CHAPTER 13: In Loving Memory อากาศยามเช้าสดชื่นเหลือใจ ลมโบกแผ่วๆ หยดน้ำค้างเกาะพราวบนยอดหญ้า
เสียงขับขานเจื้อยแจ้วรับอรุณที่ส่งลงมาจากต้นสักใหญ่ในบริเวณสวนฟังราวกับเสียงดนตรีบรรเลงแสนไพเราะ
ตราบใดที่มีต้นไม้ ก็จะมีนก.. นี่คือความจริงที่จู่ๆก็ตระหนักได้
นกอยู่บนต้นไม้.. ก็รู้ ก็เห็น ก็คุ้นชินกับความสัมพันธ์ในธรรมชาตินี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่า อะไรบางอย่าง แม้ประสาทสัมผัสรับรู้นานแล้ว คนเราอาจเพิ่งได้คิดถึงมันอย่างเป็นระบบเอาเมื่อขณะใดขณะหนึ่งก็เป็นได้
เอ.. ดูงงๆ คล้ายๆปรัชญาแฮะ ไว้ม่อนแจ่มจะลองพูดให้พชรฟังบ้าง ดูซิ รูมเมทปรัชญาจะว่าอย่างไร (ในกรณีที่พชรจะสนใจฟัง)
“วันนี้ตื่นเช้าจังเลยคะ คุณม่อน”
ร่างเล็กหันกลับมาสบสายตาเจ้าของเสียง “อรุณสวัสดิ์ครับป้าเพ็ญ!”
สาวใหญ่ร่างอวบยิ้มตอบรับ เลิกคิ้วน้อยๆ “ลงมาทำอะไรแต่เช้าคะ?”
ลงมาทำอะไรหรือ?
ไม่รู้สิ..
คงจะ..
“มาดูต้นไม้ครับ”
“ดูต้นไม้หรือคะ?” เพ็ญมาศขมวดคิ้ว “มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าเอ่ย”
ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก อมยิ้มนิดๆ
ไม่มีอะไรพิเศษหรอก.. วันนี้ก็แค่วันธรรมดาๆวันหนึ่ง
แค่อีกวันที่เขาคิดถึงใครอีกคนและไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่าการ ‘ดูต้นไม้’
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร.. แต่ต้นไม้ทำให้ม่อนแจ่มคิดถึงพชร
โดยเฉพาะต้นสักสูงใหญ่แข็งแรงที่ปลูกอยู่ในลานบ้านเบื้องหน้านี้
ใบสีเขียวสดของมันทำให้ม่อนแจ่มรู้สึกว่าต้นสักช่างใจดี
สีเขียวเป็นสีแห่งความเมตตากรุณาหรือเปล่านะ? ไม่รู้สิ.. แต่ม่อนแจ่มรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น
“ตั้งแต่ม่อนโตมา ม่อนก็เห็นต้นสักต้นนี้ตลอดเลยครับ”
เสียงเล็กชวนคุย ร่างอวบจึงย่างเท้ามาใกล้
“ค่ะ คุณท่านเป็นคนปลูกเอง”
“จริงหรือครับ” ม่อนแจ่มสนเท่ห์
คุณพ่อเป็นนักธุรกิจมือสะอาดและชาญฉลาดนัก แต่ม่อนแจ่มไม่ยักรู้ว่าท่านชอบปลูกต้นไม้ด้วย
“จริงค่ะ” ใบหน้ากลมขาวผ่องพยักรับ “คงเกือบยี่สิบปีมาแล้ว เพราะเท่าๆอายุคุณม่อนนั่นล่ะค่ะ ปลูกคู่กับต้นลำไยต้นนั้น”
ม่อนแจ่มมองตามสายตาป้าเพ็ญไป “แต่ลำไยต้นนั้นไม่เคยออกผลเลยนะครับ”
ไม่แม้แต่ออกดอก.. ม่อนแจ่มอยากจะเสริม
“ก็จริงค่ะ” ป้าเพ็ญพยักหน้ารับอีกครั้ง “เราคงไม่รู้วิธีดูแลมันกระมังคะ”
อ๋า..
