CHAPTER 17: Bounded “กูไม่มีอะไรจะพูดหรอก” เสียงที่ข่มให้ราบเรียบพยายามตัดบทง่ายๆ “กลับหอซะเถอะไป”
“ทำไมต้องกลับล่ะ”
“เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่”
ใช่..
นั่นแหละ
“ปรัชญาเชื่อมั่นในเหตุผลเหรอ..”
“แล้ววิศวฯเครื่องกลเชื่อมั่นในอะไร..”
เพราะไม่คาดว่าจะได้รับคำถามแบบนี้ จึงไม่ทันคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างนั้น
พชรนิ่งไป.. ม่อนแจ่มเองก็นิ่งด้วย..
แล้ววิศวฯเครื่องกลเชื่อมั่นในอะไร
เชื่อมั่นในอะไรหรือ?
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้ ‘เชื่อมั่น’ ที่ว่านั้น หน้าตามันเป็นอย่างไร หรือคนเราต้องรู้สึกแบบไหนถึงจะเรียกได้ว่า ‘เชื่อมั่น’
เขาไม่ถนัดคิดอะไรลึกซึ้งนัก ถ้างั้น.. คงต้องคิดแบบง่ายๆ
เชื่อมั่น..
เขาเชื่อในอะไร
หรือใครที่เขาเชื่อ
ใครที่เขาฟัง ใครที่ทำให้เขามั่นใจ..
คิ้วที่ขมวดน้อยๆเพราะใช้ความคิดค่อยๆคลายออกในชั่วอึดใจ ดวงตามองคนตรงหน้าแน่วแน่
“กูเชื่อ-”
“ไม่ต้องตอบ” เสียงเข้มขัดขึ้นก่อน ดีดตัวลุกยืนรวดเร็วกว่ากิริยาปกติ
ให้ตายเถอะ
เขาปล่อยให้การสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น.. เขาปล่อยให้เกิดการสนทนาขึ้นตั้งแต่แรกทำบ้าอะไร
“พชร!” ร่างเล็กลุกขึ้นตามงงๆ เดินเข้าไปใกล้มากขึ้น “ถามแล้วไม่ให้ตอบ มึงบ้าเปล่าเนี่ย?”
พชรถอยหลัง..
“พชร ทำไมถึงไม่ให้ตอบ”
พชรถอยหลัง..
“พชร..”
“เครื่องกล หยุด!”หยุด
อย่า.. เข้ามาใกล้กว่านี้
อย่า.. ผูกพันมากกว่านี้
อย่า.. ทำให้หวั่นไหวมากไปกว่านี้
ม่อนแจ่มชะงักเท้า กลืนน้ำลายอย่างไม่เข้าใจ เสียงสั่งเฉียบขาดนั้นบาดหัวใจได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเดินเข้าไปใกล้ ..พอๆกับที่พชรถอยห่าง
สองก้าวที่ม่อนแจ่มก้าวไปข้างหน้า ..ก็คือสองก้าวที่พชรถอยหลัง
และนั่นคือเหตุผล.. ที่เขาไปไม่ถึงเสียที
ม่อนแจ่มมองใบหน้าคมสันและดวงตาสีดำสนิทนั้น
มองอย่างอยากจะเห็น มองอย่างพยายามเข้าใจ แม้ว่า..จะไม่เคยเข้าใจ
“อย่าถอยหลังอีกนะพชร” ร่างเล็กกลืนบางอย่างขมๆลงคอ เอ่ยค่อยๆ “เดี๋ยวตกน้ำ..”
ขาเรียวถอยหลังหนึ่งก้าว หวังให้พชรก้าวมาข้างหน้า
มาเถอะ.. ไม่เป็นไรหรอก.. เพราะระยะห่างก็เท่าเดิมนั่นแหละ
“มึงกำลังนั่งอยู่ดีๆ กู.. กูขอโทษทีที่เข้ามากวน”
ม่อนแจ่มยิ้มฝืนๆนิดหนึ่ง ข่มความรู้สึกดิ่งวูบที่เกิดขึ้นอีกแล้วเอาไว้ หันหลังเดินไปตามทางที่เดินมา ..การมาที่ไร้ประโยชน์ซ้ำยังก่อให้เกิดความขัดเคืองใจต่อคนที่อยากให้สบายใจเสียอีก
“กูไม่ได้หมายความว่า..” ร่างกำยำขยับเดินตามโดยอัตโนมัติ ไม่อาจปล่อยให้เดินหนีไปทั้งน้อยใจแบบนี้ได้
“หมายความว่า..” ม่อนแจ่มหันหน้ากลับมารอฟัง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความยินดีที่อีกฝ่ายรั้งไว้
ให้ตายเถอะวะ!
ทำไมขยันทำจริงๆไอ้หน้าตาท่าทางแบบนั้น..
“กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้..” เสียงเข้มหยุดนิดหนึ่ง สรรหาคำพูดที่เหมาะสม “..ให้มึงรู้สึกแย่”
ให้ตายเถอะ.. ม่อนแจ่มยิ้มกว้าง
คนตรงหน้าช่างมีอิทธิพลเสียจริง ..ผลักใจให้ดิ่งวูบได้รวดเร็ว ซ้ำดึงกลับขึ้นมาใหม่ได้รวดเร็วยิ่งกว่า..
ยิ้ม.. ยิ้ม.. ม่อนแจ่มยืนยิ้มอยู่นั่นแหละ
“ยิ้มอะไร?” คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
“ยิ้มพชรไง” ม่อนแจ่มตอบง่ายๆ
“คนอะไรดูเหมือนดุ แต่ที่จริงแล้วใจดีมาก แบบว่า
มากกกกก กอไก่ล้านตัวยังไม่พอเลย!”
เสียงใสลากคำว่า ‘มาก’ เสียยาวเฟื้อย พร้อมอธิบายเสริม
พชรได้แต่พ่นลมหายใจ จะหงุดหงิดก็ไม่ได้ จะดีใจก็ไม่เชิง รู้เพียง น้ำหนักที่ถ่วงอยู่ในใจมันเบาลงได้บ้างอย่างน่าประหลาด
“ทำเป็นรู้ดีนัก..”
“ก็แล้วที่กูรู้มันถูกหรือผิดล่ะ..”
“ถูกหรือผิด บางครั้งเส้นแบ่งมันก็บางเกินไป ..จนตัดสินไม่ได้หรอก”
สมที่เรียนปรัชญา.. ม่อนแจ่มคิด
ไม่เคยหรอกที่จะตอบอะไรตรงไปตรงมาให้มันเข้าใจได้ง่ายๆ
“ก็แล้ว.. ไม่ว่าจะถูกหรือผิดที่ตัดสินไม่ได้นั่น ..กูพอช่วยอะไรได้บ้างไหม”
อยากรู้ว่าพชรเป็นอะไร.. เครียดด้วยสาเหตุอะไร.. แล้วเขาจะช่วยได้ไหม..
“กูไม่บ้าๆบอๆอย่างเทอมก่อนแล้วนะ จะบอกให้.. ไม่รู้มึงสังเกตหรือเปล่า กูพูดน้อยลง แถมไม่บ่นมากด้วยล่ะ มึงจะได้ไม่รำคาญไง”
พชรมองดวงหน้าขาวเนียนอย่างเอ็นดู
เขาไม่ได้รำคาญ แม้จะเคยพูดว่ารำคาญ แต่ก็ไม่เคยรำคาญจริงๆเลยสักที
ม่อนแจ่มเป็นคนที่บ่นได้ตลกและน่าฟังที่สุดแล้วเท่าที่เคยได้ยินมา
คนอะไร.. น่ารัก.. น่าใคร่.. น่าเห็นใจเหลือเกิน..
ร่างสูงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ใกล้.. จนหยุดยืนตรงหน้า
แขนแข็งแรงข้างหนึ่งโอบไหล่เล็กเข้าหาลำตัว อีกข้างทาบเรือนผม กดเบาๆแนบอก
ดวงตาหลับลง.. ไม่หยุดคิดอะไร.. แค่ปล่อยให้ร่างกายทำในสิ่งที่อยากทำ
คนในอ้อมแขนเพียงยืนนิ่ง ทั้งที่ใจเต้นระทึกจนแทบจะปริหลุดออกมา
พชร
กอด เขา
ก็ใช่.. ที่พชรเคยอุ้ม เคยจับมือ เคยแม้แต่..
ทว่า นี่มันไม่เหมือนกันเลยในความรู้สึกของม่อนแจ่ม
ท่ามกลางความสว่างไสวภายนอกนี้ ท่ามกลางสรรพชีวิตและสรรพเสียงอื่นๆที่อยู่รายรอบ
ไม่ใช่ในความมืดที่คล้ายจะเป็นความฝัน นี่มันชัดเจน นี่คือความจริงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
อ้อมแขนที่โอบกระชับครานี้ลึกซึ้งเหลือเกิน ..เหมือนทั้งอยากปลอบประโลม ..ทั้งร้องขอการปลอบโยน ..ทั้งให้ ..ทั้งรับ
ม่อนแจ่มพยายามทำความเข้าใจอีกครั้ง แต่.. ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
ทำไม..
เพราะอะไร..
..ไม่รู้
“พชร เป็นอะไร..”
ไม่ตอบแน่นอนอยู่แล้ว..
ก็..
ได้..
ไม่เป็นไร..
สองมือบางค่อยๆยกขึ้นเกาะเอวหนาไว้ ซบหน้ากับแผ่นอกให้ได้ยินเสียงหัวใจ..
พชรเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ..ไม่พูด
ซึ่งไม่เป็นไร.. ม่อนแจ่มคนพูดมากจะไม่เซ้าซี้ก็ได้ ม่อนแจ่มแค่จะรอฟัง เมื่อไรก็ตามที่พชรต้องการจะพูด
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“แหมๆ.. ยิ้มค้างข้ามวันเลยนะครับม่อน..”เสียงกระแนะกระแหนกวนตีนแบบนี้จะมาจากใครไปไม่ได้ นอกจาก ไอดิล รูมเมทสุดเกรียนของเขาและพชรนั่นเอง
“ปล่อยๆ กูบ้างก็ได้ครับไอ้ดิ้ล ไม่ต้องสังเกตสังกากูอย่างห่วงใยขนาดนั้น” ม่อนแจ่มประชดประชัน ทำเอาไอดิลหัวเราะร่า
“ยิ้มออกแล้วสิมึง” มือบางตบบ่าเล็กเบาๆ ม่อนแจ่มยิ้มตอบ พยักหน้าหงึกหงัก
“อิจฉาจริงเว้ย!” ไอดิลบ่น พ่นลมหายใจนิดๆ
“มึงจะมาอิจฉาอะไรกู หมอกของมึงอะ ไปอ้อนมันไป”
“อ้อนอะไรล่ะ มันโบกเกรียนกูอยู่ทุกวันเนี่ย ข้อหายั่วมากเกิน เฮ่อ กูเศร้า!”
ม่อนแจ่มเสมองไปทางอื่น พยายามหุบยิ้มอย่างยากเย็น
ไม่ได้นานมากที่โอบกอดไว้
แต่ก็นานพอให้รับรู้ว่าอ้อมแขนแข็งแรงนั้นอบอุ่นแค่ไหน ก่อนพชรจะค่อยๆปล่อยและเอ่ยคำนั้นออกมา
“ขอโทษ”ขอโทษอะไร?
ขอโทษที่กอดเนี่ยเหรอ..
ก็..“ไม่เป็นไร”
ม่อนแจ่มตอบรับเบาๆ ใบหน้าขึ้นสีจัด ห้ามตัวเองทันก่อนที่จะเสริมว่า ‘เต็มใจ’ “พูดถึงก็แป๊ปเดียวเอง น่าจะมี Sweet Moment @Ang Kaew ให้นานกว่านี้”
ไอดิลวิเคราะห์สถานการณ์ตามประสาคนฉลาด
“เป็นที่น่าเสียดายนะเพื่อนม่อน เพื่อนดิ้ลว่า.. เพื่อนม่อนน่าจะเกาะเอวไว้แน่นๆ อย่าให้พชรปล่อยได้”
“มึงนี่” ม่อนแจ่มถลึงตาใส่ไม่จริงจังนัก “กูก็เขินเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
“โอ๊ย นี่มึงเขินเป็นแล้วเหรอ ความรู้ใหม่”
“ไอ้ดิ้ล!”
“ฮ่ะๆ” หนุ่มสิ่งแวดล้อมหัวเราะร่วน “ว่าแต่.. วันนี้กูยังไม่เห็นพชรเลยตั้งแต่เช้า”
“อือ” ม่อนแจ่มครางรับ มองไปทางประตู แสงแดดสดใสของยามสายวันอาทิตย์ส่องสว่างทั่วทั้งห้อง
“กูกับมึงตื่นสายกว่า พชรออกไปแต่เช้าแล้วมั้ง”
“ไม่ค่อยอยู่หอเล้ย..” ไอดิลบ่นพึมพำถึงรูมเมทปรัชญา
ม่อนแจ่มยักไหล่ “ก็พชรยุ่งตลอดนี่นา”
“หรือเขินมึง?”
“ไม่เห็นเหมือนเขินเลย” ม่อนแจ่มส่ายหน้า ใจประหวัดถึงสีหน้าเคร่งเมื่อวาน
“ตอนแรกก็ทำหน้าเครียดอยู่แล้ว พอปล่อยกอดกู ดูเครียดหนักกว่าเดิมอีกว่ะ” เคี้ยวเรียวตกลงเศร้าๆ “อย่างกับเพิ่งทำผิดมหันต์ไป อะไรอย่างนั้นน่ะ”
“อ่าม.. เอาน่าๆ” ไอดิลปลอบใจ “อาจเป็นวิธีเขินแบบเกรียนๆของคนเรียนปรัชญาก็ได้”
“เรอะ?” ม่อนแจ่มฉงน แต่ไอดิลพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “พวกนี้ไม่เหมือนชาวบ้านหรอก”
“รู้จักปรัชญาคนอื่นหรือไง?”
ไอดิลกัดปากกลั้นยิ้ม “ก็.. พอรู้”
,,Use me as you will,
Pull my strings just for a thrillเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดจังหวะการสนทนา
And I know I’ll be okay,
Though my skies are turning grey..,, หืม? ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว เมื่อเห็นสายเข้า ‘คุณพ่อ’
ปกติบิดาไม่ค่อยจะโทรหาเขานัก ยกเว้นมีธุระสำคัญบางประการ เช่น นัดให้เข้าบริษัท มีงานเลี้ยง หรือต้องสัมภาษณ์อะไรสักอย่างเป็นครอบครัว แต่ถึงแม้เป็นเรื่องอะไรทำนองนั้น มารดาก็มักจะเป็นคนบอกเขาอยู่ดี
“สวัสดีครับ คุณพ่อ”
เสียงเล็กกรอกลงไป รับฟังถ้อยคำที่ส่งผ่านมาตามสาย
ดวงตาค่อยๆเป็นประกายขึ้น ก่อนจะรับคำยกใหญ่
“อยู่ครับ ครับ ขอบคุณครับ”
..
“หอสามชายครับ ใกล้ๆวงเวียนหอนาฬิกานะครับคุณพ่อ!”
..
“มีอะไร ไอ้ม่อน?” ไอดิลเลิกคิ้วเมื่อเพื่อนรักทำสีหน้ามีเลศนัย
“พรุ่งนี้..” ม่อนแจ่มยิ้มกว้าง “คุณพ่อกูจะเข้ามาเยี่ยมแหละ!”
“เฮ้ย จริง!” ไอดิลยินดี “ไหนว่าไม่สนิทกับพ่อไง แล้วนี่พ่อมึงจะมา โอ๊ย พ่อมึงจะมา!”
“พ่อกูไปมอบทุนที่คณะอุตสาหกรรมเกษตร ก็เลยบอกว่าเสร็จแล้วจะแวะเข้ามาในมอ มาที่หอ ดูว่ากูโอเคดีไหม”
“โหย ย ย” ไอดิลครางน้อยๆ “อยากให้พ่อกูมาบ้าง”
“ฮ่ะๆ” ม่อนแจ่มหัวเราะใส่รูมเมทเตียงบน “ก็พ่อมึงอยู่ไกลนี่นา แถมพ่อกูยังไม่เคยมาเล้ย”
เออ ก็จริง.. ไอดิลพยักหน้ารับ
ม่อนแจ่มเคยบอกแล้วว่าคนมาส่งเจ้าตัวที่หอคือลุงสม-คนขับรถ แต่พ่อของเขานั้นมาส่งแล้วทั้งคู่ตอนก่อนเปิดเทอม
“ดีใจด้วยว่ะ ว่าแต่.. มึงจะเอารูปให้ดูเลยไหม”
“ยังๆ ยังไม่เสร็จดี” ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก “ไว้เซอร์ไพร้ส์วันเกิดทีเดียว”
“โอ๊ย นี่ถ้ากูวาดรูปเป็นของขวัญให้พ่อได้บ้าง พ่อกูมีหวังปลื้มปริ่มจนน้ำตาไหล”
ม่อนแจ่มหัวเราะอีกครั้ง ดึงฉากตั้ง แผ่นรองและกระดาษที่สอดไว้ระหว่างโต๊ะเขียนหนังสือกับเตียงออกมา
“มึง ไปชมรมกูกัน กูจะไปวาดให้เสร็จที่โน่น ได้บรรยากาศ”
ชมรมไอ้ม่อน..
“อาร์ทติสใช่ไหม?”
“ถูกต้องนะครับ!”
ม่อนแจ่มตอบรับ ขณะไอดิลปีนลงบันไดเตียง มือเอื้อมคว้าถุงผ้าสีเนื้อไม้มาจากฟูกนอน เอาขลุ่ยติดตัวไปอย่างเคย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
โรงอาหารใหญ่ค่อนข้างเงียบและโล่งอย่างไม่ชินตานัก เพราะทุกๆวันทำการจะคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา
สองร่างเล็กชาววิศวกรรมศาสตร์สาวเท้าเข้ามาใต้อาคารกิจกรรมนักศึกษา หนุ่มเครื่องกลเดินนำคู่ซี๊ไปตามทางทอดสู่บันได
คนเดินตามหลังชะงักเท้านิดหนึ่ง ..เขายังไม่เคยขึ้นไปข้างบนมาก่อน
“มาสิ ไอ้ดิ้ล” ม่อนแจ่มหันไปพยักหน้าเรียก เลิกคิ้วน้อยๆ “มีชมรมดนตรีไทยอยู่ไม่ไกลด้วยนะ ถ้ามึงอยากเป่าขลุ่ย”
“อืม..” อีกฝ่ายครางรับ ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสองที่สิงสถิตของชมรมต่างๆ
ไอดิลมองซ้าย.. ขวา.. ซึ่งห้องเล็กๆขนาบอยู่ทั้งสองข้าง
ชมรมอาสาพัฒนาฯ.. ชมรมคริสเตียน.. ชมรมมุสลิม.. ชมรมพุทธศิลป์..
เขามองเข้าไปภายใน ดูต่างอุดมการณ์อย่างไรไม่รู้ ทว่า ประตูทุกห้องเปิดโล่ง และนักศึกษาก็เข้าชมรมโน้นออกชมรมนี้ พูดคุย ยิ้มแย้ม ทักทาย จนไม่รู้ว่าใครอยู่ชมรมไหน..
“ใกล้ถึงละ นั่นไง ชมรมอาร์ทติส อยู่ติดกับอนุรักษ์ฯ”
ม่อนแจ่มส่งเสียงเรียก และขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเพื่อนรักหยุดชะงัก ไม่ยอมเดินตามมา
“ไอ้ดิ้ล ชมรมกูอยู่นี่ นั่นมันวรรณศิลป์” ม่อนแจ่มงุนงง
“เฮ้ย กูบอกว่านั่นวรรณศิลป์ มึงเข้าไปทำไม!?”
ใช่.. ชมรมวรรณศิลป์
ป้ายเก่าๆเหนือบานประตูบ่งไว้ว่าอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ขาเรียวไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้
ไอดิลไม่ได้ยินม่อนแจ่ม เขากลับมองเข้าไปข้างในประตู ..ชั้นหนังสือวางเรียงรายราวกับห้องสมุดขนาดย่อม
รองเท้าถูกถอดออก ไอดิลเผลอย่างเท้าเข้าไปภายใน กวาดตามองไปรอบๆห้องเล็กๆนั้น
บอร์ดแนะนำหนังสือ ตู้เหล็กเก็บอุปกรณ์ หนังสือวางเรียงแยกเป็นหมวดหมู่บนชั้น..
