มันเป็นบรรยากาศของการเตรียมตัวสอบ.. เสาร์อาทิตย์ก่อนวันสอบวันแรกเป็นช่วงเวลาน่าพิศวง อย่างที่ใครๆเขานิยามกันว่า ‘Fantastic Nights and Where to Find Knowledge’ (คืนมหัศจรรย์และความรู้ที่กูกำลังหาอยู่)
ม่อนแจ่มและไอดิลสุมหัว หลังจากที่สุมกับเพื่อนๆคนอื่นมาแล้วหลายรอบหลายวิชาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์
พวกเขาทบทวนวิชาที่เรียนด้วยกันอีกทีอย่างไม่เคร่งเครียดนัก เพราะถึงแม้จะมีอะไรเข้ามามากมาย แต่ตลอดเทอมที่ผ่านมา ม่อนแจ่มจัดการให้แน่ใจว่าตัวเองเรียนรู้เรื่องตั้งแต่คาบแรกยันคาบสุดท้ายและพยายามทบทวนตำรับตำราอยู่เสมอ ด้วยคำสัญญาที่ให้ไว้กับไอดิลตั้งแต่เทอมก่อนที่ว่า.. ถ้าไฟดับช่วงสอบขึ้นมาอีก เราจะไม่ทำให้เดือดร้อนเสาไฟฟ้าหน้าหอเด็ดขาด
แล้วมันก็ดับจริงๆ..
“ไอ้เหี้ย กูยังอ่านไม่จบ!”เสียงโหยหวนจากห้อง 340..
ไอดิลกับม่อนแจ่มหลุดหัวเราะออกมา ไม่ใช่จะสมน้ำหน้าหรือเยาะเย้ยอะไร แต่มันเป็นสถานการณ์ที่เขาสองคนก็เคยเจอ เป็นเหตุการณ์ปกติของชาวหอใน และแน่ใจได้ว่าอีกเดี๋ยวไฟก็มา
ไอดิลควานหาไฟฉายและม่อนแจ่มก็ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตู
“เดี๋ยวกูมานะ ไอ้ดิ้ล”
“เฮ้ย จะไปไหน!” ไอดิลอุทาน “ไฟดับ มึงไม่กลัวหรือ?”
มันก็ไม่ใช่ไม่กลัว แต่ก็ไม่ใช่กลัว..
“พชรยังไม่กลับเลย กูอยากจะออกไปดูหน่อยน่ะ”
“เอาไฟฉายไปด้วยไอ้ม่อน”
“มึงเอาไว้ใช้เหอะ กูไม่เป็นไร”
ไอดิลลุกขึ้นยืนบ้าง “กูอยู่ในห้อง เดี๋ยวเชื่อเถอะว่าหมอกก็ต้องเดินมาเช็คกูแหง มึงน่ะ จะออกไปข้างนอก มึงเอาไว้”
ม่อนแจ่มยิ้ม แม้เพื่อนรักจะมองไม่เห็น เขารับไฟฉายมา เปิดประตูออกสู่ความมืดภายนอก
มีนักศึกษาเดินสวนไปมาประปราย เขาส่องไฟไปตามทางเดิน ..เป็นห่วงพชรที่ยังอยู่ข้างนอก
ขาเรียวเดินมาจนถึงบันได แต่ก่อนจะได้ก้าวลงไปก็มีคนวิ่งสวนขึ้นบันไดมา
“ม่อน!”“พชร” ม่อนแจ่มตอบกลับโดยอัตโนมัติ เสียงที่แม้จะไม่เห็นหน้าก็ไม่มีทางจำผิด
เขาส่องไฟไปทางต้นเสียง ร่างคุ้นเคยเข้ามาประชิดตัวในจังหวะเดียวกัน พร้อมกับหอบน้อยๆ
“นี่จะไปไหน?”
“..ก็กูเห็นมึงยังไม่กลับ”
พชรรับไฟฉายมาส่องทางเสียเอง “กูมาแล้ว กลับห้องเถอะไป กินอะไรหรือยัง”
ม่อนแจ่มยิ้ม
..รู้สึกว่าพชรพูดมากกว่าเดิมติ๊ดนึง “กินแล้ว พชรทำไมกลับมืดนักล่ะ”
“ติวกับเพื่อนอยู่น่ะ แล้วก็.. คุยกับสมศักดิ์ศรีเรื่องหาปรัชญา”
“ท่าทางสมศักดิ์ศรีจะหาเจอไหม”
“น่าจะ..”
ม่อนแจ่มขำนิดหนึ่ง อดนึกถึงการส่งงานไม่ได้ ทั้งขำทั้งเสียวว่าอาจารย์จะให้ F
“เอ้อ ซื้อของกินมาเผื่อด้วยนะ หิวหรือเปล่า”
“ซ่กเลย” พชรตอบรับ
“เสียดาย กะว่าถ้ามึงอิ่มมาแล้วจะชวนไปแจกของสักหน่อย งี้ก็อดสิ”
พชรหลุดหัวเราะ “รู้แล้วหรือคืออะไร”
“รู้แล้ว” ม่อนแจ่มหัวเราะบ้าง “ไอ้เมษหนึ่งเมถสองมันบอก”
แล้วหวนคิดตอนเขาพยายามรวบรวมถุงคุกกี้ ฮ่ะๆ.. พชรคงขำน่าดู
“ม่อน..”
เสียงเรียกฉุดม่อนแจ่มจากความทรงจำเมื่อเทอมก่อน “หืม?”
“ห้ามไปนะ”
ห๊ะ..
ม่อนแจ่มงงอยู่แป๊ปหนึ่ง แต่อึดใจเดียวก็เข้าใจ
เขาเกือบจะอุทานบอกว่าล้อเล่น แต่แล้วก็เผยอยิ้มอย่างยากจะห้าม ร่างเล็กขยับเข้าไปชิดคนเดินเคียง
“หวงหรือไง..”
พชรไม่พูดอะไร ได้แต่ส่องไฟไปตามทางเดิน
“พด ชา ร้า..”
“อืม..”
“ว่าไง?” ม่อนแจ่มรุกเร้า
“ก็ตอบไปแล้วไง”
“ตอบตอนไหน” ม่อนแจ่มพ่นลมหายใจ “ไอ้
อืม น่ะนะ”
“..อืม”
ม่อนแจ่มส่ายหน้าปลงๆในความมืด ..พชรพูดมากขึ้นนิดเดียวจริงๆนั่นแหละ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มือบางวางปากกา ยกมือให้เจ้าหน้าที่มาเก็บกระดาษคำตอบ
ชะตากรรมเขาในห้องสอบไม่เลวร้าย คำอวยพร ‘ขอให้ออกตรงกับที่รู้’ ยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ
ม่อนแจ่มยิ้ม.. นึกสงสัยว่าชะตากรรมพชรจะเป็นอย่างไร แต่ก็ออกจะมั่นใจว่าพชรไม่น่าห่วงยิ่งกว่าเขาอีก เจ้าตัวตื่นเร็วมากถึงมากที่สุด ใช้เวลาเช้าตรู่อ่านหนังสือแทบทุกวัน แถมขยันและมีไหวพริบ ถ้าจะห่วง ..ห่วงสมศักดิ์ศรีดีกว่า ป่านนี้ได้อะไรมาจากความว่างเปล่าหรือยังก็ไม่รู้
เมษาและเมถุน--แฝดนรก ยืนสบถสาบานกับสิ่งที่เจอในห้องสอบ ยืนยันว่าไม่คุ้นตาและไม่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเลย
ม่อนแจ่มหัวเราะ ตบหลังตบไหล่ปลอบใจ บอกให้พวกมันไปสวดมนต์เสีย แล้วจัดการให้ปีหน้า มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตให้เยอะที่สุด โดยเฉพาะอะไรที่จะออกสอบเนี่ย
เดินลงจากบันไดมา ม่อนแจ่มก็เจอพีระศิลป์ เพื่อนร่วมชมรม จึงโบกมือทักทาย เร่เข้าไปถามหาไอดิล
“กูบอกแล้วไง ..มันจะเอาท็อป” เดือนวิศวฯบุ้ยใบ้ไปทางห้องสอบทำนองว่าไอดิลยังทำไม่เสร็จ
“แล้วพชรที่รักสบายดีหรือ?”
ม่อนแจ่มไม่ตอบ เพียงหัวเราะในลำคอ ผละเดินจากมา
หอสามชายตระหง่านอยู่ข้างหอสี่ ม่อนแจ่มกวาดสายตามองรอบตัว หอนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงครึ่ง
แจ็คพ็อตสอบช่วงเวลาบ่ายสามถึงหกโมงเย็นเป็นอะไรที่ไม่ค่อยต้องการนัก เพราะว่ามันเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนล้า แต่ก็ดีแหละหากว่าอ่านไม่ทัน
ม่อนแจ่มสาวเท้ากลับหอ ..เพื่อนร่วมหอที่สอบเสร็จแล้วบ้างครื้นเครงเฮฮา บ้างเริ่มทยอยเก็บข้าวของ
ปีสองต้องหาฐานที่มั่นใหม่ ซึ่งม่อนแจ่มก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหน
ห้องสามสามแปดอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือเปิดเข้ามาแล้วไม่มีใคร
อย่างไรก็ตาม ม่อนแจ่มเห็นกระเป๋าพชร แสดงว่าเจ้าตัวกลับมาแล้ว อาจจะอยู่ห้องน้ำก็เป็นได้
ม่อนแจ่มกระหายมาก บอกแล้วว่าสอบภาคบ่ายติดเย็นแบบนี้มันล้า เขาหยิบขวดน้ำที่อยู่บนโต๊ะพับมากรอกปากดื่ม
พลันสายตามองเห็นกระปุกที่เคยทำหน้าที่ใส่มะเขือเทศเชอร์รี่ที่รับมาจากคุณน้าลดา..
แม้ตอนกลับมาจะได้คุยกับคุณพ่อพจน์แล้ว แต่ม่อนแจ่มก็ยังไม่ได้บอกเลยว่าเขาฝากความระลึกถึงของท่านไปถึงมารดาพชรแล้ว เห็นทีม่อนแจ่มต้องขอเวลากลับบ้าน..
“ป้าเพ็ญครับ ..ม่อนจะกลับบ้านแหละ”
“ดีใจจังเลย สอบเสร็จแล้วหรือคะ!”“ครับ”
ม่อนแจ่มนั่งพิงกรอบประตูระเบียง ชันเข่าสบายๆ เปิดลำโพงคุยโทรศัพท์กับป้าเพ็ญ สอบถามความเป็นไปในบ้านประดิษฐาพงศ์
“บอกล่วงหน้านี่คือหวังว่าจะได้กินบัวลอยใช่ไหมคะ”“ฮ่าๆ” ม่อนแจ่มหัวเราะที่โดนรู้ทัน “คุณพ่อ คุณแม่กลับบ้านหรือยังครับ”
“แล้วค่ะ นี่ป้าเตรียมอาหารเสร็จพอดี ..ดีจัง พรุ่งนี้จะมีคุณม่อนมาร่วมโต๊ะ”ม่อนแจ่มยิ้ม “ม่อนก็ดีใจครับ..”
“แล้วไม่ใช่ต้องรีบเก็บของหรือคะ”“ไม่รีบหรอกครับ ยังอยู่ได้จนเดือนหน้าเลย ก่อนปีหนึ่งรุ่นใหม่จะจองหอน่ะครับ”
“อ๋อ” เพ็ญมาศส่งเสียงเข้าใจ แล้วเอ่ยกึ่งปรารภ
“แป๊ปๆ คุณม่อนก็จบปีหนึ่งแล้วเนอะ”“ครับ” ม่อนแจ่มเห็นด้วย “รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วจัง”
“แล้วผ่านมาจนถึงตอนนี้ กับคนนั้นเป็นยังไงบ้างหรือคะ คุยกันเข้าใจแล้วใช่ไหม”เสียงเคาะเป็นสัญญาณสั้นๆ ม่อนแจ่มจึงเสียสมาธิกับประโยคหลัง หันมองประตู
ร่างสูงที่คุ้นเคยนั่นเอง..
ม่อนแจ่มยิ้มกว้างแทนคำทักทาย พชรพยักหน้าให้ ไม่พูดอะไรเพราะเห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์
“ครับ ป้าเพ็ญ ยังไงนะครับ”
“ป้าถามว่าคุยกันดีแล้วหรือคะ”“กับใครนะครับ”
“ก็คนนั้นไงคะ ..รูมเมทปรัชญาที่ไม่ชอบขี้หน้าคุณม่อน”ร..รูมเมทปรัชญาที่..
อะ เจ้ย!ม่อนแจ่มแทบทำโทรศัพท์ร่วงลงพื้นขณะพยายามกดปิดสัญลักษณ์ลำโพงให้เสียงเงียบลง ซึ่งก็ไม่ทัน..
“เอ้อ.. ป..ป้าเพ็ญครับ ม่อน.. ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ หวัดดีครับ รักป้าเพ็ญฝุดๆครับ!”
ม่อนแจ่มรัวรวดเดียวจบแล้วรีบกดวาง ดวงตาในกรอบแว่นแดงค่อยๆเงยมองคนที่ยืนพิงกรอบประตูห้องอยู่
คิ้วหนาเลิกขึ้น เสียงเข้มทวนคำที่ได้ยิน..
“รูมเมทปรัชญาที่ไม่ชอบขี้หน้าคุณม่อน?”ฮือ.. พชรอย่าใช้น้ำเสียงแบบน้าน..
“คือ.. คือพชรฟังกูก่อน” ม่อนแจ่มแทบจะยกมือไหว้ อธิบายลิ้นพันกัน
“กูไม่ได้ตั้งใจจะเอามึงไปนินทาที่บ้านนะ กูพูดแค่กับป้าเพ็ญคนเดียว กูสาบาน คือตอนแรก ตอนแรกกูไม่เข้าใจ กูเลยเครียด แล้วกู.. กูก็เล่าเรื่องมึงให้ป้าเพ็ญฟังมาตลอดเลยอะ แล้วแบบว่าตอนหลังเรื่องมันก็ดีขึ้น แต่ แต่.. ป้าเพ็ญเรียกแบบนั้นตั้งแต่แรกไง เราเลยไม่ได้เปลี่ยนคำที่ใช้อ่ะ ฮือ..”
เฮ้ย..
พชรออกจะตกใจ รีบเดินเข้าไปหา มือประคองร่างเล็กที่ยันตัวลุกยืน
“ม่อน ใจเย็นๆ กูยังไม่ทันว่าอะไรเลยนะ”
อ้าว.. อ้าวเหรอ ไม่ว่าเหรอ..ม่อนแจ่มเพ่งมองคนพูดให้แน่ใจ
พชรเป็นคนจริงจังกับคำพูด ..ไม่พูดโกหก ไม่พูดอะไรที่ไม่ดี เขาจึงมั่นใจว่าพชรต้องไม่ชอบ ‘การพูดถึงลับหลัง’ แบบนี้แน่นอน
“กูขอโทษนะพชร”
พชรกลืนน้ำลาย.. ไม่รู้ควรจะยิ้มหรือควรจะร้องไห้ดี มือแกร่งยกขึ้นวางบนบ่าเล็ก
“กูไม่ได้โกรธ”
“จริงหรือ”
แว่นแดงเอ๊ย.. “จริง”
ม่อนแจ่มถอนหายใจโล่งอก ค่อยๆคลี่ยิ้ม ..พชรใจดีเหมือนเดิม
“กูขอโทษ”
หือ?
ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว ..คำพูดนั้นออกจากปากพชร
ยังไม่ทันจะถามว่าทำไม แต่ก็แปลกนักที่คนพูดน้อยอธิบายเสริมด้วยตัวเอง
“..ตอนเห็นรายชื่อกูก็ตกใจ” น้ำเสียงเข้มที่แปร่งไปจากเดิมค่อยๆเอ่ย ความทรงจำเมื่อต้นเทอมแรกไม่ได้ลางเลือนไปไหน
“กูไม่รู้ว่าควรทำยังไง ..แค่คิดว่ามันง่ายกว่าถ้าจะไม่ต้องทำความรู้จัก”
ม่อนแจ่มอ้าปากค้างไว้ ..จริงอยู่ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจกันดี แต่ว่าก็ว่าเถอะ เขากับพชรไม่เคยคุยกันไกลไปจนถึงช่วงเวลาแรกสุดที่พบกันนั้นเลย
“กูไม่คิดว่ามึงจะเครียดขนาดนั้น คิดว่ามึงไม่น่าแคร์อะไรมากมาย” พชรมองตาอีกฝ่าย
“กูไม่คิดว่า..”
พชรหยุดไปไม่พูดต่อ ม่อนแจ่มจึงต่อให้เอง
“..ว่ากูจะตื๊อ?”
ใบหน้าคมพยักรับ
และแล้ว.. สิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ..พชรถาม
แม้ช่วงหลังๆ พชรจะพูดมากขึ้นและถามบ่อยๆว่าม่อนแจ่ม
‘เหนื่อยไหม’
‘หิวไหม’
‘ง่วงหรือยัง’
ทว่า นี่เป็นคำถามที่แตกต่างออกไป
“ม่อน.. ถามจริงๆ ตั้งแต่แรกนั่นน่ะ ..ตื๊อทำไม”ตื๊อทำไมหรือม่อนแจ่มอึกอัก ..ไม่ใช่ไม่อยากตอบ แต่เขาตอบไม่ถูก เขาเองก็ไม่เคยถามตัวเองมาก่อนเลยว่าจะ ‘ตื๊อพชรทำไม’
คำแนะนำของไอดิลเมื่อเทอมก่อนกระทบห้วงคำนึงอีกครั้ง
‘ในเมื่อพชรไม่เปิดรับมึงเข้าสู่โลกของมัน ทำไมมึงถึงไม่แค่.. ตัดมันออกไปจากโลกของมึง’“ปกติแล้ว..” พชรไม่ละสายตาจากม่อนแจ่ม อะไรบางอย่างในใจทำให้เอ่ยต่อ
“ใครไม่อยากรู้จักเรา อย่างดี ก็คงพยายามเป็นมิตรแค่ครั้ง สองครั้ง มากสุดไม่เกินสาม แล้วก็จบ แต่นี่ไม่ใช่.. สี่ก็แล้ว ห้าก็แล้ว ดูมึงไม่ยอมแพ้เลยนะ”
“ก็..” ม่อนแจ่มอ้าปากค้างไว้ อาการอึกอักไม่หายเสียที
นี่อะไรของพชร? จู่ๆมาคาดคั้นเขา ปกติมีแต่เขาทำแบบนี้กับอีกฝ่าย ม่อนแจ่มรู้สึกเหมือนกรรมตามสนอง
“คือกู..”
“ว่าไง..” พชรรอฟัง
“คือ.. ตอนแรกมันก็แค่ความสงสัยธรรมดาอะ ว่าทำไมมึงถึงเมินเฉยใส่กู ไม่เรียกชื่อ ไม่ทักทาย ไม่เหมือนรูมเมทปกติเขาทำกัน”
“แล้วตอนหลัง?”
อะ..
อะไรวะ..
ม่อนแจ่มหน้าแดง พยายามสรรคำ
“ใช่ กูพยายามเข้าหาแล้วก็ถูกปฏิเสธ แต่มึงลองคิดดูให้ดีนะ จริงๆก็เป็นเพราะมึงไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้กูไม่หยุด”
“เพราะกูเนี่ยนะ” พชรงง ..มันย้อนกลับมาที่เขาได้ยังไงกันละนี่
“ใช่ เพราะมึง” ม่อนแจ่มย้ำชัดถ้อยชัดคำ “เพราะมึงไม่เคยปฏิเสธกูจริงๆจังๆเลย มึงไม่อยากทำความรู้จักกู แต่ตอนน้ำไม่ไหล มึงฝากไอ้ดิ้ลเอาน้ำมาให้กูล้างหน้า ทำไมมึงถึงไม่แค่ปล่อยกูไว้แบบไม่มีน้ำ กูมาอาบน้ำก็ต้องเอาผ้าเช็ดตัวมาด้วย ยังไงกูก็เอาเช็ดหน้าไปก่อนได้ ไม่ถึงตายแน่นอน มึงก็รู้”
..
“โอเค ใช่ มึงบอกว่าไม่ชอบกู แต่ตอนไฟดับ ที่กูไปท้าต่อยแล้วสะดุด มึงก็เป็นคนคว้าเอวกูไว้ จำได้ไหม ทำไมล่ะ ทำไมมึงถึงไม่แค่ปล่อยให้กูล้ม”
พชรอ้าปากค้างบ้าง ตระหนักว่าเขาไม่ควรประมาทม่อนแจ่มเลยในเรื่องการโต้เถียง
“กูแค่..”
“มึงอาจจะบอกว่ามึงเป็นคนแบบนั้น ซึ่งชาวบ้านเขาเรียกกันว่าเป็นคนมีน้ำใจ ..และก็เพราะว่ามึงเป็นมึงแบบนั้น กูก็เลยเป็นแบบนี้”
..
“กูไม่รู้ว่ามันตอนไหนกันแน่ที่..” เสียงเล็กสั่นรัว พูดไม่เป็นประโยค “คือรู้ตัวอีกที..”
ทว่า ไม่ต้องพูดเป็นประโยค พชรก็เข้าใจ
เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน ..รู้ตัวอีกที หัวใจก็ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
ทำไมพชรถึงต้องรอถอดแว่นให้คนที่นอนมองหน้าเขาจนหลับ
ทำไมพชรถึงไม่แค่ทำเป็นไม่เห็น ตอนม่อนแจ่มโผล่ไปที่สาขาวิชา
ทำไมก็ไม่รู้ ..รู้แค่เพราะม่อนแจ่มเป็นแบบนั้น ..พชรก็เลยเป็นแบบนี้
ที่จริงมันก็กลับไปกลับมา.. ยากจะบอกว่าใครเริ่มก่อน.. ใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผลกลายเป็นอย่างที่มันเป็น..
การโต้เถียงจู่ๆก็หยุดลง เหมือนตอนที่จู่ๆมันก็เริ่มขึ้น
มือแกร่งโอบไหล่บางเข้าหาลำตัว ..ทำให้ใบหน้าขาวซบกับแผ่นอกที่ได้ยินเสียงเต้นเป็นจังหวะอยู่ภายใน
ม่อนแจ่มยกมือขึ้นเกาะเอวอย่างที่ทำทุกครั้งเมื่อพชรกอด
เสียงเข้มย้ำให้ได้ยินริมหู เหมือนกับเสียงเล็กที่ออกจากปากของเขาเอง
ไม่รู้ว่าใครพูดก่อน ..แต่มันก็คงไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก
“รักนะ..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เสียงขลุ่ยที่ระเบียงห้องสามสามแปดคลอล้อสายลมไปกับเสียงกีต้าร์จากระเบียงห้องสามสามหกซึ่งอยู่ติดกัน
สถานการณ์แทบจะเหมือนต้นเทอมแรกเป๊ะๆ ไอดิลกับไอหมอกอยู่ที่นั่น เล่นดนตรีด้วยกัน
ส่วนพชรกับม่อนแจ่มอยู่ในห้อง ..ต่างไปที่ไม่ได้อยู่คนละฝั่งเตียงตัวเอง แต่นั่งพิงตู้เสื้อผ้าอยู่ข้างกัน คุยกัน..
“พชรจะกลับบ้านเลยหรือว่าหาหอก่อนอะ?”
“หาหอก่อน”
“กูอยู่ด้วยนะ” ม่อนแจ่มของ่ายๆ จนคนฟังหลุดอุทาน เผลอตอบสวนออกมาตามความรู้สึก
“แล้วคิดว่าจะปล่อยไปอยู่ที่อื่นหรือไง?”
“แหม.. มันก็ต้องขอไว้ก่อนสิ เกิดมึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ตัดรำคาญ ทิ้งกูไปอยู่คนเดียวขึ้นมา ซวยไปอีก คิดถึงตาย..”
พชรขบริมฝีปากไม่ให้ยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาคมเสมองไปมองประตูห้อง
..ความไม่อาย พูดได้หน้าตาเฉยนี้กลับมาแล้ว ฮ่ะๆ
อย่างไรก็ตาม เขาหันกลับมามองเมื่อม่อนแจ่มเงียบไป ไม่พูดอะไรต่ออีก
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” พชรเลิกคิ้ว
ม่อนแจ่มส่ายหน้า “จะบอกว่า พรุ่งนี้กูกลับบ้านนะ แต่เดี๋ยวก็มา วันสองวัน”
พชรพยักหน้าเข้าใจ แต่สีหน้าม่อนแจ่มก็ยังไม่ค่อยจะปกตินัก
“แล้วทำไมทำหน้ายุ่งอย่างนั้น?”
“กำลังคิดว่าจะบอกคุณแม่ว่าเจอพ่อแสงแล้วดีไหม..”
พชรถอนหายใจเบาๆ
เท่าที่คุยกัน คุณระมิงค์เพียงบอกม่อนแจ่มว่าพ่อแท้ๆของเจ้าตัวเป็นคนรัก แต่ต้องเลิกกันไปเพื่อแต่งงานกับคุณพจน์ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ
แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่เคยพูดถึงรายละเอียดของคนรักที่ว่า
“ถ้ามึงไหว ไม่อึดอัดใจอะไร ..ก็บอกไปเถอะ”
พชรตัดสินใจเอ่ย คงไม่ผิดที่จะแนะนำกันแม้เป็นเรื่องส่วนตัว ในเมื่อเขาสองคนไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นคนรักกัน
“แม่เขาแคร์มึงมากนะ คงไม่มีทางไม่คิดถึงเรื่องนี้หรอก”
ที่คุณระมิงค์ไม่พูดถึงลุงแสง พชรคิดว่าเป็นเพราะเธอไม่รู้จะพูดอย่างไร
ในเมื่อเธอเองก็ไม่รู้เลยว่าปัจจุบันลุงแสงอยู่ที่ไหน หรือเป็นอย่างไร เช่นที่เคยพยายามถามจากพชรคราก่อนนี้ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกไป
“แม่อาจจะเป็นทุกข์เรื่องนี้อยู่ก็ได้ ..ในเมื่อมึงได้พบพ่อและเข้ากันได้ดีแบบนี้แล้ว กูว่าบอกเถอะ มันคงช่วยความรู้สึกท่านได้มากเลย”
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย.. มองเข้าไปในดวงตาที่คุ้นเคย
นัยน์ตาคมกล้าคู่นั้น ..ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเห็นความเห็นแก่ตัว
ใช่.. ที่ม่อนแจ่มเคยเห็นความโกรธ ..แต่เขาไม่เคยเห็นความพยาบาท
แล้วยิ่งในขณะนี้ มันเป็นแววตาอ่อนโยนของคนที่มีจิตใจดี เป็นแววตาของคนที่.. ให้อภัย..
ม่อนแจ่มก้มหน้ายิ้ม ..ใจคำนึงถึงทุกๆอย่างที่ผ่านมา เวลาที่ตัวเขาค่อยๆเรียนรู้และเติบโต จากสิ่งใหม่ จากความเสียใจ จากอะไรที่ไม่คาดคิด
เขาสำนึกว่าตัวเองผ่านมาถึงวันนี้ได้เพราะมีเพื่อนที่ดี มีผู้ใหญ่ที่เมตตาและมีคนรักที่มีน้ำใจ
แม้พชรที่เคยรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว ก็พบว่าสามารถโตขึ้นได้อีก เรียนรู้เพิ่มได้อีก ..และรู้สึกมากขึ้นได้อีก
วันคืนหมุนผ่าน ชีวิตดำเนินไป ตราบที่หน้ากระดาษยังไม่หมด ตัวอักษรก็คงถูกร้อยเรียงเข้าหากัน
ต่อเข้าเป็นเรื่องราว ..และต่อไปเป็นเรื่องราว
ซึ่งม่อนแจ่มและพชรก็หวัง.. ว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่งดงามเสมอ..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ครับ
บทนี้เป็น Chapter สุดท้ายแล้ว รอบหน้า ผมจะเอา Epilogue มาฝากนะ
อีกนิดเดียว ก็จะเขียนจบอีกเรื่องแล้ว ดีใจมาก ตอนแรกคิดว่าแป๊ปๆคงเขียนเสร็จ ว่าก็ว่าเถอะ จำได้ว่าเริ่มเขียนตอนแรกเมื่อกุมภาฯปีที่แล้ว ฮ่ะๆ เล่นเอาเป็นปีเหมือนกันนะเนี่ย 
ขอขอบคุณคนอ่านมากๆเลยครับ