“ม่อนรู้จักคนที่ทำสวนผลไม้ครับ!” ม่อนแจ่มตาเป็นประกายระยิบระยับ (ยิ่งกว่าปกติ)
“ไว้ม่อนถามเขามาให้นะครับ เขาต้องรู้วิธีดูแลต้นลำไยแน่นอน!”
ป้าเพ็ญเลิกคิ้ว สักพักก็หรี่ตาลง “คนนั้นคือ.. รูมเมทปรัชญาที่ไม่ชอบขี้หน้าคุณม่อนอีกใช่ไหมคะ”
ม่อนแจ่มพยักหน้าหงึกหงัก แก้มขึ้นสีจางๆ “แหม.. ก็เผื่อเราจะได้กินลำไยจากต้นที่บ้านเราบ้างไงครับ”
ได้กินลำไยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นหรอก ม่อนแจ่มคิดยิ้มๆ ได้มีเรื่องคุยกับคนปลูกลำไย ..นั่นต่างหากที่สำคัญ
แต่ก็นั่นแหละ.. ไม่รู้พชรจะตอบกลับมาแค่ไหน
อืม.. แต่ถ้าเป็นเรื่องต้นไม้ พชรอาจจะอยากตอบก็ได้
ต้นไม้กับพชร
พชรกับสีเขียว
..ดูเข้ากันดีจัง..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“อร๊อย อร่อย ล๊ำ ลำ อิอิ”ม่อนแจ่มชื่นชมข้าวต้มกุ้งเสียงแจ๋ว มาครบทั้งภาษาไทยกลางและคำเมือง ทำเอาป้าเพ็ญยิ้มกว้างขณะวางแก้วนมร้อนลงบนโต๊ะให้
“ปากหวานจริงๆนะคะ”
สองคนสองวัยหัวเราะกันคิกคัก กระทั่งร่างกำยำเดินมาที่โต๊ะ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ” ม่อนแจ่มทักทาย เลิกคิ้วน้อยๆเมื่อเห็นบิดาใส่ชุดธรรมดาๆอยู่กับบ้าน
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ ทว่า ปกติท่านจะเข้าบริษัทเสมอ ท่านเป็นคนจริงจังกับงาน ไม่ค่อยว่าง หรืออีกนัยหนึ่ง ดูเหมือนท่านจะไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่างเลย
ต่อไป เขาจะขยันขันแข็งได้อย่างบิดาไหมนะ.. ม่อนแจ่มยังสงสัย
“ม่อนทานล่วงหน้าไปก่อนเลย ขอโทษนะครับ”
นายพจน์พยักหน้าอย่างไม่ถือสา ส่วนใหญ่มื้อเช้า ไม่ได้ทานพร้อมกันอยู่แล้ว แล้วแต่ใครจะลงมาก่อน
“วันนี้ คุณพ่อไม่เข้าบริษัทหรือครับ?”
นายพจน์ส่ายหน้าน้อยๆ “วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย คงต้องพักสักวัน”
“คุณพ่อเป็นอะไรครับ ไปหาหมอไหมครับ มีอะไรให้ม่อนช่วยไหม แล้ว.. ทานยาหรือยังครับ”
นายพจน์มองบุตรชาย นึกยิ้มในความห่วงใยนั้น “ไม่เป็นไรหรอก พักสักนิดก็หาย”
“ม่อนไปหยิบยาลดไข้มาให้ดีกว่านะครับ คุณพ่อไอหรือเจ็บคอด้วยไหมครับ”
“แค่พาราฯธรรมดาก็พอ” นายพจน์ตอบรับ
“ป้าไปเอาให้เองค่ะ คุณม่อนนั่งคุยกับคุณท่านเถอะค่ะ”
เพราะโอกาสยากนักที่ทั้งสองจะได้พูดคุย ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่นายพจน์ไม่ค่อยมีเวลาหรือนายพจน์ไม่ค่อยพูดก็ตาม
“ปิดเทอม ม่อนว่างหลายวัน” เสียงเล็กค่อยๆเอ่ย
“ถ้าคุณพ่อมีงานอะไรที่ม่อนพอจะช่วยได้ ม่อนยินดีนะครับ”
นายพจน์พยักหน้า
แน่อยู่แล้ว.. ในเรื่องงาน เขาจำเป็นต้องให้บุตรชายเตรียมตัว ศึกษา เรียนรู้ ..ในฐานะทายาทประดิษฐาพงษ์
“พรุ่งนี้ เข้าบริษัทพร้อมกับพ่อก็แล้วกัน อ่านรายงานผลนวัตกรรมถนอมอาหารที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาฯ นี่ครบระยะประเมินพอดี”
“ครับ คุณพ่อ” ม่อนแจ่มรับคำ พร้อมเสมอที่จะช่วยเหลืองานของบิดา
นายพจน์พอใจ ..ดีแล้ว ม่อนแจ่มเชื่อฟังเขาเสมอ แต่.. ม่อนแจ่มมองเขาค้างอยู่อีกแล้วสิ
“ม่อน?”
“อะ.. ครับ คุณพ่อ..”
นายพจน์มองสบดวงตาสีน้ำตาลอย่างลังเล
เขาไม่ค่อยได้สังเกตอะไรนัก แต่ดูเหมือนบุตรชายมีอะไรบางอย่างในใจ ..หรือเปล่านะ?
ในแววตามีสิ่งที่นายพจน์ไม่ใคร่เข้าใจ เขาตระหนักว่าแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน พาออกงานด้วยกันหลายครา พาไปบริษัทในยามปิดเทอม แต่ในเรื่องส่วนตัว เขาพูดคุยกับเด็กหนุ่มน้อยมาก ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยก็ยังไม่เคยได้หาเวลาไปเยี่ยมที่หอพักเลยสักครั้ง
“อืม..” เสียงเข้มพยายามหาคำพูด
“ม่อนอยู่หอมาเทอมหนึ่งแล้ว พ่อยังไม่เคยไปเยี่ยม ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับคุณพ่อ ม่อนกลับมาบ้านเองได้”
ลูกชายทำหน้าเกรงใจราวกับว่าการไปเยี่ยมเจ้าตัวจะทำให้นายพจน์ลำบากลำบนราวกับต้องเดินทางข้ามจังหวัดหรืออะไรทำนองนั้น และนั่นก็ทำให้นายพจน์ที่แม้จะไม่มีอารมณ์ขัน ก็ต้องขำออกจนได้อย่างเอ็นดู
เขาพยักหน้าน้อยๆให้บุตรชาย ก่อนแยกไปนั่งทานกาแฟที่ห้องนั่งเล่นเหมือนทุกๆวัน
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
‘วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร หรือวัดหลวง ศูนย์ฮวมใจ๋ของจาวหละปูน
เป๋นพระอารามหลวงจั้นเอก ตั้งอยู่ตี๊ตำบลในเมือง อำเภอเมืองหละปูน
อยู่กู้บ้านกู้เมืองหละปูนมากว่าพันปี๋ ซึ่งแต่เดิมจื้อเมืองหริภุญไชย..’
สารคดีทางโทรทัศน์ดำเนินไปเช่นนั้น.. เปิดมาเจอโดยบังเอิญและนั่นก็ทำให้นายพจน์หลงลืมแก้วกาแฟ
ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองเข้าไปในจออย่างโหยหา..
โหยหาใครสักคนที่มาจากดินแดนนั้น ..หริภุญไชย..
“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ!”
“แย่จริงๆเลยลดา รู้ไหมว่าเธอชนใคร เฮ้อ!”
“สูมาเต๊ะเจ้า! ขอโทษ ขอโทษจริงๆค่ะ”
“อภัยเด็กมันด้วยนะคะคุณพจน์ เพิ่งมาทำงานวันแรกเองค่ะ”
“ขอโทษจริงๆค่ะ อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ ฉันจะตั้งใจกับงานอย่างดีที่สุดค่ะ”อาการก้มหัวรัวๆอย่างขออภัย ดวงตาใสไร้เดียงสาที่หวั่นกลัว ทำให้นายพจน์ต้องจ้องมองซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผู้หญิงอะไรสดใสน่ารักถึงเพียงนี้..
