CHAPTER 33: Just the Way You Are “สวัสดีครับ.. ม่อนแจ่ม”..
การอยู่หอใน นอกจากจะทำให้ม่อนแจ่มชอบคำว่า ‘ขอบคุณ’ และ ‘ไม่เป็นไร’ แล้ว
วันนี้ เขาจะได้เก็บ ‘คำโปรด’ ไว้ในลิสต์อีกหนึ่งคำ แน่นอน.. นั่นก็คือคำว่า ‘สวัสดี’
สวัสดีคำแรกที่ออกจากปากพชร ..และไม่ว่าจะเพราะเพิ่งได้ยินหลังผ่านมาแล้วกว่าค่อนภาคการศึกษาที่สอง หรือเพราะความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างคนพูดและคนฟัง มันก็มีความหมายที่อนุมานคุณค่าไม่ได้อยู่ดี
ม่อนแจ่มเผยอยิ้ม ..และแม้คนหน้าประตูจะไม่ได้ยิ้มตอบ แต่เขาก็อ่านแววตาคู่นั้นออก ..พชรยิ่งกว่าดีใจ..
ขาเรียวก้าวไปตามทางเดิน จนถึงประตูห้องสามสามแปด หยุดยืนตรงหน้าคนตัวสูงกว่า ..เงยมอง
พชรก้มลง สบตากัน ก่อนมือแกร่งซึ่งแตะลูกบิดค้างอยู่หลายนาทีจะหมุนเปิดประตูค้างไว้
ม่อนแจ่มก้มหน้ายิ้ม ..พชรก็ยังเป็นพชรเหมือนเดิม..
ร่างเล็กเดินผ่านเข้าไป ก่อนที่ร่างกำยำจะก้าวตามมาและดึงประตูปิดตามหลัง
..
..
เป็นความรู้สึกที่แตกต่างมากกว่าครั้งไหนๆ
ม่อนแจ่มวางกระเป๋าหิ้วลงบนพื้น ปลดเป้จากบ่าไว้บนเก้าอี้ บนโต๊ะมีเอกสารประกอบการเรียนของนักศึกษาภาควิชาปรัชญาและศาสนาอยู่บนนั้น
ม่อนแจ่มขบริมฝีปากไว้ ขณะนึกถึงเหตุผลที่ตำราเหล่านี้วางอยู่บนโต๊ะของเขา มือเรียวเปิดกระเป๋าหยิบเอกสารประกอบการเรียนของนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลออกมาวางเคียง
“เอ้อ..”
พชรดูเหมือนจะรู้ตัว เพราะเสียงเข้มส่งออกมาจากลำคออย่างเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะขยับเข้ามาเก็บเอกสารของตัวเองกลับมาไว้บนโต๊ะติดกับเตียงเดี่ยวดังที่มันควรจะเป็น
“ขอโทษที”
..
“ไม่เป็นไร”
ม่อนแจ่มไม่ถือสา ..ไม่เคยเลย
ริมฝีปากบางยังคงขบไว้ ไม่ใช่ว่าเขินอายอะไรหรอก เพียงแต่กลัวจะหลุดยิ้มจนปากฉีกไปถึงหูดังที่สำนวนโบราณเขาว่ากัน
พชรนั่งลงบนเตียงเดี่ยว ดวงตาสีดำสนิทมองรูมเมทที่เป็นมากกว่ารูมเมทจัดเรียงตำราเรียนของตัวเอง
ก่อนที่ร่างเล็กนั้นจะทรุดนั่งขัดสมาธิบนพื้น เปิดกระเป๋าหิ้วที่มีตราน่ารักดีว่า ‘ควายเงิน’
ร่างกำยำตั้งท่าจะลุกขึ้นจากเตียงไปนั่งข้างๆ ทว่า ยังไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้น ประตูก็เปิดผางออก
..
..
ผู้มาใหม่มองสองคนที่อยู่ภายในห้องสลับกันไป-มา ..ชะงักนิ่งหลายอึดใจ ก่อนจะมองสลับมา-ไปอีกครั้ง สายตาหยุดที่กระเป๋าใบเก่าบนพื้นห้อง จำได้.. รู้ความหมาย.. แล้วจึงแผดเสียงดังลั่น
“ไอ้ม่อน มึง.. ก..กลับมาอยู่หอ..”
..
“ไอ้ม่อนกลับมาแล้ว ไอ้ม่อน ไอ้ม่อน น น !”เวอร์..
โอเวอร์แอคติ้งสุดๆ ม่อนแจ่มบอกได้เลย
ไหนจะเสียงแหกปาก ไหนจะทั้งมือทั้งตัวที่โถมเข้ามาใส่
ช่วยบอกทีเถอะ ว่าม่อนแจ่มไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“ข้างห้องเขาแตกตื่นกันหมดแล้ว ไอ้ดิ้ล!”
ม่อนแจ่มว่าพลางกลั้นหัวเราะ ขณะเพื่อนรักเข้ามากอด รัด ฟัดและเกือบจะเหวี่ยง แต่ไอดิลไม่สนใจ
“ช่างข้างห้องก่อนเหอะ เพราะกูคิดถึงมึงโคตรๆ ม่อนเพื่อนเยิ๊ฟ”
ไม่ไหวแล้ว.. ม่อนแจ่มพ่นหัวเราะออกมา
“ฮ่ะๆ นี่มึงกับกูไม่ได้เจอกันที่คณะอยู่แทบทุกวันหรอกเหรอวะ?”
“มันเหมือนกันเสียที่ไหน!” ไอดิลผละตัวออก ทำหน้าตาจริงจัง
“ที่คณะก็ส่วนคณะสิ นี่มันหอ แล้วไม่มีมึงอยู่นะ กูเหมือนอยู่ร่วมห้องกับ-”
ไอดิลหยุดพูดกะทันหัน เอี้ยวหันหลัง เหลือบมองพชรอย่างเกรงๆ ก่อนหันกลับมาลดเสียงลงกระซิบใส่หูม่อนแจ่ม
“..พชรให้อารมณ์เหมือนเจ้าสำนักฝ่ายหยิน มึงเข้าใจไหม แบบว่า.. นิ่งๆ เงียบๆ ตัวสูงใหญ่ ไม่ค่อยนอน ชอบนั่งอยู่มืดๆ ท่าทางมีวรยุทธ์ด้วย คือกูแบบ.. บางทีกูก็กลัวว่ะ”
“มึงนี่!” ม่อนแจ่มเตรียมขู่ฟ่อ “พชร-”
“กูรู้ มึงจะพูดอะไร” ไอดิลรีบเบรก
“แต่จะบอกให้นะ พชรใจดีก็แต่กับมึงเท่านั้นแหละ ไม่เชื่อไปถามไอ้เมษหนึ่งไอ้เมถสองเลย พวกมันยังหัวโกร๋นอยู่จนวันนี้”
อะ..
ม่อนแจ่มเผยอยิ้มอีก กึ่งพอใจกึ่งขัดเขิน ส่ายหน้านิดๆ ส่วนไอดิลหันไปยิ้มเหยๆใส่พชรทีหนึ่ง กอดม่อนแจ่มซ้ำอีกหลายที
“เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันนะ ทั้งคู่อ่ะ”
ม่อนแจ่มมองพชรเป็นเชิงถาม
พชรมองตอบ ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ม่อนแจ่มจึงแปลได้ว่านั่นคือการตอบรับ
ลักษณะที่รูมเมททั้งสองมองกันและเข้าใจกันอยู่แค่สองคนนั้นทำให้ไอดิลรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง
“เหมือนกูโผล่เข้ามาไม่ถูกจังหวะทุกทีเลยว่ะ” หนุ่มสิ่งแวดล้อมยิ้มมีเลศนัย
“กูออกไปก่อนละ พวกมึงจะได้สวีทกันสองต่อสองตามสบาย”
..
..
“อ้อ!” ไอดิลที่ลุกขึ้นไปแล้วไม่วายหันกลับมาย้ำ
“แต่ว่า.. ถ้าจะทำ
อะไรๆกันต่อจนมืด ช่วยบอกกูก่อนนะ จะได้ซื้อข้าวมาฝากเสียเลย เผื่อพวกมึงหมดแรงพอดี”
“ไอ้ดิ้ล!”ม่อนแจ่มเตรียมว้าก แต่ไม่ทัน เพราะแผ่นหลังปราดเปรียวของเพื่อนซี้หายออกจากห้องไปเสียแล้ว ได้ยินแต่เสียงหัวเราะดังลอดเข้ามาเท่านั้นเอง
ดวงตาในกรอบแว่นแดงย้ายจากประตูไปมองคนที่นั่งตรงข้ามกันอีกครั้ง ..บนเตียงเดี่ยว ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยจากคำว่า ‘อะไรๆ’ ของไอดิล
อะไรๆที่ว่าคืออะไร ม่อนแจ่มเองก็รู้ ..แล้ว Position ที่นั่งกันอยู่นี่ ..พชรอยู่ข้างบน ม่อนแจ่มอยู่ข้างล่าง
โอ๊ย.. นี่ม่อนแจ่มกำลังคิดมากไปใช่ไหมวะ? ..แล้วพชรก็ไม่พูดอะไรเลยไง
คนบนเตียงเดี่ยวลอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อพิศมองใบหน้าขาวซับสีเลือด แต่ดวงตาใสแจ๋วยังคงมองมาแบบไม่เบือนหลบ
ร่างกำยำขยับลุกขึ้น เข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้า ซัดสายตามองกระเป๋า เอ่ยถามอย่างเอื้อเฟื้อ
“มีอะไรให้ช่วยเก็บไหม?”
“หงึ..” ม่อนแจ่มส่ายหน้า “มีแค่เสื้อผ้านิดเดียวเอง”
แขนเรียวรื้อหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา เปิดตู้ตรงกลาง แล้วพับชุดลำลองกับชุดนอนไว้ ส่วนชุดนักศึกษาก็ใส่ไม้แขวน จนเหลือแต่กระเป๋าเปล่า
“ทีนี้ล่ะ ต้องให้มึงช่วยจริงๆ” เสียงเล็กเอ่ย หันมายิ้มให้คนตัวสูงเหยๆ
พชรพยักหน้าเข้าใจ รับกระเป๋ามา แล้วยืดแขน วางไว้ให้บนตู้
“ขอบคุณ” ม่อนแจ่มว่า
“ไม่เป็นไร” พชรตอบรับ
..
สองคำนี้อีกแล้ว ..ดูเหมือนเขาทั้งสองมีเรื่องจะ ‘ขอบคุณ’ และ ‘ไม่เป็นไร’ กันได้ไม่รู้จบจริงๆ
ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ได้ต่างไปจากเดิม..
ห้องเล็ก ..โต๊ะ ..ตู้ ..เตียง ..ผนังสีมอติดภาพวาด ความรู้สึกคนทั้งสองกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ม่อนแจ่มและพชรได้แต่ยืนมองกัน ความทรงจำทุกอย่างตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้กระจ่างชัดอยู่ภายใน ..แล้วก็เป็นคนพูดมากที่เอ่ยเรียกค่อยๆ
“พชร..”
..
“กูมีเรื่องจะขอโทษ”
หืม?
พชรเลิกคิ้ว งุนงง ..มันมีเรื่องต้องขอโทษอีกหรือ
“ขอโทษอะไร”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ก้มหน้าก้มตา ใจหวิวๆขึ้นมาทันที
เขาอยากจะขอโทษเรื่องนี้มานานแล้ว ..ไม่ได้ลืมพูด แต่มันไม่มีโอกาสพูด นอกจากที่เขาและพชรจะไม่ค่อยพูดกันแล้ว บทจะพูด ก็มีเรื่องอื่นเข้ามาให้ต้องพูดแทน
“คือ.. วันแรกที่เราเจอกันน่ะ” ม่อนแจ่มพูดพลางกัดปากไปพลาง
“กู.. กูขอโทษที่เรียกชื่อมึงผิดว่าพะ-ชร”
ดวงตาในกรอบแว่นเงยมอง อธิบายเสริมอย่างจริงจัง
“กูโง่ภาษาไทยมากอะ ชื่อมึงออกจะเท่ ความหมายก็สมตัว พชรแปลว่าเพชร ..กูดันเรียกพะชรซะงั้น”
เรื่องแค่นั้นน่ะหรือ?
พชรแทบหลุดหัวเราะ ..เขาไม่เคยโกรธเรื่องนั้นเลย
ที่จริง.. เขาไม่เคยโกรธคนตรงหน้าด้วยเรื่องอะไรทั้งนั้น
“แล้วก็.. เรื่องนู้นด้วย” ม่อนแจ่มเอ่ยต่อ พยักพเยิดไปทางผนัง
“ที่วาดนู่นวาดนี่อ่ะ”
พชรมองตามสายตาไปยังภาพการ์ตูนที่จำได้หมดทุกรายละเอียดบนฝาผนัง ด้วยมองพิจจนติดตามานานทั้งสัปดาห์
เรื่องนี้.. พชรก็ไม่โกรธ ขำเสียมากกว่า คนอะไร เหลือเกินจริงๆ
“เอ้อ.. แล้วก็” ดูเหมือนม่อนแจ่มยังขอโทษไม่หมด
“ขอโทษที่กูเคยคิดจะปาขวดซันซิลใส่มึงด้วย ..ตอนเดินสวนกัน แล้วกูทักมึง แต่มึงไม่ทักตอบอะ”
ฮ่ะๆ..
พชรหัวเราะในใจ ..แค่ซันซิลขวดเดียว นับว่าม่อนแจ่มยังเป็นคนมีเมตตามากนัก ทีแรก พชรนึกว่าเจ้าตัวอยากจะโยนใส่เขาทั้งตะกร้าสีฟ้าช่องหัวใจนั่นเสียอีก
“มีอีก..” ม่อนแจ่มอ้อมแอ้มบอก “..ขอโทษที่กูชอบไปท้าต่อยมึงน่ะ”
อ่าฮะ..
พชรพยักหน้า ..แอบนึกสงสัยว่าวันนี้ม่อนแจ่มตั้งใจจะขอโทษเขาสักกี่เรื่องกันแน่
ดูเหมือนม่อนแจ่มเองก็พอเข้าใจความเคลือบแคลงนั้นอยู่เช่นกัน..
“กูมีเรื่องอยากพูดเยอะแยะเลย ..ถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา” ม่อนแจ่มออกตัว “แต่กลัวมึงจะเบื่อฟังเสียก่อน”
..
..
“บอกแล้วไง.. กูถนัดฟัง”
พชรย้ำ ขยับเข้าไปใกล้คนตัวเตี้ยให้มากขึ้น “เพราะฉะนั้น.. อยากพูดอะไร ก็พูดมาเถอะ”
ม่อนแจ่มยิ้มกว้างเมื่อได้ฟัง ปากอ้าจะเอ่ยต่อ ทว่า คนพูดชิงบอกด้วยนึกขึ้นได้
“มึงพูดได้ แต่เอ้อ.. อย่าถามอะไรให้กูต้องตอบมากนักนะ”
พชรรีบเสริม เกรงม่อนแจ่มจะรัวชุดใหญ่ใส่มาเหมือนคืนนั้นริมแม่น้ำปิงอีก
“รู้ใช่ไหมว่าทำไม”
ม่อนแจ่มพยักหน้าพลางหัวเราะพลาง
“มึงเขิน”
พชรกดปากกลั้นยิ้ม
ครับ
..ก็ตามนั้นแหละ เสียงหัวเราะชอบใจยังคงดังมา ..มันฟังดูร่าเริง น่ารัก จนพชรต้องขยับเข้าไปใกล้อีก
เสียงนี้.. ท่าทีแบบนี้.. ของคนคนนี้.. ที่ทำให้น้ำหนักของทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยแบกไว้หลุดออกจากบ่า
จากที่พชรเคยคิดว่า.. มีแต่การไม่รู้จักกัน หรือถอยห่างกันไปจนการพบเจอกลายเป็นความทรงจำเล็กๆที่รอวันลางเลือนเท่านั้น จึงจะยุติปมปัญหาที่มีระหว่างกันได้ จากที่เคยคิด..
ว่าเขาสองคนไม่มีวันที่จะ..มือแกร่งค่อยๆยกขึ้นเชยปลายคางมนของคนตรงหน้า ไล้แก้มเนียนเบาๆจนขึ้นไปแตะกรอบแว่น
ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ยังคงเปล่งประกายสดใส แม้ว่าลมหายใจที่รับรู้ได้เหมือนจะสะดุดไปหลายจังหวะจากกิริยาของเขา
ทั้งเนื้อ.. ทั้งตัว.. ทั้งหัวใจของคนคนนี้ สำหรับพชรแล้ว.. มันล้ำค่า น่าหวงแหนเสียจนต้องระมัดระวังทุกรอยสัมผัส
“แว่นแดง..”
เสียงเข้มเรียก ..ไม่ได้อยากจะล้อเลียน หรือกวนประสาท แค่เพียงรู้สึกว่าคำเรียกนี้มันเต็มไปด้วยความทรงจำ ..มันน่ารักและเหมาะสมกับม่อนแจ่มจนอยากจะเรียก
“อือ.. พชร”
ม่อนแจ่มครางรับ ไม่ได้รังเกียจคำนี้ ..ไม่เลย เขาชอบมันแล้วด้วยซ้ำ
พชรเรียกแบบไม่เหมือนใครดี ไม่มีใครเรียกเขาแบบนี้ ..มันจึงเป็นคำเรียกที่มาจาก.. ‘คนพิเศษ’
“ให้แว่นแดงเลือกก่อนแล้วกัน เหลือเตียงไหน กูนอนนั่น”ม่อนแจ่มจำได้ ..นี่เป็นสรรพนามแรกที่พชรใช้เรียกเขา นอกไปเสียจากนั้น มันยังมาพร้อมกับความเอื้อเฟื้อแรกด้วย
ให้แว่นแดงเลือกก่อน..“กูมีเรื่องจะขอโทษเหมือนกัน..”
หืม?
ม่อนแจ่มรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น กึ่งอยู่ในปัจจุบันกึ่งอยู่ในความทรงจำ
ถ้อยคำนั้นเรียกสติเขา รอยยิ้มจางไป คิ้วเรียวขมวดน้อยๆด้วยงุนงง
“ขอโทษอะไร?”
พชรยังคงมองสบตานิ่ง ..สิ่งที่เขาจะขอโทษเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ม่อนแจ่มขอโทษมากนัก
เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำ เป็นสิ่งที่น่าละอาย และเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกผู้ชายรู้สึกผิด
“ตอนที่.. เรายืน คล้ายๆกับจะ.. ทะเลาะกันตรงนี้”
..หน้าประตูนี้..
“ที่มึงบอกว่ากูใจร้าย ..มึงอุตส่าห์ไปหาที่ภาควิชา แต่กูก็จำไม่ได้” พชรเอ่ย
ไม่ถนัดนักกับการเท้าความ ทว่า ไม่รู้ทำไม ครานี้ เขาค่อยๆพูดออกมา ..ราวกับอยากจะให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงมันไปพร้อมๆกัน
“กูบอกให้มึงหยุดพูด..”
จำได้สิ.. ม่อนแจ่มไม่ลืมอะไรเลยสักอย่าง
เขาเอาขนมมาฝาก พชรปฏิเสธ ทำท่าจะเดินหนีออกจากห้องเหมือนเคย ..และม่อนแจ่มไม่ยอม
“หยุดได้แล้ว เครื่องกล”
“ไม่หยุด กูไม่ได้ชื่อเครื่องกล!”
..
“พูดมาเดี๋ยวนี้ มึงมีปัญหาอะไรกับกู มึงจะตัว-ตัวกับกูไหม”
“หยุดพูด รำคาญ”
“ไม่หยุด”
..
“ไม่หยุด จนกว่ามึงจะเรียกกูว่าม่อน!”“แต่มึงไม่หยุด มึงยืนยันให้กูเรียกชื่อ แล้วกูก็..”
พชรไม่พูดต่อ ..และแก้มม่อนแจ่มก็เป็นสีจัดขึ้น ฟันเล็กกัดริมฝีปากตัวเองอย่างเผลอไผล
“อย่าเรียกกูว่าเครื่องกล อย่าเรียกกูว่าเตียงล่าง และอย่าเรียกกูว่าแว่นแดง!”
“หยุดพูด”
“ไม่หยุด เรียกกูว่าม่อนก่อน เพราะกูชื่อม่.. อื้อ..”“กูขอโทษ ..ที่จูบ”
..
หัวใจคนฟังเต้นแรงขึ้น ..ที่จริง พชรไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย แต่ในดวงตาสีเข้มคู่นั้นบ่งบอกว่านี่เป็น.. ‘คำขอโทษที่จริงจัง’
และม่อนแจ่มก็พยายามทำความเข้าใจ
ปกติวิสัย พชรเป็นผู้ชายที่สุภาพ ..แม้ว่าพวกเขาจะจูบกันอีกหลายครั้งหลังจากนั้น แม้ว่าไม่กี่วินาทีให้หลังที่ริมฝีปากหนาประกบแนบลงมา ม่อนแจ่มจะโอนอ่อนผ่อนตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัมผัสแรกนั้นมาจากการรุกรานและม่อนแจ่มก็ไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้น
แน่นอน.. นั่นทำให้พชรรู้สึกผิดและนำมาสู่คำขอโทษในเวลานี้
“แล้วตกลง..” ม่อนแจ่มประสานสายตา ถามคำถามที่เคยถามไปแล้ว ..แม้จะพอรู้คำตอบ แต่เขาก็ยังอยากได้ยินกับหูอยู่ดี
“
ไม่ได้ตั้งใจ กับ
ยั้งตัวเองไม่ทัน นี่มันความหมายเดียวกันไหม พชร..”
“กูรู้มึงไม่ได้ตั้งใจ”
“กูยั้งตัวเองไม่ทัน”พชรกลืนน้ำลายนิดหนึ่ง เอ่ยตอบชัดเจนในที่สุด
“ไม่ใช่..”
มันไม่ใช่ความหมายเดียวกัน ..ไม่ใกล้เคียงเลย
ไม่ได้ตั้งใจ หมายถึงมันเป็นอุบัติเหตุ ..หมายถึงว่าพชรไม่เคยคิดเรื่องจูบม่อนแจ่มมาก่อน ซึ่งนั่น ..ไม่ใช่..
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขายั้งตัวเองไม่ทัน ..เพราะความคิดจะจูบนั้นได้เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว เพียงแค่เขาห้ามตัวเองไว้ได้เท่านั้นแหละ
เรื่องที่จูบม่อนแจ่มครั้งนั้นไป พชรขอโทษ ยอมรับผิดและมันไม่ควรเกิดขึ้นจากการรุกรานเอาแต่ใจของเขาแบบนั้น
แต่เรื่องความคิดอยากจะจูบที่เกิดขึ้นก่อนการกระทำ เขาขอเถอะ มันไม่ใช่ความผิดเขาเลยสักนิด เขาโทษม่อนแจ่มคนเดียวเลย
พชรเข้าใจแล้วว่ามันหมายความอย่างไรที่คนเขาพูดกันว่า ‘ก็อยากน่ารักเองทำไม’
หน้าตาแบบนี้ ท่าทีแบบนี้ ตัวเท่านี้ แล้วมาวุ่นวายกับหัวใจเขาแบบนี้ ..จะทนไหวได้ยังไงกัน
“กูไม่เคยโกรธเลย” ม่อนแจ่มค่อยๆตอบกลับ
“กูบอกตัวเองว่า.. มันเกิดขึ้นเพราะแรงโน้มถ่วงของโลก อธิบายได้ง่ายๆด้วยกฎทางฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเจือปน..’”
“ไม่ใช่..” พชรย้ำอีกครั้ง ร่างกายสองขนาดขยับใกล้กันจนแนบชิด
“มันเกิดขึ้นเพราะกูอยากทำและห้ามตัวเองไม่ได้ต่างหาก”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ดวงหน้าขาวเงยขึ้นแทบจะพร้อมๆกับที่ใบหน้าคมของพชรโน้มลงมา
..
“กำลังจะห้ามไม่ได้อีกแล้วด้วยใช่ไหม..” ม่อนแจ่มถามแผ่วๆ และพชรก็ตอบกลับเสียงหนัก
“ใช่..”
บทสนทนาจบลงตรงนั้น
ริมฝีปากหนาประกบแนบริมฝีปากอิ่มของคนตัวเตี้ยกว่า มือใหญ่ข้างหนึ่งทาบไว้กับแผ่นหลังบาง อีกข้างแตะแก้มเนียนก่อนจะไล้ไปโอบหลังคอให้รสสัมผัสของกันและกันสนิทลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“อือ..”
ม่อนแจ่มครางเบาๆ สัมผัสที่หนักแน่นจริงจังนี้ทำให้น้ำหนักตัวเขาเบาโหวงจนเกือบจะยืนไม่อยู่ ได้แต่พิงร่างใหญ่กว่า ทิ้งน้ำหนักตัวให้พชรเป็นคนรับไว้แทบทั้งหมด
“ม่อน..” เสียงเข้มพึมพำเรียกชื่ออีกฝ่าย ขบเม้มริมฝีปากนุ่มเบาๆ ค่อยๆแทรกเรียวลิ้นเข้าหา ก่อนที่จะได้รับการตอบสนองกลับมาพร้อมกับเสียงครางต่ำในลำคอ
มือเล็กสองข้างเกาะเอวเขาไว้แน่น.. เสียงหัวใจเต้นรัวซึ่งพชรได้ยินชัดเจนและมันทำให้ทนไม่ไหว
มือแกร่งละออกมาจากหลังคอ ค้อมตัวลง สอดแขนข้างหนึ่งใต้เข่า ข้างหนึ่งโอบกระชับไหล่ อุ้มร่างเล็กขึ้นแนบอก
“อ๊ะ..” ม่อนแจ่มหลุดครางตกใจเมื่อลำตัวลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาประสานกับของคนตรงหน้า แก้มขาวขึ้นสีจัด
รู้ว่ามันจะหมายความว่าอย่างไรต่อจากนี้..
แผ่นหลังสัมผัสเตียงล่างของตัวเอง ก่อนแผ่นอกจะถูกทาบทับด้วยน้ำหนักของอีกคนที่คุ้นเคย
พชรมองตาลึกซึ้ง.. ไม่ได้ถอดแว่นอีกฝ่ายออก อยากให้ม่อนแจ่มเห็นแววตาของเขาเหมือนกัน
ริมฝีปากสัมผัสกันอีกครั้ง เรียกเสียงหายใจรุนแรงจากทั้งสองคน
มือใหญ่ไล้สัมผัสเข้าไปภายในเสื้อ ..แผ่นหลังที่ก่อนหน้ามีเสื้อผ้ากั้น ตอนนี้เปล่า.. ผิวกายเนียนละเอียดในสัมผัสของเขา
ม่อนแจ่มหลับตาลง ตัวสั่น.. อารมณ์อ่อนไหว.. ปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามที่มันจะเป็น
อะไรๆ..ม่อนแจ่มสะดุ้งขึ้นน้อยๆ ดวงตาที่หลับพริ้มลืมขึ้น ..ก่อนอะไรๆที่ว่าจะไปไกลกว่านี้ เขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง..
“พชร..” ม่อนแจ่มเรียก ผ่ามือสองข้างยกขึ้นทาบแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างยั้งสัมผัส
“หืม..” พชรชะงัก เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ ม่อนแจ่มจึงต้องอธิบายพร้อมขอความเห็น
“ไอ้ดิ้ลรอกินข้าวอยู่อะ ..นี่เราต้องออกไปบอกมันก่อนไหม?”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“หร่อย.. ฮ้า! อร่อย ย แผล๊บๆ” ..
“กินดีๆ เลอะเทอะหมดแล้วน่ะ”
ไอหมอกบ่นไม่จริงจังนัก ส่งทิชชู่ให้ไอดิลที่ตั้งหน้าตั้งตากระซวกสุกี้อย่างเมามัน
“ก็กูชอบ เอ้านี่! ไอ้ม่อน พชร ทำไมแลดูกินน้อย กินเยอะๆ เดี๋ยวกูขอน้ำจิ้มเพิ่มให้ บอกเลย เขาไม่อั้น พวกมึงไม่ต้องกินประหยัดขนาดนั้น”
อืม.. คนถูกชักชวนครางรับพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มองตากันเองนิดหนึ่งแล้วพร้อมใจเสมองทางอื่น ตักสุกี้กินไปตามยถากรรม
ก็คือ.. ม่อนแจ่มกับพชรไม่หิวอาหารไง แต่ก็ต้องมานั่งกินด้วยนี่แหละ ไอดิลเล่นพูดดักไว้เสียขนาดนั้น จะให้ออกมาบอกว่าซื้อข้าวมาเผื่อด้วย แล้วกลับเข้าห้องไปทำอะไรๆกันต่อก็ใช่เรื่อง ..ม่อนแจ่มได้โดนแซวจนไม่มีห้องอยู่กันพอดี
“พวกมึงเป็นอะไร?”
หนุ่มสิ่งแวดล้อมจัดการสุกี้แห้งหมดจาน ซดน้ำอึกๆจนหมดแก้ว แล้วจึงส่งสายตามีเลศนัยใส่เพื่อนร่วมห้องทั้งสอง
สองผู้ถูกถามส่ายหน้าพร้อมกันอีก กิริยานั้นเรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากไอดิลจนโดนไอหมอกโบกเบาๆ
“ล่วงหน้าไปเลย พชร” หนุ่มวิทยาฯเคมีพยักพเยิดไปเบื้องหน้า รั้งคอเสื้อไอดิลให้อยู่กับเขาและทิ้งระยะห่าง
พชรกับม่อนแจ่มมองหน้ากันอีกครั้งๆ ..กึ่งขำ กึ่งปลง
สายลมยามค่ำพัดผ่านมา ..แล้วพวกเขาก็เพียงเดินทอดอารมณ์กลับหอสามชาย
ไม่มีคำพูดมากนัก ..แค่เดินเงียบๆ สลับเอี้ยวมองกันไปมา คิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น คิดถึงความรู้สึกอบอุ่นที่อวลอยู่ในหัวใจ
กระทั่ง เห็นหอสามชายทะมึนในความมืดรายรอบและแสงไฟถนนที่สาดสว่าง พวกเขาจึงขึ้นห้อง ทำกิจวัตรของตัวเอง
อาบน้ำ แต่งตัว เตรียมเสื้อผ้าใส่ไปเรียนพรุ่งนี้
ม่อนแจ่มมองๆเสื้อผ้าของพชรอยู่เหมือนกัน เพราะไอดิลคู่ซี้สร้างมาตรฐานไว้เยอะเหลือเกินในเรื่องการดูแลไอหมอก
แต่ว่าคืออย่างนี้ไง.. เสื้อผ้าตัวเขาเอง ม่อนแจ่มยังรีดไม่ค่อยเรียบเลย ไม่น่าต้องให้ชุดนักศึกษาพชรมาประสบชะตากรรมเดียวกัน
ชะลอไว้ก่อนดีกว่า.. ไว้ม่อนแจ่มจะขอฝึกวิทยายุทธ์กับไอดิลแบบลับๆจนมั่นใจ แล้วค่อยเอาเสื้อผ้าพชรมารีด
ดวงตาในกรอบแว่นย้ายไปมองบนโต๊ะเขียนหนังสือ เอกสารประกอบการเรียก Engineering Mechanics อยู่บนสุด ราวกับจะช่วยตอกย้ำว่าเขายังเขียน Free-body Diagram ไม่แล้วเสร็จ ม่อนแจ่มหันมองพชร ก็พบว่ามือแกร่งกำลังพลิกเอกสารวิชาตรรกศาสตร์ไปมา
“มีงานต้องทำหรือเปล่า พชร?”
“อืม..” คนถูกถามครางรับ พึมพำเบาๆ “..logic”
พชรยังไม่ได้สรุปตรรกศาสตร์ในฐานะศาสตร์พื้นฐานของวิชาอื่นๆให้แล้วเสร็จเลย
หน้าคมละจากเอกสารหันมองม่อนแจ่ม ..ดวงหน้าขาวและแววตาเปล่งประกายนั้นดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด ..น่าคว้าร่างตรงหน้ามากอดรัดไว้แน่นๆแทนที่จะทำอย่างอื่น
อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มสารภาพออกมา
“กูก็ต้องเขียน free-body diagram ของวิชากลศาสตร์เหมือนกัน”
..
แล้วทั้งสองคนก็หลุดหัวเราะ เสมองไปคนละทางอย่างยับยั้งชั่งใจ ต่างนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง ทำสมาธิให้จดจ่ออยู่กับภาระหลักของนักศึกษา
ก็โอเค..
จบ
แยกย้าย
ทำงาน!
ราวสองชั่วโมงให้หลังแล้ว.. กว่าที่ม่อนแจ่มจะลุกขึ้น หลังจากพิจารณาวัตถุ-แรงที่มากระทำและวาดแผนภาพแล้วเสร็จ พชรดูเหมือนยังพลิกตำรา Logic ไปมา สลับกับเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ในหน้าคณิตตรรกศาสตร์
ม่อนแจ่มนั่งเท้าคางมองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมือแกร่งวางปากกาเมื่อราวสิบห้านาทีผ่านไป
ห้าทุ่มแล้ว.. ม่อนแจ่มหาวหวอดๆ พชรหันมามอง เอ่ยบอกเบาๆ
“ไปนอนเถอะ เดี๋ยวกูปิดไฟให้”
หน้าเรียวพยัก หันมองเตียงบนที่ไอดิลนอนหลับ ลมหายใจสม่ำเสมอ จมสู่ภวังค์ไปแล้ว
“ไอ้ดิ้ลเก่งอ่ะ ไฟเปิดไฟปิด มันก็นอนหลับของมันได้”
พชรปิดหนังสือ เก็บงานใส่แฟ้ม เดินมาใกล้ ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองไปทางเดียวกันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“แล้วนี่.. จะไปห้องน้ำอะไรอีกหรือเปล่า?”
ห้องน้ำหรือ.. ไม่ต้องแล้ว ไม่ไปแล้ว ไม่ปวดอะไร ม่อนแจ่มส่ายหน้า พชรจึงพยักหน้าบ้าง ก่อนเดินไปกดสวิชต์ไฟปิด
ห้องสามสามแปดตกอยู่ในความมืด สายตาคนทั้งสองที่ตื่นอยู่ต้องใช้เวลานิดหนึ่งกว่าจะปรับโฟกัสได้
ร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็ก ใบหน้าคมโน้มลง พรมจูบหน้าผากแผ่วเบา
อยากโอบกอดไว้ อยากหลับไปพร้อมกัน อยากให้ม่อนแจ่มอยู่อ้อมแขนเขาตลอดคืน แต่ว่า.. พชรก็ไม่อยากเอาแต่ใจตัวเองเกินไป ถึงจะเคยทำอย่างนั้นแล้ว แต่ว่ากันตามความเป็นจริง หอพักนักศึกษาก็ไม่ใช่สถานที่ที่สมควรเลย
“พชร..”
ม่อนแจ่มพึมพำเรียก ..พอเข้าใจความคิดที่คนตรงหน้าไม่ได้สื่อสารออกมา
ฝ่ามือเล็กสองข้างบีบกระชับฝ่ามือขวาพชรหนักๆสองครั้ง “ฝันดีนะ”
..
“อืม” เสียงเข้มครางรับ อมยิ้มในความสลัว
“..เหมือนกันครับ”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .