CHAPTER 19: Diamond Cuts Diamond (Part II)
“ช่วงนี้เล่นของหรือไง พชร?”ขาแข็งแรงชะงักเท้าที่แตะสแตนด์มอเตอร์ไซค์นิดหนึ่ง เอี้ยวหน้าหันตามเสียงทักทาย
..
“หน้าตาดูเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน ?”
..
ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ใบหน้าคมจึงเพียงพยักเล็กน้อยให้เพื่อนร่วมสาขาวิชาแทนการทักทายกลับ
..
“อ้าว แล้วนั่นจะไปไหน?”
อีกหนึ่งหนุ่มปรัชญางุนงงเล็กน้อยเมื่อร่างสูงไม่ยักข้ามถนนเดินไปทางเดียวกันซึ่งมุ่งตรงสู่อาคารเรียน แต่กลับหันหลังเข้าสู่ผืนหญ้าแทน
“เดี๋ยวตามไป”
แล้วเสียงเข้มก็ตอบสั้นๆเพียงแค่นั้น
เวิ้งน้ำสีคล้ำเด่นอยู่เบื้องหน้า พชรถอนหายใจน้อยๆ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ขณะเอ่ยถ้อยคำที่หวังให้ไม่ใช่เสียงของตัวเอง..
“ไม่รู้จัก”
..
..ใช้ได้ เสียงไม่สั่นเหมือนเมื่อวาน
จะวันนี้หรือเปล่า..
หรือพรุ่งนี้..
หรือมะรืนนี้..
แต่พชรออกจะแน่ใจ.. เดี๋ยวก็ต้องมา..
มือกร้านปล่อยเป้ลงพื้น แข้งขาคล้ายจะอ่อนแรง ..ขมับปวดตุบๆ ด้วยนอนไม่หลับเลยตลอดสามคืนที่ผ่านมา
‘กูดับอนาถแน่แบบนั้น’ถ้อยคำเดิมย้ำเตือนจิตใจ..
สายสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงพันขมวดอยู่ในหัว..
ม่อนแจ่ม.. แม่เขา.. พ่อเขา.. แม่ม่อนแจ่ม.. พ่อม่อนแจ่ม.. คนคนหนึ่งจะทำใจยังไง..
สูญเสียพ่อที่คิดว่าเป็น.. สูญเสียครอบครัวที่เคยรู้จัก.. สูญเสียความเป็นทายาท.. สูญเสียความตั้งใจที่มาเรียนวิศวฯเครื่องกล
เพื่ออะไร..
ผู้ชายคนเดียว.. ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือนน่ะหรือ?
ไม่คุ้มจะยอมเสียหรอก..
อะไรบางอย่างก็ควรจะปล่อยมากกว่าฝืนดึงดัน ทั้งๆที่รู้ดีว่าจะนำไปสู่สิ่งใด
เข้มแข็งเถอะนะ..
เมื่อผ่านพ้นห้วงเวลานี้ไป เมื่อเติบโตเป็นนักธุรกิจประดิษฐาพงศ์ที่เข้มแข็ง
พชรเองจะเป็นเพียงความทรงจำเล็กๆในชีวิตอันไพศาลของอีกฝ่าย และ.. เขาก็ยินยอมที่จะเป็นเพียงแค่นั้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“I think, therefore I am”อาจารย์มองรอบๆห้อง “จะไม่ถามว่าใครพูด แต่จะถามว่านักศึกษาคิดว่ามันหมายความว่ายังไง”
ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้นมองจอโปรเจ็กเตอร์ ซึ่งภาษาละตินบ่งไว้ว่า
‘Cogito ergo sum’“ฉันคิด.. ฉันจึงมีอยู่”
มีเสียงพึมพำตอบเบาๆรอบๆห้อง แต่แน่นอน มันยังไม่กระจ่าง..
‘ฉันคิด’ กินความหมายแค่ไหน?
แล้วทำไม ‘ฉัน’ จึงมีอยู่เพราะฉัน ‘คิด’? นักศึกษาปรัชญาทุกคนรู้.. ปรัชญามุ่งแสวงหาความจริงสากล
แต่ไม่ว่าความจริงของโลกจะเป็นเช่นไรและเราเข้าถึงมันได้มากน้อยแค่ไหน ความจริงอย่างหนึ่งที่เรารู้ได้แน่ๆก็คือ.. เราดำรงอยู่ และหลักฐานที่ยืนยันการดำรงอยู่ของเรานั้นก็คือ.. ความคิด
..
ทุกคนคงเคยตั้งคำถาม และเมื่อตั้งคำถามก็แปลว่าเราสงสัยอะไรสักอย่าง และการสงสัยนั้นเองที่ยืนยันว่าเรากำลังคิด
..
เราไม่อาจมีอยู่โดยไม่คิด และเพราะเราคิด เราจึงมีอยู่..
..
‘เรา’ ที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกายนี้ แต่คือ ‘จิตวิญญาณ’ นี้ ความมีตัวมีตนนี้
พชรถอยหายใจน้อยๆ ขณะอาจารย์บรรยายเรื่อง Rene Descartes
“เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดได้ และต่อยอดการ ‘คิดได้’ นั้น ด้วยการรู้จักใช้ตรรกะ”
อาจารย์สรุปเมื่อใกล้จบคาบ “ฉะนั้น มันมีเหตุผลที่จะภูมิใจที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ภูมิใจที่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะ.. มันพ่วงมาด้วยความสามารถในการใช้เหตุผล” อาจารย์ยิ้มให้นักศึกษา
“แต่.. อย่าลืมว่า.. ความภูมิใจกับความหยิ่งผยองไม่ได้เหมือนกันนะ
โอเค เท่านี้ล่ะ”
จอโปรเจ็กเตอร์ดับลง ตามมาด้วยเสียงพับโต๊ะและเก็บสมุดหนังสืออุปกรณ์ต่างๆ
ร่างกำยำนั่งนิ่งอยู่เพียงชั่วอึดใจ..
ตรรกะมากับวัย วัยมาพร้อมเวลาและเวลานำพาประสบการณ์
อาจารย์อาจจะถูกก็ได้..
ความสามารถในการใช้เหตุผลของมนุษย์เป็นดั่งพรสวรรค์
แต่ในบางครั้ง..
พชรคิด มันก็เป็นคำสาปด้วยเช่นเดียวกัน
“พชร!”
เสียงใครสักคนเรียก
คนถูกเรียกสะดุ้งน้อยๆ ..น้อยมากจนแทบจะไม่เปลี่ยนอากัปกิริยาใด
“พชร เพื่อนมาหา!”..
อะไรบางอย่างทำให้รู้ตั้งแต่ก่อนหันมาด้วยซ้ำว่า ‘เพื่อน’ ที่ว่าคือใคร
และแน่นอน.. ไม่ต้องคิดซ้ำเลย..
“ไม่รู้จัก”
ไม่รู้จัก..การโกหกครั้งที่สองในชีวิต
ถามว่า.. ง่ายกว่าครั้งแรกไหม?
ใช่.. เพราะรู้ว่าต้องมา
ใช่.. เพราะเตรียมตัวอยู่แล้ว
ใช่.. เพราะรู้ว่าควรพูดอะไร
แต่เจ็บปวดน้อยลงไหม ..ไม่เลย
พชรไม่มีทางชาชินกับการโกหก ไม่มีวันเลิกละอายใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. โกหกคนที่มีความหมายมากมายเหลือเกินคนนี้
ใบหน้าคมหันกลับมา มือแกร่งยกเป้ขึ้นพาดบ่า ขาก้าวอย่างมั่นคงขึ้นบันไดที่นำไปสู่ทางออก
พชรเตรียมพร้อมอยู่แล้วกับการถูกโกรธ.. ถูกโวยวายใส่.. หรือถูกท้าต่อยเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะนับ..
ได้เลย.. ไม่มีปัญหา.. ถ้าผู้มาเยือนจะทำอะไรทำนองนั้น
อย่างไรก็ตาม.. สิ่งต่างๆที่คาดการณ์ไว้ไม่ได้เกิดขึ้น และหัวใจแกร่งก็ไม่คิดว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งนี้
สิ่งที่เรียกว่า.. ‘น้ำตา’
“นักศึกษา ร้องไห้ทำไมครับ!”..
ร้องไห้..
ร้องไห้หรือ?
ใบหน้าคมหันกลับมา สีหน้าเรียบเฉยที่หวังให้เป็นราวกับถูกตรึงไม่ให้บ่ายหนีไป
ปณิธานเข้มแข็งในใจถูกท้าทายอย่างรุนแรงเมื่อเห็นหยดน้ำตาบนแก้มเนียนของร่างเล็กตรงหน้า
ได้แต่มอง.. ชะงักนิ่ง.. เจ็บปวดใจจนก้าวขาไม่ออก..
ม่อนแจ่มร้องไห้..
ดวงตาใสที่เคยเป็นประกายภายใต้กรอบแว่นสีแดงคู่นั้นเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำ
เหตุผลหนักแน่นอื่นใดดูเลือนรางไปทันทีในความรู้สึก สิ่งเดียวที่มีความหมายก็คือ.. ม่อนแจ่มร้องไห้
และเขา..
พชรเอง เป็นคนทำ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอ้ม่อน เฮ้ย มึงหายไปไหนมา?” ไอดิลถาม เมื่อเห็นคู่ซี๊ผลักประตูเปิด
หลังจากนั่งรอที่หน้าคณะร่วมครึ่งชั่วโมง เพื่อนหนุ่มก็ไม่โผล่มา โทรเข้าก็ไม่รับสาย เขาจึงเดินกลับหอเพียงลำพัง
“เฮ้ย!” หนุ่มสิ่งแวดล้อมอุทานเมื่อพิจารณาชัดๆ “แล้วนั่นร้องไห้ทำไม?”
คนถูกถามไม่ตอบ ได้แต่สะอื้นฮักเมื่อเข้ามาในห้องและปลอดภัยจากสายตาของผู้คนทั้งหลาย
ไอดิลเองก็ไม่ถามซ้ำ ได้แต่เดินเข้าไปตบหลังตบไหล่เพื่อนรักอย่างปลอบโยน แล้วพามาค่อยๆทรุดนั่งลงบนเตียงล่างของเจ้าตัว กระวีกระวาดหาทิชชูมาให้ซับหน้า
“ฮึก..อือ..”
“มึงเป็นอะไร ใครทำอะไรมึงไอ้ม่อน บอกกูมา บอกกู!”
ไอดิลพร่ำถาม แต่ม่อนแจ่มก็เพียงนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมพูดอะไรเลย ร้องไห้อย่างเดียว..
จนกระทั่ง.. ประตูถูกเปิดผางออกอีกครั้งโดยไร้การเคาะ
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มมารยาทดีที่เพิ่งเข้ามาไม่เคาะประตูห้อง..
...
...
“อะ พ..พชร สบายดีเหรอ?”
ไม่รู้จะทักทายอย่างไรเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของรูมเมทปรัชญา ไอดิลจึงถามว่าสบายดีไหม นั่นเป็นอย่างแรกที่คิดออก
อย่างไรก็ตาม พชรไม่มีทีท่าว่าได้ยิน ดวงตาสีเข้มจับจ้องอยู่แต่คนที่กำลังนั่งสะอื้นไห้บนเตียง
ม่อนแจ่มเองก็ประสานสายตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตอบกลับอย่างแค้นๆ
‘ไม่รู้จัก’ร่างเล็กพ่นลมหายใจ ลุกขึ้นยืน ปล่อยกระดาษทิชชูทิ้งลงพื้น ขาก้าวช้าๆ เข้าไปหาร่างตรงหน้าด้วยทีท่าพร้อมรบ
เขาอาจจะเดินหนีตอนที่อยู่คณะมนุษยฯ เพราะนั่นมันถิ่นพชร แต่.. ที่นี่หอสามชาย ห้องสามสามแปด นี่มันถิ่นเขา!
“มึงมันเหี้ยพชร!” ม่อนแจ่มว้าก ถลึงตาบวมๆใส่
“มึงพูดมาได้ยังไงว่าไม่รู้จัก?”
เตี้ยกว่า.. แต่ยืนเงยมองจ้องหน้าอย่างท้าทาย ความน้อยเนื้อต่ำใจประเดประดังเข้าหา
“ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันหน้าห้องนี้ มึงก็มองแบบไม่ชอบขี้หน้ากูมาตลอด กูยังรับได้
มึงไม่เรียกชื่อกู จนกูจะแนะนำตัวว่าชื่อเครื่องกล นามสกุลแว่นแดงและชื่อในวงการคือเตียงล่างอยู่แล้วทุกวันนี้ กูก็รับได้ แต่มึงบอกว่าไม่รู้จักกู
กูรับไม่ได้!”
..
…
ก็อก ก็อก..เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทว่า มีเพียงไอดิลเท่านั้นที่สนใจ สองร่างที่ยืนประสานสายตากันดูท่าจะไม่ได้ยินเลย
สองร่างที่ร่างหนึ่งพูดไม่หยุดและอีกหนึ่งไม่พูดสักคำเดียว
ประตูห้องถูกผลักเปิดออกอีกเป็นครั้งที่สาม ..เป็นไอหมอกนั่นเอง
“เอ่อ.. โทษที พอดีได้ยินเสียงดัง มาดูว่าดิ้ลเป็นอะไรหรือเปล่า”
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยเกี่ยวกับคนรัก ไอหมอกจึงพยักหน้าเรียก “ดิ้ล มานี่..”
ไอดิลได้แต่มองคนทั้งสามสลับไปมา ก่อนเลือกก้าวผ่านประตูออกไปหาไอหมอกอย่างลังเลใจ
“พชร ไอ้พชร! มึงมันใจร้าย ใจร้ายที่สุด..” ม่อนแจ่มด่าไม่หยุด
พชรเพียงยืนนิ่ง ..นิ่งฟังอย่างอดทน ..ฟังจนกว่าม่อนแจ่มหมดคำจะพูด
“มึงเป็นใบ้หรือไงวะ แน่จริงก็พูดสิ พูดให้เสียงดังฟังชัดเหมือนตอนบอกว่าไม่รู้จักกู!”
พชรไม่ตอบ..
แต่ก็ดี เพราะม่อนแจ่มไม่ได้อยากฟัง ม่อนแจ่มอยากจะพูด ม่อนแจ่มอยากจะแนะนำตัว
“กู.. คือคนที่อยู่ห้องเดียวกับมึง คือคนที่นอนจ้องมึงจนหลับไปก่อน แล้วมึงก็ลุกขึ้นมาถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะให้
คนที่มึงอุ้มตอนกลัวแมลงสาป คนที่มึงเดินไปส่งห้องน้ำตอนกลัวผี”
หมดแล้วซึ่งความกลัวชื่อ กลัวนิยาม..
ม่อนแจ่มไม่รู้ตัวเลยว่าได้พูดคำที่ไม่เคยกล้าพูดมาก่อนออกไปแล้ว เขาไม่รู้ตัว ไม่สนใจ กลับเอ่ยต่ออย่างคับแค้น
“แล้วมึงก็หายหัวไปสามวัน สามวัน! สามวันทำให้มึงไม่รู้จักกูแล้วใช่ไหม? กูนอนไม่หลับมาสามคืนแล้วไอ้สัด มึงมันใจร้าย ฮึก..”
ทั้งด่า.. ทั้งร้องไห้..
ความโกรธ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความง่วงนอนและความเหนื่อยล้าของร่างกายกำลังเล่นงานรุนแรงจนไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้
ม่อนแจ่มกลั้นสะอื้น..
อยากจะถามให้ชัดถ้อยชัดคำ อยากให้พชรเลิกทิ้งเขาเอาไว้ในความสงสัย ในความสับสน ที่มีมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนบัดนี้..
“มึงไม่รู้จักกูใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นกูขอถาม.. ว่ามึง
กอดคนที่ไม่รู้จัก
จูบคนที่ไม่รู้จักด้วยหรือไง”
คนถูกถามขบริมฝีปากแน่น และคนถามก็ยังคงมีหยดน้ำตาเปรอะใบหน้า
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว.. จะตัดเพชร ก็คงต้องใช้เพชร อยากให้ตอบความจริง.. ก็มีแต่ต้องถามความจริง
"ปรัชญาจะเชื่อมั่นในเหตุผลหรือไม่ กูไม่สนใจ เพราะกูไม่ได้ถามหาเหตุผล กูถามความรู้สึก"
..
“มึงรู้สึกยังไงกับกู.. พชร”. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
สวัสดีวันอาติ๊ดจ้ะ
