♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]  (อ่าน 53095 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
«ตอบ #30 เมื่อ19-07-2016 13:10:24 »

CH.4-2

   ร้านกาแฟอยู่ในซอยลึกจนไม่คิดว่าจะมีใครดั้นด้นเข้ามา และเขาอาจเป็นลูกค้ารายแรกที่ทำอย่างนั้น เจ้าของร้านหันมาทักทายอย่างคนคุ้นเคย กลิ่นกาแฟหอมแปลกไม่เหมือนกับร้านที่มีสาขาเป็นร้อยทั่วประเทศ จะเรียกว่าร้านนั่งดื่มกาแฟก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะว่ามันมีส่วนของอาหารตามสั่ง แถมยังมีของหวานหลากหลายรูปแบบ เอาเป็นว่านี่มันร้านขายทุกอย่างก็แล้วกัน

   "เอาชาดอกไม้ครับ" ขนาดมาร้านที่มีเมนูเป็นเครื่องดื่มคาเฟอีนก็ยังเลือกใบไม้แห้งเหมือนทุกครั้ง "อยากลองเอสเปรสโซ่โซดาไหมครับ หรือว่าจะเอาเป็นกาแฟดำดี?"

   "...น้ำเปล่า"

   ผู้ชายที่ไม่ต่างอะไรกับปริศนาชั้นดียิ้มจางยามได้รับคำตอบ ทิวากาลไม่ชอบน้ำดื่มผสมน้ำตาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เครื่องดื่มที่ชอบจะเป็นจำพวกไม่ใส่น้ำตาลลงไปเสริมเช่นกาแฟดำ

   เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงสั่งน้ำเปล่า

   ร้านใช้รูปแบบของการบริการที่ต้องพึ่งพาตัวเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่สั่งที่หน้าร้านแล้วต้องรอสินค้าอยู่ตรงนั้นเลย การจัดร้านมีหลายแบบตั้งแต่โซฟาแบบธรรมดา เก้าอี้ไม้ประดับด้วยของใช้วินเทจ ไปจนถึงโต๊ะเตี้ยที่ต้องนั่งบนเบาะยัดนุ่น มองผิวเผินแล้วไม่มีความเข้ากันได้สักนิด

   ระหว่างแบล็ครับหน้าที่เป็นผู้รอ พิชชาก็เดินตัวปลิวขึ้นไปชั้นสองของร้านพร้อมกับกระดานไม้ขนาดใหญ่ ร้านดูเงียบเหงาไม่มีใครอื่นจนต้องเปิดเพลงที่ไม่ใช่ทั้งไทยแล้วก็อังกฤษคอยขับกล่อม แค่เพลงยังแปลกกว่าร้านทั่วไปเลย

   รออีกพักใหญ่ถึงได้ของตามสั่ง ฝั่งพิชชาเป็นถาดกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเครื่องใช้หลากหลายตั้งแต่กาน้ำร้อนสีใสมีไอร้อนเกาะอยู่จนเต็มขอบ แก้วทรงสูงเล่นลวดลายตรงหูจับ และก้อนใบไม้แห้งปั้นกลมแยกไว้ต่างหาก ส่วนของเขาเองก็เป็นน้ำแร่ยี่ห้อไม่คุ้นกับแก้วเปล่าทรงเหลี่ยมแบบที่กำลังฮิตอยู่

   เดินขึ้นชั้นสองอย่างระมัดระวัง เสียงเพลงไร้สัญชาตินั้นเบาลงไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินอะไรอีกยามที่เหยียบบันไดไม้ขั้นสุดท้าย ข้างบนต่างจากชั้นล่างตรงที่มีโต๊ะกลมขาเตี้ยเพียงตัวเดียวเท่านั้นวางอยู่ และมันก็ถูกครอบครองโดยชายคนนั้นที่หนีขึ้นมาก่อน กระดานไม้ขนาดใหญ่ยังวางไว้อยู่ข้างตัว  ผมยาวถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า มีไรผมระกรอบหน้าจนมองจากที่ไกลๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยคนหนึ่ง

   วางเครื่องดื่มไว้คนละฝั่ง สีดำพิงหลังกับกำแพงสีอบอุ่นที่ประดับด้วยเหล็กดัดเป็นเถาวัลย์ปนกับดอกกุหลาบสีขุ่น การตกแต่งบนชั้นสองดูเข้าถึงยากกว่าชั้นล่าง ไม่ว่าจะตู้หนังสือแบบติดกับผนังเรียงราย ตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตไม่น่าจะใช้การได้แล้ว ถ้าข้างล่างเป็นร้านขายทุกอย่าง ข้างบนก็เป็นร้านอินดี้ตามความชอบส่วนตัว

   "ขอบคุณครับ"

   "เดี๋ยวคิดรวมไปกับค่าน้ำมัน"

   "คิดว่ากระดาษแผ่นนั้นน่าจะพออยู่แล้ว"
   
   พยักพเยิดไปทางกระเป๋าที่เก็บสิ่งนั้นไว้ สำหรับชายคนนั้นเช็คมูลค่าเกือบแสนไม่ต่างจากเศษกระดาษที่ไม่อาจเอาไปใช้ทำอะไรได้อีก ทิวากาลมองฝั่งตรงข้ามเริ่มกรรมวิธีประดิษฐ์เครื่องดื่มแสนยุ่งยาก เริ่มจากการตรวจวัดอุณหภูมิของน้ำก่อนจะหย่อนก้อนสีน้ำตาลแซมขาวลงไปช้าๆ จากนั้นก็ปิดฝาให้สนิท รอเพียงอึดใจเดียวน้ำร้อนสีใสก็เริ่มมีสีอื่นปลอมปน

   "เคยทานชาอะไรแบบนี้ไหมครับ?"

   "ไม่" เครื่องดื่มประเภทชาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะแตะ ไม่เหมือนกับน้องสาวที่ชอบทานจนกลายเป็นของโปรด "มันจืด"

   "ก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิครับ"

   จากก้อนกลมเริ่มคลี่ออกทีละชั้น จากใบไม้ใหญ่ชั้นนอกสุด ตามมาด้วยใบชาเขียวลอยฟุ้ง การกระจายตัวของกลีบหลายรูปแบบคล้ายการเต้นระบำที่เต็มไปด้วยท่วงท่าน่าหลงไหล

   "เสน่ห์ของการไม่ถูกปรุงแต่ง"

   แม้การนั่งบนพื้นก็ยังไม่พ้นนั่งหลังตรง มือทั้งสองข้างวางซ้อนทับกันบนขอบโต๊ะ จนคิดไม่ออกว่าในเวลาอ่อนแอการตั้งหลังอย่างนั้นจะคงอยู่หรือไม่ แต่ถ้าเอาเท่าที่เห็นเขาเชื่อว่าต่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงมากแค่ไหนชายคนนี้ก็ยังสามารถยืนหยัดไม่มีสั่นคลอน

   สิ่งที่ลอยแตะจมูกคือกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ทิวากาลสูดมันเข้าไปพร้อมกับกลิ่นของน้ำหอมที่คุ้นเคยของตัวเอง กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกเย็นจนเกินไปในบางที เคยคิดว่าจะหยุดใช้หลายครั้ง...แต่ก็ทำไม่ได้

   "เคยเล่นหมากรุกไหมครับ?"

   วันนี้วันเดียวเขาก็วนเวียนอยู่กับงานไม้ไม่จบสิ้น

   กระดานใหญ่ งานไม้ที่ต้องใช้ความชำนาญขั้นสูงถึงจะได้อย่างนี้วางลงบนโต๊ะที่คั่นระหว่างเขาสองคนเอาไว้ ทิวากาลหยิบหมากตัวใหญ่ที่สุดมาไว้ในมือ ไม้แกะทรงมนแทนสัญลักษณ์ของ 'ราชา' ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ แล้วคงเป็นงานผลิตขึ้นมานานพอสมควร เพราะลองถือแค่ตัวเดียวยังรู้สึกได้ถึงความหนักไม่เหมือนกับของที่บ้าน

   ถือไปได้ยังไงทั้งกระดานใหญ่ขนาดนั้น?

   "เคย"

   คุณพินิจผู้เป็นพ่อเคยหยิบมาสอนครั้งยังเล็ก บอกว่าอยากให้ลูกทุกคนเล่นเป็น แต่เหมือนว่าของเล่นที่ต้องใช้สมองอย่างนี้ไม่ค่อยถูกใจน้องชายคนเล็กเท่าไหร่ เขาเลยได้จับต้องมันต่อเมื่อคนเป็นพ่อเกิดครึ้มอกครึ้มใจหยิบมันออกมาจากตู้เก็บสมบัติสำคัญ

   "งั้นเลือกสีก่อนไหมครับ"

   ตัวหมากที่มีแค่สองสี เมื่อทั้งคู่คือตัวแทนของ 'สีดำ' มันก็ต้องมีใครคนหนึ่งที่จะเสียสละให้อีกฝ่ายได้ไปในสิ่งที่ต้องการ

   "ไม่ล่ะ"

   "งั้นผมเลือกให้แล้วกันนะ"

   "เชิญเลยครับสีดำสนิท"

   อยากให้ไปตามหาชื่อเล่นก็ทำแล้ว พิชชาเหยียดมุมปากพึงพอใจ เขาเป็นพวกยิ้มไว้เสมอเพื่อกลบทุกความรู้สึกให้อยู่ข้างในล่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงมีอาการอื่นให้เห็นแล้ว

   "ผมบอกแล้วว่าสีดำก็มีหลายเฉด"

   "ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีใครจะแยกออกว่าสีมันต่างกัน"

   สีดำน่าหลงใหลตรงนี้ ตรงที่ไม่อาจแยกออกด้วยสายตาได้ว่าสีที่เห็นอยู่นั้นเหมือนกันหรือไม่ มันมีหลากหลายค่าสีจนเกินไป เลยไม่อาจจะรู้ได้ว่า 'ระดับของสี' ที่เห็นอยู่นั้นมีค่ามากหรือน้อยกว่าแคไหน

   "แค่ให้เจ้าตัวแยกได้ก็พอแล้วครับ"

   "แล้วจะมีบริการเสริมอย่างคนเมื่อกี้หรือเปล่า" เขายังจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ชัดเจน "ทำนาย...ไร้สาระ"

   "มันไม่ใช่การทำนายครับ มันคือการเล่าแล้วก็การเตือนนิดหน่อย"

   ในท้ายที่สุดสีที่มีความเกี่ยวข้องกับคนทั้งคู่ก็ตกเป็นของทิวากาล ต่างฝ่ายต่างเรียงหมากของตัวเองให้อยู่ในฟอร์มเริ่มต้น ทิวากาลเหลือบมองหมากของฝั่งตรงข้ามเป็นการเช็คความจำของตนเองว่ายังชัดเจนดีอยู่หรือไม่ คนนั่งอีกฝั่งเรียงหมากครบหมดแล้วถึงหันไปรินน้ำชาถ้วยแรกมาจิบ กลิ่นชาละอายอวลคล้ายเครื่องหอมชั้นดีสำหรับการผ่อนคลาย

   "ผมก็แค่ 'รู้' บางอย่างที่คนอื่นเขาไม่รู้" การเดินตาแรกเป็นเบี้ยจากฝั่งพิชชา "รวมถึง 'เห็น' ในสิ่งที่บางคนไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่"

   "งั้นเรื่องไหนบ้างที่ผมไม่รู้" เคลื่อนตัวหมากด้านนอกออกไปเมื่อถึงคราวของตัวเอง เขาไม่เคยมีเพื่อนที่มีความพิเศษด้านนี้ แล้วถ้าถามว่าเชื่อในเรื่องพวกนี้ไหมก็ตอบได้เต็มปากว่าไม่เชื่อ

   ไม่อย่างนั้นคำภาวนาของเขาคงเป็นจริงตั้งนานแล้ว

   "บางสิ่งถ้าเริ่มเดินแล้วไม่มีทางกลับมาที่เดิมได้ครับ" เช่นเดียวกับคำเอ่ย เบี้ยที่ไม่อาจถอยหลังได้ตัวที่สองเริ่มเดินออกจากฝั่งของตนเอง ทิวากาลไม่เข้าใจการเล่นไร้แบบแผนตรงหน้ามากนัก มีอีกหลายวิธีที่พิชชาสามารถบุกเข้ามาได้เหมือนกระดานล่าสุด แต่ชายที่มีบุญคุณกับเขาไม่ทำเช่นนั้น "ผมเรียกว่าความสามารถพิเศษดีกว่า"

   "ต้องพิเศษขนาดไหนถึงมีคนคอยตามติดทุกฝีก้าว" น้ำแร่ยี่ห้อที่ไม่เคยเห็นให้รสชาติที่ไม่คุ้น แต่ก็อร่อยดี "นี่ถ้าข้างบนไม่โดนสั่งห้ามขึ้นคงตามมาด้วย"

   ใครจะไม่เห็นว่าตลอดการเดินเล่นมาถึงร้านมีชายต้องสงสัยคอยเว้นระยะห่างการติดตามเอาไว้ตลอด คราวนี้มีสองถึงสามคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มันสะกิดความสงสัยให้เพิ่มขึ้นอยู่เสมอว่าชายคนนี้มีความสำคัญขนาดไหนถึงต้องตามติดเสียขนาดนั้น ไม่น่าใช่แค่เรื่องทายาทตระกูลเศรษฐี

   "เขาก็มีหน้าที่ครับ"

   "แล้วหน้าที่ของเราคือมานั่งเล่นหมากรุกสบายใจอย่างนี้งั้นสิ" ขยับม้าเดินขึ้นไปสองช่องเตรียมปะทะกับเบี้ยของอีกฝ่าย หลักการเล่นเบสิคที่สุดคือการยอมสละเพื่อเป็นนกต่อ และทิวากาลกำลังทำอย่างนั้น

   "เครียดไปก็ไม่ช่วยอะไรนี่ครับ" การยกไหล่ขึ้นอย่างคนไม่ยี่หระกับเรื่องราวใดที่เกิดขึ้นรอบตัว "เดี๋ยวสุขภาพจิตเสียอีกจะแย่เปล่า"

   "ผมมากกว่ามั้งที่ควรปลอบตัวเองอย่างนั้น"

   "การที่เจอผมมันแย่ขนาดนั้นเหรอครับ" เสียงหัวเราะร่าหลังจบคำสุดท้ายไม่มีแววขุ่นเคืองใจ การเดินหมากของทั้งสองคนยังดำเนินต่อไปพร้อมกับบทสนทนาเข้าใจยากในบางช่วงบางตอน

   "ต้องทำอะไรอีก"

   รอยประทับที่ยังไม่รู้ความหมาย ดอกไม้สีดำสนิทแทนชื่อของทั้งคู่ และเลือดหมู่หายาก เรื่องราวที่ไม่ควรเหมือนมีความคล้ายกันในหลายส่วน

   "รอมั้งครับ"

   "รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ชอบรอ"

   เบี้ยของเขาหายไปแล้วสาม และเรือกำลังจะตามไปอีกหนึ่ง ในขณะที่การเล่นแบบ 'ตามอำเภอใจ' ของพิชชามีเบี้ยหายไปเพียงตัวเดียวเท่านั้น

   "แล้วผมบอกเมื่อไหร่ว่าไม่รู้ล่ะครับ"

   "..."

   ไม่ใช่แค่เกมกระดานที่ราชากำลังเพลี่ยงพล้ำ กระทั่งสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาหาคำที่จะใช้เปรียบกับคนตรงหน้าไม่เจอ จางแบบหมอก...แล้วก็เป็นสสารสีดำสนิทเข้ากับชื่อ

   มีตัวตนแต่จับไว้ไม่ได้

   "คุณอาจเป็น 'ราชา' ในฝั่งของคุณ"

   "..."

   "แต่ผมก็มีราชาอยู่ในมือเหมือนกันนะ"

   ปลายนิ้วขาวแตะลงบนคิงที่อยู่ข้างป้อมของตนเอง เคาะมันเบาๆ พอให้รู้ความหมายแฝงที่อยู่ข้างใน

   "ไม่เคยมีราชาสองคนบนบัลลังก์เดียว"

   "ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคิง" จากปลายสัมผัสที่อยู่ตรงเครื่องหมายราชาเปลี่ยนไปวางไว้บนหมากควีน ม้า และเบี้ยตามลำดับ "ผมอาจเป็นหมากตัวอื่น ...หรือเป็นอย่างนี้ก็ได้นะครับ"

   ช่วงท้ายเขายกนิ้วชี้ตัวเอง ยิ้มสดใสแบบที่ไม่อาจมองเห็นนัยน์ตาทรงแปลกอย่างนั้นได้อีกเลย ต่อให้เขายิ้มการค้าที่ดูสวยงามมากเพียงไหนตอนนี้ทิวากาลก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะร่าเริงตามได้ การบอกว่าเป็น 'ตัวเอง' หรือว่าเป็นคนเดินหมากนั้นแทนได้หลายแง่ และมุมที่เขาคิดเอาไว้พิชชากำลังหมายความถึงการเล่นที่มีเขาเป็นราชาโดยอีกคนเป็นผู้เดินหมากคอยกุมชะตาของทั้งกระดานเอาไว้

   "หรืออาจเป็นแค่ผู้ชมที่ไม่มีสิทธิอะไรบนกระดาน"

   คราวนี้ควีนของแบล็คกำจัดม้าสีขาวออกไปได้ การเล่นปนเปมั่วซั่วที่ควรจะรุกฆาตได้ไม่ยาก...แล้วเพราะอะไรเขาถึงยังไม่สามารถเคลื่อนพลไปได้ไกลกว่าที่ควรจะเป็น

   "คุณเคยเป็นแต่คนสั่ง"

   ตั้งแต่จำความได้ทิวากาลถูกเลี้ยงมาในรูปแบบที่ 'ค่อนข้าง' เหมือนคนทั่วไป จะต่างออกไปในบางรายละเอียดเช่นเขาจำช่วงเวลาที่มีมารดาไม่ได้ และเขาไม่เคยคิดจะนับผู้หญิงชื่อแม่สองเป็นผู้มีพระคุณ เขาโตมาพร้อมการปลูกฝังในทุกเรื่องจากบิดา คุณพินิจเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งเสมอในสายตาของเขา ชายตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกถึงสี่คนพร้อมกับธุรกิจอีกจำนวนมาก

   ผู้ชายที่ทำให้ตระหนักอยู่เสมอว่าการจะอยู่เหนือคนอื่นมาพร้อมภาระอันยิ่งใหญ่

   นึกไม่ออกว่าชื่อ 'ราชา' ใครเป็นคนแรกที่เริ่มเรียก เท่าที่ฟังมาเหตุผลของการใช้ชื่อนี้คือความรู้สึกบางอย่างที่คนเหล่านั้นมีเหมือนกัน เคารพ เกรงกลัว ยำเกรง แบล็คไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง...แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ นั่นเลยเกิดความย้อนแย้งขึ้นระหว่างชื่อจริงกับชื่อเล่น

   ทิวากาลแปลว่ากลางวัน ความสว่างสดใส

   แต่แบล็คคือสีดำ

   ไม่เคยมีกลางวันที่ไหนเป็นสีดำ
   
   หน้าที่ของพี่ที่มีน้องสามคนก็หนักหนาเอาการ คำที่ถูกสอนมาเสมอว่าพี่ต้องดูแลน้องคือสิ่งตอกย้ำลงไปในจุดลึกที่สุดของสมองและหัวใจ เขาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้องทุกคนต้องปลอดภัยภายใต้อาณาจักรของเขา

   "ถ้าพูดอย่างนั้น...ผมก็สั่งคุณได้อย่างนั้นสิ?"
   
   ทิ้งตัวหลังพิงกับกำแพงอีกครั้ง มือทั้งสองข้างประสานกันไว้ตรงท้ายทอย แสดงท่าทีสบายๆ ต่างจากการนั่งของพิชชาลิบลับ หมดเวลาลองเชิงแล้ว ตอนนี้คือการเจรจาที่ดึงเพียงวัตถุประสงค์มาพูด

   การขยับริมฝีปากให้เกิดรูปโค้งขึ้นได้องศาราวกับรูปวาด "ทุกอย่างมีข้อแม้เสมอครับ"

   "เพราะอย่างนี้ผมถึงเกลียดคำว่าบุญคุณต้องทดแทน"

   "อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นสิ" พิชชาท้าทายด้วยการขยับคิงบนกระดานรุกขึ้นไปหนึ่งช่อง ตำแหน่งหมิ่นแหม่ต่อการถูกรุกรานแต่เจ้าของกลับไม่เป็นเดือนเป็นร้อนกับการตัดสินใจของตัวเอง "สิ่งที่คุณคิดกับความเป็นจริงนี่อาจเป็นหนังคนละม้วนก็ได้"

   "แสดงว่าผมควรไปตามหาบทละครมาอ่าน"

   "บทเรื่องนี้มันเสร็จมาตั้งนานแล้วครับ"

   และเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ คิงที่ควรตั้งอยู่บนความเสี่ยงระดับสูงสุดกลับปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าทิวากาลขยับหมากออกไปเมื่อไหร่...ตัวเบี้ยที่อยู่ถัดออกไปก็พร้อมจะเข้ามารุกฆาตในทันที

   พิชชาร้ายกว่าใครอื่นที่ทิวากาลเคยพบเจอ

   ตัวหมากไร้การเคลื่อนไหวไม่ต่างกับสองสายตาประสานกัน สำหรับแบล็คเองเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการต้องมาเล่นเกมจ้องตาอย่างนี้ด้วยความเชื่อว่าไม่มีใครอื่นที่จะมาโค่นล้มตำแหน่งของน้องสาวเขาได้อีกแล้ว นัยน์ตาที่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นสีอะไรกันแน่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนไม่อาจบอกได้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดถึงเรื่องใดอยู่

   เป็นพิชชาที่ทำลายความเงียบลง

   "ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟัง"

   "ไม่ต้องการ" ตอกกลับไปพลัน ราชาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ต่อให้คนตรงหน้าจะแตกต่างจากใครอื่นมาเพียงไหนเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าจะมีใครที่รู้อนาคตได้

   หากอยู่จุดสูงสุดกลับพึ่งพาสิ่งไม่แน่นอน

   สมควรหรือที่ตนจะเป็นราชา?

   "ถ้าอย่างนั้นผมพูดคนเดียวก็ได้"

   "..."

   "คุณจะ 'ได้รัก' อย่างแน่นอน"

   ไยหนอยามที่นัยน์ตาสีผสมนั้นเงยขึ้นมาสบ เขาถึงไม่เคยหลบมันไปได้เสียที...

   "แล้ววันนั้นผมจะมาเอาคำตอบว่าหัวใจควรอยู่ที่ไหน"



   ขากลับเหลือเพียงคนขับไร้ตุ๊กตาหน้ารถเช่นตอนออกไป

   นอกจากเป็นหมอกสีดำแล้วพิชชายังเหมือนกับสายลมอีกด้วย กระดานไม้ที่ถูกล้มก่อนมีผู้ชนะถูกมัดมือชกมาให้เขาเก็บเอาไว้ เผลอเดินนำหน้าไปแค่ไม่กี่ก้าวหันกลับมาอีกทีก็ไม่เจอเจ้าของแล้ว หมดหนทางจะตามหาเลยต้องเดินเข้าบ้านด้วยของพะรุงพะรังทั้งของฝากแล้วก็กระดานไม้แผ่นใหญ่

   "ไปเที่ยวไหนมาวะมึง?"

   เจอน้องชายที่ไม่อยู่บ้านเมื่อเช้าในห้องนั่งเล่น มองไปรอบข้างไม่เห็นวิญญาณตามติดเลยถามออกไป "ที่หนึ่ง?"

   "หนึ่งก็กลับบ้านตัวเองสิ"

   "เห็นสัปดาห์ที่แล้วมานอนค้าง"

   "แล้วสัปดาห์นี้ต้องมาหรือไง" ช่วงก่อนบ้านของที่หนึ่งไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมด แต่คนลูกไปด้วยไม่ได้เพราะว่าติดงานคณะ "นี่ไปซื้อของมาเหรอ"

   "ประมาณนั้น" ไม่อยากจะต่อความยาวเลยรับไปให้จบ "มีของฝากมึงด้วย"

   "ไหน!"

   ตาลุกวาวเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แล้วอาจจะยิ่งกว่าเดิมด้วยเพราะกลายเป็นเด็กที่ได้รับการสปอยล์จากอีกคนเต็มที่ คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ขัดใจทุกที

   "กล่องสีขาว" ยื่นถุงกระดาษที่มีของสองชิ้นอยู่ข้างในให้หยิบเพียงของตัวเอง โรมเดินมารื้อของในถุงจนได้ยินเสียงกระดาษกรอบแกรบสองสามครั้งถึงเจอสิ่งที่บอก

   "จะให้กูเอาไปทำอะไรวะ ...แล้วไปไหนมา?"

   พอเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วพบว่าเป็นแท่นทับกระดาษโรมก็ทำหน้าสงสัยเต็มกำลัง จริงอยู่ว่าเขาเป็นน้องที่ได้รับการโอ๋จากเหล่าพี่ชายพี่สาวทั้งหลายจนในห้องเต็มไปด้วยของจำนวนมาก แม้จะเป็นเช่นนั้นของส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่เอาไปใช้จริงได้ในชีวิตประจำวัน ไม่เหมือนกับคราวนี้ที่เขาคิดไม่ออกว่าจะนำไปทำอะไรได้บ้าง

   คนเป็นพี่โตสุดถอนหายใจออกมานิดหน่อย คิดแล้วเป็นโชคดีที่น้องชายไม่อยู่บ้านเมื่อช่วงเช้า

   "ไปเล่นหมากรุกมา"

   "หือ?" เสียงที่ค้างอยู่ในลำคอบอกว่าโรมันประหลาดใจกับคำตอบนั้นไม่น้อย "กระดานนั่นน่ะเหรอ"

   ชี้ไปตรงงานไม้ขนาดใหญ่ที่ยังถืออยู่ด้วยมือขวา แบล็คพยักหน้าให้พลางตัดบททั้งหมด "อืม เดี๋ยวเอาของไปให้ไวท์ก่อนล่ะ"

   แยกกับน้องตรงนั้น คิดถึงน้องอีกคนว่าควรอยู่ส่วนไหนของบ้านในเวลานี้ ถ้ายังไม่ใช่ช่วงสี่ทุ่มรัตติกาลไม่ค่อยอยู่เป็นที่เป็นทาง อยากจะไปโผล่ส่วนไหนของบ้านก็ได้ บางทีก็เดินลึกเข้าไปในป่าข้างหลังคนเดียวไม่เกรงกลัวอะไรจนพ่อต้องวางระบบใหม่เผื่อว่าจะมีสัตว์เข้ามาทำร้าย

   บนชั้นสองห้องแรกคือห้องของน้องชายคนที่หนึ่ง ต่อมาเป็นห้องของเขาและห้องของน้องสาวที่มีประตูเชื่อมต่อถึงกัน ส่วนห้องของโรมแยกไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึก ไฟลอดออกมาจากประตูบานที่สองบอกเขาว่าคนที่ต้องการพบอยู่ด้านในอย่างแน่นอน

   เคาะประตูแทนการเรียกแล้วเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต ไวท์นั่งเล่นอยู่บนเตียงโดยมีสมุดเล่มใหญ่วางอยู่บนตัก หันมามองแขกยามวิกาลอยู่อย่างนั้นไม่เอ่ยคำใดออกมา

   "ของฝาก"

   ยื่นถุงกระดาษใบเดิมที่เหลือของเพียงชิ้นเดียวไปให้ น้องสาวรับมันไปไว้ข้างกายโดยไม่สนใจจะเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน สิ่งที่เธอทำคือจ้องใบหน้าเขากลับเงียบๆ  สีดำมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาว่างเปล่าที่ช่วงหลังเริ่มกลับมาเห็นแววประกายในนั้นอีกครั้ง เสียงอ่อนโยนลอยมากับห้วงอากาศดังขึ้นในหัว

   นัยน์ตาที่บอกว่าเหมือนที่สุด

   "คนเมื่อเช้า...ใคร"

   รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอคำถามนี้จากน้องสาว ทิวากาลถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยนัก "ต้องช่วยอะไรเขาหน่อยน่ะ"

   เลี่ยงที่จะไม่ใช้คำแบบพิชชา ถ้าบอกว่าเป็นคนที่เขาต้องอยู่ด้วยแล้วล่ะก็งานนี้คงได้มีการสอบสวนกันยาว

   "เหรอ"

   "มีอะไรหรือเปล่า"

   "คนนี้คือคนเดียวกับที่วันนั้นพามาใช่ไหม"

   "อือ" ไม่คิดว่ารัตติกาลจะเห็นด้วย เพราะไม่เห็นว่าเธอจะซักถามอย่างที่ทำตอนนี้เลย "เห็น?"

   "ตอนที่จอดรถ"

   รัตติกาลคิดถึงตอนมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนที่ตรงกับพื้นที่จอดรถพอดี พี่ชายของเธอดับเครื่องยนต์นานแล้วแต่ก็ไม่ยอมลงจากรถ ฟิล์มสีดำมองไม่เห็นว่าคนข้างในกำลังทำอะไรอยู่ แล้วยิ่งตอนประตูรถฝั่งซ้ายเปิดออกก็น่าตกใจเข้าไปใหญ่ที่เห็นชายหนุ่มผมยาวก้าวออกมาแล้วมองขึ้นมาตรงบริเวณที่หล่อนแอบอยู่

   "...เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ด้วย"

   นอกจากเพื่อนในกลุ่มที่เหลืออีกสามคนแล้วคนแรกที่เคยมาเหยียบบ้านแสนลึกลับแห่งนี้คือที่หนึ่ง เวลาเป็นรายที่สอง

   และมีชายคนนั้นเป็นคนที่สาม

   "จะต้องเจอไปอีกนานแค่ไหน?"

   "หมายถึง...?" บางครั้งการเป็นแฝดก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารเป็นไปโดยราบรื่นเสียทั้งหมด

   "คนนั้น"

   ฝาแฝดที่เป็นครึ่งชีวิตของกันและกันสบตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีก สายใยที่ไม่มีใครมองเห็นของคนร่วมท้องมาเกือบเก้าเดือนกำลังส่งต่อทุกความกังวลปะปนไปกับความระแวง

   รัตติกาลไม่เคยยุ่ง...ไม่สิ เธอควรใช้คำว่าไม่เคยทำให้ต้องยุ่งเสียดีกว่า พี่ชายของเธอเป็นคนมีเสน่ห์ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี ถึงอย่างนั้นคนเป็นพี่ก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นอย่างที่ควรเป็น สิ่งที่ทิวากาลมีคือน้องเท่านั้น

   น้องที่ต้องดูแลเท่าชีวิต

   "จนกว่าพี่จะคืนเขาไปหมด"

   "อย่างนั้นเหรอ..." ปลายเสียงเบาหวิวราวกับผิดหวังกับสิ่งที่ได้กลับมา น้องสาวหลุบตาต่ำไม่ยอมสบเข้ากับนัยน์ตาของอีกฝ่ายมันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนแบล็คต้องลดตัวลงไปนั่งอยู่เคียงข้าง จับศีรษะเล็กมาซบอยู่ตรงลาดไหล่ของตัวเอง

   "เล่ามา"

   "เมื่อเช้าตอนไปเปิดประตูบ้าน..." อยู่ดีๆ น้องสาวก็ลมหายใจขาดห้วงไปเสียอย่างนั้น "เขาทำเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นคนไปเปิด"

   การแย้มยิ้มราวกับยินดีเหลือเกินที่ได้พบกัน รัตติกาลมีเพื่อนน้อยจนนับหัวได้ และหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนนั้นไม่มีชายผมยาวคนนั้นอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

   "อืม มีอะไรอีกไหม"

   ตัดสินใจอยู่นานว่าจะบอกในสิ่งที่คิดออกไปดีหรือไม่ และสุดท้ายหล่อนก็เอ่ยปาก "ผู้ชายคนนั้น...ไม่น่าอยู่ใกล้"

   ทั้งรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียง รวมไปถึงบุคลิกที่คงไว้ซึ่งบางสิ่งตลอด บางอย่างที่เธอไม่ได้บอกออกไป คือคำทักทายเดียวของชายแปลกหน้าตอนเดินสวนผ่านกัน เสียงเบาที่ไม่รู้ว่าต้องการบอกให้ฟังหรือว่าเป็นการพูดลอยๆ

   'เลิกโทษตัวเองได้แล้ว มีคนเป็นห่วงนะ'

   นั่นคือเหตุผลที่เธอรีบเดินหนีขึ้นไปโดยอ้างว่าไปปลุกพี่ชาย...


***
   สวัสดีวันหยุดค่ะ (ยิ้ม) เดี๋ยวตั้งแต่ตอนหน้าจะเป็นคราวของพี่แบล็คบ้างแล้วล่ะ ปล่อยให้พิชชาได้บทมาสักพักแล้ว เจ้าชอบพิชชาจังเลยค่ะ รู้สึกว่าคนอย่างพี่แบล็คต้องเจออะไรอย่างนี้นี่แหละ (หัวเราะ)
   เจ้าไม่ค่อยเข้าใจระบบทวิตเท่าไหร่แต่ว่าเพื่อนบอกว่ามันเป็นอาการของแท็กพัง (?) เหมือนแท็กที่ใช้มันจะไม่ขึ้นอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ เจ้าเลยต้องขอเปลี่ยนแท็กสำหรับเรื่องนี้นะคะ
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2016 21:50:04 โดย 23August »

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
«ตอบ #31 เมื่อ19-07-2016 22:08:45 »

พิชช่วยให้ความกระจ่างอย่างด่วนค่ะ  :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.4-2 [19.07.16] P.2
«ตอบ #32 เมื่อ28-07-2016 17:31:30 »

ตามมาจากเรื่อง ที่หนึ่ง

แอบเป็นแฟนคลับแบล็คมาตั้งแต่เรื่องที่หนึ่ง อ่านไปก็คิดอยู่ว่าถ้าราชามีคู่ คนๆนั้นจะต้องไม่ธรรมดา

แล้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย พิชดูน่าค้นหาและไม่น่าเข้าใกล้ ชอบตัวคะลรแบบนี้มากกกกกกกกกกกกกก

รอนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
«ตอบ #33 เมื่อ07-08-2016 16:28:45 »

CH.5-1


   เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มผูกพัน

   นั่นคือการเรียนรู้สำหรับคำว่าจากลา



   ไล่สายตาไปตามตัวอักษรจนจบคำสุดท้ายแล้วจึงเบนออกไปมองทิวทัศน์ภายนอกกระจกใสบานใหญ่ จากการลากให้ไปเป็นคนขับรถในวันเสาร์ก็เริ่มอัพเกรดเป็นมาหาในวันธรรมดาหลังเลิกเรียน อยู่ในรูปแบบเดิมคือบอกแค่จุดหมายปลายทางแล้วก็ลอยหน้าลอยตารอเป็นตุ๊กตาหน้ารถ

   ไม่ใช่สิ ตอนแรกทำตัวเป็นคุณชายนั่งอยู่เบาะหลัง ทั้งขู่ทั้งปลอบสารพัดกว่าจะเลิกเล่นตัวแล้วมานั่งข้างหน้าด้วยกัน แล้วก็เอาแต่เปิดเพลงฟังยากเหมือนเดิมไม่คิดจะเปลี่ยนบ้าง

   คราวนี้เป็นเรื่องดีอยู่หน่อยก็ตรงพิชชาไม่ให้เขาขับรถเข้ามาในเมืองหรือว่าสถานที่แปลกๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วสองครั้งก่อนหน้า สถานที่ที่เอาชายผมยาวมาหย่อนไว้คือหน้าห้างสรรพสินค้าชื่อดังแถวมหาวิทยาลัย สำทับไว้ว่าให้รอด้วยเขาก็เลยต้องมานั่งอ่านหนังสือที่ไม่รู้จะนิยามประเภทว่าเป็นแบบไหนอยู่คนเดียวในร้านกาแฟที่สามารถมองออกไปภายนอกได้

   ไม่อยากอ่านหนังสือเรียนจนยอมแวะไปร้านหนังสือที่อยู่ชั้นใต้ดิน เดินวนอยู่ข้างในเพื่อเช็ครายชื่อของเข้าใหม่ที่น่าสนใจโดยได้หนังสือเกี่ยวกับการเล่าเรื่องเพ้อฝันในชีวิตมาหนึ่งเล่ม แล้วก็มีอีกสองเล่มเกี่ยวกับนิติศาสตร์

   กาแฟดำประจำวันหายไปเกือบค่อนแก้ว นั่นบอกได้ว่าเขานั่งอยู่ภายในร้านนี้มานานแค่ไหนแล้ว ถึงอย่างนั้นคนที่บอกให้มาส่งก็ยังไม่กลับมาเสียที

   ห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งจะปรับปรุงใหม่ดูกว้างขวางกว่าเดิมหลายเท่า เขามองว่ามันก็ดีในแง่การกระจายตัวของประชากรที่จะไม่แออัดอยู่แค่ส่วนการค้าเดิม ส่วนแย่ก็คงเป็นคนที่เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ก็จะใช้เวลาในการเดินทางมากขึ้นเท่านั้น

   ถอนหายใจออกมาอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก วันนี้วิชาเรียนไม่ได้หนักหนาอะไรแต่ว่าหัวสมองกลับตื้อไปหมด ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ลอยขึ้นมาหลังจากนั้นช่วยระบุที่มาของอาการนี้ได้ สาเหตุมาจากชายชื่อพิชชาสินะ เขาไปตามหาข้อมูลเพิ่มมากแค่ไหนก็คว้าน้ำเหลว นอกจากอินสตาแกรมที่ระบุเวลาอัพเดตของแต่ละรูปห่างกันเป็นเดือนหรือสองเดือนแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก

   "ไม่กลับบ้าน?"   

   หันหน้ากลับเข้ามาในตัวร้านตามเสียงเรียก ร่างของชายที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนักทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเป็นใคร

   ความจริงก็พอเดาได้ตั้งแต่เห็นสีเสื้อแล้วล่ะ

   "ก็เห็นอยู่"

   เวลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถือวิสาสะนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ติดกันโดยไม่คิดจะขออนุญาตก่อน เขามองเครื่องดื่มที่วางอยู่เคียงข้างหนังสือเล่มหนาอยู่พักใหญ่ ความสงสัยนำไปสู่คำถามจำนวนมากในหัว เป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าคนที่ไม่ค่อยยอมห่างจากน้องสาวมากนักในช่วงหลังกลับมานั่งไขว่ห้างอยู่คนเดียวอย่างนี้

   "เดี๋ยวไปส่งซินที่บ้านให้แล้วกัน"

   "ไม่เป็นไร"

   แม้ว่าจะเจอหน้ากันเกือบทุกสัปดาห์ การสนทนาของทั้งคู่ก็ไม่เคยจะญาติดีกันได้เกินนาที ทิวากาลมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกสักนิดที่คนเป็นพี่อย่างตนเองจะต้องมีอคติกับชายอื่นที่เข้ามาใกล้น้องสาว ยิ่งเป็นรายแรกและรายเดียวแล้วด้วย

   "แล้วนี่..." ชี้ไปยังของที่อยู่บนโต๊ะ "อยากเปลี่ยนบรรยากาศ?"

   "ก็ชีวิตเจอแต่คนน่าเบื่อ"

   "หึ..."

   "รู้ตัวแล้วก็ไปซะ"

   สีดำรู้เสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ใครเขาชอบพูด ส่วนลึกแล้วเขาทั้งใจร้อนแล้วก็โมโหร้ายอย่างที่คุณพินิจยังเคยออกปากเองว่าคงไม่มีใครห้ามอยู่ ครั้งหนึ่งก็เคยน็อตหลุดใส่น้องโรมไปเหมือนกัน น้องอาจจำไม่ได้เพราะผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ความผิดพลาดครั้งที่หนึ่งไม่เคยมีครั้งที่สองตามมา

   'หน้าที่' มาพร้อมคำว่า 'รับผิดชอบ'

   มงกุฎของราชาหนักเสมอ

   "ไม่มีวัน"

   "ผมเกลียดคุณเวลา"

   "แล้วผมบอกเมื่อไหร่ว่าอยากให้คุณรัก?"

   ประโยคนั้นแทนทุกอย่างว่าเพราะอะไรทิวากาลถึงเกลียดคนตรงหน้า ทั้งมั่นใจแล้วก็มั่นคง สองสิ่งที่ไม่ควรรวมอยู่ในคนเดียวเพราะมันจะออกมาในรูปแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจนถึงตอนนี้ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทิวากาลจะข่มคนตรงหน้าลงได้

   "คนที่ผมอยากให้เขา 'รัก' มีแค่คนเดียว"

   สิ่งหนึ่งที่ณธามไม่เคยคืนคำ คือเมื่อรักไปแล้วมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

   แล้วเขาจะรู้จักคำว่าจากลาบ้างไหม...

   "คิดว่าพูดอย่างนี้แล้วจะใจอ่อนหรือไง"

   "ไม่คิด แล้วก็ไม่สนด้วย"

   "แนะนำว่าถ้ายังอยากไปส่งน้องสาวผมอยู่ก็เงียบไป"

   "คุณอนุญาตแล้วนะ"
   
   "ทำอย่างกับถ้าห้ามแล้วคุณจะทำตาม"

   ถ้าไม่ได้อยู่ในร้านกลางห้างทิวากาลคงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบดับอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังพลุ่งพล่านนี้ ตั้งแต่เรื่องพาน้องสาวเขาหนีลากยาวมาจนถึงเรื่องที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ล่าสุดก็เรื่องจดหมายในตู้

   โอเค สรุปตัวอัปมงคลในชีวิตเขาคือชายที่ชื่อเวลานี่แหละ

   "แล้วนี่หาเจอหรือยัง?"

   อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น ใบหน้าเรียบตึงของเวลากำลังบอกว่าเป็นการถามที่ค่อนข้างจะทั่วไป

   "ต้องบอก?"

   "แสดงว่าเจอแล้ว" เวลาสรุปเอาเองจากการตอบอย่างนั้น บ้านนี้เหมือนกันอย่างหนึ่งคือชอบตอบด้วยคำถาม เจอมากี่คนก็อย่างนี้ "ดีใจด้วยนะ"

   มันน่าดีใจตรงไหนกัน...

   อยากจะพ่นคำหยาบออกมาอยู่หรอก ติดตรงบุคคลที่สองไม่เคยใช้คำพูดสมัยพ่อขุนในการสื่อสารจนเขาเองไม่อยากกลายเป็นคนไร้อารยธรรมไป เวลาเอียงคอเล็กน้อยยามเห็นว่าที่พี่เขยของตัวเองทำหน้ายุ่งเพิ่มหนึ่งระดับต่างจากปกติ

   "อุตส่าห์ตามหาตั้งนาน ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น"

   "ไปรับน้องสา..."

   "กลับมาแล้วครับ"

   ยังไม่ทันจะไล่ให้ไปรับส่งน้องสาวเสียงที่สามก็แทรกเข้ามา ชายสองคนแรกพร้อมใจกันหันไปทางหนุ่มผมยาวผู้มาพร้อมกับถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านเสื้อผ้าราคาแพงไว้ การเปิดตัวได้จังหวะสวยงามเล่นเอาทิวากาลเผลอเขม่นใส่ ใครจะมองโลกในแง่ดีก็ช่าง สำหรับเขาแล้วพิชชา 'จงใจ' ที่จะเข้ามาหาตอนเวลายังอยู่

   "อ้อ..." ณธามไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ไม่มีความคิดจะละลาบละล้วงข้อมูลของชายที่เข้ามาใหม่ ไม่แม้จะแนะนำตัวหรือว่าถามชื่อ มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจหลายอย่างรอการพิสูจน์ต่อไป

   "ครบแล้ว?"

   "เปล่าครับ มีอีกเยอะเลย"

   นอกจากเวลาแล้ว พิชชาคืออีกคนที่ทิวากาลเกลียด

   "แล้วนี่คือคนนั้นใช่ไหมครับ" ใบหน้าที่มองทิวากาลอยู่จนถึงเมื่อครู่เปลี่ยนไปทางชายตัวสูงผมสีอ่อน "ผมประทับใจควา..."

   "พิช ชา"

   ทางที่ดีคือรีบตัดบทก่อนผู้รู้แสนลึกลับจะเริ่ม 'เล่าเรื่อง' เพิ่มเติมอีก คราวนี้การขยับมุมปากขึ้นจนเกือบเป็นการยิ้มแสยะของพิชชาส่งมาทางเขาคล้ายปีศาจที่เคยเห็นเพียงในภาพวาด นัยน์ตาฉายแววท้าทายจนผู้เป็นราชาต้องพูดต่อโดยเบี่ยงประเด็นเดิมให้ตกไป

   "แล้วทำไมไม่ไปซื้อให้ครบก่อน"

   "พอดีเจอคนที่อยากทักมานานแล้วน่ะครับ เลยแวะมาหน่อย" ของที่พะรุงพะรังอยู่ในมือวางพิงลงกับขอบเก้าอี้ของทิวากาล

   "สวัสดีครับเวล..."

   การออกเสียงตัวสุดท้ายควรจบด้วยตัวสะกด แต่ริมฝีปากของคนผมยาวกลับขยับเพิ่มอีกหนึ่งครั้งแบบไม่มีเสียง ชื่อที่ถูกเพิ่มสระเข้าไปอีกหนึ่งตัวเล่นเอาณธามเกือบสะดุด แต่สุดท้ายเขาก็ทำเป็นญาติดียกมือขึ้นแทนการทักทาย

   "ไปรับซินก่อนล่ะ"

   รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เวลาเลือกพาตัวเองออกไปจากพื้นที่สุ่มเสี่ยงอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้จักคนมาใหม่ เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่กลุ่มติดเพื่อนจะมีสมาชิกคนอื่นเพิ่มเข้ามาโดยไม่มีใครรู้

   อีกอย่างคือเวลารู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้ชายคนนี้

   ทิวากาลรอจนร่างที่มีความสูงไล่เลี่ยกันเดินออกไปจากร้านแล้วถึงหันมาถามคนที่นั่งหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ

   "ทำไมไม่ซื้อให้ครบ"

   "ถือไม่ไหวแล้วครับ"

   นอกจากเป็นคนขับรถแล้วเขายังต้องเป็นพนักงานเฝ้าของด้วยอีกหรือไง...

   "ก็วางไว้ เดี๋ยวเฝ้าให้"

   "ไม่เอาครับ"

   ได้เวลาเขี่ยอันดับเจ้าชายจอมเอาแต่ใจไปอยู่ลำดับสองแล้วล่ะ ในเมื่อตอนนี้เขามีมือวางอันดับหนึ่งคนใหม่แล้ว

   "งั้นกลับเลยแล้วกัน"

   "ยังไม่กลับครับ"

   เด็ดขาดจนเกินขอบเขตของคนเอาแต่ใจ ใบหน้าของคนที่เหนือกว่ายังระบายรอยยิ้มคล้ายคนอารมณ์ดีเป็นนิจ ทิวากาลตีหน้าเรียบขณะคิดว่าควรพูดอะไรต่อเพื่อให้ไม่เป็นการทำร้ายจิตใจจนเกินไป

   มือข้างขวายื่นออกไปเตรียมหยิบกาแฟขึ้นดื่ม ในขณะที่มือของอีกคนไวกว่าคว้าไว้กับตัวได้ก่อน มือที่กางออกเตรียมจับแก้วเลยแปรเป็นกำหมัดไว้หลวมๆ แล้ววางลงกับโต๊ะแทน เขาท่องบอกตัวเองไว้เสมอนั่นแหละว่าสำหรับพิชชาแล้วการทำความเข้าใจต้องมีการรีเซ็ตใหม่ทั้งหมด ไม่ว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องปกติไม่เคยมีคราวไหนเอามาปรับใช้ได้อย่างลงตัวเสียที

   "ที่คุณทำอย่างนั้นผมยังไม่ได้ว่าเลยนะ"
   
   "ทำอย่างนั้น...?" ย้อนถามยียวนพร้อมนัยน์ตาระยับ

   "ที่คุณเกือบ...เล่าเรื่องให้หมอนั่นฟัง"

   "เวลาน่ะเหรอครับ" ชื่อเล่นแบบเต็มที่ทิวากาลไม่เคยได้ยินใครเรียกนอกจากน้องสาวของตนเองออกมาอย่างที่กลัวเอาไว้ "ผมไม่ได้จะเล่าอะไรให้ฟังสักหน่อย แค่อยากเชียร์ให้ผ่านด่านพี่เขยจอมเรื่องมากก็เท่านั้นเอง"

   ทิวากาลเลยผ่านตำแหน่งที่ใช้เรียกแทนตัวเขาไป นอกจากเรื่องของตัวเองแล้วแม้กระทั่งเรื่องของน้องสาวฝาแฝดยังรู้ ถ้าวันหนึ่งพิชชาเดินเข้าไปหาน้องโรมกับที่หนึ่งแล้วพูดอะไรสักอย่างก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่

   ปริศนาเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นทุกที

   "ผมเลือกของไม่ค่อยเป็น"

   "ถ้าเทียบผมกับคุณแล้วคิดว่าใคร 'เลือกไม่เป็น' กว่ากันล่ะครับ?"

   มีการยกแขนทั้งสองข้างให้เห็นว่าเสื้อที่ใส่เป็นผลผลิตของผ้ามัดย้อมตามหมู่บ้านท้องถิ่น เขาเป็นคนที่มีความหลากหลายของสีสันจนเห็นกี่ครั้งก็ยังเดาทางไม่ค่อยถูกว่าครั้งหน้าที่เจอกันจะเป็นแบบไหน

   อย่าคิดว่าเขาหลงเสน่ห์อะไรถึงกับรอการเจอกันครั้งต่อไป มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าคนอย่างพิชชาไม่ยอมไปไหนง่ายๆ อยู่แล้วต่างหาก กว่าคนเป็นเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่

   "เกิดอยากเปลี่ยนตัวเองขึ้นมาหรือไง?"

   "ผมคงไม่ห้ามความคิดคุณหรอกครับ" แก้วกระดาษที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายถูกแกว่งไปมาก่อนจะหยุดอยู่ตรงตัวอักษรย่อของสินค้า พิชชาไล่จากบรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายจึงเปลี่ยนมาสบตากับทิวากาลที่มองอยู่ก่อนแล้ว "ดื่มขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่หลับหรอกครับ"

   "เรื่องของผม"

   "ปกติผมมีคาถาทำให้ฝันดีนะ"

   "ผมไม่ฝัน" ไม่ได้พูดอะไรเกินจริงเท่าไหร่ หลังจากที่ต้องเป็นคนไข้ของจิตแพทย์ช่วงหลังจากเกิดเรื่องเขาก็ค้นพบวิธีในการควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่อมให้ท่องอยู่ในนิทราสีดำสนิทได้ตลอดทั้งคืน

   "หรือจะเก็บไปบอกคนที่ไม่ยอมหลับก็ได้นะครับ"

   "...!"

   จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายจากกลิ่นกาแฟหลงเหลือเพียงความตึงเครียด แม้การจ้องตาจากอีกฟากฝั่งจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการพาดพิงบุคคลที่สามให้เข้ามาอยู่ในคำบอกเล่าจะเป็นสิ่งปกติเช่นกัน

   "บอกแล้วไงครับว่าผมรู้..."

   "จะซื้อก็ลุก"

   คว้าถุงช็อปปิ้งไว้ในมือ หนทางที่จะทำให้หยุดปากได้คงเหลือเพียงทางนี้เท่านั้น



   ร้านที่พิชชาชี้นิ้วสั่งคือร้านเสื้อเจาะกลุ่มวัยรุ่น ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าในโทนสว่างมีสีดำหรือสีเข้มประปราย วิธีการเลือกเสื้อผ้าของคนเจ้ากี้เจ้าการคือการเดินจนทั่ว มีการหยิบสิ่งที่สนใจขึ้นมาพลิกดูรายละเอียดและการตัดเย็บ ประหลาดดีตรงไม่คิดจะพลิกดูป้ายราคาว่ามีราคาเท่าไหร่

   "คุณครับ ...ทิวากาล ...แบล็ค"

   "..."

   "ราชา"

   สิ้นคำเรียกสุดท้ายทิวากาลถึงยอมเงยหน้าจากหนังสือเล่าเรื่องเพ้อฝันในมือ ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทนการถามว่ามีเรื่องอะไรถึงเรียกไม่ยอมหยุดอย่างนั้น

   "ดูเหมือนผมจะเลือกชื่อที่จะเรียกให้คุณยอมหันมาได้แล้วนะ"

   "อยากทำอะไรก็เชิญ"

   "คุณว่าตัวไหนดีกว่ากันครับ"

   สิ่งที่อยู่ในมือพิชชาคือเสื้อยืดสองตัวมีลวดลายไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ด้านซ้ายเป็นลายการ์ตูนลิขสิทธิ์สีฟ้าอ่อน ส่วนทางซ้ายเป็นลายกราฟฟิคผสมกับสีเลือดหมู

   "ใครใส่ล่ะ"   

   ทั้งสองแบบเป็นดีไซน์อย่างที่ทิวากาลไม่คิดจะชายตามอง รสนิยมการใส่เสื้อผ้าของเขาไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่นในบ้านมากเท่าไหร่ บิดาที่มีอายุห้าสิบกว่าเข้าไปแล้วชอบใส่แบบสีสันสดใสโดยให้เหตุผลว่าพอยิ่งแก่ตัวลงก็จะชอบอะไรที่มันแทนความมีชีวิตชีวา

   เขาเองชอบอะไรที่ใส่แล้ว 'ดูดี' ในหลายๆ สถานการณ์ เลยเลือกสีพื้นฐานที่ปรับเปลี่ยนตามงานได้ง่าย เสื้อที่ใส่ก็มีตั้งแต่แบรนด์ไปจนถึงตลาดนัดข้างทาง อยู่ที่ว่าชอบการออกแบบและตัดเย็บมากแค่ไหน

   "เอาที่ราชาชอบครับ"

   "ผมไม่ชอบทั้งสองแบบ"

   "งั้นซ้ายหรือขวา"

   "ยังไงผมก็ต้องเลือกใช่ไหม"

   หนังสือที่คั่นด้วยมือไว้ทีแรกเพราะคิดว่าไม่น่าจะต้องคุยนานอย่างนี้เปิดออกเพื่อจำเลขหน้า หลังจากนั้นก็ปิดมันอีกครั้ง

   "ครับ"

   "นี่พิช..."

   "คนที่ไม่เคยถูกบังคับเลือกอย่างคุณนี่พอต้องเลือกจริงๆ แล้วก็โวยวายไม่ยอมหยุดเลยนะ"

   พูดจบก็หันหลังกลับไปแขวนเสื้อทั้งสองตัวกับราวแบบเดิม ไม่มีสัญญาณใดบอกล่วงหน้าพิชชาก็เดินตัวปลิวออกจากร้านไปโดยมีสายตาของคนถือของจำเป็นมองตามไปด้วยความรู้สึกสงสัยเต็มประดา

   ...เขาไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าใต้คำพูดนั้นมีอะไรแฝงไว้อยู่

   จากร้านแรกสู่ร้านที่สอง กว่าที่จะมีการซื้อเกิดขึ้นจริงปาไปร้านที่สาม ทุกครั้งเหมือนกันตรงที่พิชชาจะหยิบเครื่องแต่งกายออกมาสองชิ้นแล้วให้เขาเลือกก่อน พอบอกว่าไม่ชอบก็เปลี่ยนไปเรื่อยจนกว่าจะเจอตัวที่ใช่

   "สรุปแล้วซื้อให้ผมหรือไง?"

   ถามไปแบบรู้คำตอบอยู่แล้ว ของทุกชิ้นที่เลือกมาไม่ใช่ขนาดของพิชชาหรือของเขา มันเล็กกว่าเบอร์หนึ่งจนคาดเดาไปเองว่าคงซื้อไปฝากคนอื่น

   พิชชาไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาไล่สายตาจากบนลงล่างจนเจอกับสิ่งที่ต้องการ ที่หนีบไทด์สีเงินที่เห็นแล้วก็ชื่นชมคนออกแบบ "อันนี้เอาไปฝากคุณน้า"

   "คิดถึงคนอื่นตลอดเวลาอย่างนี้เลย?"

   "แล้วได้เอาค่าน้ำมันไปเบิกหรือยังล่ะครับ"

   ทิวากาลไม่เคยบอกว่าเช็คในวันนั้นกลายเป็นเศษสีไหม้ไปในวันเดียวกันแล้ว

   "แสดงว่าไม่ได้ใช้ล่ะสิ" การยกไหล่ขึ้นแบบไม่สนใจโลกคงเป็นเอกลักษณ์ของเขาไปเสียแล้ว "ผมถึงไม่หยิบมาตั้งแต่แรกไงครับ"

   "ค่าเป็นเพื่อนคุยสูงจังเลยนะ"

   "ก็กำไรที่ได้หลังจากการคุยมันเยอะกว่านั้นไม่รู้กี่สิบเท่านี่ครับ"

   คนที่ดูมีความเชื่อด้านสิ่งลี้ลับกับการพูดในแง่เศรษฐศาสตร์ออกมาเป็นส่วนผสมที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แบล็คพยักหน้ารับรู้ไปส่งๆ ทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่นัก กำลังคิดถึงข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่กับตัวตั้งนานแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับชายไฮโซคนนั้น จับแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ค่อยล้มแรงเหมือนใครอื่น อย่างล่าสุดน่าจะเป็นคอนโดสร้างใหม่ริมทางรถไฟฟ้า

   "ดูสนิท...เป็นพิเศษ"

   "อย่าเป็นเด็กขี้อิจฉาสิครับราชา"

   มือเย็นเฉียบตบลงตรงแก้มเขาสองสามครั้ง ไว้จะลองไปถามเพื่อนที่เรียนหมอว่า 'มนุษย์' นี่สามารถลดอุณหภูมิของตัวเองลงไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ

   "อย่าคิดแทนผมผู้หยั่งรู้"

   "อย่างนั้นเหรอครับ ผมนึกว่าคุณอยากรู้ใจจะขาดแล้วเสียอีกว่าผมกับคุณน้ารู้จักกันได้ยังไง"

   "คุ..."   

   พนักงานขายเดินกลับมาพร้อมถุงกระดาษขนาดใหญ่เสียก่อนที่ราชาจะได้เอ่ยคำอื่นออกไปต่อ พิชชากล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าไร้การแต่งแต้มเข้ามาใกล้

   "พยายามอีกหน่อยนะครับ ผมยังมีอะไรที่อยากให้คุณรู้เยอะแยะเลย"



   สิบนาที

   สิบนาทีที่ทิวากาลนั่งอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่เห็นวี่แววว่าคนที่บอกว่าขอลองเสื้อหน่อยจะออกมาจากส่วนห้องลอง สำหรับบางคนแล้วสิบนาทีอาจไม่ใช่ช่วงเวลานานนัก แต่ถ้าบอกว่าพิชชาเดินเข้าไปพร้อมเสื้อแค่ตัวเดียวนี่จะเรียกว่านานได้แล้วหรือยัง

   มีข้อความส่งมาจากคนที่เพิ่งเจอกันในร้านกาแฟว่าไปส่งน้องสาวถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่พอยังถามมาอีกว่าแยกกับพิชชาแล้วหรือยัง เขาอ่านจบแล้วก็ลบห้องสนทนานั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี อารมณ์ไม่ดีก็ยังจะซอกแซกกับชีวิตเขาอีก เวลานี่มันตัวอัปมงคลชัดๆ

   ให้โอกาสอีกห้านาที แต่พอครบแล้วมันก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนที่เข้าไปพร้อมเสื้อหนึ่งตัวจะเสด็จออกมาได้
   
   หมดเวลา!

   มีห้องลองชุดเพียงห้องเดียวปิดม่านเอาไว้อยู่ ทิวากาลไม่ลังเลเลยที่จะเดินไปกระชากม่านนั่นให้พับเก็บไว้อยู่ฝั่งเดียว และพิชชาคงไม่มีต่อมรับรู้ความรู้สึกในส่วนของความตระหนกตกใจ สิ่งที่ชายผมยาวทำเพียงส่งตายิ้มมาให้แทนการทักทาย

   "มาพาดีเลย รบกวนช่วยแก้สร้อยให้หน่อยได้ไหมครับ"

   สร้อยเส้นบาง จับแล้วน้ำหนักที่ได้บอกว่าเป็นของมีคุณภาพ ไม่มีร่องรอยของการลอกหรือว่าเปลี่ยนสี ทิวากาลเองก็มีเครื่องประดับอย่างนี้ตกทอดมาจากคนเป็นพ่ออยู่หลายชิ้น ถ้าไม่ดูแลตลอดเวลาไม่มีทางได้สีเงาวับอย่างนี้แน่นอน

   "ถ้ารู้ว่ามันจะมีปัญหาอย่างนี้ก็ควรจะถอดออกได้แล้วนะ"

   "ก็ถอดไม่ได้ไงครับ"

   "ผมถอดให้เลยไหมล่ะ?"

   เห็นแล้วรำคาญตาในบางที คือตอนที่มันห้อยเป็นสร้อยเส้นเดียวอยู่ด้านหน้ามันไม่มีอะไรหรอก พอเห็นจากด้านหลังที่กลายเป็นเงื่อนตายขนาดใหญ่แล้วก็คันไม้คันมืออยากทำให้มันคลายออก

   "ไม่!"

   เสียงห้วนสั่งห้ามหลุดฟอร์มที่พิชชาใช้มาตลอด ภาพในกระจกคือคนที่ทำตัวร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเม้มริมฝีปากของตัวเองเอาไว้ แววตื่นตระหนกฉายออกมาผ่านสีหน้าอยู่บนนั้นเพียงชั่วพริบตา พอทิวากาลดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้อีกครั้งใบหน้าเรียบที่ยิ้มเพียงช่วงมุมปากก็กลับมาอยู่บนนั้นเหมือนเดิม

   ใบหน้าของคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนอาจหน้านิ่ง หรือบางคนก็ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ส่วนพิชชาเป็นการผสมกันของหลายๆ สีหน้า เขาชอบยิ้มที่มาพร้อมความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้เสมอ

   "งั้นก็อยู่เฉยๆ ให้ผมแก้ปมออกก่อน"

   "รบกวนด้วยนะครับ"

   ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้าโดยมีมือของพิชชาคอยจับเอาไว้สูง คนที่มีน้องสาวแต่ไม่เคยเข้ายุ่งอะไรกับเรื่องความงามก็ออกอาการเก้กังอยู่ไม่น้อย นอกจากจะพันกันเองแล้วยังมีเส้นผมบางส่วนผสมด้วย ใช้ทักษะการแก้ไขปัญหาทั้งหมดเข้าช่วยก็ยังไม่เห็นทางสว่าง

   "นี่ อย่างน้อยก็ถอดออกมาแป๊บเดียวได้ไหม ถ้าอยู่อย่างนี้ทั้งชาติคงแก้ไม่ออก"

   "ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรครับ"

   ผมยาวสีดำเป็นลอนสวยหล่นลงมาตามนั้นทันที คนที่ยังตามอารมณ์ไม่ถูกก็เลยลดมือลงมาอยู่ข้างตัว สำรวจดูแล้วก็พบว่าเสื้อที่ติดมือเข้ามาลองด้วยยังคงแขวนเอาไว้กับราวเหมือนอย่างตอนเดินเข้ามา

   "แล้วลองหรือยัง?"

   "ไม่ล่ะครับ ไม่อยากได้แล้ว"

   "พิช..." ข่มความไม่พอใจเอาไว้ก่อน คิดหาคำพูดที่ดูเป็นการด่าทางอ้อมให้สวยที่สุด "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเตือนตัวเองหน่อยว่าคุณให้ผมรออยู่ข้างนอกมาสิบห้านาทีแล้ว"

   "ผมรอมานานกว่านั้นยังไม่บ่นสักคำ"

   พอเจอคำอธิบายที่แสนเอาแต่ใจอย่างนั้นแบล็คก็ให้คำอนุญาตตัวเองที่จะทำอย่างที่ใจต้องการเสียที

   มือทั้งสองข้างเลื่อนไปจับสะโพกใต้ผ้าฝ้ายเอาไว้มั่น โน้มตัวลงไปตรงข้างหูของคนข้างหน้า กระซิบคำที่ไม่ใช่เพียงแค่การขู่อีกต่อไป

   "ถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้อะไร..."

   นัยน์ตาสองคู่ประสานกันผ่านกระจกบานใหญ่

   หนึ่งคือราชาผู้ยิ่งยศศักดิ์

   อีกหนึ่งคือผู้รู้รอบที่น่าหวั่นเกรง

   เสียงดนตรีเปิดกล่อมภายในร้านไม่ช่วยลดระดับความรุนแรงของสงครามเย็นที่เกิดขึ้น และเป็นพิชชาที่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ชายผมยาวทิ้งตัวมาด้านหลังโดยไม่ห่วงว่าเขาจะรองรับเอาไว้ทันหรือไม่

   กลิ่นน้ำหอมที่สัมผัสแรกเหมือนกับของทิวากาล หากเมื่อลองพิจารณาดูแล้วมันมีความต่างกันอยู่ในความรู้สึก ของพิชชาจะสดชื่นกว่าเมื่อเทียบกับของเขาที่เต็มไปด้วยความหวานจนเกือบเลี่ยน

   คำตอบแปลออกมาได้เพียงอย่างเดียว

   "แต่ต่อจากนี้ไปผม 'ต้อง' รู้หมดทุกอย่างแน่"

   พอสักทีพิชชา

   หมดเวลาที่คุณจะได้เดินนำ


***
   หายไปนานเลยค่ะ ที่จริงเจ้าตั้งใจจะพิมพ์ให้เสร็จบทนี้ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วแต่ว่ามีงานเข้าแบบวันต่อวันเลยไม่ได้มีเวลาว่างเลย คิดว่าถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็น่าจะกลับมาลงได้ต่อเนื่องแบบเดิมแล้วค่ะ ยังไงก็อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2016 19:45:03 โดย 23August »

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
«ตอบ #34 เมื่อ09-08-2016 11:38:30 »

ชอบๆ รอเสมอจ้า  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ แพท

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-1 [07.08.16] P.2
«ตอบ #35 เมื่อ16-08-2016 08:23:49 »

รอยุน่ะ อัพเร็วๆน่ะค่ะ :mew2: :hao5:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.5-2 [22.08.16] P.2
«ตอบ #36 เมื่อ22-08-2016 18:25:31 »

CH.5-2


   ประตูไม้บานใหญ่ งานสลักลวดลายเก่าแก่สมกับเป็นที่อยู่ของพวกผู้ดีสมัยก่อน ไอที่ลอดผ่านช่องออกมาเย็นเยียบไม่ต่างกับหัวใจของทิวากาล
   ข้างหลังประตูบานนี้จะมีสิ่งที่เขาตามหาอยู่หรือเปล่า...
   มือขวาที่จับอยู่ตรงลูกบิดค้างอยู่อย่างนั้น ความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ข้างในจนเรียบเรียงความสำคัญไม่ถูก รู้ดีว่ามีอะไรอีกมากมายรอให้เขาไปค้นพบ หากป้ายข้อควรระวังก็เตือนผู้เล่นเอาไว้แล้วว่าจงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ถ้ามันไม่ใช่คำตอบสู่ประตูบานต่อไป ก็คงเป็นการจบเรื่องทั้งหมด
   สูดหายใจเข้าลึกให้ออกซิเจนได้ช่วยเพิ่มความปลอดโปร่งให้ส่วนความคิด ลองนึกจนครบทุกทางว่านอกจากจะทำอย่างนี้แล้วมันยังมีทางอื่นให้เข้าเลือกหรือไม่ และสุดท้ายมันก็เหลือเพียงเสียงเดียว
   ไม่มีทางไหนดีกว่าเปิดมันเข้าไป



   คราวนี้ไม่มีการทานอาหารในร้านแปลกอย่างที่ทิวากาลมักเจอหากอยู่กับพิชชา หลังได้ของตามต้องการจากร้านสุดท้ายแล้วเขาก็บอกแค่เพียงว่าช่วยไปส่งตรงป้ายรถเมล์หน่อยก็เท่านั้นเอง

   เขาก็เสียเวลานึกตั้งนานว่าในห้างนี้จะมีร้านลับแลอยู่ตรงไหนได้บ้าง

   "ให้ไปส่งหอเลยไหมล่ะ หรือว่าอยู่บ้าน"

   พอออกจากอาคารจอดรถแล้วถึงเห็นว่าพื้นที่ด้านนอกปกคลุมไปด้วยม่านฝนชั้นหนาทึบ ลมแรงพัดต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ลู่ไปตามทิศที่ต้องการ เด็กกว่าครึ่งเช่าห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว เรื่องปกติของสถานศึกษาที่ตั้งอยู่นอกตัวเมือง

   "ไม่เป็นไรครับ ส่งที่เดิมก็พอ"

   "แล้วของ?" เบาะหลังของรถอีโค่คาร์ที่เคยว่างเปล่ามีถุงหลายแบบวางเอาไว้ "ไม่น่าจะถือหมดนะ"

   "ฝากไว้ก่อนแล้วกันครับ ไว้จะมาเอา"

   "บอกแล้วว่าเดี๋ยวผมไปส่งก็ได้"

   คนเป็นราชาเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับประชาชนขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนที่จ้องจะทำลายบัลลังก์เขาก็เถอะ

   "ไม่ครับ เดี๋ยวกลับเอง" วูบหนึ่งที่คนขับนึกเปรียบพิชชากับตัวเอง นิสัยทำอะไรเด็ดขาดอย่างนี้ไม่ต่างกับเขาและคนที่บ้านเลย ถ้าลองได้ตัดสินใจทำอะไรไปแล้วก็จะไม่ยอมหันหลังกลับง่ายๆ

   "คุณก็เห็นอยู่ว่าฝนตกหนักแค่ไหน"

   "เดี๋ยวก็หยุดแล้วครับ"

   "ฟ้าแทบจะมืดสนิทอย่างนี้คงเป็นชั่วโมง"

   เสียงหยันที่ติดอยู่ในลำคอแปลกหู ทั้งทุ้มแล้วก็แหบแห้ง "อยากลองพนันกันไหมล่ะ”

   นัยน์ตาสีผสมเป็นประกายราวกับเจอของเล่นถูกใจ ทิวากาลมองมันแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา

   "การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย"

   "แค่เรื่องฟ้าฝนนี่ผิดกฎหมายด้วยเหรอครับ"

   "ผมแค่ไม่อยากให้สุขภาพจิตตัวเองเสียไปมากกว่านี้"

   "แปลกนะ ผมมีความสุขทุกวันตั้งแต่ได้เจอคุณ"

   "เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมพิชชา"

   ใบหน้ายังแย้มละไม และเขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอจ้องรอให้ริมฝีปากนั้นขยับตั้งแต่เมื่อไหร่

   "เรา 'ต้อง' ได้เจอกัน"

   ไม่ใช่ในสิ่งที่เขาถาม การเจอกันครั้งแรกในร้านอาหารไทยกลางเมืองนั่นพิชชาเคยบอกว่าเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ระยะเวลาที่เขาลองย้อนกลับไปเป็นยี่สิบปีก็ยังไม่คุ้นสักนิด ทิวากาลเชื่อว่าความทรงจำของตัวเองไม่มีทางแย่อย่างนั้น เขามั่นใจว่าต่อให้เป็นช่วงเรียนอนุบาลเขาก็ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อพิชชา

   เสียงนิ้วที่เคาะกับพวงมาลัยรถดังเป็นจังหวะแข่งกับการกระทบของหยาดฝนด้านนอก นิสัยที่ทิวากาลทำเพื่อการรวมรวมความคิด เขาไม่เคยไปเรียนดนตรีจริงจังอย่างที่น้องคนเล็กเคยทำ จะมีก็เพียงเล่นกีตาร์เหมือนเพื่อนผู้ชายหลายคนชอบก็เท่านั้นเอง

   "ไม่มีใครเปลี่ยนมันได้หรอกครับราชา" กระเป๋าผ้าใบแปลกที่ไม่เหมือนกับคราวที่แล้วถูกกระชับแน่น อาการของคนเตรียมพร้อมจะลงจากรถกระตุ้นให้คนที่อยู่บนบัลลังก์ขยับมือออกไปกดปุ่มล็อคทั้งรถเอาไว้ก่อน

   "ต้องลองทดสอบดูแล้วมั้ง"

   ไร้การตอบสนองอย่างที่อยากเห็น ชายผมยาวยังอยู่ในอาการสงบ ไม่โวยวายหรือว่าแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ทิวากาลเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าคนตรงหน้าอาจไม่ได้เป็นมนุษย์ก็ได้ ทำไมเขาถึงไม่ยี่หระต่อการคุกคามได้ขนาดนี้

   "รบกวนเปิดล็อคครับ"

   "ตอบผมมา"

   "ตอบว่า?" ย้อนถามกลับสั้น "คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอครับว่าจะถามผมว่าอะไร"

   มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของพิชชาไม่ใช่การส่งรอยยิ้ม แต่เป็นการส่งข้อควรจำให้กับทิวากาลว่าหากตำแหน่งการเล่นไม่เหมือนกัน...กฎที่บังคับใช้ในการเดินก็ต่างเช่นกัน

   ริมฝีปากที่เม้มเข้ายามถูกจี้ใจดำผละออกอย่างรวดเร็ว เขาเคยถามไปแล้วและพิชชาก็ไม่เคยให้คำตอบตรงๆ ทำตัวเหมือนเป็นหนังสือเลคเชอร์สูตรลัดที่ต้องไปอ่านหนังสือหลักเพื่อเพิ่มความเข้าใจอยู่ดี การรู้สูตรแต่ไม่รู้โจทย์ไม่มีทางช่วยในแก้ปัญหาได้

   "ไหนใครบอกว่าจะรู้ทุกอย่างไงครับ" เข็มขัดนิรภัยถูกปลดออก พิชชายังสาละวนกับการตรวจสอบข้าวของของตัวเองโดยไม่คิดเงยหน้าขึ้นมาสบตา ราวกับว่าชายที่อยู่ด้านข้างไม่มีตัวตน

   "รบกวนเปิดล็อครถด้วยครับราชา"

   ใช้เสียงนอบน้อมยิ่งกว่าครั้งไหน

   "ก่อนจะเริ่มเกมสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้ดีนะครับ"

   คำสอนที่พ่อเคยให้เมื่อนานมาแล้ว ไม่ว่าจะในเกมการแข่งขันหรือว่าในชีวิตจริง ยิ่งประเมินสถานการณ์ได้มากเท่าไหร่ชัยชนะก็พร้อมโบยบินมาหา กำลังทหารแม้จะมากกว่าหลายเท่าตัวก็อาจเป็นผู้แพ้ได้ถ้าไม่รู้จักการจัดการที่ดี

   ร่างเล็กกว่าแทรกตัวผ่านไปยังประตูอีกฝั่ง ฉวยโอกาสที่เขาหยุดการเคลื่อนไหวอยู่เปลี่ยนคำสั่งเสีย สัมผัสได้ถึงผมหยักศกเส้นยาวทิ้งตัวลงกับช่วงตักเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนตุ๊กตาหน้ารถจะกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม

   เวลาไม่กี่วินาทีเล่นเอาทิวากาลหายใจไม่ทั่วท้อง

   "ฝากของด้วยนะครับ"

   "พิช!"

   การเรียกของเขาไม่มีประโยชน์อันใด เมื่อยังไม่ทันจะพูดชื่อจบเสียงปิดประตูก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว ภาพของชายผมยาวเดินฝ่าสายฝนไปยังจุดจอดรถประจำทางด้วยจังหวะการเดินไม่เร่งรีบ ผ้าฝ้ายที่เคยพองตัวก็ลีบลงจนเห็นว่าแผ่นหลังนั้นไม่ได้เล็กอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอด

   อยากจะเรียกกลับมาคุยให้รู้เรื่อง เสียงแตรรถยนต์ด้านหลังก็เตือนให้ต้องรีบขยับรถก่อนที่จะเป็นตัวปัญหาสำหรับการจราจร ทิวากาลหัวเสียจนตะคอกคำหยาบออกมาไม่มีหยุด เปลี่ยนเกียร์แล้วเคลื่อนรถออกไปแบบไม่เต็มใจมากนัก

   สายตามองถนนพอให้มั่นใจว่าห่างจากรถคันข้างหน้าพอสมควรแล้วจึงกลับมามองที่แห่งเดิม

   แต่ไม่เห็นว่าจะมีร่างของใครคนนั้นอยู่ตรงป้ายรอรถอย่างที่ควรจะเป็น

   ตอนแรกตั้งใจว่าจะอ้อมรถกลับมาอีกครั้ง พอคิดไปคิดมาแล้วมันก็ไม่ได้การันตีว่าพิชชาจะยังอยู่ที่เดิม คนที่เป็นหมอกอย่างนั้นโดนลมพัดทีเดียวก็ปลิวหายไปแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเอาไว้ได้คงต้องหาขวดโหลมาใส่

   ฝนตกกับการจราจรติดขัดเป็นของคู่กัน เขาเหยียบคันเร่งแล้วผ่อนลงหลายต่อหลายครั้งภายในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร รถบนท้องถนนก็แออัดเกินพอแล้วยิ่งมาเจอกับช่วงเวลาที่ต่างคนต่างลดระดับความเร็วลงมันช่างน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน มือข้างซ้ายปรับวิทยุให้กลับมาทำงาน ช่องเพลงสมัยก่อนที่เปิดค้างไว้ฉุดอารมณ์ให้ดิ่งลงไปลึกกว่าเดิม รีบปิดมันเพื่อให้ทั้งรถเหลือเพียงเสียงทำงานของเครื่องยนต์ มันยังน่าอภิรมย์มากกว่าเสียงเพลงเหล่านั้นหลายเท่านัก

   ไม่ถึงสิบนาทีทิวากาลก็หลุดออกจากบริเวณเจ้าปัญหา เริ่มเร่งความเร็วขึ้นเพื่อให้ไม่เสียเวลาการเดินทางไปมากกว่านี้ ที่ปัดฝนถูกปรับระดับให้หยุดการทำงาน

   เพราะท้องฟ้าหยุดร้องไห้ลงแล้วตามคำเล่าของผู้หยั่งรู้



   หมากบนกระดานถูกเรียงเอาไว้ตามตัวอย่าง กลยุทธ์ที่วางล้อมคิงเอาไว้จนมองไม่เห็นทางออก

   นั่นคือทิวากาลในตอนนี้

   "วันนี้สมาชิกเหลือแค่สองชีวิต"

   ไม่หันไปหาต้นเสียงในทันที แบล็คยังคงมองตำแหน่งของตัวหมากในกระดานอยู่อีกพักใหญ่จึงช้อนตาขึ้นมามองบุพการีในชุดสูทเพราะเพิ่งกลับมาจากงานสังคม

   "ไวท์ล่ะครับ?"

   "เห็นว่าไปทานข้าวเย็นกับพ่อหนุ่มผมทอง"

   เขาล่ะอยากโทรไปด่าเสียตอนนี้ ไหนบอกว่าพามาส่งที่บ้านแล้วไง!

   แค่ตัวอัปมงคลก็ไม่สบอารมณ์พอแล้ว แล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่มีการห้ามปรามอะไรเลย ลูกสาวคนเดียวไปกินข้าวเย็นกับผู้ชายสองต่อสองนะ

   "ทำหน้ายุ่ง เพิ่งมาหวงอะไรตอนนี้"

   "ผมหวงของผมมานานแล้วต่างหาก"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าลูกชายของพ่อเป็นพวกขี้หวง" น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทิวากาลไม่เคยได้ยินยามอยู่ข้างนอก ผู้ชายคนหนึ่งต้องแบกรับทุกอย่างไว้โดยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย บิดาของคู่แฝดทิวาราตรีมองกระดานหมากรุกตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากรอยยิ้มที่ส่งมาให้ก็แปรเป็นเรียบตึง "ของใคร?"

   แม้จะเป็นสัมผัสเบาบางทิวากาลก็รู้ว่าในการถามมีอะไรซ่อนอยู่

   "ของคนรู้จักครับ" เป็นอีกครั้งที่ใช้คำว่าคนรู้จักในการระบุความสัมพันธ์

   "ชื่อ?" และมันชัดเจนเมื่อตอนที่เขาได้รับคำถามต่อมาอย่างนั้น สายตาของพ่อลูกประสานกัน และลูกที่ดีก็ทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจมากนัก

   "พิชชา" นอกจากชื่อแล้วไม่ได้บอกนามสกุลไป

   "ลูกของ...ใช่ไหม"

   ชื่อของบิดาอีกฝ่ายอยู่ในข้อมูลที่ได้มา เขาพยักหน้ากลับไปเพื่อบอกว่าอย่างน้อยข้อมูลในส่วนนี้ก็ตรงกัน

   จากข้อมูลชุดเดิมไม่แน่ใจว่าเชื่อส่วนไหนได้บ้าง เขาไม่มีข้อมูลของชายผู้ให้กำเนิดพิชชามากไปกว่าชื่อนามสกุล แล้วก็เป็นผู้บริหารใหญ่ของบริษัทดูแลเรื่องอสังหาริมทรัพย์

   ทุกอย่างแปลกไปหมด ไม่มีความลงตัวเลยสักนิด

   "รู้จักเหรอครับ"

   "สังคมคนแก่ รู้จักไปทั่ว" ชายวัยห้าสิบกว่าเดินมานั่งบนเก้าอี้อีกตัว แว่นสายตายาวที่ติดตัวเอาไว้เสมอถูกหยิบขึ้นมาสวม "เสียไปแล้วเมื่อต้นปี มะเร็งอะไรสักอย่าง"

   "อ้อ..."

   ตอบกลับแห้งแล้ง นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อของพิชชาเสียชีวิตไปแล้ว ทิวากาลเบนความสนใจทั้งหมดมาอยู่ตรงคำบอกเล่าของบิดา หมากบนกระดานถูกเรียงค้างไว้ในรูปแบบเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม

   "แล้วนี่คิดยังไงถึงหยิบมาเล่น ตอนนั้นสอนไม่เห็นจะชอบ"

   "ผมบอกว่าผมเล่นได้ มีแต่น้องโรมที่โวยวายอยู่คนเดียว"

   "นี่ใกล้ตายแล้วนะ" หากพิชชาคือคนที่รู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น คุณพินิจก็เป็นคนที่รู้ในสิ่งที่จับต้องได้ บิดาผู้จบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กลับบอกเล่าเรื่องราวร้อยแปดได้เสมอ ไม่มีครั้งไหนตอบว่าไม่รู้ อย่างเรื่องหมากรุกนี่เคยได้ยินมาว่าสมัยยังหนุ่มเป็นจำพวกไร้คู่ต่อสู้อยู่เหมือนกัน

   ชายที่แพ้ให้ผู้หญิงคนเดียว

   เรื่องเล่าจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ทิวากาลไม่ชอบออกงานที่ต้องพบปะกับคนแปลกหน้ามากเท่าไหร่ แต่หากงานไหนมีความสำคัญมากในฐานะลูกคนโตแถมยังเป็นลูกคนเดียวที่น่าจะพึ่งพาได้ก็ต้องทำตามคำขอ เขาชอบเครื่องมึนเมาก็เวลานี้ ช่วงที่อดีตจะได้กลับมามีชีวิตอยู่ในรูปของเสียงและจินตนาการ แต่อย่าให้คุณพินิจรู้เชียวว่าเขาเคยได้ยินเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปแทนอีกแน่

   "กำลังหาวิธีโกงความตายครับ" เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับความผิดปกติได้เลยต้องหัวเราะออกมาราวกับว่าหมากกระดานนี้เป็นเพียงของเล่นไร้ความสำคัญ "ยังไม่อยากตาย"

   "ไม่มีใครฝืนชะตาได้..."

   ใบหน้าแต้มรอยย่นบอกถึงเค้าความชรา ชายผู้เป็นพ่อพิงตัวลงกับเบาะสำหรับการผ่อนคลายอารมณ์ ทิวากาลมองภาพนั้นแล้วคิดย้อนไปถึงตอนตัวเองยังเป็นเด็กชายตัวน้อยที่สามารถขี่อยู่บนไหล่ของบิดาได้ เขาเคยคิดว่าน้ำหนักตัวเองในเวลานั้นก็หนักมากแล้ว แต่ 'หน้าที่' ที่ต้องแบกไว้มันมากกว่านั้นกี่ร้อยกี่พันเท่ากันนะ

   "ผมแค่เลือกทางให้ตัวเองครับ"

   "เรื่องนี้แบล็คไม่เหมือนพ่อ"

   "ครับ?"

   "ถ้าเป็นพ่อคงอยู่เฉยๆ แล้วยอมรับทุกอย่าง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด"

   ใบหน้าที่มองแล้วหาความคล้ายไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นแบล็คหรือไวท์ก็ตามทีไม่เคยมีใครที่บอกว่าเหมือนพ่อ เขาเลยสรุปไปเองว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องเหมือนแม่ ก็เคยเจอตัวจริงเสียที่ไหนล่ะ ได้ยินแค่ชื่อนี่ก็เป็นบุญหูเท่าไหนแล้ว

   สิ่งที่ทิวากาลกับรัตติกาลได้จากพ่อคือจิตวิญญาณ

   "ถ้าเป็นไวท์ก็คงบอกว่าไม่เล่นตั้งแต่ต้น"

   ความพึงพอใจส่งผ่านเสียงหัวเราะ ชายสองคนประสานเสียงกันจนบ้านที่เงียบสนิทน่าอยู่ขึ้นมาหน่อย

   "จะว่าไปนี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เอาของไปเยี่ยมคนบ้านนั้นหน่อยก็น่าสน..."

   โอกาสที่ยื่นมาให้ตรงหน้าบอกให้ทิวากาลรีบคว้าเอาไว้

   "ผมเอาไปให้ได้นะครับ" กลบความกระตือรือร้นที่มีด้วยการอ้างเรื่องอื่น "พิชลืมของเอาไว้บนรถ ผมว่าจะเอาไปคืนอยู่พอดี"

   "ก็ดีนะ รู้จักบ้านใช่ไหม"

   กระจกใสบานใหญ่ของตู้โชว์ของสะสมจากทั่วทุกมุมโลกด้านหลังของคุณพินิจสะท้อนครึ่งหน้าของเขากลับมา

   ราชาที่กำลังเหยียดยิ้มออกคล้ายปีศาจผู้กระหายเลือด

   "แน่อยู่แล้วครับ"
 


   "ทำไมตื่นเช้า?"

   วางช้อนด้ามยาวในมือลง หันไปตอบคำถามน้องเล็กสุดของบ้านที่มาในสภาพเพิ่งตื่น ยังคงใส่ชุดนอนสีเข้ม มือข้างหนึ่งถือตุ๊กตาตัวโปรดลงมาด้วย มีอย่างที่ไหนกลับบ้านมานอนวันเสาร์อาทิตย์ก็แบกกลับมาด้วยตลอด อ้างว่าไม่มีแล้วนอนไม่หลับ เขาล่ะอยากจะทำที่หนึ่งยัดนุ่นมาไว้ในห้องจะได้ไม่ต้องทำอะไรอย่างนี้อีก

   "ตื่นปกติ"

   "ไม่ ถ้าวันเสาร์มึงจะตื่นเก้าโมง มีแต่กูกับไวท์ลงมาทันข้าวเช้า"

   "คนที่ไม่ค่อยอยู่บ้านอย่างมึงจำได้ด้วยเหรอน้องโรม"

   วันนี้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไรมากเพราะรู้ดีว่าศึกที่แท้จริงคือช่วงเวลาต่อจากนี้ เขาเลยหาเรื่องพูดไปถึงอีกคนที่เกือบจะเอาน้องเขาของไปเป็นสมบัติส่วนตัวอยู่แล้วรอมร่อ

   โต๊ะทานข้าวทำจากไม้สลักตัวใหญ่มีทิวากาลนั่งอยู่ฝั่งขวา ส่วนโรมันนั่งลงตรงข้ามโดยเอาตุ๊กตาไว้บนเก้าอี้ตัวถัดไป ถ้าที่หนึ่งรู้คงประทับใจจนน้ำตาไหล

   "มึงเก็บไปบอกน้องสาวตัวเองเถอะ แม่งมาบ้านบ่อยกว่าหนึ่งอีกแล้วมั้ง"

   คงเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทั้งสองคนเห็นตรงกัน คนเป็นพี่ใหญ่สุดเพียงทำเสียงอือออแทนการรับทราบ ยื่นมือไปตักต้มผักมาไว้ในจานตัวเองเพิ่ม "ใครจะห้ามได้"

   "ต้องได้คนนี้แล้วจริงอะ"

   "ไม่อยาก?"

   "ก็ไม่ใช่อย่างนั้น" อาหารมื้อเช้าถูกปรุงรสชาติด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนเดียวในบ้านหลังนี้ "หมั่นไส้อะ เข้าใจฟีลไหม"

   "ตัวเองมีหน้าไปพูดอย่างนั้นหรือไง กับที่หนึ่งนี่ไม่น่าหมั่นไส้เลยสิ?"

   น้องคนเล็กผู้ต้องสู้รบปรบมือกับพี่คนอื่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับพี่ชายที่ชื่อว่าเน็ท จอมหวงผู้ซึ่งไม่เคยปล่อยให้อะไรหลุดออกไปจากการครอบครองของตัวเองชอบหาเรื่องให้คู่รักได้ปวดหัวอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่โรมเองก็ไม่เคยไประรานอะไรชีวิตเขาบ้างเลยสักนิด

   "แล้วเมื่อไหร่ราชาจะมีบ้างล่ะครับ ผมรอคนที่จะมาเป็นราชินีใจจะขาดแล้วเนี่ย"

   "รอไปเถอะ"

   เมื่อเรื่องมันเริ่มวกกลับมาหาตัวเองก็ต้องตัดบทเพื่อความปลอดภัย ทิวากาลรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันแทนสัญลักษณ์ของการจบมื้ออาหาร มองชายตัวผอมที่นั่งอยู่อีกฝั่งเคี้ยวข้าวในปากโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาตามที่ได้สอนไว้ว่าหากมีอาหารอยู่ในปากแล้วไม่ให้พูด

   "เอาจริงนะ คิดภาพคนที่มายืนคู่กับมึงไม่ออกเลย" ควีนผู้สวยสง่า คนที่คู่ควรกับการยืนเคียงข้าง คนที่โรมันเคยคิดแล้วก็ยังไม่เจอแม้แต่โครงร่าง "ต้องเป็นคนที่แปลกมากๆ เลยอะ"

   พอพูดถึงคำว่าแปลกแบล็คก็คิดถึงคนที่กำลังจะไปเยี่ยม ถ้าเป็นคนนั้นแล้วล่ะก็คำพูดของน้องโรมก็คงเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่เสียใจด้วย ชายคนนั้นไม่ใช่ราชินีแต่เป็นผู้หยั่งรู้ที่เต็มไปด้วยเวทมนต์ต่างหาก

   "พูดเหมือนไม่ใช่คน"

   "ต้องเป็นคนสิ แต่ว่าต้องไม่เหมือนคนปกติ"

   "เอ้า? มนุษย์พันธุ์พิเศษหรือไง"

   เริ่มสนุกกับการได้ไล่ต้อนให้จนมุม โรมหยุดมือที่จับอุปกรณ์ทานอาหารทั้งสองข้างลง มื้อเช้าในวันนี้คงไม่อร่อยเสียแล้วเมื่อเขาโดนพี่ชายแกล้งไม่มีหยุด

   "มึงก็อย่างนี้อะแบล็ค"

   "อย่างนี้?"

   "หาเรื่อง กวนตีน"

   ความสุขอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มยังมีอยู่คือการได้เห็นน้องตัวเล็กที่เลี้ยงมาเติบโตขึ้นตามความคาดหวัง เขาอาจไม่ใช่พี่ชายประเภทตามเอาใจทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งก็คงมาจากความจริงที่ว่าโรมอายุห่างจากคนอื่นประมาณหนึ่งปีเท่านั้นเอง เพราะอย่างนั้นคนที่อายุไล่เลี่ยกันก็ควรมีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่พอกันได้แล้ว แบล็คไม่เคยปลอบเวลาน้องผิดหวัง คนทำหน้าที่นั้นมีหลายคนแล้ว ให้เขาได้เป็นฝ่ายซ้ำเติมบ้างดีกว่า ตราชั่งจะได้เฉลี่ยสองข้างเท่ากัน

   "กูรักมึงจะตายไปน้องโรม"

   "รักมากก็เลิกแกล้งกู"

   "ก็นี่ไงวิธีการแสดงความรัก"

   "เฮอะ คนอย่างมึงเหรอแบล็ค"

   โรมันไม่ค่อยคิดอะไรมากในการพูดแต่ละครั้ง เพราะเขารู้ว่าพี่คนอื่นเข้าใจความหมายแท้จริงข้างในว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการบ่นเรื่อยเปื่อย "ความรักคืออะไรมึงยังไม่รู้จักเลยเถอะ"

   "แล้วมึงรู้จัก?"

   "ที่หนึ่งไง"

   นัยน์ตาสีดำเมื่ออยู่ในที่ร่มมองตรงมาไม่มีลดละ โรมันจ้องหน้าของพี่ชายตัวเองไม่แม้จะกระพริบตาให้เสียเวลา "...ทุกคนอยากให้มึงมีความสุขนะ"

   "แล้วทุกวันนี้กูเหมือนคนอมทุกข์มากขนาดนั้นหรือไง"

   โคลงหัวไปมา กลับไปคิดว่าตัวเองไปหลุดตอนไหนให้น้องจับได้

   "มึงไม่เคยมีความสุขต่างหาก"

   "..."

   ริมฝีปากที่มักจะยกขึ้นทำมุมน้อยๆ กลับกลายเป็นเส้นตรง เมื่อน้องชายคนเล็กพูดคำนั้นออกมาพร้อมกับตีหน้านิ่งสนิท สิ่งที่โรมันพูดก่อนหน้ายังคงติดอยู่ในส่วนของการรับรู้ คนอย่างเขาเหรอไม่มีความสุข?

   "มึงเอาแต่ดูแลพวกกู เมื่อไหร่จะดูแลตัวเอง"

   "กูดูแลตัวเองดีแล้วเลยไปดูแลพวกมึง"

   คนที่ยังจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ไม่ควรมีสิทธิ์ไปดูแลคนอื่น

   แก้ความเข้าใจผิดเสียก่อน คุณพินิจสอนมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นพี่ต้องดูแลน้อง คนเป็นพี่ชายคนโตอย่างเขาเลยทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรักษาสัญญาของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวฝาแฝด น้องชายต่างแม่ หรือว่าน้องชายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย

   เรื่องของเกรย์ต่อให้ไม่เคยคุยสักคำทิวากาลก็บอกได้หมดว่าการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง สังคมของเพื่อนน่ากังวลหรือเปล่า ชีวิตของการอยู่โดดเดี่ยวในต่างแดนมีอะไรน่ากังวลหรือไม่ น้องที่อยู่ไกลอย่างนั้นเขายังรู้ทั้งหมด นับประสาอะไรกับคนเคยอยู่ข้างห้อง

   "ก็ตอนนี้มึงไม่ต้องดูแลแล้วไง"

   "กูยังต้องดูแลไวท์อยู่"

   อ้างไปถึงครึ่งชีวิตของตัวเอง ขยับข้อมือขึ้นมาดูเวลาว่าถึงกำหนดตามที่วางไว้แล้วหรือยัง พอเห็นว่าเข็มสั้นใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกทีจึงลุกขึ้น ทิ้งเรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหน้าไว้โดยไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ทวนคำถามได้อีก

   "จะไปไหน?"

   "ไปประกาศสงคราม"

   ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เขาอาจกลับมาลองคิดเรื่องนี้จริงจังว่าตัวเองไม่มีความสุขหรือเปล่า



   ออกจากบ้านมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง 'บ้าน' ของพิชชาเสียที สาเหตุก็มาจากการแวะมาร์เก็ตระหว่างทางนี่แหละ เกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากทำอะไรบางอย่างเมื่อเข้าไปข้างในถ้ำเสืออย่างที่บอกไว้แล้ว

   ที่เคยพูดเอาไว้ว่า 'ต้องรู้ทุกอย่าง' เขาก็พยายามทำให้ได้อย่างที่พูดอยู่ตลอด หากตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองมีแค่ความคิดเท่านั้น ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมไม่มีอยู่เลย

   แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ไปเสียทุกเรื่องอย่างนั้น มีความจำเป็นขนาดไหนที่ต้องรู้จัก

   ทำไมต้องให้เลือด ทำไมถึงเพิ่งมาปรากฏตัวทั้งที่เรื่องนั้นก็ผ่านมาเป็นครึ่งปี แล้วทำไมถึงต้องให้เขาชดใช้ด้วยการอยู่ด้วยกัน
ทำไม

   ทำไมต้องเป็นทิวากาล

   กระดาษคำถามไร้ร่องรอยของการเขียนคำตอบ

   หยิบของที่คิดว่าจำเป็นลงตะกร้าไปเรื่อยๆ ระหว่างทบทวนแผนทั้งหมดอีกครั้ง ถึงส่วนใหญ่เขาจะเป็นแนวหน้าในการรบมากกว่าเป็นเสนาธิการจอมวางแผน ก็ไม่ได้หมายความว่าทิวากาลจะทำอะไรอย่างนี้ไม่เป็น คนเป็นราชาต้องทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจอมทัพหรือว่าผู้วางแผน

   และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเติมเต็มกระดาษแผ่นนี้


***
   บอกว่าจะมาต่อก็หายไปเฉยเลยค่ะ ที่จริงก็ไม่ได้หายนะคะ ขอเรียกว่าแวบไปลงเรื่องสั้นดีกว่า (หัวเราะ) เรื่องนี้เลยค่ะ With Love, ด้วยรัก จะไม่ได้เฉลยตอนจบไว้ชัดเจนเท่าไหร่ เรื่องสั้นมันก็สนุกตรงนี้แหละ (ยิ้ม)
   แล้วเจอกันใหม่พรุ่งนี้นะคะ จะชดเชยที่หายไปยาวให้ได้มากที่สุดเลยค่ะ ตอนหน้าพี่แบล็คจะรุกบ้างแล้วววว
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2016 19:52:13 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
«ตอบ #37 เมื่อ23-08-2016 19:57:36 »

CH.6

   การ ‘แวะเอาของมาให้’ สะดวกจนอดระแวงไม่ได้ ตั้งแต่หน้าประตูที่บอกว่าเอาของมาเยี่ยมผู้รักษาความปลอดภัยก็ปล่อยให้รถอีโค่คาร์เข้ามาทันที บ้าน...หรือควรเรียกว่าคฤหาสน์ดีนะ คิดถึงคำเตือนของพ่อที่บอกว่าอย่าตกใจตอนเห็นขนาดของบ้าน จากประตูรั้วกว่าจะมาถึงบ้านใหญ่ได้ก็เกือบนาทีเข้าไปแล้ว ยังไม่รวมบ้านย่อยหลังอื่นที่เขาเห็นตอนจอดรถอีกนะ บ้านของตระกูลเก่าแก่นี่ร่ำรวยถึงขนาดนี้เชียว

   ที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่มีประชากรอยู่เพียงน้อยนิด นอกจากคนงานในตำแหน่งต่างๆ แล้วเขายังไม่เห็นหน้าของญาติพี่น้องพิชชาสักคน ติดภาพหนังไทยที่จะต้องมีพวกคุณหญิงคุณนายจนหลอนไปหมด

   ถึงขั้นว่าลองนึกภาพของพิชชาเวอร์ชั่นคุณผู้หญิงดูแล้วด้วยซ้ำ

   ด้านในของบ้านเต็มไปด้วยของประดับราคาแพง ทุกอย่างหรูหรา ไร้ที่ติ ต่างจากบ้านของเขาที่เน้นทำความสะอาดง่ายเอาไว้ก่อน ก็มีแม่บ้านเหมือนกันแต่มาจากบริษัทที่ทำสัญญาเอาไว้เป็นรายปี ทุกคนยังต้องช่วยกันดูแลบ้านเท่าที่แรงเอื้ออำนวย อีกหนึ่งอย่างคือบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบันสร้างในช่วงแบล็คอายุไม่กี่ขวบ มันเลยค่อนข้างทันสมัยกว่าบ้านหลังที่เขากำลังสำรวจอยู่

   ความแปลกใจยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีกเมื่อรอบตัวไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้ ไร้ผู้ต้อนรับ ไร้สิ่งมีชีวิตอย่างอื่นคอยสร้างสีสันให้กับบ้าน มันมีเพียงความเงียบสงัดกระจายตัวอยู่โดยรอบ จนเขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในบ้านหรือว่าพื้นที่ห้ามเข้ากันแน่

   หรืออาจเป็นอย่างอื่น

   ความสามารถพิเศษในการปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบข้างช่วยให้กล้าเดินไปมาภายในบริเวณบ้านโดยไม่มีความเกรงใจอะไร ก็ตั้งแต่มาถึงสิ่งแรกที่ทำคือตามหาห้องครัว เอาของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ยัดเข้าไปข้างในนั้นเตรียมไว้สำหรับแผนขั้นต่อไป

   ห้องจำนวนมากถูกแบ่งสัดส่วนเอาไว้ชัดเจน เขายังไม่ได้สำรวจจนครบทุกส่วน เอาแค่ห้องสำคัญก่อนเท่านั้น อย่างเช่นห้องดนตรีที่มีแกรนด์เปียโนสีขาวตัวใหญ่ตั้งเด่นอยู่

   ที่ไม่เห็นอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ตื่นหรือไง พิชชาไม่น่าใช่คนขี้เซาเลย เพราะตอนที่ถามคนดูแลประตูบ้านก็บอกว่ายังไม่เห็นชายผมยาวออกไปไหน

   คิดตามหลักการปกติห้องนอนมักจะอยู่ชั้นสอง ทิวากาลจึงเดินขึ้นบันไดวนไปยังด้านบนของบ้าน เก็บรายละเอียดในส่วนต่างๆ เอาไว้ให้มากที่สุดเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขารู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับคนที่ชื่อพิชชา ระยะทางยิ่งไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันคืออะไรกันแน่

   หรือจะเป็นอย่างที่พ่อของเขาเตือนเอาไว้ อย่าพยายามเข้าใจคนในบ้านนี้

   มันมีหลายห้องจนไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน ชะโงกจากริมระเบียงลงไปด้านล่างว่าบ้านหลังนี้ไม่คิดจะมีใครเลยอย่างนั้นจริงหรือ

   “นี่คุ...”

   มองไปเห็นหญิงสาวในชุดคล้ายยูนิฟอร์มกำลังทำท่าทางมีพิรุธอยู่ตรงทางขึ้น เลยลองเรียกดูเผื่อว่าจะช่วยตามหาห้องของพิชชาได้

   เจ้าหล่อนสะดุ้งสุดตัว พอเห็นเขาแล้วก็รีบวิ่งออกไปทางหนึ่งของบ้าน ทิวากาลได้แต่ปล่อยให้เสียงฝีเท้านั้นลับหายไปโดยไม่มีโอกาสได้วิ่งตาม

   นี่คือบ้าน?

   เก็บความสงสัยไว้กับตัวเองเป็นเรื่องที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้นับ ที่พอรู้มาเพิ่มจากบิดาก็แค่บ้านหลังนี้มีเชื้อเจ้านายชั้นสูงมาตั้งแต่ช่วงต้นของกรุง เป็นคนใหญ่คนโตก็เยอะ เจ้าบ้านคนปัจจุบันคือพ่อของพิชชาที่เสียไปเมื่อต้นปี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนดูแลในขณะนี้

   ส่วนเรื่องของแม่คุณพินิจไม่อาจบอกได้เพราะไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน เขาเกือบหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าเป็นชาวต่างชาติดีที่อีกฝ่ายขอตัวขึ้นพักผ่อนเสียก่อน

   มองการตกแต่งบ้านไปเรื่อย ทั้งรูปวาดร่วมสมัยจนถึงสมัยใหม่ ของประดับหลายแบบจากหลากประเทศ จนมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานหนึ่ง ให้อธิบายอย่างนี้ก็ดูผิดวิสัยของเด็กเรียนกฎหมายเหมือนกัน บางสิ่งกำลังร้องบอกทิวากาลว่านี่คือสิ่งที่เขากำลังตามหา

   ไอเย็นที่ลอดมาจากด้านล่างจากประตูบอกว่ามีคนอยู่ในนั้น เสียงนุ่มแฝงการหยันเหยียดลอยมาคล้ายกำลังจะทดสอบความกล้าของเขาอยู่

   ทิวากาลเรียนคณะนิติศาสตร์ คณะที่อาศัยเหตุและผลจำนวนมหาศาลเข้ามาปรับใช้ในการเรียน บางเรื่องไม่ใช่ว่าจะตัดสินได้ตามตัวบทเสมอไป มันต้องคำนึงถึงเหตุผลเบื้องหลัง ความสมเหตุสมผลของการใช้ อีกยังต้องดูสถานการณ์ประกอบอีกด้วย และตอนนี้เขาเลือกไม่ถูกว่าควรใช้อะไรมาปรับกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ เรื่องของเหตุผลหรือว่าอารมณ์กันแน่ที่กำลังมีอิทธิพลเหนือตัวบุคคล
   
   จำเป็นไหมที่ต้องบุกมาถึงบ้าน คนเป็นผู้ควบคุมกระดานย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองเข้าดงศัตรูแบบไร้อาวุธและการสนับสนุนจากแนวหลัง อะไรคือความต้องการที่แท้จริงในการมาปรากฏตัว

   ราชาเป็นคนเด็ดขาดเสมอ เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้การปกครองดำเนินต่อไปได้ด้วยความสงบสุข พิชชาไม่ต่างอะไรกับคนที่เดินเข้ามาตัวเปล่าพร้อมบอกว่าจะโค่นบัลลังก์ของเขา ไม่ต้องใช้ทหารจำนวนมหาศาลเข้ามาขู่ สิ่งที่ผู้หยั่งรู้มีก็แค่ ‘จุดอ่อน’ ก็เท่ากัน

   อยากเปิดสงครามกับผมนักใช่ไหมพิชชา

   ประตูไม่ได้ล็อคไม่น่าแปลกใจเท่าสิ่งที่ทิวากาลกำลังเห็นอยู่ บนเตียงที่มีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมอยู่นูนขึ้นมาจนเป็นโครงร่างของมนุษย์ ผมยาวระอยู่เต็มหมอนบอกว่าเขาไม่ได้มาตามหาผิดตัว

   แปลก ...ถ้าห้องสี่เหลี่ยมที่ปิดหน้าต่างเอาไว้สนิท เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ไม่มีพัดลมไอน้ำสักเครื่องอยู่ในห้อง แล้วอากาศเย็นที่กำลังปะทะร่างของทิวากาลตอนนี้มันควรมาจากที่ไหน?

   เดินเข้าไปทีละก้าวแบบไม่ให้มีเสียงฝีเท้า เรื่องที่คนเป็นพ่อเคยสอนเอาไว้ว่าให้เดินเสียงเบา ไม่ใช่ลงเท้าตึงตังจนดูไร้การสั่งสอน ยิ่งเวลาไปบ้านต่างจังหวัดที่เป็นไม้ทั้งหลังแล้วล่ะก็ถ้าใครเดินมีเสียงต้องโดนทำโทษทุกราย เพราะอย่างนั้นตอนที่เขาเห็นพิชชาเดินแบบนั้นเลยน่าแปลกใจและไม่น่าแปลกใจในเวลาเดียวกัน เขาคิดว่าพ่อของตัวเองสอนเรื่องที่โบราณคร่ำครึจะตายไป ไม่คิดว่าคนอื่นก็ยังสอนอยู่

   ข้างเตียงคือเก้าอี้นวมขนาดใหญ่ คราวนี้ทิวากาลเตรียมตัวมาดีด้วยการพกหนังสืออ่านเล่นเล่มใหญ่มาด้วย คำนวณแล้วยังไงก็คงอ่านไม่จบ เขาไม่คิดจะปลุกอีกคนอยู่แล้ว ให้เป็นเจ้าชายนิทราอย่างนั้นต่อไปแหละดี

   รอให้ตื่นมาเจอเองมันสนุกกว่ากันตั้งเยอะ



   “อา...คุณควรบอกผมก่อนว่าจะมานะครับราชา”

   “ไว้คราวหน้าจะบอกนะ”

   “นี่คุณยังจะบุกรุกที่นี่อีกงั้นเหรอ”

   เสียงแหบอย่างคนเพิ่งตื่นของพิชชามีเสน่ห์แปลกๆ ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเป็นเสียงเต็มน่ารำคาญ ชายผมยาวยังไม่ยอมขยับลุกขึ้นมาคุยด้วย ครึ่งหนึ่งของโครงหน้าคมคายยังซุกอยู่กับหมอนใบใหญ่อย่างนั้นเหมือนเดิม

   อ่านหนังสือไปได้เกือบสิบบทร่างที่ไม่ไหวติงก็เริ่มขยับ ทิวากาลปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามปกติอย่างที่ไม่คิดจะเข้าไปแทรก จนคนเพิ่งตื่นเริ่มเปิดเปลือกตานั่นแหละคือความสนุกที่สุด พิชชาไม่ได้ร้องตะโกนโวยวายหรือว่าทำหน้าตาไม่พอใจอะไร สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปบนใบหน้านั้นมีแค่การเพ่งสายตามาทางเขาแล้วก็ทักทายด้วยคำพูดข้างบนนั่นแหละ จนเขาอยากจะส่งไปตรวจวัดระดับอารมณ์ว่ามันทำงานอยู่หรือไม่

   พิชชาพูดอะไรให้ตัวเองเข้าใจอยู่คนเดียวจนเขาเป็นฝ่ายถามออกไป

   “พูดถึงผมอยู่เหรอ?”

   “กำลังคิดว่าเวลาโทรหาตำรวจต้องแจ้งความเรื่องบุกรุกหรือว่าเรื่องอะไรน่ะครับ”

   ปากไม่ลดความร้ายแม้กระทั่งช่วงตื่นนอน  ทิวากาลวางหนังสือในมือตัวเองลงกับพื้น ไขว่ห้างอยู่ที่เดิมรอดูว่าเจ้าของบ้านจะทำอะไรต่อ

   “ผมเข้ามาถูกต้องนะ คนงานบ้านคุณนั่นแหละที่ปล่อยผมเข้ามา”

   “ที่นี่คนเข้าออกตลอดเวลาครับ”

   “บ้านสาธารณะหรือไง”

   ยิ้มแสยะที่ได้รับกลับมาตีความไม่ได้ “ที่รวมวิญญาณร้ายต่างหาก”

   “ผมไม่เห็นสุสานนะ”

   “คุณว่าคนเป็นหรือคนตายน่ากลัวกว่ากันล่ะครับ” พิชชาขยับตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เปิดฝากระบอกน้ำแล้วเทมันลงไปในแก้วที่อยู่ข้างกัน “โลกเรามีอะไรแปลกประหลาดเยอะแยะ”

   “ของอยู่ข้างล่าง”

   ไม่อยากฟังเรื่องเล่าเข้าใจยากอีก เดี๋ยวจะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้ด้วย เขาต้องท่องเอาไว้ว่าสิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือเหตุผลในการเข้าหา เรื่องอื่นแม้จะรบกวนจิตใจเขาไม่ต่างก็อย่าเพิ่งให้ความสำคัญจนเกินไป

   “ขอบคุณครับ”

   ไอเย็นไม่รู้ที่มาช่วยให้บรรยากาศข้างในดีขึ้นไม่น้อย ไม่รู้เพราะอะไรเวลาที่เขาเจอพิชชามันมักให้ความรู้สึกไม่น่าอยู่เอาเสียเลย อาจเป็นเพราะเสียงที่ใช้ เรื่องที่พูด ท่าทางที่ส่งมา หรือเพราะคนตรงหน้ามันคือพิชชา

   คงเป็นครั้งแรกที่แบล็คเห็นอีกคนอยู่ในชุดแบบอื่นบ้าง พอชายผมยาวลุกขึ้นจากเตียงถึงเห็นว่าชุดนอนเป็นผ้าแพรสีกรม ดูแก่กว่าวัยอย่างที่พ่อของเขายังแต่งตัวได้มีสไตล์กว่า ผมหยักศกยาวถึงกลางหลังทิ้งตัวสวยไม่เหมือนกับคนเพิ่งลุกจากเตียงนอนสักนิด

   “จะกลับเลยรึเปล่าครับ ผมจะได้ลงไปส่ง”

   “เชิญตามสบายเถอะ ถ้าจะกลับเมื่อไหร่เดี๋ยวบอก”

   กลายเป็นความสุขไปแล้วที่จะได้ทำอะไรขัดใจอีกคน

   “งั้นเหรอครับ” พิชชาเดินอ้อมเตียงมาหา กักราชาเอาไว้ด้วยการยันมือข้างหนึ่งกับพนักพิง ถ้าแขกตัวเล็กกว่านี้อีกหน่อยจนมีพื้นที่เพิ่มขึ้นก็คงเอาเข่ายันขึ้นมาด้วยแล้ว “ว่าแล้วคุณคงไม่ใจดีขนาดเป็นบริษัทขนส่ง”

   เคลื่อนทั้งตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม ผิวหน้าสุขภาพดีเกือบชิดจนต้องรวบรวมสติให้อยู่กับตัวมากที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วคนเป็นผู้หยั่งรู้อาจเสกมนต์ดำใส่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้

   กลิ่นหอมไม่รู้ที่มากล่อมประสาทให้เคลิ้มตาม และเขาก็เกือบจะหลงกลแล้วหากไม่มีสัมผัสอื่นเข้ามาแทรกเสียก่อน

   “...!”

   ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล่จากหัวเข่าขึ้นมาเรื่อย เชื่องช้า อ้อยอิ่งอยู่ทุกจุดที่ลากผ่าน ลมหายใจยังคงจังหวะเดิมต่างจากความรู้สึกบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งที่จะไม่มีปฏิกิริยากับอะไรพวกนี้ ร่างกายคนเราน่ะไวต่อสิ่งเร้าจะตายไป

   “แล้วคนมีน้ำใจจะทำอะไรต่อดีครับ” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มพราย เล่นหูเล่นตาราวกับตนเองเป็นคนคุมนักโทษผู้มีอำนาจเหนือ

   “ส่งคุณกลับไปอยู่ที่ที่ควรอยู่ล่ะมั้ง”

   คราวนี้เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความพอใจ “ก็ที่นี่ไงครับ”

   แหล่งรวมวิญญาณร้าย...

   การขยับนิ้วทีละน้อยไม่ช่วยให้ทิวากาลได้มีเวลาหายใจหายคอ มันตรวจสอบร่างกายอยู่อย่างนั้นจนพอใจแล้วถึงหยุดลงตรงตำแหน่งที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่ามีอะไรพิเศษอยู่

   “ลายสวยไหมครับ ผมชอบมันมากเลยนะ”

   “ผมเกลียดมัน”

   รอยประทับจะอยู่อย่างนั้นไม่มีทางหายไป ไม่เหมือนกับรอยสักที่อาจไปทำเลเซอร์ได้หากไม่ต้องการมันแล้วจริงๆ การเปลี่ยนความนูนผิวบริเวณนั้นด้วยตราประทับจากเหล็กร้อนนี่เขาคงต้องถลกหนังตรงนั้นออกไปอย่างเดียวมันถึงจะหายไป

   “ไม่คิดจะไว้น้ำใจหน่อยเหรอครับ”

   “ไม่คิดจะขออนุญาตก่อนทำเรื่องบ้าๆ อย่างนี้หน่อยเหรอครับ?”

   ประชดประชันกลับไปเต็มที่ มีอย่างที่ไหนเอารอยมาฝากไว้บนร่างกายคนอื่นตอนไม่มีสติ เขาควรจะฟ้องในฐานความผิดทำร้ายร่างกายคนอื่นเสียด้วยซ้ำไป

   “ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องบ้าแสดงว่าไม่ชอบประวัติศาสตร์” นิ้วที่เคยแตะบางเบาลงน้ำหนักไปจนเกือบนิ่วหน้า เขาล่ะเกลียดพวกมือหนัก “ตราประทับพวกนี้เมื่อก่อนสำคัญมากเลยนะครับ”

   กระพริบตาครั้งเดียวนัยน์ตาขี้เล่นก็หายไป เหลือเพียงร่างของชายผู้เป็นปริศนา

   “...เอาไว้แบ่งสังกัดทาสไงล่ะ”

   “เราเลิกทาสกันนานแล้ว”

   ถ้าอยากอวดภูมิความรู้ทางประวัติศาสตร์เขาก็จะร่วมด้วย หนึ่งในวิชาที่ทิวากาลทำได้ดีมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการเรียนช่วงไหนของชีวิต ตอนปีสองเขาเคยได้เอในวิชาที่เป็นตำนานของภาควิชาประวัติศาสตร์มาแล้วด้วยซ้ำ

   “แต่บางคนก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ”

   “เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย”

   “ระบอบที่บอกว่าทุกคนมีสิทธิมีเสียงแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับคนถืออำนาจน่ะเหรอครับ” แบล็คอยากรู้ว่าอีกคนเรียนคณะอะไรกันแน่ ถึงได้รู้ไปไหมดไม่ต่างจากความหมายของชื่อจริง “สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีที่ไม่มีคนปฏิบัติตามเท่านั้นแหละครับ”

   “นิยามของกฎหมายคือสิ่งที่ต้องทำตาม”

   คนเรียนมาทางนี้โดยตรงรู้ดีว่าความหมายคืออะไร เพียงแต่ยิ่งเรียนแล้วก็ได้แต่ยอมรับในสิ่งที่บางคนพูดว่าทฤษฎีเป็นของไร้ค่านั้นเป็นเรื่องจริง ตราบใดที่คนในสังคมไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นอยู่อย่างนี้

   “กฎเดียวที่ผมเชื่อคือกฎแห่งความตายครับ”

   “หึ...”

   “ถ้ายังไม่กลับงั้นรบกวนคุณหน่อยแล้วกัน”

   พอได้ยินคำว่า ‘รบกวน’ แล้วตาของทิวากาลก็กระตุกแปลกๆ เหมือนว่ามันจะมาพร้อมความเดือดร้อนตามความหมาย

   “ช่วยสระผมให้หน่อยนะครับ”
 


   “ผมไม่ใช่มืออาชีพ” เตือนเอาไว้ก่อนดีที่สุด ทิวากาลยืนหน้านิ่งในขณะที่อีกคนกำลังทดสอบความแข็งแรงของเก้าอี้ที่ลากเข้ามาด้วย การสระผมเองนี่มันยากขนาดที่ต้องให้คนอื่นช่วยหรือไง ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ตัดผมไปให้หมดเรื่อง

   “งั้นผมก็เป็นคนแรกน่ะสิครับ”

   “ปกติแล้วคงไม่มีใครขอให้คนอื่นสระผมให้หรอก”
   
   พิชชาหัวเราะเสียงใส “ลองดูก็ไม่เสียหาย”

   อุปกรณ์ทั้งหมดเห็นแล้วก็รู้ว่าเสียเงินไปไม่น้อย ห้องน้ำขนาดใหญ่มีทั้งส่วนของฝักบัวแล้วก็อ่างแช่ตัว ไม่ต่างจากส่วนอื่นในบ้านที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ตอนนี้สภาพของทิวากาลคือพับขากางเกงขึ้นสูงไว้แล้ว มือหนึ่งจับฝักบัวเอาไว้ส่วนอีกข้างทดสอบระดับความอุ่นของน้ำ สำหรับพิชชานั้นกำลังเงยหน้ารอรับบริการด้วยความสบายใจ

   “ปกติอาบน้ำอุ่นหรือเปล่า?” อย่างเขาเองชอบน้ำเย็นไปถึงอุ่น ขนาดฤดูหนาวก็ยังไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอุณหภูมิของน้ำเลยด้วยซ้ำ ยิ่งช่วงหลังมานี้ไม่ค่อยได้เจออากาศอย่างนั้นมันเลยไม่เป็นปัญหา

   “น้ำเย็นไปเลยก็ได้ครับ”
   
   พยักหน้าไปทั้งที่อีกคนไม่เห็น เอื้อมมือไปปรับให้เหมือนกับคำสั่ง หลังจากนั้นถึงค่อยๆ เลื่อนฝักบัวให้ได้องศากับเส้นผมของชายผมยาว ช่องว่างที่เคยมีระหว่างกันเริ่มเข้ามาชิด เมื่อแน่ใจว่าทั้งหัวเปียกพอควรแล้วถึงปิดน้ำเสีย คว้าขวดหัวปั๊มสีใสสกรีนชื่อยี่ห้อและชนิดในการใช้งานมาไว้ข้างตัวแทน คาดคะเนเอาว่าผมยาวขนาดนี้คงต้องใช้น้ำยาสระผมมากเท่าไหร่ คิดแล้วก็เปลืองเงินโดยใช่เปล่า

   “ผมยาวอย่างนี้ไม่เบื่อเหรอ”

   ชโลมของเหลวสีใสในมือลงไปตรงเรือนผมหนา ขยี้มันไปมาตามสเต็ปที่ตัวเองคิดว่าถูก คนขี้รำคาญถึงขนาดเข้าร้านทำผมเกือบทุกเดือนอย่างเขาทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว

   “เบื่อไม่ได้ครับ” นัยน์ตาปิดสนิทราวกับกำลังซึมซับความสบาย มีเพียงส่วนริมฝีปากขยับไม่ยอมหยุด “อย่าลืมสระข้างในด้วย”

   หลายต่อหลายครั้งที่พิชชาใช้คำพูดแปลกประหลาด เหมือนไม่ได้อยากทำมันสักเท่าไหร่แต่ก็จำเป็นต้องทำทุกอย่าง ทำไมถึงเบื่อผมยาวไม่ได้ จะมีใครกล้าสั่งคนอย่างพิชชาว่าไม่ให้ตัดผมอย่างนั้นเหรอ

   สัมผัสที่ได้รับแปลกดีเหมือนกัน ผมหนามีน้ำหนักจนรู้สึกหนักแทน ทิวากาลตรวจสอบดูจนทั่วแล้วว่าตัวเองไม่ได้ปล่อยให้ส่วนไหนหลุดลอดไป พยายามเบามือที่สุดในการขยี้ส่วนของหนังศีรษะ
   
   หลังจากฟองสีขาวจำนวนมากปรากฏขึ้นมาก็ได้เวลาล้างมันออก เสียงน้ำกระทบกับพื้นอ่างคล้ายเพลงขับกล่อม ทิวากาลยกมือขึ้นป้องส่วนหน้าผากเอาไว้ไม่ให้ไหลเข้าตาตอนที่ล้างส่วนบนของหนังศีรษะ กว่าจะสระเสร็จครั้งหนึ่งมือก็เมื่อยไม่น้อย

   “สระเสร็จแล้วก็อาบน้ำไป”

   “นวดด้วยสิครับ”

   พอเบื่อแล้วพิชชาก็หยิบเครื่องมือสื่อสารของตัวเองขึ้นมา นิ้วสัมผัสอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์เปลี่ยนเป็นชี้ไปยังจุดเดิมที่เขาหยิบขวดแชมพูมาเมื่อสักครู่ มันมีขวดแบบเดียวกันเปลี่ยนจากสีใสเป็นสีขุ่นวางไว้ ดูแล้วก็รู้ได้เลยว่านั่นคือครีมนวดผมที่บอก

   ผู้ชายเรื่องมาก เขาไม่เคยมีแม้แต่ความคิดว่าจะนวดผมเลยด้วยซ้ำ

   “ต้อง?”

   “ถ้าเป็นปกติแล้วสัปดาห์ละสองครั้งครับ วันนี้พิเศษหน่อย”

   กลายเป็นความผิดของเขาเสียอีกที่ดันโผล่หน้ามาให้เห็น ทำเสียงบ่นเบาๆ พอให้สบายใจ โดยเจ้าของห้องไม่สนใจควบคุมการสระ หน้าจอที่พิชชาเปิดอยู่คือแอปข่าวภาษาอังกฤษสีแดง คงคุ้นเคยกับภาษาต่างชาติอยู่ไม่น้อยถึงได้เลื่อนลงมาเรื่อยๆ ไม่มีหยุด

   “นวดแค่ช่วงปลายผมนะครับ ไม่ต้องติดด้านบนมาก”

   คิดไปถึงโฆษณาครีมนวดตัวหนึ่งสมัยก่อน จะว่าไปทำไมถึงไม่นวดให้ทั่วไปเลยนะ

   “เห็นเขาว่ากันว่าถ้านวดถึงหนังหัวมันตกค้างได้ง่ายน่ะครับ”

   รีบก้มลงมามองคนที่ยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่วางตา นี่ก็อีกเรื่อง ทำอย่างกับอ่านใจคนได้อย่างนั้น พอเคลือบปลายผมด้วยครีมตามบอกจนครบแล้วถึงวางมือลง หยิบขวดที่เพิ่งจับงานเมื่อครู่มาอ่านวิธีใช้ ต้องรอสามถึงห้านาทีเลยเหรอ สิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ

   “ผมรอแค่นาทีเดียวได้ไหม”

   “งั้นไม่ต้องนวดก็ได้นะครับ”

   “คุณน่าจะบอกก่อน”

   “คนเป็นทาสนี่ต่อรองได้เหรอครับ”

   ถ้าให้ไล่เรียงว่าเกลียดพิชชาตรงไหน ทิวากาลคงตอบว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะภายนอกหรือลึกเข้าไปข้างใน แบล็คไม่ใช่คนถือยศถืออย่าง บอกแล้วว่าชื่อราชาเองไม่ใช่คนเริ่ม เพียงแต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีมันก็แพร่กระจายออกไปกว้างจนแก้ข่าวไม่ทัน

   ไม่สิ ไม่ใช่แก้ไม่ทัน ไม่สนใจจะแก้ต่างหาก

   ตั้งแต่เด็กแล้วที่น้องชายคนเล็กมักจะถูกรุมแกล้งอยู่เสมอ จากพี่ชายที่คอยปกป้องน้องก็เลยเพิ่มระดับกลายเป็นหัวโจกประจำชั้น ซึ่งไม่ใช่แนวนักเลงหัวไม้หรอกนะ เขารู้ตัวดีว่าร่างกายของตัวเองมีข้อจำกัดแค่ไหนจึงไม่ควรใช้กำลังพร่ำเพรื่อ คนที่เหมาะกับตำแหน่งนักเลงคือเพื่อนคนอื่นมากกว่า คนจำพวกเลือดร้อนที่โดนแตะนิดหน่อยก็พร้อมจะพุ่งทั้งตัวเข้าใส่ เตือนแล้วก็ไม่ฟัง

   วิธีการปกครองคนนอกจากใช้กำลังแล้วยังมีอีกวิธีคือการใช้บารมี

   “บอกแล้วไงว่าเมืองไทยเลิกทาสตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า”

   “ก็ไม่ได้บอกว่าผิดนี่ครับ” นัยน์ตาทรงแปลกที่เงยขึ้นมาสบเปลี่ยนอุณหภูมิของห้องให้ร้อนขึ้นจนน้ำเย็นในมือไม่อาจช่วยอะไรได้

   ...โดยเฉพาะกับรอยประทับตรงเชิงกราน

   “สามนาทีแล้วครับ ล้างได้แล้วล่ะ”

   อยากขอบคุณทุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ ทิวากาลค่อยๆ ล้างเอาครีมบำรุงออกจากเส้นผมไปทีละส่วน รู้ตัวว่ามีอะไรผิดแปลกไปก็ตอนที่ล้างสารบำรุงออกเกือบหมดพบว่ากำลังเอานิ้วของตัวเองเข้าไปพันแทนนั่นแหละ

   “อยากตัดเมื่อไหร่บอกนะ ผมพร้อมทำให้เสมอเลย”

   แยกเขี้ยวใส่พลางหาทางแก้ปัญหาผมพันมือ จากมุมนี้เห็นได้ชัดว่าสร้อยคอเส้นเดิมยังคงประดับไว้อยู่บริเวณลำคอ ใส่ตอนนอนอย่างนั้นเดี๋ยวรัดคอสักวัน

   ให้ตาย

   เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้บ่นจนกระทั่งตอนนี้

   “ผมแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวเลยล่ะครับ”

   “คงไม่นานหรอก”

   คาดโทษเอาไว้ก่อน พอมีประสบการณ์การแก้ปัญหาผมพันกันมาแล้วครั้งหนึ่งคราวนี้ทักษะการแก้ไขปัญหาเลยมากขึ้นกว่าเดิม ห้ามใจร้อนและก็อย่าเพิ่งด่วนกระชาก นอกจากปมจะไม่หลุดแล้วคงเจ็บน่าดู

   “ทำไมถึงไว้ผมยาว”

   คิดถึงเรื่องเล่าตามที่เพื่อนเคยบอก ผมยาวห้ามใครยุ่งไม่อย่างนั้นอาจเจอเรื่องเหนือความคาดหมายก็เป็นได้

   “ก็บอกแล้วไงครับว่าบางเรื่องก็เลือกไม่ได้”

   “คุณเลิกพูดอ้อมโลกสักทีได้ไหม?”

   เบื่อเต็มทนกับการต้องมานั่งฟังคำกำกวม ตอนปีหนึ่งมันมีวิชาการใช้ภาษาไทยไม่ใช่หรือไง ไอ้การสื่อสารต้องชัดเจนให้ผู้รับสารเข้าใจได้ถูกต้องไม่คลาดเคลื่อน เรื่องพื้นฐานเบสิคที่สุดแล้ว

   ลูกค้าวีไอพีตรวจสอบความเรียบร้อยของงานจนพอใจแล้วถึงพยักพเยิดให้ออกไปเสีย

   "ผมพูดตรงตามประเด็นตลอดนะครับ"

   "ไม่มีคำขอบคุณหน่อยเหรอ" ไม่อยากจะเสวนาแล้ว

   "หรือคุณอยากช่วยผมอาบน้ำต่อล่ะครับ?"

   ส่งรอยยิ้มยียวนที่ใครทำก็ไม่กวนใจได้เท่ามาให้ ไม่พูดเปล่ามือสองข้างเริ่มปลดกระดุมเม็ดบนสุด เส้นผมเปียกชื้นระตามกรอบหน้าลงมายังช่วงไหล่จนเสื้อแพรที่ใส่อยู่แนบเนื้อ ทิวากาลยกมือที่ยังชื้นอยู่ขึ้นเสยผมก่อนจะเปลี่ยนไปกวาดของอย่างอื่นแทนการระบายอารมณ์ ต่อให้น้องสาวที่คิดว่าดื้อไม่มีใครเกินแล้วเจอคนตรงหน้าไปใครก็น่ารักกว่าทั้งหมด!

   "มันเป็นมารยาทเบื้องต้น"

   "ถ้าจะช่วยสบู่อยู่ตรงนั้นนะครับ"

   คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ทิวากาลทำหน้าดุคาดโทษเอาไว้แบบที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร หมุนตัวกลับไปทางประตูทางออกก่อนจะมีฉากเด็ด

   “แล้วถ้าบอกว่าผมทำเพื่อต่อชีวิตคนอีกคน"

   ทิวากาลไม่รู้ว่านั่นคือคำขอบคุณในแบบของพิชชาหรือเปล่า

   "...คุณจะเชื่อไหมล่ะครับ”


***
ต่อด้านล่างนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2016 21:44:08 โดย 23August »

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
«ตอบ #38 เมื่อ23-08-2016 20:13:07 »


   คนตัวเล็กกว่าเขาไม่เท่าไหร่ใช้เวลาอาบน้ำน้อยกว่าที่คาด กลิ่นหอมแบบเดียวกับเมื่อช่วงต้นบอกว่ามันคงเป็นของสบู่ พิชชาออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพแบบเดียวกับทุกวัน เสื้อฝ้ายที่ตะโกนออกมาให้เขาช่วยหยิบเข้าไปให้ กางเกงผ้าโปร่งขายาวเหมาะกับการใส่อยู่บ้าน

   พอมีเวลาสังเกตแล้วจึงเห็นว่าห้องนี้มีของใช้น้อยกว่าสถานที่อื่นภายในรั้วบ้านเดียวกัน แทบไม่มีของประดับตกแต่งหรือว่าภาพวาดราคาแพง ห้องโล่งมีแค่ของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตเท่านั้น อย่างเสื้อผ้าในตู้เองก็มีไม่กี่ชุด บนโต๊ะข้างเตียงมันก็ไม่มีอะไรวางไว้เสริม

   มันโล่งจนคล้ายกับห้องที่กำลังจะย้ายออก

   เพราะกลิ่นของสบู่ไม่เหมือนกับหนึ่งกลิ่นปริศนาเมื่อวันก่อน ตอนที่พิชชาเดินกลับเข้าไปตรวจความเรียบร้อยในห้องน้ำเขาเลยถือวิสาสะเดินไปสำรวจบริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง ลองมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ชนิดนั้น อยากรู้ว่าเพราะอะไรมันถึงคล้ายคลึงกันได้ขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครเหมือน...

   "ถ้าคุณอยากจะอยู่ในห้องต่อก็ได้นะครับ"

   "ไม่ล่ะ" ผละตัวออกจากตรงนั้นเหมือนกับว่าเดินเล่นรอบห้องเฉยๆ

   "แล้วนี่ทานข้าวเที่ยงหรือยังครับ"

   ชายผมยาวถามโดยมือข้างหนึ่งยังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดศีรษะอยู่ รู้สึกดีที่ไม่เจอคำสั่งอย่างเช็ดผมให้หน่อย ถ้ามีอีกเขาคงยอมเสียเวลาขับรถกลับบ้านเอาเสียตอนนี้เลย

   "ยัง"

   "แถวนี้ก็ไม่ค่อยมีร้านอะไรด้วยสิ"

   "เหรอ"

   "ที่นี่ไม่ค่อยมีของสดเก็บไว้ ผมก็ทานข้างนอกตลอด"

   ทิวากาลรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เลือกเล่นแผนนี้ จำว่าอ่านหนังสือหน้าถึงหน้าไหนก่อนปิดมันลง เดินไปทางประตูห้องแบบที่ไม่สนใจว่าคนในห้องจะมองมาด้วยสีหน้าแบบไหน

   "จะออกเลยเหรอครับ"

   "เปล่า" ปฏิเสธพลางหันไปส่งยิ้มหวานให้

   "ลองทำอาหารเองก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะ"

   ไม่อยากจะยอมรับมากเท่าไหร่ และสุดท้ายเขาก็ได้แต่ยอมรับว่าพิชชาไม่เหมือนใครจริงๆ
   
   คนที่บอกว่าไม่ค่อยมีของสดเก็บไว้ที่บ้านกลับหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือคล่องแคล่ว ของที่เขาซื้อมาแบบไม่ได้คิดถึงเมนูไว้ล่วงหน้าในตู้เย็นถูกหยิบออกมาเรียงเอาไว้เป็นหมวดหมู่ และชื่อของอาหารสองสามชนิดก็ออกมาจากปากพ่อครัวจำเป็นหลังจากเสียเวลาคิดไม่ถึงนาที

   "เงียบอย่างนี้ตลอด?"

   บ้านหลังใหญ่ไม่มีคนงานเดินขวักไขว่เหมือนภาพที่วางเอาไว้ ไม่มีการสั่งให้แม่บ้านทำอาหารหรือว่าบอกคนงานให้ไปเก็บห้อง ราวกับว่าเรือนนอนหลังใหญ่นี้เป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมว่างเปล่า

   ลองคิดว่าถ้าตัวเองต้องมาอาศัยอยู่ในสถานที่นี้แล้วใจวูบโหวง

   "ปกติไม่มีใครเข้ามาครับ ส่วนมากจะอยู่บ้านรองมากกว่า"

   คงเป็นบ้านหลังย่อยสักหลังที่เขาเห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นใต้ความกว้างมหาศาลนี้ก็มีคนอาศัยอยู่แค่หนึ่งคนอย่างนั้นสิ

   "อยู่คนเดียว?"

   "ก็คนอื่นเขากลัวที่นี่กันครับ" คำเล่าต่อมาเคล้าด้วยเสียงมีดกระทบกับเขียงไม้

   "เพราะเป็นที่อยู่ของวิญญาณอย่างนั้นเหรอ"

   "จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ ...รบกวนมาเปิดเตาให้หน่อยครับ" ตายังไม่ละออกจากของตรงหน้าตอนคำสั่งช่วงท้ายมาถึง ราชาที่เอาแต่ยืนมองภาพนั้นนานสองนานถึงผละมาอยู่ตรงหน้าเตาไฟฟ้า

   แผ่นเหนี่ยวนำแม่เหล็กสีดำไม่มีร่องรอยของการทำงานสักครั้งเดียว อ่านชื่อคำสั่งที่อยู่ด้านล่างของปุ่มต่างๆ กดเพิ่มอุณหภูมิจนได้ตามที่ต้องการ พอมองไปรอบๆ ก็เลยเห็นว่านอกจากเตาอุปกรณ์ทำอาหารทั้งหมดก็คงถูกหยิบออกมาใช้งานน้อยครั้งไม่ต่างกัน

   ครัวขนาดใหญ่กว่าที่บ้านตัวเองเกือบสองเท่า มีเครื่องใช้สำหรับงานครัวครบทุกรูปแบบ ตลกตรงเปิดลิ้นชักไปหาที่คนหม้อยังเจอของบางชิ้นอยู่ในกล่องหรือไม่ก็ห่อแบบเดิม เป็นจำพวกซื้อของเก็บสต็อกไว้หรือไงกัน

   "คุณไม่ได้เป็นคนทำข้าวเที่ยงให้ผมเหรอ"

   "เวลานี้เรียกว่าบ่ายเถอะครับ"

   พอโดนโมเมให้ร่วมหัวจมท้ายไปแล้วจะให้กลับไปยืนพิงเสาดูพ่อครัวหัวป่าก์ทำอยู่คนเดียวคงแย่ไปหน่อย อาจไม่ได้เข้าครัวบ่อยเท่าไหร่นักเลยเรียกตัวเองว่าพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง การออกไปเที่ยวเล่นต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนรวมถึงการเป็นเด็กหอไม่เปิดโอกาสให้เลือกอย่างอื่นได้ อ้อ ที่ลืมไปไม่ได้เลยคือการเป็นพี่ชายของเด็กสามคน

   "ตื่นสายอย่างนี้สุขภาพเสียหมด"

   "บางทีการได้ล่องลอยอยู่ในความฝันมันก็ดีกว่าการต้องตื่นมาเจอความจริงครับ"

   "ไม่ใช้คาถาทำให้ไม่ฝันล่ะ"

   เมื่อก่อนทิวากาลไม่เคยเป็นคนช่างเหน็บแนม ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิด แล้วก็ไม่ใช่พวกคิดเล็กคิดน้อยอย่างนี้ โอเค โดยเนื้อแท้แล้วเขาอาจเป็นคนอย่างนั้น แต่ว่ามันก็ไม่เคยโผล่ออกมาให้ใครเห็น

   "สิ่งที่ผมไม่อยากทำคือการลืมตาครับ ไม่ใช่การหลับตา"

   "คุณเรียนสาขาปรัชญาเหรอพิชชา"

   "แล้วผมเหมือนคนเรียนกฎหมายไหมล่ะครับ"
   
   น้ำในหม้อเดือดจัด เขาเลยถอยหลังมาให้พ่อครัวได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ผงซุปแบบสำเร็จรูปที่พิชชาบ่นว่าไม่ค่อยชอบ ตามด้วยเครื่องต้มยำ ทุกอากัปกิริยาคล่องแคล่วเพลินตาไม่เหมือนเวลาไปทานอาหารตามร้านที่ปรุงให้ดูตรงนั้น

   คิดว่าจะคุยเรื่องอะไรต่อดีที่จะไม่ทำให้เป็นการซอกแซกจนเกินไป คิดตั้งแต่เรื่องบ้านลามไปถึงคนใช้ที่เห็นเมื่อช่วงแรกที่เหยียบเข้ามา

   "ตอนเข้ามาผมเจอคนงาน พอจะทักเขาก็วิ่งหนีไป"

   "เรื่องปกติครับ" คำว่าเรื่องปกติมันควรเป็นเช่นว่าเจอหน้าก็ยิ้มให้กัน หรือไม่ก็ทักทายถามไถ่ว่ามาหาใครมากกว่าไหม การที่เห็นหน้าแขกอยู่ในบ้านแล้ววิ่งหนีไปนี่มันควรจะใช้คำว่า 'ผิดปกติ' สิ "พอคุณพ่อเสียที่นี่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามา"

   กลายเป็นพิชชาเล่าเรื่องนั้นขึ้นมาเสียเอง แขกของบ้านหลังใหญ่มองแผ่นหลังที่ซ่อนบางเรื่องไว้ใต้เสื้อตัวใหญ่ไม่วางตา เวลาเกือบหนึ่งปีสำหรับการสูญเสียมันทรมานได้เท่าไหร่ การหายไปของคนบางคนที่ไม่มีวันได้กลับมาเจอกันอีกครั้งมันหนักหนาขนาดไหนกัน

   ตอนเรื่องของลัจก็ตกใจอยู่ มีโหวงไปบ้างเพราะเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันมาตั้งหลายปี จำนวนคนในไลน์ลดลงไปคนหนึ่งมันไม่เหมือนสิ่งที่เป็นมาโดยตลอด พอผ่านมาสักปีสองปีถึงเข้าที่เข้าทาง ยอมรับว่าคนบางคนได้เจอเพื่อจากก็เท่านั้น แต่มันก็คงเทียบไม่ได้กับคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรกเกิด

   "ผมเสียใจด้วยนะ" ไม่ว่าจะอ่านหนังสือหรือว่าดูภาพยนตร์ก็ใช้คำนี้จนเขาเคยคิดว่าไม่มีคำพูดอื่นที่ดีกว่าอย่างนั้นเหรอ พอมาเจอกับตัวถึงรู้ว่าเพราะไม่รู้จะพูดอะไรถึงใช้คำเดิมๆ ไงล่ะ

   "เรื่องธรรมชาติของมนุษย์ครับ สักวันหนึ่งทั้งคุณแล้วก็ผมก็ต้องเจอเหมือนกัน"

   "ดูคุณไม่กลัวเลยนะ ชินแล้วหรือไง"

   "ฝึกซ้อมเป็นทนายความเหรอครับ ซักผมไม่มีหยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว" เครื่องปรุงสองสามอย่างเสริมลงไปเป็นลำดับ "ไม่สิ คุณไม่ใช่ทนาย..."

   สักวันเขาจะทำคู่มือสำหรับการคุยกับพิชชาให้รู้เรื่องขึ้นมา ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องมาแปลให้เป็นภาษาคนอีกรอบ

   "ผมอาจไปเป็นชาวสวนอยู่บ้านนอกก็ได้"
   
   หลายคนถามว่าทำไมทิวากาลถึงมาเรียนต่อทางกฎหมาย ทั้งที่บ้านของตัวเองทำธุรกิจค่อนข้างหมิ่นแหม่กับการถูกจับ แล้วบุคลิกรูปร่างอะไรเหมือนกับคนเรียนวิศวะหรือไม่ก็สถาปัตย์มากกว่า เขาไม่เคยตอบกลับไปตรงๆ ว่าเหตุผลที่แท้จริงมันคืออะไร และคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบอย่างนั้น

   การตัดสินเรียนในคณะที่ต้องใช้เหตุผลอาจมาจากเรื่องไร้เหตุผลก็ได้

   "แน่ใจเหรอครับ" อาหารจานแรกอยู่ในจานเรียบร้อย กลิ่นของเครื่องสมุนไพรในต้มยำฟุ้งกระจายจนทั่วทั้งห้อง พิชชาเดินไปวางหม้อต้มไว้ตรงอ่างล้าง หลังจากนั้นก็ตั้งกระทะเตรียมปรุงจานต่อไป

   "คุณจะมารู้ดีกว่าผมได้ยังไง?"

   แผ่นหลังที่เห็นอยู่คล้ายมีหางปีศาจโผล่ออกมา พิชชาหันหน้ากลับมามองเขาโดยไม่พูดอะไร สิ่งเดียวที่แสดงอยู่บนนั้นคือร่องรอยของความสุขผ่านช่วงนัยน์ตาและริมฝีปาก

   "ยิ้มทำไม?"

   "แล้วทำไมถึงยิ้มไม่ได้ล่ะครับ"

   เสี้ยวกรอบหน้าล้อมด้วยผมเส้นหยักต่างจากทุกครั้งที่เห็น เขาเรียกไม่ถูกว่ามันควรจะอธิบายด้วยคำว่าอะไร มันเหมือนจะมีสุขสันต์เพราะกำลังยิ้ม และคราวเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยรอยเจ็บปวด

   "...ผมแค่กำลังคิดว่าการมีคุณอยู่ด้วยมันมีความสุขอย่างที่คิดไว้เลย"



   ข้าวหนึ่งโถ กับข้าวสามอย่าง บนโต๊ะขนาดสิบคนนั่ง

   และคนสองคน

   คิดแล้วก็คงเหงาพิกลถ้าต้องนั่งทานอยู่คนเดียว ด้วยเหตุนี้เขาเลยชอบออกไปทานข้างนอกจนรู้จักกับร้านแปลกๆ อย่างนั้นเยอะแยะหรือเปล่า ทิวากาลคิดเรื่อยเปื่อยไปคนเดียวระหว่างเจ้าบ้านที่ดีกำลังรินน้ำเปล่าลงแก้วทรงสูงทั้งสองใบ ดอกมะลิที่ลอยอยู่ด้านบนไม่เหมือนที่ไหน

   "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครทำหรอกครับ มะลิก็เป็นแบบพ่นสารหมดแล้ว"

   ยังคงความเป็น 'สายเลือดผู้ดี' ได้มากกว่าที่คิดเอาไว้

   "พ่อสอนไว้งั้นเหรอ" ลองหยั่งเชิงด้วยการพูดถึงชายที่ตายไปแล้ว เห็นรูปแค่ในโทรศัพท์ที่พ่อของเขายื่นมาให้ดูเผื่อว่าจะไปผิดบ้าน

   ...จะว่าไปตั้งแต่เดินเข้ามายังไม่เจอรูปถ่ายครอบครัวสักรูป

   "คุณย่าท่านชอบอะไรพวกนี้ครับ"

   "ไม่เชิญมาทานด้วย?"

   "คงต้องไปจุดธูปเชิญที่ห้องพระแล้วล่ะ"   

   พ่อเสีย ย่าก็เสีย บ้านหลังนี้ยังมีใครเหลืออยู่บ้างนะ พอแก้วน้ำวางลงตรงหน้าทั้งคู่นั่นคือสัญญาณของการเริ่มมื้ออาหาร ทิวากาลไม่เสี่ยงกับของที่ดูมีปัญหาอย่างต้มยำจึงตักผัดหน่อไม้ไว้ในจานของตัวเอง ข้าวกล้องที่เพิ่งแกะห่อออกมาครั้งแรกส่งกลิ่นหอมฉุยล่อลวงให้น้ำลายสอ

   ถือว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ จากที่คิดว่าผักพวกนี้คงไม่โดนหยิบมาใช้งานแล้วก็ผิดถนัด

   "พอทานได้ไหมครับราชา"

   "ไหนบอกไม่ค่อยได้ทำกินเอง" รสชาติอย่างนี้ไม่ใช่คนนานๆ ทำอาหารครั้งอย่างแน่นอน

   พิชชาหัวเราะสดใส "ก็ทำให้คนอื่นทาน"

   ถ้าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่แล้วคนอื่นที่ว่าคือใคร ผู้ชายที่เรียกว่าคุณน้าอย่างนั้นเหรอ ทิวากาลปรายตามองฝั่งตรงข้ามทานอาหารในจานตามปกติ ดูเจริญอาหารแบบที่เขาไม่อยากเข้าไปรบกวน

   ทานไปได้ไม่กี่คำก็รวบช้อนส้อมเสีย เขาไม่กล้าตักข้าวเยอะตั้งแต่แรกเพราะกลัวเรื่องรสชาติ

   "กินน้อยอย่างนั้นคนทำเสียใจแย่"

   "ผมกินข้าวเช้ามาแล้ว"
   
   น้ำเย็นปนกลิ่นมะลิชื่นใจดี ในวันที่ไม่ต้องการคาเฟอีนเพื่อพยุงสติเครื่องดื่มอย่างนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย ทางบ้านไม่ใช่สายทำอาหารทานเองและเขาก็ไม่เคยคิดจะอ้อนวอนขอให้คนเป็นพ่อลงมือเองหรอก ทุกคนในบ้านลงคะแนนเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้ายังรักชีวิตตัวเองอยู่อย่าหาเรื่องดีกว่า

   "นี่ตั้งใจมาทำลายความรู้สึกของผมชัดๆ เลยนะครับ"

   "คนอย่างคุณมีความรู้สึกด้วย?"

   นอกจากจะไม่รู้สึกผิดกับคำตัดพ้อนั่นแล้วยังพร้อมจะตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปอีก
   
   "ทำไมผมต้องมาเจอคนอย่างคุณด้วยราชา" พอพิชชาเคยบอกว่าถ้าจะเรียกให้หันต้องใช้ชื่อนี้ การเรียกแทนตัวเกือบทั้งหมดจึงเป็นชื่อยศไปโดยปริยาย "น่าสงสารตัวเองจัง"

   "ผมต่างหากที่ควรพูดคำนั้น" คำที่บอกว่าทำไมต้องมาเจอคนอย่างนี้

   "มนุษย์ชอบคิดเข้าข้างตัวเองเสมอครับ"
   
   "ทำไมถึงชอบออกไปกินข้าวนอก"

   "หรือคุณชอบทานอาหารอยู่บนโต๊ะนี้คนเดียว?"

   แค่สองคนยังรู้สึกว่ามันมีเพียงความว่างเปล่า ภาพที่ฉายเข้ามาในหัวคือการจินตนาการถึงมื้ออาหารที่ต้องนั่งอยู่โดดเดี่ยว พอเข้าใจกฎของบิดาที่สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับอาหารมื้อเย็น ต้องครบหน้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วโต๊ะในบ้านมันก็เล็กกว่าหลายช่วงตัวด้วย

   "อาหารเป็นศิลปะชนิดหนึ่งครับ ผมชอบที่จะออกไปเสพศิลปะ"

   เรื่องราวหลายอย่างที่เขาไม่รู้หากเจ้าตัวไม่บอกเอง

   "ผมต้องอยู่กับคุณไปถึงเมื่อไหร่"

   "ชั่วชีวิต"

   "หน้าเลือดไปหน่อยไหม?"

   "ของตอบแทนต้องคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปครับ"

   ลำเลิกบุญคุณแบบที่เขาเกลียดที่สุด ล้มเลิกคำถามว่าเพราะอะไรถึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เชื่อกินขนมได้เลยว่าถ้าถามอย่างนั้นออกไปสิ่งแรกที่จะได้กลับมาคือรอยยิ้มอ่านไม่ออก ตามมาคือคำพูดแฝงความนัยให้เอาไปตีความเอาเอง สู้เอาเวลานั้นไปตามหาข้อมูลจากคนอื่นน่าจะได้ประโยชน์กว่า

   คนที่รู้จริงอย่างเช่นชายไฮโซคนนั้น...

   "ส่วนผมก็ขาดทุนย่อยยับ"

   "นี่ไงครับกำไร อาหารฝีมือผมไม่ได้ลองชิมง่ายๆ นะ"

   น้ำดื่มกลิ่นหอมดอกมะลิติดอยู่ในโสตการรับรู้ และคำพูดที่ว่าชั่วชีวิตติดอยู่ส่วนความทรงจำ

   "หรือว่าอยากให้ผมป้อนด้วยล่ะครับ?"



   "จะสำรวจส่วนไหนของบ้านอีกไหมล่ะครับคุณนักสืบ"

   จากที่คิดว่าคงกลับบ้านเร็วก็กลายเป็นอยู่ยาว หลังจากมื้ออาหารที่ส่วนใหญ่เป็นการมองอีกคนทานเสียมากกว่าจบไปแล้วเขาก็ต้องช่วยแบกถุงใส่ของทั้งหมดขึ้นไปไว้บนห้องนอนอีกครั้ง

   "เจ้าบ้านควรจะแนะนำสิ"

   "นอกจากไปหาคุณย่าแล้วคุณคงต้องไปหาคุณพ่ออีกคน"

   แปลก... หรือว่าเขาไม่รู้ว่าตามหลักกฎหมายมรดกทายาทจะได้ทุกอย่างในกรณีที่ไม่ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ ดูจากรูปการณ์แล้วไม่น่าจะยกให้คนอื่น

   "ผมเห็นแกรนด์เปียโนอยู่ทางนั้น" ชี้ไปทางเชื่อมส่วนกลางของบ้าน "คุณเล่นเหรอ?"

   "ทุกคนที่นี่เล่นครับ"

   "รวมถึงวิญญาณด้วย?"

   เริ่มจับแนวทางการเล่าเรื่องของพิชชาได้ ห้ามตีความไปเองเด็ดขาด ทุกครั้งต้องคิดให้ครบสามร้อยหกสิบองศา ดีไม่ดีต้องคิดไปเผื่อแกนแซดอีกด้วย

   แกรนด์เปียโนสีขาวตัวใหญ่วางเด่น ตั้งแต่เดินก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ทิวากาลก็ขอบคุณพ่อของตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้งที่ถามความสมัครใจก่อนเสมอไม่ว่าจะเป็นการเรียนอะไรก็ตาม อย่างเรื่องดนตรีก็ไม่เคยบังคับให้ต้องเรียนเหมือนกับเพื่อนหรือญาติคนอื่น ถึงใครต่อใครจะโน้มน้าวแค่ไหนถ้าลูกบอกว่าไม่อยากคนเป็นพ่อก็เคารพการตัดสินใจเสมอ

   "คุณเล่นเปียโนเป็นหรือเปล่าครับราชา"

   "เคยเล่นเมื่อสมัยอนุบาล" การท่องโดเรมีกับเพลงพื้นฐานอย่างหนูมาลี ทุกวันนี้ถ้าให้เล่นก็คงทำไม่ได้แล้ว

   "คนอย่างคุณไม่น่าชอบอะไรอย่างนี้"

   "เหมือนคุณนั่นแหละ"

   กดลงไปตรงแป้นสีขาวตัวหนึ่ง กลไกทำให้สายโลหะเกิดการสั่นพ้องจนมีเสียงตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ทิวากาลลองไล่โน้ตไปจนครบรอบแล้วถึงหันมาทางชายผมยาวผู้กำลังมัดผมของตัวเองขึ้นเป็นมวยสูงเอาไว้ ผมหนาขนาดนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหนกันเชียว

   ขยับออกมาอีกหน่อยให้พื้นที่บริเวณเก้าอี้บุนวมว่าง ผายมือออกแทนคำเชิญให้เริ่มบรรเลง

   "ต่อจากใช้ผมเป็นคนครัว แล้วยังจะให้ผมเป็นนักดนตรีอีก"

   โคลงหัวแบบเอือมระอาเต็มทน ถึงอย่างนั้นก็ยอมลงมานั่งไม่มีอิดออดอะไร ปลายนิ้วสวยวางลงตรงตำแหน่งเริ่มต้น วอร์มนิ้วด้วยการไล่คีย์ไปกลับเป็นจังหวะเพลงน่าฟัง นักประพันธ์เพลงนี่ก็เก่งนะ แค่การขยับไล่เรียงโน้ตยังสามารถสร้างให้เป็นท่วงทำนองสวยงามได้

   ต่อจากพิชชาทำอาหารเก่ง เรื่องต่อมาคือเขาเล่นดนตรีได้ดีไม่แพ้กัน

   "ที่บ้านสอนหรือไปเรียน"

   "มีคนสอนครับ"

   ถ้าต้องเกิดมาในบ้านหลังนี้ทิวากาลคงเป็นเด็กเก็บกด ทั้งมารยาทผู้ดีที่แทรกเข้าไปทุกอณูของชีวิต แล้วยังต้องมาเรียนอะไรแบบนี้อีก นี่มันสังคมไฮโซอย่างที่พ่อเขาเคยเล่าไว้ไม่มีผิด

   คิดมาตลอดทั้งชีวิตว่ามันเป็นเรื่องหลอกเด็ก

   "มีอะไรที่ไม่ได้สอนบ้างไหม"

   "หลายอย่างนะครับ" ยกมือขึ้นนับเลข "อย่างเช่นไม่ได้บอกว่าก่อนตายควรจะทำพินัยกรรมให้เรียบร้อย"

   "อันนี้ผมพูดตามหลักวิชาการนะ ถ้าเจ้ามรดกเสียคนที่ได้คือทายาท แล้วเท่าที่ผมเข้าใจมันก็มีแค่คุณ"

   "ที่นี่ไม่ใช่ของผม ทุกอย่างเป็นของพ่อครับ"
   
   คำปฏิเสธแปลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ทีแรกทิวากาลเข้าใจว่าคนมองเช็คราคาเหยียบแสนเป็นของไร้ประโยชน์ได้เป็นผลมาจากทรัพย์สินของตระกูลที่มีมากอยู่แล้ว พอได้ยินในสิ่งที่ผู้สมควรได้รับของทุกอย่างบอกมันเลยขัดกันเองเข้าไปใหญ่

   "ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผมครับ"

   เพลงที่เคยได้ยินแต่ไม่รู้จักชื่อ ช่วงต้นใช้จังหวะช้าเนิบแล้วเริ่มเร่งจังหวะขึ้นนิดหน่อย สีดำหลับตาลงเพื่อให้ส่วนการรับฟังทำงานเต็มที่ เพลิดเพลินไปกับฟอร์มเพลงที่มีโครงสร้างชัดเจน อาจมีเล่นพลาดบ้างเล็กน้อยไม่ถึงกับทำให้อารมณ์สะดุด

   ประทับใจจนอยากไปตามหาไฟล์เพลงของนักเปียโนคนอื่นมาฟังบ้าง ในมิวสิคสโตร์จะมีขายไหมนะ

   ทำนองหวานหูหายไปพร้อมกับเสียงเคาะโต๊ะไม้ แบล็คลืมตาขึ้นมาพลางมองไปตรงหน้าทางเข้าที่ปรากฏคนมาใหม่อยู่ในชุดลำลองมาตรฐาน เสื้อปกโปโลสีขาวมีแถบตรงแขนเสื้อ กางเกงสีน้ำตาลกับรองเท้าหนังสีคล้ายกัน ที่อยู่ในมือคือกระเป๋ากอล์ฟขนาดใหญ่

   เขาชักชอบละครที่มีตัวละครใหม่โผล่มาเรื่อยๆ อย่างนี้แล้วสิ

   "เห็นข้างหน้าบอกว่ามีคนมาหา"

   "อยู่นี่ไงครับ"

   น้ำเสียงที่ใช้ต่างกับคนอายุมากกว่าต่างกับเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว โทนนิ่งติดเจ้ายศเจ้าอย่างคล้ายกำลังเจรจางานกับคนที่อยู่ต่างฐานะกัน

   "อาไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ แค่ถาม"

   "ผมก็แค่ตอบ"

   เขาอยากจะมีกล้องมอนิเตอร์ที่จับหน้าของคนทั้งคู่เอาไว้ตลอดเวลา เพราะตอนนี้ทิวากาลทำได้แค่มองหน้าชายมีอายุที่อยู่ห่างออกไป ถ้าเรียกตัวเองว่าอาคงเป็นน้องของพ่อ เรื่องนี้คงต้องลองกลับไปถามคุณพินิจดูว่าบ้านหลังนี้มีแผนผังครอบครัวแบบไหน

   ไม่น่าจะเป็นครอบครัวสุขสันต์

   "ช่างเถอะ แค่กลัวพวกมิจฉาชีพเข้ามา"

   "จะมีใครร้ายได้มากกว่าผมเหรอครับ"

   "แล้วนี่จะออกไปไหนกันหรือเปล่า"

   "ถ้าคนของคุณอาไปรายงานเมื่อไหร่ก็ตอนนั้นแหละครับ"

   นี่คือตัวอย่างของการตอบแบบไร้ความเกรงใจที่แท้จริง อีกคนพยายามซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด น่าเสียดายที่ทิวากาลเจอคนแบบนี้มานักต่อนักมันเลยไม่อาจหลุดลอดจากการสังเกตไปได้

   "...เรื่องนี้เราคุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ที่อาทำมันเป็นเรื่องความปลอดภัย"

   "คุณย่าสอนว่าอย่าคุยเรื่องภายในตอนที่มีคนนอกอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ"

   เจออย่างนั้นก็อยากเปิดปากออกไปว่าไม่ต้องคิดมาก เล่นสงครามกันต่อไปได้เลย คนอย่างราชาส่วนลึกแล้วชอบการทะเลาะเบาะแว้งจะตายไป การใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมักพามาซึ่งปัญหาใหญ่โตเสมอ

   แล้วธาตุแท้ของมนุษย์ก็จะเผยออกมา

   ชายที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีสมาชิกอื่นอยู่ด้วยรีบเปลี่ยนเรื่อง "แล้ว...?"

   "จะถามทำไมในเมื่อคุณอารู้ดีอยู่แล้วนี่ครับ"

   พอพูดแบบมีคีย์เวิร์ดก็น่าเบื่อ สันนิษฐานว่าอาจหมายถึงตัวเขา จะว่าไปแล้วยังไม่ได้แนะนำตัวให้ผู้ใหญ่รู้จักเลย ถ้าคุณพินิจรู้คงโดนบ่นหูชา

   "ผมชื่อทิวากาลครับ" โอบเอวคนข้างกายเอาไว้ ออกแรงดึงนิดหน่อยให้เข้ามาชิด ส่งยิ้มทักทายไปให้คนตรงกันข้ามแม้ว่าสายตาของอีกฝั่งจะเหมือนยังไม่เข้าใจมากเท่าไหร่

   เสียงลอดไรฟันออกมาเป็นการคาดโทษเอาไว้ "...อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาดเลยนะครับราชา"

   แล้วคิดว่าเขาสนไหมล่ะ

   "เป็นคนที่จะอยู่กับพิชชาไปชั่วชีวิตเลย"


***
   รายงานตัวตามนัดค่ะ ถ้าเห็นชื่อแอคเคาท์น่าจะเดาได้ไม่ยาก วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าเองค่ะ เลยเอามาลงทั้งตอนเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง (หัวเราะ) ที่จริงเจ้าตั้งใจจะลงเรื่องสั้น (ด้วยรัก) อย่างเดียวค่ะ แต่ว่ามันดันพิมพ์เสร็จเร็วว่าที่วางแผนเอาไว้ เลยต้องเปลี่ยนแผนเร่งด่วน
   ขอให้ทุกท่านมีความสุขเสมอนะคะ /กอด
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2016 22:04:54 โดย 23August »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
«ตอบ #39 เมื่อ23-08-2016 21:05:49 »

 :pig4: :pig4:   :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-08-2016 21:05:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.6 [23.08.16] P.2
«ตอบ #40 เมื่อ26-08-2016 22:04:48 »

รอๆๆๆๆ ชักสนุกขึ้นทุกที จะมีปมไรอีกไหมเนี้ย
#พิชแบล็ค  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
«ตอบ #41 เมื่อ28-08-2016 16:31:54 »

CH.7-1

   ควันสีเทาลอยขึ้นฟ้าก่อนจางหายไป ปลายมวนที่สามถูกขยี้ลงกับถาดเงินจากตลาดของเก่าเมื่อครั้งอยู่อังกฤษ งานละเอียดแล้วก็ยังสมบูรณ์อยู่ต่างจากที่ขายอยู่ในไทย นอกจากนั้นราคาขายยังเกือบเรียกได้ว่าของแจกฟรีก็เป็นหนึ่งในสิ่งล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน

   ท้องฟ้ายามราตรีประดับไปด้วยจุดแสงสีเงิน วิธีการแสนฉลาดที่ไม่ทำให้รู้สึกว่า 'สีดำ' เต็มไปด้วยความน่ากลัวเสมอไป มองแสงพร่างพราวบนนั้นถึงพอเข้าใจความรู้สึกของน้องสาวว่าเพราะอะไรถึงชอบออกมานั่งมองมันทุกคืน

   อย่างน้อยมันจะอยู่บนนั้นไม่มีวันหายไปไหน
   
   หันไปมองโทรศัพท์ที่วางไว้หมิ่นเหม่ตรงขอบระเบียง หน้าจอยังนิ่งสนิทไม่มีการติดต่อกลับจากคนที่คิดเอาไว้ คิดถึงใบหน้าไร้รอยยิ้มประดับแล้วมีความสุขแปลกๆ เขาชอบหลอกล่อคนอื่นให้ตกอยู่ในหลุมพรางอย่างนี้

   แขนดูบอบบางกึ่งลากกึ่งจูงเขาออกจากพื้นที่ส่วนกลางของบ้านไปอยู่กลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ เวลาบ่ายยังมีแสงแดดอยู่บ้าง ใต้ร่มไม้ขนาดหลายคนโอบจึงเป็นแหล่งกำบังที่ดีที่สุด

   "คุณไม่ควรพูดอย่างนั้น!"

   "ผมแค่ทวนคำพูดของคุณพิชชา"

   ที่บอกว่าให้อยู่ด้วย และระยะเวลานั้นยาวนานเพียงไร

   เป็นครั้งแรกที่ทิวากาลได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกคน "แต่คุณไม่จำเป็นต้องทวนให้เขาฟังครับ"
   
   "ทำไมล่ะ กลัวอะไร?" บ้านไม่มีประมุขสูงสุดอาจเกิดการริบอำนาจเอาไว้กับตัว คนที่มีอำนาจยิ่งหย่อนไม่มากกว่ากัน ที่เห็นอยู่ก็มีแล้วแน่ๆ หนึ่งคน

   ช่วงนัยน์ตาทรงแปลกจ้องกลับมาไม่ละลด สายตาตื่นตกใจเมื่อครู่แปรเป็นความหงุดหงิดใจชัดเจน พิชชาเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าให้กลับไปอยู่ด้านบนตามเดิม ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีเส้นผมบางส่วนร่วงหล่นลงมาตามข้างแก้ม

   "...คำพูดของราชาศักดิ์สิทธิ์ครับ" จริงจังจนเขาไม่อยากแทรก "มันจะผูกพันจนวันตาย"

   "นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"

   ทิวากาลเชื่อในบางเรื่อง เช่นการรักษาสัญญาหรือว่าการรักษาคำพูด พอพิชชาสะกิดมันขึ้นมาเขาถึงคิดเหมือนกันว่าเพราะอะไรตัวเองถึงพูดอย่างนั้นออกไปโดยไม่มีความลังเลสักนิด ที่ผ่านมาแบล็คไม่เคยสร้างเงื่อนไขผูกพันกับใครหรือว่าสิ่งอื่นใด แล้วทำไมกับเรื่องนี้เขาถึงทำอย่างนั้น...

   เพราะอยากชนะ

   หรือว่าด้วยเหตุผลอย่างอื่น

   "..."

   คลื่นเสียงจากอีกฝั่งเงียบหายไปจนใจเขาหล่นวูบ "พิชชา?"

   "สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จครับ"

   มันน่าโมโหไหมล่ะ มาปั่นหัวเสียจนวุ่นวายแล้วก็มาเหวี่ยงใส่แบบไร้เหตุผลอีก เจ้าของบ้านผลักไสให้เขาออกไปจากเขตของ

   บ้านอย่างไร้เยื่อไย ไม่มีทางติดต่ออะไรดูเข้าท่าสำหรับการหาคำตอบ ทิวากาลไม่มีทั้งเบอร์ติดต่อหรือว่าช่องทางอื่น จะให้ทักผ่านทางไอจีก็แปลกไปหน่อย

   คราวหน้าต้องเอาเบอร์มาให้ได้เลยคอยดู



   (มึงอยู่ไหนแล้วแบล็ค)

   "เพิ่งเรียนเสร็จ กำลังออกไปเอารถ"

   นึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากตำแหน่งคนขับรถของน้องชายคนเล็กแล้วเสียอีก ที่ไหนได้นับวันยิ่งทำตัวเอาแต่ใจจนมาดหมายเอาไว้ว่าอีกไม่นานคงได้มีการเรียกที่หนึ่งมาคุยหน่อย คือยกให้แล้วก็ห้ามกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้เพิ่มเติมสิ

   (รีบมาเลย กูเบื่อมาก)

   "นี่พี่มึง อย่ามาสั่ง" คนที่ไม่อาจกำหนดให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจต้องการมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วไม่พร้อมรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวของใครอื่นทั้งนั้น "เบื่อมากก็กินลูกอมไป"

   รถที่มีระบบเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับลำโพงภายในช่วยให้การขับรถสะดวกมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยในชีวิตได้สักอย่าง

   ดูอย่างเขาสิ อยู่ดีๆ ก็มีคนโผล่มาทวงบุญคุณหน้าตาเฉย

   (มึงเป็นไรเนี่ย?)

   "ปกติ" ต้องรีบเคลื่อนรถออกจากส่วนตึกเรียนให้เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นอาจติดแหงกอยู่ตรงนี้เป็นครึ่งชั่วโมงเพราะนักศึกษาจำนวนมหาศาลต่างเลิกเรียนพร้อมกัน "อย่าเดินเถลไถลก็พอ ถ้ากูไปไม่เจอไม่รอนะ"

   (กูไม่ใช่เด็กที่จะเดินตามคนที่บอกจะเลี้ยงขนม)

   "แต่มึงเป็นเด็กที่เดินไปรอกูผิดตึกแล้วบอกว่ากูมั่ว"

   เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริงตอนช่วงปีสาม มีอย่างที่ไหนนัดรับตรงหน้าตึกเรียนแบบที่ทำมาตลอดสองปีกว่า เขาก็จอดรอเป็นสิบนาทีไม่เห็นว่าจะมีวี่แววน้องคนเล็ก เคลียร์กันไปมาสรุปโรมไปรอผิดตึก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าน้องเอ๋อได้ยังไง

   (ก็วันนั้นกูเจอควิซนรกอะ)

   ส่วนมากทิวากาลกับน้องจะเปิดสายค้างเอาไว้เพื่อให้สะดวกในการตามหา ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากเท่าไหร่อยู่แล้วมันเลยไม่มีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการโทรในแต่ละเดือน

   "อย่ามาอ้าง"

   (มึงนั่นแหละอย่าหาเรื่องกู)

   "เปล่าหาเรื่อง"

   ขนาดน้องโรมเป็นแหล่งเซฟพลังงานที่ได้ผลตลอดเวลาคราวนี้ยังช่วยอะไรไม่ได้ ความรู้สึกหน่วงข้างในยังไม่ยอมหนีจากไปไหน ลองว่างเมื่อไหร่สีหน้าสุดท้ายของพิชชากับคำพูดที่อยากเข้าใจความหมายจะย้อนกลับเข้ามาทักทายอยู่ร่ำไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ลองมองหาพิชชาทุกเวลาก็ไม่เห็นจะเจอ ไม่อย่างนั้นเห็นชอบโผล่หน้ามาเรื่อย

   (เรียนหนักเหรอ)

   "เปล่า"
   
   จำนวนหน่วยกิตก็เท่ากับหลายเทอมที่เรียนมา แถมยังสบายกว่าด้วยเพราะหลายตัวเป็นวิชาเลือกไม่มีสอบ

   (...ช่วงนี้มึงแปลกไปนะแบล็ค) ว่าจะไม่พูดสุดท้ายโรมันก็ไม่เก็บมันไว้กับตัว (ที่มึงบอกว่าไปเปิดสงครามอะไรนั่นหรือไง)

   "ความจำดีขึ้นนะน้องเอ๋อ"

   รถคันหน้าไม่มีการขยับ ทิวากาลเริ่มปลงตกว่าวันนี้คงต้องนั่งโง่อยู่ในรถเป็นครึ่งชั่วโมงอีกแล้ว นี่ขนาดเขาคิดว่าตัวเองออกเร็วกว่าเดิมเยอะแล้วนะ ทำไมถึงเจอรถติดอีก

   (กูไม่ใช่น้องเอ๋อ!)

   ได้ยินน้องขึ้นเสียงอย่างนั้นยิ่งมีความสุข ทิวากาลส่งเสียงหัวเราะผ่านกลับไปตามสาย หันออกไปมองกระจกด้านข้างของตัวเองดูสภาพแวดล้อมภายนอกแทนการฆ่าเวลา

   "มึงอะเ..."

   ยังไม่ทันพูดจบประโยคพี่โตสุดของบ้านก็หันไปเห็นบางสิ่ง ทางสำหรับคนเดินที่สร้างขนานกับทางจักรยานมีผู้ชายผมยาวคนหนึ่งกำลังเดินถือเครื่องดื่มร้อนจากร้านกาแฟเปิดใหม่ข้างตึกเรียน

   (กู?)

   "น้องโรม รถติดมาก มึงกลับเองแล้วกัน"

   (หา แป๊บน...)

   ไม่เสียเวลาอธิบายอะไรอีก ทิวากาลรีบกดปุ่มวางสายการสนทนาแล้วรีบเปิดไฟเลี้ยว เบี่ยงตัวออกจากเลนของตัวเองแล้วกลับรถเสียตรงนั้น มีเสียงแตรไล่จากคันอื่นดังเตือนอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่สนใจไง

   พิชชาไม่มีทางยอมขึ้นรถมาด้วยง่ายๆ และเขาก็ไม่คิดว่าวิธีการเทียบจอดรถกับข้างทางขนานไปจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เขาเลยตบรถเข้าที่จอดขนาดย่อมถัดออกไปไม่ไกล เข้าซองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้ลงมาตามหาอีกคนได้เร็วที่สุด

   คราวนี้ไม่มีเวลาแม้กระทั่งสังเกตคนรอบข้าง แผ่นหลังของชายผมยาวไกลออกไปทุกทีบอกเขาว่าต้องเร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจเหมือนคราวก่อนที่หันกลับมาอีกทีก็หายตัวไปแล้ว

   หายไปไหนเป็นสัปดาห์

   ตัวมหาวิทยาลัยไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่ ถ้าเทียบในเรื่องตึกเรียนนะ เพราะตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่แบล็ควนห้องเรียนอยู่แค่ตึกเรียนรวม ตึกคณะของตัวเองมีเอาไว้ให้ไปอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดอย่างเดียว นั่นเป็นตึกเรียนสำหรับเด็กคณะอื่นแต่ชื่อตึกคณะนิติศาสตร์

   พอเรียนรวมแล้วถ้าไม่ใช่คณะที่มีตึกของตัวเองแยกออกไปมันก็ต้องเวียนใช้ห้องเรียนอยู่แค่ในนั้น เขาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะเจออีกฝ่ายตามทางเดินหรือไม่ก็ร้านค้าแถวนั้น มันก็ควรจะเจอกันบ้างไม่ใช่หรือไง อย่างวันนั้นยังเจอที่โรงอาหารได้เลย

   จากที่ไม่ชอบเดินมีเสียงแล้วคราวนี้ยิ่งเงียบเข้าไปอีก แบล็คค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปใกล้จนริมฝีปากเกือบชิดใบหูของอีกคน กระซิบทักทายคล้ายกับว่าไม่อยากให้ใครอื่นได้ยินเสียงของเขา

   "ให้ไปส่งที่ไหนดีครับ"

   เหมือนเดิมคือไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือพิชชาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเขานิ่งๆ จนทิวากาลเริ่มชินกับความผิดหวังที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า เขาควรใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนอย่างพิชชาเปลี่ยนมาดได้บ้าง

   "ไม่ต้องครับ"

   "แล้วไหนบอกว่าให้ผมอยู่กับคุณ”

   ยียวนกลับไป กระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำเวลาเจอเรื่องถูกใจ “นี่ผมปฏิบัติตามไม่มีบกพร่องเลยนะ”

   “คุณควรจะดีใจที่ไม่ต้องมาเจอผม”

   “ตอนนี้ผมดีใจที่เจอคุณ” ต้องบอกไว้ก่อนว่าต้องตีความทางตรง อย่าเอาไปคิดต่อยอดเองเด็ดขาด มันไม่ได้มีความหมายอะไรแอบแฝงอย่างพวกความพิศวาสอะไรทำนองนั้น เขาก็แค่ต้องการบอกไปว่าถ้าจะมาเล่นกับคนอย่างแบล็คก็ต้องเตรียมใจรับการโต้คืนไปให้ได้

   “แต่ผมไม่ดีใจเลยครับ”

   ตัดบทไร้เยื่อใย บนนั้นไม่มีอาการแสดงความรังเกียจออกมาทางสีหน้า มีเพียงเสียงที่กลายเป็นหนามแหลมจำนวนมากตรงเข้ามาทิ่มแทง “คุณควรไปรับน้องชายคนเล็กของตัวเองได้แล้วนะครับ”

   “ปล่อยให้กลับเองได้แล้ว” อยากรู้ใจจะขาดว่าพิชชาเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน ต้องเป็นนักติดตามระดับไหนถึงรู้เรื่องราวในชีวิตเขาละเอียดยิบ

   หรือใครที่ทำให้พิชชารู้ขนาดนี้

   หลังจากลองคิดทบทวนหลายครั้งก็พบว่าไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรที่ต้องรู้จักคนอื่นในครอบครัว ถ้าชายผมยาวต้องการทิวากาลตอบแทน เรื่องของน้องสาวหรือว่าน้องชายก็ไม่ควรดึงเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาเชื่อว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหมอกสีดำกลุ่มนี้มีอะไรมากกว่าที่คิด

   อาจต้องรอให้ความร้อนหรือลมช่วยพัดพามันออกไปก่อน

   “ดูแลไม่ดีเดี๋ยวอีกคนมาโวยวายหรอกครับ”

   “คนอย่างนั้นน่ะเหรอ” บุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงมีอยู่คนเดียว “อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร”

   “ผมไม่บังอาจลืมหรอกครับ”

   เครื่องดื่มแบบร้อนในมือถูกยกขึ้นดื่ม ชายผมยาวเริ่มออกเดินอีกครั้งโดยไม่มีคำกล่าวลา ทิวากาลขยับตัวตามไปโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ

   “ก็ดี...เพราะผมไม่มีทางลืมเหมือนกันว่าคุณเป็นใคร”

   “ถือเป็นเกียรติครับ”

   เพราะพิชชาเดินนำอยู่ทิวากาลเลยไม่อาจรู้ได้ว่านั่นเป็นการพูดออกมาจากใจหรือว่าประชดประชันตามประสา คนเดินนำยังก้าวต่อไปไม่มีหยุด จนเจอไฟจราจรตรงทางแยกขึ้นสีแดงแทนการบอกว่ายังไม่สามารถข้ามได้จึงกลับมายืนข้างกันอีกครั้ง

   “นี่กำลังเดินตาม?”

   “ใครบอกผมเดินตามคุณ” อยากทำหน้านิ่งใส่ทิวากาลก็จะตีหน้ามึนกลับไป “ผมเดินเล่นของผมไปเรื่อยต่างหาก”

   นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่เห็นอาการ ‘มองแรง’ จากพิชชา



   ไม่เคยเดินไกลขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย จากส่วนกลางที่มักอยู่เป็นประจำเขาลัดเลาะตามอีกคนมาจนถึงพื้นที่เกือบสุดฟากหนึ่งของเขตแดน เป็นที่รู้จักในชื่องานก่อสร้างที่ไม่มีวันเสร็จ ขั้นบันไดสูงทำจากอิฐสีส้มดูอันตรายทั้งจากความชันและความเก่า

   ตั้งแต่เริ่มออกเดินไม่มีสักครั้งที่พิชชาจะหันหลังกลับมามองว่าเขายังอยู่ด้านหลังหรือไม่ ชายในชุดฝ้ายเดินนำราวกับว่าไร้ผู้ร่วมเดินทาง ยิ่งลองนึกไปถึงสภาพครอบครัวที่ไม่เหลือแล้วมันช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน เคยมีหลายคนเดินเคียงข้าง แล้ววันหนึ่งคนเหล่านั้นก็หยุดเดินเมื่อถึงจุดหมายของตัวเอง ปล่อยให้คนยังไม่เจอปลายทางก้าวต่อไปลำพัง

   บนจุดสูงสุดของงานก่อสร้างสามารถมองเห็นได้โดยรอบ ในรัศมีไม่มีตึกใหญ่มาบังวิสัยทัศน์และยังพัดพาอากาศเย็นสบายเข้ามาตีหน้าไม่มีหยุด

   ไม่เคยเห็นทิวทัศน์นี้มาก่อน สิ่งที่อยู่ไกลจนลับสายตาคือท้องฟ้าสีแปลกยามตะวันคล้อย ก้อนเมฆรวมกลุ่มกันเป็นการแทรกสีขาวลงไปบนผืนท้องฟ้า ไม่ได้แสดแล้วก็ไม่ได้เป็นสีฟ้า หลายสีที่ผสมกันอยู่ในตอนนี้สวยงามจนอธิบายออกมาได้ไม่ถูก

   มองคนตรงหน้าผู้ถอดวิญญาณไปอยู่แห่งหนใดก็ไม่ทราบ ยังเดาไม่ออกว่าการที่เขาหายไปเป็นสัปดาห์อย่างนั้นมีหมายถึงอะไร ด้วยความเคยชินสิ่งที่เสกให้มาอยู่ในมือคือกล่องบุหรี่ของตัวเอง หวังว่ามันจะช่วยดับอารมณ์ขุ่นมัวตอนนี้ให้มลายหายไปได้

   ไม่อยากเรียกว่าเสพติดสักเท่าไหร่ มันเป็นเพียงวิธีแสดงถึงการไว้อาลัยให้กับคนที่จากไปแล้วก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องเรียกว่าแม่หรือว่านางฟ้าแสนสวย ถ้าเข้มแข็งกว่านี้บางทีคนเป็นพี่ที่ต้องดูแลน้องอาจทำได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่

   วิธีการขอโทษที่ทำร้ายตัวเองไปในตัว

   กล่องบุหรี่เป็นแบบเหล็ก ไปเจอมาในอินเทอร์เน็ตเลยบิทมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก ข้างในมีบุหรี่สองแบบแยกฝั่งออกจากกันชัด หนึ่งคือมาโบโร่แบล็ค ส่วนอีกฝั่งคือบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ สิ่งที่จะสูบต่อเมื่อต้องการใช้ความคิดมาก

   เพราะมันทั้งแสบคอแล้วก็กลิ่นฉุนจนน่าสะอิดสะเอียน

   สลับกลไกจนมีเปลวไฟสีแดงเกิดขึ้น จุดมันให้ติดด้วยการสูดเข้าเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เห็นหลังม่านควันสลายตัวไปคือใบหน้าติดนิ่งเฉยของพิชชาที่มองตรงมา

   ไม่ได้คิดอะไรมากตอนยื่นไปให้ เจอมาเยอะแล้วพวกเหมือนจะเป็นสายเด็กเรียนแต่พอเห็นท่าการจุดเท่านั้นก็บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด พิชชายื่นมือมาหยิบมวนหนึ่งไว้ในมือ ไม่รับไลท์เตอร์ชิ้นสวยตามไป มือขาวซีดรับมันไปแล้วคาบไว้ช่วงริมฝีปาก ขยับทั้งตัวเข้ามาหาจนปลายมวนอยู่ชิดติดกัน วิธีการต่อบุหรี่ที่ไม่ค่อยเห็นใครทำมากนัก

   "ไม่คิดว่าคุณจะสูบ" พ่นควันพิษออกมาก่อนถามต่อ "ทำไม?"

   ไหล่ใต้เสื้อฝ้ายยกขึ้น "แล้วคุณสูบทำไมล่ะครับ"

   "ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรือไง?"

   ตอนนี้ถ้าพิชชาจะบอกว่าตัวเองรู้เรื่องแม่สองเขาก็ไม่แปลกใจอะไรแล้ว ถ้าหาช่องว่างได้จริงแบล็คจะพยายามล้วงข้อมูลจากพ่อให้ได้มากที่สุด มันยากก็ตรงที่คนรู้จักกันมันไม่ควรละลาบละล้วงไง

   "ถ้าเป็นเพราะอย่างนั้นจริงผมว่ามันไร้สาระจนเกินไป"

   "แล้วแต่คุณจะคิด"  ควันสีจางลอยขึ้นไปตามชั้นอากาศ ชักอยากจะเปลี่ยนไปสูบแบบไฟฟ้าแทนจะได้ไม่ต้องมานั่งจุดไฟให้ยุ่งยาก แต่เขาก็ไม่ชอบความหนาของเครื่องอยู่ดี “คุณหายไปไหนมา?"

   การถามไม่ได้หมายความว่าโง่ คนที่ไม่รู้แล้วไม่ถามต่างหากถึงเหมาะกับคำว่าโง่อย่างแท้จริง คนเราไม่ได้รู้ไปทุกเรื่องเสียหน่อย อ้อ ยกเว้นพิชชาไว้คนหนึ่ง

   “ผมไม่เคยหายไปครับ”

   “แล้วทำไมผมไม่เจอคุณเลย”

   “เราเดินสวนกันบ่อยจะตายไปครับ คุณแค่ไม่ใส่ใจเท่านั้นเอง”

   จะว่าเจ็บก็ใช่อยู่ แต่เขามีข้อโต้แย้งกลับไปเหมือนกันว่าคงไม่มีใครที่จะเงยหน้าขึ้นมามองคนเดินสวนไปนาทีหรอกนะ โดยเฉพาะพวกกรรมการรุ่นช่วงนี้ไม่อยากเจอกว่าเวลาเสียอีก แค่เอาเขาไปถ่ายรูปก็น่าโมโหพออยู่แล้ว นี่เล่นทักมาถามเวลาว่างงานนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

   “แล้วทำไมไม่ทักล่ะ”

   “มันยังไม่ถึงเวลาครับ”

   กระดาษแข็งสีดำแผ่นเดิมยังวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ คำที่เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษแปลความหมายได้ว่ายินดีต้อนรับการกลับมา ไม่ยักกะรู้ว่าตัวเองเคยหายไปเมื่อไหร่

   “คุณไม่ได้เป็นคนกำหนดเองหรอกเหรอ”

   “ไม่ใช่ผมครับ” วิธีการสูดเอาอากาศผสมสารพิษเข้าไปก่อนปล่อยมันออกมาเต็มไปด้วยท่วงท่าสวยงาม “มันมีคนกำหนดเอาไว้แล้ว”

   “คนคือมีชีวิต?”

   ไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาถามอะไรอย่างนี้ ทิวากาลไม่เคยให้ค่ากับสิ่งที่พิสูจน์ด้วยตาไม่ได้ รวมไปถึงเรื่องของตำนานเทพทั้งหลายด้วย

   “ทั้งสองส่วนครับ” นิ้วคีบแท่งกระบอกทรงสูงเอาไว้ในมือ ชี้ปลายมวนให้ควันลอยเอื่อยมาทางเขาหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนขึ้นไปบนฟ้า “แต่เหมือนกันตรงที่เลือกทางเองไม่ได้ทั้งคู่”

   ส่วนที่สองคงไม่พ้นเรื่องลี้ลับ แต่ส่วนแรกที่ชี้มายังทิวากาลนี่แหละที่ไม่เข้าใจ พิชชากำลังสื่อว่าเป็นคนที่ยังมีลมหายใจเหมือนกันหรือต้องการบอกนัยอื่น

   “ทีอย่างนี้ไม่ค้าน”

   "ก็บอกแล้วไงครับว่าเลือกไม่ได้ ผมอยากเจอคุณมาตั้งนานแล้วเถอะ"

   "เลยเพิ่งโผล่มาเป็นฮีโร่ตอนผมเกือบตายอย่างนั้นสิ?"

   “วีรบุรุษกับกบฏต่างกันแค่จุดจบของสงครามครับ” เรื่องนี้เคยได้ยินมาตั้งแต่เล็ก การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเสี่ยงมากหรือน้อยจำต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าเหรียญมีสองด้าน ถ้าไม่ได้ชัยชนะเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้แพ้ที่ถูกตราหน้าว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมเท่านั้น

   คำว่า Tyrant ที่แปลว่าทรราชไม่ได้หมายถึงพวกใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้ แต่ใช้เรียกใครก็ตามที่ขึ้นมายึดอำนาจโดยไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เคสที่กบฏแล้วบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิมมีเยอะแยะ

   “ผมก็ทำได้แค่รอว่าจุดจบมันจะออกมาเป็นแบบไหนเหมือนกัน”

   พระอาทิตย์สีแสดกำลังลับหายไป

   ไม่ต่างกับแสงริบหรี่ตรงปลายมวน


 
   เพลงในรถถูกเปลี่ยนเป็นยุคเก้าศูนย์เหมือนอย่างทุกครั้งที่มีตุ๊กตาหน้ารถชื่อพิชชา จากรำคาญหูก็ชินไปเสียแล้ว แต่ถ้าเลือกได้เขาไม่ฟังหรอก นอกจากฟังยากแล้วเนื้อหาบางเพลงนี่จิกกัดเจ็บเข้าไปถึงทรวง

   "จะให้ไปส่งบ้านเลยไหม" รู้ที่อยู่บ้านแล้ว อยากไปทำความรู้จักอาคนนั้นให้มากขึ้นอีกหน่อยด้วย

   จากที่ได้ยินมาครั้งก่อนแสดงว่าคนคอยตามติดพิชชาอยู่คือญาติของตัวเอง จะว่าแปลกก็แปลก แต่ว่าถ้ามองในมุมของการมีพิชชาเป็นหลานก็คงน่าห่วงอยู่ในหลายความหมายเช่นกัน

   "ไม่ครับ ผมมีนัดต่อ"

   "นี่จะสองทุ่มแล้ว" แบล็คไม่เคยเป็นเด็กอนามัยจัดจนถึงตอนนี้

   "แล้วทำไมล่ะครับ”

   ทิวากาลไม่ชอบเวลาที่พิชชาย้อนถามอย่างนั้น เพราะเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไรถึงต้องรู้

   "ดึก อันตราย"

   "มีคนคอยดูแลผมเยอะแยะครับ" เสียงติดหยันเหยียดบอกให้เขาเบนสายตามามองเบาะทางซ้ายของตัวเอง "ไม่จำเป็นต้องรอความเมตตาจากราชา"

   "แล้วระหว่างผมกับคนพวกนั้นใครน่าไว้ใจกว่าล่ะ?"

   "ส่งผมตรงทางแยกข้างหน้าก็พอครับ"

   สั่งอย่างกับนั่งอยู่บนรถรับจ้างสาธารณะ นิ้วชี้ไปตรงป้ายจอดรถหลังผ่านไฟแดงไปแล้วมีคนยืนรออยู่สองสามคน ไม่ถึงกับเปลี่ยวแต่ก็ไม่เห็นน่าไว้วางใจ พิชชานี่ใช้ชีวิตแบบไหนมาถึงได้ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยในชีวิตได้ขนาดนี้

   "ทำไมคุณไม่ขับรถเองล่ะพิช" เห็นอยู่ว่าในอาณาเขตบ้านมีรถหรูหลายคันจอดเรียงราย

   "ก็บอกแล้วไงครับว่ามันไม่ใช่ของผม"
   
   ทุกอย่างเป็นของพ่อ

   "หรือไม่ก็ให้คนอื่นขับไปส่ง"

   "เหมือนคุณตอนนี้น่ะเหรอครับ" ท้ายเสียงขึ้นสูงนิดหน่อยคล้ายการถาม "ไม่เอาด้วยหรอก"

   “ปกติมีแต่คนชอบความสบาย”

   เหมือนน้องชายเขาไง ต้องตามไปรับไปส่งตลอดไม่เคยคิดจะขยับตัวไปไหนเอง

   “บางเรื่องลำบากกายแต่สบายใจมันก็ดีกว่าครับ”

   การลงท้ายด้วยคำสุภาพเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไฟจราจรกลับมาเป็นสีเขียวช่วยให้จังหวะการเคลื่อนตัวของรถไม่มีสะดุด เลนที่รถอีโค่คาร์อยู่ตอนนี้คือเลนสามหรือว่าติดกับเกาะกลางถนน สายตาของเขามองแต่ทางข้างหน้าโดยไม่สนใจจะเปิดไฟเตรียมเปลี่ยนเลน

   “อย่าลืมส่งผมข้างหน้าด้วย”

   เผลอเหยียบคันเร่งให้จมกว่าเดิม ทิวากาลไม่หันไปกดล็อคเอาไว้เหมือนครั้งก่อน มันก็เป็นแค่การวัดใจเล็กๆ น้อยๆ ว่าในสถานการณ์อย่างนี้พิชชาจะทำอะไรต่อ

   “คุณจะเปลี่ยนเลนไม่ทันนะ”

   สนใจแต่เพลงยุคเก่า ผ่านเสียงเตือนอีกครั้งว่าเขากำลังเมินเฉยคำสั่งอยู่

   “ราชาครับ”

   เสียงถอนหายใจบางเบาแทนการยกธงขาว

   ราชาไม่เคยทำตามคำสั่งของใคร



   สถานที่ในการส่งวันนี้อาจแตกต่างไปจากคราวที่แล้วมากหน่อย จากห้องชั้นสูงในโรงแรมห้าดาวกลายเป็นคอนโดขนาดกลางแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ดูจากสภาพคงสร้างมานานพอสมควร

   "คราวนี้จะบอกสโคปงานผมก่อนไหม" พอเดาได้ว่าการมาสถานที่อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร

   "ไม่โผล่เข้าไปพรวดพราดแบบครั้งที่แล้วก็พอครับ"

   คราวนี้เป็นทิวากาลบ้างที่หัวเราะออกมา "งั้นก็ให้ผมเข้าไปตั้งแต่ต้นสิ"

   "คนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างคุณจะเข้าไปทำไมครับ"

   ราชาไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของเรื่องพรรณนี้ คำบอกว่าเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งเหนือธรรมชาติแล้วก็ไม่น่าเชื่อถือเกินไป น่าตลกที่หลายคนขวนขวายหาแต่อนาคตโดยไม่คำนึงถึงปัจจุบัน รอแต่สิ่งที่ยังไม่มาแทนที่จะทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

   "เผื่อจะเชื่อล่ะมั้ง"

   บอกทีเล่นทีจริงกลับไป ยังไงตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

   "ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเข้าไปหรอกครับ"

   "คราวนี้ไม่ต้องใช้กระดานหมากรุกเหรอ" ของเดิมก็ยังอยู่ในห้องนอนของเขา ไม่คิดจะพูดถึงหรือว่าทวงคืน

   "ถ้าเป็นตามปกติก็ใช้นะครับ"

   "แล้วนี่ไม่ปกติ?"

   "ก็ปกตินะครับ"

   ในทางตรรกศาสตร์ถ้าพิชชาตอบอย่างนี้คงต้องบอกว่าไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง

   "...สรุปคือตามใจคุณ"

   "ครับ"

   "ถ้ารู้อย่างนี้ผมคงไม่เสียเวลามาเป็นลูกค้าของคุณ" เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเอามาลงกับความไม่แน่นอน คิดในทางเศรษฐศาสตร์แล้วมันคงติดลบอย่างเดียวไม่มีทางกระเตื้องขึ้นมา

   “บอกแล้วไงครับว่าผมรู้” นิ้วชี้ยกขึ้นเคาะบริเวณขมับของตัวเอง "อีกอย่างคือผมส่งมันคืนไปแล้วด้วย ส่งให้กับคนที่ควรเป็นเจ้าของมัน"

   ถ้ากระดานอยู่กับทิวากาลในตอนนี้

   “นั่นไม่ใช่ของผม”

   "มันก็ไม่ใช่ของผมเหมือนกันครับ"

   ไม่มีสักอย่างที่พิชชาเรียกว่าเป็นของตัวเอง แล้วสร้อยคอเส้นบางที่ติดตัวเอาไว้เสมอนี่จะนับรวมว่าเป็นของตัวเองอยู่ไหม หรือว่ามันก็ 'ไม่ใช่ของพิชชา' อยู่ดี

   อ้าปากเตรียมค้านว่าตัวเองไม่ชอบรับสิ่งของมาโดยไม่ได้ตอบแทนอะไร เขาเชื่อในเรื่องของสัญญาต่างตอบแทน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้พิชชาเข้ามาแทรกซึมอยู่ในชีวิตอย่างนี้หรอก เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้อะไรมาต้องเสียอะไรไป ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาฟรี

   "สักครู่นะครับ"

   อยู่ดีๆ พิชชาก็เอ่ยปากขึ้น ก้มลงรื้อหาบางอย่างในกระเป๋าผ้าใบเดิม สิ่งที่เขาหยิบขึ้นมาหลังจากนั้นคือโทรศัพท์เครื่องใหญ่โชว์ว่ามีสายเข้า

   "ครับ ...ไม่ได้อยู่ด้วยครับ ...อ้อ ...อืม ...แล้วเป็นยังไงบ้าง ...เหรอ"

   อีกฝ่ายไม่ได้ปรับระดับเสียงให้ดังจนอีกคนได้ยิน เขาเลยไม่อาจรู้ได้ว่าใครโทรมาหรือว่ากำลังคุยเรื่องอะไร จับจากน้ำเสียงเจือไปด้วยรอยกังวลแล้วคงเป็นเรื่องหนักหนาอยู่พอสมควร ก็ขนาดคุยกับญาติตัวเองยังเสียงแข็งได้ขนาดนั้น มันเลยน่าคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

   “ถ้าอย่างนั้นฝากดูหน่อย ...อืม ...ส่งที่อยู่มา ...จะรีบไป”

   เครื่องมือสื่อสารที่แนบหูจนถึงเมื่อครู่ลดลงมาอยู่ในระดับข้างตัว แบล็คก้มหน้าลงนิดหน่อยเพื่อสังเกตอาการเพิ่มเติม คิ้วของพิชชาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะที่นัยน์ตายังจ้องอยู่บนแผนที่บนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง

   นิ้วเรียวสวยกดคำสั่งคำนวณเส้นทางจนเสร็จ ออกปากสั่งโดยไม่เงยขึ้นมามองหน้า

   "เราต้องเปลี่ยนแผนกันหน่อยแล้วครับราชา"



***
   พี่แบล็คเวอร์ชั่นนี้ก็น่ารักดีนะคะ (หัวเราะ) พี่แบล็คในเรื่องนี้อาจให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเรื่องของที่หนึ่งในหลายๆ ส่วนเพราะเจ้าอยากแสดงให้เห็นว่าตัวพี่แบล็คเองก็มีมุมอื่นด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเจ้าก็ยังวางให้พี่แบล็คเป็นผู้ชายที่อยู่แต่บนที่สูงเหมือนเดิมแหละค่ะ (ยิ้ม)
   ส่วนแผนต้องเปลี่ยนจะเป็นแบบไหนครึ่งหลังจะมาเฉลยนะคะ
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 22:43:51 โดย 23August »

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
«ตอบ #42 เมื่อ28-08-2016 19:35:54 »


ชอบๆ ชอบมาก

เนื้อเรื่องแบบมันคืออะไร!! ยังไง!!
ยังจับที่มาที่ไปจริงๆ ไม่ได้
แต่คิดเอาเองว่า ปมไม่เยอะ แต่วิธีเขียนตะหาก
หรือไม่ใช่ :(

555 สนุกค่ะ

#อ่าน With Love แล้ว สงสัยเรื่องนามสกุล

ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-1 [28.08.16] P.2
«ตอบ #43 เมื่อ01-09-2016 13:05:15 »

รอ ลุ่นๆ :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
«ตอบ #44 เมื่อ01-09-2016 19:56:06 »

CH.7-2

   ทิวากาลรู้ตัวดีว่าตามหลักแล้วคนเรียนนิติศาสตร์ควรจะเคารพกฎหมายมากที่สุด ไม่ใช่เหยียบคันเร่งจนหน้าปัดชี้ไปที่ความเร็วเกือบหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

   "ไม่ต้องเร็วขนาดนี้ก็ได้ครับ"

   ตุ๊กตาหน้ารถคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เรียบร้อย ไม่แสดงอาการเกร็งออกมาให้เห็น เขาทั้งปาดซ้ายปาดขวาแล้วยังขับฝ่าไฟแดงมาครั้งหนึ่งด้วย ถ้าใบแจ้งปรับส่งไปถึงบ้านเมื่อไหร่โดนคุณพินิจเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวแน่ ครั้งสุดท้ายที่โดนเตือนอย่างนี้ก็ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

   "นึกว่ารีบ"

   "มีแต่ใจคุณนั่นแหละที่รีบ" เครื่องยนต์เร่งจนหน้าปัดขยับไปทางขวามากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำนั้น สายตาเหมือนมองแค่ท้องถนนแต่ความสนใจทั้งหมดกลับอยู่ที่อื่น "อยากรู้ขนาดนั้นเลยเหรอครับว่าเรากำลังจะไปที่ไหน"

   "ผมรู้แล้วว่าคุณให้ผมไปส่งที่ไหน"

   แน่นอนว่าแผนที่ที่เคยอยู่บนหน้าจอของพิชชาย้ายมาอยู่ในความทรงจำแล้ว จะเรียกว่าเป็นกลางใจเมืองก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ มันห่างจากส่วนกลางของเมืองประมาณสองป้ายรถไฟฟ้า เป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยของคนมีอันจะกินในระดับหนึ่งแล้วกัน

   "แล้วผมจะไม่ถามว่าคุณไปที่นั่นเพราะอะไร..."

   ปาดผ่านรถยุโรปหรูไปอีกคัน โดนแตรไล่มาเป็นครั้งที่สองของวัน งัดเอาทักษะของการขับรถที่ไม่ค่อยมีใครรู้ออกมาใช้ น้อยคนจะรู้ว่าเขาชอบกีฬาเสี่ยงอันตรายแบบนี้

   "สิ่งที่ผมเจอมันจะบอกทุกอย่างเอง"

   เสียดายรถอีโค่คาร์ไม่เหมาะกับการเร่งความเร็วมากเท่าไหร่ เขาเหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อทางข้างหน้าไม่มีรถคันอื่นคอยขวาง แรงขับเคลื่อนเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้นไม่ต่างกัน เอาเข้าจริงแล้วเขาไม่ชอบขับรถอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ติดว่าต้องคอยรับส่งน้องคนเล็กสุด อยากจะใช้บิ๊กไบค์ที่เป็นมรดกตกทอดในการเดินทางไปไหนมาไหนจะตายไป

   เป็นเรื่องปกติที่มักจะคิดต่อเอาเองว่าจะมีอะไรรออยู่ตอนที่ไปถึง เจอพิชชามาหลายครั้งไม่เคยมีครั้งไหนเจอเรื่องดีสักที ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นไปจนถึงคนที่บ้าน แล้วคราวนี้เขาจะได้เจอ 'ใคร' อีกหรือเปล่า

   ช่างมันเถอะ

   ต่อให้ไม่รู้ว่าต้องเจอเรื่องอะไรบ้าง แต่เขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด

   เพิ่งรู้ว่านอกจากเป็นย่านที่อยู่อาศัยแล้วมันยังเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงยามราตรี แบล็คเดินคู่ไปกับพิชชาตั้งแต่ส่วนหน้าของซอยจนเข้าไปด้านใน ผ่านตรอกเล็กๆ ที่ไม่น่ามีอะไรซ่อนอยู่จนเจอตึกโครงสร้างแปลก หน้าประตูมีการ์ดตัวใหญ่ในชุดลำลองยืนจังก้าทำหน้าที่ของตัวเองอยู่

   "อยู่ข้างในใช่ไหมครับ"

   "อยู่"

   แล้วทั้งสองคนก็สามารถผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดายจนนึกสงสัย คิดว่าจะต้องบู๊ตั้งแต่หน้าประตูแล้วเสียอีก เพราะวันนี้ตัวเองไม่ได้พกอุปกรณ์ป้องกันตัวมาด้วย ขืนเจออะไรเหนือความคาดหมายแล้วคงยุ่งไม่ใช่เล่น

   ทำหน้าบอกบุญไม่รับยามได้กลิ่นข้างใน ทั้งความอับของพื้นที่ เสียงเพลงดังจนน่าปวดหัว กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลอยปนเป ควันบุหรี่ลอยมาจากทุกส่วน รวมถึงของผิดกฎหมายบางอย่างที่วางไว้ทั่วโต๊ะราวกับว่าเป็นของตกแต่งทั่วไป

   ยังไม่รวมสมาชิกที่อยู่ข้างใน พวกชุดธรรมดานี่ไม่มีอะไรหรอก แต่บางส่วนยังเห็นอยู่ในชุดนักศึกษา หนักที่สุดคือชุดเด็กมัธยมต้นก็ยังมี ไม่อยากขุดวิชาทางกฎหมายที่เคยเรียนทั้งหมดออกมาใช้ ถ้าเรียกตำรวจมาน่าจะสนุกสนานไม่ใช่เล่น เท่าที่คิดไว้ก็เกือบสิบกระทงเข้าไปแล้ว

   กวาดสายตามองไปทั่วจนพอเข้าใจว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่เปิดให้บริการผิดกฎหมายสักแห่ง แล้วพิชชามาที่นี่ทำไมกัน เพื่อตามหาลูกค้าหรือว่ามาเป็นลูกค้าเสียเอง ถึงจะเพิ่งได้ความรู้ใหม่เรื่องสูบบุหรี่ไปแต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าถ้าพิชต้องการสังสรรค์จริงคงเลือกสถานที่อื่นที่มีรสนิยมมากกว่านี้

   หรือสิ่งที่คิดมันจะผิดทั้งหมด

   ปลายสายที่พิชชารับเมื่อตอนนั้นคือใครกัน แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่

   "คุณรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้ครับ ผมต้องไปตามหาบางคนหน่อย"

   แถวนี้ที่ว่าคือริมสุดของห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ไกลจากส่วนของฟลอร์เต้นพอควร ถึงความห่างช่วยให้การพูดคุยไม่ต้องใช้เสียงดังมากนักทิวากาลก็ยังขยับทั้งตัวเข้าไปใกล้อีกคนอยู่ดี

   กลิ่นแรกที่สัมผัสได้คือเครื่องหอมปริศนาที่เขายังไม่รู้ชนิดและยี่ห้อ มันช่วยให้กลิ่นอับของห้องหายไปจากการรับรู้ของแบล็คได้บางส่วน เรือนผมที่มักทิ้งตัวอยู่ด้านหลังเผยให้เห็นโครงสร้างแปลกตาของพิชชาชัดเจนวันนี้รุงรังจนทิวากาลต้องยกมือขึ้นทัดปอยผมส่วนหน้าไว้กับหู

   "ไม่ให้ผมไปช่วย?"

   "การที่คุณยอมอยู่เฉยๆ นี่แหละครับเป็นการช่วยที่ดีที่สุดเลย"

   "ถ้าผมทำตามที่คุณบอก ...แล้วผมได้รู้ในสิ่งที่ต้องการใช่ไหม?" ลองหยั่งเชิงกลับไป อารมณ์ดีถึงขนาดว่าฮัมเพลงตามไปด้วยระหว่างรอคำตอบ สายตาสองคู่ประสานกันไม่มีใครยอมใคร ความสูงค่อนข้างใกล้เคียงกันมันก็ดีอย่างนี้นี่แหละ

   "ผมไม่เคยปิดคุณครับ อยู่ที่คุณจะหามันเจอหรือเปล่า"
   
   คำสุดท้ายยังไม่ช่วยให้ความกระจ่างอยู่ดี มันอาจจริงตามที่พูดเมื่อพิชชาไม่เคยปิดเรื่องครอบครัว ที่เขาเจอวันนั้นหลายเรื่องมันออกมาจากปากเจ้าของเรื่องเอง เพียงแต่ว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทิวากาลอยากรู้มากที่สุด

   กลางแสงไฟรำไรแผ่นหลังของชายผมยาวกลืนหายไปกับฝูงชน แม้จะลองสอดส่องดูแล้วก็ตามหาไม่เจอว่าเดินไปทางไหน ทำตัวเป็นเด็กดีอย่างที่ได้รับคำบอกโดยไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพราะเขาเองเต็มใจปฏิบัติตาม มายืนสังเกตการณ์ดูสภาพแวดล้อมอย่างนี้ก็เป็นประสบการณ์ใหม่เหมือนกัน

   เพลงสากลสลับไปกับเพลงอิเล็กทรอนิกส์ มีลานขนาดเล็กสร้างให้สูงกว่าพื้นที่อื่นแทนแท่นดีเจ ส่วนคนที่อยู่บนนั้นคือชายในชุดสีเข้มกลืนไปกับบรรยากาศ จะเห็นได้เต็มตาต่อเมื่อแสงไฟส่องเข้าไปหาเท่านั้น เล่นดีแบบที่ไม่น่าอยู่ในห้องเล็กแคบแบบนี้

   พอรู้มาบ้างว่ามันมีแหล่งมั่วสุมอย่างนี้อยู่ไม่น้อย พวกปาร์ตี้ของเด็กมีฐานะที่ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร มีหลายคนเคยชวนแต่เขาปฏิเสธไปเสียทุกราย เป็นอันรู้กันว่านอกจากเครื่องดื่มมึนเมาแล้วมันยังมีอะไรแฝงอยู่ ถ้าทิวากาลยังอยากเดินบนเส้นทางสายยุติธรรมสิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้คือประวัติไร้รอยด่างพร้อย แค่เป็นลูกชายของคนมีอิทธิพลมันก็สร้างปัญหาให้มากพอแล้ว

   "มาใหม่?"

   เหลือบตามองชายแปลกหน้าที่มายืนอยู่ถัดไป สังเกตการแต่งกายแล้วนอกจากมีเงินแล้วยังมีรสนิยม เสื้อเชิ้ตลายสวยกับกางเกงยีนส์เนื้อหนา มองไม่เห็นรองเท้าแต่ก็คิดว่าไม่น่าจะผิดจากคาดเอาไว้

   "อืม" ไม่ให้ดูมีพิรุธกระป๋องเบียร์ในมือก็ถูกยกขึ้นชิดริมฝีปาก รสชาติของน้ำสีอำพันที่ไม่ได้เจอมาพักหนึ่งแปลกจนต้องหยิบขึ้นมาดูยี่ห้อ

   "กับพิช?"

   นั่นคงเป็นเหตุผลที่เข้ามาหา ปกติแล้วคนอย่างทิวากาลไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้เท่าไหร่

   แบรนด์ของสินค้าไม่ใช่แบบขายทั่วไปในเมืองไทย เห็นด้านข้างเขียนเอาไว้ว่าเป็นของสเปน นอกจากเพลงจะดีแล้วเครื่องดื่มในนี้ก็ใช้ได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมทางเข้าที่ดูไม่น่าสนใจถึงได้มีสมาชิกข้างในมากจนเกือบแออัด

   "คนอย่างนั้นคงมีคนเดียว"

   "แปลก...พิชไม่เคยพาใครมา"

   รอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายเมื่อเพลงฮิตติดหูในช่วงนี้เริ่มเล่น ผู้คนต่างแก่งแย่งกันเข้าไปอยู่ส่วนกลางพื้นที่ และมีอีกไม่น้อยมองตรงมาพร้อมกับเชิญชวนคนด้านข้างให้ออกไปร่วมด้วย คงเป็นคนสำคัญของที่นี่ไม่น้อย

   "สนใจไปเล่นสนุ๊กกันไหม?" คำเชื้อเชิญไม่รู้ว่าแฝงอะไรเอาไว้ข้างใน "ถ้าต้องรอพิชคงอีกสักพักเลยล่ะ"

   แสดงว่าผู้ชายคนนี้รู้ว่าพิชชามาทำอะไร

   "...หรือว่าต้องเล่นหมากรุก?"

   "นี่ก็ลูกค้า?"

   "อ่าฮะ"

   เสียงเพลงดังกลบทุกบทสนทนา แบล็คอ่านปากของชายที่ยังไม่ทราบชื่อที่ตอบกลับมาพร้อมผงกหัวขึ้นลงสองสามครั้ง นี่พิชชาจะบริการทุกระดับประทับใจเกินไปแล้ว!

   จากระดับเสียงทั่วไปตอนนี้คงต้องเรียกว่าดังจนปวดหู ทิวากาลเลือกขัดคำสั่งที่ได้รับก่อนหน้าด้วยการเดินออกมาจากตรงนั้นไปยังอีกฝั่งที่เขียนไว้ว่ามุมสูบบุหรี่ ไม่ได้ตั้งใจจะไปสูบเพียงแค่คิดว่าน่าจะสงบกว่า อย่างพิชชาน่ะใช้ความสามารถพิเศษแป๊บเดียวก็หาเขาเจอแล้ว

   "โอ๊ะ ขอโทษค่ะ"

   "ไม่เป็นไ..."

   ตอบกลับไปได้ไม่เต็มคำเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ซองยาที่ทำได้แค่สบถอยู่ในใจ สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสร้างความประทับใจแรกพบด้วยการแกล้งชนกันหรอก ยิ่งพอเห็นช่วงนัยน์ตาล่องลอยแล้วรู้เลยว่าการชนเป็นเรื่องของสมองที่ไม่อาจควบคุมร่างกายได้อย่างเดียว

   เดินลัดเลาะออกมาโดยสอดส่องหาคนหายด้วย น่าเสียดายที่ระยะทางตั้งแต่ต้นจนถึงพื้นที่ด้านนอกไม่เจอใครสักคน โชคยังดีที่ถัดออกไปจากมุมบุหรี่ควันโขมงยังมีส่วนสำหรับนั่งเล่นทำขึ้นมาไว้ชั่วคราว อาจไม่ได้สร้างดีอะไรมากนักแต่ก็โอเคสำหรับการนั่งเล่นฆ่าเวลา

   "เหมือนคุณจะเป็นที่สนใจของหลายคนนะ"

   ไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่าไหร่ติดว่าอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิชชาเพิ่มเติมได้

   "ไม่อยากเป็น"

   คนที่เดินตามออกมาผละตัวไปยืนอยู่อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก "บางคนไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น"   

   คำพูดไม่ต่างจากที่พิชชาใช้ พออยู่กับชายผมยาวคนนั้นไปนานๆ แล้วจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่านะ

   ไม่อยากตอบอะไรกลับไปเลยแค่นหัวเราะในลำคอพลางเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ที่คว้ามาได้ก่อนออกจากส่วนงาน คราวนี้เป็นของแพงที่ไม่ค่อยได้แตะมากเท่าไหร่เพราะว่าคนรอบข้างคิดว่ามันไม่คุ้มกับราคา

   "รู้จักกับพิชได้ยังไงเหรอครับ" โทนเสียงอบอุ่น ไม่ละลาบละล้วงจนเกินไป สำหรับคนอื่นอาจดูไม่มีพิษมีภัยแต่สำหรับแบล็คแล้วเสียงอย่างนี้อันตรายกว่าคนที่ประกาศตัวว่าเป็นศัตรูชัดเจนเสียอีก "ก็อย่างที่บอกว่าพิชไม่เคยติดใครมาด้วย มีแต่พาใครออกไป"

   "แล้วคุณเป็นอะไรกับพิชชา"

   คนอย่างราชาไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคนอื่นหากยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ

   "อืม...ตอบยากเลย"

   "ขนาดนั้น"

   "ก็มันมีหลายสถานะ"

   ลูกล่อแพรวพราวล้านแปด ชักสงสัยแล้วว่าตัวเองคิดถูกหรือผิดที่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายขนาดนี้ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่ต้องการคงไม่ได้มาง่ายๆ

   ทิวากาลกลับมาเงียบอีกครั้ง ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาแล้วถึงพบว่าตัวเองห่างจากพิชมาแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง ตามหาอะไรขนาดนั้น พื้นที่ก็ดูไม่ได้กว้างอะไรสักหน่อย

   "ไม่ต้องห่วงหรอก อีกสักพักก็น่าจะเจอแล้วล่ะ"

   "เป็นอย่างนี้บ่อย?"

   "ประจำ แล้วพิชก็ต้องมาตามกลับ"

   ...ใคร

   เกือบหลุดปากถามออกไปแล้วถ้าไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นของกระป๋องเครื่องดื่มก่อน จับได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นขึ้นเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย เหมือนผู้ล่าที่กำลังจะจับเนื้อชิ้นโตเอาไว้ได้

   ห้ามใจร้อน ไม่อย่างนั้นจะได้เพียงอากาศ

   "มีน้องอย่างนั้นก็เหนื่อยหน่อยล่ะนะ คุณว่าไหม?"

   คำว่า 'น้อง' ช่วยลบทุกความไม่พอใจที่สะสมมาตลอดหลายวันให้หายไปในพริบตา ทิวากาลทำเป็นอ่านข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าในมือของตัวเอง คิดว่าควรพูดแบบไหนออกไปถึงจะดูไม่ผิดสังเกต

   "แล้วแต่คนจะมอง"

   "แสดงว่ามีน้องเหมือนกันล่ะสิ"

   "จะว่ามีก็มี..."

   "หืม?"

   "ก็มีหลายสถานะ" ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ย้อนกลับไปด้วยคำพูดอย่างนั้นเหมือนกัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาพูด ดูคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องแต่ละคนแล้วบางทีก็คิดว่าตัวเองเป็นพ่อไม่ใช่พี่ชาย

   "คุณเป็นคนที่แปลกดี"

   "มีคนอื่นเหมาะกับคำนั้นมากกว่า"

   เข้าใจมาโดยตลอดว่าพิชชาเป็นลูกคนเดียว ก็เล่าเรื่องแต่ละทีเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีใครอื่นอีกแล้ว พอมีคนอื่นในครอบครัวโผล่มามันเลยน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เป็นน้องไม่แท้อย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงไม่ได้อยู่ในขอบรั้วบ้านเดียวกันล่ะ หรือแค่วันนั้นเขาไม่เจอ

   แล้วน้องที่ว่าต้องเป็นแบบไหนถึงอยู่กับพี่ชายได้

   "คิดว่าอีกไม่นานก็เข้าไปได้แล้วล่ะ พิชน่าจะเจอภั..."

   "มาทำไม!!!"   

   ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา คนที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้วเมื่อมีคนตัวเล็กกว่ากึ่งวิ่งเข้ามาผลักจนเซไปไกล พร้อมกับเสียงร้องก่นด่าด้วยคำผรุสวาทจนเขาเรียบเรียงความคิดไม่ถูก

   คนมาใหม่เป็นเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนของโรงเรียนดังในตัวเมือง สภาพเห็นแล้วบอกเลยว่า 'ดูไม่ได้' ทั้งเสื้อยับยู่ยี่ดูไม่จืด ผมที่ยาวกว่าเด็กวัยรุ่นทั่วไปนิดหน่อยยุ่งเหยิง ที่เด่นคือสร้อยเชือกหนังจำนวนมากตรงข้อมือ ทิวากาลยังเรียบเรียงไทม์ไลน์ความคิดได้ไม่มากเท่าไหร่นักหันไปมองทางขวาของตัวเองเมื่อเห็นชายเสื้อของคนที่คุ้นเคยอยู่ไม่ไกล

   "ถามทำไมไม่ตอบ!!"

   ตรงนี้ไม่มีพื้นที่ให้เข้าไปแทรกได้แม้แต่หนึ่งคำ เด็กมัธยมที่ทำตัวเกินวัยกระชากคอเสื้อของอีกคนจนต้องโน้มตัวลงมาให้ไม่เจ็บ เพียงแต่บนใบหน้าของชายแต่งตัวดียังระบายไปด้วยรอยยิ้มจนขัดตา

   "ภัสก็รู้อยู่แล้วว่าพี่มาทำอะไร" เด็กตัวเล็กชื่อแปลกไม่ต่างจากคนพี่ ช่วงนัยน์ตาฉายแววโรจน์ไม่ต่างกับอาการอื่นที่แสดงออกมาผ่านท่าทาง "เพราะอย่างนั้นพี่จะไม่ตอบ"

   "ปล่อยพี่เขานะภัส"

   แล้วกรรมการก็มาทันก่อนจะมีการวางมวยนอกกติกา พิชชาไม่ได้เข้าไปประชิดตัวสองคนนั้นแม้แต่น้อย วิธีการห้ามทัพในแบบของผู้รู้คือสั่งด้วยเสียง

   กลัวว่าจะพลาดฉากเด็ดจนไม่ยอมละสายตาไปไหน ชายที่เขาเพิ่งรู้ชื่อยังคงด่าคำหยาบคายออกมาอีกไม่น้อยโดยปล่อยให้อีกคนยืนฟังอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีการโต้แย้งหรือคัดค้าน มิหนำซ้ำยังพยักหน้ารับรู้กับบางเรื่องที่พูดออกมาอีก ครอบครัวของพิชชานี่สุขสันต์เกินคำบรรยาย!
   
   "ถ้าจะไปก็อย่าโผล่มา! ไม่ต้องมีพี่ภัสก็อยู่ได้!"

   "อย่างนั้นเหรอ..." ทิวากาลเรียกการเสียงและคำอย่างนั้นว่ายียวน และเด็กอารมณ์ร้อนอย่างอีกฝั่งไม่มีทางตามเกมได้ทัน "ภัสอยู่ได้ถ้าไม่มีพี่จริงเหรอ?"

   คนที่น่าจะเป็นน้องชายของพิชชาชะงักค้างไปชั่วขณะ มือสองข้างที่เคยกำคอเสื้อเอาไว้แน่นปล่อยมันราวกับเป็นของร้อนจัด เด็กชายในชุดนักเรียนก้าวถอยหลังไปหลายก้าวจนเปิดช่องให้พิชชาเดินเข้าไปขวางตรงกลางเอาไว้ การทะเลาะกันของคนสองคนจบลงอย่างรวดเร็วจนทิวากาลเองอยากจะส่งคอมเพลนไปหาคนจัดงานว่ายังไม่ถึงช่วงไคลแมกซ์ทำไมถึงรีบตัดจบอย่างนี้

   "เดี๋ยวผมพาน้องกลับก่อนนะครับพี่กาย"

   "แต่ภัสยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลยนะ"

   "ไว้ค่อยเอาคำตอบวันหลังเถอะครับ ยังไงอีกไม่นานเราก็ต้องได้เจอกันอีกอยู่แล้ว"

   "พี่จะไม่ได้เจอหน้าภัสอีก!!"

   "พอแล้วภัส กลับ"

   หลังจากนั้นไม่ได้มีสงครามน้ำลายอีกเพราะพิชชากึ่งจูงกึ่งลากน้องชายของตัวเองไปยังทางออกทันที ทิวากาลไม่ได้เอ่ยคำใดแทนการบอกลาเพราะไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเองเอาไว้ตรงไหน ถ้าเทียบว่าพิชชาเป็นน้ำไหลเอื่อยไปตามสายธาร น้องของเขาก็คงเป็นเปลวไปที่กำลังคุกรุ่นจนได้ที่ เทียบกับน้องทั้งสามคนของตัวเองแล้วน่าแปลกใจที่พี่น้องต่างกันได้ขนาดนี้
 


   ตลอดทางมีแต่เสียงของภัสพูดกับตัวเอง นอกจากจะกระฟัดกระเฟียดใส่คนด้านข้างทั้งสองฝั่งแล้วยังเดินสะเปะสะปะแบบคนหมดสภาพโดยมีพิชชาคอยพยุงเอาไว้ คิดต่อไปเองว่าถ้าน้องคนไหนทำตัวอย่างนี้เขาคงได้เปิดคอร์สเทศนากันสักสามชั่วโมงไม่มีพัก

   เพลียใจจนเข้าไปช่วยจับจากอีกฝั่ง ไม่พูดอะไรจนกระทั่งพาร่างมีสติแต่ไร้สัมปชัญญะของอีกคนเข้าไปตรงเบาะหลังของรถได้ คราวนี้ตุ๊กตาหน้ารถไม่ได้นั่งข้างหน้าแต่เปลี่ยนไปอยู่ข้างหลังอยู่กับสมาชิกใหม่แทน ทำอย่างนี้เท่ากับเขากลายเป็นคนขับรถโดยสมบูรณ์แล้วสิ

   "กลับบ้านเลยนะ?"

   ถ้าเป็นน้องของพิชชาจริงก็คงต้องเอากลับไปส่งทั้งพี่ทั้งน้อง

   "ไปอีกที่ครับ เดี๋ยวผมบอกทางเอง"

   "บ้านของเด็กนี่เหรอ"

   "ที่อยู่ปัจจุบันครับ"

   ถึงไม่เข้าใจว่ามันต่างกับบ้านตรงไหนก็เถอะ "ไม่เห็นรู้ว่ามีน้อง"

   "ก็คุณไม่ถามนี่ครับ"   

   "ทำอย่างกับถามแล้วคุณจะตอบ"

   เปลี่ยนเกียร์ให้ไปอยู่ตามจุดที่วางเอาไว้ เริ่มเคลื่อนรถออกจากที่จอดโดยเงยหน้าขึ้นมามองแสงสะท้อนในกระจกหลายครั้ง พิชชาก้มหน้าลงตรวจสอบเด็กชุดนักเรียนที่เปลี่ยนไปซบลงกับช่วงตักเรียบร้อย มุมอับแสงบอกไม่ได้ว่าเด็กคนนี้ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นหรือยัง

   "น้องของคุณชื่ออะไรนะ"

   "ภัสสร์"

   คราวนี้คนตอบคือเจ้าของชื่อเอง

   "พี่ชื่อแบล็คนะ"

   "อ้อ..." ทิวากาลหาคำอธิบายวิธีการหัวเราะอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าได้ยินวูบแรกคงเหมือนกับแสดงความยินดี แต่พอมันค้างอยู่ในหัวแล้วกลายเป็นความสมเพช "สีดำน่ะเหรอ"

   กล่องสี่เหลี่ยมตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างรู้ดีว่าคำนั้นหมายความถึงใครได้บ้าง

   "ใช่"

   "น่าสงสารจังเนอะพิช"

   "..." ไม่อาจคาดเดาได้ว่าคำรำพันต้องการสื่อความหมายถึงใคร

   "แล้วถ้าเป็นไปได้คราวหลังไม่ต้องมารับนะ กลิ่นรถคันนี้เวียนหัวชะมัด"

   คำถามแรกพอไม่ได้คำตอบก็กลายเป็นการพาดพิงมาถึงรถที่ตัวเองนั่งอยู่เสียได้ คิ้วข้างหนึ่งของทิวากาลกระตุกขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาเอารถไปล้างทุกสัปดาห์แถมยังวางที่ดูดกลิ่นเอาไว้ตลอด มีอย่างที่ไหนมาวิจารณ์จนเสียอย่างนี้

   "คนที่ตัวเหม็นเหล้าอย่างนี้ก็กล้าพูดนะ"

   แบล็คไม่ชอบเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ทำตัวอย่างนี้ ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามทิวากาลไม่เคยต้องให้คนอื่นมาเก็บกวาดซากความเสียหายที่ตัวเองทำไว้ เขารับผิดชอบตัวเองได้ดีตลอดไม่ว่าจะดื่มเหล้าจนถึงฟ้าสว่างก็ตาม เพราะงั้นมันเลยน่ารำคาญไง ทั้งดูแลตัวเองไม่ได้แล้วยังขี้โวยวายอีก

   "ผมดื่มแต่เบียร์"

   "บรรลุนิติภาวะแล้วหรือไง" ถึงจะไม่มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุของเด็กที่จะกินเบียร์ได้แต่การเข้าไปในสถานบันเทิงอย่างนั้นผิดอยู่แล้ว ยิ่งใส่ชุดนักเรียนก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

   "ยัง ถ้ายี่สิบแล้วบ่นเป็นคนแก่อย่างนี้ผมไม่อยากโตหรอก"

   เด็กเวรตะไล...

   "ภัส" การเรียกชื่อแทนการดุดูท่าจะได้ผล "อย่าสร้างคดีใหม่"

   พอได้ยินเสียงเด็กตัวเล็กพูดอะไรออกมาอีกเขาเลยตัดรำคาญด้วยการเปิดวิทยุแล้วปรับความดังของเสียงให้มากกว่าปกติ ช่องสัญญาณยังคงค้างไว้อยู่ตรงคลื่นโปรดของพิชชาก่อนลงจากรถไป

   เพิ่งรู้สึกว่าเพลงเพราะก็ตอนนี้ล่ะ



***
   เดี๋ยวเจ้าจะต้องออกต่างจังหวัดหลายวันไม่ชัวร์ว่าจะลงตอนต่อไปได้เมื่อไหร่ แต่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดค่ะ
   ครึ่งหลังนี่มีตัวละครใหม่โผล่มาสองตัวเลยล่ะ นอกจากพี่แบล็คจะต้องรับมือกับพิชชาแล้วคนน้องอย่างภัสสร์ก็น่าจะทำให้ปวดหัวได้ไม่แพ้กันเลยค่ะ (หัวเราะ)
   สำหรับเรื่อง With Love, ด้วยรัก ที่จริงเจ้าก็คิดเอาไว้แล้วค่ะว่าน่าจะมีหลายคนไม่เข้าใจเท่าไหร่ เพราะเจ้าตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ได้เฉลยอะไรชัดเจน ใช้วิธีแทรกเข้าไปในบางบทสนทนาให้สังเกตเอาเองมากกว่า เรียกว่าเดาความหมายได้ตามใจชอบเลยค่ะ (ยิ้ม) แต่ถ้ายังมีคนอ่านไม่เข้าใจเยอะอีกเจ้าก็คิดอยู่ว่าจะไปแก้ไขตรงทอร์คอยู่เหมือนกันค่ะ
   ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 22:56:08 โดย 23August »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
«ตอบ #45 เมื่อ01-09-2016 22:23:43 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.7-2 [01.09.16] P.2
«ตอบ #46 เมื่อ08-09-2016 11:31:24 »

รอจ้า  :mew1: :mew2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
«ตอบ #47 เมื่อ09-09-2016 23:10:58 »

CH.8-1

   คำพูดของราชาศักดิ์สิทธิ์

   ตอนนี้เขาเลยต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง

   "น่าเสียดายนะคะ เห็นว่าข้างในก็วุ่นวายอยู่"

   "ก็แน่สิคะ งานแต่งใหญ่โตอย่างนี้ก็ตั้งใจจะอวดบารมี"

   "ลูกชายคนโตก็ไม่สนอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเราคงเข้ามาดูแลทุกอย่างเองแล้ว ยังไงก็สมบัติของพ่อ"

   "ถ้าพ่อไม่แต่งกับพวกยิ ...คนต่างชาติก็คงไม่มีปัญหาขนาดนี้หรอกค่ะ"

   ยืนปั้นหน้ายิ้มเป็นผู้รับฟังที่ดีท่ามกลางกลุ่มแม่บ้านวัยใกล้เกษียณที่จับกลุ่มพูดคุยกันออกรสออกชาติ หลายครั้งมองออกไปตรงพื้นที่ที่ 'ลูกชายคนโต' กำลังนั่งอยู่ ชายผมยาวคนเดิมกับชุดที่ไม่เหมือนเดิม แปลกตาจนแวบแรกที่เห็นเกือบนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

   ยังไม่ทันเข้าไปลงทะเบียนก็โดนกลุ่มเพื่อนของคุณพ่อลากมาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ ตั้งใจแยกตัวออกมาแล้วถ้าไม่ติดว่าหัวข้อในการสนทนาของหญิงกลุ่มนี้เป็นเรื่องของพิชชา ดูเหมือนว่าหลายคนเองก็ให้ความสนใจกับลูกชายคนโตผู้ควรได้รับมรดกมหาศาลทั้งหมดเพียงคนเดียว ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องญาติพี่น้องคนอื่น

   เท่าที่ฟังมาเรียบเรียงได้ว่าพ่อของพิชชามีพี่น้องหลายคน คนสืบทอดกิจการต่อมีแค่น้องชายคนที่สอง ส่วนที่เหลืออีกสามสี่คนต่างแยกย้ายไปประกอบธุรกิจส่วนตัวหมดแล้ว ส่วนมากไม่ค่อยเห็นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเว้นแต่จะมีงานสำคัญ

   เช่นงานแต่งงานหลานชายคนแรกของตระกูล

   ขยับไทด์ที่รัดคอจนน่ารำคาญ ตอนแรกที่พ่อบอกว่ามีจะให้ไปแทนก็ตั้งใจว่าจะปฏิเสธ งานพวกนี้น่าเบื่อทั้งตัวเนื้องานแล้วก็คน มากี่ครั้งไม่พ้นต้องทำหน้าเป็นมิตรใส่ เอาแต่คุยเรื่องครอบครัวของตัวเอง การเรียนของลูกหลาน สารพัดเรื่องราวคลาสสิคที่รีเมคกี่ครั้งก็ยังไม่น่าดูเหมือนเดิม

   แต่พอเห็นชื่อแล้วก็นามสกุลของฝั่งเจ้าบ่าวเท่านั้นแหละรีบอาสาแทบไม่ทัน

   "น้องแบล็ค วันนี้คุณพ่อไม่มาเหรอ"

   "ครับ" หน้ายิ้มทั้งที่อยากพูดออกไปว่าถ้าไม่เห็นนั่นก็หมายความว่าไม่มา "วันนี้ผมมาแทนครับ"

   คุณนายไฮโซคนรู้จักของพ่อ เคยเห็นหน้าอยู่หลายครั้งแต่ก็มาพร้อมกับเรื่องน่ารำคาญตลอด งานนี้ถึงขั้นยอมส่งชุดไปซักรีดใหม่เลยนะ จะไม่มีทางปล่อยให้ความพยายามทั้งหมดเสียเปล่าเด็ดขาด อย่างน้อยวันนี้เขาควรรู้สภาพสังคมของพิชชาในสายตาของแขกคนอื่นบ้าง

   "ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วล่ะ"

   คำถามไร้สาระจนอยากกรอกตาใส่

   "ปีสี่ครับ นิติศาสตร์"

   บอกคณะไปเลยจะได้ไม่ต้องถามต่อ เขารู้ว่าเรื่องต่อมาจะถามอะไร คำถามว่าจบไปตั้งใจทำอะไรต่อ คือช่วยคิดคำถามอย่างอื่นที่ช่วยให้การสนทนามันดูมีประโยชน์ขึ้นหน่อยได้ไหมล่ะ

   "จะจบแล้วนี่ วางแผนยังไงต่อ"

   "ยังไม่ได้คิดครับ"

   ส่งยิ้มกลบทุกความรู้สึกเอาไว้ข้างใน ทั้งความคิดว่าหลังจากนี้คงเหมือนเดิมที่จะยกคนรอบตัวขึ้นมาพูดทำเหมือนเป็นอุทาหรณ์ ทั้งที่จริงแล้วแค่อยากอวดลูกของตัวเองเท่านั้น

   "ไม่รีบคิดเดี๋ยวพลาดโอกาสนะ ลูกป้าเองก็เอาเรื่องเรียนต่อมาคุยแล้ว"

   ไม่อยากจะพูดว่าลูกที่ดูภูมิใจนักหนาถ้าอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยก็เป็นแค่พวกปากดีที่ไม่มีใครคบนอกจากพวกศีลเสมอกัน แล้วที่คุยเรื่องเรียนต่อนั่นก็เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้พยายามมากแค่ไหนคะแนนก่อนจบก็ค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่มีบริษัทไหนรับ เลยต้องใช้วิธีไปเรียนต่อนอกเพื่อชุบตัวเอง

   "ตอนนี้ผมยังมีความสุขดีกับการเรียนปริญญาตรีครับ" ผู้คนตรงจุดลงทะเบียนน้อยลงแล้ว ทิวากาลเห็นช่องหนีจึงรีบขอตัวออกมา "ผมต้องไปยื่นซองก่อนล่ะครับ"

   จุดรับซองมีหนุ่มสาวหลายคนนั่งอยู่ และสายตาของแบล็คจับจ้องไปที่ชายผู้โดดเด่นกว่าใครอื่น ทิวากาลเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย วางซองเชิญร่วมงานเลี้ยงลงพลางสำรวจแฟชั่นแบบใหม่ของพิชชา

   ชุดสูททางการสีเทาพอดีตัว ไม่ได้ใส่ไทด์หรือว่าผูกโบว์ มีช่อดอกไม้แห้งสีแปลกประดับอยู่ตรงปกคอไม่เหมือนกับคนอื่น สร้อยสีเงินที่เห็นอยู่ตลอดเวลาคราวนี้เหมือนว่าจะหายไปอยู่ข้างในเชิ้ตแทน ผมยาวมักจะปล่อยสยายถูกมัดรวบเก็บไว้ด้านหลัง อาจมีบางส่วนหล่นมาตามกรอบหน้าบ้าง พิชชาไม่ใช่คนหน้าหวานจัด แต่ก็ไม่ได้โครงหน้าของผู้ชายมาเต็มร้อย ราวกับว่าพระเจ้าตั้งใจสรรค์สร้างให้เขาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง

   อารมณ์พวกที่ได้รับความรักจากพระเจ้าอะไรอย่างนั้น

   "ว่างเหรอครับราชา"

   ไม่รู้ทำไมพอคำนั้นมันออกมาจากปากของพิชชาถึงได้เจ็บกว่าปกติ

   "ผมมาทำหน้าที่ลูกที่ดี" ไม่รู้จะเซนต์อะไรลงไปเลยไม่จับปากกา มือบอนคว้าของชำร่วยในชั้นวางเหล็กดัดมาไว้ในมือ "ถุงหอม?"

   ถุงผ้าตาข่ายสีสันสดใส ข้างในบรรจุกลีบดอกไม้แห้งแปรสภาพจนนึกรูปร่างตอนที่มันเป็นดอกไม้สดไม่ค่อยออก กลิ่นฉุนจมูกที่ได้รับคือเครื่องสังเคราะห์มากกว่ากลิ่นตามธรรมชาติ

   "บ้านเจ้าสาวทำสวนดอกไม้ครับ"

   "ถึงว่าดอกไม้เต็มงาน" ตั้งแต่เข้างานมาจนถึงจุดลงทะเบียนทุกพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ ช่วงทางเข้าทำเป็นโครงซุ้มห้อยระย้า เลยเข้ามาหน่อยก็จัดวางไว้เป็นแบคดรอบรวมถึงทำเป็นรูปนกหลายท่วงท่า หลายคนที่เดินผ่านก็พูดว่าใช้ดอกไม้สิ้นเปลือง

   "มันเป็นเครื่องหมายของอะไรหลายอย่างครับ"

   "เหมือนดอกกุหลาบสีดำอย่างนั้นเหรอ?"

   ดอกไม้ที่ยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ดอกกลีบซ้อนสวยงามไม่ต่างจากวันแรกที่ได้รับมา มันยังหลับไหลอยู่เช่นนั้นรอการผลิบานเมื่อได้รับคำเฉลยว่าเป็นตัวแทนของสิ่งใด

   "จะว่าอย่างนั้นก็ได้อยู่ครับ"

   "เสร็จแล้วก็อย่าขวางทางแขกคนอื่น"

   นอกจากลูกชายคนโตแล้วคนเล็กเองก็นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงโต๊ะลงทะเบียนเช่นกัน ทิวากาลหรี่ตามองเด็กปากร้ายที่วันนี้อยู่ในชุด 'ดูดี' กว่าวันนั้นมากโข อย่างผมเองก็ถูกจัดไว้เป็นทรง ชุดสูทงานละเอียดพอดีไปกับตัว ที่ยังเหมือนเดิมก็คงเป็นเครื่องประดับจำนวนมากตรงข้อมือต่างกับพี่ชายที่มีเพียงสร้อยเส้นเล็กเท่านั้น อย่างน้อยวันนี้ก็ดูมีสติมากกว่าวันนั้น ถ้าคุยอะไรก็น่าจะรู้เรื่องกว่า

   "ตัวเองว่าก็ทำหน้าที่ไปสิ" เห็นอยู่ว่าภัสสร์เองก็มีงานไม่ต่างจากพี่ชายของตัวเอง "ต้องทำอะไรก็ทำไป"

   ตั้งใจเหน็บแนมเรื่องไม่ดูแลตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับรอยยิ้มแสยะอย่างนั้นกลับมาแม้แต่น้อย "หน้าที่เดียวของผมคือรอวันตาย"

   "ภัสสร์"

   "หรือไม่จริงล่ะพิช?"

   ดูแล้วคงห่างกันหลายปีอยู่ แต่เรียกชื่อกันอย่างนั้นเลยเหรอ อย่างบ้านของเขาไม่เรียกพี่เพราะว่าเกิดค่อนข้างติดต่อกันจนมีช่องว่างระหว่างคนแรกกับสุดท้องเพียงปีกว่า แต่นี่เด็กมัธยมกับมหาวิทยาลัยก็ควรแบ่งหน่อยไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นพี่หรอก

   "อย่าเอาเรื่องอื่นมาปน"

   "ก็ไม่ได้ออกนอกเรื่องตรงไหน"

   "ตอนนี้อยู่ในงานอะไร"

   "งานแต่งพี่กายไง บนบัตรเชิญก็เขียนอยู่" ฝีปากอาจไม่เท่าไหร่ แต่ความเร็วในการโต้กลับไปไม่ได้น้อยเลย "กลัวอะไรนักหนา ภัสเคยทำอะไรได้ที่ไหนล่ะ"

   ทิวากาลมองเด็กมัธยมหยิบซองถุงหอมแบบเดียวกับในมือของตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา แกว่งมันไปมาด้วยนัยน์ตาอ้างว้างเกินบรรยาย เด็กคนนี้คือใครคนนั้นที่เขาเจอเมื่อวันก่อน แต่ระดับอารมณ์และความรู้สึกที่แสดงออกมาต่างกันลิบลับ

   ไม่ชอบทำตัวเป็นนักทำนายเท่าไหร่ ก็ยังพอเดาออก

   "ภัสไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว"

   ซองเครื่องหอมร่วงหล่นไปสู่พื้นพรมแบบที่ไม่มีใครคิดจะก้มลงไปเก็บ คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะดันตัวของทิวากาลให้พ้นจากส่วนหน้าของโต๊ะเพราะว่ามีแขกคนใหม่เข้ามา มันเลยกลายเป็นว่าแบล็คต้องมายืนอยู่ตรงหน้าของเด็กเวรตะไลแทน

   "ไม่รู้จักรักษาของ"

   "ก็บางคนไม่รักษาก่อน"

   "คนเป็นลูกพี่ลูกน้องนี่สนิทกันอย่างนี้หมดเลยเหรอ" เรื่องหลอกถามทิวากาลเชื่อว่าตัวเองเก่งพอสมควร "พอดีผมไม่เคยมีญาติเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่"

   "ไม่ สนิท"

   การปฏิเสธเน้นทีละคำจนทิวากาลกลั้นขำ ก็เล่นสวนกลับมาอย่างนั้นอธิบายได้เกือบทั้งหมดว่าเป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ต่อให้พูดคำสวยหรูยังไงสิ่งที่เห็นในแหล่งอโคจรเมื่อวันก่อนมันชัดพอจะบอกว่าเรื่องระหว่างคนสองคนมันต้องมีอะไรมากกว่าความเป็นลูกพี่ลูกน้อง

   "มั่นใจ?"

   "มันก็ยังดีกว่า 'พี่น้อง' บางคู่แล้วกันน่า"

   เด็กที่นิ่งมาตลอดโดนแกล้งจนหน้าเริ่มบูด แขกที่มาพร้อมกันทีเดียวเกือบสิบชีวิตเป็นการไล่ให้ทิวากาลต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในงานโดยปริยาย เขาเลยผ่านซุ้มถ่ายภาพของบ่าวสาวที่ยืนรับแขกอยู่ไม่ไกล คิดอยู่นานจนได้ข้อสรุปว่าอีกคนคงไม่อยากเห็นเขาอยู่ที่นี่ เอาจริงคือตัวเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าญาติของพิชชาที่ว่าจะหมายถึงชายคนนี้

   ปกาย

   ชื่อแปลกพอกันทั้งบ้าน ตอนที่พิชชาเรียกครั้งนั้นมันเป็นชื่อเล่นธรรมดาสามัญอยู่หรอก ไม่คิดว่ามันจะมาจากชื่อจริงเลยสักนิด คนในครอบครัวนี้ไม่คิดจะตั้งชื่อเล่นอื่นที่ไม่ได้มาจากชื่อจริงบ้างหรือไงกัน ทำอย่างเขาไงที่ชื่อตรงกันข้ามกันเลย

   ต่อให้เป็นน้องโรม...ไม่สิ ไม่ควรเอาน้องเล็กมาเป็นเกณฑ์ เอาเป็นว่าถ้าคนปกติทั่วไปที่ไหนเห็นการทะเลาะกันอย่างนั้นต้องเดาได้แหละว่ามันมีเบื้องหลังมากกว่าเรื่องผิดใจกันทั่วไป แล้วยิ่งเห็นอาการประกอบทั้งหมดบอกเลยว่าเขาเทหมดหน้าตัก

   ข้างในงานเต็มไปด้วยคนมากหน้าหลายตา หลบเลี่ยงเหล่าคนรู้จักของพ่อให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำๆ อีก คือรู้ไปมันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรในชีวิตดีขึ้นเลย ก็ยังอยากรู้เรื่องของชาวบ้านไปทั่ว

   ไม่เหมือนอีกคนที่ไม่ต้องเล่าก็รู้หมดทุกอย่าง

   "อ้าว"

   "..."

   ข้อพลาดของทิวากาลที่ไม่สังเกตดูให้ดีว่ารอบตัวมีคนรู้จักอื่นอีกหรือไม่

   ปลอบใจตัวเองว่าการเจอชายคนนี้ก็ดีกว่าพ่อของเจ้าบ่าว เพราะถ้าเจอรายนั้นเขาคงโดนซักฟอกยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ชายไฮโซในชุดงานกลางคืนเนี้ยบไปทุกส่วน ใบหน้าดูสดใสไม่ต่างจากวันนั้น สิ่งแรกที่ทำหลังจากสมองรายงานผลการประมวลคือรีบควบคุมสีหน้าเอาไว้ให้เป็นปกติ ปลอบตัวเองว่าถ้าเป็นคุณน้าคนสนิทก็ไม่น่าแปลกใจที่เดินอยู่ในงานนี้

   "สวัสดีครับ" แม้จะรู้ชื่ออยู่แล้ว ทิวากาลก็ทำเหมือนตกใจเหลือเกินที่ได้เจอกันในสถานที่อย่างนี้ หลังจากที่เจอกันบนชั้นสูงของโรงแรมเมื่อคราวที่แล้ว "ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะครับ"

   ที่พูดออกไปไม่ได้ผิดจากที่คิดเท่าไหร่ จะว่าดีใจมันก็บางส่วน และอีกหลายส่วนกำลังร้องตะโกนว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วสำหรับการเจอกัน

   "ไม่คิดว่าจะได้เจออีก แล้วนี่พิชชวนมาเหรอ"

   คนปกติที่ไหนจะชวนคนรู้จักมางานแต่งงานของญาติกันนะ แบล็คสวมหน้ากากผู้ชายอารมณ์ดีอย่างที่ทำตลอดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ระวังตัวเต็มที่ในการตอบ "เปล่าครับ มาแทนคุณพ่อ"

   "อ้อ..."

   "ไม่คิดว่าจะเป็นงานของญาติพิชเหมือนกัน"

   ภาวนาให้เขาไม่กลับไปถามเรื่องพ่อว่าเป็นใคร โกหกนิดหน่อยคงไม่เป็นอะไรมาก ขยับร่างกายเพื่อวางเครื่องดื่มในมือลงกับถาดของบริกรที่เตรียมรับเอาไว้แล้ว งานเลี้ยงแบบนี้เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เหมือนหาเรื่องมากินฟรีมากกว่าจะแสดงความยินดีกับบ่าวสาว

   "พระเจ้าถึงสร้างโลกให้มันเป็นทรงกลมไง ต่อให้ไกลแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี"

   "...คงอย่างนั้นครับ"

   เสียงที่มักอ่อนลงยามคุยกับผู้มีอายุครั้งนี้มันเบายิ่งกว่าครั้งไหน ไม่อยากจะนับว่าการกลับมาเจอกันอย่างนี้มันเป็นเรื่องของ 'โลกทรงกลม' เหมือนกัน

   ใจลอยคิดไปถึงอีกเรื่องว่าหากเอามาเทียบกับทฤษฎีนี้ได้มันคงจะดีกว่านี้อีกหลายเท่าตัวจนไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไรต่อจากนั้น

   "อะไรนะครับ?"

   "น้าถามว่าชื่ออะไร คราวที่แล้วโดนตัดบทเลยไม่รู้"

   ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะบอกชื่อจริงหรือว่าชื่อเล่นดี ไม่กล้าเสี่ยงด้วยปัจจัยหลายอย่าง "แบล็คครับ"

   "สีดำ?"

   "ใช่แล้วครับ"

   "อืม...โลกเราเป็นวงกลมจริงด้วย" รอยเอ็นดูส่งผ่านมาทางช่วงตา ชายที่ทิวากาลพร่ำบอกตัวเองว่าควรพาตัวเองออกไปให้ห่างยังพูดต่อโดยไม่สังเกตว่าคู่สนทนากำลังซ่อนมือที่กำเอาไว้แน่นไว้ข้างหลัง "ชื่อเหมาะกับตัวนะ"

   "ครับ?" ยังจับใจความได้ไม่ดีเท่าไหร่เลยทวนกลับไป

   "ชื่อมันมีความหมาย หลายคนไม่ค่อยเชื่อหรอกว่ามันจะแทนตัวตนของเราได้ดีเลยล่ะ"

   "แล้วถ้าชื่อจริงกับชื่อเล่นไปคนละทางเลยนี่มันจะแทนตัวเองได้ยังไงเหรอครับ"

   "แบล็คชื่อจริงว่าอะไรล่ะ"

   ติตัวเองในใจที่พลาดท่าพูดอะไรอย่างนั้นออกไป ชายอายุน้อยกว่าคิดภาพหลังจากที่ตัวเองบอกชื่อจริงไปแล้วไม่ออก อีกฝ่ายจะตกใจไหมนะ หรือว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร มีแต่เขาที่คิดมากไปเองฝ่ายเดียว

   "ชื่อโหลครับ ความหมายทั่วไปเลย"

   "บอกมาสิ"

   "คุณน้า"

   และเป็นอีกครั้งที่ราชาติดหนี้บุญคุณคนอื่น ไม่ได้สังเกตเลยว่าพิชชาโผล่มาจากส่วนไหนของงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ชายผมยาวอยู่ในชุดเดิม จนเห็นได้ชัดว่าผมหยักนั้นไม่ได้มัดเอาไว้ด้วยหนังยางรัดผมทั่วไป แต่เป็นด้ายพันเกลียวหนาสีดำแซมเงินมัดเป็นปมเอาไว้ง่ายๆ

   "พิช ฝากยินดีกับกายอีกรอบด้วยนะ"

   "แล้วจะบอกให้ครับ"

   "นี่เจอแบล็คเฉยเลย แปลกดีที่เราได้เจอกันอย่างนี้" ชายที่ถูกเรียกว่าน้าเข้าไปสวมกอดหลานชายของตัวเองเอาไว้หลวมๆ "จะพาแบล็คไปไหนหรือเปล่า?"

   "เดี๋ยวจะพาเข้าไปข้างในครับ เรายังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย"

   ถึงเมื่อเที่ยงเขาจะไปจัดมื้อหนักกับครอบครัวมาแล้วก็ตามที มันก็ยังดีที่มีช่องในการพาตัวเองออกไปจากที่นี่ได้ สะกิดใจอยู่นิดหน่อยว่าเพราะอะไรพิชชาถึงเดินเข้ามาช่วยเขาตอนนี้ทั้งที่คราวก่อนดูอยากแกล้งเขาเสียเต็มประดา

   เรื่องที่พิชชารู้

   จะใช่เรื่องเดียวกับที่เขารู้หรือเปล่า

   "คงสั่งอย่างอื่นเพิ่ม ของข้างในไม่น่าจะทำให้อิ่ม"

   เสียงหัวเราะของทั้งสามคนประสานกัน เพียงแต่ว่าทำนองที่ออกมาฝืนใจเสียเต็มประดา

   "งั้นขอตัวก่อนนะครับ"

   โค้งให้แทนการบอกลา ทิวากาลเดินนำโดยมีพิชชาตามมาติดๆ ยังไม่ทันอ้าปากแซวอะไรก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาจากทางที่เพิ่งยืนอยู่

   "แบล็ค!"

   "ครับ?"

   "พอดีเพิ่งนึกออกเรื่องหนึ่ง ขอคุยด้วยหน่อยสิ"   

   หันมาทางพิชชาก่อนเริ่มก้าวก็ได้รับกำลังใจเพียงแค่การพยักหน้าให้ แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากก็ยอมเดินกลับไปที่เดิม สิ่งที่ต้อนรับการกลับมาคือรอยอาทรของผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยได้รับจากใคร

   "ฝากดูแลพิชด้วยนะ" และไม่รอให้ทิวากาลได้อธิบายสถานะของตัวเอง เขาก็ได้รับคำฝากฝังเสียแล้ว "พิชเป็นหลานคนเดียว หลานที่น้ารักที่สุด"

   ยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คืออีกคนมองว่าเขากับพิชชามีความสัมพันธ์แบบไหนเหรอถึงมาบอกอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้ทิวากาลอยู่ตรงนี้มันคือการ 'ชดใช้' มันช่วยให้เรื่องราวไม่บานปลายไปมากกว่านี้หรือเปล่า

   "ผมไม่รับปาก" มันเป็นการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุด "ผมแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง"

   "เด็กคนนั้นไม่เคยมีใคร อยู่กับเขานะ"
   
   คำสั่งเดียวที่เคยได้รับก้องอยู่ในส่วนความทรงจำ

   ทิวากาลพยายามตามหาจุดประสงค์ที่แท้จริงของการร้องขอ คนอย่างพิชชาถ้าลองได้มารู้จักแล้วก็รู้ว่าต่อให้เจออันตรายขนาดไหนก็สามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน มองไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องมาขอให้คนอื่นช่วย ยิ่งเป็นคนอย่างเขาแล้วด้วย ดูแลน้องแค่สามคนก็เหนื่อยพอแล้ว อย่ามาเพิ่มภาระให้เลย

   "ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้"

   ราชามีเรื่องให้จัดการเยอะแยะ จะให้มาขลุกอยู่กับผู้ชายผมยาวคนเดียวเขาไม่มีทางทำอยู่แล้ว จะทำให้ได้มากที่สุดก็แค่ช่วยดูแลบ้างเท่านั้น

   "อยู่กับเขา"

   เกือบจะถอนหายใจด้วยความเอือมระอาเต็มทน มีแต่พวกที่ฟังแล้วจับใจความไม่ได้ ก็เพิ่งบอกอยู่ว่าไม่ทำแล้วยังจะมาสั่งอีก ทิวากาลซ่อนความไม่พอใจทั้งหมดไว้ข้างใน สูดหายใจเข้าลึกแบบที่ไม่ให้ผิดสังเกตก่อนที่จะย้ำจุดยืนของตัวเองออกไปอีกครั้ง

   "ไม่ได้ครับ"

   "ฝากด้วยนะ แล้วไว้เจอกันใหม่"

   โดยที่ไม่รอให้คนรับคำสั่งได้แย้งถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชายไฮโซผู้มีตำแหน่งเป็นคุณน้าของพิชชาก็ตบบ่าให้กำลังใจพลางเดินสวนไปอีกทางทันที

   ให้ตาย

   การรู้จักกับพิชชานี่มันปั่นทอนความสุขในชีวิตของเขาไปเท่าไหร่แล้วนะ



   ช่วงก่อนเข้าพิธีการเยิ่นเย้อจนน่ารำคาญ ทิวากาลไม่คิดจะออกไปสูบบุหรี่จนกว่าจะกลับถึงบ้านอยู่แล้ว มันจะดีกับทั้งตัวเองแล้วก็ผู้เป็นบิดา คุณพินิจไม่เคยห้ามที่เขาสูบ ไม่ถึงกับสนับสนุนแต่ถ้าไปเที่ยวไหนแล้วเจอแท่งนิโคตินแบบที่น่าสนก็ชอบหิ้วกลับมาฝาก

   เหมือนกับของบางชิ้นที่มักติดกลับมาด้วยเสมอ

   เลี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านนอกของงาน ถ้าจำไม่ผิดตอนที่ออกมาจากลิฟต์เห็นป้ายบอกทางว่ามีสวนพักผ่อนอยู่ในชั้นเดียวกัน เดินย้อนกลับมาตามทางที่คิดเอาไว้จนเห็นสิ่งที่ต้องการ พื้นที่ที่ควรจะว่างเปล่าเพราะว่าคนอื่นอยู่ในงานกันหมดกลับมีร่างของเจ้าบ่าวเดินเร็วพลางสอดส่องซ้ายขวา นิสัยของพวกคนช่างแกล้งมีมากจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนทักไปแล้ว
   
   "หาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?"

   ใบหน้าว้าวุ่นของเจ้าบ่าวแปรเป็นตกใจ ช่วงนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยแล้วถึงกลับมาเป็นอย่างเดิม

   "นิดหน่อย..."

   "ให้ผมช่วยไหมครับ น่าจะเป็นของสำคัญอยู่ถึงออกมาหากลางงานอย่างนี้"

   "ไม่เป็นไร"

   "อ้อ ลืมเลย พอดีผมไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปด้วย ยินดีด้วยนะครับ"

   "ขอบใจ"

   ทุกคำตอบโต้เป็นการตอบรับส่งๆ สายตาของปกายยังคงมองสอดส่องไปทั่วจนทิวากาลต้องทำตามบ้าง พอเจอสิ่งที่คิดว่าเป็นต้นเหตุก็ลอบยิ้มร้ายในใจ

   ถ้าออกอาการขนาดนี้คงมีอยู่เรื่องเดียว

   "โลกเราเป็นวงกลมจริงด้วยนะครับ คราวที่แล้วเจอในปาร์ตี้ คราวนี้กลายเป็นงานแต่งงานไปเสียได้"

   "คงเป็นอย่างนั้น"

   แม้ชายคนหน้าจะเหมือนกับคนเดิมที่เขาเจอเมื่อวันก่อน แต่หนึ่งสิ่งที่ไม่เหมือนคือคนที่เขาเผชิญหน้าอยู่คือทิวากาล ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องคนนั้น
   
   "แล้วหาอะไรอยู่เหรอครับ" เสียงปรบมือด้านในที่ดังขึ้นบอกให้รีบขยับหมากตัวต่อไป "ให้ผมช่วยดีกว่านะ"

   บอกแล้วไงว่าคนอย่างแบล็คชอบที่จะเป็นผู้กำกับงานแสดง

   "ไม่มีอะไรแล้วล่ะ"

   "อย่างนั้นเหรอครับ..." ต่อให้มีกำแพงกั้นเอาไว้สูงแค่ไหนก็ไม่ทำให้ถอดใจได้อยู่แล้ว ทิวากาลทำเป็นยอมเก็บความหวังดีเอาไว้ แล้วก็พูดชื่อที่สองชัดถ้อยชัดคำจนอีกคนเผลอตวัดหน้ามามอง "งั้นผมกลับเข้าไปหาพิชกับภัสในงานก่อนนะครับ"

   "ภั...พิชอยู่ในงานแล้วเหรอ?"

   ต่อให้ช่วงเวลาบีบคั้นเขาก็ยังเก็บสติเอาไว้ได้มากพอสมควร พอเหยื่อเริ่มพาตัวเองเข้ามาอยู่ในหลุมพรางแล้วก็ต้องเตรียมฝังกลบ

   "ครับ แต่ว่าเห็นภัสบอกว่าจะออกมาเดินเล่นข้างนอกถ้าข้างในน่าเบื่อ" พูดเองเออเอง ทำเหมือนกับกำลังคุยเรื่องปกติทั่วไปอยู่ และไม่คิดว่าคำเดียวจะทำให้คนที่สงบมาตลอดกลายร่างได้

   "ภัสอยู่ที่ไหน?"

   "ครับ?" งานยียวนนี่ถนัดเขาล่ะ แกล้งน้องมาตั้งแต่เด็กจนติดเป็นนิสัยชอบทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกว่า

   "ที่บอกว่าภัสจะไปเดินเล่น ไปที่ไหน?" หลังจากเสียงปรบมือคราวนี้เป็นเสียงของพิธีกรในงานเลี้ยงบ้าง ได้ยินแว่วๆ ว่ากำลังกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน รวมถึงให้ข้อมูลว่าบ่าวสาวจะออกมาเมื่อไหร่ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ เตือนว่าทิวากาลห้ามเล่นไปมากกว่านี้

   "แถวนั้นมั้งครับ ไม่ได้ถามเหมือนกัน"

   แถวนั้นที่ว่าคือทางเข้างาน เขาไม่ได้พูดอะไรผิดนะ ในเมื่อสีดำเพิ่งเจอเด็กปากดีคนนั้นพร้อมพิชชาไปเมื่อช่วงก่อนเข้างาน แล้วก็เจอแถวนั้นคือโต๊ะลงทะเบียนจริงนี่นา

   ไม่ต้องมีคำลา เจ้าบ่าวก็เดินลิ่วไปตามบอกโดยปล่อยให้แบล็คยืนโบกมือลาอยู่คนเดียว เขารอจนร่างของชายผู้ควรจะมีความสุขที่สุดในงานลับหายไปจึงกวาดตามองไปทางมุมหนึ่งที่ยังมีชายเสื้อสีคุ้นโผล่ออกมาอยู่

   "...ไปแล้ว"

   แต่ร่างตรงนั้นก็ยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง

   "ไม่เชื่อกันหรือไง"



***
   พอกลับจากต่างจังหวัดงานก็เข้าทุกวันจนไม่มีเวลาว่างเลยค่ะ (ร้องไห้) หลังจากจบตอนนี้เจ้าอาจหายไปยาวหรือไม่ก็นานๆ มาทีเลยนะคะ เพราะว่าดูท่าแล้วชีวิตน่าจะกลับไปคงที่ได้อีกก็ปลายปีนู่นเลย แต่ก็จะพยายามมาต่อให้ได้มากที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 23:10:56 โดย 23August »

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
«ตอบ #48 เมื่อ10-09-2016 23:29:15 »

รู้สึกสับสนมึนงงเล็กน้อย รอเสมอค้าาาาา
#พิชแบล็ค

ออฟไลน์ Kitsune1st

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
«ตอบ #49 เมื่อ21-09-2016 00:39:28 »

ตอนแรกว่าจะรอให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วถึงมาอ่านทีเดียว
แต่สุดท้าย ก็มาอ่านจนได้ 555
ถึงจะหงุดหงิดกับปม กับความลึกลับของตัวละคร
และเนื้อเรื่อง
แต่งานเขียนทุกงานคือศิลปะ ต้องติดตามต่อไป~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-1 [09.09.16] P.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 21-09-2016 00:39:28 »





ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
«ตอบ #50 เมื่อ23-09-2016 01:00:52 »

CH.8-2

   การเล่นเกมจิตวิทยากับเด็กเป็นเรื่องง่าย ยิ่งเป็นพวกตามไม่ทันอย่างนี้แล้วแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรในการหลอกล่อเลย

   ยืนรออยู่ตรงนั้นเป็นนาทีจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมออกมาจากพื้นที่กำบัง ร่างที่ยืนมั่นคงจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะคนที่เคยสบประมาทไว้ ใบหน้าไร้ซึ่งการแต่งแต้มของอารมณ์และความรู้สึก ไม่มีแม้แต่รอยแดงตรงดวงตาหรือว่าอาการกล้ำกลืนใดๆ

   "ไม่ได้ขอให้ช่วย"

   "ถ้าปล่อยให้หาแป๊บเดียวก็เจอ คิดว่าที่ตรงนี้มันบังมิดหรือไง" การหาพื้นที่มุมอับในส่วนของงานจัดเลี้ยงเป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว ไม่นับรวมว่าการซ่อนอย่างนั้นมันไม่ได้ช่วยพรางตัวสักนิด "อีกอย่างถ้าไม่อยากให้หาเจอจริงคงไปอยู่ที่อื่นแล้ว"

   จี้ใจดำโดยใช้ความรู้จากการพบจิตแพทย์หลายครั้งรวมถึงสิ่งที่ได้รับจากการเรียนวิชาจิตวิทยาหลายตัว เด็กยังไม่มีความสามารถพอที่จัดการอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเองได้ ลองย้ำเข้าไปมากหน่อยเดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง

   "ไม่อยากเจอ!"

   ผิดจากที่พูดไว้ตรงไหนล่ะ

   "ก็ไม่เจอแล้วไง"

   "..."

   "ไม่คิดจะขอบคุณพี่หน่อยเหรอ"

   "ไม่"

   คนพี่หยิ่งยโส ส่วนคนน้องถือทิฐิ

   "ถึงไม่ขอสุดท้ายภัสก็รอดเพราะพี่"

   "เหรอ?" นัยน์ตาจ้องตรงมาไม่มีลดละ ที่หวังว่าจะได้เห็นเด็กฟิวส์ขาดคงต้องพับเก็บไปก่อนในเมื่ออีกคนยังเก็บทุกความรู้สึกไว้ได้ "ถึงพี่กายเจอภัส เขาก็ทำอะไรไม่ได้"

   "นี่..." นิสัยของพี่ชายคนโตกลับมาสิงเข้าร่าง ตั้งใจจะสอนว่าให้ลดนิสัยช่างประชดลงไปหน่อยเพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา ติดก็ตรงคนเด็กกว่าสวนกลับมาจนเป็นเขาเองที่ต้องปิดปากแทน

   "มันมีคำว่าดิเอนท์โผล่ขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว"

   "อาจมีภาคสองก็ได้นะ"

   คิดย้อนกลับไปว่าตอนตัวเองเป็นเด็กม.ห้าอายุสิบหกนี่ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ นอกจากเรียนกับเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพแล้วก็คงไม่พ้นใช้ชีวิตวัยรุ่นในการเที่ยวเล่น แล้วทำไมเด็กตรงหน้าถึงดูคิดลบกับทุกเรื่องได้เท่านี้ คนที่บอกว่ามีชีวิตเพื่อรอวันตาย

   "ไม่มีแล้ว"   

   "ทำตัวเป็นผู้รู้เหมือนพี่ชายตัวเองหรือไง"

   "ใครอยากเป็นอย่างนั้นก็โง่เต็มทน"

   อาการรังเกียจผ่านสีหน้าชัด ขนาดน้องชายยังไม่ชอบที่พี่ของตัวเองเป็นอย่างนี้เลยงั้นสิ

   "ติดหนี้ไว้ครั้งหนึ่งแล้วนะ" ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วถ้ายังต่อปากต่อคำอยู่คงไม่มีทางจบ เลยย้อนกลับมาเรื่องเดิมที่พูดค้างกันเอาไว้

   "บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

   "ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มาทวงแล้ว"

   ขอกลับไปคิดก่อนว่าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบ้านนี้บ้าง ทำไมภัสถึงต้องไปอยู่คอนโดทั้งที่การอาศัยอยู่บ้านมันใกล้โรงเรียนมากกว่าหลายช่วงตัว รวมถึงอยากรู้เรื่องที่สังคมกำลังนินทาอยู่นั้นเป็นเรื่องจริงกี่เปอร์เซนต์จากทั้งหมด มันจะเป็นเพียงการเสริมเติมแต่งหรือเรื่องจริงว่าบ้านกำลังสั่นคลอนด้วยฝีมือของสายเลือดเดียวกัน

   "ไม่ยินยอม โมฆะ"

   คำพูดดูมีความรู้อยู่ไม่น้อย เด็กสมัยนี้รู้เยอะกว่าตอนตัวเองอายุเท่ากันอีกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ต้องจำทุกอย่างเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามหวังเอาไว้ เห็นปัญหาของการสอบผ่านเข้ามาในฟีตเฟสบุ๊กทีไรก็คิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเรื่องเฮงซวยพวกนั้น

   โครงสร้างใบหน้าและรูปร่างของภัสสร์ไม่เหมือนกับพิชชาสักนิด ถ้าพิชชาได้ทุกอย่างเพราะเป็นลูกรักของพระเจ้าน้องชายคนนี้ก็เป็นเพียงคนสามัญทั่วไปที่ไม่มีใครให้ความสนใจ จริงอยู่ว่าทั้งสองคนมีใบหน้าโดดเด่นกว่า แต่อย่างเรื่องของบุคลิกแล้วต้องยอมรับว่าคนพี่มีเครดิตดีกว่าเยอะ ภัสไม่อาจดึงดูดความสนใจหรือว่าสร้างความท้าทายใดๆ

   ไม่มีใครตรึงสายตาของทิวากาลได้อย่างพิชชา

   "คิดว่าสน?"

   คนเด็กกว่าทำหน้ายุ่ง คล้ายกับว่าเห็นน้องชายคนเล็กของตัวเองซ้อนทับ ถ้าจะให้ลองเทียบดูแล้วภัสเป็นการเอาน้องทั้งสามคนมาผสมกันจนกลายเป็นคนเดียว เข้มแข็ง คิดมาก แต่ก็แสดงออกผ่านสีหน้าเกือบหมด

   ราวกับส่งมาเพื่อให้เขาเตรียมรับมือกับเด็กคนนี้คนเดียว

   "แล้วคิดว่าภัสจะสน?"

   "พี่จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว" หมั่นไส้จนยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากของอีกฝ่าย "แต่เรื่องไหนที่พี่เกี่ยว บอกเลยว่าภัสไม่มีทางหนีพ้น"

   "แล้วจะให้ทำอะไรล่ะ พูดมาเลยดีกว่า"

   แต่อย่างหนึ่งที่พี่กับน้องเหมือนกันคือทันเกมเสมอ

   "แค่อยากรู้อะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับพิช"

   จบคำนั้นเสียงหัวเราะของภัสสร์ก็โพล่งออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิวากาลลองย้อนกลับไปคิดว่าคำพูดของตัวเองมันน่าตลกตรงไหน จากการหัวเราะแบบเต็มเสียงเริ่มแผ่วเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปเอามือกุมท้องเอาไว้ ร่างยังสั่นไม่มีหยุดก้มหน้าจนเขามองไม่เห็นความรู้สึกบนใบหน้า

   "พี่ฉลาดน้อยกว่าที่ผมคิดนะ"

   มือผอมบางยกขึ้นปาดหยดน้ำที่ไหลอยู่ตรงหางตา จากนั้นก็ส่งยิ้มซ่อนความสงสารมาให้

   "ทั้งที่เรื่องบางเรื่องไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว"



   มุมมองจากตึกสูงในเมืองหลวงให้อารมณ์แตกต่างออกไปทุกครั้งที่ได้มาเยือน สำหรับโรงแรมแห่งนี้เป็นครั้งแรกที่ทิวากาลได้ลองเปิดตารับบรรยากาศใหม่ๆ ไฟของตึกสร้างสูงต่ำลดหลั่นกันไปคล้ายกับบล็อคเลโก้ที่ชอบเล่น รถบนท้องถนนเคลื่อนตัวไปไม่มีพักจนเห็นแสงไฟเหล่านั้นเป็นสายธารสีแดงจัด

   สูบบุหรี่ไม่ได้หยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดเล่นก็ยังดี เปลวไฟเกิดขึ้นแล้วดับไปหลายต่อหลายครั้งตามการขยับนิ้วโป้ง เปลืองแก๊สแล้วยังทำให้หัวจุดร้อนเสียเปล่า นี่มันอาการแรกเริ่มของคนขาดนิโคตินไม่ได้หรือเปล่านะ

   ภัสสร์ไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ พอหยุดหัวเราะได้แล้วขอตัวเข้าไปอยู่ข้างในงานเฉย บางมุมภัสเหมือนกับเด็กที่ไม่สามารถรับมือกับความเจ็บปวดอะไรได้ ส่วนครั้งนี้กลับโชว์ให้เห็นว่าคนไม่มีทางเลือกก็ทำได้แค่เพียงดำเนินชีวิตต่อไป

   เสียงฝีเท้าเบาจนเกือบไม่ได้ยินช่วยบอกว่ามีคนอื่นกำลังเดินเข้ามาใกล้ พอหันไปเห็นรองเท้าหนังคู่สวยต่างจากปกติที่มักเป็นแบบแฮนด์เมดก็เข้าใจว่าทำไมคราวนี้ถึงเดินมีเสียง พิชชาควรไปสมัครเป็นพวกนักฆ่าหรือไม่ก็นักย่องเบา น่าจะได้เงินดีเชียวล่ะ

   "ไปวางระเบิดให้ใครมาอีกล่ะครับ"

   คนที่เป็นผู้รู้ยังคงความหมายของชื่อได้ถึงตอนนี้ "ผมแค่ช่วยน้องของคุณต่างหาก"

   "นั่นไม่เรียกว่าช่วยครับราชา"

   "แล้วอย่างไหนถึงเรียกว่าช่วย ให้ได้เจอกันแล้วพังงานแต่งงานอย่างนั้นสิ?"

   "คุณบอกเองว่านั่นคือการพังนะครับ"

   "เรื่องนี้มันเป็นกระดุมที่ติดผิดเม็ดมาตั้งแต่ต้นแล้วพิช"

   หลายมาตราในประมวลมีการเขียนบทยกเว้นเอาไว้

   ไม่ต่างกับความรัก

   ต่อให้บอกใครต่อใครบอกว่าความรักไม่เคยผิด แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีเงื่อนไขต้องห้ามไว้อยู่ดี

   "มันเป็นเรื่องที่ถูกเขียนเอาไว้แล้วต่างหากครับ" การไม่ปฏิเสธอย่างนั้นสำหรับทิวากาลแล้วคือการยอมรับว่าเรื่องระหว่างพี่กายกับภัสเป็นเรื่องจริง

   แบล็คไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวอยู่แล้ว คนอื่นอาจไม่รู้แต่กับคนเจอช็อตเด็ดอย่างนั้นเข้าไปไม่มีทางหลอกตัวเองได้ว่ามันแปลความเป็นอย่างอื่น

   "กำหนดให้สุดท้ายมันกลายเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ"

  เพราะชีวิตไม่ใช่นิยายที่จะจบลงด้วยความสุขเสมอไป

   "นี่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับภัสครับ ...แล้วก็ดีที่สุดสำหรับพี่กายด้วย"

   "ผมจะพยายามทำความเข้าใจบ้านคุณให้มากกว่านี้แล้วกันนะ"

   "คิดว่าอีกไม่นานคงเห็นภาพโดยรวมครับ" คำเอ่ยราบเรียบ กระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อเชิ้ตข้างในถูกปลดออกจนเห็นสร้อยที่มักเห็นจนชินตาซ่อนไว้ เสียงโทนทุ้มแต่ก็ยังคงความใสเอาไว้ได้ถามเรื่องต่อไป "แล้วทำไมมาอยู่ข้างนอกคนเดียวล่ะ"

   "ก็เจ้าภาพไม่ยอมดูแล"

   "ผมเป็นแค่คนรับซองครับ"

   หยิบซองเครื่องหอมที่ได้เป็นของชำร่วยออกมา หน้าซองระบุชนิดของกลิ่นเอาไว้ว่าเป็นดอกราชาวดี มันไม่ต่างกับซองหอมที่เห็นขายทั่วไปตามร้านค้าในห้าง ถูกเติมแต่งให้กลิ่นแรงจนไม่มีความเป็นธรรมชาติหลงเหลืออยู่ จะว่าไปแล้วกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้มันควรจะเป็นอย่างไหนนะ

   แล้วกลิ่นของดอกกุหลาบสีดำควรเป็นแบบไหน

   "ฝากไปบอกพี่สะใภ้คุณหน่อยว่ามันเป็นกลิ่นที่แย่มาก"

   "เขาก็ต้องคิดถึงหลายปัจจัยแหละครับ ไว้คราวหน้าผมจะเอาไม้อบมาให้แล้วกัน ภัสจะได้ไม่บ่นเรื่องกลิ่นของรถอีก"

   คิดถึงเรื่องนั้นคิ้วก็กระตุก ใบหน้าของเด็กผีที่เอาแต่ลอยหน้าลอยตาหาเรื่องแล้วก็มาทำตัวดราม่าใส่หลังจากนั้นไม่นานนี่มันน่าโมโหจะตายไป น่าจะบอกเจ้าบ่าวไปให้หมดเรื่อง เผื่อจะได้เห็นซีนทะเลาะกันอีกสักรอบ

   "อย่าลืมไปบอกให้ผมด้วยนะ"

   "อย่าเพิ่งสร้างศัตรูให้ผมเพิ่มเลยครับ" เสียงของพิชชายังคงสดใส ต่างกับเนื้อหาที่อยู่ในประโยค "ทุกวันนี้อยู่ในบ้านนี้ให้รอดก็ยากจะแย่"

   "โชคดีเป็นของผมที่พ่อไม่มีปัญหาเรื่องนี้"

   ความไม่ลงรอยกันของพี่น้องเป็นปัญหาโลกแตก อย่างตัวทิวากาลพูดได้เต็มปากว่าตนเองไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นอีกแล้ว ฝั่งพ่อเองก็ล้มหายตายจากกันไปตั้งแต่เล็ก ทั้งเรื่องสุขภาพแล้วก็เรื่องของธุรกิจ กว่าพ่อของเขาจะมายืนถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านเรื่องปวดใจมาเยอะ เงินคือแอปเปิ้ลทองคำที่แท้จริงในโลกปัจจุบัน ส่วนฝั่งแม่น่ะเหรอ...ก็อย่างนั้นแหละ ถึงจะมีก็เหมือนไม่มีอยู่ดี

   "ดีแล้วครับ"

   ลมแรงตีเข้าหน้าจนตาเริ่มแห้ง หันหลังให้ทิศทางของลมเหมือนอีกคน

   "ถ้าคุณเรียนนิติอาจไม่ต้องมาปวดหัวเหมือนตอนนี้" พิชชาเรียนเกี่ยวกับการธุรกิจภาคอินเตอร์ ขอยกความดีความชอบในการตามหาทั้งหมดให้กับกลุ่มแม่บ้านขาเมาท์

   "ผมไม่มีอำนาจในการพิพากษาคนอื่นได้ครับ" ร่างของพิชชาในชุดสูทสีเทาโดดเด่นขึ้นมากลางท้องฟ้าสีดำ "ไม่เหมือนคุณ"

   "...อย่าพูดอย่างนั้นพิชชา"

   เตือนเสียงเข้ม กลัวเหลือเกินว่าคำบอกหลังจากนั้นจะเป็นสิ่งที่ระแวงอยู่เสมอ
   
   "สั่งผมเหรอครับ?"

   ริมฝีปากคลี่จนเห็นรอยยิ้มจาง แม้ไม่ได้ขยับร่างกายส่วนอื่นเพิ่มเติมทิวากาลก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน พิชชาถึงไม่เหมือนคนอื่นไง ผู้ชายที่ 'แตกต่าง' เสียเหลือเกิน

   "ใช่"

   "เฮ้อ ชีวิตของผมทำไมมั..." จังหวะที่หันไปด้านข้าง คือช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มผมยาวสีดำปลิวตามแรงลม จากที่เห็นช่วงหน้าของอีกคนได้ชัดมันก็หายไปจนไม่เห็นสิ่งอื่น

   คล้ายกับหมอกพร้อมจะสลายตัวเมื่อมาสายลมพัดผ่านมา

   ภาพของคนพยายามรวบผมของตัวเองพร้อมกับต่อสู้แรงลมไปด้วยตลกจนต้องเข้าไปช่วย ก็พอพิชชาสามารถรวบได้ทั้งหมดแล้วจะมัดมันเอาไว้ก็ทำไม่ได้ เมื่อเชือกเส้นหนาสำหรับรัดตอนนี้มันอยู่ในมือเขานี่นา

   แปลกดี มัดแบบไหนถึงไม่หลุด

   "มาทานอาหารฟรีแล้วก็ช่วยหน่อยนะครับ"

   "มันไม่น่าจะมัดผมคุณเอาไว้ได้เลยนะ" พูดอย่างที่คิด ตามหลักแล้วขนาดยางรัดผมทั่วไปกว่าจะรัดได้มันก็ต้องแน่นในระดับหนึ่ง แล้วนี้เป็นเชือกเกลียวไม่น่าจะมัดอะไรอยู่ "ติดยางรัดผมมาบ้างหรือเปล่า"

   "ไม่มีครับ คุณค่อยๆ มัดไปมันก็ไม่หลุดอยู่แล้วล่ะ"
   
   พยักหน้าขึ้นลงแล้วทำตามที่บอก เชือกเส้นหนาหดลงทุกครั้งที่พันรอบกลุ่มของเส้นผม ลองพันแล้วก็คลายออกสองสามครั้งเพราะว่าระดับความแน่นไม่เป็นที่พอใจจนเจ้าของผมยาวหยักศกต้องสอนวิธีการมัดเพิ่มเติม

   "อย่ารีบครับ แล้วก็ใช้แรงให้พอดี"

   "คุณให้อะไรเป็นของขวัญสองคนนั้น" ระหว่างที่กำลังเรียนวิชาการมัดผมอยู่ใบหน้าของเจ้าบ่าวตอนเบิกตากว้างมันก็กลับเข้ามาในความทรงจำ

   "ยังตกลงกับผู้จัดการมรดกไม่ได้ครับ"

   การบอกเล่าแฝงเอาไว้ด้วยการจิกกัดจนเป็นแผลใหญ่ "ผมอยากให้อย่างหนึ่งแต่คุณอาอยากได้อีกอย่าง"

   "ครอบครัวของคุณนี่หรรษาดีเนอะ"

   "อยากลองสลับตัวกันดูไหมล่ะครับ"

   "ไม่ให้คำทำนายอะไรไปล่ะ เขาอาจจะอยากได้" ผูกปมชั้นสุดท้ายจนเสร็จ ทดสอบดูว่ามันแน่นหนาพอสำหรับการรัดเส้นผมหรือไม่ "วันนั้นเจ้าบ่าวเองก็บอกว่าคุณทำนายให้เขา"

   "บอกแล้วว่ามันคือการเล่าเรื่องครับ"

   พอพิชชาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ทิวากาลก็จัดแต่งช่วงกรอบหน้าให้ดูไม่แข็งจนเกินไปด้วยการดึงปอยผมบางเส้นออกมาระกับข้างแก้ม เริ่มสนุกเลยจัดแบ่งช่วงผมให้ไม่ตึงเกินไปอีกหน่อย

   "นั่นแหละ ทำไมไม่ทำล่ะ"   

   พอผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วถึงเปลี่ยนไปสบตากับคนพูด คลื่นความรู้สึกแรกที่เข้ามากระทบทิวากาลคือความน่าหวาดหวั่น ช่วงนัยน์ตาแปลกมองตรงเข้ามาคล้ายกำลังเรืองแสงอยู่

   "เพราะมันจากจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมไงครับ"

   "ผมอยากอย่างนั้นได้บ้างจัง"

   "มันก็ไม่ใช่เรื่องดีขนาดนั้นหรอก"

   "คุณมองให้ตัวเองได้หรือเปล่า"

   เสียงข้างในแว่วออกมาคลอไปกับสายลม เพลงไทยที่มีความหมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่กันไปนิรันดร์ มนุษย์ชอบอยู่กับฝันสวยงาม...จนไม่นึกถึงความเป็นจริง

   "ผมไม่เห็นของตัวเองครับ" ทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เรื่องเล่าไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้แปลกจนต้องตั้งใจฟัง "การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม"

   "งั้นแสดงว่าคนอื่นก็เห็นทั้งหมดเลยงั้นสิ"

   "ในกรณีที่อยากเห็นเท่านั้นครับ"

   "มีการแบ่งด้วย" ถามกลั้วหัวเราะกลับไป ปอยผมที่คิดว่าดึงออกมาแค่พอดีเมื่อเจอกับแรงลมแล้วกลายเป็นว่าต้องจับมันทัดเอาไว้กับหลังหู พินิจใบหน้าไร้ร่องรอยของการแต่งแต้มที่ยังคงความสดใสเอาไว้ได้อย่างเดิมไปพลาง พิชชาใช้อะไรในการดูแลหน้าบ้างนะ บนโต๊ะก็ไม่เห็นว่าจะมีของใช้อะไรมากมาย

   "แน่นอนสิครับ การเห็นครั้งหนึ่งมันก็ต้องแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน"

   "อย่างนั้นเหรอ" ทอดเสียงยาวพลางนึกไปเรื่อยเปื่อย ความคิดหนึ่งที่โผล่ขึ้นมากะทันหันกระตุกยิ้มร้ายให้ปรากฏบนใบหน้าของทิวากาลอีกครั้ง

   "แล้วอย่างผม ...คุณเห็นอะไร?"

อพิชชาพิงอยู่กับขอบระเบียงแบล็คเลยใช้โอกาสนั้นกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนด้วยสองแขนของตัวเอง กลิ่นของน้ำหอมวันนี้ต่างไปจากทุกครั้ง นอกจากความสดชื่นแล้วมันยังแทรกไปด้วยกลิ่นของดอกไม้แห้งตรงปกเสื้อ

   แปลกจนต้องโน้มตัวลงต่ำอีกนิดเพื่อสัมผัสให้เต็มที่ ช่อดอกไม้หลายชนิดมันรวมด้วยกัน มีรู้จักอยู่บ้างจากการที่น้องสาวฝาแฝดเคยชอบปลูกดอกไม้อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายดอกที่ไม่เคยแม้กระทั่งผ่านตา

   จะบอกว่าจนถึงตอนนี้แบล็คเองไม่ได้เชื่อถือเรื่องเล่าอะไรพวกนี้มากหรอกนะ เขาก็แค่อยากรู้จักพิชชาให้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง

   "สีดำครับ"

   การเล่าสะกิดใจจนต้องขยับตัวออกมาเพื่อให้สะดวกต่อการพิจทั้งหน้า เป็นอีกครั้งที่ทิวากาลได้เห็นพิชชาในรูปแบบนี้ ช่วงตาโศกในขณะริมฝีปากเหยียดยิ้ม

   นัยน์ตาสีแปลกสะท้อนแค่ใบหน้าของเขาข้างใน

   "ผมเห็นแต่สีดำสนิท"



   บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ดูเหมือนว่าทั้งสองคนกลับเข้ามาเจอช่วงโยนช่อดอกไม้ ส่วนกลางของงานมีสาวน้อยใหญ่รวมถึงผู้ชายอีกหลายคนยืนเตรียมตัวกันไว้พร้อม หากเป็นแขกที่มีอายุหน่อยก็จะเลี่ยงตัวออกไปอยู่ส่วนนอกของงาน

   แล้วก็มีเด็กผู้ชายคนเดิมกำลังยืนพิงกำแพงอยู่มุมหนึ่งของห้อง

   โดยไม่มีการขออนุญาตใดๆ ทิวากาลคว้าแขนของคนด้านข้างให้เดินตามไปยังจุดหมาย ภัสเบนหน้ามองผู้มาใหม่ทั้งสองนิ่งๆ แล้วหันกลับไปให้ความสนใจบนเวทีต่อ ตอนนี้เจ้าสาวกำลังยืนถือดอกไม้ช่อใหญ่โดยมีเจ้าบ่าวส่งกำลังใจให้อยู่ด้านข้าง

   "พี่ไม่เข้าไปตบตีกับเขาหรือไง"

   ภัสยังต้องเรียนวิชาเหน็บแนมจากพี่ชายอีกเยอะ พูดออกมาทีไรเขาไม่เห็นว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยากับคำพูดพวกนั้นเลย

   "เพื่อของไม่มีประโยชน์อย่างนั้นน่ะเหรอ?"

   ความเชื่อหลายอย่างบนโลกใบนี้ทิวากาลตั้งคำถามว่ามีคนเชื่อไปได้อย่างไร ไอ้การโยนช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่ใครรับไปแล้วจะแต่งงานคนต่อไปนี่มันเป็นการสร้างความหวังแบบผิดๆ มากเกินไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าอยากแต่งงานจริงก็ควรจะไปหาฤกษ์ดีกว่าไหม นั่นช่วยให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้เร็วกว่าการแย่งชิงดอกไม้ช่อเดียวอย่างแน่นอน

   "พี่เป็นพวกอยู่กับโลกแห่งความจริงอย่างเดียวสินะ"

   "ไม่อย่างนั้นจะให้อยู่ในโลกไหน" ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในงานมงคลสมรสก็อยากจะหาเรื่องเด็กอวดดีกลับไปอยู่หรอก "โลกที่ไม่ต้องลืมตาเหมือนพิชชาอย่างนั้นเหรอ?"

   "ก็น่าสนนะ...ที่นี่มันน่าเบื่อ"

   แปลกทั้งพี่ทั้งน้อง...

   "เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวสิ้นหวังอะไรขนาดนั้น"

   "ก็คนที่ไม่รู้ว่ายังหายใจไปเพื่ออะไรไง"

   "แล้วทำไมตัวเองไม่เข้าไปบ้างล่ะ" การกระทำที่ไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำเกลือลงไปบนแผลสด แบล็คไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพากับเด็กเวรตะไลเอาแต่เถียงคำไม่ตกฟาก

   "ผมไม่อยากแต่งงาน"

   "แล้วจะรอคนที่รักไม่ได้อย่างนี้ต่อไปหรือไง"

   ในความคิดของทิวากาลโอกาสที่ภัสสร์จะได้รับ 'ช่อดอกไม้' มันไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะเขาเลือกพาตัวเองออกมายืนอยู่นอกรัศมีของการรับเสียแล้ว

   "รอรัก?" ทวนคำเดียวด้วยเสียงขึ้นจมูก "เฮอะ บอกแล้วไงว่ารอวันตายอย่างเดียว"

   ตามหาจุดเริ่มต้นแห่งการหลอมเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้เป็นอย่างที่เห็น จะว่าพี่ชายสอนก็ไม่ใช่เพราะเห็นกันอยู่ว่าพิชชาเป็นคนยังไง หรือว่าจะเป็นผลจากการที่ถูกเลี้ยงผ่านบิดาเพียงอย่างเดียว บวกเข้ากับครอบครัวที่ดูไม่ค่อยจะลงรอยกันมันก็น่าคิดดี

   พิธีกรประกาศเป็นครั้งสุดท้ายว่าการโยนช่อดอกไม้กำลังจะเกิดขึ้น และเด็กวัยรุ่นในชุดงานพิธีก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังส่วนกลางของเวที

   ตรงที่คู่บ่าวสาวยืนเคียงข้างกัน

   ภัสสร์ต่างกับพิชชาหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคงเป็นเรื่องของวัย ขณะที่เขาอ่านความคิดและคาดเดาความรู้สึกของพิชชาไม่เคยออก กลับกันคนน้องก็สามารถอ่านทุกอย่างที่อยู่ข้างในได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนัก

   ภาพตรงหน้ากลายเป็นฟังก์ชั่นลดระดับความเร็วในการเคลื่อนไหว ทันทีที่ดอกไม้ช่อสวยหลุดออกจากมือของเจ้าสาว ทิวากาลก็เอียงคอหันมามองพี่น้องคู่แปลกที่ยืนอยู่ถัดไป คนเป็นพี่ยื่นแขนออกมาโอบคนน้องเอาไว้โดยไม่มีการเขย่าเรียกกำลังใจ การกระทำที่ไม่ต้องใช้คำพูดเพื่อบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเสมอ

   ทันทีที่ผู้โชคดีปรากฏตัว ความสนใจเกือบทั้งหมดก็พุ่งไปอยู่ที่หญิงสาวในชุดราตรีที่กำลังชูของแทนความหมายไว้ในมือ ที่บอกว่าเกือบทั้งหมดมาจากการที่ทิวากาลเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าสายตาของเจ้าบ่าวมันอยู่ตรงไหน

   ...หรือว่าอยู่ที่ใคร

   "พิช..." นัยน์ตาสะท้อนแสงสีจำนวนมากอยู่ข้างใน ไม่สั่นหรือว่าแสดงรอยอารมณ์ มันจ้องตรงขึ้นไปบนเวทีขนาดใหญ่โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปทางอื่น

   "..."

   "ภัสมีแค่พิชนะ..."

   "..."

   "ภัสมีแค่พิชคนเดียว"


***
   พอแต่งไปแล้วก็จะชอบถามตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักแต่งให้มันง่ายๆ บ้าง (หัวเราะ) จะพยายามพาตอนถัดไปมาให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
   #พิชแบล็ค
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2016 23:22:54 โดย 23August »

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
«ตอบ #51 เมื่อ27-09-2016 22:36:32 »

ยิ่งอ่านยิ่งงงแต่ก็ลุ้นทุกตอน เป็นกำลังใจให้ค้า รออออ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.8-2 [23.09.16] P.2
«ตอบ #52 เมื่อ16-10-2016 10:52:58 »

ติ่งพี่แบล็คมากมาย ชอบมากกก ////////
ปมเยอะ ชอบบรรยากาศของเรื่องค่ะ ลึกลับดี ใจสั่น(?)
รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-1 [21.10.16] P.2
«ตอบ #53 เมื่อ21-10-2016 22:08:56 »

CH.9-1

   แร็กเก็ต

   ลูกสักหลาด

   รองเท้าสำหรับใส่เล่นเทนนิส

   ตรวจสอบอีกครั้งว่าของจำเป็นต่อการเล่นกีฬาครบถ้วนแล้วถึงรูดซิปปิดโคฟเวอร์ขนาดใหญ่ให้เรียบร้อย เช็คว่าไม่ลืมปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องแล้วถึงเดินไปตรงประตู

   สายตาสะดุดกับโต๊ะขนาดเล็กริมห้อง เมื่อก่อนจะมีกองหนังสือกฎหมายทั้งไทยและต่างชาติวางซ้อนกันเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้ทุกเล่มถูกย้ายลงไปนอนบนพื้นห้อง ปล่อยให้กระดานหมากรุกที่เจ้าของไม่ยอมรับคืนวางเด่น บนนั้นมีหมากเรียงเอาไว้เหมือนวันที่ได้คุยกับบิดาเรื่องของพิชชา เขายังหาทางออกให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้เลย แล้วมันก็ดูแย่เข้าไปใหญ่เมื่อมีตัวละครใหม่อย่างภัสสร์เข้ามา

   ถ้าพูดในแง่ของผู้กำกับอย่างที่ทำมาตลอดต้องบอกว่านักแสดงเล่นนอกบทสุดๆ

   ออกจากห้องตัวเองบนชั้นสองลงมาอยู่ข้างล่างเพื่อพบกับน้องชายคนสุดท้องนั่งดูอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว พอเห็นว่าเขาลงมาพร้อมกับของในมือก็เอ่ยปากถามทันที

   "จะไปไหน?"

   ช่วงนี้น้องโรมทำตัวน่ารำคาญกว่าเดิมอีกหลายเท่า ก่อนหน้านี้ต่อให้แบล็คกลับบ้านตอนเช้าของอีกวันก็ไม่เคยคิดจะซักไซ้ไล่เลียงอะไร เดี๋ยวนี้ล่ะถามอย่างกับเป็นเครื่องติดตามตัว

   "ข้างนอก"

   "ไปเล่นเทนนิสเหรอ"

   "ก็เห็นอยู่"

   "ไปกับใคร"

   ลอบถอนหายใจไม่ให้ผิดสังเกต "บอกไปแล้วจะรู้จัก?"

   "ก็ลองบอกมาก่อน"

   ประเมินจากการยิงคำถามแบบไม่คิดจะถอย สรุปได้ว่าคราวนี้น้องชายคนเล็กของตัวเองไม่มีทางยอมจบง่ายๆ แน่นอน ทิวากาลรีบคิดหาทางหนีแบบไม่ต้องแพร่งพรายเรื่องของพิชชาออกไป ไม่อยากจะโกหกแต่ก็ใช่ว่าพร้อมที่จะเล่าทุกอย่าง

   "น้องเอ๋ออย่างมึงที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งเพื่อนร่วมคณะเนี่ยนะ"

   "มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง"

   "มึงไม่รู้จักอยู่แล้วน้องโรม"

   เพราะขนาดเขาเองยังไม่อยากรู้จักเลย "ช่วงนี้ทะเลาะกับที่หนึ่งแล้วมาลงกับกูหรือไง?"

   "เลิกพูดถึงที่หนึ่ง นี่เรื่องของมึงกับกู วันก่อนมึงปล่อยกูกลับหอเองยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ"

   อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดบริเวณขมับ ทิวากาลคิดไปถึงผู้ชายในบทสนทนาก่อนหน้า เจริญพรญาติโยมอย่างที่อีกฝ่ายคงจามต่อเนื่องไม่มีหยุด เขาถึงไม่อยากให้ที่หนึ่งตามใจน้องเท่าไหร่ไง น้องที่โดนสปอยล์จนไม่ค่อยสนใจใครยิ่งอาการหนักเข้าไปอีก

   ในห้องนั่งเล่นมีเพียงสองชีวิต ไม่เห็นวี่แววของน้องสาวฝาแฝดที่มักจะมาวนเวียนอยู่รอบตัวบ้าน ลองมองในแง่ดีคือถ้าไม่เจอไวท์มันช่วยให้ไม่ตกเป็นผู้ต้องหาได้ดีเหมือนกัน

   "มันรถติด กูรำคาญ"

   "แต่กูเจอรถมึงจอดอยู่ตรงลาน"

   น้องชายของตัวเองไม่ได้เป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็นอีกต่อไป

   “อืม พอรถติดเลยออกไปเดินเล่นฆ่าเวลา”

   “แล้วทำไมไม่บอกกู โทรหาก็ไม่ยอมรับ”

   เขาน่าจะออกบ้านให้เช้ากว่านี้หน่อยจะได้ไม่ต้องมาเจอเจ้าพนักงานสอบสวน ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีถามบ้างเป็นบางครั้งว่าเขาออกไปไหน และมันก็เป็นการแจ้งเพื่อทราบ ไม่เหมือนวินาทีนี้

   “ไม่ได้เอามือถือลงไป” คงต้องคุยอีกนานโคฟเวอร์ในมือของตัวเองเลยลงไปนอนกับพื้น “แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอ”

   “ไม่อะ คุณพินิจบ่นว่าไม่ค่อยมีคนกินข้าวเย็นด้วยเลยอยู่บ้าน”

   ได้ยินอย่างนั้นถึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองช่วงหลังไม่ค่อยอยู่บ้านเหมือนกัน ก็ต้องไปเกาะติดอยู่กับชายผมยาวตอบแทนที่ช่วยต่อชีวิตให้ ถ้าวันนั้นน้องโรมสุขภาพดีเขาก็ไม่ต้องไปอาศัยเลือดของคนอื่นอย่างนี้หรอก

   “ไวท์ก็ไม่อยู่?”

   “ตัวอยากอยู่ แต่ว่าทุกคนเชียร์ให้ออกไปข้างนอก”
   
   นั่นแสดงว่าแม้แต่คนเป็นพ่อก็ยังสนับสนุนให้ชายผมสีอ่อน หัวอกคนเป็นครึ่งชีวิตที่ดูแลอีกคนเท่าชีวิตไม่อาจบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูดได้ เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อนลืมตา ไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องห่างกันไกล...เว้นแต่ครั้งนั้น

   “ทุกคนนี่แสดงว่ามึงก็ด้วย?”

   “กูไม่ชอบเวล” น้องคนเล็กก็ยังเอาแต่ใจแบบเดิม ทำหน้ายุ่งอย่างกับอีกฝ่ายเคยเป็นกิ๊กกับที่หนึ่ง "แต่กูอาจจะเชียร์บ้างถ้ามึงยังไม่ยอมบอกว่าไปเล่นกับใคร"

   เจอขู่เข้าไปพี่ชายที่หวงน้องสาวยิ่งกว่าอะไรก็ต้องยอมอ่อนข้อ “เขาบัญชาให้ไปเล่นด้วย เลยต้องไป”

   บอกเรื่องจริงไปแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เลย เมื่อวานมีเบอร์แปลกโทรเข้ามาตอนเกือบห้าทุ่ม ว่าจะไม่รับเพราะเข็ดกับการโดนคุกคามความเป็นส่วนตัว พอเครื่องหยุดสั่นไปได้แป๊บเดียวหน้าจอก็สว่างจ้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแสดงข้อความใหม่ บอกง่ายๆ แค่ว่าวันนี้ไปตีเทนนิสด้วยกันหน่อย เท่านั้นเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าของเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาคือใคร

   “มึงแปลกไปนะแบล็ค”

   “หืม?”

   “กูไม่เคยเจอใครที่สั่งมึงได้”

   พี่ชายคนโตที่โรมรู้จักเป็นคนบนที่สูง เคยตัวกับการสั่ง ไม่เคยทำตามคำที่ใครอื่นบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนถ้าลองให้ราชาไม่สนใจจะทำตามแล้วมันก็เป็นได้แค่คลื่นเสียงลอยหายไประหว่างการเดินทาง

   “ใช่ไง อย่างตอนนี้มึงก็สั่งให้กูพูดไม่ได้”

   “จะไม่บอก?”

   เดี๋ยวน้องงอนแล้วต้องตามง้อวุ่นวายเลยรีบตัดบท “ถึงเวลาแล้วจะบอก”

   “มึงไม่เหมือนพี่ชายที่กูรู้จักเลยแบล็ค”

   “...”

   ใจหนึ่งต้องยอมรับว่าน้องชายคนที่เขาเคยห่วงอยู่เสมอโตขึ้นทุกครั้งที่เจอ นั่นช่วยเสริมให้เขามั่นใจว่าการตัดสินใจปล่อยให้น้องเดินต่อด้วยตัวเองมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากยอมรับมากเท่าไหร่ว่าหน้าที่การ ‘ดูแลน้อง’ มันจบลงแล้วจริง

   “ไม่เหมือนเลยสักนิด"

   “กูก็ว่าอย่างนั้น...”

   ก็อยากรู้เหมือนกัน

   ว่าบนกระดานแผ่นนั้นยังมีหมากของ ‘ราชา’ วางอยู่หรือเปล่า

 

   "ขอบคุณครับ"

   เอ่ยคำขอบคุณพลางเลื่อนกระจกรถขึ้นตามเดิม การมาบ้านพิชชาคราวนี้ง่ายยิ่งกว่าเดิม คนเฝ้าหน้าประตูแค่เห็นว่าเป็นรถของเขาก็รีบเปิดรั้วให้ บรรยากาศโดยรวมของบ้านเหมือนกับครั้งก่อน เงียบเหงา อ้างว้าง ไร้ชีวิตชีวา

   ถึงไม่ได้โทรบอกว่าเข้ามาในเขตบ้านแล้วก็ตาม หน้าประตูทางเข้าบ้านหลังเดิมก็มีร่างของชายผมยาวยืนต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ชุดของพิชชาดูแปลกตากว่าทุกทีเพราะว่าไม่ได้ใส่เสื้อฝ้ายกับกางเกงขาโปร่ง เขาใส่เป็นกางเกงกีฬาสีดำกับเสื้อสีขาวเตรียมพร้อมสำหรับการออกกำลังกาย ส่วนที่ดูเหมือนเดิมคงเป็นสร้อยสีเงินตรงลำคอ

   “เป็นเจ้าบ้านที่ดีจังเลยนะ”

   “กลัวไปจอดผิดบ้านครับ"

   “ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้นนะพิช"

   “น่าแปลกเหมือนกันนะครับที่หลายคนเคยมาบ่อยกว่าคุณแต่ก็ยังจำผิดว่าบ้านใหญ่อยู่ตรงไหน”
   
   บทสนทนาเหมือนเรื่องทั่วไปนี่แหละน่ากลัว พิชชาเดินนำกลับเข้าไปด้านในของบ้าน ทะลุผ่านส่วนกลางแสนเงียบเหงาที่เต็มไปด้วยของประดับไร้ชีวิตไปสู่ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ บนโซฟางานหนังอย่างดีมีอุปกรณ์สำหรับเล่นกีฬาเตรียมเอาไว้พร้อม

   “กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”

   ถ้าจะไปออกกำลังกายควรทานอาหารก่อนหน้าประมาณสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดปัญหาจุกระหว่างเล่นได้

   “ยังไม่ได้ทานครับ”

   “ตื่นมาตั้งแต่กี่โมงทำไมไม่ยอมกิน”

   “ก็อยากทานกับคุณนี่ครับ”

   คิดไม่ออกว่าควรตอบกลับไปอย่างไร การทานข้าวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันน่าเศร้าจะตายไป ไม่น่าแปลกหรอกที่ต้องการอย่างนี้

   “ถ้ากินตอนนี้กว่าจะย่อยหมดสนามที่จองไว้คงโดนปล่อย”

   “ผมล้อเล่นครับ ทานแล้วเรียบร้อย”

   มีการชี้ไปทางห้องทานอาหารขนาดใหญ่ แค่เห็นโต๊ะตัวใหญ่ใจก็พลอยหล่น ยังจำบรรยากาศการนั่งสองคนได้ดี เงียบเหงาจนคิดว่าตัวเองคงเป็นโรคประสาทถ้าต้องมีกิจวัตรประจำวันอย่างนั้นซ้ำไปมา ต่อให้เลิศรสมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้เจริญอาหารได้

   “ถ้าอย่างนั้นจะไปเลยไหมล่ะ”

   “ได้ครับ”

   "แล้วตอนเล่นถอดสร้อยออกดีกว่าไหม"

   หยิบของทุกอย่างมาถือไว้เอง ในระหว่างที่พิชชากำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของไฟในบ้าน "เดี๋ยวสร้อยก็เข้าไปพันผมอีก"

   "ไม่ล่ะครับ ไว้อย่างนี้แหละ"

   อยากจะรู้เหลือเกินว่าเครื่องประดับเงินเส้นนั้นมีที่มายังไง พิชชาถึงให้ความสำคัญกับมันในระดับห้ามแตะต้อง ไม่เคยถอดต่อให้ตัวเองอยู่ในชุดแบบไหน ขนาดเป็นชุดกีฬาที่ควรให้ความสำคัญกับความคล่องตัวมากที่สุดเขายังไม่คิดจะถอดออก

   "ไม่ชวนภัสไปด้วยล่ะ"

   ห้องที่ครั้งก่อนไปส่งเด็กตัวเล็กคือเพนท์เฮาส์ติดรถไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงราคาว่ามันสูงแค่ไหน มีอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ได้ถามออกไปว่าเพราะอะไรถึงไม่อาศัยอยู่ด้วยกันทั้งที่บ้านหลังนี้มีพิชชาแค่คนเดียว

   "ภัสไม่ชอบออกกำลังกาย"

   "ก็ควรพยายามหน่อยนะ" ขนาดน้องสาวจอมติดบ้านของเขายังมีตารางการออกกำลังเลย "มันไม่ดีต่อสุขภาพหรอกถ้าเอาแต่กินแล้วก็นอน"

   "มันเป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่แล้วครับ"

   "คุณไม่เหมือนกันเท่าไหร่นะ" ทั้งในเรื่องของหน้าตาและนิสัย

   "ขนาดคุณมีฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเลย"

   “ก็แฝดผมเป็นผู้หญิง”

   “น้องของผมก็เป็นผู้ชาย”

   ตีรวนอย่างนั้นคงไม่คิดจะตอบ เขาถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วได้รับเสียงหัวเราะในลำคอกลับมา แม้แต่ของใช้เล่นกีฬาก็ยังแสดงออกถึงพิชชาได้ดี มีเพียงกระเป๋าใส่รองเท้าแล้วก็ซองแร็กเก็ต ที่กำลังหยิบอยู่คือกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยนหลังจากออกกำลังกาย

   "จะออกไปไหนกัน?"
   
   พอมาตรงโถงเพื่อไปยังรถทั้งสองก็เจอกับชายสูงวัยกำลังยืนจังก้ารออยู่แล้ว นอกจากคนงานที่ต้องเข้ามาทำหน้าที่แล้วคงมีคนเดียวที่กล้าเข้ามาเหยียบ แม้ดูแล้วไม่ค่อยอยากเข้ามามากเท่าไหร่ก็เถอะ คำว่าแหล่งรวมวิญญาณร้ายนี่มันเป็นจริงสินะ

   "ไปข้างนอกครับ" อย่างที่เคยบอกเสียงที่พิชชาใช้กับคนเป็นอาไม่เหมือนตอนใช้คุยกับใครอื่น ห่างเหิน ถือยศ และไม่มีความเคารพอยู่ข้างใน "ส่วนจะไปที่ไหนเดี๋ยวลูกน้องคงไปบอกเอง"

   "แล้ว..."

   “ครับ?”

   อาการไม่พอใจแสดงออกชัดบนสีหน้า “ทำไมเด็กนี่มาอีกแล้ว”

   เขาคงสร้างความประทับใจแรกพบให้กับญาติที่เหลืออยู่ของพิชชาไม่น้อย นอกจากคำเรียกไม่เป็นมิตรสีหน้ารังเกียจชัดก็บอกเขาได้หลายอย่าง

   แล้วต้องแคร์หรือไง

   เขาไม่ได้เข้าเมืองผิดกฎหมายเสียหน่อย บอกเลยว่าเข้าตามตรอกออกตามประตูถูกต้อง

   “แล้วทำไมถึงมาไม่ได้ล่ะครับ”

   “ไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ว่าทำไมไม่นัดเจอที่อื่น”

   “ที่ตรงนี้ผมจะให้ใครเข้ามาก็เป็นเรื่องของผมครับ ถ้าคุณอาจะมาคุยเรื่องงานรบกวนบอกผ่านผู้จัดการมรดกได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะตัดสินใจต่อจากนั้นเอง”

   จากคำบอกเล่าที่ได้มาคือพ่อของพิชชาไม่ทำพินัยกรรมเอาไว้ แล้วพอเทียบตามหลักของทายาทผู้ได้รับมรดกแล้วมันมีปัญหาเรื่องความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือพูดง่ายๆ ว่าพิชชาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นบุตรในทางกฎหมายของผู้เป็นบิดา ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม

   เพราะงั้นหลังจากผู้เป็นพ่อเสียแล้วทางญาติคนอื่นเลยเคลมมาว่าสมบัติควรเป็นของพี่น้องมากกว่า เอาแค่พื้นที่ส่วนของที่พักอาศัยราคาก็ไม่รู้กี่สิบหรือร้อยล้าน ยังไม่รวมธุรกิจอื่นในนามครอบครัวอีก มันเลยคาราคาซังอยู่ว่าใครควรได้ทรัพย์สินทั้งหมดไปกันแน่

   “ไม่ใช่เรื่องนั้น อาจะมาพูดอีกเรื่อง”

   "คุณอาเอาเวลาไปเคลียร์บัญชีงานแต่งดีกว่านะครับ” ตัดบทสนทนาเสีย พิชชาสะกิดแขนของทิวากาลให้เริ่มออกเดิน “ถ้ามันมาถึงผมแล้วเกิดเงินกองที่ยังไม่ได้แบ่งมันหายไปเราคงต้องคุยกันยาว"

   “เพิ่งเห็นมุมนี้ของคุณ” เอาของทุกอย่างไว้เบาะหลัง หันมาตรวจสอบความเรียบร้อยของเข็มขัดนิรภัยให้กับพิชชา “จะเรียกว่าอะไรดี น่ากลัวล่ะมั้ง”

   “ผมนึกว่าคุณจะคิดอย่างนั้นมาตลอดเสียอีก”

   “ไม่นะ”
   
   บอกออกไปตามจริง เขาไม่ได้มองว่าพิชชาเป็นคนที่น่ากลัว แต่ถ้าจะให้สรุปตามความคิดของตัวเองแล้วมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนกัน พิชชาเป็นการผสมกันของหลายอย่างจนเขาเชื่อว่าไม่ควรสรุปว่าเขาเป็นอย่างไร “สำหรับผมคุณลึกลับมากกว่าน่ากลัว”

   “นั่นมันดีหรือไม่ดีครับ”

   “อยากให้เป็นอย่างไหนล่ะ”

   “แบบไหนก็เหมือนกันครับ ...คุณเห็นสระตรงนั้นไหม”

   ก่อนจะถึงทางออกปลายนิ้วของพิชชาชี้ไปทางมุมหนึ่งในบ้านหลังใหญ่ รอบข้างรายล้อมไปด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่ม มีสิ่งขัดตาอยู่อย่างเดียวคือรูปปั้นกรีกซ่อนกลไกของน้ำพุเอาไว้

   “เพิ่งลอยอัฐิไปแค่สามวันมันก็โผล่มาเฉย” ท้ายเสียงขมขื่น มือยกขึ้นกวาดไปมาบนอากาศไม่รู้ความหมาย “เห็นว่ากำลังจะหาเรื่องสร้างเพิ่มด้วย”

   “ไหนบอกว่านี่ไม่ใช่บ้านของคุณไง”

   ยังจำได้ดีว่าเขายืนกรานเพียงใดเรื่องเจ้าของสมบัติทั้งหมด

   “ใช่ครับ นี่ไม่ใช่ที่ของผม”

   “...”

   “แต่มันก็ไม่ใช่ของคุณอาเหมือนกัน”



   "อารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาลงที่ผม"

   ทิวากาลกับพิชชาผู้กำลังวอร์มร่างกายด้วยการตีน็อคบอลแบบครึ่งสนาม ถ้าดูจากสีหน้าท่าทางแล้วไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก แต่การตีโต้รุนแรงอย่างนี้นี่แหละกำลังบอกเขาว่ามันมีเรื่องน่ากังวลอยู่ข้างใน

   "ขอโทษครับ"

   “ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ก็บอก”

   เสียงหัวเราะไม่เหมือนใครมาพร้อมกับลูกสักหลาดทำมุมสวย "ช่วงหลังคุณไม่ค่อยถามอะไรแล้วนะครับ"

   "ทำอย่างกับถามแล้วคุณจะบอก" คนเราควรปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ กี่ครั้งแล้วที่ถามแต่ก็ได้เพียงความว่างเปล่ากลับมา "เดี๋ยวคุณก็ทนไม่ได้แล้วก็บอกออกมาเองแหละ"

   หรือถ้าเดินตามทางมันยากนัก

   สักวันเขาคงขับเครื่องบินผ่านมันไป   

   “เล่นเก่งนะ” หลังจากสังเกตผ่านท่าตีฝีมือของพิชชาอยู่ในระดับลงแข่งระดับมือสมัครเล่นได้สบายๆ ต่างจากรูปร่างกระเดียดออกไปทางพวกขี้โรคไม่ชอบเจอแดด

   “ถ้าฝึกฝนไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่ยากเกินไปครับ”

   “บ้านของคุณนี่เป็นพวกชอบให้ลองไปหมดทุกอย่างหรือไง”
   
   ทั้งทำอาหาร เล่นดนตรี แล้วยังกีฬาอีก

   “คุณย่ามีความเชื่อเรื่องพหูสูตครับ”

   “ผมไม่ได้ยินคำนั้นมาเป็นสิบปีแล้วมั้ง”
   
   คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินครั้งสุดท้ายตอนเรียนชั้นประถม ต้องอ่านหนังสืออะไรสักอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ดีหลายสิบประการ แถมยังต้องเอาไปสอบอีกด้วย

   “ไม่ค่อยมีใครใช้หรอกครับ อีกอย่างสมัยนี้อยากรู้อะไรก็เปิดอินเทอร์เน็ต”

   จบการการน็อคครึ่งสนามแล้วก็ได้เวลาเล่นแบบเต็ม ทิวากาลคุมฝีมือของตัวเองให้อยู่ในระดับการตีเล่นเอาไว้ก่อน นิสัยไม่มีที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ชอบทำเหมือนกับว่าไม่ถนัดแล้วค่อยตลบหลัง  ก็เขารำคาญพวกชอบอวดดีไปทั่ว ให้มันเจอของจริงเสียบ้างจะได้รู้ขอบเขตความสามารถของตัวเอง

   แต้มแรกในเกมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายเสิร์ฟเอสมาแทนการทักทาย คนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมกระตุกยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ส่วนอีกฝั่งนั้นเตรียมพร้อมสำหรับลูกถัดไปแล้ว

   เอาใหม่

   ไม่ใช่ในระดับมือสมัครเล่นทั่วไป แต่เป็นฝีมือของคนเล่นได้ในระดับดีเลยล่ะ

   คราวนี้คงไม่ใช่เวลามาออมมือให้อีกแล้ว ตั้งสติเตรียมรับลูกถัดมาเต็มที่ ส่วนด้ามที่มักจะกำเอาไว้หลวมๆ คราวนี้กระชับมากกว่าปกติ

   หมดเซตแรกไปด้วยชัยชนะของชายผมยาว ตามมาด้วยการเอาคืนได้ในเซตสองของทิวากาล หน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่วางไว้บนเก้าอี้นั่งพักบอกว่าการแข่งขันปาเข้าไปเกือบยี่สิบห้านาทีแล้ว และทั้งคู่เห็นตรงกันว่าก่อนเริ่มเซตตัดสินก็ควรพักกันเสียหน่อย

   “ผมยุ่งหมดแล้ว” เสยผมยาวรุงรังขึ้นไปข้างบน ถือวิสาสะคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กตรงไหล่ของอีกคนมาซับหยดเหงื่อตามช่วงหน้าไล่ลงมาจนถึงลำคอ มือหยุดกึกเมื่อเห็นผิวขาวเสียดสีกับสร้อยจนขึ้นรอยแดงชัด “บอกแล้วว่าให้ถอดก่อน แดงหมดแล้วนั่น”

   “นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกครับ”

   “เกือบเป็นรอยถลอกแล้วยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก” พอแตะลงไปตรงรอยแดงเจ้าของร่างก็ร้องประท้วงกลับมา “ไม่เจ็บแล้วร้องทำไม”

   “อยู่ดีๆ คุณก็แตะตัวผมอย่างนี้ไม่ให้ร้องได้ยังไงล่ะ!”

   เลิกคิ้วขึ้นสูงพอได้ยินอย่างนั้น “ตกใจเหรอ?”

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะครับ” เห็นพิชชาทำหน้ายุ่งอย่างนั้นก็ยิ่งอยากแกล้ง เลยกดลงไปซ้ำตรงตำแหน่งเดิมแถมยังลากปลายนิ้วไปตามเส้นสีแดงนั้นอีก

   “ราชา!”

   ยกมือทั้งสองขึ้นบอกยอมแพ้ ก็เล่นเรียกชื่อเขาเสียงดุอย่างนั้นจะให้แกล้งต่อก็กลัวว่าไม้แร็กเก็ตในมือของอีกคนจะฟาดเข้ามาเต็มแรง พอเห็นว่าอาการของชายผมยาวสงบลงแล้วเขาเลยกลับไปซับเหงื่อให้ต่อ กลิ่นของน้ำหอมผสมเข้ากับกลิ่นส่วนตัวจนกลายเป็นกลิ่นน่าหลงไหล

   “เล่นอีกเซตพอ”

   ความคิดชั่ววูบน่ากลัวจนต้องรีบยัดผ้าขนหนูผืนเล็กใส่มือของของอีกคน เลี่ยงไปทางกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ของตัวเองพลางหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นดื่มดับความต้องการที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

   ...เผลอคิดไปว่าถ้าได้สูดกลิ่นจากผิวเนื้อมันจะหวานเหมือนกันหรือไม่

   “ไทร์เบรกอีกแล้วนะครับ”

   เซตที่สามยืดเยื้อกว่าสองเซตก่อนหน้า เมื่อทั้งคู่ยังเสมอกันจนถึงไทร์เบรกที่สาม ต่อให้บอกว่าอยากออมแรงเอาไว้แต่สัญชาตญาณอยากเอาชนะมันก็สั่งให้ห้ามยอมแพ้ ชีวิตของคนไม่เคยแพ้ก็อย่างนี้แหละ พอเห็นลางว่าตัวเองอาจแพ้ก็จะฮึดสู้ขึ้นมาอีก

   “คุณก็ยอมแพ้เร็วๆ สิ”

   เกมที่ยังไม่ได้รับการตัดสินแพ้ชนะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด กลับกันชักสนุกกับสภาวะกดดันที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ หากพลาดหรือว่าตัดสินใจช้าแค่เสี้ยววินาทีเขาจะกลายเป็นผู้ปราชัย

   เหมือนหมากกระดานนั้น

   “โอ้ ผิดจากที่คาดเอาไว้นะครับ”

   ท้ายที่สุดเกมจบลงด้วยลูกหยอดของพิชชา ทิวากาลยกมือขึ้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้า ไม่รู้ว่าหงุดหงิดที่ไม่ยอมวิ่งเข้าไปรับลูกหรือว่าความยาวของเส้นผมตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาชอบตัดผมให้สั้นอยู่เสมอเพราะมันง่ายต่อการรักษา เพียงแต่ช่วงหลังไม่ค่อยว่างจนปล่อยให้ยาวไปเรื่อยๆ

   “ผมพลาดเองแหละ”

   “คุณต่างจากเดิมเยอะเลยนะครับ” ผมที่มัดเอาไว้เป็นหางม้าหลุดลุ่ยจนต้องมัดใหม่ ยามผมหยักศกเป็นเงาทิ้งตัวลงนั่นถึงคล้ายกับพิชชาคนเดิม “ไม่อย่างนั้นคงต้องโวยวายไปแล้ว”
   
   “ทำไปแล้วได้อะไรขึ้นมา”

   เห็นผมมัดรวมตึงอย่างนั้นแล้วรู้สึกขัดใจจนต้องช่วยจัดแต่งให้มันเป็นธรรมชาติมากขึ้น ท่องบอกตัวเองว่าอย่าสูดกลิ่นผสมที่ทำให้เคลิ้มอย่างนั้นเข้าไปอีก เขาแค่ไม่ชอบทรงผมนั้น ก็พอทำอย่างนี้แล้วมันเหมาะกว่าตั้งเยอะนี่นา

   “โตขึ้นแล้วนะครับราชา”

   “พูดเหมือนคุณแม่ที่คอยดูพัฒนาการลูก”

   “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ” ช่วงตายิ้มหยีจนกลายเป็นสระอิ ไม่เคยเห็นด้านนี้ของพิชชาตอนอยู่กับคนอื่น ผู้รู้แสนเงียบขรึม ชอบส่งยิ้มบาง แล้วก็ไม่น่าอยู่ใกล้
   
   “ทำตัวเป็นคนโรคจิตคอยตามเรื่องของผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะ”

   พอพูดถึงใบหน้าพ่อรองเดือนมหาวิทยาลัยก็ลอยเข้ามาในสมอง หรือเป็นเพราะเขาชอบล่อลวงให้ที่หนึ่งคอยตามติดน้องของตัวเองคราวนี้มันเลยเป็นทิวากาลบ้างที่โดน

   “ผมไม่ใช่คนโรคจิตนะครับ”

   “ผมถามระยะเวลา”

   “อยากให้นับจริงเหรอครับ?”

   กี่ครั้งแล้วที่พิชชายิ้มหยันอย่างนั้น คนตัวเล็กกว่าไม่กี่เซนต์ถอยหลังทีละก้าวโดยไม่ละสายตาออกไปจากใบหน้าของอีกฝ่าย ระยะห่างกันออกไปเรื่อยๆ บอกทิวากาลว่านั่นคือช่องว่างระหว่างเขาทั้งคู่เช่นกัน

   “ถ้าคุณคิดว่ารู้จักน้องของตัวเองดี ...ผมเชื่อว่าตัวเองก็รู้จักคุณดีไม่ต่างกันเลย”

   “...”

   นั่นคือคำที่ทิวากาลเคยบอกกับน้อง เขารู้จักน้องทุกคนดีเสมอ

   “ผมยังรอให้คุณรู้จักผมอยู่นะครับราชา”

   เสียงร้องจอแจดึงความสนใจของทั้งคู่ ทางเข้าคอร์ดมีเด็กตัวเล็กคาดคะเนอายุแล้วไม่น่าเกินชั้นประถมต้นสี่ห้าคนเดินเรียงเข้ามาโดยไร้วี่แววผู้ดูแล ชุดกีฬาสำหรับเด็กครบชุดพร้อมกับสะพายกระเป๋าแร็กเก็ตเด็กเอาไว้ พอหันไปมองทางประตูอีกครั้งถึงเห็นว่ามีหญิงสาวอีกคนเดินตามพร้อมกับตะกร้าบอลขนาดใหญ่ หล่อนเอาแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ของตัวเองไม่ได้สังเกตว่าหนึ่งในเด็กน้อยหยุดเดินกะทันหันเพื่อก้มลงไปผูกเชือกรองเท้า

   แม้จะขยับตัวออกไปแล้วแต่ทิวากาลก็เข้าไปหยุดเหตุการณ์ตรงหน้าไว้ไม่ทัน พริบตาเดียวหลังจากความคิดว่าจะต้องมีคนเจ็บแน่สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของชายเสื้อขาวตรงเข้าไปกอดเด็กตัวเล็กเอาไว้แล้วปล่อยให้รถเข็นคันโตกระแทกกับตัวเองแทน

   “พิช!”

   เขาไม่รู้เลยว่าเสียงที่ร้องออกไปกับเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นไม่มีหยุดอันไหนมันดังกว่ากัน


***
   พิมพ์ได้เกือบครบทั้งตอนแล้วค่ะ แต่พอดีเจ้ามีประชุมด่วนพรุ่งนี้เลยยังลงได้ไม่ครบทั้งตอน ขอหนีไปทำหน้าที่ชดใช้กรรมแล้วจะรีบกลับมาอัพตอนต่อไปนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-1 [21.10.16] P.2
«ตอบ #54 เมื่อ22-10-2016 00:15:47 »

ที่บอกว่ามองแบล็คแล้วเห็นสีดำสนิท คือ มองเห็นตัวเองรึเปล่า เพราะเคยบอกว่าชื่อแปลว่าสีดำสนิท

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
«ตอบ #55 เมื่อ24-10-2016 13:22:24 »

CH.9-2

   “ไม่ได้หาหมอตั้งหลายปีแล้วนะเนี่ย”

   “ยังยิ้มได้อีกนะ”

   ส่ายหัวเอือมระอาพลางยกถุงยาที่เพิ่งรับมาตีเข้าไปตรงหน้าผาก สภาพของ ‘คนป่วย’ ดูไม่จืดเท่าไหร่ แขนข้างขวาต้องใส่เฝือกอ่อนเอาไว้ประมาณหนึ่งเดือน ยังไม่รวมถึงรอยช้ำอีกหลายจุด หมอเองก็บ่นไปหลายยกแถมยังกำชับเรื่องวิธีการดูแลแผลมาอีกเป็นสิบนาที

   โชคดีคือเด็กคนนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดช่วน ส่วนฮีโร่ผู้เอาทั้งตัวเข้าไปป้องกันนั้นไม่ได้ใส่เฝือกจากการเข้าไปรับแรงกระแทก แต่เกิดจากการที่เอามือลงไปยันพื้นผิดท่าต่างหาก
   
   “ทำหน้าเศร้าไปแขนก็ไม่หายเร็วขึ้นครับ”

   “อย่างน้อยก็ทำเหมือนคนแขนหักหน่อย”

   “ผมเป็นคนแขนหักอยู่ต่างหากครับ ไม่ต้องแสดงละครเลยล่ะ” แขนข้างขวาที่ใส่เฝือกแบบอ่อนเอาไว้ขยับนิดหน่อยให้รู้ว่าเป็นคนป่วยจริง “แล้วคนที่ไม่ได้เจ็บตรงไหนทำไมทำบึ้งอย่างนั้นล่ะครับ”

   “ผมไม่ชอบโรงพยาบาล” โดยเฉพาะรอบล่าสุดที่ต้องมาเป็นคนป่วยเสียเอง “ไม่เห็นเจริญหูเจริญตา”

   “แต่ที่นี่ให้อะไรผมเยอะแยะเลยนะครับ”

   “เช่น”

   “ให้เลือดของผมต่อชีวิตคุณเอาไว้”

   ร่างกายแม้จะไม่มีเลือดของอีกคนไหลเวียนอยู่กลับร้อนวาบ ย้อนกลับไปคิดถึงวินาทีที่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ด้วยการหยิบยื่นโอกาสของใครบางคน คนที่รู้จักเขาดีกว่าใคร...

   "ผมเลิกคิดว่าคุณทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรแล้วพิชชา" หัวเราะแห้งให้กับตัวเอง หมากแทนคิงบนกระดานยังคงอยู่ตรงนั้น และเขาไม่มีทางยอมแพ้จนกว่าจะหมดทางรอด “น่าเสียดายนะ บางทีถ้าคุณเจ็บหนักกว่านี้ผมอาจได้บริจาคเลือดให้คุณบ้าง”

   นัยน์ตาสีแปลกเป็นประกายวาววับ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้สบมันไม่เคยเสไปที่อื่น

   คนเดียวที่กล้ายืนหยัดสู้กับราชา

   “...แล้วเราจะได้หมดหนี้บุญคุณกันสักที”

   “ผมไม่ยอมให้หนี้ของเราหมดง่ายๆ หรอกครับ”

   "...”

   “ผมจะทำให้คุณต้องอยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลย”

   "มั่นใจอะไรขนาดนั้น ...ไปกันได้แล้ว"

   ทำแขนเป็นมุมฉากให้คนเจ็บได้เกาะเอาไว้ แล้วความหวังดีก็โดนปฏิเสธกลับมา ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็จะไม่ยอมรับความช่วยเหลืออย่างนั้นล่ะสิ

   “ที่จริงผมก็บรรลุนิติภาวะแล้วนะครับ ทำไมยังต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลอีกล่ะ”

   "เพราะพอไม่มีคนดูแลถึงเจ็บอย่างนี้ไง"

   "แล้วสนใจมาเป็นคนดูแลผมไหมล่ะครับ"

   ประโยคที่ฟังแต่เสียงแล้วไม่ต่างจากเรื่องล้อเล่นจนต้องลอบมองจากด้านข้างว่าแสดงผ่านสีหน้าอย่างไรบ้างเป็นการประกอบ

   "เป็นแล้วหนี้จะลดลงไหมล่ะ?"

   "อืม...จะเก็บไว้พิจารณาแล้วครับ"

   หวังว่าที่ลงทุนไปจะไม่เสียเปล่านะ



   “อันนี้แทนคำขอบคุณที่พาผมมาหาหมอ”

   ตัวเลขดิจิตอลบนส่วนหน้าของรถบอกว่าตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว หลังจากฝากท้องมื้อเย็นไว้กับร้านอาหารภายในโรงพยาบาลเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนมันก็เป็นหน้าที่ของเขาในการขับรถกลับไปส่งอีกคน อ้อ แล้วก็มีรถอีกคนคอยตามตลอดเวลาด้วย

   ทำอย่างกับไม่เห็นว่าตามมาตั้งแต่เช้า เป็นงานที่คิดแล้วน่าเบื่อแกมขวัญผวาอยู่ไม่น้อย อย่างนี้คนน้องจะโดนตามเหมือนกันหรือเปล่า แต่คิดว่าคนที่รับงานไปคงมีความสุขกับการได้ตามคนน้องมากกว่าคนพี่ เหมือนอย่างคนนั้นที่พูดเรื่องคำสาปขึ้นมาไง สรุปแล้วพิชชานี่เป็นผู้หยั่งรู้หรือว่าพ่อมดมนต์ดำกันแน่

   พิชชาก็อายุยี่สิบกว่าเข้าไปแล้วทำไมต้องตามติดขนาดนี้ ทำเป็นผู้ปกครองที่กลัวหลานหนีออกจากบ้านไปได้

   หรืออยากให้หลานหายไปก็ไม่รู้สิ

   รับถุงกระดาษสีดำใบเล็กที่ไม่ทันเห็นว่าถือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกส่งมาให้อย่างทุลักทุเล ทิวากาลยื่นมือออกไปรับมันไว้ก่อนหล่นได้หวุดหวิด
   
   ทำหน้าสงสัยส่งไปให้ คำตอบที่ได้กลับมาคือยิ้มเย็นอย่างเดียว

   “ดอกไม้แห้ง?”

   ในถุงมีซองผ้าใบสีขาวเย็บมุมเอาไว้อย่างดี ส่วนปากถุงก็ผูกเอาไว้ด้วยเชือกไม้เส้นบางทำเป็นรูปโบว์เสมอกันทั้งสองข้าง งานประณีตไม่เหมือนกับของออกขายทั่วไป กลิ่นแรกที่ได้รับคือความเป็นธรรมชาติต่างกับทุกกลิ่นที่เคยได้รับเมื่อครั้งก่อน

   “ถุงบุหงาครับ จะหอมกว่าแบบนั้นเพราะว่าไม่ได้เติมกลิ่นลงไป” อธิบายได้คล่องแคล่วสมกับเป็นหลานชายตระกูลเก่าแก่ที่ยังทำน้ำลอยดอกมะลิดื่ม “อาจอยู่ได้ไม่นานเท่าแต่เรื่องกลิ่นชนะขาดครับ”

   “คุณต้องว่างขนาดไหนถึงนั่งทำของแบบนี้ได้” กว่าจะเลือกดอกไม้ เอาไปเข้ากรรมวิธีจนได้เป็นดอกแห้ง แล้วยังทำบรรจุภัณฑ์ต่ออีก สำรวจอีกเล็กน้อยก่อนวางมันลงตรงส่วนหน้าปัดรถ

   “เผื่อว่าภัสขึ้นคราวหน้าจะได้ไม่บ่นอีกไงครับ”
   
   พอชื่อของเด็กคนนั้นออกจากปากพี่ชายก็ชวนให้คิ้วกระตุก เด็กคนนั้นไม่แสดงอาการอะไรออกมาอีกแม้กระทั่งช่วงเวลาโบกมือลาเพื่อที่เดินเข้าคอนโด  มันมีเพียงความราบเรียบประดับอยู่จนภัสสร์กลายเป็นตุ๊กตาที่ไม่อาจเปลี่ยนสีหน้าได้

   “สรุปแล้วภัสนี่เรียนอยู่ชั้นไหนนะ จะเข้ามหาลัยหรือยัง”

   “อยู่มัธยมห้าครับ เรื่องเรียนต่อคงไม่ทำ”

   “หืม?”

   น่าแปลกใจจนต้องรอให้คนเป็นพี่อธิบายต่อ

   “ที่คุยไว้ล่าสุดเขาว่าอย่างนั้นนะครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนใจหรือยัง”

   “บ้านคุณพิลึกมากเลยพิชชา” กะจะไม่พูดแล้วแท้ๆ สุดท้ายเจอเรื่องลูกชายคนเล็กจะไม่เรียนต่อเข้าไปถึงกับอดไม่ได้ “บ้านของผมแพ้ขาดลอย”

   ถนนเวลากลางคืนเงียบสงัด ความมืดปกคลุมรอบข้างจนกลายเป็นบาเรียคอยป้องกันไม่ให้ทุกอย่างเล็ดลอดออกไปได้

   “ถ้าเรามองว่าทุกคนแตกต่าง มันก็ไม่มีใครบัญญัติศัพท์คำว่าพิลึกขึ้นมาหรอกครับ”

   “จะบอกว่าคุณปกติ?”

   “อืม คนที่บอกว่าตัวเองไม่ปกตินี่มีเหรอครับ”

   เพลงยุคเก้าศูนย์เริ่มคุ้นหู อย่างเพลงนี้ก็เปิดซ้ำบ่อยจนร้องคลอตามได้แล้วแม้ไม่เคยอ่านเนื้อร้องเลยก็ตาม

   “ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้ผู้ปกครองภัสสร์ก็ต้องเป็นคุณสิ”

   “ตามหลักแล้วควรเป็นอย่างนั้นครับ แต่ว่าคนคอยดูแลจริงๆ คือพี่กาย”

   “เห?” น่าประหลาดใจจนต้องร้องออกมา “ถ้าอย่างนั้น...”
   
   พิชชาคงรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน “หลังจากนี้ผมคงต้องดูแลเองแล้วล่ะครับ”

   “ภัสก็เก่งนะ”

   ต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงยืนหยัดอยู่ในงานแต่งงานของพี่กายได้โดยไม่แสดงอาการผิดปกติอะไรออกมา หลังจากช่อดอกไม้นั้นมีเจ้าของแล้วภัสยังยืนอยู่เดิมจนกระทั่งจบงาน มีบ้างที่หันไปมองทางอื่น แต่สุดท้ายแล้วความสนใจมันก็ยังอยู่กับคนบนเวที

   เพราะญาติพักอยู่ที่โรงแรมต่ออีกวัน เขาเลยไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมีเรื่องสนุกอย่างอื่นเกิดขึ้นหรือไม่ ลองคิดดูแล้วควรจะเรียกว่าหลังจากวันนั้นเขายังไม่ได้เจอเด็กอวดดีคนนั้นเลย

   มีแต่คนพี่นี่แหละวนเวียนไม่ไปไหน

   "ภัสเก่งเสมอครับ ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้"

   "ทำไมคุณไม่เตือนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะ เรื่องแค่นี้น่าจะมองเห็นไม่ใช่เหรอ"

   ความสามารถไม่มีใครเหมือน เขาไม่อยากคิดว่าสิ่งที่พิชชาเคยบอกไว้เมื่อครั้งก่อนมีความนัยอะไรแฝงอยู่หรือไม่ คำว่า 'สีดำสนิท' ที่บอกมีความหมายคือมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดหรือว่ามันจะมีความหมายตามชื่อเล่นของอีกคน

   ดีเจคลื่นวิทยุบอกชื่อเพลงถัดไปที่กำลังจะเล่น หนึ่งในเพลงโปรดตลอดกาลของบิดา เพลงจากวงร็อคชื่อดังจากเกาะอังกฤษ

   "บางเรื่องพูดไม่ได้ครับ"

   พอพิชชาพูดคำเดิมออกมาซ้ำๆ เขาก็เริ่มเข้าใจความหมายของมันมากขึ้น "เพราะผมทำได้แค่รู้ แต่เข้าไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้"

   คนที่รู้ ไม่ได้หมายความว่าจะพูดออกไปได้

   พูดไม่ได้หรือเลือกไม่พูด

   "ต่อให้รู้ว่าข้างหน้าเป็นเหว ภัสก็เต็มใจเดินต่อ"

   "พูดคล้ายกับหนังสือที่ผมเคยอ่าน"

   ความรักคือหลุมลึกที่ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้อีกครั้ง

   "มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับที่ต้องมายืนดูแต่พูดออกไปไม่ได้"

   "มนุษย์เป็นคนกำหนดชะตาของตัวเอง"

   "ไม่จริงครับ ถ้ามนุษย์สามารถทำอย่างนั้นได้จริงเราคง..." ปลายเสียงถูกดูดหายไป พิชชาเม้มปากของตัวเองเอาไว้แน่น เงาสะท้อนกลับมาจากกระจกสีดำไม่ช่วยให้ความกระจ่างสักเท่าไหร่

   เพลงจังหวะช้ากับเสียงของนักร้องเข้ากันได้ดีจนไม่มีที่ติ เนื้อเพลงมีความหมายเกี่ยวกับคนพิเศษในชีวิต คนที่เป็น 'สิ่งมหัศจรรย์' ในวันปกติธรรมดา

   "...แต่คุณอาจทำมันได้นะครับราชา"

   Because maybe

   You're gonna be the one that saves me

   And after all

   You're my wonderwall

 


   “กลับมาแล้วครับ”

   สิ่งแรกที่พิชชาทำไม่ใช่การถอดรองเท้าหรือว่าเปิดไฟบ้าน แต่เป็นการส่งเสียงทักทายให้กับความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่ว ไฟอัตโนมัติตามทางเริ่มทำงานจนเหมือนกับว่าบางสิ่งกำลังตอบรับคำทัก

   “คนดีไซน์บ้านเก่ง” ชมจากใจจริง ถ้าพูดในส่วนของการวางโครงสร้างสิ่งจำเป็นพื้นฐานนะ แต่ให้พูดในฐานะคนมีสมาชิกห้าชีวิตอยู่ในบ้านขนาดเล็กกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าแล้วคงไม่มีอะไรมากไปกว่าจะสร้างให้ใหญ่โตไปทำไมในเมื่อคนที่อาศัยอยู่มีแค่ไม่กี่ชีวิต

   “ตอนแรกที่สร้างคุณย่าตั้งใจให้อยู่กันพร้อมหน้าน่ะครับ ก็ไม่แปลกนะ พอโตขึ้นแล้วทุกคนก็ต้องการความเป็นส่วนตัว”

   “ถ้าย่าคุณรู้คงเสียดายแย่”

   “มันก็มีข้อดีแหละครับ เช่นพิสูจน์เรื่องกล่องความโลภของแพนโดรา”

   ดูจากเครื่องใช้ทั้งหมดแล้วมันก็ล่อตาล่อใจอย่างที่บอก ลองประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ บวกกับความรู้ที่มีสมัยยังตามติดคนเป็นพ่อออกไปตรวจงานตามพื้นที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าสมบัติทั้งหมดในบ้านหลังนี้เมื่อตีมูลค่าเป็นเงินมันมหาศาลเสียจนไม่อยากนับ

   "ของวางไว้ที่ไหน"

   "วางไว้ตรงนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวออกไปส่งคุณแล้วผมกลับมาเก็บเอง"

   ของทุกอย่างที่เป็นของพิชชาถูกวางรวมกันไว้ตรงโซฟาตัวเดิม พอได้ยินอย่างนั้นทิวากาลเลยทิ้งตัวลงกับที่นั่งตัวใหญ่ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาส่งข้อความไปหาบิดาว่าวันนี้คงกลับบ้านดึก คือที่บ้านไม่ได้มีใครเฝ้าหรอก เขาก็แค่อยากทำให้คนเป็นพ่อสบายใจว่าลูกชายคนโตไม่ได้เถลไถลไปไหนโดยไม่บอกกล่าว

   "อยากพักก่อนเหรอครับ"

   "เปล่า"

   "งั้นมีเรื่องด่วนอะไรหร..."

   “คิดว่ามือเจ็บอย่างนั้นทำอะไรสะดวกหรือไง”

   แทรกขึ้นมากลางประโยค สายตายังคงจับจ้องอยู่ตรงแป้นคีย์บอร์ด หลังจากรายงานความประพฤติเรียบร้อยแล้วก็ตรวจสอบว่ามีข้อความไหนเร่งด่วนหรือไม่ ไล่ลงมาจนถึงห้องสนทนาลำดับล่างสุดที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ชื่อตัวแทนไม่คุ้นแถมยังส่งข้อความสุดท้ายมาเป็นสติกเกอร์เขาเลยไม่รู้ว่าการทักครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไร

   "ก็ได้อยู่นะครับ ไม่ได้ลำบากอะไรมาก"

   "จะเก็บของยังไง เดี๋ยวต้องอาบน้ำอีกไม่ใช่เหรอ"

   ให้สาธยายอีกร้อยแปดก็ได้ว่าคนป่วยแขนเจ็บที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวจะต้องเจอกับความลำบากอะไรอีกบ้าง ไม่คิดหน่อยหรือไงว่าตัวเองอยู่บ้านคนเดียว แถมยังไม่มีใครกล้าเข้ามาข้างใน คนงานกี่สิบคนนั่นไม่มีทางย่างกรายเข้ามาช่วยหรอก

   เงยขึ้นมามองเจ้าของบ้านผู้อยู่ในสภาพเสื้อกีฬามอมแมม มีเฝือกอ่อนอยู่ตรงแขนขวา ใบหน้าไม่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อมากนักน่าหงุดหงิดเสียจนต้องบอกตรงๆ

   “เดี๋ยวช่วยสระผมให้”

   “เห...”จากความว่างเปล่าแปรเป็นรอยแย้มละไม “ฝากด้วยนะครับราชา”

   “บอกแล้วนะว่าผมไม่เก่ง”

   “ก็ต้องฝึกไงครับ”

   คราวนี้ต้องระวังมากกว่าครั้งก่อนเพราะว่าแขนขวาของพิชชาไม่ควรโดนน้ำ ถึงเอาพลาสติกมาคลุมไว้แล้วมันก็ยังต้องรัดกุมอยู่ดี พิชชานั่งลงหลังพิงกับขอบอ่างส่วนทิวากาลนั่งอยู่ด้านในเช่นเดิม มือเอื้อมไปหยิบทั้งแชมพูแล้วก็ครีมนวดมาไว้ข้างตัวไม่ต้องรอคำสั่งจากเจ้าของบ้านอีกแล้ว

   ทำตามสเต็ปไปจนกระทั่งเจอปัญหาแบบเดิมตอนสระผม มือของเขาเข้าไปพันยุ่งเหยิงอยู่ในกลุ่มผมของอีกคนทั้งที่บรรจงสระไปทีละน้อยแล้วแท้ๆ

   “ไปตัดผมเลยนะ”

   "ไม่ครับ"

   "ดื้อ"

   "ผมมีอุดมการณ์ชัดเจนครับ"

   "ต่อชีวิตคนอื่นอย่างที่บอกน่ะเหรอ"

   ไม่เคยได้ยินความเชื่อเรื่องนี้ เคยได้ยินแค่ว่าตัดผมแล้วจะป่วย

   "ก็ใช่อยู่นะครับ"

   "แล้วถ้ามีคนตัดผมไป ชีวิตของคนๆ นั้นจะดับไปงั้นสิ"

   พิชชาหัวเราะร่า "ไม่ใช่ในแง่นั้นสิครับ นั่นมันออกจะเกินจินตนาการไปหน่อยนะ"

   "เพื่อนผมเล่าว่าคุณเคยแช่งคนที่มาตัดผม"

   "โอ้ เรื่องนั้นยังมีคนเล่าอยู่อีกเหรอครับ" เป็นวิธีการปฏิบัติต่อเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองที่ทิวากาลไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าโดนใส่ความในเรื่องเท็จปฏิกิริยาที่กลับมามันควรเป็นการปฏิเสธหรือไม่ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่เหมือนกับสิ่งที่พิชชากำลังทำ สนุกและเพลิดเพลินไปกับการได้ยินเรื่องราวหลอกลวงพวกนั้น

   "แสดงว่าเรื่องจริง?"

   "แล้วตอนที่ฟังครั้งแรกคุณเชื่อหรือเปล่าล่ะครับ"

   “ผมไม่อยากฟังใครอื่น เพราะเรื่องจริงที่ออกจากปากของคุณมันดีที่สุดแล้ว”

   ต่อให้ประวัติของคนพูดจะน่าเชื่อถือมากแค่ไหน มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อใจได้แค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีหลักฐานชิ้นไหนดีไปกว่าหลักฐานชั้นต้น

   "งั้นแสดงว่าถ้าผมเล่าอะไรไปคุณจะเชื่อว่าผมพูดจริง?"

   "คุณไม่มีเหตุผลที่จะโกหก"

   นั่นไม่ใช่นิสัยของพิชชา อย่างมากก็แค่หาเรื่องพูดในบริบทกว้างให้ไปคิดเอาเองว่าควรจะตีความว่าอย่างไร ไม่มีสักครั้งที่โกหกออกมา ทิวากาลผ่านมาเยอะ ขนาดน้องสาวฝาแฝดของตัวเองที่ไม่เคยมีใครอ่านออกยังไม่รอดไปจากสายตาเลย กับแค่ผู้ชายผมยาวคนเดียวทำไมจะแยกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องเล่าปากต่อปาก

   "ซึ้งใจจังเลยครับ โอ้ะ!" คนแขนเจ็บทำหน้ายิ้มล้อเลียน น่าหมั่นไส้จนแกล้งสะบัดน้ำใส่ "เดี๋ยวเข้าตาล่ะยุ่งนะครับราชา"

   "นั่นเป็นเรื่องของคุณ"

   "ใจร้ายจังนะ คนเป็นคิงนี่ต้องดูแลประชาราษฎร์ให้ดีสิครับ"

   "กับคนที่จะมาล้มผมนี่ยังต้องญาติดีอีกเหรอ"

   ยิ่งสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ คนที่อยู่ข้างกันมันยิ่งน้อยลง

   และคนที่อยากจะทำลายเพิ่มขึ้นทุกที

   "เอาเถอะ หักลบกับวันนี้ผมจะมองว่าคุณใจดีต่อไปแล้วกัน"

   "...?"

   “ผมไม่ได้สลบนะครับ ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณเรียกชื่อผมดังแค่ไหน”

   ตอนพุ่งเข้าไปรับแรงกระแทกแทนเด็กอีกคน เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากต้องวิ่งไปตรงนั้นให้เร็วที่สุด

   “ขอบคุณครับราชา”

   "คุณบอกเองว่าผมต้องดูแลคนของผม"

   กลิ่นของแชมพูหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ชนิดหนึ่ง หลังจากครบขั้นตอนการดูแลเส้นผมแล้วก็ได้เวลาเช็ด ใบหน้าของลูกค้าร้านสระผมมีหยดน้ำบางส่วนยังเกาะตามกรอบหน้าไม่ยอมไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง หยิบผ้าขนหนูมาซับมันอย่างเบามือที่สุด

   "สระผมก็น่าเบื่อ แล้วยังต้องมาเช็ดผมอีก"

   "ชินแล้วครับ"

   "ผมไม่มีทางชินกับอะไรอย่างนี้ได้แน่"

   "แต่ผมของคุณก็เริ่มยาวขึ้นแล้วนะครับ"

   "นั่นเพราะต้องมาปวดประสาทอยู่กับคุณไง"

   แกล้งโปะผ้าลงไปตรงปิดทั้งหน้าแล้วก็ยีหัวไวๆ จนได้ยินเจ้าของผมยาวสวยร้องประท้วง

   "เช็ดอย่างนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ผมแห้งเร็วขึ้นนะ!"

   "ไม่เชื่อฝีมือของผมเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องปกติต่างหากครับ"

   หัวเราะเบาๆ ให้กับเสียงกึ่งประชดประชันใต้ผ้าขนหนู เมื่อพอใจกับผลงานของตัวเองถึงดึงผ้าออกเผยให้เห็นใบหน้าไร้เครื่องแต่งแต้มที่มีเส้นผมสีดำขลับล้อมเอาไว้ทั้งกรอบหน้า

   และทิวากาลถูกตรึงไว้ยามสบกับนัยน์ตาคู่แปลกนั้น

   ท่ามกลางความเงียบ กลิ่นเครื่องหอมหลายชนิดลอยปนเปดึงดูดให้ราชาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ทุกที จากที่เห็นครบทั้งโครงหน้ามันแคบลงไปจนเห็นเพียงบางส่วน ไม่อาจละลายตาออกไปจากช่วงตาสีสวย ไม่ต่างกับปลายจมูกที่กำลังสัมผัสกันบางเบา

   จังหวะการหายใจที่เคยแตกต่างหลอมจนเป็นจังหวะเดียว เสียงสายน้ำไหลกลายเป็นเพลงสร้างบรรยากาศจนไม่อยากพูดอะไรออกมาขัด รู้ตัวดีว่าหากขยับอีกแค่นิดเดียวเหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น

   ไม่อยากยอมรับว่าอยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง

   “...ผมแนะนำให้คุณหยุดครับ”

   และทิวากาลหลุดออกมาจากภวังค์ของตัวเองได้ด้วยคำเดียวของพิชชา

   “เพราะถ้ามันมากไปกว่านี้”

   ริมฝีปากสัมผัสกันในเสี้ยววินาทียามอีกฝ่ายขยับ เสียงออกมาแห้งผากคล้ายคนไร้ชีวิต และนัยน์ตาที่สะท้อนเขาอยู่ข้างในมันก็แสดงออกมาทุกสิ่ง

   “มันไม่มีอะไรดีสำหรับเราสองคน”

   ส่วนรับรู้ของทิวากาลกลับมาทำงานเต็มรูปแบบก็ตอนปิดประตูรถตัวเองเสียงดัง ระบายอารมณ์คุกรุ่นข้างในด้วยการลงแรงกับพวงมาลัยรถจนเกิดเสียง เสื้อเปียกชื้นคอยย้ำเตือนเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดฝันไปเอง

   “บ้าชะมัด...”

   คิดถึงคำสุดท้ายของพิชชา เรื่องที่ติดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจและมันคงไม่จางหายไปไหนได้ง่ายๆ

   สูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ ตั้งใจจะเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา ผิดแผนก็ตรงที่พอประสาทสัมผัสทำหน้าที่ของตัวเองแล้วถึงรู้ว่าภายในรถเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมละอายอวล

   คล้ายว่าข้างกายเขามีใครอยู่ด้วยตลอดเวลา


***
   มาลงวันนี้เพราะว่าเขียนๆ ลบๆ อยู่หลายรอบตรงช่วงตอนจบนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) เจ้าไม่ถนัดบรรยายอะไรพวกนี้เลยจริงๆ มาถึงตอนที่เก้าแล้ว เกือบครึ่งทางสำหรับเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณทุกการติดตามเสมอนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
«ตอบ #56 เมื่อ24-10-2016 22:36:43 »

ชอบๆ ชอบเรื่องนี้จังค่ะ

เวลาอ่าน ต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ทำความเข้าใจ
ห้ามเร่งตัวเองด้วย ละเอียดมาก

พิชดูลึกลับ ลึกลับเหมือนสีดำสนิท
ผูกไว้ซับซ้อนมาก อดทนไว้ (บอกตัวเองค่ะ)
ส่วนแบล็ค แย่แล้ว 555
เอาใจช่วย

ติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

#พิชแบล็ค

 :กอด1: :L2:



ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
«ตอบ #57 เมื่อ25-10-2016 02:14:42 »

จบไปอีกตอน ที่ไม่ได้รู้เรื่องพิชสักเท่าไหร 5555

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.9-2 [24.10.16] P.2
«ตอบ #58 เมื่อ30-10-2016 01:58:45 »

รอจ้า ก็ยังคงต้องรอปมเปิดเผยกันต่อไป

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-1 [17.11.16] P.2
«ตอบ #59 เมื่อ17-11-2016 23:24:10 »

CH.10-1

   "เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวมารับ"

   "ไม่เป็นไรครับ"

   "ผม มา รับ"

   เน้นทุกคำให้ช้าชัดจะได้ไม่ต้องขัดอีก กดปุ่มปลดล็อครถให้คนทางซ้ายของตัวเอง "แล้วถ้าเลิกช้าก็ส่งข้อความมาบอกด้วย จะได้วนหาที่จอดก่อน"

   "รับทราบครับผม"

   "เย็นนี้อยากกินอะไรก็คิดไว้เลยแล้วกัน"

   คราวนี้แขนข้างที่ยังขยับได้เป็นปกติตะเบ๊ะขึ้นคล้ายการทักทายของทหาร ทิวากาลยิ้มเอือมให้กับวิธีการประชดนั้นพลางยื่นมือไปจัดทรงผมให้เข้าที่ในเวลาเดียวกัน วันนี้พิชชาไม่ยอมมัดผม ปล่อยสยายจนต้องช่วยตรวจสอบให้มันเข้าทรงอยู่เสมอ

   "แล้วเจอกันครับ"

   ประตูรถอีโค่คาร์ปิดลงไปแล้ว พร้อมกับร่างของคนแขนเจ็บเดินหายเข้าไปในตึกคณะของตัวเอง แบล็ครอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายถึงห้องเรียนภาคเช้าแล้วถึงขยับเกียร์พร้อมเคลื่อนตัว กว่าจะถึงคาบเรียนของตัวเองอีกเกือบชั่วโมง ยังมีเวลาเหลือสำหรับเครื่องดื่มยามเช้า

   เพิ่มหน้าที่ดูแลคนเจ็บเพื่อแลกกับการได้ลดจำนวนหนี้ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยได้จริงหรือไม่ แต่จะให้ใจไม้ไส้ระกำกับคนเจ็บอย่างนั้นมันก็เกินไปหน่อย ลองคิดว่าต้องใช้มือข้างเดียวทำกิจวัตรประจำวันแถมยังไม่มีใครคอยช่วยดูแล ตื่นเช้ามาก็ต้องอาบน้ำทุลักทุเล กว่าจะใส่เสื้อผ้าแล้วมาเรียนจะจดแบบไหน ตอนเย็นต้องทานข้าวคนเดียวอีกหรือเปล่า

   คิดไปคิดมาเลยตั้งตัวเองเป็นพยาบาลพิเศษเสียเลย

   เดินเข้าร้านกาแฟที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย ต่อให้ไม่ค่อยชอบระบบทุนนิยมมากเท่าไหร่ก็ต้องยอมรับว่าการมีร้านมาเปิดข้างในมหาวิทยาลัยมันช่วยให้ชีวิตคนติดกาแฟอย่างเขาสุนทรีย์ขึ้นเยอะ ไม่อย่างนั้นต้องไปเสี่ยงดวงกับอีกร้านที่มาตรฐานไม่เหมือนกันในการสั่งแต่ละครั้ง

   "กาแฟดำร้อนครับ"

   "แก้วขนาดไหนคะ"

   "กลาง"

   สั่งทุกทีเป็นแก้วเล็ก พอดีตื่นเช้ากว่าปกติอยู่นิดหน่อยเพราะว่าต้องรีบออกไปรับพิชชามาเรียนคาบเช้าให้ทัน ระยะทางจากคอนโดหน้ามหาวิทยาลัยกับบ้านคนเจ็บห่างกันอยู่พอสมควร ขนาดใช้ทางด่วนเพื่อย่นระยะเวลาแล้วยังเกือบยี่สิบนาทีเลย

   เปิดกระเป๋าเงินของตัวเองหาการ์ดแทนเงินสด แผ่นพลาสติกแข็งที่จำได้ว่าเก็บไว้ตรงช่องแรกว่างเปล่า ลองย้อนความทรงจำว่าตัวเองใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่แล้วถึงบางอ้อเมื่อเสียงออดอ้อนของน้องชายคนเล็กเล่นซ้ำอีกครั้ง น้องโรมผู้อยากกินเครื่องดื่มประจำเดือนแต่ว่าไม่อยากออกเงินเอง เอาไปใช้แล้วลืมคืนอีกล่ะสิ อย่างนี้ประจำ

   กล่าวคำขอโทษให้พนักงานที่ยังรอรับชำระเงินอยู่ ช่วงเช้าไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บริการมากเท่าไหร่นัก เขาเลยมีเวลาพอจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาหาแอปพลิเคชันที่เชื่อมกับบัตรเอาไว้แล้ว ไม่อยากจ่ายเงินสดไปเลยเพราะว่ามันจะไม่ได้นับแต้มเก็บเอาไว้ เชื่อกินขนมได้เลยว่าปีนี้เขาต้องได้เลื่อนขั้นการ์ดขึ้นไปอีกแหง ถ้าจะมาใช้บริการเกือบวันเว้นวันอย่างนี้

   เลื่อนไปจนเจอการ์ดใบที่ใช้อยู่ล่าสุด มันลงทะเบียนไว้หลายใบเนื่องจากบิดาของตัวเองขี้เกียจสมัครใหม่แต่ว่าอยากได้สิทธิ์บางอย่างที่จะได้ต่อเมื่อลงทะเบียนการ์ด กดพร้อมจ่ายเสร็จถึงยื่นไปตรงบาร์โค้ด

   "...ขอโทษนะครับ"

   ยังไม่ทันที่โปรแกรมจะอ่านค่าสัญลักษณ์ โทรศัพท์ของตัวเองก็มีสายเข้าเสียก่อน ทิวากาลรีบหยิบกลับมาตรวจสอบว่าชื่อสายโทรเข้าเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มเรียนหนังสือของตัวเองเลยต้องรับอย่างเสียไม่ได้

   "ว่าไง"

   (งดเซคครับเพื่อน!!!)
   
   ไม่รู้ว่าดีใจอะไรขนาดนั้นถึงตะโกนผ่านโทรศัพท์จนพนักงานเองยังหลุดขำออกมา ทิวากาลทำหน้านิ่งทั้งที่ข้างในอยากโวยวายออกมา ตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อพบว่าคาบที่กำลังจะเกิดในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้างหน้างดอย่างนั้นเหรอ

   "ล้อเล่น?" อาจารย์คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องงดคลาสพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ภารกิจในการรับใช้ชาติมากจนต้องงดการเรียนการสอน ส่วนมากจะเป็นการประกาศล่วงหน้าว่าไม่สามารถเข้าสอนได้ ไม่เหมือนครั้งนี้ที่เพิ่งประกาศก่อนเรียนไม่นาน

   (เออ ป้ายหน้าห้องตัวเบ้อเริ่ม ส่งเข้าไปในกรุ๊ปแล้วมีแต่มึงยังไม่ตอบ กูเลยรีบโทรก่อนมึงจะมาเสียเที่ยว)

   "ไม่ทันแล้วสัตว์"

   (อ้าวเหรอ โทษทีนะมึง กลับไปนอนต่อแล้วกัน บาย!)

   มาไวไปไวไม่เหลือช่องให้เอ่ยคำลา ทิวากาลส่ายหัวให้กับโทรศัพท์ หน้าจอกลับมาเป็นคำสั่งชำระเงินด้วยบัตรอีกครั้ง

   อย่างนี้กาแฟดำก็ไม่มีประโยชน์แล้วสิ...

   วันนี้นอกจากคาบเช้าที่โดนยกเลิกฟ้าผ่าแล้วทิวากาลยังมีวิชาเลือกที่ออดิทเอาไว้ตอนบ่าย เนื้อหาวันนี้ไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่เพราะเป็นเคยเรียนมาแล้วสมัยชั้นปีที่สอง และคงไม่ขับรถกลับห้องไปนอนเพื่อออกมาอีกที เอายังไงดีนะ

   ใบหน้าของชายที่เพิ่งแยกออกจากกันเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนแวบเข้ามาในความคิด เห็นอยู่แล้วว่าเงินในบัตรมีเพียงพอถึงสั่งรายการอื่นเพิ่ม

   "รบกวนเพิ่มชาอิงลิชเบรคฟาสต์แก้วกลางให้อีกที่ครับ"

   วันนี้ลองไปนั่งเรียนวิชาของเด็กเอกธุรกิจหน่อยแล้วกัน



   ถุงกระดาษสกรีนชื่อร้านเอาไว้หรากับสมุดจดหนึ่งเล่มคือสิ่งที่อยู่ในมือของทิวากาลยามเปิดประตูด้านหลังของห้อง ไม่ต้องเสียเวลาในการหาห้องเรียนเพราะอีกคนเคยบอกเอาไว้แล้ว อาจารย์ประจำวิชาเป็นชายวัยกลางคนที่เอาแต่นั่งสอนอยู่ตรงหน้าจอไม่ได้สนใจเลยว่ามีนักศึกษาใหม่เดินเข้ามา รีบสอดส่องหาเป้าหมายแล้วแทรกตัวเองลงไปนั่งด้วยในพริบตา

   ห้องเรียนสำหรับวิชาเลือกมีขนาดเล็กกว่าห้องของวิชาหลักหลายเท่าตัว พิชชานั่งหลังตรงติดกับกำแพงทางขวาเยื้องมาทางด้านหลังหน่อย ทั้งแถวมีคนเดียวเหมือนไม่มีใครอยากเข้าใกล้

   ชายผมยาวหันมาเอียงคอน้อยๆ แทนคำถาม และทิวากาลส่งคำตอบไปในรูปแบบของแก้วกระดาษสำหรับของร้อนไปให้ ด้านข้างเขียนเอาไว้ด้วยปากกาเมจิคหัวสีดำขนาดใหญ่ว่า K'พิชชา เพื่อให้ง่ายต่อการแยกว่าเครื่องดื่มแก้วไหนเป็นของใคร

   "โดดเหรอครับราชา?"

   "งดเซค"   

   พอมาอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วก็ต้องปรับตัวให้ได้ว่าอาจารย์หลายคนพร้อมงดการสอนได้เสมอ และการเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอีกต่อไป
   
   เครื่องดื่มชนิดร้อนยังไม่พร้อมสำหรับการลิ้มรส ลองอ่านข้อความในสไลด์บนโปรเจคเตอร์ขนาดมาตรฐานเพื่อทำความเข้าใจคร่าวๆ ว่าคนเคยเรียนแต่ในประมวลอย่างเขากำลังจะต้องเข้าใจเรื่องอะไร เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวทั้งเศรษฐศาสตร์และการบัญชี พิชชาเรียนปีสามไม่น่ายากเกินไปสำหรับพี่ปีสี่อย่างเขา

   "อิงลิช?" สำเนียงการพูดแบบอเมริกันกับการเรียกสินค้าที่โด่งดังในเกาะอังกฤษตลกดีในความคิด

   "เก่งนี่"

   "กลิ่นอย่างนี้มีอยู่อย่างเดียวแหละครับ"

   แก้วกระดาษถูกวางลงบนโต๊ะตัวถัดไป เข้าใจได้เพราะเก้าอี้ทั้งหมดเป็นแบบเลคเชอร์ที่ไม่เหมาะแม้กระทั่งกับการจดงาน

   "ผมว่าชาพวกนี้ไม่เห็นอร่อย"

   เห็นวิธีการทำชาราคาเป็นร้อยออกมาหนึ่งแก้วแล้วตกใจใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเทน้ำร้อนลงไปในแก้วที่มีถุงชาวางเอาไว้แล้ว

   พออ่านสไลด์ต่อไปอีกสักพักถึงรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์คนนี้กำลังทำไม่ใช่การสอนแต่ว่าเป็นการอ่านออกเสียงตัวหนังสือในจอให้ฟัง มองไปบนชีตของพิชชาก็ไม่มีร่องรอยการขีดเขียนอะไรแล้วเลยเข้าใจได้ว่าวิชานี้คงไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่

   "ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบชาสำเร็จรูปครับ มันจะมีพวกทำมือ อย่างนั้นจะหอมแล้วก็หวานกว่า"

   "เรื่องมาก"

   "ก็ดันเจอของที่ดีกว่ามาก่อนนี่ครับ"

   ตรงทั้งสองคนนั่งห่างจากโต๊ะของอาจารย์มากพอสมควร มันเลยสะดวกต่อการกระซิบกระซาบ

   "คุณย่าสอนอีก?"

   "คุณเดาเก่งแล้วนะครับราชา"

   คิดสภาพตัวเองและน้องอีกสามคนต้องมาเรียนรู้การทำอะไรอย่างนี้แล้วก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตัวเองเกิดมาในบ้านของมาเฟีย ถึงจะต้องระมัดระวังอยู่ทุกฝีเก้ามันก็ยังดีกว่าต้องมานั่งเรียนวิธีการทำชาออแกนิคเอาไว้ดื่มเอง ถ้าต้องเย็บผ้าเองด้วยนี่ครบสูตรเลยนะ

   "ก็มันมีอยู่อย่างเดียว"

   "ไว้วันไหนว่างจะลองเข้าสวนไปทำชามาให้นะครับ อาจสู้ฝีมือของคุณย่าไม่ได้แต่ก็น่าจะดีกว่าแก้วนี้"

   "ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหลังจบคุณจะเปิดร้านอาหารไทยโบราณ"

   พิชชากลั้นขำเอาไว้ ทำเป็นจดอะไรเพิ่มเติมลงไปในกระดาษทั้งที่มันก็อยู่ในสไลด์แล้ว ลายมือภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนสวยไม่ต่างจากในกระดาษสีดำที่เขาเคยได้รับ ที่น่าสนใจคือแม้เขียนบนกระดาษไร้เส้นก็ยังสามารถเรียงทุกตัวอักษรให้ตรงต่อกันไปได้ไม่มีเอียงขึ้นลง

   ขนาดเขียนตัวธรรมดายังทำให้ตรงยาก นี่ใช้ตัวอักษรโรมันแบบเอียงด้วยซ้ำไป

   "มีแล้วครับ ลองเสนอมาใหม่นะ"

   ลองคิดตามคำพูดของอีกคน พอนึกออกถึงตอบกลับไปนิ่งๆ "ร้านนั้น?"

   ร้านที่ทิวากาลเรียกว่าป่ากลางตึก อาหารไทยโบราณหลายรูปแบบ บรรยากาศที่ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในเขตเมืองหลวง ....ร้านที่ทำให้ทิวากาลได้เจอกับพิชชา

   "ใช่แล้วครับ"

   "มื้อนั้นผมไม่น่าจ่ายเองเลย"

   ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนอาจได้เห็นพิชชาหัวเราะออกมาเต็มเสียง ชายผมยาวที่มือข้างหนึ่งยังมีเฝือกอ่อนสวมคล้ายเครื่องประดับชิ้นหนึ่งเอื้อมมือไปหยิบแก้วชามาไว้ในมือ ดื่มเข้าไปนิดหน่อยก่อนวางไว้ที่เดิม ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนใช้มือข้างถนัดในการทำกิจวัตรประจำวัน

   และมันชัดเจนเมื่อเขาฉุกคิดขึ้นมาว่าลายมือบนกระดานนั้นเกิดจากการเขียนด้วยมือซ้าย

   "คุณถนัดซ้ายเหรอพิช?" หนึ่งในเหตุผลที่ทิวากาลไม่อยากปล่อยให้พิชชาอยู่คนเดียวคือมือข้างที่เจ็บนั้นเป็นมือขวา ซึ่งเป็นข้างถนัดสำหรับคนส่วนมาก

   "ผมไม่มีมือข้างที่ถนัดครับ ใช้สองข้างได้เกือบเท่ากัน"

   วิธีเล่าประกอบท่าทางด้วยการเขียนข้อความอื่นลงไปในชีตของตัวเองเพิ่มเติมคือการอธิบายที่ดีที่สุด แม้จะใช้มือข้างซ้ายเขียนตัวอักษรที่ออกมามันก็ยังสวยงามไร้ที่ติ

   "แต่ตอนเล่นเทนนิสคุณใช้มือขวา"

   "สังคมเราไม่ค่อยมีที่ยืนสำหรับคนถนัดซ้ายครับ"

   นั่นก็จริงอยู่ ทุกอย่างถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อคนส่วนมากของสังคมโดยไม่นึกถึงอีกส่วน เห็นเพื่อนบางคนที่ต้องเขียนหนังสือบนโต๊ะเลคเชอร์แล้วก็สงสาร ยังไม่รวมอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ได้รองรับการทำงานโดยใช้มืออีกข้างด้วย ถึงสมัยนี้จะเริ่มมีสินค้าสำหรับผู้ถนัดซ้ายออกมาบ้างแล้วก็เถอะ

   เสียงอาจารย์ประกาศพักเบรคสิบห้านาทีมาพร้อมเสียงจอแจของเด็กในห้องเรียน พิชชาทำตาดุพลางชี้ในกระดาษความรู้ของตัวเองที่แทบไม่มีร่องรอยการขีดเขียน

   "ถ้าอ่านตามขนาดนั้นผมว่าคุณไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้" พูดตามความรู้สึกของตัวเอง เวลาเข้าเรียนก็เพราะต้องการความรู้อื่นนอกเหนือจากที่เขียนเอาไว้ในหนังสือ ถ้ามันมีเขียนข้างในอยู่แล้วจะเสียเวลามานั่งทำไม สู้เอาไปเสาะหาความรู้เพิ่มเติมเองยังดีเสียกว่า "เมื่อเช้าผมจะได้ไม่ต้องรีบตื่นไปรับคุณด้วย"

   "ผมไม่เคยขอให้มารับนะครับ มีแต่คุณนั่นแหละที่เข้าออกบ้านผมเป็นว่าเล่น"

   "อะไร ผมทำตามคำพูดของตัวเองเคร่งครัดเลยนะ"

   "..."

   "ผมจะอยู่กับคุณไปชั่วชีวิต"

   อยากรู้เหลือเกินว่าใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังคิดถึงสิ่งใด จะเกี่ยวกับสิ่งที่เขาบอกไปก่อนหน้าหรือไม่ คำพูดเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ให้ได้ และการบอกออกไปไม่ต่างอะไรกับการพาตัวเองลงไปอยู่ในหลุมไร้ทางขึ้น ถึงอย่างนั้นทิวากาลกลับไม่รู้สึกแย่ที่ตัวเองต้องมาติดอยู่กับอีกคน

   แม้ในวันหนึ่งสัญญานั้นจะได้รับการชดใช้หมดแล้วก็ตาม

   พิชชาเป็นคนแปลก แปลกจนอยากจะรู้ว่าอะไรบ้างที่หลอมรวมให้มีตัวตนอย่างที่เห็นอยู่

   "ผมถือว่าตัวเองไม่เคยได้ยินคุณพูดแล้วกันนะครับ"

   และนี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องแปลกที่ว่า

   ครั้งหนึ่งชายผมยาวเคยพูดออกมาเอง คราวนี้เมื่อเขาพูดมันบ้างกลับปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับสิ่งที่พิชชาเคยบอกหรือไม่ ที่ว่ามันจะผูกพันไปจนวันตาย

   "แล้วกลางวันนี้จะกินอะไรดี" เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าปล่อยให้บรรยากาศมาคุต่อไป

   "ร้านที่คนน้อยหน่อยแล้วกันครับ ไม่อยากเบียดกับใคร"

   "ข้าวนะ หรืออยากกินก๋วยเตี๋ยว?"

   "อะไรก็ได้ครับ"

   กาแฟดำในมือเย็นชืดเสียแล้ว ทิวากาลยกแก้วกระดาษของตัวเองขึ้นมาดูรายละเอียดที่เขียนไว้ด้านข้าง ของเขาเองก็มีชื่อเขียนไว้ไม่ต่างจากพิชชา จะมีเสริมขึ้นมาคือสัญลักษณ์หัวใจอยู่ท้าย กี่ครั้งแล้วที่ราชาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ขอแค่ชีวิตธรรมดาไม่ต้องมีใครมายุ่งวุ่นวายไม่ได้หรือไง ทำไมคนอื่นถึงไม่เข้าใจนะ

   ยังไม่รวมไลน์จากคนแปลกหน้า เจ้าของตำแหน่งประธานรุ่นเอาบัญชีสมาชิกของเขามาจากไหนก็ไม่รู้ ขอความช่วยเหลืออีกครั้งเพราะผลงานจากคราวที่แล้วมันน่าประทับใจ ก็บอกแล้วว่าจะช่วยครั้งเดียว หนี้ที่ติดเอาไว้ยังไม่ได้คิดหาวิธีการชำระหนี้เลย นี่จะหาเรื่องก่อหนี้ใหม่อีกแล้ว

   เมื่อไร้เสียงพูดคุยความเงียบก็กลับมาอีกครั้ง พอเสียงริงโทนของพิชชาดังขึ้นมาเลยได้ยินชัดเจน

   "ครับ..."
   
   หันมามองครึ่งหน้าข้างของอีกคน ไม่ทันเห็นว่าใครเป็นคนโทรมาหา พิชชามีสไตล์การคุยที่ต่างไปตามปลายสาย ถ้าคุยกับน้าของตัวเองก็อย่างหนึ่ง แต่กับเขาก็อีกอย่าง รวมถึงตอนนี้ก็ไม่เหมือนกับสองครั้งที่บอกไว้ข้างต้น เคยได้ยินมาแล้ว...แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่

   "วันนี้ไม่ได้ครับ บ่ายมีสอบย่อย ...ต้องวันนี้เหรอครับ ...เรื่องเดิมใช่ไหมครับ ...ทราบแล้ว"

   สอบย่อยที่เขาไม่รู้ พิชชาบอกแค่ว่าวันนี้มีเรียนเช้าบ่าย ซึ่งพอดีกับตารางเรียนของตัวเอง แล้วไม่ต้องรีบกลับมาทบทวนหรือไงถึงจะออกไปทานข้าวกลางวันกับเขาน่ะ

   "คราวนี้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ...อืม ผมคง..." ช่วงท้ายพิชชาค่อยๆ หันมาทางทิวากาล ริมฝีปากที่เคยสัมผัสกันชั่วครู่ปิดสนิทเพื่อใช้ความคิด ไม่รู้ว่าเห็นอะไรบนหน้าของเขาถึงได้ขยับยิ้มออกมา "ไม่เป็นไรครับ ...ไปวันนี้แหละ ...จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ"

   รอจนอีกฝ่ายกดปุ่มวางสายถึงถามออกไป "จะโดดสอบ?"

   "เปล่าครับ"

   "แล้วจะให้ผมไปส่งที่ไหน"

   "ไม่ใช่คุณไปส่งครับ"

   "...?"

   "รบกวนไปแทนผมหน่อยนะครับ"


 
   เสียงออดบอกหมดคาบเรียนไม่ได้ยินนานจนไม่แปลกหู   

   ทิวากาลถอดแว่นกันแดดสีดำสนิทของตัวเองออก นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากไม่อาจสู้แสงแดดช่วงกลางวันได้ กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบพลางเอาไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนสมัยมัธยมของตัวเอง ที่นี่สนามหญ้ากว้างกว่าแต่ส่วนของตึกเรียนน้อยกว่า สงสัยว่าเพิ่งหมดคาบพักเที่ยงเลยไม่เห็นเด็กมัธยมปลายเดินไปมายั้วเยี้ย

   คิดถึงคำฝากฝังทีไรคิ้วก็เผลอขมวดเข้าหากัน

   ผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ดที่เคยเป็นแต่บิดาทางพฤตินัยวันนี้ต้องมาเป็นผู้ปกครองของเด็กอายุสิบหก!

   มีอย่างที่ไหนตัวเองติดสอบไปไม่ได้เลยขอให้เขาช่วยไปเป็นผู้ปกครองของเด็กชื่อภัสสร์แทน ไม่ให้ความสำคัญกับคาบเรียนเสรีของเขาเลย พิชชาไม่ได้บอกว่าสาเหตุของการเรียกพบเร่งด่วน บอกว่าเดี๋ยวไปถึงอาจารย์ก็คงเล่าให้ฟังอีกรอบเอง กลัวใจเหลือเกินว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไรแผลงๆ แบบที่คิดไม่ถึง คนพี่แสบแค่ไหนคนน้องไม่น่าจะน้อยไปกว่ากันหรอก

   เดินตามทางที่พนักงานรักษาความปลอดภัยบอกจนเจอห้องเป้าหมาย ชั้นห้าบนตึกขนาดแปดชั้นที่เขาไม่เข้าใจว่าจะสร้างให้สูงขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ตอนที่ตัวเองอยู่มัธยมปลายมันมีแค่สี่ชั้นน้องชายของเขาก็บ่นเช้าบ่นเย็น บ่นยันวันจบก็ยังไม่เลิกพูด

   "นี่ห้องพักครูชั้นมัธยมห้าใช่ไหมครับ?"

   "ใช่จ้ะ มาหาใครล่ะ"

   "มาหาครู...ครับ"

   บอกชื่อครูประจำชั้นตามที่พิชชาส่งข้อความตามมาหลังจากสตาร์ทรถแล้ว ไว้ใจขนาดไหนถึงให้เขามาแทน ถ้าเผลอตีกับเด็กต่อหน้าครูนี่มันจะน่าเชื่อถือไหม ไม่สิ เขาจะเชื่อหรือเปล่าว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนี้

   "ผู้ปกครองนายภัสสร์ใช่ไหม?"

   เด็กเวรตะไลที่ครูคนอื่นยังรู้จักคงมีวีรกรรมเยอะ

   "ครับ"

   "งั้นไปรอตรงโต๊ะนั้นนะ ครูไปส่งเอกสารเดี๋ยวกลับมา"

   ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ พาตัวเองไปอยู่ส่วนของโต๊ะรับรองตามบอก ห้องพักครูที่นี่มีการแบ่งส่วนของโต๊ะทำงานกับส่วนกลางเอาไว้ต่างหาก ปกติคงมีเอาไว้สำหรับทานอาหารกลางวันมั้ง

   พอได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศของการเรียนมัธยมทิวากาลก็อดคิดไปถึงตัวเองช่วงยังเป็นเด็กวัยรุ่นในชั้นมัธยมปลายไม่ได้ คิดว่าช่วงนั้นค่อนข้างเป็นเด็กเรียนนะ ช่วงเวลาการเป็นเด็กเลือดร้อนคือมัธยมต้น นั่นเรียกได้ว่าเป็นจุดพีคของกลุ่มเลยก็ได้ กลายเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากจนช่วยให้ชีวิตการเรียนที่เหลือสบายขึ้น

   ทิวากาลเป็นที่รัก

   และที่เกลียดชังในเวลาเดียวกัน

   สีดำเป็นผู้ชายที่ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจ

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พอเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาสอบของคนพี่เลยส่งข้อความกลับไปรายงานความคืบหน้า


   ถึงแล้ว
   ปล. ถ้าทำข้อสอบไม่ดีคุณโดนแน่



   "ผู้ปกครองภัสสร์ใช่ไหม"

   "มาแทนผู้ปกครองครับ" บอกอย่างนั้นดีกว่า ไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นผู้ปกครองของเด็กเวรอย่างนั้น "พอดีพี่ชายของเขามีธุระ ผมเลยมาแทน"

   แอบลุ้นว่าครูจะเชื่อหรือไม่ หน้าตัวเองดูก็รู้แล้วว่ายังเรียนอยู่

   "อ้อ...ค่ะ"

   “ไม่ทราบว่าภัสมีปัญหาอะไรเหรอครับ พอดีรีบๆ มาผมเลยไม่ได้ถามอะไรพี่ชายเขาเลย"

   "คุณลองดูเองดีกว่าค่ะ"

   เอกสารหลายชิ้นในซองใสเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าทิวากาล มุมขวาบนมีเขียนชื่อของเด็กเจ้าปัญหาเอาไว้หรา หยิบออกมาดูทีละแผ่น อ่านรายละเอียดบนนั้นเงียบๆ จนครบทุกแผ่น นิสัยเสียของเด็กเรียนนิติศาสตร์คือไม่ยอมให้ข้อความใดก็ตามหลุดลอดอกไปจากสายตา

   ใบแรกคือตารางเช็คชื่อของห้องเรียนหนึ่งในชั้นมัธยมห้า จุดดึงดูดความสนใจก็ตรงช่องว่างยาวเหยียดช่วงกลางของกระดาษ ชื่อของเด็กคนนั้นกับนามสกุลเหมือนกับของพี่ มันมีข้อมูลการเข้าเรียนเพียงแค่ครั้งแรก หลังจากนั้นอีกเกือบสิบครั้งว่างเปล่า

   ต่อไปคือกระดาษข้อสอบกลางภาคของวิชาชีววิทยา ฟิสิกส์ และภาษาไทยตามลำดับ ทุกแผ่นเหมือนกันตรงที่มีการเขียนแค่ข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษ ในส่วนของช่องว่างสำหรับตอบไม่มีรอยขีดใดปรากฎ

   สุดท้ายถึงเป็นใบบันทึกข้อความที่มีเขียนเอาไว้ยาวเหยียด รายงานความผิดหลายข้อหาตั้งแต่ไม่เข้าโรงเรียนแล้วโดนจับตอนอยู่ข้างนอกโดยสารวัตรนักเรียน เข้าเรียนสายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ แต่งกายผิดระเบียบ มีเหตุทะเลาะวิวาทกับนักเรียนคนอื่น ทำลายข้าวของภายในห้องเรียน ทุกความผิดที่เขียนเอาไว้ในกฎดูเหมือนว่าเด็กคนนี้กำลังจะทำให้ครบทุกข้อ

   "เข้าใจแล้วครับว่าทำไมต้องอ่านเอง"

   "ความจริงภัสสร์ต้องไม่มีสิทธิ์สอบปลายภาคแล้วค่ะ" หญิงวัยกลางคนในชุดเรียบร้อยสมกับเป็นครูหมวดภาษาไทยขยับกรอบแว่นของตัวเองขึ้น เล่าความกังวลทั้งหมดให้ผู้เป็นคนปกครองฟัง "ปกติแล้วเขาเป็นเด็กเรียนดีมาตลอด มีเทอมนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป"

   ทิวากาลค้านคนเดียวในใจว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไป

   คิดออกแค่เรื่องเดียวนั่นแหละ

   "ผู้ปกครองพอทราบไหมคะว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้"

   "ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้เป็นผู้ปกครองของภัสโดยตรง" เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำถามก่อนหน้า "แต่จะเก็บไปบอกผู้ปกครองให้นะครับ"

   "วันนี้คุณปกายไม่ว่างเหรอคะ?"

   "อ้อ...คงอย่างนั้นครับ"

   เกือบลืมไปว่าผู้ปกครองของภัสในความเข้าใจของคนอื่นคือ 'พี่กาย' ไม่ใช่พี่ชายผมยาวคนที่สั่งให้เขาช่วยมาแทน ดีนะยังไม่ได้หลุดปากบอกไปว่ามาแทนใคร

   "เป็นพี่ที่น่ารักนะคะ คอยโทรมาถามตลอดว่าน้องเป็นยังไงบ้าง"

   กระแอมไอเมื่อคิดภาพตามที่บอก ไม่อยากเรียกว่าโรคจิตแต่ก็หาคำที่ดีกว่านั้นไม่เจอ

   "ตอนเห็นประวัติว่าพ่อแม่เสียหมดแล้วก็กลัวอยู่ว่างานที่ต้องให้ผู้ปกครองมาร่วมจะมีปัญหาหรือเปล่า อย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย"

   "พวกเราพยายามดูแลให้ดีที่สุดอยู่แล้วครับ"

   นอกจากพ่อจะเสีย แม่ก็หลับนิรันดร์ไปแล้วเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ

   ไถ่ถามชีวิตในโรงเรียนของเด็กที่กำลังมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่ออีกหน่อยเพื่อความมั่นใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นเด็กเรียนดี ทำกิจกรรมบ้างเป็นบางครั้ง มีกลุ่มเพื่อนที่ไปไหนด้วยกันตลอด แล้วก็ 'ผู้ปกครอง' มักมารับบริเวณหน้าโรงเรียนเสมอ

   น่าขนลุก

   "เดี๋ยวจะรับกลับบ้านด้วยเลยไหมคะ ยังไงคาบบ่ายวันนี้เป็นชั่วโมงกิจกรรมอยู่แล้ว"

   "...ก็ได้ครับ"

   ไม่อยากจะเจอเด็กเปรตอย่างนั้นเลยให้ตาย แต่จะให้ปฏิเสธไปมันก็ดูมีพิรุธ ถ้าวันนี้ยังบ่นเรื่องกลิ่นรถของเขาอีกจะโยนถุงหอมของพี่ใส่หน้า ดูสิว่ายังจะกล้าบ่นอีกไหม

   เดินตามครูประจำชั้นไปถึงบริเวณห้องประชาสัมพันธ์ รอบข้างเริ่มมีเด็กวัยใสเดินขวักไขว่สมกับที่บอกว่าเป็นคาบกิจกรรม เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่กำลังวอร์มร่างกายอยู่ในสนามหญ้า ด้านข้างมีบางส่วนเอาเครื่องดนตรีออกมาเช็คความเรียบร้อย และยังมีกลุ่มกิจกรรมอื่นกระจายตัวอยู่ทั่ว เสียงพูดคุยจอแจจนเขาไม่อยากเชื่อว่ามันคือพื้นที่เดียวกับที่เพิ่งเหยียบเมื่อชั่วโมงก่อน

   ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ไปได้ไงนะ

   "คะ? มีคนรับออกไปแล้วเหรอคะ?"


***
   คิดถึงพี่แบล็คกับพิชชามากเลย /ปาดน้ำตา
   หายไปเกือบเดือนเพราะเกิดอุบัติเหตุกับแขนค่ะ ไม่ถึงเจ็บแบบพิชในเรื่องแต่ว่าไม่สะดวกกับการพิมพ์อะไรนานๆ จนตัดสินใจหยุดการพิมพ์ไว้ชั่วคราวค่ะ จะเปิดมาเพิ่มเติมนิดหน่อยสักพักก็จะต้องหยุดล่ะ แต่ว่าช่วงที่หยุดไปได้บทสรุปให้เรื่องพี่แบล็คได้แล้วค่ะว่าจะดำเนินเรื่องแบบไหนดี (ยิ้ม)
   ครึ่งหลังจะรีบมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ
   #พิชแบล็ค

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด