่เกิดโศกอนาฎกรรมในร้าน เขาไล่พวกลูกค้าให้กลับไป หลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยังอยู่รับบริการและสั่งเครื่องดื่มต่อ

ไม่นาน อตินก็โผล่หน้าออกมาจากครัวหลังช่วยเป็นลูกมือให้แจนตั้งแต่เช้า ลูกโป่ง ม่อน และ ไอซ์ รีบโร่เข้าไปรุมคนที่เนื้อตัวยังฟุ้งกลิ่นแป้ง โดยที่พนักงานคนอื่นห้ามไว้ไม่ทัน ซันส่งสัญญาณให้มินซึ่งกำลังคุยกับลูกค้าอยู่ใกล้ๆ ประตูห้องครัว ช่วยดูแลความเรียบร้อย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

“พี่อติน พวกเรารู้เรื่องที่พี่อตินคบกับพี่มาร์ชแล้ว”

“หะ!” อตินหลุดร้อง ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มขึ้นสี “ระ..รู้กันไวอีกแล้วนะครับ”

“ทำไมเรื่องมันตาลปัตรแบบนี้อติน” ลูกโป่งเริ่มงอแงเรียกความสนใจบ้าง

“อืม...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมกับพี่ซัน เราคงเป็นได้แค่พี่น้องกันจริงๆ”

“ก็ถ้าพวกนายยืนยันขนาดนี้ ฉันก็ต้องยอมรับเท่านั้นไม่ใช่หรือไง”

“พี่ลูกโป่ง แต่ผมกับพี่ซันก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันนะครับ ผมรักและเคารพพี่ซันมากในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง”

“เฮ้ออ เอาเถอะ ถ้ามาจากปากนาย พี่คงว่าอะไรไม่ได้หรอกนะ”

“แฮะๆ”

“แต่ถ้าวันไหนมาร์ชทำร้ายนาย อย่าลืมนะว่ามีซันอยู่อีกคน”

“ฮ่ะๆ แน่นอนครับ ถ้าเกิดพี่มาร์ชทำผมเสียใจอีกล่ะก็ ผมจะหนีไปหาคนอื่นทันทีเลยครับ” อตินทำเป็นพูดติดตลก แต่กลับจงใจตะโกนให้คนด้านหลังเคาน์เตอร์ได้ยิน แถมน้ำเสียงร่าเริงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูน่ากลัวพิกล

ลูกโป่งหลุดขำกับท่าทีของอติน ก่อนจะยอมทำตัวว่าง่ายแต่โดยดี ม่อนกับไอซ์อยู่แสดงความยินดีต่ออีกหน่อย ก่อนจะปล่อยให้เขากลับไปทำงานตามปกติ

อตินผลักประตูเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ สายตาจดจ่ออยู่กับรายชื่อเมนูบนกระดาษ โดยไม่ทันสังเกตว่ามาร์ชกำลังเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ข้างๆ คนโตกว่าโอบรั้งเอวบางเข้ามาใกล้แบบไม่กลัวสายตาคนอื่น ก่อนกระซิบเสียงแผ่ว พอให้คนโดนโอบเขินจนแทบม้วนตัวหนี

“พี่ไม่ทำให้อตินเสียใจหรอกครับ”

คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะหยอกเย้า แต่กลับซ่อนความจริงใจเอาไว้อย่างหนักแน่นจนสัมผัสได้ มาร์ชไม่ได้พูดเล่นๆ เลย นับแต่นี้ เขาไม่มีวันทำให้เด็กน้อยของเขาต้องเสียใจซ้ำสอง อตินก็เช่นกัน จะไม่ยอมหักหลังเทวดาของเขาไปหาใครที่ไหนอีกแล้ว

บางทีก็ต้องขอบคุณโชคชะตาที่คอยแต่จะเล่นตลกร้ายกับพวกเขาเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ผ่านเรื่องราวมากมายทั้งหมดมา พวกเขาคงไม่ได้รู้หัวใจตัวเองชัดเจนเท่านี้ และคงไม่ได้มารักกันอย่างเช่นตอนนี้ด้วย

ขอบคุณ...

ขอบคุณที่ทำให้เราพรากกัน และทำให้เราพบกัน

ขอบคุณที่ทำให้เด็กคนหนึ่งดั้นด้นมาถึงนี่ และตามหาอีกคนจนเจอ

ขอบคุณเรื่องราวแสนตาลปัตรที่ทำให้เขาเติบโตขึ้น

ขอบคุณพนักงานทั้งหมดที่คอยช่วยเหลือและดูแลเขามาตลอด

ขอบคุณ...ร้านกาแฟที่แสนอบอุ่น

ขอบคุณ Café de Sept... ขอบคุณจริงๆ

ออฟไลน์ aonair13

  • 「aonair」
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
    • FB Page
ส่งท้ายเล็กน้อย

 

ไลน์!

เสียงโปรแกรมแชทในมือถือดังเตือนตั้งแต่เช้าตรู่ อตินหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เห็นชื่อคนส่งข้อความมาก็อดประหลาดใจไม่ได้ จะว่าไปตั้งแต่ปิดเทอมมา เขาก็ไม่ได้ติดต่อใครเลยนี่น่า เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วเหรอ เพิ่งรู้ตัวแฮะ...

“อติน”

“ฮึ?” เก็บมือถือกลับเข้าที่ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับมินซึ่งกำลังถือแจกันใบใหม่เอาไว้

“เป็นไรเปล่า เห็นทำหน้าเครียด”

“อ๋อ เปล่าๆ”

อตินรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน เขาฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนตัวโตวางใจว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ก่อนจะยอมแยกย้ายกลับไปทำงานของใครของมัน คลื่นลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการร้านกาแฟ Café de Sept เหมือนเช่นทุกวัน มันกลายมาเป็นภาพอันเคยชินสำหรับเขาไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่พอรู้ตัวอีกที มันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว

ไม่อยากจะคิดเลยนะ ว่าถ้าต้องจากที่แห่งนี้ไป

จะเป็นยังไง...

 

“พี่น็อต ที่นี่มีเครื่องปริ้นรึเปล่าครับ?” อตินเอ่ยปากถามหลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว น็อตพยักหน้าทั้งที่มะม่วงยังคาอยู่ในปาก เขาพยายามชี้นิ้วไปทางชั้นสอง

“มี อยู่ห้องชั้นสอง ที่ใช้ปริ้นโบรชัวร์โปรโมต Special Day ไง”

“อ่า จริงด้วย ขอบคุณมากครับ”

คนตัวเล็กก้มหัวแล้วรีบแบกแลปท็อปเครื่องบางขึ้นบันไดไป ไม่เว้นช่วงให้น็อตได้ถามคำถามอื่นต่อ อตินเปิดประตูห้องชั้นสองที่ดูกึ่งห้องเก็บของและห้องทำงาน ก่อนจะนำสาย USB สีดำจากเครื่องปริ้นมาต่อเข้ากับแลปท็อป เว็บไซต์จดทะเบียนวิชาเรียนปรากฏอยู่บนหน้าจอ

อตินจัดการปริ้นเอาใบจ่ายเงินออกมาแล้วรีบโทรกลับไปหาที่บ้าน สาบานเลยว่าแม่เขาแทบร้องไห้เมื่อได้ยินเสียง ก็แหงล่ะ พักลังมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เขาแทบไม่มีเวลาติดต่อหาครอบครัวเลย แล้วให้เดานะ พ่อคงห้ามไม่ให้แม่โทรหาเขาแน่ๆ คงกลัวจะรบกวนการทำงาน ทั้งที่ความจริงเขาก็ออกจะคิดถึงพวกท่านนะ

“แม่ครับ เดี๋ยวผมจะไปจ่ายเงินเองเลยนะ”

(มีเงินพอไหมลูก?)

“มีครับ แม่ไม่ต้องห่วงเลย คุณวาโยให้ค่าจ้างผมดีกว่าร้านกาแฟทั้งประเทศนี้แน่ๆ”

(แหม ขนาดนั้นเชียว แล้วเป็นยังไงบ้างช่วงนี้?)

“ก็วุ่นๆ เหมือนเคยแหละครับ แต่พวกสมาชิกประจำเขาจัดการได้อยู่แล้วล่ะ”

(แบบนั้นก็ดี แม่คิดถึงลูกมากเลยนะ)

“ผมก็คิดถึงแม่ครับ แต่ผมคงได้กลับบ้านใกล้ๆ เปิดเทอมเลย อาจจะแค่ไปเก็บของแล้วก็กลับไปจัดการหอ”

(เอาที่ลูกสะดวกแล้วกัน ถ้าจะกลับวันไหนก็โทรบอกแม่อีกทีนะจ๊ะ)

“ครับ”

พอแม่วางสายไปแล้ว เขาถึงเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกง หันไปเช็คความเรียบร้อยว่าไม่ได้ลืมปิดเครื่องปริ้นและดึงปลั๊กออก แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาต่อ ประตูห้องก็เปิดออกจากด้านนอก พร้อมร่างโปร่งของคนที่เขาคุ้นดี

“ขึ้นมาทำอะไรบนนี้?” มาร์ชถามพลางกวาดตาไปทั่วบริเวณ

“มาใช้เครื่องปริ้นครับ”

“ทำอะไร ไหนดูสิ”

“หวะ!” อตินตกใจพยายามจะดึงเอกสารในมือไว้แต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่าย มาร์ชไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนกระดาษ ก่อนที่หัวคิ้วหนาจะเริ่มประกบเข้าหากัน ท่าทางไม่สบอารมณ์นัก

“นี่นายจะเปิดเทอมแล้วเหรอ?”

“เอ่...ครับ”

“เมื่อไร?”

“อีกประมาณสองอาทิตย์ แต่ผมคงอยู่ที่นี่ต่ออีกแค่อาทิตย์กว่า เพราะต้องกลับบ้านก่อน แล้วค่อยขนของไปไว้ที่หอ”

“แล้วนายคิดจะบอกพี่เมื่อไร?” มาร์ชกดเสียงต่ำพร้อมเอื้อมมือมาบีบแขนเขาไว้ รู้เลยว่าโกรธ แต่จะทำไงได้ เขาเองก็มาโลดเล่นอยู่ที่นี่นานเกินไปจนลืมวันลืมคืนไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนส่งข้อความมาเตือนให้ลงทะเบียนเรียน เขาก็คงลืมไปแล้ว

“ก็ผมเพิ่งนึกได้นี่น่า”

“มันไวไป..” มาร์ชปรับสีหน้าเป็นน้อยอกน้อยใจแทนอย่างรวดเร็ว ทำเป็นมาเล่นไม้อ่อนใส่ ยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เปิดเทอมนะไม่ใช่นัดกันไปเที่ยวทะเลถึงจะมาเลื่อนได้ตามใจชอบ

“..เราเพิ่งได้รักกัน” มาร์ชต่อประโยคจนจบ

“โธ่ พี่มาร์ช ผมก็ไม่ได้อยากแยกกับพี่สักหน่อย ผมอุตส่าห์ตามมาหาพี่ถึงนี่เลยนะ”

“งั้นก็ไม่ต้องไป ซิ่วมาเรียนมหาลัยที่นี่ เดี๋ยวพี่ออกเงินให้เอง”

“ตลกและ”

“ไม่ตลก” มาร์ชว่าเสียงเย็น พยายามจะคว้ากระดาษในมือเขาไปขยำทิ้ง แต่ยังดีที่รู้ตัวทันจึงแอบเอาไปไขว่หลังไว้ก่อน

“เดี๋ยววันหยุดหรือปิดเทอมผมก็มาหา ถ้าเรียนจบแล้วก็ให้พ่อกับแม่ย้ายมาเลยดีไหมครับ” อตินพยายามพูดเอาใจ พลางดึงแขนมาร์ชให้เดินลงไปนั่งคุยกันดีๆ ตรงโซฟาชั้นล่าง

เขาก็เสียใจนะที่ต้องแยกจากกันทั้งที่เพิ่งเคลียร์ปัญหาจบ แต่เขาก็ต้องกลับไปตั้งใจเรียนนี่น่า กับมาร์ชน่ะ แน่นอนว่าคงคิดถึงมาก แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้จาก Café de Sept ก็ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ ถึงจะไม่เจอหน้ากันทุกวันแล้ว แต่ก็ยังติดต่อกันได้แหละ เทคโนโลยีสมัยนี้มันก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้าปิดเทอมเขาก็ตั้งใจจะกลับมาช่วยงานที่ร้านอีก แถมที่นี่ยังมีเลโอกับเรลล่า กับพี่ๆ คนอื่นคอยเป็นสายสืบให้ตลอด 24 ชั่วโมง ยังไงก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง

“ผมยังรอเจอพี่มาร์ชมาได้ตั้งนาน พี่มาร์ชรอผมแค่นี้ไม่ได้หรอครับ?” อตินเขย่าแขนแกร่ง ช้อนตามองอย่างออดอ้อน และดูท่าจะได้ผลซะด้วย เมื่อคนโตกว่ายอมคลายสีหน้าหงุดหงิดลง กลายเป็นท่าทางของคนปลงแทน

“อ่าๆ ยังไงพี่ก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้วนี่” มาร์ชวาดแขนขึ้นโอบอติน ก่อนผลักศีรษะเล็กลงซบกับอกตัวเอง “แต่ไม่อยู่ในสายตาพี่ อย่าริไปมีผู้ชายคนอื่นล่ะ”

“จะบ้าหรอ ใครจะไปมี พี่มาร์ชเถอะ” อตินทุบกำปั้นลงกับอกกว้าง

“พี่ก็มีแค่อตินเนี่ยแหละ”

“งื้ออ”

คนตัวเล็กส่งเสียงงุ้งงิ้งด้วยจั๊กจี้ เพราะอยู่ดีๆ มาร์ชก็เปลี่ยนมาซุกไซร้ลำคอเขาอย่างไม่ให้ตั้งตัว สองแขนพยายามดันร่างหนาออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผล เขายิ่งโดนรุกไล่และเริ่มถูกกดลงนอนราบกับโซฟาตัวโปรด

“พี่ม..อื้อ!” ริมฝีปากอุ่นตรงเข้าปิดปากเขาไม่ให้ส่งเสียง “อื..มม”

“อะ-แฮ่ม!”

เสียงกระแอมไอของใครบางคนดังขึ้นขัดจังหวะ มาร์ชต้องยอมผละตัวออกจากร่างด้านใต้พลางจิ๊ปากใส่ท่าทางไม่พอใจ อตินรีบลุกขึ้นนั่ง จัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยทั้งที่ใบหน้ายังร้อนผ่าว

“ทำอะไรเกรงใจคนอื่นด้วย” เบสแซว

เพิ่งสังเกตว่าคนอื่นๆ ก็เดินมารวมตัวอยู่ตรงห้องนั่งเล่นกันหมด ซันรีบเข้ามาคว้าคออตินไว้เหมือนเคย ก่อนยีหัวเด็กน้อยอย่างสนุกมือ

“อตินของเราใกล้ต้องกลับไปเรียนต่อแล้วสินะ”

“ฉันก็จะเปิดเทอมแล้วเหมือนกัน แต่คงไม่ค่อยได้ไป ฮ่าๆ” มินเอ่ยหน้าตาชื่นบาน นิสัยแบบนี้เด็กๆ ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะรู้ไหม

“พวกเราคงคิดถึงนายมาก ว่างๆ ก็ติดต่อมาหาบ้างล่ะ” น็อตเสริมต่อ ตามมาด้วยแจน

“ถ้าสะดวกก็กลับมาเยี่ยมร้านด้วยนะ มีอะไรก็ยังคุยกับพวกเราได้เหมือนเดิม”

“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ ผมดีใจจริงๆ ที่ได้มาที่ Café de Sept และเจอกับทุกคน”

“พวกเราก็ดีใจที่ได้เจอนาย” เบสยิ้มตาหยี ไม่ค่อยได้ยินหัวหน้าพนักงานพูดอะไรแบบนี้นักหรอก นั่นยิ่งทำให้หัวใจเขาพองโต

“ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปครับ”

อตินยิ้มกว้างพลางไล่สายตามองเพื่อนสมาชิกในบ้านหลังนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาดีใจที่ได้พบกัน ได้รู้จักคนดีๆ มากมาย ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาในช่วงเวลาหนึ่ง สนุกสนานไปกับความพิเรนท์ของ Special Day รับมือกับลูกค้าหลากหลาย และสุดท้ายก็กลายมาเป็นบทเรียนอันแสนยิ่งใหญ่

ซันยังคงกอดคออตินอยู่ ขณะส่งสายตาให้พนักงานคนอื่นตรงเข้ามากอดกันเป็นก้อนเดียว แน่นอนว่ามีมาร์ชกำลังโอบเอวอตินไว้อีกข้าง เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนต่างหัวเราะให้กับความอบอุ่นในหัวใจ มือเจ็ดคู่โอบรอบตัวกันและกันจนเป็นหนึ่งเดียว

จะไม่มีวันลืมได้เลย...

 

「Cafe' de Sept」





THE END


ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ก๊าบก๊าบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แปะป้าบ เดียวมาอ่านน

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด