CHAPTER 15: More Than An Acquaintance “วันนี้มีประชุมสมาคมฯ คุณจะเข้าประชุมด้วย หรือจะกลับบ้านก่อนครับ”ใบหน้าเรียวเงยขึ้น มือปิดแฟ้ม สบสายตาบุรุษตรงหน้า
“ไม่ดีกว่าค่ะ คุณไปเถอะ ตอนนี้ม่อนอยู่บ้าน ฉันคิดว่า.. จะอยู่กับลูกเสียหน่อย”
นายพจน์คราง ‘อืม’ ในลำคอ พยักหน้ารับอย่างสุภาพ พลางปิดล็อคลิ้นชักโต๊ะทำงาน
พวงกุญแจโลหะกระทบกันเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊ง.. พวกกุญแจนั่นระมิงค์เห็นมานาน พวงกุญแจที่ห้อยตัวอักษร ‘P’ เอาไว้สี่ตัว
P.. P..
P.. P..สองตัวแรกเธอไม่สงสัย ชัดเจนอยู่แล้ว ..พจน์ ประดิษฐาพงศ์..
ส่วนอีกสอง..
“ถ้าอย่างนั้นให้สมกลับไปส่งคุณ เดี๋ยวผมไปกับบุญส่งนะ” นายพจน์เอ่ย พลางเดินออกจากห้องทำงาน
“ค่ะ..” ระมิงค์ไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่าการรับคำสั้น สายตามองใบหน้าคมสันซึ่งเด็กหนุ่มบางคนละม้ายคล้าย..
แผ่นหลังกำยำที่เดินจากไป.. รูปร่างสูงใหญ่นั่นก็ใช่..
“คุณพจน์คะ..”
ขาแข็งแรงชะงัก ใบหน้าเอี้ยวหันกลับมา
“ครับ?”
..
..
“มีอะไรหรือเปล่า คุณระมิงค์”
..
ระมิงค์เงียบไปแป๊ปหนึ่ง แล้วจึงยิ้มฝืนๆ
“เอ่อ.. นิตยาสาร Glory ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ไม่ทราบรวิดาแจ้งคุณหรือยัง”
“อ้อ เรียบร้อยแล้วล่ะ” นายพจน์พยักหน้า แต่แล้วก็โคลงศีรษะ “คงต้องกวนม่อนด้วย เพราะเขาอยากสัมภาษณ์ครอบครัว”
..
“ค่ะ” ระมิงค์ตอบรับเสียงหนัก “ไว้.. ฉันจะบอกลูกเอง”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ในคืนนี้มีดาว เป็นล้านดวง
แต่ใจฉันมีเธอ ..แค่เพียงคนเดียว
สอดประสานสบตา เคียงข้างกัน
อยากจะขอจูบดาว ..ใต้เงาดวงจันทร์”
จากหางตา ทำให้รู้ตัวในที่สุดว่าถูกจ้องมอง.. เสียงร้องเพลงจึงชะงัก มือเรียวที่จับดินสอก็หยุดเช่นกัน ดวงหน้าขาวเอี้ยวามองผู้มาเยือน
“คุณแม่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ม่อนแจ่มยิ้ม ตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่มารดาส่ายหน้าน้อยๆให้
“ม่อนวาดต่อเถอะ แม่แค่ได้ยินเสียงร้องเพลง ก็เลย..” ระมิงค์ยิ้มบางๆ “เดินมาดู”
“คุณแม่มาร้องกับม่อนสิครับ เสียงคุณแม่เพราะ” ม่อนแจ่มชักชวน
ก็เพราะมารดามิใช่หรือ ที่ทำให้เขาติดร้องเพลง ‘ดาว’ เสียขนาดนี้ เพลงกล่อมนอนตอนเด็กๆของเขาเองนี่นา
ร่างระหงสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ “เกือบหมดแสงแล้ว วาดอะไร ใกล้เสร็จหรือยังจ๊ะ”
เสียงนุ่มว่าพลางเงยมองฟ้าสีส้มทอประกายในเวลาเย็นซึ่งเธอเพิ่งกลับมาจากบริษัท
“ไม่ใกล้เท่าไหร่ แต่ม่อนไม่รีบครับ เดือนหน้ากว่าจะใช้”
“หืม?” ระมิงค์เลิกคิ้ว ขยับเข้าไปมองใกล้ๆ “นี่คือ..”
“แหะๆ สำหรับคุณพ่อครับ” ม่อนแจ่มยิ้มแหยๆ แต่ในแววตาแฝงความตื่นเต้น
“เอ้อ คุณแม่ครับ พรุ่งนี้ม่อนขอกลับหอเลยนะครับ”
“อะไรกัน วันจันทร์ถึงจะเปิดเทอมไม่ใช่หรือ จะกลับตั้งแต่วันพฤหัสฯเลย?”
“อ่า” ม่อนแจ่มอึกอัก “ม่อน ม่อนอยากไปเตรียมตัวครับ’”
ระมิงค์เลิกคิ้ว รู้จักลูกชายดี “เพื่อนๆยังไม่มากันเลยละมั้ง ม่อนจะอยู่ได้หรือ”
อะ.. ม่อนแจ่มอ้าปากค้าง นั่นก็จริง แต่ว่า.. ถ้าเกิด ‘เพื่อน’ มาก่อนเหมือนกัน ม่อนแจ่มจะได้เจอเร็วขึ้นนะ
“ม่อนอยู่ได้ครับคุณแม่ ม่อนอยากไป”
“ก็แล้วแต่ม่อนจ๊ะ” ระมิงค์ขมวดคิ้วน้อยๆ ยิ้มอย่างงงๆ "แต่จะมีวันนึงม่อนต้องกลับบ้านให้สัมภาษณ์นิตยาสารนะ เดี๋ยวแม่จะบอกวันไป"
หน้าขาวยู่ลงเล็กน้อย "ม่อนไม่ชอบสัมภาษณ์อะไรพวกนั้นเลยครับ เขินๆ"
มือเรียวลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู "เป็นเรื่องของภาพลักษณ์น่ะ ม่อนเข้าใจนะ"
"ครับ ม่อนเข้าใจ" รอยยิ้มกว้างตอบรับการกระทำอ่อนโยนของมารดา แต่แล้วก็เอานิ้วชี้ทาบริมฝีปากเมื่อนึกได้
“แต่เรื่องนี้ คุณแม่อย่าเพิ่งบอกคุณพ่อนะครับ เดี๋ยวไม่เซอไพรส์ จุ๊ จุ๊!”
คุณพ่อ..
ระมิงค์กลืนน้ำลาย มองภาพลายเส้นที่อยู่ตรงหน้า แล้วละสายตามาประสานกับลูกชาย
“จ๊ะ” ระมิงค์รับคำ ..รับคำหนักแน่น
“แม่จะไม่บอก ไม่บอกเด็ดขาด”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“หากคืนนี้มีเราเพียงสองคน
อยากจะขออยู่จน ..แสงดาวจางไป
เก็บความรู้สึกดีที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีแสงแห่งใด ..สวยดังใจเธอ”
พชรไม่ได้แปลกใจกับเสียงร้องและดนตรีที่บรรเลงผ่านเสียงหรีดหริ่งเรไรมาในบรรยากาศยามค่ำ
“พี่แสงร้องเพลงอีกแล้ว” เพชรลดาเปรยเบาๆ นั่งปักผ้าใต้แสงไฟตะเกียงเหมือนอย่างที่ทำเสมอ ชวนลูกชายผู้เคร่งขรึมคุยไปด้วย
“คงเป็นชาวสวนที่มีอารมณ์ศิลป์มากที่สุดแล้วล่ะ ว่าไหม พชร?”
อารมณ์ศิลป์..“ครับ” พชรรับคำ
ก็คงเป็นเช่นนั้น.. เป็นเหมือนกับ.. ร่างกำยำลุกขึ้นยืน เพ่งมองลงไปด้านล่าง
ณ ม้านั่งไม้ใต้แสงดาว ..แสงรวีอยู่ที่นั่น
ลุงแสงเป็นคนร่าเริง คุยเก่ง เข้ากับคนงานได้ทุกคน ร่างกายแม้ไม่ใหญ่โต แต่ขยันขันแข็ง เป็นชาวสวนเต็มตัว
พชรจึงแปลกใจนักที่ลุงแสงมีสิ่งที่เรียกว่า ‘อารมณ์ติสท์’ เช่นนี้ด้วย
แต่ก็นั่นแหละ คนเรามีหลายมุม จิตใจหรือก็ซับซ้อนและอารมณ์ความรู้สึกย่อมไม่คงที่ แปรผันตามเวลาและสิ่งกระตุ้นเร้า คล้ายๆปรัชญาที่ได้เรียน ‘ทุกอย่างเลื่อนไหล’
ทุกอย่าง.. นั่นคงรวมถึงความรู้สึกของมนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ในความเลื่อนไหลมีสิ่งที่จีรัง แต่หากทุกอย่างเลื่อนไหล แล้วอะไรล่ะที่จีรัง? ถ้ามีสิ่งที่จีรัง.. ก็แปลว่าทุกอย่างไม่ได้เลื่อนไหล ใช่ไหม?
“ทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นพชร” เพชรลดาเลิกคิ้ว ฝีเข็มชะงัก
ใบหน้าคมหันกลับมา ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ดวงตาเด็ดเดี่ยววูบไหวอีกครั้งเมื่อเห็นลายปลอกหมอนที่มารดาปัก
P. P. P. P.
ถ้าแสงรวีเป็นชาวสวนที่มีอารมณ์ติสท์ที่สุด มารดาของพชรก็คงเป็นชาวสวนที่ปักผ้าสวยที่สุดเช่นกัน
แม้อักษรเพียงสี่ตัว เธอยังปักได้สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ..
มารดาปักลายนี้เสมอ อาจไปปักลายดอกไม้ ลายผีเสื้อบ้าง แต่ก็จะวกมาที่ตัวอักษรสี่ตัวนี้เสมอ
พชรเคยคิดว่า สองตัวแรกแทนตัวเธอ ..เพชรลดา เพชรหละปูน.. และสองตัวหลังแทนตัวเขา ..พชร เพชรหละปูน..
ทว่า ในวันนี้ พชรตระหนักว่า บางทีอาจไม่ใช่..
เพชรลดาวางผ้าลง ค่อยๆลุกขึ้นเดินมาหา มือเอื้อมแตะบ่ากว้าง
“หลายวันมานี้ พชรดูเครียดไปนะ มีอะไรอยากจะบอกแม่หรือเปล่า”
..
“อะไรก็ได้ทุกอย่าง”
พชรกลืนน้ำลาย เอ่ยเพียง..
“ผมลงไปหาลุงแสงสักหน่อยนะครับ”
“เปรียบเธอนั้นเป็นหมู่ดาว สวยเกินกว่า..
รักที่มี ที่ตัวฉันให้เธอไว้ ..ชั่วนิรันดร์”
“คุณพชร?”
แสงรวีชะงักนิ้วจากเส้นลวด เงยหน้ามองผู้มาใหม่ซึ่งเพียงพยักลำคอน้อยๆ
“เล่นต่อเถอะครับ ผม.. แค่จะมาฟัง”
“หืม?” คิ้วบางเลิกขึ้นน้อยๆ แต่แล้วก็หัวเราะออกมา
เดินมาฟังเพลงหรือ..“ฟังดูไม่ค่อยใช่คุณพชรเลย” แสงรวีเอ่ยยิ้มๆ ทว่าคนฟังไม่ได้ยิ้มตอบ
หนุ่มใหญ่ร่างเล็กจึงวางกีต้าร์พิงพนัก ลุกขึ้นขยับเข้าใกล้เด็กหนุ่มตัวสูงกว่า เอ่ยตรงๆ ดังที่จับสังเกตได้มาค่อนเดือน
“คุณพชรดูเครียดไปนะครับ”
พชรไม่มีคำตอบอะไรให้ ใบหน้านิ่งตั้งใจมองสบสายตา
“ผมขอโทษนะครับลุงแสง ถ้าผมจะต้อง..”
“ต้อง?” แสงรวีเลิกคิ้วอีกครั้ง แต่แล้วก็ตระหนัก
“เรื่องที่จะไปพบคุณพจน์หรือครับ คุณลดาบอกว่าคุณพชรยังไม่ได้ไป?”
“ครับ” เสียงเข้มไม่รู้จะตอบอะไรให้ยาวกว่านี้
แสงรวีถอนหายใจ ตบไหล่เด็กหนุ่ม “คุณพชรมีสิทธิ์ชอบธรรม..”
“แล้วลุงแสงไม่ห่วงลูก.. ห่วงอดีตคนรักหรือครับ”
“บอกว่าไม่ห่วง ..ก็คงโกหกครับคุณพชร” แสงรวีก้มหน้า
“แต่ถ้าจะให้บอกว่าลืมๆไปเถอะ ไหนๆเรื่องก็ผ่านมานาน เขาก็อยู่เป็นครอบครัวไปแล้ว ผมก็คงเห็นแก่ตัวไม่ต่างจากคุณมิ้งค์ในตอนนั้น และจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะทั้งคุณลดาและคุณพชรดีกับผมเหมือนคนในครอบครัว ผมไม่รู้จะว่ายังไง..”
แสงรวีกลืนน้ำลายอย่างขมขื่น “ผมไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่อาจคัดค้าน ถ้าจะขอก็คงขออย่างเดียว..”
..
“ขออย่าให้ลูกรู้เลยใครเป็นพ่อ จากลูกประธานบริษัทใหญ่มาเป็นลูกคนงานสวนผลไม้ ผมกลัวแกจะทำใจไม่ได้”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“นี่พชรจะกลับมอวันไหนลูก” เพชรลดาเก็บชามข้าวต้มหลังเสร็จสิ้นมื้อเช้า เอ่ยถามในวันใกล้เริ่มเทอมปลายของนักศึกษา
“วันนี้ครับ” พชรตอบคำถาม “ตอนบ่าย”
เพชรลดาขมวดคิ้ว
ไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบ พชรคิดเร็ว ทำเร็วอยู่แล้ว แถมไม่ค่อยบอกอะไรล่วงหน้าเป็นปกติ แต่สีหน้านี่ต่างหาก..
“พชร เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียดจริงๆนะ”
อดไม่ได้ที่จะถาม เพชรลดาขมวดคิ้วใส่ลูกชาย ลูกชายที่ไม่ได้มองตาเธอ.. ลูกชายที่ได้แต่สวมเสื้อคลุมและหมวกปีกกว้าง ไม่เอ่ย ไม่ตอบอะไร เดินลิ่วๆลงบันไดไปอีกแล้ว
“เป็นอะไรของเขาไปนะ” เพชรลดาเปรย เดินมาส่งสายตาให้แสงรวีซึ่งยืนรออยู่ที่ชานบ้าน ขณะมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างห่วงใย หลายวันมานี้ พชรดูแปลกไปมากจริงๆ
“คงเป็นเรื่อง..” แสงรวีไม่ให้นิยาม แต่มองนายหญิงอย่างรู้กัน อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ
“ฉันบอกพชรแล้ว ว่าเอาที่เขาสบายใจ ก่อนหน้า.. เขาก็ไม่ได้ดูกังวลเรื่องนี้เลย แต่นี่เขา..”
แสงรวีถอนหายใจ เอ่ยตรงไปตรงมาก่อนก้าวตามลงบันได
“ปกติคุณพชรเงียบ เพราะไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนกัน ..ว่าคุณพชรเงียบ เพราะมีเรื่องทุกข์ใจ”
เพชรลดายืนนิ่ง เขม่นมองร่างกำยำของบุตรชายเบื้องล่าง
ชักจะไม่เข้าท่าแล้วสิ..
เห็นที จะต้องหาเวลาไปเยี่ยมพชรที่หอบ้าง ไม่รู้มีปัญหาอะไรเรื่องเรียนหรือชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหรือเปล่า..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ฟ้าหน้าหนาวอึมครึม.. ไม่มีความแตกต่างมากนักระหว่างวัน แม้บ่ายแล้วเช่นนี้ ก็ดูไม่ต่างจากยามสายเท่าไรนัก
พชรอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเดินทางกลับเชียงใหม่ ไม่มีอะไรติดตัวนอกจากโทรศัพท์และประเป๋าสตางค์เหมือนตอนขามา
มารดายืนอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่งยิ้มน้อยๆพลางยื่นหมวกกันน็อคมาให้ มือหยาบกร้านของเธอช่างอบอุ่น ..มือของสตรีที่เป็นเอกในชีวิตพชร..
“ขอบคุณครับแม่”
เพชรลดาพยักหน้า “ขี่รถดีๆ อย่าเร็วนักนะพชร”
พชรมองตาเธอ รับคำเสียงหนัก “ครับ ..แม่”
ขาแข็งแรงยกพาดเบาะรถ มือแกร่งบิดแฮนด์ ซิ่งรถไปตามถนนดิน ก่อนออกจากเขตสวนสู่ถนนคอนกรีตซึ่งนำออกจากซอยขึ้นถนนใหญ่
พชรพอใจเสมอที่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์.. มันเป็นความหลงใหลอีกอย่างหนึ่งของเขา..
ความรู้สึกถึงลมที่ปะทะร่าง ..ความเป็นหนึ่งเดียวกับมอเตอร์ไซค์โมตาร์ดคันแรกและคันเดียวจนถึงขณะนี้
ยามเคร่งเครียดไม่สบายใจ คนบางคนอาจจะขี่มอเตอร์ไซค์ เช่นเดียวกับที่.. คนบางคนอาจจะวาดภาพ
วาดภาพ..
มือเรียว.. ดินสอ.. กระดาษ.. รอยยิ้มน้อยๆบนริมฝีปาก.. สัมผัสแฮนด์มาร่วมชั่วโมง ฟ้ายังมืดครึ้มอึมครึมไม่เปลี่ยนแปลง
ในฐานะนักศึกษาวิชาปรัชญาและศาสนา คงไม่บ้าที่พชรจะมาที่นี่ ..ก่อนไปที่อื่น
ร่างสูงชะลอรถจอดในตัวเมืองลำพูน.. บนถนนรอบเมืองใน..
เบื้องหน้า.. วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหารตั้งเด่นเป็นสง่า
วัดซึ่งประดิษฐานพระธาตุประจำปีระกา ..ปีเกิดของเขาเอง
พชรก้าวเข้าไปภายใน..
ซื้อดอกไม้บูชา..
เดินวนองค์พระธาตุ..
ที่สุด.. ก็ทรุดนั่งลง..
พร.. พรใดๆที่เป็นของผม ผมขอมอบมันให้ ..เขา
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น ขอ.. ให้ดวงใจของเขาได้รับการปลอบประโลมด้วยพรอันดีทั้งหลายนี้
ขอ.. ให้ขาของเขายังยืนได้อย่างมั่นคง ขอ.. ให้รอยยิ้มสดใสอยู่คู่กับใบหน้า
ขอ.. ให้ประกายระยิบระยับยังอยู่ในดวงตา ขอ.. อย่าให้มันทำลายความร่าเริงของเขาเลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“มีอะไรให้ช่วยคะ?”พนักงานที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เงยหน้าขึ้นมอง และผู้มาใหม่ก็เพียงตอบสั้นๆ แต่ชัดเจน
“พบคุณระมิงค์ ประดิษฐาพงศ์ครับ”
“ไม่ทราบ ธุระอะไรคะ” คิ้วเธอเลิกขึ้นอย่างแปลกใจที่คำตอบไม่ใช่ ‘สมัครงาน’
“ผมชื่อพชรครับ” เสียงเข้มไม่ตอบคำถาม แต่กลับเป็นคำสั่ง “รบกวนต่อสายหน้าห้องคุณระมิงค์ แจ้งเลขาฯว่าผมมาพบเธอ”
สีหน้าเรียบเฉยและแววตาคมนั้นทำให้หญิงสาวยกหูโทรศัพท์ขึ้นทำตามที่ว่า
พชรมองเธอ..
ตระหนักว่ามารดาก็เคยทำงานที่นี่..
ในตำแหน่งนี้เช่นเดียวกัน..
..
“เอ่อ.. คุณระมิงค์เชิญให้เข้าพบได้ค่ะ”
หลังจากไม่กี่อึดใจ เสียงหวานก็เอ่ยบอกเขา พชรพยักหน้าให้เธออย่างสุภาพ
“ขอบคุณมาก ..ครับ”
มาอยู่ตรงนี้อีกครั้งแล้ว..พชร เพชรหละปูน มาพบ ระมิงค์ ประดิษฐาพงศ์ ทั้งที่ควรพบ พจน์ ประดิษฐาพงศ์ ต่างหาก
ทีแรก เขาให้เหตุผลกับตัวเองว่ามาพบสาวใหญ่แทนเพียงเพราะเธอสมควรต้องตกใจ และยังอยากให้โอกาสเธอสารภาพเองด้วยความปราณีตามประสาเพื่อนมนุษย์ ทว่า เมื่อมาในครั้งที่สอง เขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรถึงเหตุผลแท้จริงที่ไม่ไปพบบิดาให้จบเรื่อง คงเพราะ..
“สวัสดี พชร”
ระมิงค์เอ่ยทักทายขึ้นก่อน หลังจากไม่กี่นาทีที่แจ้งเลขาฯว่าอนุญาตให้เด็กหนุ่มนาม ‘พชร’ เข้าพบ
เพราะเธอไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ.. ทายาทแท้จริง ผู้มีสิทธิ์ในทุกตารางนิ้วที่เธอเหยียบยืนอยู่นี้
เด็กหนุ่มตรงหน้ายืนนิ่ง คิ้วที่ขมวดราวเรียบเรียงคำพูดนั้นทำให้ประหลาดใจ
“เธอต้องการอะไร?”
เพราะระมิงค์ไม่ใคร่เข้าใจ ..ไม่เข้าใจเจ้าของใบหน้าคมสันที่ถอดแบบมาจากบิดาคนนี้
หลายเดือนมาแล้วที่คิดว่าวันหนึ่ง นายพจน์จะเดินเข้ามาคาดคั้นความจริงจากเธอ จะเอาแผ่นกระดาษสีเหลืองหม่นใบนั้นมาแสดงให้เธอยอมรับว่าเรื่องราวเป็นจริงดังที่ ‘ลูกชาย’ เขาเอ่ย
กว่าห้าเดือนที่เธอคิดไม่ตกว่าสถานะของ ‘ลูกชาย’ และเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป
ทว่า กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนเธอแทบจะนึกว่าการปรากฎตัวของ 'พชร' ในวันนั้นเป็นเพียงความฝัน
“ผมให้โอกาสคุณครั้งสุดท้าย”
เสียงเข้มเอ่ยในที่สุด ความตึงเครียดที่เพิ่งเคยรู้จักครอบคลุมจิตใจทุกขณะ..
“สารภาพเองซะ ก่อนที่ผมจะไปหาคุณพจน์ บอกเรื่องแม่ผม บอกเรื่อง..” ค้างไว้แค่นั้น เขาไม่สามารถพูดต่อได้
เอาล่ะ..
ระมิงค์ควบคุมสติ พยายามหาทางเลือก ทางที่เธอและลุกจะไม่ต้องบาดเจ็บ
“จะให้ฉันทำยังไง เธอถึงจะไม่ไปหาคุณพจน์ เงินเท่าไหร่ที่เธอ-”
“หยุดพูดเรื่องเงิน!”
พชรสั่ง ระงับอารมณ์ไม่พอใจจากคนมีเงินที่คิดว่าเงินจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างไปเสีย
“คุณจะสารภาพเองหรือให้ผมพูด เลือก!”
ระมิงค์กลืนน้ำลายกับน้ำเสียงเฉียบขาดและท่าทีจริงจังไม่สมวัยนั้น
ใช่สินะ.. ถ้าเงินสำคัญกับเพชรลดาและลูกชาย เช็คใบนั้นก็คงไม่ยังอยู่จนถึงบัดนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละ.. ไม่มีเงินจำนวนใดมีค่ามากมายเกินกว่าการเป็นทายาทประดิษฐาพงศ์ ซึ่งเด็กหนุ่มกำลังมาทวงคืนอยู่
ทวงคืนจากเธอ ..จากลูกชายเธอ
“แบบนี้ได้ไหม” ระมิงค์เอ่ย ยืดไหล่ตรงอย่างไว้ตัวอยู่ในที
“ฉันจะบอกคุณพจน์เรื่องเธอ เรื่องแม่เธอก็ได้ แต่จะไม่พูดเรื่อง..”
พชรแค่นหัวเราะ “แล้วถ้าคุณพจน์ถามล่ะครับ ว่าทำไมแม่ผมต้องลาออกและกลับบ้านไป คุณจะตอบว่ายังไง?”
“เขาอาจไม่สน..”
ไม่จริง ระมิงค์รู้ดี
“แล้วถ้าเขาสน" พชรย้อน "ถ้าเขาสนพอที่จะถามผม ถามแม่ผม คุณจะให้ผมตอบว่ายังไง”
“เธอกับแม่เธอก็ช่วย..”
“ช่วยอะไร..” เสียงเข้มนั้นเย็นชาจนกลายเป็นเชือดเฉือน
“ผมไม่เคยโกหกเรื่องอะไรเลยในชีวิต แล้วคุณจะให้ผมเตี๊ยมกับแม่ผมโกหกเพื่อคุณหรือ เพื่อคนที่โกหกเพื่อตัวเอง โดยไม่สนใจผู้หญิงซื่อๆที่กำลังท้องน่ะหรือครับ..”
คนตรงหน้าไม่ได้ตวาด
ไม่ได้หยาบคาย
แต่มันทำให้ระมิงค์ก้าวถอยหลังอย่างพ่ายแพ้
“ฉันทำไม่ได้..” สีหน้าที่พยายามแข็งกร้าวนั้นหวั่นไหว
“ถ้าเธออยากจะไปหาคุณพจน์ก็ไป ..ไปบอกเขาด้วยตัวเธอเองเถอะ”
“คุณระมิงค์” พชรกลืนน้ำลาย “เป็นคนบอกเองจะดีกับคุณมากกว่า ช่วยบอก..”
เสียงแข็งอ่อนลงอย่างไม่น่าเชื่อ ใจประหวัดถึงคนที่แน่ใจว่าจะได้เจอแน่นอนเมื่อกลับไปถึงหอพัก
“ช่วยบอกความจริงกับลูกชายคุณ บอกเขาก่อน เขาจะได้มีเวลาทำใจ”
ดวงหน้าขาวงดงามมีน้ำตาเอ่อ
นั่นแหละที่ทำไม่ได้.. บ้านแตก ครอบครัวพัง แล้วลูกชาย..
จะให้บอกม่อนแจ่มว่าอย่างไร ..บอกว่าคุณพ่อไม่ใช่พ่อหรือ ..ให้บอกว่าพ่ออยู่ที่ไหนล่ะ“เธอรู้จักแสงร-”
“ผมไม่ต้องการพูดเรื่องนั้น” พชรขัด
“แต่ฉันคงต้องพูด ถ้าจะบอกลูก” ระมิงค์หวาดหวั่น
“ฉันจะเลี่ยงได้ยังไง เธอก็บอกมาสิว่า ..ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เพราะลูกต้องถามฉัน”
พชรยืนนิ่ง..
ใช่ ใช่ มันก็คงต้องเป็นแบบนั้น คงต้องถาม..
“ก็บอกว่าคุณไม่รู้..” พชรลำคอตีบตันไปหมด
ไม่ได้ให้โกหก ..ระมิงค์ไม่รู้จริงๆ เพราะเขาจะไม่บอก
“เธอยังไม่รู้ความสามารถในการถามคำถามของลูกชายฉัน..”
ปากหนาเม้มแน่น
ทำไม.. จะ.. ไม่.. รู้..“เธอก็มาแล้ว อยากทำอะไร พูดอะไร เธอก็จัดการเองเถอะ” ระมิงค์กัดฟัน ยืนยันเสียงหนัก “ฉันทำไม่ได้”
“หมายความว่ายังไง ทำไม่ได้?” พชรกำหมัดแน่น
“คุณอยากให้ลูกชายคุณรู้จากปากผมหรือ อยากจะให้เขาช็อคตายหรือยังไง!”
“ฉันไม่รู้จะพูดยังไง”
“ความจริง” พชรย้ำ
“ความจริงไงครับ สิ่งที่ต้องพูด บอกลูกคุณก่อนที่เขาจะรู้จากคนอื่น แล้วค่อยไปสารภาพกับคุณพจน์”
ยังไงก็ต้องให้พูดให้ได้ นายพจน์ต้องรับรู้เรื่องเพชรลดา ต้องรู้ว่าเธอมีบุตร เขาลั่นวาจากับมารดาไว้แล้ว..
ระมิงค์พูดเอง จะดีกับเธอและลูกมากกว่า ระมิงค์ต้องพูด.. บอกความจริงโดยไม่ต้องพูดถึงแสงรวี
ใช่..
นั่นแหละ..
ก็แค่ให้แม่บอกลูกว่าพ่อที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่พ่อ และก็ไม่มีคำตอบว่าพ่อที่แท้จริงทำอะไร.. อยู่ที่ไหน..
พชรขบกรามแน่น ความสับสนร้าวราญทรมานเขาจนแทบจะยืนไม่ไหว
“ฉันทำไม่ได้”
“ทำซะ!”
“เธอก็ไปบอกคุณพจน์เองเลยสิ!”
“คุณบอกลูกชายคุณก่อน!”
“แล้วทำไมเธอต้องแคร์ ต้องสนใจว่าลูกชายฉันจะรู้สึกยังไง รู้จักหรือ!”เป็นพชรบ้างที่ก้าวถอยหลัง เป็นขาแข็งแรงที่ไม่อาจก้าวไปข้างหน้า
รู้จักหรือ..?..รอยยิ้มสดใส
..ถ้อยคำบ่นยืดยาว
..กิริยาซุ่มซ่าม ไม่ระมัดระวัง
..ขี้กลัว ขี้โวยวาย
..ดื้อดึงแต่ว่าง่าย
..น้ำเสียงที่เรียก ‘พชร’
..ริมฝีปากนุ่ม หวานละมุน
ทุกอย่างแจ่มชัดในความรู้สึก
ทุกอย่างซึ่งมากมายเกินกว่าคำว่า.. ‘รู้จัก’
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
สวัสดีวันอังคารครับ
มาสายจนได้ ขออภัยที่เกินหนึ่งอาทิตย์ กะว่าจะไม่ให้เกินแล้วเชียว
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกการถามถึง สู้ๆครับ สู้ๆ สู้.. (ฮือ)Edit: ลืมให้เครดิตเพลงครับThanks to.. ดาว - Paradox