แล้วแค่วิ่งมาชนเขา เพราะรีบเข้างานในฝ่ายตัวเอง ไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรงขนาดโดนไล่ออกหรอกน่า
นายพจน์อยากจะบอกให้เธอสบายใจ ทว่า ร่างเล็กปราดเปรียวนั้นก้าวเร็วๆจากไปแล้ว
รอยยิ้มแต้มมุมปากน้อยๆ ..And that’s how it all started “พจน์ต้องแต่งงานกับหนูระมิงค์ นี่เป็นเรื่องของธุรกิจ กิจการนั้นกำลังจะไม่รอด
ถ้าเราเข้าไปตอนนี้ เท่ากับเราจะได้ทั้งหมด พ่อมีวิธีฟื้นตัว รวมเข้าเป็น PP Group”
“ผมบอกคุณพ่อแล้ว.. ผมมีลดา..”
“จะบ้าหรือไง นั่นพนักงานระดับล่าง นี่มันอนาคตของบริษัท เราเติบโตมาได้ด้วยเม็ดเงินจาก PP Group จะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้”
“ผมอยากคุยกับลดาก่อน ผม..”
“เธอลาออกไปแล้ว” เสียงบิดาห้วนขึ้นและตัดบท “ก็คงจะรู้ตัวนั่นแหละ ..ว่าไม่คู่ควร” พจน์ ประดิษฐาพงศ์ไม่ใช่คนเข้มแข็ง และก็เช่นกันที่จะ.. ไม่ใช่คนหัวดื้อ
ที่สุด ก็ต้องจำยอมตามนั้น แม้ว่าจะไม่เคย.. ไม่อาจ.. ตัดใจ... . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
‘สวนเพชรหละปูน’
ป้ายไม้สักเก่าโทรม ตัวหนังสือลอกล่อนบ่งไว้เช่นนั้น..
เธออยู่ที่นี่ใช่ไหม? ข้างในซอยถนนลูกรังขรุขระนี้ มีเธออยู่ใช่ไหม ..ลดา
แต่งงานแล้ว ..ก็ใช่
ทุกๆวัน ทำงานให้สมศักดิ์ศรีบุรุษประดิษฐาพงศ์ ตอบแทนทุกบุญคุณของบิดามารดา ..ก็ใช่
แต่.. แต่ละวัน เขาขอแค่สองชั่วโมง
สองชั่วโมงที่ขับรถไป-กลับ เชียงใหม่-แม่ทา
เพียงเพื่อแค่.. มาหยุดมองป้ายเก่าๆนี้เพียงไม่กี่นาที
เพราะ.. I love you ..I’ve loved you all along. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“สมบอกว่าคุณขอขับรถเอง และออกจากบริษัทตั้งแต่สี่โมงเย็นทุกวัน”
ก็ใช่..
“คุณไปไหนมาหรือคะ”
นาฬิกาบอกเวลาสิบแปดนาฬิกา สามสิบนาที นายพจน์ไม่มีคำตอบและระมิงค์ก็ไม่ได้ต้องการ
“ฉันทราบว่าคุณไปไหน..”
“แค่ขอเวลาสองชั่วโมง ผมคิดว่า ..คงไม่น่าผิดอะไร”
เขาไม่ได้ทรยศต่อคู่สมรส อย่างน้อย.. ร่างกายก็ไม่
“ฉันเข้าใจค่ะ” ระมิงค์ไม่ได้อยากจะตำหนิ ทว่า..
“แต่ถ้าคุณยังไป สักวัน คุณก็ต้องเข้าไปหาเธอจนได้”
นายพจน์ได้แต่กลืนน้ำลาย ..ก็คงถูกของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
“เราอาจไม่ได้รักกันมาตั้งแต่แรกและอาจจะไม่มีวันรักเลย” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยนิ่ง
“แต่ตอนนี้ฉันตั้งครรภ์”
นายพจน์เบิ่งตา ..เขาไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ ..เวลาหนึ่งเดือนที่แต่งงานกันมา ยังไม่นานพอให้ทำใจ
“ฉันอยากให้แกมีครอบครัวที่อบอุ่น” มือเรียวทาบไว้กับหน้าท้องตนเอง
“เพราะฉะนั้น ฉันขอร้องให้คุณหยุดไปลำพูน ฉันต้องการให้คุณเป็นพ่อที่ดีของ ..ลูก”
..
“ได้โปรด.. เป็นพ่อที่ดีของลูกให้ฉันด้วย”ดวงตาสีเข้มคลอด้วยหยดน้ำตา..
ไม่ต้องการให้เห็นใจ ไม่วอนขอการอภัย ไม่ตำหนิใคร แม้แต่บิดาผู้ล่วงลับ
ในห้วงคำนึงเพียงอื้ออึงด้วยคำขอโทษ ..ที่ไม่เคยมีโอกาสเอ่ยออกไป
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
รายการทีวีนั้นดูเป็นเรื่องธรรมดา สารคดีท่องเที่ยวจังหวัดลำพูน ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับงานหรือธุรกิจ
ม่อนแจ่มไม่รู้ว่าทำไมบิดาถึงรับชมอย่างสนอกสนใจขนาดนั้น ดูเหมือนป้าเพ็ญก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน
ร่างอวบเก็บแก้วกาแฟที่ยังไม่พร่องลงแม้แต่นิดพลางมองผู้เป็นนาย ลอบถอนหายใจน้อยๆ
ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว ไม่กล้าจะเข้าไปรบกวนบิดาอีก
ร่างเล็กเบนเข็มไปมองหาว่ามารดาอยู่ไหน ไม่รู้ลงมาจากห้องนอนหรือยัง
แล้วก็เป็นโต๊ะน้ำชาริมระเบียงนั่นเอง ที่เธอนั่งอยู่..
มารดาแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน มองค้างเหมือนเหม่อคิดอะไรอยู่ สีหน้ามีร่องรอยความกังวลใกล้เคียงกับเมื่อคืน ทั้งที่ ตามปกติ ท่านจะยิ้มหวานและอารมณ์ดีเสมอเมื่อได้เจอม่อนแจ่ม ชักจะห่วงใยแล้วสิ ที่สุด ขาเรียวก็ก้าวไปค่อยๆทรุดนั่งลงข้างๆ
“คุณแม่ครับ?”
“อ๊ะ!” ระมิงค์ผงะอย่างตกใจ แต่แล้วเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร เธอก็ปรับท่าที
“อ้าว.. เอ่อ.. ม่อนน่ะเอง ทานข้าวแล้วหรือจ้ะ”
“อะ..” ม่อนแจ่มงุนงง “ม่อนขอโทษครับ ม่อนทำให้คุณแม่ตกใจหรือครับ”
“เปล่าจ้ะ เปล่า” มือขาวรีบจับมือลูกชายไว้
เธอไม่นึกว่าจะเป็นม่อน เธอนึกว่า..
ระมิงค์ลอบถอนหายใจ หลายเดือนมาแล้วที่เผชิญหน้ากับสามีอย่างหวาดหวั่น นึกวาดภาพเขาเดินเข้ามาและ..
ทว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สามีไม่เคยเอ่ยสิ่งอื่นใด นอกเหนือไปจากเรื่องงาน เช่นที่เป็นปกติ
แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็ดีแล้ว บางที.. เธออาจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย เด็กคนนั้นอาจไม่กล้าพอที่จะ..
“คุณแม่ไม่ทานข้าวหรือครับ” ม่อนแจ่มประสานมือตอบกลับมารดา ส่งรอยยิ้มสดใสให้
“แค่ชากับขนมปังพอแล้วจ้ะ” แม้ในภาวะนี้ ระมิงค์ก็อดจะยิ้มตอบไม่ได้ ใครจะไม่ยิ้มตอบรอยยิ้มนี้ได้กัน?
ดวงตาพิศมองลูกชาย โครงหน้าที่จำได้เด่นออกมาจากรายละเอียดอื่นๆ
ม่อนแจ่มโตเป็นเด็กหนุ่มแล้ว
‘เด็กหนุ่ม’ ..พยายามแล้ว แต่เธอก็อดนึกถึงเด็กหนุ่มอีกคนไม่ได้
คนที่เธอพยายามทำให้ตัวเองเชื่อว่าไม่มีอยู่.. ไม่คิดว่าจะได้พบ..
แต่ก็พบกันแล้วหนึ่งครั้ง และ.. หวาดกลัวเหลือเกินหากต้องมีครั้งที่สอง
“คุณไม่รู้หรือครับ”
แม้เป็นเพียงเด็กหนุ่ม อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบ แต่น้ำเสียงช่างก้องกังวานไม่ต่างจากผู้ใหญ่เต็มตัว
“ขับไล่ภรรยาที่อุ้มท้องลูกของคนที่คุณจะแต่งงานด้วย พูดจาดูถูก ใช้เศษเงินฟาดหัว ..เรื่องนี้คุณไม่รู้หรือครับ”
ระมิงค์กลืนน้ำลาย ความทรงจำในอดีตหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอบอกอีกเรื่องหนึ่ง บางทีเรื่องนี้ คุณอาจจะรู้บ้าง..”
เธอเงยหน้าสบดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น และก็เพียงเพื่อจะได้ยินคำเดียวสั้นๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้วในชีวิตนี้
..
“แสงรวี”ระมิงค์ได้แต่กัดฟัน ไม่อาจพูดอะไร เพียงคว้าตัวลูกชายมาโอบกอดไว้หนักๆ
น้ำตาพาลจะเอ่อไหล หวังได้รับการอภัย.. หวังได้รับการปลอบใจ..
“ไม่รู้หรือไงว่ากิจการกำลังจะเจ๊งอยู่แล้ว ถ้าไม่ยอมแต่งกับพจน์ ประดิษฐาพงศ์ ก็วิบัติไปด้วยกันนี่แหละ”
“พ่อ.. หนูทราบมาว่าคุณพจน์มีคนรักอยู่แล้ว แล้วหนูเองก็ท้อง หนูท้องกับ..”
“อย่าพูดถึงพนักงานบัญชีกระจอกนั่น จะให้พ่อกับแม่อับอายไปถึงไหน!”
“คุณพ่อ..”
“แล้วถ้ายังขืนดื้อดึงจะหนีตามกันไป ฉันไม่เอามันไว้แน่!”
“แต่หนูรัก..”
“รัก? มันกินเข้าไปได้หรือรัก นึกถึงตัวเอง นึกถึงลูก นึกถึงครอบครัว และพนักงานเป็นร้อยๆบ้างสิมิ้งค์
ลูกที่จะเกิดมา จะให้เขาไปลำบากหรือจะให้เขาสบาย ก็เลือกเอา เลือกว่าจะให้พ่อของลูกเป็นใคร!” ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นคนใจร้ายได้อย่างนั้น แต่ระมิงค์ก็ได้เพียงทำลงไป
เห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่ครอบครัว เห็นแก่ความอยู่รอดของกิจการ..
“ฉันกำลังจะแต่งงานกับคุณพจน์ การ์ดแต่งงานพิมพ์แล้ว ทุกอย่างตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
มือเรียววางกระดาษสีมุกลงบนโต๊ะ
“แต่..” ผู้หญิงหน้าตาซื่อใสตั้งท่าจะค้าน การ์ดแต่งงานที่หยิบไปดูในมือสั่นไหว
ระมิงค์ได้แต่เอ่ยออกไป.. “ฉันท้องกับคุณพจน์”
“ไม่จริง..”
“ฉันบอกแล้วไงว่างานแต่งงานถูกตระเตรียมไว้หมดแล้ว เธอคิดว่าคุณพจน์จะยอมแต่งหรือ ถ้าฉันไม่ได้ท้องกับเขาจริง..”
เธอวางเอกสารฝากครรภ์ไว้บนโต๊ะ สาวน้อยนาม ‘เพชรลดา’ นิ่งอึ้ง
“เธอลองคิดดู..” ระมิงค์กลืนน้ำลาย เอ่ยออกไปให้หนักแน่นที่สุด
“ใครที่จะเป็นภรรยาอย่างเต็มภาคภูมิของคุณพจน์ได้ดีกว่ากัน คนที่จะช่วยเกื้อหนุนธุรกิจของเขา เป็นหน้าเป็นตาให้เขา เธอ ..หรือฉัน”
เพชรลดาซึ่งเป็นพนักงานเล็กๆใน PP Group หรือระมิงค์ ลูกสาวนักธุรกิจเพื่อนสนิทบิดาของคุณพจน์?
“แต่ฉัน..” มือเรียวลูบหน้าท้อง “ฉันก็ท้อง”
...
ระมิงค์เบิ่งตา
ไม่.. ไม่จริง ไม่จริงหรอก
ผู้หญิงคนนี้เพียงเรียกร้องความเห็นใจจากเธอ แต่เธอมาไกลเกินไป ..ไม่อาจกลับหลังได้
“เอานี่ไปก็แล้วกัน ฉันมีให้แค่นี้ สำหรับเธอกับลูก ..ถ้าสมมุติว่ามีจริงๆน่ะนะ”
เธอวางเช็คลงบนโต๊ะ พยายามลืมดวงตาซื่อใสที่ไม่มีแววหลอกลวงนั้น
บอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องโกหก ย้ำตัวเองว่าเพชรลดาเพียงแต่งเรื่องขึ้น ..แค่เพราะไม่อยากหลีกทาง
“ถ้าเธอรักคุณพจน์จริง เธอควรจะรู้ว่าผู้หญิงคนไหนจะทำให้ชีวิตเขารุ่งเรืองขึ้น”
ร่างเพรียวระหงในเครื่องแต่งกายงดงามลุกขึ้นยืน เน้นเสียงหนักที่สุดให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สถานะตนเอง
“คนไหนจะทำให้เขาจมลง..” “ม่อนรักคุณแม่นะครับ..”
เสียงคนในอกพึมพำเบาๆ ฉุดเธอออกจากห้วงความทรงจำ
“รักษาสุขภาพด้วยนะ ม่อนกับคุณพ่อเป็นห่วง..”
คุณพ่อ..
ใช่สินะ พจน์ ประดิษฐาพงศ์ ..หล่อ ..รวย ..นิสัยดี คุณสมบัติทั้งหมดที่ควรค่าเป็นสามีและบิดาของบุตรชาย
พจน์ ประดิษฐาพงศ์ ..คู่สมรสของเธอ ..คู่แต่งงานของเธอ
งานแต่งงานที่คงประหลาดที่สุดในโลก เพราะทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวเมาแบบไม่สนใจใคร
เข้าหอแล้วก็มีความสัมพันธ์กันให้ผ่านพ้นไป สำหรับระมิงค์.. แค่เพื่อให้ม่อนแจ่มเป็นลูกนายพจน์ และ.. สำหรับนายพจน์ ก็เพียงแค่ให้มีทายาทตามที่ครอบครัวคาดหวัง แล้วมันก็เกิดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในคืนวันแต่งงาน
น่าอายเหลือเกิน.. “เช้านี้อากาศดีนะครับ” ม่อนแจ่มให้ความเห็น
ไม่ใช่แค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ใช่แค่พูดส่งๆไปตามบรรยากาศ แต่น้ำเสียงจริงใจที่ได้ฟังทำให้เธอรู้สึกว่าเขา
หมายความอย่างนั้นจริงๆมันเป็นวิธีการพูดของม่อนแจ่ม พูดออกมาจากภายใน พูดจากใจแบบนี้เสมอ เขาปรารถนาจะให้คนฟังซึ่งก็คือเธอชื่นชมยินดีไปกับยามเช้านี้ด้วยกัน
ระมิงค์ละอ้อมแขนออกทั้งนึกขอบคุณ และเมื่อศีรษะเล็กเอี้ยวหันไปมองทางสวน จึงทำให้เธอตระหนักว่านั่นคือทิศตะวันออกเมื่อแสงสีส้มสว่างชัดเจนมาจากด้านนั้น
“แสงแดดอ่อนๆกำลังสบายเลยครับ ม่อนชอบ”
แสงแดดหรือ..
แสง..
“จ้ะ” ระมิงค์รับคำ มือเรียวลูบศีรษะเล็ก “แม่ก็ชอบ..”
รอยยิ้มสดใสแต้มเรียวปากบุตรชาย ดวงตาใสในกรอบแว่นแดงก็เหมือนจะยิ้มด้วย ยิ้มทั้งตา ยิ้มทั้งปาก
ระมิงค์หวังเหลือเกิน ..นี่จะเป็นรอยยิ้มอันไม่มีวันสิ้นสุด..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอบคุณสำหรับการติดตามเช่นเคย สวัสดีตอนเช้าไว้เลยครับ 
ไม่ดราม่าครับ เราไม่ดราม่า เราสายหวาน//กอดม่อนแรงๆ