CHAPTER 34: Ein Schönes Wochenende (Part IV) “บางคนกิ๋นขนมปัง บางคนยังกิ๋นข้าวสาลี
ข้าวโพด ข้าวโอ๊ตอย่างดี ข้าวเจ้าก็มีมากมาย
เฮานั้นเป๋นคนไทย บ่ใจ๊คนลาวฝ่ายซ้าย
ข้าวนึ่งกิ๋นแล้วสบาย ลูกป้อจายข้าวนึ่ง”*..
เรื่องอู้คำเมือง ม่อนแจ่มอาจไม่สู้ แต่เรื่องร้องเพลงคำเมืองนั้น.. บอกเลยว่าสู้ขาดใจ
ก็ป้าเพ็ญนั่นเองไม่ใช่ใคร เปิดโฟล์คซองคำเมืองลั่นครัวมาตั้งแต่เขาจำความได้ ม่อนแจ่มร้องเป็นหมดทั้งชุดนี่ล่ะ ซึ่งก็นับว่าเป็นคุโณปการ เพราะนั่นทำให้ในค่ำคืนวันนี้ เขาสามารถแหกปากประสานเสียงกับบิดาได้อย่างสบายๆ
“ลูกข้าวนึ่งน่าเจื๊อ คนเหนือผิวขาวๆ
บ่หาเรื่องเป๋าข่าว บ่าวสาวละอ่อนเฒ่าแก่
เกียดก่อู้หนักหนัก ฮักก่ฮักแต๊แต๊
บ่นสุ้น บ่สน บ่แส่ แต่แน่แน่ กิ๋น ข้าว เหนียว นึ่ง!”ฮ่ะๆ..
เสียงหัวเราะน้อยๆคล้อยมาหลังจบเพลง
แสงรวีแทบจะเรียกได้ว่าเอานิ้วฟาดสายกีต้าร์อย่างเมามัน ม่อนแจ่มเองก็ยิ้มแฉ่ง
สองพ่อลูกถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ เงยหน้ามองดาวนับล้านดวงเบื้องบน
หลังจากหลากหลายบทเพลง.. หลังจากน้ำเสียงและท่วงทำนองเหล่านั้น.. ความอึดอัด คับข้องใจดูจะถูกชำระหมดสิ้นไปอย่างน่ามหัศจรรย์
“ตัวเล็ก ใส่แว่น เล่นกีต้าร์เก่ง ร้องเพลงเพราะ”
หืม?
แสงรวีหันหน้ามามองเด็กหนุ่ม
“อะไรน่ะ?”
“ก็นิยามของพ่อไงครับ” ม่อนแจ่มบอกง่ายๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนถูกกล่าวขวัญ
“แล้วนิยามของม่อนล่ะ?”
ม่อนแจ่มหน้ายู่อย่างใช้ความคิด “เตี้ยๆ ขาวๆ มุ้งมิ้ง ขี้ขลาด”
เฮ้ย! อะไร?
แสงรวีออกจะตกใจ “พูดอะไรอย่างนั้นม่อน”
ม่อนแจ่มหัวเราะแหะๆ ยิ้มเจื่อนๆ ให้ผู้เป็นบิดาเข้าใจว่าเขาไม่ได้ซีเรียสแม้จะรู้อยู่ว่าตนเองดูเป็นยังไง
“ก็นั่นล่ะครับม่อน”
แสงรวีส่ายหน้าไม่ยอมรับ “ไม่ใช่แน่นอน โดยเฉพาะคำสุดท้าย”
“ม่อนขี่ขลาดจริงๆนะพ่อ” ม่อนแจ่มออกตัว “ถ้าพ่อรู้ว่าม่อนกลัวอะไรบ้าง พ่อต้องตัดพ่อตัดลูกกับม่อนแน่นอนอ่ะ”
ม่อนแจ่มว่าพลางนึกไปถึงเพื่อนที่ไม่สนิทที่สุดทั้งแบบมีหนวดและไม่มีหนวดของตัวเอง
แสงรวีวางกีต้าร์ไว้ข้างตัว หันมามองบุตรชายอย่างจริงจัง “ถ้าม่อนเป็นคนขี้ขลาด ม่อนจะมาถึงที่นี่ได้หรือลูก”
..
“ถ้าม่อนเป็นคนขี้ขลาด ม่อนจะเข้มแข็งจนผ่านทุกอย่างมานั่งยิ้มอยู่ตรงนี้ได้หรือไง หืม?”
ม่อนแจ่มยิ้มเหยๆ
“พ่อพูดซะม่อนดูดีเลย”
แสงรวีหัวเราะหึหึ “ที่จริง.. พ่อไม่ใช่คนพูดหรอก พ่อไม่ได้รู้จักหรือเห็นม่อนมานานพอที่จะบอกได้”
“อ้าว..” ม่อนแจ่มขมวดคิ้ว “แล้วใครพูดล่ะครับ”
แสงรวียกยิ้ม เอี้ยวศีรษะหันไปทางฝั่งบ้านยกพื้นเบื้องหลัง ซึ่งเห็นบุรุษหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกอยู่ที่นอกชาน
..
ม่อนแจ่มกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม ถ้าเขามีหางก็คงกระดิกดิ๊กๆขึ้นมา “คุณพชรว่างั้นหรือครับพ่อ?”
แสงรวีหัวเราะลั่นอย่างรู้ทัน แต่ก็ยืนยันคำตอบให้ “อืม ..ว่างั้นล่ะ”
ม่อนแจ่มยิ้มกว้างอย่างสุขใจ นอกจากพชรใจดีกับเขา แล้วก็ยังพูดถึงเขาแต่ในทางที่ดีมาตลอด..
อย่างไรก็ตาม ที่พชรพูดว่าเขาเข้มแข็งนั้นมันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวหรอก ..หากไม่ใช่เพราะคนอื่นๆรายรอบตัวที่มีความรัก มีเมตตาและมีน้ำใจ ม่อนแจ่มไม่มีทางมานั่งยิ้มอยู่ตรงนี้ได้ ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำใจจากพชรเองนั่นแหละ
เป็นเพราะ.. ความรู้สึกที่พชรมอบไว้ให้เขา ตลอดเวลาที่ทั้งสองคนมีร่วมกัน
ความรู้สึกนั้น.. ปกป้องม่อนแจ่มเอาไว้จากบาดแผลและความผิดหวังทั้งปวง
ความรู้สึกนั้น.. ทำให้เขายังหยัดยืนอยู่ได้ โดยที่หัวใจไม่ถูกทำลาย “วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน พ่อว่าม่อนต้องไปนอนแล้วล่ะ”
แสงรวีตบหลังตบไหล่ ฉุดม่อนแจ่มจากห้วงความคิด
แว่นเล็กพยักหน้ารับแว่นใหญ่ “ครับพ่อ!”
‘พ่อ’
..
แสงรวีตระหนักว่าคำช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์นัก
เพียงคำแสนสั้น แต่กอปรด้วยความหมายที่ส่งผ่านมา
หมายถึง.. การให้เกียรติ
หมายถึง.. การยอมรับนับถือที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีวันได้รับ
มือกร้านแตะลงบนศีรษะเล็ก ประทับน้ำหนักมือให้เจ้าของคำพูดรู้สึกถึงความปิติในใจเขา
สองแว่นสองวัยเดินมาหยุด ณ ริมบันไดในที่สุด..
แสงรวีโบกมือน้อยๆให้สองคนคุ้นเคย ซึ่งหนึ่งในนั้นเดินลงมารอที่ชานพักแล้ว
“ขอโทษที่เสียงดังหน่อยครับ คุณพชร”
พชรพยักหน้ารับไม่ถือสา สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก ทว่า นัยน์ตาคมเปล่งประกายความยินดีที่สองพ่อลูกอ่านออกเหมือนๆกัน
แสงรวีโบกมือลา ขณะเด็กหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้และมองตามแผ่นหลังเล็กไป รอจนเห็นถึงบ้านและเปิดประตูเข้าไปเรียบร้อยจึงค่อยๆเดินขึ้นบันได
คุณน้าลดายังคงยืนรออยู่ที่นอกชาน และในดวงตากลมโตคู่นั้น ม่อนแจ่มมองเห็นสิ่งเดียวกับที่เห็นจากพชร
ความยินดีในความสุข ความรัก ความเข้าใจของผู้อื่น.. เขารู้สึกตื้นตันในหัวใจมากเหลือเกินและไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร
“ม่อนขอโทษนะครับที่มาช้า แล้วก็ที่เสียงดังด้วย” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ แต่เพชรลดาส่ายหน้า
“น้าก็ชอบฟังเพลงจ้ะ ยิ่งเล่นสดร้องสดยิ่งชอบ ไม่ฟังจากม่อน จากลุงแสง จะให้ฟังจากไหนล่ะ?”
เพชรลดาถามทีเล่นทีจริง ก้มลงกระซิบใส่หูม่อนแจ่ม “จากพชรหรือไง..”
ฮ่ะๆ!
ม่อนแจ่มหลุดหัวเราะ จินตนาการภาพพชรร้องเพลงไม่ออก
เพชรลดาเองก็หัวเราะด้วย ขณะคนถูกกล่าวขวัญถึงเพียงตีหน้าขรึมเดินนำเข้าบ้าน รอท่าปิดประตูให้
“ที่ระเบียงห้องพชรก็มองเห็นดาวนะ ถ้าม่อนอยากดูต่อ ก็เปิดประตูออกไปได้เลยจ้ะ”
เพชรลดาเอ่ยบอก ขณะลูกชายดึงประตูและหน้าต่างปิดล็อค
“ขอบคุณครับ” ม่อนแจ่มยิ้มรับ
“ว่าแต่.. ม่อนอยากนอนคนเดียวหรือเปล่า มีอีกห้องนะ” เพชรลดาถามเพื่อความมั่นใจ
“อย่าลำบากเลยครับ!” ม่อนแจ่มรีบปฏิเสธ “ม่อนนอนกับพชรได้”
..
ก่อนจะรู้สึกว่ามันฟังดูแปลกๆ..
“เอ้อ.. ม่อน ม่อนหมายถึงว่า.. ม่อนนอนห้องเดียวกับพชรได้ครับ แบบ.. คือ.. เป็นรูมเมทกันที่หออยู่แล้วน่ะครับ”
เพชรลดาลอบหัวเราะกับหน้าตาเหรอหราและพวงแก้มที่เป็นสีจัดนั้น ละมองลูกชายตัวเองก็เห็นว่าแม้ทำทีเป็นมองไปทางอื่นแต่ก็แอบยิ้มอยู่เหมือนกัน
“งั้นก็.. ฝันดีกันล่ะ ทั้งคู่”
“ค..ครับ คุณน้าลดาด้วยครับ”
ม่อนแจ่มถอนหายใจโล่งๆ หลังจากหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกเพราะคำพูดที่ฟังดูแหม่งๆของตัวเอง
แล้วคนข้างๆนี่ก็ไม่มีหรอกที่จะช่วยแก้คำให้อะ.. ม่อนแจ่มขมวดคิ้ว มองสีหน้าเรียบเฉยนั้น แต่เขารู้จักพชรดีพอจะรู้ว่า ก่อนสีหน้าเรียบเฉยตามปกตินี้ พชรต้องแอบยิ้มขำเขาแหงๆ มือขาวจึงตีท่อนแขนสีแทนเบาๆอย่างไม่จริงจังนักเป็นการเอาคืน
“เอ้า..” พชรหลุดอุทานกับสัมผัสที่ไม่คาดคิดก่อนจะหัวเราะในลำคอ ยิ้มมองตามหลังคนที่เดินนำไปทางประตูห้องนอน แล้วหันไปสำรวจอีกทีว่าประตูหน้าต่างบ้านปิดล็อคเรียบร้อยทุกบานแล้ว
“ม่อน จะปิดไฟนะ” เสียงเข้มส่งเตือน เป็นผลให้ม่อนแจ่มหยุดกึก พยักหน้าให้สัญญาณว่าพร้อม
..
ไฟดับมืดลงในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา ใจม่อนแจ่มเต้นแรงเล็กน้อย เพราะมันมืดไปหมดเมื่อยังปรับสายตาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่กลัว เสียงฝีเท้าที่ได้ยินด้านหลังเป็นสัญญาณว่าอีกไม่กี่อึดใจ มือของเขาจะถูกกุมไว้และจูงพาเดินไปเอง
ประตูห้องนอนพชรถูกเปิดออกและไฟส่องสว่างก็ตามมาแทบจะในทันที..
ม่อนแจ่มเดินเข้ามาภายในก่อน กวาดสายตามองไปรอบๆ ..ซึ่งแน่นอน ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่เห็นหลังอาบน้ำเมื่อช่วงหัวค่ำ
อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่สะดุดตา ม่อนแจ่มคิดว่าเพิ่งจะเห็นสิ่งที่เขาไม่เห็นในทีแรก
มันคือ.. สมุดบันทึก ทว่า ไม่ใช่สมุดบันทึกหรอกที่เตะตา
กระดาษต่างหาก ..กระดาษที่แล่บออกมาแล้วเห็นลายเส้นดินสอที่ค่อนข้างคุ้นเคย
ร่างเล็กขยับเดินเข้าไปจนหยุดริมโต๊ะไม้สักเล็กที่ตั้งอยู่หัวเตียง
“ขอดูได้ไหม..” ม่อนแจ่มหรี่ตา ออกอาการตื่นเต้นนิดหนึ่ง
เขาคิดว่ามันคือ..พชรอ้าปากค้างนิดๆ
เขาหยิบขึ้นมาดูจริงนั่นแหละ แต่ก็คิดว่าเก็บแล้วนะ
ตาคมมองมือขาวซึ่งแตะสมุดรอสัญญาณการอนุญาต ก่อนตัดสินใจพยักหน้าให้
..ก็ได้แต่หวังว่าม่อนแจ่มจะไม่ล้อเขามากนักนะ เมื่ออีกฝ่ายยินยอม ม่อนแจ่มจึงพลิกสมุดเปิดหน้าที่เห็นขอบกระดาษคั่นอยู่
แล้วก็ใช่จริงๆ.. ภาพการ์ตูนใบเก่าที่เขามอบให้พชรในวันสอบวันสุดท้ายของภาคการศึกษาแรกนั่นเอง
‘ลำพูน 35
Ride Carefully’
“มึงจะได้ไม่ลืมกู..”ม่อนแจ่มยิ้มกว้าง ..เหตุการณ์หลากหลายที่เกิดขึ้นทำให้เกือบจะลืมสิ่งนี้ไปแล้ว
“มึงเก็บไว้อะ! มึง..” ม่อนแจ่มเงยมองพชร
“..ยังเก็บไว้”จะให้ตอบอย่างไรล่ะ..
พชรไม่มีอะไรจะตอบ จะปฏิเสธก็เห็นกันอยู่คาตา แล้วก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไมด้วย
“ก็.. อืม”
เลยต้องยอมรับกันไป..ม่อนแจ่มหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาสำรวจอย่างดีใจ ..และเมื่อหยิบกระดาษแผ่นแรกขึ้นมา ก็เป็นผลให้มีกระดาษแผ่นเล็กกว่าค่อยๆหล่นลงสู่พื้นเบื้องล่างด้วย
ม่อนแจ่มขมวดคิ้วมองตาม ..ซึ่งพอเห็นว่าเป็นอะไรก็แทบจะกระโดดลงไปตะครุบ
“ขโมย!”
“อะไร?” พชรงง
“ก็นี่ไง” ม่อนแจ่มหมดแล้วซึ่งความสนใจภาพที่ตัวเองเคยวาด มือขาวกลับหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่มีตัวเลขขึ้นมาชูหรา
‘011153 011269’
“กูเก็บได้”
ก็มันจริง.. พชรเก็บจากบนพื้น
อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มถลึงตาใส่ดุดุ
“เก็บได้แล้วไม่คืนทั้งที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ไม่เรียกขโมยอีกหรือ?”
“ลายมือกูนะที่อยู่ในนั้น” พชรเตือนความจำ
“แต่มึงให้กูแล้วไง” ม่อนแจ่มเตือนความจำเหมือนกัน “มึงให้กูแล้ว ยื่นให้กับมือ ก็เป็นของกู ไม่ถูกหรือ?”
โอเค..
ตกลง..
ยอมรับ..
“ขอโทษที่ไม่ได้คืนให้” พชรก้มศีรษะน้อยๆโดยดุษฎี
“กูแทบจะพลิกห้องหาเชียวนะ” ม่อนแจ่มสำรวจกระดาษอย่างยินดี มิวายเอานิ้วรีดรอยยับให้เรียบขึ้นทั้งที่มันก็เรียบอยู่แล้วเพราะถูกสอดไว้ในสมุด
กิริยานั้นทำให้พชรอดจะถามไม่ได้.. “มันมีความหมายนักหรือ?”
“อื้อ!” ลำคอเล็กพยักรัวๆ “กูเดินไปคณะมนุษยฯแล้วได้กลับมาเลยนะ”
“เป็นสิ่งแรกที่กูก็ให้?” แบบนั้นหรือไง..
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ ..ก็ไม่ใช่อ่ะ”
หืม ยังไง?
“กูไม่เข้าใจ”
“ก็.. จริงๆมึงเคยให้อย่างอื่นมาก่อนแล้วด้วย”
มีด้วยหรือ?
“ให้อะไร” พชรสงสัย
“น้ำ” ม่อนแจ่มเฉลย
“น้ำ..” พชรทวนคำ
“ใช่ น้ำ” ม่อนแจ่มยืนยัน พลางอธิบายเสริม
“วันแรกๆที่หอเลยอะ ตอนกูอาบน้ำอยู่แล้วน้ำไม่ไหล จำได้ไหม กูไม่มีน้ำล้างหน้าแล้วก็แสบตาจะแย่ มึงให้น้ำมาขวดนึง ..แต่ฝากไอ้ดิ้ลมา”
พชรนิ่งไป..
มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขารู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนขึ้น
“ขอบคุณนะ” ม่อนแจ่มกัดปาก ไม่ใช่ว่าจะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แค่ไม่อยากให้มันกว้างมากนักจนทำพชรเขิน
พชรแสร้งถอนใจน้อยๆ มองไปทางอื่น “ตอนนั้นก็ขอบใจไปแล้วนี่”
..
“สำหรับทุกอย่าง”ถึงกับต้องหันสายตากลับมา..
พชรมองคนพูด จึงรู้ชัดว่าดวงตาภายใต้กรอบแว่นแดงหมายความเช่นนั้นหมดใจจริงๆ
..ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง..“แล้ว.. นี่พชรจะให้คืนหรือเปล่า?” ม่อนแจ่มชูกระดาษใบน้อยเขียนรหัสวิชาปรัชญาขึ้นมา
“ถ้าจะเอา ..ก็ให้” พชรพยายามไม่ยิ้ม ในขณะที่ม่อนแจ่มปล่อยให้ตัวเองยิ้มกว้าง
“แต่อันนี้ให้พชรนะ” มือขาวสอดแผ่นกระดาษรูปเด็กหนุ่มขี่มอเตอร์ไซค์ไว้ที่เดิม “ไม่เอาคืน”
..
“ไม่ให้คืนเหมือนกัน” พชรตอบรับ
ม่อนแจ่มอ้าปากค้างไว้ ความรู้สึกคล้ายๆตอนได้ยินคำ ‘รัก’
เขาขยับจะให้คนพูดน้อยย้ำคำ แต่ไม่ทัน.. เพราะร่างสูงใหญ่นั้นเดินละจากเขาไปหาประตูระเบียงเสียแล้ว
โด่ว..
ม่อนแจ่มยิ้มกับแผ่นหลังกว้าง เขาชอบจะตายให้พชรพูดอะไรแบบนี้
แต่พชรก็พูดเร็วเงียบเร็วเสียจริง เห็นทีเขาต้องเตรียมหูไว้ให้พร้อมทุกเมื่อเพื่อไม่ให้พลาดคำพูดพชรแม้แต่คำเดียว
“จะนอนที่ไหน”
อะ..
ยังไง?
จู่ๆ พชรก็ถามขึ้นมา ไม่งงก็ต้องงง ทั้งที่ม่อนแจ่มก็ว่าตัวเองผึ่งหูไว้อย่างดีแล้วนะ
หรือว่า..“ก..ก็นอนนี่ไง มึงจะให้กูไปนอนไหนอะ” ม่อนแจ่มชักขวัญเสีย กลัวพชรเขินจนไล่เขาไปนอนนอกชาน
“ก็เห็นชอบดูดาว เลยว่าจะกางเต้นท์ให้นอน”
“กางเต้นท์?” ม่อนแจ่มทวนคำ “เราจะไปนอนนอกบ้านกันเหรอ”
“เปล่า” พชรปฏิเสธ “แค่นอกห้อง”
ห๊ะ..
ม่อนแจ่มยังคงไม่ไม่เข้าใจ ทว่า พชรก็เปิดประตู เดินนำออกสู่ระเบียงแทนคำอธิบาย
ร่างเล็กเดินตามหลังมา ..ไม่พักต้องเงยหน้าก็เห็นดวงดาวพราวพราเพราะเวิ้งฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีตึกรามบ้านช่องบดบังทัศนวิสัยโดยรอบเลย
สวย.. งดงามเกินคำบรรยาย..
ม่อนแจ่มมองจ้องราวกับตกอยู่ในภวังค์ ตอนเขาแหวกม่านออกดูคราอาบน้ำเสร็จช่วงหัวค่ำเหมือนยังไม่เห็นดาวมากมายขนาดนี้เลย
พชรเปิดลิ้นชักไม้และหยิบเอาเต้นท์ที่พับอยู่ออกมา ม่อนแจ่มเข้ามายืนใกล้ๆ พิจมองอย่างสนเท่ห์
“นอนเต้นท์ประจำหรือ พชร?”
“ก็.. วันที่อากาศดี”
“อินดี้โคตรๆ!” เสียงเล็กหลุดอุทาน มือสองข้างเข้ามาช่วยคลี่ผ้าเต้นท์อย่างกระตือรือร้น
“โอ่ยย.. นี่มัน.. เต้นท์เขียวของแว่นแดง มาเลยๆ ช่วยกาง!”..ซึ่งก็เป็นการกางเต้นท์ที่ช้าที่สุดในชีวิตพชร
ม่อนแจ่มต่อเสาเต้นท์ไป ก็มิวายจะพึมพำไป “โท่ษๆ กูเคยกางหนเดียว นี่ผิด เอาใหม่ๆ โอย ง่าวว่ะม่อน”
พชรไม่ตำหนิอะไรเลยในความผิดพลาดเหล่านั้น เขาแค่ทำให้ดู แล้วม่อนแจ่มก็ทำตาม
มือสองข้างของคนสองคนช่วยกันดันเสาขึ้นเสียบกับตัวเสียบทีละมุมพร้อมๆกันคนละฝั่ง กระทั่งเต้นท์ขึงขึ้นเป็นโดม
พชรไม่เคยพบความลำบากอะไรในการกางเต้นท์คนเดียว แต่แน่นอน การกางสองคนมันดีกว่า..
ถึงจะช้ากว่า แต่มันก็ดีกว่า แล้วพชรก็เชื่อว่ามันจะเร็วขึ้นกว่านี้ในครั้งถัดๆไป
มือใหญ่จัดการกับตะขอเกี่ยวเพื่อยึดเต้นท์ให้แข็งแรงขึ้น ก่อนนำเสาฟรายชีทคลุมเต้นท์มาต่อและผูกยึดเข้ากับหลังคาเต้นท์ เป็นอันเสร็จพิธี
“โฮ..” ม่อนแจ่มแทบจะร้องไห้
เต้นท์ใหญ่มาก.. น่านอนมาก.. ร่างเล็กเตรียมพร้อมพุ่งตัวเข้าไป
“เอ้าๆ ที่นอนยังไม่มีเลยนะ” พชรพูดกลั้วหัวเราะ
“ที่นอนอยู่ไหน ท่านพชรวานบอก ไอ้ม่อนจะเอามาปูโดยพลัน!”
พชรขำจนต้องเอาหลังมือปิดปากและซัดศีรษะไปทางลิ้นชักใหญ่ที่เก็บเครื่องนอน
ม่อนแจ่มก้าวยาวๆไปดึงเปิดออกและหอบที่นอนปิคนิกออกมาทันที
พชรรูดซิบเปิดเต้นให้และม่อนแจ่มก็ทำหน้าที่ปูที่นอน พร้อมวางหมอนเล็กที่มีอยู่หนึ่งใบ โผล่หน้าออกมาก็เจอหมอนใบใหญ่ไซส์ปกติที่พชรไปเอาจากบนเตียงในห้องยื่นส่งมาให้
“มึงนอนหมอนใหญ่นะ เดี๋ยวกูนอนหมอนเล็กเอง” ม่อนแจ่มยิ้มแฉ่ง
พชรเองก็ยิ้ม.. แม้ไม่ตอบอะไร..
ไฟในห้องนอนดับมืดลงแล้ว
อาณาบริเวณโดยรอบก็มืดสนิท ..มีเพียงไฟกริ่งแสงหรี่ที่เหนือประตูระเบียงและแสงดาวจากบนฟ้าเท่านั้น
“มันโรแมนติกอะพชร ฮืออ.. โรแมนติกมากเบย”
คือ.. มันจะไม่โรแมนติกก็ตอนม่อนแจ่มพูดออกมานี่แหละ
พชรไม่มีอารมณ์ซึ้งอะไรเลย มีแต่อารมณ์ขำล้วนๆ อดไม่ได้ที่จะเอามือไปยีหัวเล็กปรกเรือนผมนุ่มให้หายมันเขี้ยว
“เอ้า ผ้าห่ม..” พชรวางผ้านวมไว้ให้ “ดึกกว่านี้จะหนาวหน่อย”
“ขอบคุณคร้าบ” ม่อนแจ่มฉีกยิ้มในแสงสลัว
“จะนอนฝั่งไหน?” เสียงเข้มเอ่ยถาม แต่แล้วก็นึกได้ “ต้องนอนฝั่งนอกนะถึงจะเห็นดาว ..กลัวหรือเปล่า?”
ม่อนแจ่มส่ายหน้า ..พชรนอนอยู่ข้างๆ จะกลัวอะไร
“แล้วพชรจะดูดาวไหม?”
คนถูกถามส่ายหน้า ถ้าตอบว่าดูจนจะจำได้ทุกดวงอยู่แล้วคงเวอร์ไปและก็ไม่จริงเสียทีเดียวหรอก
พชรชอบนอนเต้นท์ก็จริง แต่ชอบความรู้สึกและบรรยากาศมากกว่าที่จะนอนเพื่อดูดาวจริงๆ
“มาดูด้วยกันสิ” ม่อนแจ่มชี้ชวน นั่งชันเข่าริมประตูเต้นท์ชั้นในที่เป็นผ้าตาข่ายบางโปร่งมองเห็นภายนอกชัดเจน
“โน่น.. กูเห็นดาวลูกไก่ด้วยนะ ..คล้ายๆจะเป็นไก่ซีพี”
พชรตบหน้าผากตัวเองเบาๆ แทบไม่ได้ดูดาวเลย มัวแต่ก้มมองเข่าเพราะกลั้นหัวเราะ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะโรแมนติก แค่อยากให้ม่อนแจ่มได้ดูดาวเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าดีแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่เริ่มกางเต้นท์กระทั่งนั่งดูดาวในเต้นท์ยังไม่ใกล้ความโรแมนติกอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าความขำล่ะใช่แน่
ม่อนแจ่มนั่งเอาสองแขนกอดเข่าไว้ ประสานฝ่ามือที่ข้อเท้า เงยมองดาวสุกใสเบื้องบนสลับกับหันมองพชรอย่างสบายอารมณ์ กระทั่งเสียงเข้มดังมาเบาๆ
“นอนดูไหม ง่วงจะได้หลับไปเลย ..วันนี้น่าจะเหนื่อยมากแล้วนะ”
ม่อนแจ่มไม่คัดค้าน เขาปล่อยให้ร่างเล็กของตัวเองถูกพชรดันนอนลงบนฟูกบาง
ดวงตาสองคู่สบกันเพียงชั่วขณะ แต่ก็นานพอที่จะสื่อความหมาย..
ใบหน้าคมโน้มลง แต่แล้วก็เบือนหลบไป เช่นเดียวกับที่ทำเมื่อตอนเย็นในสวน ..และก็เช่นเดียวกับที่ทำเมื่อวานในห้องสามสามแปดด้วย ..จนม่อนแจ่มต้องรั้งไหล่กว้างไว้ อยากให้พชรได้ทำตามใจตัวเองบ้าง
“พชร..”
ใบหน้าคมหันกลับมา สบกับดวงตาในกรอบแว่นอีกครั้ง
เขารู้ว่าม่อนแจ่มไม่เคยคัดค้าน โอนอ่อนยอมตามเสมอ ..และเขาก็อยากสัมผัสความรู้ลึกซึ้งเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับคนคนนี้อีกครั้งเหลือเกิน
แต่ว่า.. มันไม่ควรจะเป็นเวลานี้ เวลาหลังจากวันอันยาวนานที่ม่อนแจ่มผ่านการเดินทาง ผ่านการทำงาน ผ่านความหลากหลายทางอารมณ์ ..ถ้าเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปอีก พชรเกรงว่ามันจะเกินกำลังร่างเล็กที่เขาหวงแหน
มือแกร่งเกลี่ยไรผมริมหน้าผากออก ก่อนถอดแว่นแดงออกจากดวงตาใสคู่นั้นเสีย พลางย้ำคำ
“นอนเถอะ”
ม่อนแจ่มยอมให้พชรผละไป มองร่างหนาค่อยๆนอนหงาย มือขวาทาบบนหน้าท้อง แขนซ้ายที่อยู่ฝั่งม่อนแจ่มแนบลำตัว
แล้วร่างเล็กจึงขยับนอนตะแคงซ้าย หน้าผากซบลงกับลาดไหล่กว้าง ..ความรู้สึก ‘รัก’ เต็มล้นอยู่ในใจจนไม่อาจอธิบายได้
“นอนแบบนี้จะเห็นดาวหรือ..” พชรพึมพำถาม
“เห็นสิ” ม่อนแจ่มพึมพำตอบ
“จะเห็นได้ยังไง..” พชรฉงน
“เห็น” ม่อนแจ่มยืนยัน “..จริงๆนะ”
ดวงตาหลับลงแล้ว แต่ม่อนแจ่มก็ยังแน่ใจว่าเห็นทุกอย่างที่ใจอยากจะเห็น ปากอิ่มเผยอขับขานเนื้อเพลงท่อนที่เคยถูกร้องมาก่อนอย่างซึ้งในความหมาย
“ไม่มีแสงแห่งใด ..สวยดังใจเธอ”. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
*ลูกข้าวนึ่ง - จรัล มโนเพ็ชร