“ไอ้ดิ้ล! มึงเข้ามาทำอะไรของมึง?”
ม่อนแจ่มวิ่งเข้ามากระซิบใส่ เกรงใจเพื่อนนักศึกษาสองสามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่และเงยขึ้นมองผู้มาใหม่อย่างงงๆ
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มใส่แว่นกรอบดำขยับแว่นนิดหนึ่งและเอ่ยถามอย่างเอื้อเฟื้อ
“อะ..เอ่อ..” ม่อนแจ่มไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมคณะเดินเข้ามาทำไม ทว่า ไอดิลเอ่ยค่อยๆ
“ห้องนี้ เอ่อ.. เพิ่งย้ายมาใหม่หรือเปล่า คือเราหมายถึง.. ห้องชมรมนี้อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า”
ห๊ะ?
ม่อนแจ่มขมวดคิ้ว
“ตั้งแต่แรกนี่หมายถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?” เด็กหนุ่มวรรณศิลป์ขมวดคิ้วเช่นกัน
“เราไม่แน่ใจว่าก่อตั้งเมื่อไหร่ แต่ห้องนี้อยู่ตรงนี้มาตลอดนะ ไม่ได้ย้ายที่ เท่าที่รู้”
“เมื่อสัก.. ยี่สิบปีที่แล้ว ห้องชมรมวรรณศิลป์ก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม..”
…
…
“อยู่” แว่นวรรณศิลป์ตอบ
“ในตู้มีรูปถ่ายเก่าๆ เราเห็นยังมีรูปรุ่นพี่รหัสห้าหนึ่งห้าสองอะไรแถวนั้น ถ่ายในห้องนี้ แสดงว่าอยู่นั่นแหละ”
รหัส 52 ..ไอดิลก้มลงพื้น มีรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนเงยมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง..
“ไอ้ดิ้ล ทำไมมึง..”
“พ่อกูเคยอยู่ในห้องนี้..”
“ห๊ะ?” ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว “พ่อมึงเรียนที่นี่ด้วยเหรอ..”
“อื้ม..” ไอดิลพยักหน้า “เรียนที่นี่ทั้งสองคน คนนึงวิศวฯคอมฯ เป็นรุ่นพี่เรา ส่วนอีกคน คนที่เคยอยู่ชมรมนี้..”
..
“เป็นรุ่นพี่พชร”
ห๊ะ?
คราวนี้ม่อนแจ่มสนใจมาก
“เป็นรุ่นพี่พชร?”
“อื้ม..” ไอดิลรับคำ “เรียนมนุษยฯ ปรัชญา”
อ่า.. เรื่องของเรื่องเป็นแบบนี้สินะ
พ่อคู่ซี้เป็นศิษย์เก่าและคนหนึ่งเคยอยู่ชมรมวรรณศิลป์ ซ้ำยังเรียนปรัชญาเหมือนพชร
ม่อนแจ่มอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ไอ้ดิ้ลมันรักพ่อมันจริงๆ..
“เมื่อกี๊ นายบอกว่ามีรูปถ่ายเก่าอยู่ในตู้ ถ้าเราขอดูได้ไหม เราขอโทษนะ คือ..”
แว่นอาร์ทติสวางฉากตั้งในมือไว้ก่อน แล้วรีบขอความช่วยเหลือแว่นวรรณศิลป์พลางพยายามอธิบาย
“พ่อเพื่อนเราเคยอยู่ชมรมนี้ ถ้าได้เห็นรูปถ่ายเขาสมัยนั้นก็คง..”
“อ้อ..” แว่นวรรณศิลป์พยักหน้าเข้าใจ พลางปิดหนังสือ
คุกพิศวง-กรงพิสดาร-สะพานมรณะ แล้วลุกขึ้นไปยังตู้เก็บอุปกรณ์
“ไม่ได้มีเยอะมากหรอกนะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีรูปพ่อเพื่อนนายหรือเปล่า แต่ว่า.. เดี๋ยวจะรื้อออกมาให้ดูแล้วกัน”
“โอ้ เยี่ยมเลย! ขอบใจมาก นายชื่ออะไร เราม่อน อยู่อาร์ทติส ส่วนนี่ไอดิล”
“เราเกี้ยว ไม้โท” แว่นวรรณศิลป์แนะนำตัว
“ห๊ะ? เกี้ยวไม้โท..” ม่อนแจ่มหลุดทวน ..เขาว่าชื่อเขาแปลกแล้วนะ
“ชื่อเกี้ยว เขียนด้วยไม้โท ไม่ใช่ไม้ตรี” เกี้ยวไม้โทเสริม “เกี้ยวน่ะ ที่ไม่ใช่เกี๊ยว กินไม่ได้ ท่านเปานั่ง”
จึก!
สองหนุ่มวิศวฯพยักหน้ารับแข็งขันว่าจะไม่ผันวรรณยุกต์ผิด ขณะหนุ่มเกี้ยว (ไม้โท กินไม่ได้ ท่านเปานั่ง) กำลังเปิดตู้เหล็ก และค้นหาภายใน
“แบบว่า.. ตอนนี้มันไม่ค่อยเป็นระเบียบอะไรนัก” เกี้ยวพึมพำ “คือเราหมายถึง.. ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเคยเป็น..”
สองหัวผู้มาใหม่ชะโงกเข้าไปมองบ้างและคิดว่าเห็นด้วยทุกประการ
.
.
“เอ้า!” ในที่สุด หลังจากราวกับไปทำสงครามในตู้เหล็ก หนุ่มเกี้ยวก็วางตะกร้าที่มีอัลบั้มรูปเก่าสีซีดจางลงบนโต๊ะพับเล็ก
“ลองดู ถ้ามีก็อยู่ในนั้นแหละ”
ไอดิลกับม่อนแจ่มจึงสุมหัวทันที
“พ่อมึงลักษณะเป็นยังไงไอ้ดิ้ล กูจะได้ช่วยดู”
เสียงเล็กเอ่ยถามคู่ซี๊เบาๆ ระวังไม่ให้รบกวนคนที่อ่านหนังสืออยู่ แต่ก็ดูท่าจะไม่มีใครในห้องนี้ซีเรียสกับเขาสองคนเลย
“พ่อกู.. อ่าม.. ตัวเตี้ยๆ ขาวๆ หัวยุ่งตลอดเวลาเหมือนเกิดในสมัยที่โลกนี้ยังไม่ผลิตหวี เป็นไปได้มากว่าอาจใส่เสื้อคลุมลายสก็อต หรืออยู่คู่กับกีต้าร์..”
โอเช! ม่อนแจ่มพยักหน้าหงึกหงัก
เตี้ย
ขาว
หัวยุ่ง
เสื้อคลุมลายสก็อต
กีต้าร์!
...
...
รูปถ่ายเก่าๆเหล่านั้นล้ำค่าอย่างเหลือเชื่อ
ไอดิลมองมันด้วยความประทับใจ ..แม้จะยังไม่เจอพ่อเขาในภาพไหนเลยสักภาพ
ไม่ว่าจะภาพที่อยู่ในบรรยากาศค่ายอะไรสักอย่างท่ามกลางขุนเขา หรือภาพกิจกรรมหนังสือทำมือที่ดูเหมือนจัดภายในห้องนี้ ภาพออกบูทที่ไหนสักแห่ง..
ซึ่งก็ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะไม่เจอ ..มันคงสูญหายไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็อาจไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น
ไอดิลรู้ดีเสมอ.. พ่อน่ารักไม่ชอบถ่ายรูป แต่ก็อาจยกเว้นแค่.. ถ้าพ่อหล่อเป็นคนถ่าย
“ไอ้ดิ้ล..”
ม่อนแจ่มกลั้นหายใจ “มึงดูซิ.. คนนี้หรือเปล่า?”
มือเรียววางรูปเก่าเหลืองรูปหนึ่งลงบนโต๊ะหลังมองหาอยู่ค่อนครึ่งชั่วโมง
“ขาว กูไม่แน่ใจ เพราะรูปสีจาง เตี้ย กูก็ไม่ชัวร์ เพราะเขานั่งอยู่ เสื้อคลุมลายอะไร กูก็ไม่รู้ เพราะรูปมันซีดเกินจะมองออก แต่หัวยุ่งน่ะใช่แน่ และ.. เขากำลังเล่นกีต้าร์..”
...
...
Young and Beautifulไอดิลคิดว่ารู้แล้ว ..ว่าสองคำที่มาคู่กันนี้หมายความว่าอย่างไร
นิ้วเรียวค่อยๆสัมผัสลงบนภาพเก่าเก็บนั้นอย่างอ่อนเบา..
ใช่.. ที่ไม่รู้ว่าคนในภาพผิวขาวหรือไม่
ถูกต้อง.. ที่มองไม่ออกว่าส่วนสูงเป็นเท่าไร และยิ่งบอกไม่ได้ว่าเสื้อคลุมลายอะไร
แต่ไอดิลรู้.. ไม่มีทางจะไม่รู้..
“พ่อ..”
เด็กหนุ่มในภาพนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนี้ ท่ามกลางเพื่อนๆของเขา มือซ้ายจับคอร์ดและมือขวาแตะอยู่บนเส้นลวด..
อิริยาบถที่ชินตาไอดิลมานานสิบเก้าปี
“นี่พ่อกู..”
ม่อนแจ่มยิ้มกว้างด้วยคน ไม่รู้เขาเป็นคนบ่อน้ำตาตื้นหรืออย่างไร พ่อก็ไม่ใช่พ่อตัวเอง แต่น้ำตามันพาลจะไหลจนต้องกระพริบไล่มันไป
“กู.. กูดีใจที่มึงได้เห็น”
ไอดิลยิ้มกับรูปถ่ายนั้น..
พ่อน่ารักไม่ชอบให้ถ่ายรูปตัวเอง ทว่า ไอดิลต้องขอบคุณใครก็ตามที่ถ่ายรูปนี้
รูปที่เป็นหลักฐานว่า ‘นายกรกฎ สิริรัตน์’ เคยอยู่ที่นี่จริงๆ..
มันล้ำค่าเหลือเกิน จนไม่อาจขอกลับไปเป็นสมบัติของตัวเอง ได้แต่หยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพถ่ายใบนั้นเก็บเอาไว้อีกที
“กูถ่ายไว้ในเครื่องกูให้ด้วย เผื่อของมึงหาย” ม่อนแจ่มเอื้อเฟื้ออีกครั้ง
ไอดิลลอบยิ้ม ไอ้ม่อนนี่มันน่ารักจริงๆ
สองเพื่อนช่วยกันจัดเรียงรูปถ่ายให้เข้าที่ ซ้ำยังเอาทิชชูช่วยเช็ดฝุ่นออกจากรูปให้อย่างเบามือที่สุดและเก็บไว้ในอัลบั้มอย่างเรียบร้อยตอบแทนความมีน้ำใจของหนุ่มเกี้ยวแห่งวรรณศิลป์..
“วันนี้โชคดีจริงๆ” ไอดิลยิ้มกว้าง ขณะออกจากห้องชมรมพร้อมตอบรับคำชวนของเกี้ยวว่าจะมาอ่านหนังสือที่นี่ในวันต่อๆไป
“ใช่เลย” ม่อนแจ่มลั้ลลา กดโทรศัพท์แอดเฟซบุ๊คเพื่อนใหม่ตามชื่อที่เจ้าตัวบอกมา
(เกี้ยวไม้โท ไม่เกรียน)“ได้เห็นรูปถ่ายพ่อมึงสมัยเรียน แถมได้เพื่อนใหม่ที่ไม่เกรียนด้วย”
“เนอะ!”
ไม่กี่ก้าวต่อมา ทั้งคู่ก็มาหยุดหน้าห้องชมรมอาร์ทติส ที่ซึ่งรกรุงรังตลอดปีตลอดชาติ
คิ้วเรียวของม่อนแจ่มขมวดมุ่น พยายามเก็บอะไรๆให้เข้าที่เป็นครั้งที่ยี่สิบ มีไอดิลช่วยด้วยและพึมพำบอกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะทำ เมื่อเก็บขวดสีน้ำขวดที่สิบแปดและพู่กันอันที่สิบเก้าไว้บนชั้นวาง
“เพราะแบบนี้ไง กูถึงใช้แต่ดินสอ” ม่อนแจ่มยักไหล่ “ไม่ชอบดีลกับอุปกรณ์อะไรมาก ฮ่ะๆ”
สองเสียงหัวเราะกันลั่นห้อง
ม่อนแจ่มกางฉากตั้ง ตั้งใจวาดภาพของขวัญวันเกิดคุณพ่อต่อให้แล้วเสร็จ ส่วนไอดิลก็หยิบขลุ่ยออกมาจากถุงผ้า
“Would you mind..?” ไอดิลถามนิดหนึ่ง ซึ่งม่อนแจ่มก็ยักคิ้วตอบ “Not at all.”
จะเป็นไรไป.. ไอดิลเป่าขลุ่ย เขาชอบฟัง ยิ่งเวลาวาดภาพ มันยิ่งฟังแล้วรื่นรมย์กว่าเดิมเสียอีก..
ช่างเป็นวันอาทิตย์ที่น่าจดจำทีเดียว ม่อนแจ่มคิดเมื่อถึงคราวางดินสอ
วาดภาพของขวัญวันเกิดให้คุณพ่อแล้วเสร็จ ได้พาไอดิลขึ้นมาเยือนห้องชมรมเขา ได้เห็นรูปถ่ายพ่อไอดิล ได้รู้ว่าพ่อไอดิลเป็นรุ่นพี่พชร ได้เพื่อนใหม่เป็นเด็กวรรณศิลป์ และที่สำคัญ.. ได้ไปอ่างแก้ว..
“กลับกันเลยไหม? เผื่อพชรกลับห้องแล้ว” ไอดิลถามยิ้มๆ และม่อนแจ่มก็พยักหน้ารับอย่างยิ้มยิ่งกว่า
“เอ้อ ชมรมดนตรีไทยอยู่ข้างล่างนะไอ้ดิ้ล ถ้ามึงอยากไปส่อง”
ม่อนแจ่มเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ขณะพากันเดินไปตามทางสู่บันได
“วันหลังค่อยลองไปดู วันนี้ขอกลับไปหาหมอกก่อน”
“แหม..” ม่อนแจ่มลากเสียงยาว “ทำเป็นพูดว่าเผื่อพชรกลับห้องแล้ว ที่แท้ก็ยังไม่ได้เจอหมอกสิวันนี้ อ่ะโด่ว”
ไอดิลหัวเราะน้อยๆอย่างไม่เถียง
“เฮ้ นั่นชมรมพุทธศิลป์” ม่อนแจ่มตาโตเมื่อเดินผ่าน “กูจะไปทำบุญวันเกิด กูคอยอยู่เลยว่าเมื่อไหร่-”
เสียงเล็กชะงักคำพูดกะทันหัน ลอบมองไอดิลอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก
“เอ้อ.. แต่เรารีบกลับดีกว่า” ว่าแล้วม่อนแจ่มก็จูงมือเพื่อนรักเดินไป
“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปทำ โน่นไง กูเห็นพระประจำวันหน้าห้อง” ไอดิลเลิกคิ้ว
“อ้อ ไม่เป็นไรๆ” ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก “กูขี้เกียจ มึงก็รีบกลับไปหาหมอกดีกว่า”
“อะไรของมึงไอ้ม่อน?” ไอดิลชักจะงง “ชมรมพุทธศิลป์ก็อยู่ตรงนี้เอง หมอกก็อยู่หอ ไม่ต้องรีบ”
“เอ่อ..” ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ส่ายหน้าอีกครั้ง
“ทำไมไม่ไป เขินเรอะ?”
“เปล่า กู..”
“มาน่า กูไปทำด้วย” ไอดิลคะยั้นคะยอและนั่นทำให้ม่อนแจ่มถามออกไปอย่างลืมตัว
“เอ่อ.. มึง.. แล้วมึงรู้เหรอว่ามึงเกิดวันไหน..”
ก็ถ้าแม่มา ‘วาง’ ไอดิลไว้ เธอจะบอกวันเกิดให้ด้วยหรือ?
หนุ่มสิ่งแวดล้อมถึงกับชะงัก ดวงตาเบิ่งขึ้นเหมือนเพิ่งเข้าใจสิ่งที่คู่ซี๊หมายถึง
“ไอ้ม่อน.. นี่มึงไม่ยอมไป เพราะกลัวกูไม่รู้จะทำบุญวันไหนเหรอวะ”
“เอ่อ.. กู..” ม่อนแจ่มชักจะรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่า “กูแบบ.. กูคิด..”
“ฮ่ะๆ!” ไอดิลถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เขาคว้าข้อมืออีกฝ่าย พาวิ่งไปหน้าห้องชมรมพุทธศิลป์ ที่ซึ่งมีพระประจำวันทั้งเจ็ดวัน รวมแปดองค์ประดิษฐานอยู่ แล้วล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ เทเหรียญทั้งหมดที่มีออกมา.. หยอดลงไปในบาตร
“พ่อหล่อวันอาทิตย์ พ่อน่ารักวันเสาร์”
ไอดิลเอ่ยเสียงดังฟังชัด เสียงโลหะกระทบโลหะดังแก๊ง แก๊ง ทุกครั้งที่เหรียญตกสู่ก้นบาตร
“ตาวันจันทร์ ยายวันเสาร์ ปู่วันพฤหัสดี ย่าวันจันทร์”
..
“ลุงกรีนวันเสาร์ ลุงโกวันอังคาร อากรวันศุกร์ ลุงทิววันจันทร์”
เขาเดินวนอยู่อย่างนั้น ปากพึมพำชื่อบุคคลอันเป็นที่รักและเคารพ
..
“ลุงแอร์วันจันทร์ ลุงนนวันพุธกลางคืน ลุงโจวันพฤหัสบดี ลุงหนุ่มวันพุธกลางวัน”
..
“ไอ้ฝันวันเสาร์ หมอกวันอาทิตย์”
ม่อนแจ่มได้แต่อ้าปากค้างเอาไว้
ไอดิลยิ้มกริ่ม..
“ทีนี้.. มึงยังกลัวกูจะไม่มีวันให้ทำอีกไหม ไอ้ม่อน?”
“อะ.. กู..” ม่อนแจ่มพูดไม่ถูก
“ไอ้ดิ้ล กู.. กูดีใจที่มึงโชคดีมีญาติเยอะ กูดีใจจริงๆนะ ตอนแรกกูกลัวว่า.. แต่ตอนนี้-”
ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเพื่อน.. ไอดิลมองม่อนแจ่ม
นอกจาก ‘ในฝัน’ เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน ไอดิลไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมี..
มือเรียวคว้าไหล่เล็กของเพื่อนร่วมคณะและรูมเมทมาโอบกอดไว้ “ขอบใจมากไอ้ม่อน”
ม่อนแจ่มเองก็กอดตอบหนักๆ
.
.
“เอ่อ.. ว่าแต่.. เรามายืนกอดกันทำบ้าอะไรวะเนี่ย”
งุนงง กระนั้น สองร่างเล็กก็หัวเราะขำกันเองเสียดังลั่น จนปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้วนั่นแหละ ไอดิลจึงปล่อยไหล่ม่อนแจ่ม แล้วพยักพเยิดไปเบื้องหน้า
“เอ้า ไปทำซะไป”
ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ หน้าแดงจากการหัวเราะ ค่อยๆรวบรวมสมาธิ หยอดเหรียญลงในบาตรของวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันเกิดของคุณพ่อ และวันอังคารซึ่งเป็นวันเกิดของคุณแม่กับป้าเพ็ญ จากนั้นก็วันเสาร์ซึ่งเป็นวันเกิดของตัวเอง..
ก่อนค่อยๆ ขยับมายืนหน้าพระพุทธรูปซึ่งอยู่ในอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้งเสมอพระอุระ
มือเรียวหยิบเหรียญหยอดลงในบาตรของวันจันทร์..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ต่อรีฯด้านล่างEdit: แก้คำผิด (Thanks to.. Takarajung_TK อายหนักมากครับ ฮือ ผิดได้ยังไง๊
)