CH.5-2 ประตูไม้บานใหญ่ งานสลักลวดลายเก่าแก่สมกับเป็นที่อยู่ของพวกผู้ดีสมัยก่อน ไอที่ลอดผ่านช่องออกมาเย็นเยียบไม่ต่างกับหัวใจของทิวากาล
ข้างหลังประตูบานนี้จะมีสิ่งที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า...
มือขวาที่จับอยู่ตรงลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้น ความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ข้างในจนเรียบเรียงความสำคัญไม่ถูก รู้ดีว่ามีอะไรอีกมากมายรอให้เขาไปค้นพบ หากป้ายข้อควรระวังก็เตือนผู้เล่นเอาไว้แล้วว่าจงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ถ้ามันไม่ใช่คำตอบสู่ประตูบานต่อไป ก็คงเป็นการจบเรื่องทั้งหมด
สูดหายใจเข้าลึกให้ออกซิเจนได้ช่วยเพิ่มความปลอดโปร่งให้ส่วนความคิด ลองนึกจนครบทุกทางว่านอกจากจะทำอย่างนี้แล้วมันยังมีทางอื่นให้เข้าเลือกหรือไม่ และสุดท้ายมันก็เหลือเพียงเสียงเดียว
ไม่มีทางไหนดีกว่าเปิดมันเข้าไป คราวนี้ไม่มีการทานอาหารในร้านแปลกอย่างที่ทิวากาลมักเจอหากอยู่กับพิชชา หลังได้ของตามต้องการจากร้านสุดท้ายแล้วเขาก็บอกแค่เพียงว่าช่วยไปส่งตรงป้ายรถเมล์หน่อยก็เท่านั้นเอง
เขาก็เสียเวลานึกตั้งนานว่าในห้างนี้จะมีร้านลับแลอยู่ตรงไหนได้บ้าง
"ให้ไปส่งหอเลยไหมล่ะ หรือว่าอยู่บ้าน"
พอออกจากอาคารจอดรถแล้วถึงเห็นว่าพื้นที่ด้านนอกปกคลุมไปด้วยม่านฝนชั้นหนาทึบ ลมแรงพัดต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ลู่ไปตามทิศที่ต้องการ เด็กกว่าครึ่งเช่าห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว เรื่องปกติของสถานศึกษาที่ตั้งอยู่นอกตัวเมือง
"ไม่เป็นไรครับ ส่งที่เดิมก็พอ"
"แล้วของ?" เบาะหลังของรถอีโค่คาร์ที่เคยว่างเปล่ามีถุงหลายแบบวางเอาไว้ "ไม่น่าจะถือหมดนะ"
"ฝากไว้ก่อนแล้วกันครับ ไว้จะมาเอา"
"บอกแล้วว่าเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้"
คนเป็นราชาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับประชาชนขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนที่จ้องจะทำลายบัลลังก์เขาก็เถอะ
"ไม่ครับ เดี๋ยวกลับเอง" วูบหนึ่งที่คนขับนึกเปรียบพิชชากับตัวเอง นิสัยทำอะไรเด็ดขาดอย่างนี้ไม่ต่างกับเขาและคนที่บ้านเลย ถ้าลองได้ตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็จะไม่ยอมหันหลังกลับง่ายๆ
"คุณก็เห็นอยู่ว่าฝนตกหนักแค่ไหน"
"เดี๋ยวก็หยุดแล้วครับ"
"ฟ้าแทบจะมืดสนิทอย่างนี้คงเป็นชั่วโมง"
เสียงหยันที่ติดอยู่ในลำคอแปลกหู ทั้งทุ้มแล้วก็แหบแห้ง "อยากลองพนันกันไหมล่ะ”
นัยน์ตาสีผสมเป็นประกายราวกับเจอของเล่นถูกใจ ทิวากาลมองมันแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา
"การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย"
"แค่เรื่องฟ้าฝนนี่ผิดกฎหมายด้วยเหรอครับ"
"ผมแค่ไม่อยากให้สุขภาพจิตตัวเองเสียไปมากกว่านี้"
"แปลกนะ ผมมีความสุขทุกวันตั้งแต่ได้เจอคุณ"
"เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมพิชชา"
ใบหน้ายังแย้มละไม และเขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอจ้องรอให้ริมฝีปากนั้นขยับตั้งแต่เมื่อไหร่
"เรา 'ต้อง' ได้เจอกัน" ไม่ใช่ในสิ่งที่เขาถาม การเจอกันครั้งแรกในร้านอาหารไทยกลางเมืองนั่นพิชชาเคยบอกว่าเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ระยะเวลาที่เขาลองย้อนกลับไปเป็นยี่สิบปีก็ยังไม่คุ้นสักนิด ทิวากาลเชื่อว่าความทรงจำของตัวเองไม่มีทางแย่อย่างนั้น เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นช่วงเรียนอนุบาลเขาก็ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อพิชชา
เสียงนิ้วที่เคาะกับพวงมาลัยรถดังเป็นจังหวะแข่งกับการกระทบของหยาดฝนด้านนอก นิสัยที่ทิวากาลทำเพื่อการรวมรวมความคิด เขาไม่เคยไปเรียนดนตรีจริงจังอย่างที่น้องคนเล็กเคยทำ จะมีก็เพียงเล่นกีตาร์เหมือนเพื่อนผู้ชายหลายคนชอบก็เท่านั้นเอง
"ไม่มีใครเปลี่ยนมันได้หรอกครับราชา" กระเป๋าผ้าใบแปลกที่ไม่เหมือนกับคราวที่แล้วถูกกระชับแน่น อาการของคนเตรียมพร้อมจะลงจากรถกระตุ้นให้คนที่อยู่บนบัลลังก์ขยับมือออกไปกดปุ่มล็อคทั้งรถเอาไว้ก่อน
"ต้องลองทดสอบดูแล้วมั้ง"
ไร้การตอบสนองอย่างที่อยากเห็น ชายผมยาวยังอยู่ในอาการสงบ ไม่โวยวายหรือว่าแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ทิวากาลเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าคนตรงหน้าอาจไม่ได้เป็นมนุษย์ก็ได้ ทำไมเขาถึงไม่ยี่หระต่อการคุกคามได้ขนาดนี้
"รบกวนเปิดล็อคครับ"
"ตอบผมมา"
"ตอบว่า?" ย้อนถามกลับสั้น "คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอครับว่าจะถามผมว่าอะไร"
มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของพิชชาไม่ใช่การส่งรอยยิ้ม แต่เป็นการส่งข้อควรจำให้กับทิวากาลว่าหากตำแหน่งการเล่นไม่เหมือนกัน...กฎที่บังคับใช้ในการเดินก็ต่างเช่นกัน
ริมฝีปากที่เม้มเข้ายามถูกจี้ใจดำผละออกอย่างรวดเร็ว เขาเคยถามไปแล้วและพิชชาก็ไม่เคยให้คำตอบตรงๆ ทำตัวเหมือนเป็นหนังสือเลคเชอร์สูตรลัดที่ต้องไปอ่านหนังสือหลักเพื่อเพิ่มความเข้าใจอยู่ดี การรู้สูตรแต่ไม่รู้โจทย์ไม่มีทางช่วยในแก้ปัญหาได้
"ไหนใครบอกว่าจะรู้ทุกอย่างไงครับ" เข็มขัดนิรภัยถูกปลดออก พิชชายังสาละวนกับการตรวจสอบข้าวของของตัวเองโดยไม่คิดเงยหน้าขึ้นมาสบตา ราวกับว่าชายที่อยู่ด้านข้างไม่มีตัวตน
"รบกวนเปิดล็อครถด้วยครับราชา"
ใช้เสียงนอบน้อมยิ่งกว่าครั้งไหน
"ก่อนจะเริ่มเกมสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้ดีนะครับ"
คำสอนที่พ่อเคยให้เมื่อนานมาแล้ว ไม่ว่าจะในเกมการแข่งขันหรือว่าในชีวิตจริง ยิ่งประเมินสถานการณ์ได้มากเท่าไหร่ชัยชนะก็พร้อมโบยบินมาหา กำลังทหารแม้จะมากกว่าหลายเท่าตัวก็อาจเป็นผู้แพ้ได้ถ้าไม่รู้จักการจัดการที่ดี
ร่างเล็กกว่าแทรกตัวผ่านไปยังประตูอีกฝั่ง ฉวยโอกาสที่เขาหยุดการเคลื่อนไหวอยู่เปลี่ยนคำสั่งเสีย สัมผัสได้ถึงผมหยักศกเส้นยาวทิ้งตัวลงกับช่วงตักเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนตุ๊กตาหน้ารถจะกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม
เวลาไม่กี่วินาทีเล่นเอาทิวากาลหายใจไม่ทั่วท้อง
"ฝากของด้วยนะครับ"
"พิช!"
การเรียกของเขาไม่มีประโยชน์อันใด เมื่อยังไม่ทันจะพูดชื่อจบเสียงปิดประตูก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว ภาพของชายผมยาวเดินฝ่าสายฝนไปยังจุดจอดรถประจำทางด้วยจังหวะการเดินไม่เร่งรีบ ผ้าฝ้ายที่เคยพองตัวก็ลีบลงจนเห็นว่าแผ่นหลังนั้นไม่ได้เล็กอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอด
อยากจะเรียกกลับมาคุยให้รู้เรื่อง เสียงแตรรถยนต์ด้านหลังก็เตือนให้ต้องรีบขยับรถก่อนที่จะเป็นตัวปัญหาสำหรับการจราจร ทิวากาลหัวเสียจนตะคอกคำหยาบออกมาไม่มีหยุด เปลี่ยนเกียร์แล้วเคลื่อนรถออกไปแบบไม่เต็มใจมากนัก
สายตามองถนนพอให้มั่นใจว่าห่างจากรถคันข้างหน้าพอสมควรแล้วจึงกลับมามองที่แห่งเดิม
แต่ไม่เห็นว่าจะมีร่างของใครคนนั้นอยู่ตรงป้ายรอรถอย่างที่ควรจะเป็น
ตอนแรกตั้งใจว่าจะอ้อมรถกลับมาอีกครั้ง พอคิดไปคิดมาแล้วมันก็ไม่ได้การันตีว่าพิชชาจะยังอยู่ที่เดิม คนที่เป็นหมอกอย่างนั้นโดนลมพัดทีเดียวก็ปลิวหายไปแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเอาไว้ได้คงต้องหาขวดโหลมาใส่
ฝนตกกับการจราจรติดขัดเป็นของคู่กัน เขาเหยียบคันเร่งแล้วผ่อนลงหลายต่อหลายครั้งภายในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร รถบนท้องถนนก็แออัดเกินพอแล้วยิ่งมาเจอกับช่วงเวลาที่ต่างคนต่างลดระดับความเร็วลงมันช่างน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน มือข้างซ้ายปรับวิทยุให้กลับมาทำงาน ช่องเพลงสมัยก่อนที่เปิดค้างไว้ฉุดอารมณ์ให้ดิ่งลงไปลึกกว่าเดิม รีบปิดมันเพื่อให้ทั้งรถเหลือเพียงเสียงทำงานของเครื่องยนต์ มันยังน่าอภิรมย์มากกว่าเสียงเพลงเหล่านั้นหลายเท่านัก
ไม่ถึงสิบนาทีทิวากาลก็หลุดออกจากบริเวณเจ้าปัญหา เริ่มเร่งความเร็วขึ้นเพื่อให้ไม่เสียเวลาการเดินทางไปมากกว่านี้ ที่ปัดฝนถูกปรับระดับให้หยุดการทำงาน
เพราะท้องฟ้าหยุดร้องไห้ลงแล้วตามคำเล่าของผู้หยั่งรู้
หมากบนกระดานถูกเรียงเอาไว้ตามตัวอย่าง กลยุทธ์ที่วางล้อมคิงเอาไว้จนมองไม่เห็นทางออก
นั่นคือทิวากาลในตอนนี้
"วันนี้สมาชิกเหลือแค่สองชีวิต"
ไม่หันไปหาต้นเสียงในทันที แบล็คยังคงมองตำแหน่งของตัวหมากในกระดานอยู่อีกพักใหญ่จึงช้อนตาขึ้นมามองบุพการีในชุดสูทเพราะเพิ่งกลับมาจากงานสังคม
"ไวท์ล่ะครับ?"
"เห็นว่าไปทานข้าวเย็นกับพ่อหนุ่มผมทอง"
เขาล่ะอยากโทรไปด่าเสียตอนนี้ ไหนบอกว่าพามาส่งที่บ้านแล้วไง!
แค่ตัวอัปมงคลก็ไม่สบอารมณ์พอแล้ว แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่มีการห้ามปรามอะไรเลย ลูกสาวคนเดียวไปกินข้าวเย็นกับผู้ชายสองต่อสองนะ
"ทำหน้ายุ่ง เพิ่งมาหวงอะไรตอนนี้"
"ผมหวงของผมมานานแล้วต่างหาก"
"ไม่ยักกะรู้ว่าลูกชายของพ่อเป็นพวกขี้หวง" น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทิวากาลไม่เคยได้ยินยามอยู่ข้างนอก ผู้ชายคนหนึ่งต้องแบกรับทุกอย่างไว้โดยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย บิดาของคู่แฝดทิวาราตรีมองกระดานหมากรุกตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากรอยยิ้มที่ส่งมาให้ก็แปรเป็นเรียบตึง "ของใคร?"
แม้จะเป็นสัมผัสเบาบางทิวากาลก็รู้ว่าในการถามมีอะไรซ่อนอยู่
"ของคนรู้จักครับ" เป็นอีกครั้งที่ใช้คำว่าคนรู้จักในการระบุความสัมพันธ์
"ชื่อ?" และมันชัดเจนเมื่อตอนที่เขาได้รับคำถามต่อมาอย่างนั้น สายตาของพ่อลูกประสานกัน และลูกที่ดีก็ทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจมากนัก
"พิชชา" นอกจากชื่อแล้วไม่ได้บอกนามสกุลไป
"ลูกของ...ใช่ไหม"
ชื่อของบิดาอีกฝ่ายอยู่ในข้อมูลที่ได้มา เขาพยักหน้ากลับไปเพื่อบอกว่าอย่างน้อยข้อมูลในส่วนนี้ก็ตรงกัน
จากข้อมูลชุดเดิมไม่แน่ใจว่าเชื่อส่วนไหนได้บ้าง เขาไม่มีข้อมูลของชายผู้ให้กำเนิดพิชชามากไปกว่าชื่อนามสกุล แล้วก็เป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทดูแลเรื่องอสังหาริมทรัพย์
ทุกอย่างแปลกไปหมด ไม่มีความลงตัวเลยสักนิด
"รู้จักเหรอครับ"
"สังคมคนแก่ รู้จักไปทั่ว" ชายวัยห้าสิบกว่าเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกตัว แว่นสายตายาวที่ติดตัวเอาไว้เสมอถูกหยิบขึ้นมาสวม "เสียไปแล้วเมื่อต้นปี มะเร็งอะไรสักอย่าง"
"อ้อ..."
ตอบกลับแห้งแล้ง นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อของพิชชาเสียชีวิตไปแล้ว ทิวากาลเบนความสนใจทั้งหมดมาอยู่ตรงคำบอกเล่าของบิดา หมากบนกระดานถูกเรียงค้างไว้ในรูปแบบเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม
"แล้วนี่คิดยังไงถึงหยิบมาเล่น ตอนนั้นสอนไม่เห็นจะชอบ"
"ผมบอกว่าผมเล่นได้ มีแต่น้องโรมที่โวยวายอยู่คนเดียว"
"นี่ใกล้ตายแล้วนะ" หากพิชชาคือคนที่รู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น คุณพินิจก็เป็นคนที่รู้ในสิ่งที่จับต้องได้ บิดาผู้จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กลับบอกเล่าเรื่องราวร้อยแปดได้เสมอ ไม่มีครั้งไหนตอบว่าไม่รู้ อย่างเรื่องหมากรุกนี่เคยได้ยินมาว่าสมัยยังหนุ่มเป็นจำพวกไร้คู่ต่อสู้อยู่เหมือนกัน
ชายที่แพ้ให้ผู้หญิงคนเดียว
เรื่องเล่าจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ทิวากาลไม่ชอบออกงานที่ต้องพบปะกับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่ แต่หากงานไหนมีความสำคัญมากในฐานะลูกคนโตแถมยังเป็นลูกคนเดียวที่น่าจะพึ่งพาได้ก็ต้องทำตามคำขอ เขาชอบเครื่องมึนเมาก็เวลานี้ ช่วงที่อดีตจะได้กลับมามีชีวิตอยู่ในรูปของเสียงและจินตนาการ แต่อย่าให้คุณพินิจรู้เชียวว่าเขาเคยได้ยินเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปแทนอีกแน่
"กำลังหาวิธีโกงความตายครับ" เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับความผิดปกติได้เลยต้องหัวเราะออกมาราวกับว่าหมากกระดานนี้เป็นเพียงของเล่นไร้ความสำคัญ "ยังไม่อยากตาย"
"ไม่มีใครฝืนชะตาได้..."
ใบหน้าแต้มรอยย่นบอกถึงเค้าความชรา ชายผู้เป็นพ่อพิงตัวลงกับเบาะสำหรับการผ่อนคลายอารมณ์ ทิวากาลมองภาพนั้นแล้วคิดย้อนไปถึงตอนตัวเองยังเป็นเด็กชายตัวน้อยที่สามารถขี่อยู่บนไหล่ของบิดาได้ เขาเคยคิดว่าน้ำหนักตัวเองในเวลานั้นก็หนักมากแล้ว แต่ 'หน้าที่' ที่ต้องแบกไว้มันมากกว่านั้นกี่ร้อยกี่พันเท่ากันนะ
"ผมแค่เลือกทางให้ตัวเองครับ"
"เรื่องนี้แบล็คไม่เหมือนพ่อ"
"ครับ?"
"ถ้าเป็นพ่อคงอยู่เฉยๆ แล้วยอมรับทุกอย่าง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด"
ใบหน้าที่มองแล้วหาความคล้ายไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นแบล็คหรือไวท์ก็ตามทีไม่เคยมีใครที่บอกว่าเหมือนพ่อ เขาเลยสรุปไปเองว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องเหมือนแม่ ก็เคยเจอตัวจริงเสียที่ไหนล่ะ ได้ยินแค่ชื่อนี่ก็เป็นบุญหูเท่าไหนแล้ว
สิ่งที่ทิวากาลกับรัตติกาลได้จากพ่อคือจิตวิญญาณ
"ถ้าเป็นไวท์ก็คงบอกว่าไม่เล่นตั้งแต่ต้น"
ความพึงพอใจส่งผ่านเสียงหัวเราะ ชายสองคนประสานเสียงกันจนบ้านที่เงียบสนิทน่าอยู่ขึ้นมาหน่อย
"จะว่าไปนี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เอาของไปเยี่ยมคนบ้านนั้นหน่อยก็น่าสน..."
โอกาสที่ยื่นมาให้ตรงหน้าบอกให้ทิวากาลรีบคว้าเอาไว้
"ผมเอาไปให้ได้นะครับ" กลบความกระตือรือร้นที่มีด้วยการอ้างเรื่องอื่น "พิชลืมของเอาไว้บนรถ ผมว่าจะเอาไปคืนอยู่พอดี"
"ก็ดีนะ รู้จักบ้านใช่ไหม"
กระจกใสบานใหญ่ของตู้โชว์ของสะสมจากทั่วทุกมุมโลกด้านหลังของคุณพินิจสะท้อนครึ่งหน้าของเขากลับมา
ราชาที่กำลังเหยียดยิ้มออกคล้ายปีศาจผู้กระหายเลือด
"แน่อยู่แล้วครับ"
"ทำไมตื่นเช้า?"
วางช้อนด้ามยาวในมือลง หันไปตอบคำถามน้องเล็กสุดของบ้านที่มาในสภาพเพิ่งตื่น ยังคงใส่ชุดนอนสีเข้ม มือข้างหนึ่งถือตุ๊กตาตัวโปรดลงมาด้วย มีอย่างที่ไหนกลับบ้านมานอนวันเสาร์อาทิตย์ก็แบกกลับมาด้วยตลอด อ้างว่าไม่มีแล้วนอนไม่หลับ เขาล่ะอยากจะทำที่หนึ่งยัดนุ่นมาไว้ในห้องจะได้ไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้อีก
"ตื่นปกติ"
"ไม่ ถ้าวันเสาร์มึงจะตื่นเก้าโมง มีแต่กูกับไวท์ลงมาทันข้าวเช้า"
"คนที่ไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างมึงจำได้ด้วยเหรอน้องโรม"
วันนี้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรมากเพราะรู้ดีว่าศึกที่แท้จริงคือช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาเลยหาเรื่องพูดไปถึงอีกคนที่เกือบจะเอาน้องเขาของไปเป็นสมบัติส่วนตัวอยู่แล้วรอมร่อ
โต๊ะทานข้าวทำจากไม้สลักตัวใหญ่มีทิวากาลนั่งอยู่ฝั่งขวา ส่วนโรมันนั่งลงตรงข้ามโดยเอาตุ๊กตาไว้บนเก้าอี้ตัวถัดไป ถ้าที่หนึ่งรู้คงประทับใจจนน้ำตาไหล
"มึงเก็บไปบอกน้องสาวตัวเองเถอะ แม่งมาบ้านบ่อยกว่าหนึ่งอีกแล้วมั้ง"
คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทั้งสองคนเห็นตรงกัน คนเป็นพี่ใหญ่สุดเพียงทำเสียงอือออแทนการรับทราบ ยื่นมือไปตักต้มผักมาไว้ในจานตัวเองเพิ่ม "ใครจะห้ามได้"
"ต้องได้คนนี้แล้วจริงอะ"
"ไม่อยาก?"
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้น" อาหารมื้อเช้าถูกปรุงรสชาติด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนเดียวในบ้านหลังนี้ "หมั่นไส้อะ เข้าใจฟีลไหม"
"ตัวเองมีหน้าไปพูดอย่างนั้นหรือไง กับที่หนึ่งนี่ไม่น่าหมั่นไส้เลยสิ?"
น้องคนเล็กผู้ต้องสู้รบปรบมือกับพี่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับพี่ชายที่ชื่อว่าเน็ท จอมหวงผู้ซึ่งไม่เคยปล่อยให้อะไรหลุดออกไปจากการครอบครองของตัวเองชอบหาเรื่องให้คู่รักได้ปวดหัวอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่โรมเองก็ไม่เคยไประรานอะไรชีวิตเขาบ้างเลยสักนิด
"แล้วเมื่อไหร่ราชาจะมีบ้างล่ะครับ ผมรอคนที่จะมาเป็นราชินีใจจะขาดแล้วเนี่ย"
"รอไปเถอะ"
เมื่อเรื่องมันเริ่มวกกลับมาหาตัวเองก็ต้องตัดบทเพื่อความปลอดภัย ทิวากาลรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันแทนสัญลักษณ์ของการจบมื้ออาหาร มองชายตัวผอมที่นั่งอยู่อีกฝั่งเคี้ยวข้าวในปากโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาตามที่ได้สอนไว้ว่าหากมีอาหารอยู่ในปากแล้วไม่ให้พูด
"เอาจริงนะ คิดภาพคนที่มายืนคู่กับมึงไม่ออกเลย" ควีนผู้สวยสง่า คนที่คู่ควรกับการยืนเคียงข้าง คนที่โรมันเคยคิดแล้วก็ยังไม่เจอแม้แต่โครงร่าง "ต้องเป็นคนที่แปลกมากๆ เลยอะ"
พอพูดถึงคำว่าแปลกแบล็คก็คิดถึงคนที่กำลังจะไปเยี่ยม ถ้าเป็นคนนั้นแล้วล่ะก็คำพูดของน้องโรมก็คงเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่เสียใจด้วย ชายคนนั้นไม่ใช่ราชินีแต่เป็นผู้หยั่งรู้ที่เต็มไปด้วยเวทมนต์ต่างหาก
"พูดเหมือนไม่ใช่คน"
"ต้องเป็นคนสิ แต่ว่าต้องไม่เหมือนคนปกติ"
"เอ้า? มนุษย์พันธุ์พิเศษหรือไง"
เริ่มสนุกกับการได้ไล่ต้อนให้จนมุม โรมหยุดมือที่จับอุปกรณ์ทานอาหารทั้งสองข้างลง มื้อเช้าในวันนี้คงไม่อร่อยเสียแล้วเมื่อเขาโดนพี่ชายแกล้งไม่มีหยุด
"มึงก็อย่างนี้อะแบล็ค"
"อย่างนี้?"
"หาเรื่อง กวนตีน"
ความสุขอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มยังมีอยู่คือการได้เห็นน้องตัวเล็กที่เลี้ยงมาเติบโตขึ้นตามความคาดหวัง เขาอาจไม่ใช่พี่ชายประเภทตามเอาใจทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งก็คงมาจากความจริงที่ว่าโรมอายุห่างจากคนอื่นประมาณหนึ่งปีเท่านั้นเอง เพราะอย่างนั้นคนที่อายุไล่เลี่ยกันก็ควรมีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่พอกันได้แล้ว แบล็คไม่เคยปลอบเวลาน้องผิดหวัง คนทำหน้าที่นั้นมีหลายคนแล้ว ให้เขาได้เป็นฝ่ายซ้ำเติมบ้างดีกว่า ตราชั่งจะได้เฉลี่ยสองข้างเท่ากัน
"กูรักมึงจะตายไปน้องโรม"
"รักมากก็เลิกแกล้งกู"
"ก็นี่ไงวิธีการแสดงความรัก"
"เฮอะ คนอย่างมึงเหรอแบล็ค"
โรมันไม่ค่อยคิดอะไรมากในการพูดแต่ละครั้ง เพราะเขารู้ว่าพี่คนอื่นเข้าใจความหมายแท้จริงข้างในว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการบ่นเรื่อยเปื่อย "ความรักคืออะไรมึงยังไม่รู้จักเลยเถอะ"
"แล้วมึงรู้จัก?"
"ที่หนึ่งไง"
นัยน์ตาสีดำเมื่ออยู่ในที่ร่มมองตรงมาไม่มีลดละ โรมันจ้องหน้าของพี่ชายตัวเองไม่แม้จะกระพริบตาให้เสียเวลา "...ทุกคนอยากให้มึงมีความสุขนะ"
"แล้วทุกวันนี้กูเหมือนคนอมทุกข์มากขนาดนั้นหรือไง"
โคลงหัวไปมา กลับไปคิดว่าตัวเองไปหลุดตอนไหนให้น้องจับได้
"มึงไม่เคยมีความสุขต่างหาก" "..."
ริมฝีปากที่มักจะยกขึ้นทำมุมน้อยๆ กลับกลายเป็นเส้นตรง เมื่อน้องชายคนเล็กพูดคำนั้นออกมาพร้อมกับตีหน้านิ่งสนิท สิ่งที่โรมันพูดก่อนหน้ายังคงติดอยู่ในส่วนของการรับรู้ คนอย่างเขาเหรอไม่มีความสุข?
"มึงเอาแต่ดูแลพวกกู เมื่อไหร่จะดูแลตัวเอง"
"กูดูแลตัวเองดีแล้วเลยไปดูแลพวกมึง"
คนที่ยังจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ไม่ควรมีสิทธิ์ไปดูแลคนอื่น
แก้ความเข้าใจผิดเสียก่อน คุณพินิจสอนมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นพี่ต้องดูแลน้อง คนเป็นพี่ชายคนโตอย่างเขาเลยทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรักษาสัญญาของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวฝาแฝด น้องชายต่างแม่ หรือว่าน้องชายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย
เรื่องของเกรย์ต่อให้ไม่เคยคุยสักคำทิวากาลก็บอกได้หมดว่าการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง สังคมของเพื่อนน่ากังวลหรือเปล่า ชีวิตของการอยู่โดดเดี่ยวในต่างแดนมีอะไรน่ากังวลหรือไม่ น้องที่อยู่ไกลอย่างนั้นเขายังรู้ทั้งหมด นับประสาอะไรกับคนเคยอยู่ข้างห้อง
"ก็ตอนนี้มึงไม่ต้องดูแลแล้วไง"
"กูยังต้องดูแลไวท์อยู่"
อ้างไปถึงครึ่งชีวิตของตัวเอง ขยับข้อมือขึ้นมาดูเวลาว่าถึงกำหนดตามที่วางไว้แล้วหรือยัง พอเห็นว่าเข็มสั้นใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกทีจึงลุกขึ้น ทิ้งเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหน้าไว้โดยไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ทวนคำถามได้อีก
"จะไปไหน?"
"ไปประกาศสงคราม"
ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เขาอาจกลับมาลองคิดเรื่องนี้จริงจังว่าตัวเองไม่มีความสุขหรือเปล่า
ออกจากบ้านมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง 'บ้าน' ของพิชชาเสียที สาเหตุก็มาจากการแวะมาร์เก็ตระหว่างทางนี่แหละ เกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากทำอะไรบางอย่างเมื่อเข้าไปข้างในถ้ำเสืออย่างที่บอกไว้แล้ว
ที่เคยพูดเอาไว้ว่า 'ต้องรู้ทุกอย่าง' เขาก็พยายามทำให้ได้อย่างที่พูดอยู่ตลอด หากตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองมีแค่ความคิดเท่านั้น ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมไม่มีอยู่เลย
แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ไปเสียทุกเรื่องอย่างนั้น มีความจำเป็นขนาดไหนที่ต้องรู้จัก
ทำไมต้องให้เลือด ทำไมถึงเพิ่งมาปรากฏตัวทั้งที่เรื่องนั้นก็ผ่านมาเป็นครึ่งปี แล้วทำไมถึงต้องให้เขาชดใช้ด้วยการอยู่ด้วยกัน
ทำไม
ทำไมต้องเป็นทิวากาล
กระดาษคำถามไร้ร่องรอยของการเขียนคำตอบ
หยิบของที่คิดว่าจำเป็นลงตะกร้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทบทวนแผนทั้งหมดอีกครั้ง ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นแนวหน้าในการรบมากกว่าเป็นเสนาธิการจอมวางแผน ก็ไม่ได้หมายความว่าทิวากาลจะทำอะไรอย่างนี้ไม่เป็น คนเป็นราชาต้องทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจอมทัพหรือว่าผู้วางแผน
และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเติมเต็มกระดาษแผ่นนี้
***
บอกว่าจะมาต่อก็หายไปเฉยเลยค่ะ ที่จริงก็ไม่ได้หายนะคะ ขอเรียกว่าแวบไปลงเรื่องสั้นดีกว่า (หัวเราะ) เรื่องนี้เลยค่ะ
With Love, ด้วยรัก จะไม่ได้เฉลยตอนจบไว้ชัดเจนเท่าไหร่ เรื่องสั้นมันก็สนุกตรงนี้แหละ (ยิ้ม)
แล้วเจอกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ จะชดเชยที่หายไปยาวให้ได้มากที่สุดเลยค่ะ ตอนหน้าพี่แบล็คจะรุกบ้างแล้วววว
#พิชแบล็ค