♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]  (อ่าน 53063 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
«ตอบ #90 เมื่อ02-02-2017 04:59:56 »

หัวใจพิชชา อยู่ที่ราชา  :mew1:
แต่กายกำลังห่างกัน  :mew2: :ling1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
«ตอบ #91 เมื่อ02-02-2017 14:14:28 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
«ตอบ #92 เมื่อ02-02-2017 16:47:29 »

 :3123: :L2: :L2: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
«ตอบ #93 เมื่อ06-02-2017 22:08:22 »

CH.16-1

   ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ ภาพด้านล่างก็ชัดน้อยลงไปเท่านั้น

   ตัวหมากรุกแกะสลักที่อยู่ในมือหนักจนน่าประหลาดใจ ไม้กลวงที่ควรมีความหนาแน่นไม่มากเท่าไหร่กลับต้องใช้แรงจำนวนมากในการถือมันไว้ พินิจมันจนครบทุกด้านไม่เว้นแม้แต่ส่วนของฐาน ไม่รู้ว่านิสัยช่างสังเกตในเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่

   ของบางอย่างมีคุณค่าก็ตรงความผูกพันที่ใส่ลงไป

   ไม่ได้กลับมานอนบ้านในช่วงวันหยุดมาสักพักใหญ่ พอเหยียบเข้ามาสิ่งแรกที่เกือบเผลอหลุดพูดออกไปคือการเอ่ยคำว่ากลับมาแล้ว ยังดีที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ด้วย มื้อเย็นเมื่อวานโดนแซวไปนิดหน่อยว่าไม่ค่อยเห็นหน้าจนไม่ชินที่นั่งทานหลายคน

   นับแต่วันนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดจากพิชชา และเขาเองก็ไม่เคยคิดจะกดโทรออกตรงเบอร์นั้น สิ่งที่ได้รับรู้มันยากเกินกว่าจะทำใจได้ในเวลาไม่นาน บางทีการได้กลับมายืนในที่ของตัวเองมันอาจจะช่วยให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ราชาจะได้มีเวลาในการตัดสินใจมากขึ้นหน่อย

   บางสิ่งโผล่เข้ามาตรงหางตา ทิวากาลเหลือบมองร่างของผู้เยี่ยมเยือนโดยไม่เอ่ยคำใด

   "เคาะแล้ว"

   รัตติกาลอธิบายเหตุผลสั้นๆ พลางเดินมาพิงตรงริมตู้เก็บโมเดลจำนวนมาก มองครึ่งชีวิตของตัวเองนั่งอยู่ที่เดิมไม่คิดจะขยับไปไหน

   "อืม” ตอบรับกลับไป ช่วงนี้เขาปิดการรับรู้เกือบทั้งหมด อยู่กับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

   “ยังไม่ได้กินข้าวเช้า”

   “รอกลางวันทีเดียว”

   มันเป็นวิธีการสื่อสารที่ไม่ต้องเกริ่นนำอะไรให้มากความ ทิวากาลแค่ขี้เกียจลงไปเจอน้องชายคนเล็กผู้ซึ่งพยายามเจาะเรื่องของชายผมยาวมาตั้งแต่เมื่อวาน ยังดีที่เขาสามารถอ้างเรื่องกิจกรรมด้านวิชาการที่ตัวเองช่วยเพื่อนในกลุ่มรับผิดชอบอยู่เลยเลี่ยงไปได้อีกครั้ง

   และคราวนี้เขาไม่มีทางหนีแล้ว

   "ทะเลาะกับพิชชาเหรอ?"

   "ไม่เชิง" ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หยิบหมากขึ้นมาดูในระดับสายตา "แค่ได้รู้อะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่"

   สำหรับคนที่ใช้เวลาด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาทิวากาลไม่ต้องอยากที่จะปิดบังอีก เมื่อมันถึงเวลาเหมาะสมคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่ามันออกไป

   "เล่าไหม?"

   ทิวากาลคิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มอย่างไร

   "อยากเจอแม่ไหม?"

   "แม่?"

   "อืม แม่ของพวกเรา" การเจาะจงลงไปนั้นหมายถึงผู้หญิงคนเดียว

   "เราเจอไม่ได้"

   รัตติกาลสวนกลับพลัน สิ่งที่ทั้งเธอแล้วก็พี่ชายต่างรู้กันดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น เรื่องของพ่อกับแม่จบลงไปนานแล้ว และในข้อสัญญานั้นจะไม่มีการพบเจอกันระหว่างแม่ลูกเด็ดขาด

   ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

   “แต่พี่ไปเจอมา"

   การเงียบรอคอยเรื่องเล่าเป็นสิ่งที่เธอควรทำ สีขาวมองพี่ชายของตัวเองนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ไม้แกะสลักในมือถูกยกให้อยู่ในระดับสายตาอีกครั้ง นัยน์ตาที่มักจะไม่สื่อถึงความรู้สึกใดชัดคราวนี้มีแต่รอยสับสนเต็มไปหมด

   ยังไม่เข้าใจเรื่องที่ต้องการสื่อ เรื่องของแม่สำหรับไวท์แล้วมันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ แน่นอนอยู่แล้วว่าช่วงที่ยังเป็นเด็กอยู่มันเป็นคำถามที่ไม่เคยมีใครตอบได้ จนกระทั่งโตพอที่จะรับรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วคำถามพวกนั้นเลยไม่เคยออกจากปากของเธออีก สิ่งที่ทั้งสองคนต้องท่องเอาไว้คือ ‘แม่’ เป็นคนที่ไม่มีวันได้รู้จัก

   "แม่...ของพิชชา"

   "หมายถึง"

   "คนที่เลี้ยงพิชชามา คือแม่"

   เท่านั้นครึ่งชีวิตที่เป็นสีขาวก็เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรพี่ชายบนที่สูงของตัวเองถึงอยู่ในสภาพแบบนี้

   “เขารู้เรื่องของเราอยู่แล้วใช่ไหม”

   เดินไปหาอีกหนึ่งชีวิตตรงมุมห้อง ขยับกระดานหมากรุกทำจากไม้ออกไปหน่อยเพื่อให้ตัวเองสามารถนั่งอยู่บนโต๊ะได้ ตรงนั้นพื้นที่ของฝาแฝดถูกสร้างขึ้นมาเงียบๆ ไม่มีใครสามารถเข้ามากล้ำกราย

   “ใช่”

   “เขาถึงพูดอย่างนั้นสินะ” คำพูดสุดท้ายที่ชายผมยาวพูดกับเธอเมื่อครั้งก่อน “มีบางคนห่วง...”

   จากที่คิดเอาไว้ทีแรกไวท์เข้าใจว่านั่นหมายถึงอจลา แม้จะมีความคิดแย้งขึ้นมาว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นางฟ้าผู้กลับไปอยู่ข้างบนจะมีความรู้สึกนึกคิด เธอไม่เคยนึกถึงใครอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่...และดูท่าว่าจะยังเฝ้ามองดูทั้งสองคนอยู่เสมอ

   “คนที่ให้เลือดคือพิชชา แล้วดูเหมือนว่าแม่เป็นคนสั่ง”

   เรื่องทั้งหมดคือสิ่งที่ทิวากาลนำมาต่อกันเองจากคำเล่าในหลายครั้ง ตั้งแต่บอกว่าเรื่องทั้งหมดอาจไม่ใช่อย่างที่คิด หน้าที่คือทำมันให้สำเร็จ รวมไปถึงคำที่บอกว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นมันไม่มีอะไรดีสำหรับทั้งสองคน

   ใช่ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

   ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนสร้างความสบายใจให้ไม่ต่างกับช่วงเวลาที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มาคุยเปิดใจกันอย่างนี้มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว เอาอย่างชัดเจนที่สุดก็ตั้งแต่เกิดเรื่องก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อคนหนึ่งไม่อยากพูดก็ต้องใช้วิธีติดตามเอาเอง แล้วก็ต้องไปดูแลน้องชายคนเล็กด้วยมันก็ยิ่งห่างกันเข้าไปอีก

   ถึงอย่างนั้นไม่ว่าร่างจะห่างกันแค่ไหนสายสัมพันธ์ที่เชื่อมเอาไว้มันไม่เคยจางไป

   “ที่บอกว่าต้องชดใช้สินะ”

   “แล้วกลายเป็นว่าเขานั่นแหละที่กำลังชดใช้ให้พี่”

   เรื่องน่าปวดหัว อยากจะขอเวลาคุยกับแม่ให้หมดเรื่องหมดราว นอกจากจะทำเขามีปัญหาทุกครั้งที่ต้องกรอกชื่อของมารดาลงไปในใบประวัติแล้วยังส่งคนมาสร้างความเดือดร้อนให้ไม่รู้จักจบอีก ก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไปนั้นมันไม่จริง ความคิดที่ว่าแม่เลือดเย็นจนทิ้งเขาทั้งคู่ได้ลง

   “แล้วมันไม่ดีตรงไหน”

   “อิจฉา...ล่ะมั้ง”

   จนท้ายสุดก็พูดมันออกไปได้เต็มปาก “อะไรที่อยากได้ พิชชาเป็นคนที่ได้มันไปทั้งหมด”

   เหมือนเป็นเด็กขี้อิจฉา แต่ ‘ความรัก’ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่นั้นคือสิ่งที่ทั้งสองคนไม่เคยได้สัมผัส

   เกลียดทุกครั้งที่ถึงวันแม่ เกลียดทุกครั้งที่มีวันพบผู้ปกครอง เบื่อที่จะต้องมาตอบคำถามของคนแก่กว่าว่าแม่ไปไหนทำไมไม่เคยมาพบ จะตอบว่ามีแม่ แต่ห้ามรู้จักกันใครจะเชื่อ หรือว่าจะบอกว่าไม่มีแม่ก็จะโดนคำถามคลาสสิคกลับมา จนเขาคิดว่าบอกไปว่าเสียชีวิตไปแล้วดีกว่า

   เคยคิดไปเพ้อฝันไปเรื่อย ถ้ามีแม่มันจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมารดาผู้ให้กำเนิดนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่เคยมีสักครั้งที่เรื่องราวเหล่านั้นจะมาจากคนเป็นพ่อ เหมือนอย่างที่มีคนบ่นไง คนที่รักษาสัญญาของตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อตกลงว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกัน ก็ต้องทำตามนั้น

   “แค่รู้ว่าเขายังดูเราอยู่มันก็ดีแล้วนะ”

   สำหรับรัตติกาลแล้วการที่ได้รู้อย่างนี้มันเกินพอ ฝาแฝดไม่เคยถามออกไปว่าเครื่องหอมที่ตัวเองใช้มันเป็นของยี่ห้อไหน รู้แค่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ส่งมาทุกครั้งเมื่อใกล้ถึงวันเกิด หากใช้หมดก่อนกำหนดมันก็จะมีขวดใหม่ส่งมาเสมอจนไม่ต้องปริปากบอกไป

   รู้...ว่ามันมาจากใคร

   “ไม่คิดอย่างอื่นบ้างเหรอ?”

   “ไม่” นั่นคือสิ่งที่ไวท์คิด”เรามีพ่อ มีเกรย์ มีน้องโรม”

   ยกมือขึ้นมานับสมาชิกในครอบครัว สี่คนเมื่อบวกตัวเองก็เป็นห้าชีวิตที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี้ด้วยกัน

   “ส่วนแม่ไม่มีใครเลย”

   นิ้วที่กางออกทั้งห้าเมื่อครู่กลายเป็นกำปั้น

   “เราน่าจะขอบคุณเขามากกว่าที่ช่วยอยู่กับแม่”

   อีกมุมที่ไม่เคยคิดมาก่อน ลองนึกภาพตามแล้วมันก็จริงอย่างที่พูด แม้ครอบครัวของเขามันจะไม่ครบองค์ประกอบอย่างที่ควรจะเป็น มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นมากกว่าสิ่งที่บางคนมีไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

   แม่จะเหงาบ้างไหม

   หัวใจเต้นช้าลงหลายจังหวะเมื่อคิดไปถึงใบหน้าเรียบตึง จากที่เคยเห็นเพียงแค่ในกระดาษสีคราวนี้ได้เจอในระยะประชิด ที่คิดว่าสามารถเก็บรายละเอียดเอาไว้ได้มากอยู่พอกลับมาลองนึกดูแล้วเขาก็พลาดไปหลายส่วนเหมือนกัน อย่างเช่นเสียงของแม่ที่ไม่ได้ยิน...

   น้องสาวเอื้อมมือไปแตะหลังมือของพี่ชาย ส่งสัญญาณว่ามือที่จับกันมาเสมอคราวนี้ก็ยังแน่นอยู่ไม่มีทางคลายออก “อยู่ตรงนี้นะ”

   มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ในเวลานี้



   ลักษณะพื้นที่โปรดของทิวากาลคือต้องเงียบ จะเป็นธรรมชาติหรือว่ามนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันต้องไร้เสียงรบกวน เขาไม่ชอบความวุ่นวายของผู้คนมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะโตมาในพื้นที่ปิดไร้การแทรกแซงจากทั้งมนุษย์แล้วก็เครื่องยนต์ ตอนที่เลือกมหาวิทยาลัยความห่างไกลจากตัวเมืองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลใหญ่

   เขาเลยตั้งคำถามให้ตัวเองอยู่ว่ามาทำอะไรที่นี่

   “ว่าไงมึง”

   “ไม่ต้องเตรียมตัวหรือไง?”

   โซนสำหรับสูบบุหรี่ยังไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการ ทิวากาลปล่อยควันพิษขึ้นไปบนท้องฟ้าระหว่างที่รอเพื่อนสนิทของตัวเองตอบ แท่งนิโคตินที่อยู่ระหว่างก้านนิ้วของตัวเองหายไปไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ทั้งที่จุดมันมานานพอสมควรแล้ว

   “เอาบัตรมาให้มึงนี่ไง ไม่งั้นจะเข้างานได้เหรอ” ยื่นสายรัดข้อมือสามอันไปให้ “เน็ทมันบอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง กูต้องไปเตรียมตัวแล้ว”

   “กูกลับก็ได้” ช่วงนี้อารมณ์เสียตลอด โดนประชดนิดหน่อยก็พร้อมจะทำลายทุกอย่าง “ฝากบอกเน็ทด้วยล่ะว่ากูกลับแล้ว ขี้เกียจฟังมันบ่น”

   วิธีนัดเจอหน้าของเพื่อนผู้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันยากยิ่งกว่าอะไรดี เลยต้องใช้ของฟรีเป็นตัวล่อให้ออกมาเจอกันเสียบ้าง การมีเพื่อนเป็นนักดนตรีมันก็ดีอย่างนี้แหละ บัตรเข้างานไม่ต้องเสียแถมยังได้พื้นที่วีไอพี วันก่อนผู้ชายใต้กรอบแว่นทักมาว่าอยากเที่ยวไหม น้องโรมไม่ว่างเพราะว่าต้องอ่านหนังสือสำหรับสอบเอาใบประกาศกับที่หนึ่ง ส่วนไวท์ไม่คิดจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว มันเลยเหลือแค่เขา เน็ท แล้วก็คนชวนอย่างนิชเท่านั้น

   “อะไรวะ แค่นี้งอน”

   คนไม่เคยโดนเรียกอย่างนั้นทำคิ้วขมวด “กูไม่เคยงอน”

   “ที่มึงทำอยู่ตอนนี้ไง”

   “กูแค่รำคาญ”

   “รำคาญอะไรมากมาย”

   มือกลองของวงดนตรีมีชื่อยังยืนคุยอยู่กับเพื่อนตัวเองต่อ เหลือเวลาก่อนที่จะขึ้นเวทีอีกพอสมควร ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นที่ต้องให้ความสนใจยิ่งกว่า “นึกว่าจะพาพิชชามาด้วย”

   ถามหาแต่พิชชากันอยู่ได้

   “กูเห็นว่ามึงยังไม่แสดงเลยไม่พูดนะ แต่เรื่องที่มึงเอาไปบอกน้องโรมเราต้องคุยกันหน่อย”

   ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นเลยก้มลงมองกล่องบุหรี่ในมือตัวเอง นี่เป็นมวนสุดท้ายแล้ว เขาเพิ่งซื้อไปเมื่อวันหรือสองวันที่แล้วเองนะ แล้วเพื่อนก็ไม่ได้ขออะไรด้วย ช่วงนี้ทำไมถึงหมดเร็ว
   
   “ทำไม? จะทำอะไรกู?”

   นิชเหยียดยิ้มออก ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าแล้วคงไม่ยอมทำอะไรอย่างนั้นลงไปหรอก มันน่าหงุดหงิดที่ลงทุนไปเยี่ยมเพื่อนถึงที่เพื่อได้รับคำตอบว่าไม่อยู่ห้อง แถมไม่ค่อยเจอมาสักพักใหญ่แล้วอีกต่างหาก พอตัวเองนึกว่าเจอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่มันเลยออกมาในรูปแบบนี้

   “กูบอกแล้วว่ารอก่อน”

   “เราไม่มีหนี้ค้างกัน“ คงเป็นความผิดของทิวากาลเองที่ยอมแลกกับเรื่องแค่นั้น โดนหยิบมาตอกย้ำอย่างนี้ก็แย่เหมือนกัน “กูจะทำอะไรก็ได้”

   “แต่ไม่ใช่เรื่องนี้”

   “จะเล่า หรือว่าอยากลองให้กูหาเอง”

   ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทิวากาลถึงตลกกับการขู่อย่างนั้น “มึงหาอะไรไม่เจอหรอก”

   นั่นคือหมอกที่ไม่มีใครจับต้องเอาไว้ได้

   “ขนาดนั้น?”

   ปากเหมือนจะไม่เชื่อแต่ใจต้องเก็บมาคิดแล้ว ลูกน้องของพ่อแบล็คมีอิทธิพลมากพอสำหรับการตามหาใครคนหนึ่งแบบที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมาก เขาเองเจอการพิสูจน์มากับตัว เรียกได้ว่าเรื่องไหนถ้าถึงมือของราชาแล้วมันไม่มีทางที่จะจบลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

   “ข้อมูลที่กูหาได้ยังผิดเกือบหมด คิดว่ายังไงล่ะ”

   “บ้าน่า”

   ยักไหล่ขึ้น มองไปรอบข้างแสนว่างเปล่าของตัวเอง “เรื่องจริง แต่อยากลองก็ได้นะ”

   “พูดอย่างนี้ถ้ากูยังทำอีกคงโง่” พิชชาสำหรับนิชแล้วเป็นผู้ชายที่ประหลาดจนไม่น่าแปลกใจที่อยู่กับทิวากาลได้ “แล้วทำไมวันนี้ไม่มา?”

   คนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต มันก็มีหมายความได้อย่างเดียว

   “หมดหน้าที่แล้ว”

   “หืม”

   “ไม่มีอะไรต้องชดใช้แล้ว”

   ตามความจริงคือไม่เข้าใจความหมาย นิชอ้าปากเตรียมถามกลับไปแล้วติดอยู่ตรงครึ่งหน้าด้านข้างของเพื่อนชายมันไม่ใช่สิ่งที่เคยเห็นมาก่อน ทิวากาลในห้วงความคิดคือผู้ชายที่มักแย้มยิ้มเป็นนิจ แต่เดาใจไม่เคยออกเพราะว่าสิ่งที่อยู่ข้างในมันไม่เคยเผยออกมา

   เป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ รู้ว่าตอนไหนควรปั้นหน้าเป็นมิตร หรือเมื่อไหร่ได้เวลาของหน้ากากชายไร้ความปราณี ไม่เคยมีครั้งไหนที่แบล็คเลือกเล่นผิดบทบาท ผู้ชายบนบัลลังก์รักษาตำแหน่งเอาไว้ได้เสมอ มันเลยน่าแปลกที่เห็นด้านนี้ของเขา

   ใบหน้าของคนที่สูญเสียบางสิ่งไป

   “...วันนี้งานใหญ่ แต่น่าเบื่อตรงเจอเด็กกะโหลกกะลาเยอะ” เห็นอย่างนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า

   “ไม่ตรวจบัตร?” ร้านค้าเดี๋ยวนี้ต้องเซฟตัวเองด้วยการทำตามกฎหมาย ตลกดีที่เรื่องต้องทำกลายเป็นเรื่องที่ควรทำเพื่อความอยู่รอด

   “ทำเป็นพิธีไปอย่างนั้น” ความน่าเบื่อของโลกทุนนิยมคือการที่เงินสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง นิชไม่เคยสนใจประเภทของลูกค้าข้างในร้านอยู่แล้วเพราะว่ามันไม่มีผลอะไรกับการเล่น คนที่ดูแลเรื่องทั้งหมดคือสิปป์คนเดียว พอวันก่อนที่มีคนตีกันหน้าเวทีถึงรู้ว่าอายุของผู้เข้างานบางร้านนั้นน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ “แล้วพอเขม่นกันก็ยกพวกตีข้างหน้ากู”

   “ทำใจหน่อย เล่นร้านก็อย่างนี้”

   “สิปป์ก็เอาแต่หัวเราะ ไม่รู้ชอบใจอะไรนักหนา” พูดถึงเรื่องนี้แล้วมันก็ตามมาด้วยอีกอย่างหนึ่ง “วันหนึ่งถ้าโดนลูกหลงไปล่ะจะหัวเราะใส่”

   เพื่อนที่เป็นคุณแม่ให้กับน้องชายคนเล็กมาตลอดดูท่าว่ายังไม่ยอมปล่อยหัวโขนลงง่ายๆ แบล็คยืนคุยกับเพื่อนตัวเองอยู่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่โดยเลี่ยงไม่กลับไปพูดถึงเรื่องของพิชชา จนมือกลองโดนนักร้องนำเดินมาตามถึงได้เวลาโบกมือลา

   เปิดโทรศัพท์ดูว่าเพื่อนอีกคนอยู่ที่ไหนแล้ว สายรัดในมือที่มีสามอันคงเผื่อไว้สำหรับพี่ฟิวอีกคนหนึ่ง โรคขี้หวงนี่มันติดต่อผ่านความสนิทเหมือนกับสำเนียงภาษาหรือเปล่านะ เมื่อห้องสนทนาไม่มีการเคลื่อนไหวแบล็คจึงต้องยืนรออยู่ข้างนอกต่อไป เขาไม่ได้กระหายที่จะฟังดนตรีสดขนาดนั้น เอาเข้าจริงคือก็แค่ต้องการออกมาหาอะไรทำให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านบ้างก็เท่านั้น

   ไม่อยากคิดถึง บอกตัวเองมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้

   “ฟิวแม่งช้า”

   “เน็ทต่างหาก พี่เรียกตั้งหลายรอบก็เอาแต่เปลี่ยนชุดอยู่นั่น”

   “ก็ใส่ออกมาแล้วบ่นไม่ชอบสักชุด!”

   ในที่สุดก็เจอเพื่อนสักที เน็ทมากับรุ่นพี่ที่เขาคิดว่าโคตรโชคร้ายที่ต้องกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเน็ท ไม่อยากจะเป็นพวกตัวประกอบที่คอยขัดขวางความสุขเลยขอแยกตัวออกมาหลังจากที่ให้ของไปแล้ว ดริ๊งก์ฟรีที่มาพร้อมกับสายรัดหมดไปเกือบครึ่ง ไม่มีทางทำให้ทิวากาลที่ดื่มหนักมาตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายมึนได้ เมื่อวงดนตรีกำลังจะแสดงแล้วมันคงดีกว่าถ้าเลี่ยงตัวออกมาอยู่ด้านนอก ปล่อยให้พวกต้องการปลดปล่อยเข้าไปเบียดกันด้านใน

   นั่นไม่ใช่การคลายความเครียดในแบบของทิวากาลอยู่แล้ว คนที่ชอบกำกับคนอื่นไปทั่วมีความสุขกับการได้มองผลงานของตัวเองจากหลังจอมากกว่า อย่างตอนนี้ก็มองเพื่อนตัวเองนั่งลงหลังกลองตัวใหญ่ เบ้ปากให้กับเสื้อผ้าโชว์ผิวเนื้อหลายส่วน ทีสมัยมัธยมล่ะรักนวลสงวนตัวเต็มประดา

   ทุกคนสนุกสนานไปกับเสียงดนตรี ส่องสายตาไปทั่วว่ามีตรงไหนบ้างแตกต่างออกไป

   ...

   อย่างเช่นเด็กผู้ชายตัวผอมที่กำลังยืนอยู่คนเดียวตรงนั้น

   นึกถึงที่เพื่อนเพิ่งเล่าแล้วเลยสรุปกับตัวเองว่านี่คงเป็นหนึ่งใน ‘เด็กกะโหลกกะลา’ อย่างที่บอก เด็กน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบอย่างแน่นอน เสื้อที่ใส่มาเป็นหนึ่งในตัวที่เขาเลือกเมื่อครั้งไปเลือกด้วยกัน กางเกงยีนส์ลายเฟดสวย เห็นหยิบมือถือขึ้นมาไถขึ้นลงไปมาสักพักแล้ว

   “อายุยังไม่ถึงไม่ใช่เหรอ”

   วิธีการเงยหน้าขึ้นมามองแบบไม่มีความเกรงกลัวนั่นคล้ายกับพี่ มองต่อไปยังข้อมือที่มีสร้อยข้อมือจำนวนมากประดับอยู่ จากวันนั้นภัสจะยังทำร้ายตัวเองด้วยวิธีเดิมอยู่ไหม หรือว่าเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น ยิ่งคิดต่อไปถึงแผงยาพวกนั้นแล้วมันก็น่าห่วงยิ่งกว่าเดิม

   “รู้แล้วจะถามทำไม”

   “งั้นก็เข้าไม่ได้”

   “พี่อย่ามาทำตัวเป็นวิศวกรสังคมอย่างนี้ได้ไหม”   

   หลายต่อหลายครั้งที่ทิวากาลแปลกใจกับคำที่เด็กคนนี้ใช้ อย่างเช่นคำนั้นมันเป็นคำเฉพาะสำหรับพวกที่เรียนกฎหมาย เขาเองยังเคยได้ยินแค่ไม่กี่ครั้งเอง

   “มากับใคร”

   “เพื่อน”

   “แบบนั้น?” หมายถึงสายปาร์ตี้ทั้งหลาย เขาไม่เห็นว่าคนพวกนั้นน่าคบเป็นเพื่อนตรงไหน “มีแต่พากันเหลวไหลอย่างนี้ยังเรียกว่าเพื่อนอีก”

   “เรื่องของผม พี่ไม่เกี่ยว”

   จริงอย่างที่ภัสสร์บอก นี่ไม่ใช่เรื่องของเขาเลย

   คิดอยู่แป๊บหนึ่งว่าแถวนี้มีที่ไหนเหมาะกับการคุยบ้าง เมื่อคิดออกแล้วจึงดึงตัวเด็กที่เถียงไม่ยอมหยุดให้เดินไปคุยกัน มันมีสะพายลอยอยู่ตรงทางออกที่จอดรถ เขาไม่อยากจะคุยข้างในเพราะภัสเองยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้ามาได้ หากมีการสุ่มตรวจอะไรขึ้นมาล่ะยุ่งทั้งคู่แน่

   พาขึ้นไปตรงกลางสะพาน เมื่อมั่นใจแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้มันเหมาะกับการคุยทิวากาลถึงยอมปล่อยมือ ยืนขวางเอาไว้ไม่ให้คิดหนีไปไหน จบจากเรื่องพี่ไปแล้วคราวนี้เขาคงต้องเร่งจัดการเรื่องของน้องบ้างล่ะ

   “เจอแม่แล้วเป็นไง”

   ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องปิดปากให้สนิทตามเดิม

   “ผมบอกแล้วว่าพี่ไม่รู้มันดีอยู่แล้ว”

   รอยยิ้มที่ส่งมาให้ไม่รู้ความหมาย ภัสสร์ก้มหน้าลงไปปลดล็อคโทรศัพท์ของตัวเองไม่แคร์คนตรงหน้า ทิวากาลผู้ไม่ชอบเด็กแล้วยังต้องมาเจอคำเยาะเย้ยอย่างนั้นไม่ลังเลเลยที่จะฉวยเอาเครื่องมือสื่อสารของอีกคนมาเก็บไว้เอง ถึงจะได้ยินเสียงร้องไม่พอใจตามมาก็เถอะ

   “นั่นของภัส!”

   “ตอบพี่มาก่อน” นานแล้วที่ราชาไม่ได้ใช้การต่อรองอย่างนี้ ทุกคนรู้ฤทธิ์ของเขาดีจนไม่อยากเสี่ยง “นั่นแม่ของพี่ใช่ไหม”

   ทุกอย่างไม่เคยมีคำว่าชัดเจน เมื่อข้อมูลรอบตัวไม่มีอะไรที่เชื่อถือได้สักอย่างเขาคิดไปไกลถึงขั้นว่าคนให้กำเนิดเขาอาจจะเป็นคนที่ให้กำเนิดพิชชาเช่นกัน แล้วความสัมพันธ์ที่ผ่านมาทั้งหมดมันจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมจนไม่อาจให้อภัยได้

   “แม่ของพี่ไม่ใช่แม่ของผมกับพิช” เด็กที่รู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งนานแล้วยอมบอกไปโดยดี พอคิดออกอีกเรื่องเลยบอกไปด้วย “ที่จริงถ้าแม่พี่ไม่เปลี่ยนแผนผมก็ว่าจะพาไปเจอเองอยู่หรอก”

   ต้องเลือดเย็นมากแค่ไหนถึงคิดที่จะทำอะไรอย่างนั้น

   “เกินไปไหมภัส”

   “ไม่นะ”

   ใต้ร่างและวิญญาณของเด็กชั้นมัธยมปลายคนหนึ่งควรจะเก็บอะไรเอาไว้บ้าง ทำไมนัยน์ตาที่ไม่เคยมีแววข้างในว่างเปล่าเหมือนกับเสียงที่เปล่งออกมา เขาตอบออกมาง่ายๆ เหมือนกับการตอบว่าชอบทานอาหารชนิดนี้หรือไม่

   ลมพัดเย็นสบายไม่ช่วยดับความร้อนที่อยู่ข้างใน และมันทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเด็กคนนั้นตอกย้ำคำพูดเดิมที่เคยให้ไว้

   “ผมพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเก็บพิชไว้กับผม”

   “...”

   “ไม่มีวันที่ผมจะยกพิชให้ใคร”

   บางคนยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจเพื่อแลกความเป็นนิรันดร์

   “พิชชาไม่ใช่สิ่งของที่เธอจะเอาเก็บไว้เป็นกรรมสิทธิ์”

   “เมื่อกี้พี่ถามผมแล้ว คราวนี้ฟังผมเล่าอะไรหน่อยสิ” ภัสสร์ยันตัวเองขึ้นไปนั่งบนขอบราวเหล็ก หมุนตัวเองออกไปด้านนอกที่ไม่มีอะไรรองรับเอาไว้ “พี่ไม่ต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้น ผมไม่ตกลงไปหรอก”

   “พี่ไม่เชื่ออะไรภัสทั้งนั้นแหละ” รวมถึงไม่เชื่อพี่ชายของภัสสร์เช่นกัน

   เสียงหัวเราะสมวัยมาพร้อมกับการยกมือขึ้นเสยผมของตัวเอง “ผมอยากไปจะแย่ แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลา”

   “จริงเหรอ?” ช่วงแรกที่เจอกับพิชชาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ จนอยู่ไปมากๆ แล้วก็คิดว่าตัวเองคงเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกันเรื่องนี้ไปไม่น้อยเลยล่ะ

   “อยากพิสูจน์ไหม?”

   ยิ้มท้าทายอย่างนั้นไม่ควรได้รับการสนับสนุน

   “ไม่ พี่ยังไม่อยากไปเป็นพยานกับตำรวจ”

   เสียดายที่บุหรี่หมดไปแล้ว เขาเลยต้องให้ความสนใจกับเด็กน้อยตรงหน้าทั้งหมด ทิวากาลขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเผื่อว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่นอกเหนือการควบคุมแล้วเขายังพอแก้ไขได้ทัน ถนนเส้นเล็กตอนกลางคืนมืดสนิทไร้เครื่องยนต์ขับผ่าน

   ภัสยังแกว่งเท้าไปมาไม่สนใจว่ามันอันตรายแค่ไหน เอาเถอะ เด็กที่กรีดข้อมือตัวเองได้หน้าตาเฉยไม่น่าแปลกใจถ้าจะทำอย่างอื่นเสริมด้วย

   “แฟนพี่กายท้องแล้วล่ะ”

   “...เร็วดี” ตอนอยู่ข้างในไม่เห็นเครื่องดื่มมึนเมาในมือของภัส ส่วนกลิ่นที่ติดตามตัวก็มีเพียงกลิ่นหอมจางของน้ำหอมมีชื่อชนิดหนึ่ง เลยไม่กล้าฟันธงว่าสิ่งที่ทำให้เด็กคนนี้พูดถึงชายที่เคยรักมันมาจากน้ำสีแปลกพวกนั้นหรือเป็นเพราะสิ่งอื่น

   “ถ้าภัสตายแล้วเกิดใหม่เป็นลูกพี่กายก็ดีสิ...”

   “ฝนจะตกแล้ว เข้าไปข้างในกันไหม” ลมเริ่มพัดแรงแล้วก็มีเสียงฟ้าร้องเตือน ยิ่งเสียงพึมพำนั้นมันดูไร้สติจนน่ากลัวว่าเด็กอาจคิดน้อยถึงขนาดพาตัวเองดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง

   “พี่ชื่อจริงว่าอะไรนะ”

   ไม่อยากยื้อเวลาเอาไว้เลยตอบไป “ทิวากาล”

   “กลางวัน?”

   "วิชาภาษาไทยน่าจะสอนอยู่แล้ว"

   “ตอนแรกพ่อจะให้ชื่อของพี่กับน้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเดียวกัน” ยังตีขาในอากาศอย่างนั้นอีกสองสามครั้ง ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้ามาอยู่ข้างใน

   “แต่ที่เป็นภัส ไม่ใช่พัส เพราะว่าภัสสร์แปลว่าแสงสว่าง”

   จากนั้นจึงกลับมายืนเหยียบพื้นปูน ปัดมือทั้งสองข้างไปมาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกติดมือจึงเคลื่อนตัวมาประจันหน้า

   “แต่พัสจะแปลว่าสายฝน”

   ราตรีสีดำกำลังร้องเรียกอะไรบางอย่าง


**
   ให้พี่แบล็คเจออะไรอย่างนี้บ้าง (หัวเราะ) เล่นคนอื่นเขาไว้เยอะตัวเองต้องโดนมากกว่าหลายเท่านะ
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
«ตอบ #94 เมื่อ06-02-2017 22:54:20 »


เอาใจช่วย
รักทั้งคู่ #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-1 [06.02.17] P.4
«ตอบ #95 เมื่อ07-02-2017 06:57:30 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
«ตอบ #96 เมื่อ12-02-2017 18:33:21 »

CH.16-2

   หยดน้ำที่กำลังโปรยปรายอยู่พาให้ทิวากาลย้อนนึกไปถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง คนที่เขาเรียกว่าเด็กเวรจากการกระทำหลายๆ อย่าง

   พัสสะแปลว่าฝน

   หน้าจอโทรศัพท์ค้างเอาไว้ตรงเครื่องมือแปลภาษา ทิ้งให้มันสว่างอย่างนั้นไม่กลัวเปลืองแบตเตอรี่ จนอีกพักใหญ่เสียงเครื่องสั่นกระทบกับพื้นไม้จึงร้องเตือนให้เขารีบยกมือถือขึ้นมาก่อนที่จะหล่นลงพื้นไป ไม่ต้องดูชื่อคนโทรเข้าให้เสียเวลาเพราะเวลานี้มีอยู่คนเดียว

   “สอบเป็นไงบ้าง”

   เบอร์ที่กลายเป็นบันทึกการโทรเข้ามากที่สุดของทิวากาล

   (ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไร)

   “เหลืออีกกี่วิชา ตั้งใจอ่านด้วย”

   (พี่นี่ขี้บ่นเนอะ)

   เบอร์ที่แลกกันมาแบบงงๆ แล้วฝ่ายนั้นก็ชอบโทรมาหาอยู่เรื่อย ทิวากาลปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นช่วงเวลาของเด็กขี้เหงาเมื่อเจอที่พึ่งพิงใหม่เลยไม่รู้จักการเว้นระยะห่าง

   “ก็น่าบ่นไหมล่ะ”

   (พ่อยังไม่เคยบ่นผมเท่านี้เลยนะ)

   “แล้วนี่ถึงห้องหรือยัง หรือว่าออกไปไหนต่อ”
   
   ทิวากาลไม่เคยห้ามภัสสร์ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ตราบใดที่ยังดูแลตัวเองได้เท่านั้นก็พอแล้ว คือถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาไม่ต้องร้องเรียกให้ช่วย เขาไม่มีทางยื่นมือเข้าไปหาอยู่แล้ว

   (จะถึงหน้าคอนโดแล้ว วันนี้ไม่มีใครยอมออกไปด้วย บ่นเรื่องสอบกันหมด)

   “ดีแล้ว พักร่างกายบ้าง” สมัยเขาอายุเท่านั้นยังไม่เคยทำร้ายตัวเองขนาดนี้เลย ไม่รู้จะรีบไปไหน

   (แล้ววันนี้พี่ไม่หาเรื่องไปตีเทนนิสแล้วเหรอ)

   เกลียดนักคนรู้ทัน อยู่ดีๆ ก็เบื่อทุกอย่างในชีวิตจนใช้ข้ออ้างว่าเหนื่อยจากการเล่นกีฬาในการไม่ออกไปพบปะผู้คน ถ้าภัสโทรมาก็จะคุยส่งๆ ไปไม่กี่นาทีแล้วหาเรื่องวางสาย ส่วนน้องชายคนเล็กที่หนีบเอาเกราะส่วนตัวอย่างที่หนึ่งมาด้วยเขาก็สร้างบรรยากาศมาคุให้ล่าถอยไปเอง นี่น้องโรมเริ่มเปลี่ยนแผนด้วยการเอาไวท์เข้ามาเป็นทัพหน้าล่ะ

   “ไม่ กล้ามเนื้อพังหมดแล้ว”

   (พี่ฟังผมด่าข้อสอบหน่อ ...ขอบคุณครับ ...หืม ...อะไรนะ)
   
   ทิวากาลเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพี่ชายแสนดีแล้วล่ะ มือหยิบปากกาเตรียมเขียนใจความสำคัญลงในกระดาษ ค้างไว้ตรงจุดเดิมเมื่อเสียงปลายสายแปลกไป จากการบ่นกระปอดกระแปดมันเป็นการทักทายพนักงานต้อนรับหน้าตึกธรรมดาอย่างที่ได้ยินมาแล้วหลายครั้ง ส่วนท้ายที่แห้งผากต่างหากทำให้ใจไม่ดี

   มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นตรงนั้น...

   “ภัส?”

   (พี่...พี่กาย...อยู่ในห้อง)

   “ในห้อง?”   

   (ทำไงดี...เขาบอกว่าพี่กายอยู่ข้างใน)

   “ห้ามขึ้นไปเด็ดขาด เข้าใจไหมภัส”

   (พี่กายมาทำไม...)

   คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วแน่ มือข้างหนึ่งรีบคว้าของจำเป็นทั้งหมดไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างยังเกลี้ยกล่อมให้เด็กคนนั้นอย่าเพิ่งคิดวู่วามทำอะไรลงไป มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องยอมรับให้ได้ว่าคนที่ตัวเองรักยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว แล้วไม่ใช่ในเคสที่ต่างคนต่างไปโดยไม่มีพันธะต่อกัน มันยังมีโซ่เส้นเล็กคอยดึงเอาไว้ไม่ให้หายไปไหนได้

   “ยังไม่ต้องคิด ฟังพี่นะ ห้ามขึ้นไป”

   (...พี่กาย ...พี่กายมา...)

   “ภัส!"

   สัญญาณขาดไปไม่อาจต่อให้ติดได้ใหม่ เมื่อลองโทรกลับไปอีกครั้งมันมีเพียงเสียงของหญิงสาวแผนกต้อนรับ หัวเสียจนต้องสบถออกมาผิดวิสัย ทิวากาลไม่ชอบสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และตอนนี้เขาก็รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางยอมทำตามที่เขาแนะนำไปแน่นอน

   ฝนตกพรำจนต้องเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการขับรถจักรยานยนต์ ยอมใช้รถอีโค่คาร์ของตัวเองทั้งที่มันอาจพาเขาไปถึงจุดหมายได้ช้ากว่าหลายเท่าตัว แล้วจากคอนโดที่มหาวิทยาลัยไปบ้านของเด็กคนนั้นมันทางคนละเส้น แบล็คได้แต่ภาวนาว่าเขาสามารถพาตัวเองไปถึงตรงนั้นทันก่อนที่จะมีเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น

   พิชชา...ต้องโทรบอกพิช

   “...”

   มือข้างซ้ายที่ถือเครื่องสี่เหลี่ยมเอาไว้อยู่ชะงักไป เมื่อครั้งยังติดต่อกันเป็นประจำเบอร์ของพิชชากลายเป็นรายชื่อเดียวที่อยู่ตรงรายการโปรด ไม่เคยคิดจะเอาออกเพราะว่าต่อให้ลบการบันทึกไปเขาก็ยังจำเลขทั้งสิบหลักได้อยู่ดี

   สุดท้ายแล้วก็ได้แต่กดปุ่มพักหน้าจอไว้ตามเดิม

   กว่าจะไปถึงที่หมายได้ก็เป็นชั่วโมง ตลอดทางลองติดต่อกลับไปหลายครั้งก็ไม่เป็นผล เด็กคนนั้นมุทะลุจะตายไป แล้วมันก็มีอย่างเดียวที่เขาคิดออก

   มาหลายครั้งจนไม่มีปัญหาในการผ่านประตูหน้า ห้องที่อยู่ชั้นบนสุดต้องมีการ์ดสำหรับการเข้า เพิ่งมานึกเรื่องนั้นได้ก็ตอนขึ้นลิฟต์ไปแล้ว เอายังไงดีล่ะ ถ้าต้องบุกเข้าไปนี่เขามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องบุกรุกเลยนะ เคยเป็นแต่คนเรียนจะได้มีความผิดบ้างก็คราวนี้ล่ะ

   ผิดจากที่คิดก็ตรงประตูห้องปิดไม่สนิท มันพร้อมให้เขาเข้าไปด้านในได้โดยไม่ต้องขออนุญาตอีก อาจต้องไปค้นฎีกาเพิ่มขึ้นหน่อยว่าการทำอย่างนี้ยังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการกระทำความผิดอยู่หรือเปล่า บอกเลยว่าพี่น้องคู่นี้เกิดมาเพื่อจองล้างจองผลาญเขาชัดๆ!

   ค่อยๆ แง้มบานประตูออกจนเห็นทางเดินไปยังห้องนั่งเล่น นอกจากรองเท้านักเรียนที่ถอดไว้ไม่เรียบร้อยตรงหน้าทางเข้าแล้วมันไม่มีคู่อื่นอีก ใจชื้นได้นิดหน่อยว่าพี่กายอาจไปแล้วภัสเลยกลับขึ้นห้อง

   ...หรือว่าเจอกันแล้ว

   สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือห้องในสภาพพังพินาศ เพราะเคยมาแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ พื้นที่สี่เหลี่ยมกลายเป็นสนามสู้รบทางอารมณ์ที่หลงเหลือเอาไว้เพียงซากความเสียหาย ทิวากาลก้าวเข้าไปด้านในทีละก้าวจนพบภัสสร์นั่งนิ่งอยู่คนเดียวตรงริมห้อง

   มันเป็นภาพสะเทือนอารมณ์ไม่น้อย เด็กตัวผอมกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ยที่ระบุต้นเหตุไม่ได้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงตอนที่เห็นว่าในห้องนี้ยังมีใครอื่นอยู่อีก ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงไม่แสดงออกถึงอาการใด แบล็คย่อตัวลงไปใกล้โดยเว้นระยะห่างเอาไว้ให้อีกคนรู้สึกปลอดภัย

   "ไปแล้วใช่ไหม"

   "อือ...ไปแล้ว" น้ำเสียงแหบแห้งไร้โทน ไม่ต่างจากสีหน้าที่แสดงออกมา

   "อยากอยู่อย่างนี้ก่อนไหม พี่จะได้ไปเอาน้ำมาให้"

   เวลานี้ไม่ควรจะเข้าไปคาดคั้นอะไร ภัสสร์ควรได้อยู่กับตัวเองโดยทิวากาลจะคอยดูอยู่ห่างๆ เผื่อไว้สำหรับช่วงอารมณ์ไม่คงที่ เขายังไม่อยากเป็นพยานบุคคลอย่างที่บอกไปแล้ว

   "...ไม่เป็นไร"

   "งั้นพี่อยู่ในห้องนอนนะ"

   "อยู่ตรงนี้ก็ได้"

   ช่วงที่น้องของตัวเองอายุเท่านี้คงแข็งแกร่งได้ไม่เท่า ภัสสร์เหยียดขาของตัวเองออกจนตึง ขยับช่วงคอไปมาไล่ความเมื่อยล้า "พี่มาช้าจัง"

   "ฝนตก" นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่หวิดพาจดหมายเตือนเรื่องขับรถเร็วกว่ากำหนดร่อนไปถึงบ้านด้วย "แสดงว่าพี่กายกลับไปนานแล้วล่ะสิ"

   จากการติดต่อครั้งสุดท้ายมันกินเวลาไปพอสมควร ดูจากอาการสงบของภัสแล้วพี่กายน่าจะออกไปสักพักใหญ่แล้ว เด็กมัธยมปลายผงกหัวขึ้นลง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปไม่มีหยุด

   "พอวางสายพี่ไปก็ขึ้นมาเลย เจอพี่กายมาคนเดียว"

   ทิวากาลไม่เข้าใจหลานคนโตของบ้าน ทำไมต้องยึดติดอยู่กับเด็กที่ไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนี้ด้วย

   ถึงบอกไงว่าเขากลัวความรัก

   ...กลัวจนไม่ปรารถนาเข้าไปทำความรู้จัก

   "คุยเรื่องอะไรบ้างล่ะ"

   "ก็เรื่องเรียน พี่กายดีใจที่ภัสเข้าสอบ"

   "อ่าฮะ" น่าจะคุยกันอีกนานเลยเปลี่ยนไปนั่งขัดสมาธิแทน ปัดหนังสือสารคดีที่เต็มไปด้วยรอยยับออกไปจากรัศมีของตัวเอง ห้องที่เคยรกมากอยู่แล้วคราวนี้คงได้เวลาปฏิวัติใหม่ทั้งหมด ส่วนของห้องนอนอาจยังใช้ได้แต่ว่าห้องนั่งเล่นนี่บอกได้เลยว่าถ้าเรียกแม่บ้านมาก็ต้องให้ค่าแรงเพิ่ม

   “แล้วก็ตกลงอะไรกันไม่ได้นิดหน่อย”

   “เรื่องไหน”

   "พี่เคยคุยเรื่องของด้ายดำกับพิชไหม"

   ตรงนี้เหมือนพี่ คุยเรื่องหนึ่งอยู่แล้วโยงเข้าเรื่องอื่นได้แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย "เคยนะ"

   ด้ายสีดำที่บอกว่าผูก 'วิญญาณ' ของคนสองคนเอาไว้

   "พี่เชื่อหรือเปล่า"

   "ไม่"

   ตอบด้วยความสัตย์จริง สิ่งที่เป็นแค่เรื่องเล่าอย่างนั้นไม่มีคุณค่าอะไร จะให้มากที่สุดแค่ฐานะนิทานก่อนนอนเท่านั้นแหละ

   "งั้นถ้าผมขอพิชไปก็ได้งั้นสิ"

   "หมายถึง?"

   "ผมขอพิชนะ"

   "เรื่องอย่างนั้นมาถามพี่ได้ยังไง"

   ในเมื่อพิชชาไม่ใช่สิ่งของ และมนุษย์ไม่มีทางตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร

   "เอาเป็นว่าพี่ให้แล้ว"

   "ภัสสร์" น่าเบื่อตรงที่อยากเรียกชื่อจริงมันก็ดันเหมือนชื่อเล่นเสียอีก ความตั้งใจที่จะให้มันเป็นเรื่องซีเรียสเลยลดระดับไปเลย "เรื่องนี้มันอยู่ที่พิช"

   แม้สิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเรียกได้ว่าหมดความสัมพันธ์ไปแล้ว เขาก็หวังเอาไว้ในส่วนลึกว่าสักวันทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม

   "พิชเลือกไม่ได้สักหน่อย" เสียงเล่าหนึ่งเมื่อครั้งนานมาแล้วแว่วเข้ามาในหู คำที่บอกว่าเรื่องบางเรื่องนั้นก็ไม่อาจเลือกเองได้

   ทิวากาลว่าตัวเองแสดงออกชัดว่าไม่พอใจกับการขออย่างนั้น ทำเหมือนกับว่าพี่ชายของตัวเองเป็นแค่ตุ๊กตาไร้ชีวิตที่อยากจะโยนไปที่ไหนก็ได้ตามใจ สุดท้ายพออยากจะเล่นถึงออกตามหา แล้วถ้าไม่เจอก็ร้องโวยวายแทบเป็นแทบตาย

   “แล้วถ้าพี่บอกว่าไม่ให้ล่ะ”

   “ก็เอาพิชไปจากผมให้ได้สิ”

   "..."

   ใบหน้าเรียบเย็นชากับคำหยันนั้นหยุดทุกเสียงให้ค้างอยู่แค่ในลำคอ มันเป็นคำท้าที่ผู้เสนอมีความมั่นใจจนล้นว่าตนเองจะไม่ใช่ผู้ปราชัย ทำไมภัสสร์ถึงเชื่อมั่นได้ขนาดนั้นว่าพี่ชายของตนจะไม่มีทางหนีพ้น

   ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน

   นั่นเป็น ‘หน้าที่’ ในการเป็นพี่ของพิชชาใช่ไหม

   "ผมเป็นเด็กเห็นแก่ตัวเนอะ"

   "รู้ตัวนี่"

   "แล้วก็คุยเรื่องลูกของพี่กายด้วยล่ะ"

   นั่นใช่เรื่องที่ควรพูดกันหรือไง สีดำเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้ข้างใน ยังคงอยู่ในโหมดของผู้ฟังที่ดีไม่เข้าไปขัดจนกว่าอีกฝ่ายจะเล่าจบ

   “พี่กายบอกว่าอยากให้ตั้งชื่อลูกด้วย"

   นี่เป็นตลกร้ายที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา

   "ภัสเลยบอกไปว่าคิดออกอยู่ชื่อเดียว" การเล่าสะดุดไปเมื่อสายตาของเด็กคนนั้นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ยากที่จะบอกว่าส่วนของวิญญาณนั้นลอยไปที่แห่งใด

   “ถึงต่อจากนี้ไปภัสจะไม่ได้เจอพี่กายอีกแล้วก็ตาม ...แต่เด็กที่จะเกิดมาต้องชื่อว่าพัส"

   ความสัมพันธ์ที่น่าประหลาด ยิ่งรักมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกลียดได้มากเท่านั้น

   "คิดว่าน่าจะอยู่ไม่ถึงวันที่เด็กเกิด ถ้ายังไงฝากพี่ตามให้หน่อยนะ ถ้าเด็กคนนั้นใช้ชื่ออื่น...ช่วยเตือนพี่กายด้วยว่าคำพูดมันผูกพัน"

   อย่างน้อยที่สุดพี่น้องสองคนนี้ก็เชื่อในเรื่องคำพูดเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องสนใจคำอื่นก่อน

   "แล้วจะไปไหน?"

   คำถามไม่ได้รับคำตอบ เด็กในชุดนักเรียนขยับตัวเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นว่าแบล็คไม่ต่อต้านอะไรจึงเปลี่ยนขึ้นไปคร่อมจนชิด คนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยไม่เอ่ยคำเตือนใด แม้สองร่างจะสัมผัสกันมากกว่าครั้งที่ได้ใกล้กับพิชชาก็ตามที

   ราวกับที่ดำรงอยู่มีเพียงร่างกายหากไร้วิญญาณ

   "พี่จูบภัสหน่อยได้ไหม"

   การร้องขอไม่ต่างกับเวลาเพื่อนขอบุหรี่

   "บอกเหตุผลมาก่อน"

   แขนทั้งสองข้างยังยันเอาไว้ข้างตัว ไม่คิดจะเพิ่มจุดแนบชิดของร่างกาย จะว่าแปลกใจมันก็มีอยู่นิดหน่อยแหละ โดนรุกอย่างนี้มันก็ต้องตกใจบ้าง ที่ใช้คำว่าบ้างส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่กำลังเบียดชิดอยู่ตอนนี้เป็นเพียงเด็กวัยว้าวุ่นในสายตา อีกอย่างคือพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาในหัวคงมีแต่ความคิดอยากประชดชีวิต

   "ได้ไหม..." ขยับตัวเข้ามาใกล้จนการมีอยู่ของเสื้อผ้าไม่มีความหมาย "ครั้งเดียว"

   คนที่รักความเงียบคราวนี้อยากให้มีใครก็ได้โพล่งเข้ามาขัดจังหวะ ราชาสีดำเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองสีหน้าของอีกคน ใบหน้าเกือบชิดลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีดำสนิทเมื่ออยู่ในที่ร่มเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายปะปนกัน ทิวากาลหวังว่ามันจะช่วยให้คำใบ้สักอย่าง และเขาหามันไม่เจอ

   ไม่อยากยอมรับแต่ก็ทำไปแล้ว จัดการเทียบทุกสัดส่วนกับคนเป็นพี่ ตั้งแต่เส้นผมไล่ยาวลงมาจนถึงส่วนของไหปลาร้า ทุกอย่างของคนสายเลือดเดียวกันไม่มีความคล้าย แม้กระทั่งกลิ่นน้ำหอมแบรนด์นั่นก็ยังดูไม่เหมาะในบางความรู้สึก

   "บอกมา"

   "ภัสอยากจะรู้ว่ามันเหมือนกับจูบของพี่กายหรือเปล่า"

   แล้วเขามีทางเลือกไหมล่ะ

   "...ไม่ใช้ลิ้นนะ"

   ริมฝีปากแนบกันสนิทหลังจากให้คำอนุญาต ปล่อยให้เด็กชั้นมัธยมที่ขอการสัมผัสทางกายได้ทำอย่างต้องการ วิธีการจูบแบบเด็กน้อยเป็นการเซฟตัวเองที่ดีที่สุด เขาไม่อยากจะพาตัวเองลงไปถลำในวังวนของพี่น้องคู่นี้มากกว่านี้

   ตนเองคงปิดระบบการทำงานของประสาทสัมผัสแล้วจริงเลยไม่มีความรู้สึกใดกับสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ขยับริมฝีปากตามบ้างในบางทีเพื่อให้มันเหมาะกับองศาการเคลื่อนไหว นอกจากนั้นแล้วมันก็มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งให้ทำตาม

   เมื่อการสัมผัสไร้ความหมายจบลง ทิวากาลจึงลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง

   "..."

   "แย่จังเลยพี่แบล็ค" ภัสไม่เคยเรียกเขาด้วยชื่อเล่นจนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยแนะนำตัวไป "มันไม่เหมือนกับจูบลาของพี่กายเลย..."

   เคลื่อนมือขึ้นไปแทรกตามกลุ่มผม ค่อยๆ ดันมันลงมาให้พอดีกับช่วงไหล่ หวังว่ามันจะเป็นผ้าเช็ดน้ำตาผืนใหญ่พอสำหรับเด็กอายุสิบหกที่ต้องแบกรับความสับสนจำนวนมหาศาลเอาไว้

   ไม่มีเสียงสะอื้นไห้ แม้ไหล่จะเปียกชื้นเป็นวงกว้างเขาก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน รวมถึงไม่ปริปากพูดออกมาแม้แต่หนึ่งคำ ตอนนี้มันเป็นเวลาของการปลดปล่อยทุกอย่าง สิ่งที่ภัสสร์แบกรับเอาไว้บนบ่ามันถึงเวลาที่ต้องปลดออกแล้ว ยิ่งน้ำหนักมันเพิ่มมากแล้วยังดันทุรังเดินต่อเมื่อถึงจุดแตกหักมันก็พร้อมที่จะหล่นลงมาทับโดยไม่มีคำเตือน

   ใช้ช่วงเวลานั้นเก็บทุกรายละเอียดที่หลุดออกมาให้ได้มากที่สุด ทั้งเรื่องส่วนตัวแล้วก็ภายในครอบครัว อย่างเช่นเรื่องที่พี่กายมาเตือนว่าการย้ายออกจากบ้านของพิชชานั้นมันสร้างความไม่พอใจให้คนอื่นไม่น้อย ยิ่งเลือกวิธีการทุบทิ้งแล้วมันก็รุนแรงจนรับไม่ได้ หลายคนที่เคยหลีกห่างเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนใจเข้าพวกกับคนอื่นในการต่อต้านการตัดสินใจของทายาทผู้กุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้

   ขยับข้อมือมาดูเวลาเพื่อพบว่านั่งอยู่อย่างนี้มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้าปลอดโปร่งข้างนอกกลายเป็นเมฆหมอกทึบ คืนไร้พระจันทร์หลังสายฝนซาของห้องที่บนชั้นสูงสุดสวยงามและมืดมนไปพร้อมกัน สิ่งที่เขาชอบที่สุดสำหรับห้องนี้คือการที่ห้องนั่งเล่นติดกระจกบานใหญ่เอาไว้จนสามารถมองออกไปข้างนอกได้กว้างหลายร้อยองศา

   ความมืดนี้จะเรียกว่าสีดำสนิทได้หรือยัง?

   เมื่อร่างนั้นหยุดร้องไห้ก็ถึงเวลาของการพาไปพักผ่อน ส่วนสูงรวมถึงน้ำหนักของเด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยสะดวกต่อการอุ้ม วางร่างที่เข้าสู่นิทราไปแล้วลงบนเตียงขนาดใหญ่ คราบน้ำตายังติดอยู่เต็มแก้มบอกเขาว่าควรจะทำความสะอาดเสียหน่อย หรือบางทีอาจต้องช่วยเช็ดตัวให้ด้วย เล่นทำลายล้างห้องไปเสียขนาดนั้นเหงื่อคงออกเยอะอยู่

   คว้าผ้าขนหนูผืนแรกบนราวมาไว้ในมือ เปิดก๊อกน้ำเตรียมชุบให้มันหมาดเหมาะกับการเช็ดให้ทั่วทั้งใบหน้า ส่วนอื่นอาจต้องกลับมาทำความสะอาดอีกรอบ

   น้ำเย็นไม่อาจปลุกให้อีกคนฟื้นสติขึ้นได้ มีเพียงเสียงครางแบบคนรำคาญเต็มทีก็เท่านั้น เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าบนใบหน้าที่เคยเปื้อนน้ำตามันสะอาดสมใจแล้วถึงลุกขึ้นมาเตรียมกลับไปล้างผ้าอีกครั้ง ลองคำนวณดูแล้วคงต้องเดินหลายรอบกว่าจะทำความสะอาดเสร็จทั้งร่าง

   กลับเข้ามาข้างในห้องน้ำจึงเห็นว่าถัดจากผ้าขนหนูที่หยิบมาเมื่อครู่มันคือผืนเดียวกับที่เคยหยิบส่งๆ ให้พิชชาใช้เมื่อครั้งห้ามเลือด ที่รู้ว่ามันเป็นผืนนั้นก็เพราะเลือดฝังลึกจนเห็นเป็นรอยจางอยู่ตรงมุมหนึ่งของผ้า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับมาจนต้องกวักน้ำเข้าหน้าตัวเอง การสาบานด้วยเลือดที่เขาไม่อาจรักษามันเอาไว้ได้

   ราชาผิดคำสาบาน

   เชิงกรานร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่กล้าแตะต้องรอยนูนแห่งเดียวของตัวเอง ต้องรีบคลายความคิดฟุ้งซ่านด้วยการเดินออกไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว จัดการถอดเสื้อนักเรียนออกแล้วรีบเช็ดตามตัวเหมือนกับตอนทำให้น้องชายคนเล็ก จากนั้นก็สวมเสื้อตัวใหม่เข้าไปแทนที่ จัดแจงเรื่องเครื่องห่มให้เรียบร้อยก่อนเดินไปหาสวิทช์เปิดเครื่องปรับอากาศ ตบท้ายด้วยการเปิดไฟหรี่เอาไว้ไม่ให้รบกวนการนอนหลับ

   ถอยห่างออกมาดูผลงานของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมารับบทพี่ใหญ่ผู้ทำได้ทุกอย่างอีกครั้ง ถึงยังต้องเป็นแผนกปลอบใจพี่น้องอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขั้นมาห่มผ้าให้ก่อนเข้านอนอย่างรอบนี้ เป็นการบริการในระดับวีไอพีจริงๆ

   หมุนตัวไปดูผลงานชิ้นเอกของจิตรกรตัวผอม แผนที่โลกตรงฝาผนังยังว่างเปล่าไร้การแต่งแต้มลงไปเพิ่มเติม จำได้ดีว่าความฝันอย่างหนึ่งของภัสคือการได้เดินทางไปรอบโลก มันอาจจะดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าตื่นตาเท่าไหร่ แต่สำหรับทิวากาลแล้วการค้นพบว่าตัวเองต้องการอะไรแค่นั้นมันก็ยิ่งใหญ่มากพอ

   "...พี่..."

   ตวัดหน้าไปทางต้นเสียง ร่างใต้ผ้าห่มผืนหนาขยับเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงต่อ

   "...ไว้เจอ...กัน...ใหม่นะ"

   การได้ยินอย่างนั้นมันสะเทือนใจไม่น้อย เรื่องของลูกพี่ลูกน้องที่มีความสัมพันธ์เกินเลยไปกว่าที่ควรจะเป็นมันยากเกินกว่าใครจะรับได้ แล้วยังต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่เคยเป็นของตัวเองกำลังกลายเป็นของคนอื่นไปโดยไม่อาจประกาศความเป็นเจ้าของได้อีก ภัสสร์รู้ตำแหน่งตัวเอง เหมือนกับที่ปกายก็ตระหนักดีเช่นกัน จากที่จับใจความได้การเจอกันครั้งนี้มันจะปิดฉากทุกอย่างให้สมบูรณ์ หลังจากนี้มันจะมีเพียงพี่ชายที่เป็นคนเลี้ยงน้องชายมากับมือเท่านั้น

   จะไม่มีฐานะอื่นอีกแล้ว

   สุดท้ายแล้วภัสสร์ก็เป็นเด็กอยู่ดี ยังเปราะบางและพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ นี่อาจเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายว่าเครื่องแก้วใบนี้จะยังคงสภาพอยู่ได้หรือไม่ หรือว่ามันถึงเวลาที่ต้องไป...

   รอจนมั่นใจว่านอกจากละเมอออกมาแล้วมันจะไม่มีอย่างอื่นอีก เดินออกมายังส่วนของอดีตสนามสงครามไร้คำบรรยายเพิ่มเติม ก่อนที่ภัสจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าข้างนอกควรมีพื้นที่สำหรับการเดินไม่ใช่ที่อยู่ของขยะล้านแปดพวกนี้

vสวมวิญญาณพ่อบ้านเก็บกวาดของที่แน่ใจได้ว่ามันไม่อาจนำกลับมาใช้ได้อีก ส่วนของที่ตกจากชั้นก็แค่วางกลับขึ้นไปให้เหมือนเดิม ภัสไม่ได้ทะเลาะอะไรรุนแรงกับพี่กาย ทั้งหมดคือวิธีการสงบสติอารมณ์ของคนคนเดียวเท่านั้น สงสารหนังสือเล่มใหญ่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

   "ไม่เคยมีใครสอนว่าการทำลายข้าวของมันเป็นไม่ดีหรือไง"

   เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย วางเงินไว้สำหรับอาหารเช้าของพรุ่งนี้ ไม่สิ เช้าวันนี้อีกหน่อย เอากระดาษที่หยิบได้แถวนั้นมาเขียนย้ำว่าถ้าอยากให้มาเมื่อไหร่ก็รีบโทรหา ชีวิตคนไม่รีบจบว่างอยู่แล้ว

   ทำจนครบทุกอย่างแล้วเลยเดินออกจากห้องเตรียมกลับบ้านบ้าง ไม่ลืมที่จะหยิบเอาแผงยานอนหลับติดมือมาด้วย มือกดปุ่มคำสั่งลงตรงหน้า รอจนได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ทำงานตามคำสั่ง

   "..."

   เหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้คือตอนที่ลิฟต์เปิดออก มันมีผู้โดยสารอยู่ข้างใน

   ผู้ชายผมยาวที่ดึงดูดสายตาเขาเสมอ

   สวมบทบาทของน้องสาวอย่างรวดเร็ว เก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ข้างในจนลึกที่สุด ไม่อยากให้กลายเป็นพื้นที่ไร้อากาศเลยบอกเล่าเรื่องไปนิดหน่อย

   "...หลับไปแล้ว ดูแลต่อด้วยแล้วกัน"

   รอให้คนข้างในเดินออกมาก่อนถึงเข้าไปแทนที่ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งคำขอบคุณตอนที่เอื้อมมือไปเปลี่ยนคำสั่งของลิฟต์ สายตามองตรงไปยังปุ่มตัวเลขเรียงรายไม่ยอมเหลือบไปมองส่วนอื่น

   กล่องสี่เหลี่ยมเคลื่อนตัวลงมาช้าๆ ทิวากาลเดินไปยืนตรงบริเวณเดียวกับที่เห็นอีกคนยืนอยู่ก่อนสวนกัน หลับตาลงปล่อยให้ร่างกายได้ดื่มด่ำอยู่กับกลิ่นน้ำหอมแทนกายใครคนนั้น

   มันเจือจางในความรู้สึก

   หากชัดเจนในความทรงจำ


***
   ตั้งแต่เริ่มแต่งมา ไม่มีเรื่องไหนเหนื่อยเท่าพี่แบล็คได้แล้วค่ะ (ร้องไห้)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
«ตอบ #97 เมื่อ12-02-2017 20:00:38 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.16-2 [12.02.17] P.4
«ตอบ #98 เมื่อ12-02-2017 20:38:16 »

 :3123: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
«ตอบ #99 เมื่อ17-02-2017 21:13:16 »

CH.17-1

   "แบล็ค ช่วยอีกหน่อยเถอะ"

   เมื่อไหร่คนอื่นจะเข้าใจว่าการบอกว่าช่วยครั้งเดียวมันคือไม่มีครั้งอื่นตามมานะ

   "หนี้คราวที่แล้วยังไม่ได้ชำระเลยนะ"
   
   พอเป็นเด็กกฎหมายนานวันเข้าก็มักจะพูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ศัพท์เฉพาะทางจะหลุดออกมาระหว่างการสนทนา มันก็สนุกดีเวลาใช้คำพวกนี้กับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่ไม่ควรเอาไปใช้กับคนข้างนอกเด็ดขาดเพราะจะกลายเป็นคนเพี้ยนไปเลย

   "ก็รวมรอบนี้แล้วชำระคราวเดียวไง"

   "ไม่"

   ยกชาดำในมือตัวเองขึ้นดื่ม ไม่รู้ว่าใส่สารอะไรเอาไว้พอกลับไปสั่งกาแฟดำแล้วมันไม่ถูกปากจนต้องตายรังที่เครื่องดื่มจากใบชาอย่างนี้ วันนี้เป็นการออกมาทำงานนอกสถานที่ของกลุ่ม นัดเอาไว้เก้าโมงจนป่านนี้เลยเวลานัดกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วสมาชิกยังมาไม่ถึงครึ่ง

   วิชาบังคับแสนน่าเบื่อของเด็กชั้นปีสุดท้าย เนื้อหาวิชาไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับตัวชื่อวิชาเท่าไหร่ มีการออกสำรวจปัญหาด้านกฎหมายของคนในสังคมแล้วลงไปช่วยเหลือ คิดนู่นนี่กว่าจะลงตัวได้ก็นาน ประโยชน์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม แค่ตัววิชาก็น่ารำคาญใจแล้วทำไมเขาต้องมาเจอปัญหาคนร่วมงานที่ไม่รักษาเวลาด้วยล่ะ นี่มันไม่แฟร์เลยว่าอย่างนั้นไหม

   "แค่แชร์ให้หน่อยก็พอ"

   กลุ่มของทิวากาลมีนิสัยการเล่นโซเชียลที่ค่อนข้างคล้ายกันคือไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายมากนัก อย่างเขาเองจะเปิดพับบลิคเอาไว้แค่ในส่วนของอินสตาแกรมเท่านั้น อย่างอื่นบอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันจริงไม่มีทางได้เข้าไป แล้วถึงจะเข้าไปได้ก็ไม่เจออะไรอยู่ดีนั่นแหละ

   "เพื่อนไม่เยอะ ไม่น่าช่วยอะไรได้" เลี่ยงการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงให้ได้มากที่สุด แค่ครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้ว "เมื่อไหร่คนอื่นจะมาสักที ถ้างานไม่ถึงไหนเดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีกรอบ"

   ก็ว่าตัวเองไม่ได้ใช้น้ำเสียงหงุดหงิดอะไรทำไมเพื่อนที่มาแล้วถึงพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด จากนั้นไม่กี่วินาทีสมาร์ทโฟนของตัวเองก็เด้งขึ้นมาว่ามีคนตามสมาชิกเป็นพรวน

   เห็นอย่างนั้นเลยคุมระดับอารมณ์ของตัวเองให้ลดลงมาอีกหน่อย ไม่อยากกลายเป็นตัวเหวี่ยงตอนนี้ ตามความตั้งใจเดิมทิวากาลไม่อยากจะลงชุมชนหรอก ติดอยู่ตรงเป็นคนติดต่อให้ตั้งแต่แรกเลยจำเป็นต้องมาด้วย พอรู้จักกันแล้วหลังจากนี้คงไม่ต้องพึ่งเขาแล้วล่ะ

   การแจ้งเตือนล่าสุดบอกว่าน้องชายคนเล็กสุดทักมาถามว่าจะกลับบ้านกี่โมง มื้อเย็นในวันเสาร์ของทิวากาลกลับเข้าสู่วงจรปกติได้สักพัก มันช่วยดึงอะไรหลายๆ อย่างให้กลับมาเข้าที่ เลื่อนสไลด์เข้าไปตอบไวๆ ตามมาด้วยเปิดดูไลน์กลุ่มทำงานว่าคนที่ยังไม่เห็นหน้าตอบอะไรกลับมาบ้าง พอเห็นว่าคนที่เหลือยังต้องใช้เวลาในการเดินทางอีกสักพักใหญ่เลยตัดสินใจเริ่มดำเนินการเอง

   "รอรับอยู่ตรงนี้สองคน ที่เหลือเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้านกัน"

   มันเป็นหมู่บ้านที่มีปัญหาเรื่องการแบ่งพื้นที่กับหมู่บ้านข้างๆ เพิ่งฟังความมาแค่ข้างเดียวเลยไม่อยากรีบสรุปอะไร เรื่องเล่าที่วกวนไปมาจนต้องอัดเสียงแล้วเอาไปแกะเรียบเรียงใหม่ แถมบางประเด็นเมื่อโทรกลับไปคุยเพื่อความมั่นใจแล้วดันได้ข้อมูลคนละชุดกับที่ให้คราวแรก เรียกว่าปวดหัวไปตามๆ กัน
วิชาที่เขาไม่เห็นว่ามันช่วยให้กลายเป็นนักกฎหมายที่สมบูรณ์ตรงไหน

   ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการพูดคุยสำหรับข้อมูลและเอกสารอื่นอีกสองสามอย่างจากหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการครบแล้วจึงแบ่งทีมกันใหม่สำหรับการแยกย้ายกันไปถามข้อมูลจากบ้านหลังอื่นรวมถึงต้องไปสอบถามจากหมู่บ้านคู่พิพาทด้วย

   "อย่างน้อยช่วยโพสต์ในไอจีหน่อยก็ได้"

   อยากแสดงออกว่ารำคาญกับการตามตื๊อแค่ไหน เมื่อไหร่คนเราจะเข้าใจสักที่ว่าการได้อะไรมามันต้องแลกด้วยบางสิ่งไป

   ...อย่างที่เขาเจอมา

   "เก็บไว้ลงรูปกลุ่ม" มันมีหลายการบอกกล่าวที่ไม่ต้องพูดออกไปตรงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย ในอินสตาแกรมที่มีอยู่ไม่กี่รูปมันเป็นภาพรวมกลุ่มในโอกาสต่างๆ ทั้งหมด

   "แต่รูปล่าสุดไม่ใช่นี่"

   "อ้อ..." ขอย้อนกลับไปประโยคก่อนหน้า เกือบทั้งหมดเป็นรูปกลุ่ม เว้นแต่รูปล่าสุดที่เขาไม่ได้เข้าไปลบเสียสี "ก็ไม่ชอบลงรูปที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตอยู่ดีนั่นแหละ"

   มุมหนึ่งของปราสาททรายขนาดเล็ก ไร้คำอธิบายข้างใต้ต่างจากรูปอื่นที่จะระบุเอาไว้ทั้งหมดไม่ว่าสถานที่หรือว่าวันเวลาที่ถ่ายเอาไว้ ภาพที่คิดว่าสวยไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เก็บเอาไว้ในความทรงจำ มันคงจริงอย่างที่พิชชาบอกไว้ สิ่งที่ทำให้มันเป็นภาพแสนสวยงามไม่ใช่แค่องค์ประกอบในภาพ แต่เป็นคนที่ร่วมสร้างขึ้นมา

   คนที่ยังไม่ตอบคำถามว่าหัวใจอยู่ที่ไหน
   
   ทำเหมือนเสียงที่ได้ยินหลังจากนั้นมันเป็นแค่สิ่งไร้ค่า ทำหน้าที่ของตัวเองในการเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริงจากหัวหน้าอีกหมู่บ้านหนึ่ง ทิวากาลคิดว่าเวลาทำงานแรกมันไม่ควรเอาอีกงานเข้ามาเกี่ยว คนเป็นถึงประธานรุ่นควรจะรู้เรื่องนั้นดีกว่าใครไม่ใช่หรือไงกัน

   "ต้องไปถามบ้านสุดท้ายเหรอครับ?" คุยมาตั้งนานกลายเป็นว่าคนมีอำนาจในการตัดสินใจกลับเป็นบ้านอื่นไปเสียอีก

   "ใช่ บ้านของผู้หญิงแก่ๆ ที่อยู่กับแมวเยอะๆ นั่นแหละ"

   มันจะมีลักษณะร่วมกันของผู้หญิงอย่างนั้นอยู่ ทิวากาลยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนออกเดินนำอีกครั้ง เรียบเรียงคำพูดว่าจะเริ่มต้นแบบไหนให้ดูเป็นมิตรที่สุด บางรายระแวงคนแปลกหน้า เพื่อนกลุ่มอื่นของเขาปวดหัวกับการที่คนในชุมชนไม่ให้ความร่วมมือเยอะแยะจนกลายเป็นคำเตือนต่อๆ กันมา

   "แล้วอย่าไปสนเรื่องอื่นที่แกพูดมาก ปล่อยมันผ่านไปเถอะ"

   คิดถึงคำบอกสุดท้ายเมื่อมือเอื้อมไปสั่นกระดิ่งเหล็กตรงหน้าบ้าน เพื่อนสาวที่มาด้วยอีกคนร้องว้าวออกมาเมื่อเห็นว่าโครงสร้างของบ้านเป็นอย่างที่นิยมอยู่ เก่าๆ ขลังๆ แล้วก็ดูเต็มไปด้วยของโบราณสะสมเอาไว้ตั้งแต่รุ่นทวด ...เหมือนบ้านหลังนั้น

   โคลงศีรษะไล่ความคิดที่มาทักทายทุกครั้งเมื่อเผลอเปิดช่องว่าง ยังพอติดต่อภัสบ้างเท่าที่เอื้ออำนวย แต่กับคนพี่แล้วความสัมพันธ์มันขาดสะบั้นไปโดยปริยาย

   "เข้ามาได้เลย"

   เสียงจากในสวนด้านข้างก้องเข้าไปในส่วนรับรู้ ทุกชีวิตตรงนั้นชะเง้อมองหาต้นเสียงจนเจอกับผู้หญิงแก่บนเก้าอี้หวายยาวตัวใหญ่ มีแมวสีดำสนิทนอนหลับอยู่ตรงตัก การแต่งกายจะเรียกว่าธรรมดามันก็ใช่ ชุดกระโปรงยาวกับผ้าคลุมไหล่ถักเป็นลายสวย ผมสีดอกเลามวยขึ้นไปสูงไม่มีหล่นลงมาสักเส้น

   กล่าวคำสวัสดี ก้าวข้ามเข้ามาข้างในส่วนของตัวบ้านหลังจากมั่นใจได้ว่าเจ้าของบ้านพร้อมต้อนรับ ทิวากาลกับเพื่อนอีกสองคนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงชรา ยังไม่ทันจะพูดอะไรหล่อนก็ดักขึ้นมาก่อน

   "ฉันไม่ใช่แม่มดนะพ่อหนุ่ม"

   "...แฮะๆ"

   คนในกลุ่มของแบล็คได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลับคืนไป นึกย้อนไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดของตัวเองส่งไปถึงอีกคนได้อย่างไรกัน

   "เพราะไม่หัดคุมความคิด"

   คราวนี้แม้แต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนก็ไม่มีเล็กรอดออกมา "ทำเหมือนอย่างพ่อหนุ่มคนนี้สิ"

   ทิวากาลปิดปากสนิท ดึงตัวเองมาอยู่ในแนวปลอดภัยแทนที่จะเป็นการออกไปยืนนำทัพ หญิงสาวผิวหุ้มกระดูกไม่น่ามีพิษสง ...หากภายในใจของทิวากาลกลับตะโกนร้องเตือนให้ระวังตัวเองไว้ให้ดี

   บางอย่างในตัวของผู้หญิงคนนี้เหมือนกับพิชชา

   โดยเฉพาะการคลี่ยิ้มอย่างนั้นด้วย เขาไม่เคยเรียกสิ่งนี้ว่าการควบคุมความคิด นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการกระทำทั้งหมด นอกจากความคิดแล้วทั้งร่างกายเป็นสิ่งที่แบล็คต้องคุมให้อยู่ในโอวาทตลอด ทุกอย่างที่ออกไปมันจะต้องผ่านการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว

   "พอดีผมมาจาก...อยากจะขอคำปรึกษาอะไรหน่อยครับ"
     
   ยังไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง ทิวากาลเปิดสมุดสำหรับการจดบันทึกไปยังหน้าว่างล่าสุด กดเลื่อนไส้ปากกาออกมาข้างนอกเตรียมพร้อมสำหรับการจัดเก็บข้อมูล

   "นั่งก่อนก็ได้นะ"

   "ขอบคุณครับ" ไม่ปฏิเสธคำเชิญ ผายมือให้ผู้หญิงคนเดียวได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก ส่วนเขาและเพื่อนประธานรุ่นมานั่งเบียดกันอยู่ตรงชิงช้าไม้ขนาดกำลังดี "คือว่าเ..."

   "อยากได้ชาไหม?"

   ประโยคที่ตั้งใจจะบอกออกไปไม่อาจครบประโยคได้ การแทรกขึ้นมากลางคันพร้อมกับรอยแย้มเอ็นดูอย่างนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ ยิ่งกับเนื้อหาของคำถามแล้วด้วย

   "ไม่เป็นไรครับ ทานมาแล้ว"

   "งั้นเหรอ"

   "ขอถามต่อเลยนะครับ"

   “เชิญ ได้ยินมาบ้างแล้วล่ะ”

   จะเรียกว่าเป็นการรอฟังก็ได้ ส่วนมากไม่ต้องถามอะไรเจ้าของบ้านก็ระบุข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้เกือบทั้งหมด แม้เส้นผมส่วนใหญ่แปรสีไปแล้วก็ตาม คำพูดคำจารวมถึงความทรงจำเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้หายตามไปด้วย ขนาดได้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการต่อยอดครบถ้วนแล้วเรื่องราวอื่นที่เป็นข่าวดังในช่วงเวลานั้นๆ ก็ยังสามารถระบุให้ฟังได้ฉะฉานไม่มีติดขัด

   "คุณยายแปดสิบกว่าแล้วเหรอคะ ดูไม่ออกเลย"

   "ปีหน้าแปดสิบสี่แล้วค่ะ"

   "หนูอยากจะเป็นผู้หญิงอายุแปดสิบสี่ที่ทำได้อย่างนี้บ้างจังค่ะ"

   "โอ๊ย ไม่ต้องอยู่ถึงขนาดนี้หรอก ไม่มีอะไรน่าสน"

   “...”

   นัยน์ใจดีมองตรงมาที่ราชาไม่มีปิดบัง รอยยิ้มบางตรงริมฝีปากส่งสัญญาณเตือนให้หยุดความตั้งใจเอาไว้เสียตรงนั้น สัญชาตญาณไร้คำอธิบายให้ความหมายอีกหนึ่งอย่างมาทันทีว่านั่นคือ 'การเล่าเรื่อง' เช่นกัน

   มีเพียงแมวดำหนึ่งตัวตรงตักที่ยังหลับอยู่ หญิงชรานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับตัวไปไหน อ้างว่าไม่อยากจะรบกวนเจ้าตัวสี่ขาผู้เข้าสู่นิทราลึก ความสามารถบางอย่างไม่อาจเล่าออกมาเป็นคำพูดสวยหรูได้ มีแต่คนที่ประสงค์ให้เข้าใจเท่านั้นที่จะเข้าถึง

   เหมือนเห็นพิชชาในรูปแบบของหญิงสาววัยชรา แปลกตาดีแล้วก็คิดว่าเหมาะไม่น้อย

   รู้สึกตัวว่ายังโดนมองอยู่ก็ตอนเปลี่ยนจุดสนใจจากตัวแมวขึ้นไปหาเจ้าของ ไม่ชอบตัวเองทุกครั้งที่มักคิดถึงใครคนที่หมดเรื่องชดใช้กันแล้ว ไม่อยากจะนึกถึงแค่ไหนก็ทำไม่ได้ แค่เก็บกระดานหมากรุกในห้องให้พ้นออกไปจากสายตายังทำไม่ได้เลย

   บางสิ่งเหมือนเดิม

   ส่วนบางอย่างไม่มีทางย้อนกลับมา

   "มันไม่มีทางหนีได้พ้นหรอกนะ"

   "ครับ?" หลุดออกจากห้วงคำนึงก็ตอนได้ยินเสียงสดใสอีกครั้ง

   "เรื่องที่ดิน สุดท้ายแล้วไม่ทะเลาะกันวันนี้วันหน้ามันก็วนกลับมาอีก"

   คุยกันได้ความว่าพื้นที่ตรงนั้นความจริงแล้วมันไม่ควรเป็นของใคร เพราะว่าเจ้าของที่แท้จริงนั้นยังมีชีวิตอยู่และไม่ประสงค์จะขายทิ้ง ที่ต่างคนต่างถือสิทธิ์เพราะว่าเจ้าของย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วไม่ได้รับรู้ในคราวแรกว่ามีคนอื่นกำลังเข้ามาถือสิทธิ์

   โครงงานที่ควรจะยากเลยกลายเป็นง่ายไปเสียอย่างนั้น

   "เลยควรทะเลาะให้จบไปสินะครับ"

   "ทุกเรื่องมีเวลาของมัน" แมวสีดำขยับตัวลุกออกจากตัก มันเดินตรงมาที่ทิวากาลทำท่าคล้ายจะกระโดดขึ้นมาหาแล้วสุดท้ายก็วิ่งหนีไปอีกทาง "อยู่ที่จะเลือกจบแบบไหนก็เท่านั้นเอง"
 


   ลงชุมชน เก็บข้อมูลและเอามาเรียบเรียงให้เป็นระเบียบ คนทำส่วนของรูปเล่มจะได้ไม่มีปัญหาอีก ตกลงสำหรับแผนการขั้นต่อไปรวมถึงนัดแนะการลงพื้นที่ครั้งหน้า ทุกขั้นตอนของการทำงานได้รับการแจกแจงและแบ่งผู้รับผิดชอบเอาไว้เรียบร้อย เขาโดนเด้งไปอยู่ฝ่ายพรีเซนต์ในห้อง ได้รับคะแนนโหวตเป็นเอกฉันท์ว่าแค่เดินไปทุกคนก็ไม่กล้าถามอะไรแล้ว

   สิ่งแรกที่ทำเมื่อเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนคือควานหาบุหรี่ขึ้นมาดับอารมณ์คุกรุ่น คนแบบนั้นคิดว่าหายากแล้วนะ ทำไมกลายเป็นว่าเจอสองคนติดๆ กันได้อย่างนั้น

   สูดลมหายใจเข้าไปจนปลายมวนมีไฟสีส้มติด ปล่อยให้สารเสพติดแทรกซึมเข้าไปตามร่างกายเงียบๆ รอบข้างที่ควรมีแต่กลิ่นของควันกลับแซมไปด้วยอีกกลิ่นหนึ่งแสนคุ้นเคย ทิวากาลเรียกสติให้กลับเข้ามาจนครบ จึงเตือนออกไปเรียบๆ หวังกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ

   "ผมยังไม่อยากคุยตอนนี้พิช"

   ไม่ต้องหันไปร่างนั้นก็ขยับมายืนตรงกันข้าม พิชชามาพร้อมกับเสื้อผ้าแบบเดิม ที่เปลี่ยนไปหน่อยคือเส้นผมสั้นลงไปสองนิ้วได้ ไม่แปลกใจเท่าที่ควรเพราะเห็นตั้งแต่อยู่หน้าบ้านแล้วว่าบริเวณนั้นมันมีคนอื่นอยู่อีก ใครที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่คิดจะปิดบังตัวตน

   จนกลายเป็นเขาเองที่ต้องพยายามทำตัวให้เหมือนเดิมเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น

   "แค่มาถามคำถามเดียวครับ"

   "ไม่รับประกันว่าจะตอบหรือเปล่านะ"

   รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย ราชาสีดำทำทีเป็นให้ความสนใจกับมวนบุหรี่ในมือมากกว่าใบหน้าของอีกคน

   "คุยกับภัสครั้งสุดท้ายเมื่อคืนใช่ไหมครับ เขาบอกหรือเปล่าว่าอยู่ไหน"

   "คุย แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ไหน"

   "ไม่ได้โทรมาอีก?"

   น้องเจ้าปัญหาไปสร้างวีรกรรมที่ไหนอีกล่ะ
   
   หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นเช็ค ข้อมูลระบุว่าครั้งสุดท้ายที่รับสายคือเมื่อคืนตอนสามทุ่ม ภัสสร์โทรมาคุยเรื่องทั่วไปเช่นทุกวัน ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ยังพูดอยู่เลยว่าอยากจะกินบุฟเฟ่ต์ร้านใหม่ที่ไปเปิดแถวที่พัก จะให้เขาไปเลี้ยงให้ได้

   "ไม่"

   "โอเค ขอบคุณครับ"

   หัวใจโหวงวูบเมื่ออีกคนหันหลังกลับไปจนไม่อาจเห็นใบหน้าอีกแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่อาจตั้งตัวได้ทัน

   "ภัสอยู่ไหน?"

   รีบถามออกไปก่อน มันต้องมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับคนเป็นน้อง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาตามหาถึงที่นี่ แท่งนิโคตินในมือหล่นพื้นไปแล้ว และทิวากาลไม่มีเวลามากพอสำหรับห่วงว่ามันอาจกลายเป็นต้นเพลิงได้หรือไม่

   ราวกับเสียงเดินทางคนละคลื่นความถี่กับระบบการได้ยิน พิชชาไม่ผ่อนจังหวะการเดินลงเลยแม้สักเล็กน้อย ชายเสื้อฝ้ายปลิวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับผมหยักศกเส้นสวย

   "พิชชา!"

   ตะโกนชื่อนั้นออกไปสุดเสียง ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งน้อยเกินกว่าจะทราบได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ "ผมบอกแล้วว่ามาเพื่อถามคำถามเดียวครับ"

   มีประสบการณ์มากพอจะรู้หากปล่อยไว้อย่างนี้คนเป็นหมอกพร้อมจะสลายไป ผุดลุกจากตรงที่นั่งไปยังชายผมยาวที่เริ่มห่างกันไปทุกที เว้นระยะห่างระหว่างสองคนเอาไว้ให้มากกว่าทุกครั้งที่เจอกัน เขายังไม่อยากได้กลิ่นน้ำหอมของอีกคน เพราะมันพร้อมจะพาเขากลับไปยังช่วงเวลาที่ไม่อยากจะจดจำ

   "เกิดอะไรขึ้น"

   "ไม่รับประกันว่าจะตอบไหมนะครับ"

   "อย่ามาย้อนผม" มีบทเรียนกี่ครั้งแล้วไม่เคยจำว่าอีกคนยอกย้อนเก่งแค่ไหน "เมื่อคืนตอนที่ผมคุยโทรศัพท์กับภัสก็ดูปกติดี"

   "ถ้าปกติดีก็ไม่มีอะไรครับ"

   เท้าที่เริ่มก้าวมาข้างหน้าเป็นเหตุผลที่เขากางมือออก "บอกผมมา"

   "ผมรักษาคำพูดตัวเองครับ"

   นัยน์ตาสีแปลกวันนี้มันหม่นจนสังเกตได้ เสียงที่ใช้แม้จะราบเรียบแบบเดิมมันก็ไม่ช่วยให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้ เขาไม่ชอบที่พิชชาเป็นอย่างนี้ ไม่เคยมีสักครั้งที่อีกคนทำเหมือนกับว่าทิวากาลเป็นเพียงคนแปลกหน้าหรือว่าลูกค้าที่เจอหน้ากันครั้งเดียว

   เกลียดสถานะของตัวเองชะมัด ให้ตายเถอะ

   "ขอบคุณอีกครั้งนะครับแบล็ค"

   ไม่มีอีกแล้วเสียงใครคอยเรียกชื่อ 'ราชา'

   ภาวนาขอให้เห็นเพียงรอยยิ้มจางหรือจะเป็นอาการไม่พอใจอะไรก็ได้ สำหรับเขาแล้วทุกอย่างมันดีกว่าการรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความสำคัญ

   ไหนภัสเคยบอกว่าเขาเป็นสิ่งที่พิชชาต้องการมากที่สุดไง

   ไม่ยอมขยับตัวให้พิชชาผ่านไปได้ "บอกผมมา"

   "เออใช่ครับ ผมเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้บอกเรื่องหนึ่ง"

   "เรื่อง?"

   "เรื่องที่ผมเห็นว่าสุดท้ายแล้วคุณก็ต้องยืนอยู่คนเดียว"

   น่าโมโหไหมล่ะที่ต้องมาได้ยินอะไรอย่างนั้น ข่มใจให้เย็นมากที่สุด ตอนนี้มีอย่างอื่นที่ต้องทำ "เรื่องของเราเอาไว้ก่อน ตอนนี้ภัสอยู่ไหน"

   "มันไม่เคยมีเรื่องของเราครับ"

   บอกเลยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดทิวากาลน็อตหลุดใส่แน่ จะย้อนอะไรได้ทุกคำ!

   "เดี๋ยวโทรไปให้ก่อน" เนื่องจากเป็นเบอร์ที่เพิ่งยิงเข้ามามันเลยอยู่เกือบด้านบนสุดของบันทึกการโทร "เสาร์เช้าอย่างนี้ยังไม่ตื่นหรอ..."

   (เลขหมายที่ท่านเรียก...)

   มันไม่ควรจะเป็นเสียงนี้

   กดปุ่มวางสาย มองหน้าพี่ชายสลับกับหน้าจอคำสั่งสุดท้าย ขนาดพ่อของเขายังไม่ปิดโทรศัพท์ก่อนนอนแล้วเลย เราอยู่ในยุคของการพักหน้าจอมาตั้งแต่เครื่องมือสื่อสารเป็นมากกว่าสิ่งเอาไว้โทรออกและรับสายเข้า การที่สัญญาณต่อไม่ติดเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น

   "ภัสไม่ได้บอกใช่ไหมว่าจะไปไหน?"

   "ไม่ครับ"

   "บ้าน?"

   "ผมคงไม่ต้องมาหาคุณหรอกครับ"

   "งั้นต้องตามจากเพื่อน...เดี๋ยวนะ"

   จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ วันก่อนภัสไปร้านเหล้าแล้วให้เพื่อนช่วยโทรเรียกเขาให้ไปรับ ถึงไม่ได้ไปตามคำขอแต่เบอร์นั้นน่าจะยังเก็บเอาไว้ในเครื่องอยู่ จากคำที่ใช้คุยกันคงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในวงเพื่อนเที่ยว รีบเปิดหาเบอร์แปลกเพียงรายการเดียวท่ามกลางรายชื่อบันทึกของคนอื่น เมื่อเจอแล้วก็รีบโทรออกไป

   (ครับ)

   "เพื่อนของภัสหรือเปล่า"

   (นั่นใคร?)

   พวกมีความผิดติดตัวจะหวาดระแวงไปหมดอย่างนี้แหละ สวมบทบาทพี่ชายจำเป็นเพื่อใช้ในการตามหาข้อมูลทั้งหมดที่อยากได้ เกลี้ยกล่อมผสมกับข่มขู่จนได้สิ่งที่ต้องการทั้งหมด ระหว่างนั้นเก็บทุกคำสำคัญเอาไว้เป็นข้อต่อรอง นี่แบล็คไม่ใช่หน่วยงานให้ความช่วยเหลือสาธารณะ เรื่องอะไรที่เขาต้องลงแรงไปฟรีด้วยล่ะ

   "ได้...ผมจะไม่บอก...ขอบคุณ"

   พวกนี้เหมือนกันเกือบหมดตรงที่ต้องเก็บเรื่องกินเที่ยวกลางคืนเอาไว้ให้ห่างจากการรับรู้ของคนทางบ้าน ถ้าข้อมูลที่ให้มามันไม่ตรงเมื่อไหร่บอกเลยว่าได้มีการสาวไส้กันสนุกแน่

   "ภัสอยู่ไหนครับ?"

   "ผมจะขับไปส่ง"

   "นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณครับ"

   คุยมาไม่กี่ประโยคโดนคำบอกไร้เยื่อใยไปเท่าไหร่แล้ว

   "ผมจะอยู่กันคุณ"

   น่าแปลกที่การพูดคำนั้นออกไปอีกครั้งมันทำให้แบล็คหัวใจพองโต ก็ถ้าเถียงกันต่อไปมันคงไม่จบสักที พิชชาชะงักไปเมื่อได้ยินคำสาบานเดิม การสัญญาที่ไม่ใช่เพียงลมปาก พิธีกรรมโดยใช้เลือดจะคอยตามติดไปจนกว่าฝ่ายหนึ่งจะสิ้นลมหายใจ

   "ผมเองก็ต้องรักษาคำพูดของตัวเองเหมือนกัน"

   ดื้อแพ่งจนได้สิ่งที่ต้องการกลับมา ตุ๊กตาหน้ารถผู้หายหน้าไปนานพอควรวันนี้ได้กลับมาประจำอยู่ตรงที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถึงจะไม่ยอมปล่อยให้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลยก็ตาม

   ทำทุกอย่างเหมือนที่เดิม ป้อนคำสั่งเปิดคลื่นวิทยุให้กลายเป็นเพลงยุคเก่า ได้ความมาว่าภัสสร์กับเพื่อนมีปาร์ตี้วันเกิดที่หัวหิน คอนเฟิร์มได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่าน้องไปด้วย ส่วนที่ยังดีไม่พอคือหัวหินมันไม่ใช่แค่หมู่บ้านเล็กๆ อย่างที่เขาเพิ่งไปทำงานมา แต่เป็นเขตหนึ่งกินพื้นที่ไปพอสมควร ข้อมูลแค่นั้นมันไม่พอกับการตามหาหรอก

   "คุณจะไปไหนครับ"

   "หัวหิน" โดนขังอยู่อย่างนี้ไม่มีทางหนีไปไหนได้อยู่แล้ว "แต่ว่ายังไม่ชัวร์ว่าส่วนไหน"

   มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่ตามหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองตรงช่องเก็บของ เลื่อนคำสั่งคล่องแคล่วจนได้ยินเสียงของสัญญาณคลื่นเชื่อมถึงกัน งานนี้คงต้องรบกวนพ่อของตัวเองอีกหน่อย ถ้าจะให้เขาลุยเดี่ยวมันจะเสียทั้งแรงแล้วโอกาสคว้าน้ำเหลวมันสูงลิบลิ่ว

   มีเส้นสายต้องรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์

   เมื่อบิดารับสายจึงเล่าเรื่องให้ฟังเท่าที่จำเป็น พวกรายละเอียดสำคัญที่บ่งบอกว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงระดับชีวิต ส่วนไหนที่จะส่งผลไม่ดีกับตัวเด็กเองก็เก็บเอาไว้ก่อน โล่งใจไปได้อีกพอควรตอนได้รับคำยืนยันว่าจะช่วยสุดความสามารถ ก็บอกแล้วว่านอกจากเรื่องของพิชชามันไม่เคยมีครั้งไหนที่ผิดหวังกับผลงานที่ตามมา

   "ครับพ่อ ได้ครับ"

   ส่วนของแลกเปลี่ยนก็เป็นคำสัญญาว่าจะกลับบ้านมาทานข้าวเย็นทุกเสาร์อาทิตย์ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน

   ปลายสายเงียบไปแล้ว แอบมองคนเก็บอวัยวะในการพูดออกไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ พิชชาเท้าคางกับที่พักแขน มองออกไปนอกหน้าต่างไม่ต่างกับกำลังโดยสารอยู่บนยานพาหนะสาธารณะ

   "คุณ 'เห็น' ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ใช้มันล่ะ"

   ใจจริงไม่ได้อยากออกเสียงให้เป็นการประชดขนาดนั้นเลยนะ แค่รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงของตัวเองแล้ว

   “...”

   งานนี้บอกเลยว่าเขาไม่ผิดสักหน่อย หงุดหงิดกับท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไร คนเป็นพี่ไม่ร้องฟูมฟายหรือว่าสติแตกกระเจิง พิชชาก็ยังคงเป็นพิชชาผู้วางเฉยต่อทุกอย่างได้ ...และทุกอย่างที่ว่ามันอาจรวมถึงเรื่องความเป็นความตายของน้องชายตัวเอง

   "ผมมองไม่เห็นครับ"

   รถอีโค่คาร์เงียบสนิท ไร้เสียงเพลงยุคเก้าศูนย์อย่างที่เคยเป็น "ก็เพราะว่ามองไม่เห็นนั่นแหละครับเลยน่ากลัว"

   "คุณกลัวอะไรอยู่?"

   "อย่างเดียวกับที่คุณกลัวอยู่มั้งครับ"

   ทั้งสองรู้จักภัสสร์ดี

   เด็กที่บอกว่าหน้าที่ของตัวเองคือรอความตาย


***
   แต่งเองก็ทรมานใจเอง อีกนิด (เหรอ) นะคะพี่แบล็ค
   #พิชแบล็ค

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
« ตอบ #99 เมื่อ: 17-02-2017 21:13:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
«ตอบ #100 เมื่อ17-02-2017 22:19:47 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-1 [17.02.17] P.4
«ตอบ #101 เมื่อ17-02-2017 22:22:22 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-2 [19.02.17] P.4
«ตอบ #102 เมื่อ19-02-2017 22:03:26 »

CH.17-2

   ถนนก็โล่ง

   ไม่เจอด่านตรวจ

   จะมีสิ่งกวนใจก็แค่คนนั่งข้างๆ นี่แหละ

   "ใจคอไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ"

   "..."

   ถามออกไปตรงๆ ขนาดนั้นแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักอย่าง

   ดื้อเงียบที่แท้จริง

   "ช่วงนี้เป็นไงบ้าง"

   เรื่องเบสิคที่สุดเท่าที่คิดออกแล้ว ขืนถามเรื่องอื่นไปเดี๋ยวก็โดนตอกกลับมาว่าไม่ใช่เรื่องของเขาอีก คนอะไรไม่รู้ปากร้ายเกินทน ตั้งแต่ขึ้นรถมาแอบหันไปมองคนข้างกายหลายครั้งจนเก็บได้เกือบหมดว่ามีอะไรแปลกไปบ้าง ผิวสีซีดคราวนี้มันคล้ำขึ้นนิดหน่อย ผมที่เคยยาวระดับกลางหลังสั้นลงหลายนิ้วอยู่ เหมือนจะผอมกว่าที่เคยเห็นด้วย

   ยังไม่ได้รับการตอบรับเหมือนเดิม แถมยังแย่เข้าไปอีกเมื่อมือของอีกคนล้วงหาหูฟังของตัวเองในกระเป๋า ปกติแล้วพิชชาไม่ชอบใช้เครื่องมือสื่อสาร ถึงขั้นที่ว่าสามารถทิ้งโทรศัพท์ให้นอนอยู่ในบ้านได้เป็นสัปดาห์หากไม่ต้องการติดต่อกับใคร เป็นเขาอีกที่ต้องมาคอยมาตามเคลียร์ปัญหาให้

   บรรยากาศรอบตัวไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา มันอาจมีบางครั้งที่อึดอัด แต่มันก็มาจากสาเหตุอื่นที่ระบุได้ แล้วถ้าจะให้คิดถึงสาเหตุของครั้งนี้อย่างนั้นเหรอ

   ...

   อย่าทำให้ต้องตอกย้ำตัวเองได้ไหม

   "บ้านลงตัวหรือยัง"

   ...จะสอนใช้เครื่องซักผ้าก็ยังไม่ได้ทำ ไม่รวมกับส่วนอื่นที่ยังไม่ค่อยเข้าที่ดีเท่าไหร่ เห็นบอกว่าจะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดก็ไม่รู้ว่าติดต่อเรียบร้อยหรือเปล่า ของมีค่าก็วางไว้เต็มบ้านไม่เคยห่วงสมบัติ

   "ไม่เจอที่มหาลัยเลย"

   ...ตลกดีที่มีวิชาหนึ่งเรียนห้องข้างกัน นั่งรอตั้งแต่ก่อนเข้าคาบสิบห้านาทีจนเลทไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เจอผู้ชายผมยาวคนนั้น

   "วันก่อนผมลองเข้าร้านอาหารแปลกๆ ดู ไม่อร่อยเหมือนที่คุณพาไป"

   ...กลายเป็นพวกชอบลองของแปลก แล้วก็มากเรื่องเมื่อทานไปแล้ว ไม่ว่าเข้าไปร้านไหนก็หาเรื่องติได้ตลอด ตั้งแต่การจัดร้านยาวไปถึงบริการระหว่างมื้ออาหาร ผ่านไปหลายครั้งเข้าก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงบอกว่าอาหารเป็นเรื่องศิลปะ

   พูดคนเดียวอีกสองสามเรื่องถึงบอกในใจว่าพอดีกว่า เป็นโมเมนท์ที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเองสักวัน ปกติแล้วมีแต่ฟังคนอื่นเล่าไปเรื่อย จนต้องมาเป็นคนเล่าบ้างถึงรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำอะไรอย่างนี้ กลับไปเป็นคนฟังนั่นแหละดีแล้ว

   พอกลับมาเงียบถึงได้ยินเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุยังเล่นต่อเนื่อง เพลงเดิมกับคนเดิมพาเขากลับไปยังช่วงเวลาเดิม พิชชาเปลี่ยนหลายอย่างในตัวทิวากาล เปลี่ยนจนคิดไม่ออกว่าจะกลับไปเป็น 'ราชา' คนเดิมได้เมื่อไหร่

   หรือจะกลับไปได้หรือไม่

   "ช่วยหยิบแว่นกันแดดให้หน่อยได้ไหม"

   แสงแดดตอนบ่ายส่องเข้ามาจนปวดตา ยิ่งเป็นฝั่งแดดเข้าเต็มที่ก็แย่ขึ้นไปอีก ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ต้องการอยู่ตรงไหนเพราะอยากลองอะไรนิดหน่อย อยากหลอกตัวเองว่าบางเรื่องมันยังอยู่ในความทรงจำของผู้ชายผมยาวคนนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ...

   มือเรียวสวยยื่นไปตรงที่เก็บของข้างเบาะ เปิดมันออกจนเห็นว่านอกจากของที่ฝากหยิบแล้วมันยังมีอีกอย่างอยู่ด้วย

   ถุงหอมไร้กลิ่นแทนความทรงจำล้ำค่ามหาศาล

   "มันหมดกลิ่นหอมแล้วล่ะ แต่ว่าผมไม่อยากเอาอย่างอื่นขึ้นมาแทน"


   Back beat, the word is on the street

   That the fire in your heart is out

   I'm sure you've heard it all before


   "ช่วยทำให้ใหม่ได้ไหมพิช"

   "..."

   "ไม่เป็นไร ไว้เก็บรวบยอดก็ได้" หยิบแว่นขึ้นมากันแสง รวมถึงช่วยปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงข้างใน "คราวนี้คุณจะได้ติดหนี้ผม"


   But you never really had a doubt

   I don't believe that anybody feels

   The way I do about you now



   "แล้วคราวนี้ผมจะให้คุณอยู่กับผมบ้าง...ดีไหม"

   ทิวากาลสอนน้องเสมอว่าให้คิดก่อนพูด น้องโรมน่ะตัวดีเลยชอบใช้อารมณ์มาก่อนทุกอย่าง ไม่ว่าจะก่อนหรือว่าหลังเจอที่หนึ่งก็ยังต้องพูดคำนี้อยู่บ่อยๆ และบอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยว่าหลังจากนี้คงไม่กล้าสอนอย่างนั้นอีกแล้ว ก็สิ่งที่ออกจากปากไปเมื่อครู่นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผ่านการคัดกรองจากสมองเลย

   "...ภัสจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ"

   แม้ไม่ใช่คำตอบก็ดีใจมากแล้วที่ได้ยินเสียงของอีกคน ทิวากาลไม่อยากจะรับประกันอะไร พอเข้าใจหัวอกของคนเป็นพี่อยู่เพราะว่าตัวเองก็เคยผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน อาจจะหนักกว่าหน่อยตรงที่ไร้แสงสว่างสำหรับการตามหาน้องสาว

   วันแรกที่รู้ว่าน้องหายไปก็พยายามท่องบอกตัวเองว่ามันคงไม่นาน ไวท์ต้องการเวลาสำหรับอยู่กับตัวเองเสียบ้าง จนผ่านไปเป็นเดือนเขาถึงเลิกหลอกตัวเองแล้วออกตามหา จะเล่าแบบไหนก็ไม่มีทางบอกความรู้สึกของตัวเองได้หมดว่าการตามหา 'ครึ่งชีวิต' ที่หายไปมันยากแค่ไหน

   สิ่งใดที่พ่อสอนมา เขากับเธอได้รับมันไปเท่ากัน ไม่มีประวัติการใช้เงิน ไม่มีการใช้เครื่องมือสื่อสาร ที่ไม่เข้าใจเลยคือเธอสามารถใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพาอาศัยใครเลยได้อย่างไร พ่อไม่เคยบอกว่าเป็นความผิดของใครเรื่องที่รัตติกาลหายไป และพ่อไม่เคยเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจเช่นกัน มันคือบททดสอบที่ยากที่สุดของพี่และของฝาแฝด

   พิชชาเก่งกว่าเขาในเรื่องการควบคุมอารมณ์ จำได้ดีว่าตอนนั้นเป็นผีบ้าหัวร้อนมากแค่ไหน เพื่อนต้องคอยอยู่ข้างตลอดเพื่อช่วยกันคุมเอาไว้ ยิ่งน้องโรมเจ็บทุกอย่างกลายเป็นสิ่งเลวร้ายไปทั้งหมด แม้ในท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่ได้มีแต่เรื่องแย่เสมอไป

   เรื่องที่ผ่านไปแล้วสอนให้ทิวากาลรู้ว่า

   "ทุกอย่างมีเวลาของมันเอง"



   ก่อนเข้าตัวเมืองโทรศัพท์ของทิวากาลดังขึ้นอีกครั้ง เรื่องรายงานคือสิ่งที่ขอไปก่อนออกจากกรุงเทพฯ วันนี้มีปาร์ตี้อย่างที่ให้ข้อมูลไปสองสามแห่ง เด็กวัยรุ่น ดื่มเหล้าหนัก แล้วก็อาจมีของผิดกฎหมายบางอย่างด้วย มันยากตรงที่ตอนนี้เป็นวันหยุดยาวของคนส่วนใหญ่ กว่าจะผ่านส่วนกลางเมืองไปสู่แหล่งที่อยู่อาศัยอาจใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมง

   ร่างกายที่ใช้มาตั้งแต่เช้าเริ่มประท้วง ตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่มาทำงานแล้วยังไม่ได้พักจนถึงตอนนี้ และมันจะยังไม่มีทางได้พักจนกว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้น

   กว่าจะผ่านส่วนในเมืองมาได้คนของพ่อก็ตรวจสอบเสร็จไปแล้วสองที่ เหลืออีกแห่งเดียวให้เขาได้ลุยเอง กดเปลี่ยนจุดหมาย ปล่อยให้เสียงสังเคราะห์นำจนถึงปลายทาง

   "คุณเก่งนะ"

   "ครับ?"

   "นิ่งกว่าตอนผมออกไปตามหาไวท์เยอะ"

   สิ่งที่ชมไม่ได้เกินกว่าที่คิดเลย พิชชาควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ดีเสมอไม่ว่าต้องเจอกับอะไร

   "ตอนนั้นคุณน่ากลัวมากครับ"

   พออีกคนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับเลยกล้าคุยต่อ "รู้ด้วย?"

   "อยากให้คุณเห็นว่าคุณแม่ร้อนใจแค่ไหน"

   คำว่าแม่สะกิดบาดแผลข้างในนิดหน่อย ตัวทิวากาลเองไม่ใช่คนคิดบวกขนาดที่ว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไปได้เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น คงเป็นเพราะสิ่งที่น้องสาวเคยพูดบวกกับเนื้อหาของเรื่องเล่ามันเลยช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่าครั้งที่แล้ว

   "จริง?"

   "ผมเคยโกหกคุณเหรอครับ"

   "ผมคิดมาตลอดว่าแม่ไม่เคยคิดถึงพวกเราเลย"

   "โกหกไม่เก่งนะครับ" ต้องมองทางข้างหน้าเลยไม่อาจหันไปหาเจ้าของเสียงได้ "ถ้าคิดอย่างนั้นจริงผมคงไม่ได้กลิ่นของน้ำหอมอย่างนี้หรอก"

   คราวนี้มั่นใจได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง ขวดแก้วที่ได้รับมาเสมอนั้นมาจาก 'แม่'

   จอดรถตรงลานหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังในสุดของหาด เพลงอิเล็กทรอนิกส์ดังสะเทือนเข้ามาถึงข้างในรถ พื้นที่โดยรอบค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทั้งไกลจากที่อยู่อาศัยหลังอื่นแล้วยังกั้นกรอบเขตพื้นที่เอาไว้ชัดเจน เหมาะกับการงานเลี้ยงพวกนี้สุดๆ

   ท้องฟ้ามืดกว่าที่เคย ลมแรงกับเสียงฟ้าร้องในฤดูฝนมันกำลังเตือนให้ระวัง ธรรมชาติกำลังทำหน้าที่ของมัน

   "คุณว่าเราจะเจอไหม" ถึงจะให้คนอื่นตามหามาก่อนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่คิดจะถูกต้องเสมอไป

   "ภัส...อยู่ข้างในครับ"

   "...?" ทิวากาลไม่เข้าใจว่าพิชชารู้ได้อย่างไร

   "รีบหน่อยครับราชา จะไม่ทันแล้ว..."

   ด้านในแย่กว่าทุกที่ที่ไปมา บ้านสี่เหลี่ยมเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เพิ่งเข้าทุ่มกว่าสภาพแต่ละคนเละเทะได้ที่ การบุกรุกเข้ามาด้านในของคนแปลกหน้าสองคนไม่มีใครให้ความสนใจ มีบางคนเดินเข้ามาขอชนแก้วด้วยซ้ำ ถามว่ามันดีไหมมันก็ดีอยู่ ส่วนจะว่ามันแย่...ใช่ แย่มาก

   ก็คนเยอะอย่างนี้จะไปตามหาคนๆ เดียวเจอได้หรือไง

   "จะแยกตามหาไหม" บ้านหลังใหญ่ไม่น้อย มีชั้นสองอีกต่างหาก "คุณเลือกเลย"

   "คุณขึ้นข้างบนก็ได้ครับ"

   "อืม ดูแลตัวเองด้วย"

   รับทราบคำสั่ง เอื้อมมือออกไปแล้วรีบดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว เกือบไปแล้ว...เขาเกือบจะเอาความเคยชินมาใช้แล้วไหมล่ะ

   "ครับ"

   ตอบรับสั้น ไฟสลัวพาร่างของชายผมยาวหายไปกับความมืด ทิวากาลพาตัวเองขึ้นไปยังชั้นสอง สอดส่องทั่วทุกพื้นที่ว่ามีคนที่ตามหาอยู่หรือไม่ ไม่พอใจสักอย่างจนอยากจะโละความเป็นผู้ชายแสนดีของตัวเองทิ้ง ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับแหล่งปลดปล่อยด้านมืดของมนุษย์ เหล้า บุหรี่ ของผิดกฎหมาย บทรักเร่าร้อนที่แสดงแบบไม่เก็บค่าเข้าชมตรงหน้าประตู รวมถึงหญิงสาวที่ชายตามองอย่างมีความนัยแฝง

   ความยากของด้านบนคือเป็นห้องนอนหลายห้องเรียงต่อกันไป ถ้ามันล็อคอยู่ก็จบเห่ หรือควรจะทำเหมือนตัวเองเป็นคนเมาไม่สามารถควบคุมสติของตัวเองได้แล้วดี พอเจอภัสก็ตีเนียนออกไปไม่ให้ใครจับได้ ถามจริงว่าคนในงานกี่คนที่ยังมีสติอยู่

   "อยากเข้าห้องเหรอ?"

   เดินมาสี่ห้อง ล็อคไปสอง และนี่เป็นห้องที่สาม

   ชายแปลกหน้ามาจากไหนไม่ทันสังเกต มือข้างหนึ่งยกกุญแจพวงใหญ่ขึ้นมาโชว์ในระดับสายตา เขายังดูมีสติอยู่ดีเมื่อเทียบกับคนอื่น ชุดเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นกลายเป็นชุดกระโปรงไปในตัว น้องสาวของเขาก็เคยใส่อยู่ และบอกเลยว่าพี่ชายฝาแฝดไม่ชอบเอาเสียเลย

   "หาคนอยู่"

   "คนไหน ช่วยได้นะ"

   "ไม่ต้อง"

   เกลียดคนที่เข้ามายื่นมือเข้ามาช่วย ก็ดูสิเข้ามาแต่ละครั้งเคยเจอเรื่องดีๆ บ้างที่ไหน

   "แลกกับอะไรนิดหน่อยเอง"

   ร่างที่ห่างเมื่อครู่เข้ามาชิด การรุกจากคนแปลกหน้าเป็นอะไรที่น่าตกใจไม่น้อย ทิวากาลทิ้งน้ำหนักของแขนทั้งสองข้างให้อยู่ข้างตัวไว้ ไม่ยอมให้ส่วนอื่นใดสัมผัสเกินพอดี แค่เอาตัวเองเข้ามาเบียดอย่างนี้มันก็แย่เกินไปแล้ว

   "สนไหม?"

   มือถือวิสาสะเอามาคล้องคอเอาไว้ เอียงคอเล็กน้อยแทนการรอคอยคำตอบ กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาเส้นบางอย่างฉุนจมูกจนต้องยู่หน้า พอเห็นว่าสีดำไม่มีการตอบสนองจึงจงใจเบียดเข้ามามากกว่าเดิม การยั่วเย้าที่นอกจากจะไม่ช่วยดึงอารมณ์ร่วมแล้วยังพาลให้ยิ้มยากกว่าเดิม

   "ไม่" คนอย่างทิวากาลคำไหนคำนั้น

   "หืม ...แปลกจัง"

   "ไม่เห็นแปลก อ้อ! ช่วยเอามือออกจากคอผมด้วย" ไม่ได้ส่งยิ้มร้ายอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ เป็นราชาแสนดีมาจนเกือบลืมความสนุกของการได้ออกรบไปแล้ว "ยอมทำตามดีๆ แล้วไปหาคนอื่นเถอะ"

   "ก็ได้"

   ชายแปลกหน้ายอมเอามือของตัวเองออก เท้าเดินก้าวไปข้างหลังไม่รู้ตัว เพียงแค่เห็นช่วงหน้าที่กำลังฉายแววเตือนอย่างนั้นหัวใจก็พาลหวาดกลัวขึ้นมา

   แบล็ครอจนมั่นใจว่าจะไม่มีการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวรอบสองจึงบอกออกไป

   "ขอโทษทีนะ พอดีผมมีคนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตแล้ว"

   "หึ...น่าเบื่อ"

   "ผมตามหาคนอยู่ พอเห็นเด็กมัธยมที่ใส่สร้อยข้อมือเยอะๆ บ้างไหม"

   "ภัส?"

   เด็กคนนั้นสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้างนะ "ใช่"

   "น่าจะอยู่ข้า..."

   กระเป๋าหลังที่สั่นไม่หยุดของตัวเองบอกว่ามีใครกำลังโทรเข้ามา ชื่อที่ไม่ได้ปรากฏตรงสายเรียกเข้าในระยะเวลาช่วงหนึ่งสั่งให้   มือรีบสไลด์รับโดยเร็ว

   "เจอแล้วเหรอ?"

   (ครับ) เสียงเพลงดังจนจับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเจอน้องในสภาพไหน (ข้างล่าง...ตรงก่อนทางออกไปสระว่ายน้ำ)

   "กำลังไป"

   การหาพิชชาในฝูงชนไม่เคยเป็นเรื่องยากสำหรับทิวากาล พยายามเลี่ยงการเข้าไปปะทะกับคนอื่นให้มากที่สุด จากที่เห็นคือเด็กเจ้าปัญหานอนอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาว มีเครื่องดื่มอย่างเหล้าไทยยี่ห้อหนึ่งวางเอาไว้ ไหนบอกไม่กินเหล้าไงเด็กผี

   "ว่าไงเจ้าปัญหา ...จะพากลับบ้านเลยไหม"

   ช่วงแรกทักทายคนที่นอนยาวอยู่ และส่วนหลังนั้นถามพี่ชายแสนดี ภัสสร์ตาปรือขึ้นมามองว่าเสียงทักมาจากใคร พอเห็นว่าเป็นทิวากาลแล้วจึงขมุบขมิบปากพูดอะไรออกมาเล็กน้อย

   "เสียงดัง ฟังไม่รู้เรื่อง" ชี้หูของตัวเองที่กำลังเจอกับมลภาวะทางเสียงอยู่ "ไหวไหม เดี๋ยวผมอุ้มแล้วคุณคอยดูทางก็ได้"

   นอกจากไม่มีคำตอบแล้วนัยน์ตาของพิชชาสั่นไหวจนต้องก้มลงมองให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าภัสมีอาการผิดปกติตรงไหนอีกหรือไม่

   ใบหน้าซีดแม้จะอยู่ในที่มืด แก้มตอบลงกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอตัวจริง ส่วนแขนยังมีเครื่องประดับอยู่เต็มไปหมด ภัสสร์ปิดเปลือกตาสนิทส่วนปากยังขยับเล็กน้อยยามเห็นว่าเขายังคงอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

   ...ทำไมถึงใจหายอย่างนี้นะ

   คราวนี้สำรวจจนครบทุกส่วนของร่างกาย ใบหน้าซูบผอมจนเห็นสันกรามจะช่วงโหนกแก้มชัด ข้อแขนเคยมีเนื้อหนังอยู่นิดหน่อยคราวนี้มันแห้งจนหุ้มกระดูก เสื้อที่ใส่เป็นหนึ่งในล็อตล่าสุดที่เขาเลือกเองกับมือ ตอนลองวัดไซซ์ว่าเลือกแบบพอดีกับตัวแล้วนะ นี่ยังเหลือพื้นที่ให้อากาศอีกเหรอ ไม่ออกกำลังกายก็น่าบ่นพอแล้วนี่ยังทำลายสุขภาพของตัวเองอีก

   เดินไปฝั่งของพี่ชายจึงเห็นบางอย่างผิดปกติ ตรงส่วนเท้าของพิชชามีแผงยาสีคุ้นวางอยู่ หยิบมันขึ้นมาดูจึงพบว่ามันเหลืออีกแค่หนึ่งเม็ด อ่านชื่อยาอีกครั้งในขณะที่ความรู้บางอย่างแวบเข้ามา สิ่งที่ไปร้านเหล้าทีไรเพื่อนก็จะเตือนเอาไว้ทุกครั้ง

   ยาบางอย่างห้ามกินกับเหล้า

   "พิช..." เสียงของตัวเองเข้มขึ้น มือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเตรียมกดหาคนช่วย "เรียกรถพยาบาลหรือยัง"

   มือของพี่ลูบไปมาตรงศีรษะน้องชาย "ไม่ต้องเรียกครับ"

   "ภัสกำลังแย่นะ"

   เตือนเสียงเครียด การทำงานของร่างกายเมื่อเจอกับสิ่งผิดปกติอาจส่งผลต่อชีวิต กับเพื่อนบางคนที่เล่นกีฬามาด้วยกันยังเกือบไม่ได้เห็นหน้าตลอดกาลมาแล้ว นับประสาอะไรกับเด็กที่ไม่เคยคิดจะดูแลเรื่องสุขภาพของตัวเอง

   ไม่กี่เม็ดก็เป็นอันตราย นี่ปาไปเกือบหมด

   เสียงเพลงดังกระแทกหูไม่มีหยุดตั้งแต่เข้ามาเงียบหายไปโดยมีความมืดเข้ามาแทนที่ เสียงร้องของเหล่าหนุ่มสาวผู้กำลังล่องลอยไปอยู่ในห้วงความสุขจอมปลอมดังระงม แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องดีเมื่อมีเสียงหนึ่งตะโกนให้ออกไปรวมกันด้านนอก ปล่อยให้ตรงนั้นเหลืออยู่เพียงสามชีวิต

   "มันถึงเวลาแล้วล่ะครับ"

   "เขากำลัง...นะพิช" กลืนบางคำกลับเข้าไปในลำคอ ในเวลานี้ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดคำนั้นออกไปได้

   มือผอมติดกระดูกยกขึ้นมาคล้ายต้องการไขว่คว้าบางอย่างเอาไว้

   "ดูเหมือนว่าภัสอยากจะคุยกับคุณนะครับ"

   ลุกขึ้นมาให้เข้าไปแทนที่ ทิวากาลกุมมือผอมแห้งนั้นเอาไว้ มันบางจนไม่อยากจะเชื่อว่าร่างกายของคนเราจะสามารถแปรสภาพไปได้ขนาดนี้ มีหลายอย่างที่อยากจะพูดออกไปแต่ไม่รู้ว่าควรเปิดด้วยคำไหน

   สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงตรงหน้ามันเกินกว่าจะคุมความเข้มแข็งเอาไว้

   "จะไม่โทรมากวนพี่แล้วเหรอ"

   พอทักไปอย่างนั้นเลยได้เห็นความพยายามที่จะขยับริมฝีปากขึ้น พิจารณาคนตรงหน้าแล้วได้แต่ตั้งคำถามว่าภัสสร์ที่เขาเรียกในใจว่าเป็นเด็กปากดีหายไปไหน ร่างที่อยู่ตรงนี้คือคนเดียวกับที่เก็บวิญญาณแสนเข้มแข็งดวงนั้นเอาไว้แน่หรือ

   "ไหนใครบอกว่าจะให้พี่เลี้ยงบุฟเฟ่ต์?"

   “...ภัสไง”

   "ยังทันนะ ให้พี่ไปส่งไหม" หลอกตัวเองว่ายังยื้อเวลาต่อไปได้อีกหน่อย

   "เขา...ให้ผม...ไปได้แล้วนะ..."

   แค่ประโยคเดียวไม่ยาวเท่าไหร่กว่าจะออกมาครบมันก็กินเวลาไปมาก เสียงอ่อนล้าจนเขาไม่อยากจะได้ยินอีก

   ไม่อยากจะจำว่านั่นคือสิ่งที่เคยบอกกันเอาไว้แล้ว

   "จะไปจริงเหรอ"

   "หมดหน้าที่แล้ว ...ได้เวลาไปแล้ว"

   มั่นคงและชัดเจน เขายังจำทุกอย่างได้ดี เจ้าตัวกำลังทำตามคำที่ตัวเองเคยลั่นวาจาเอาไว้ คนที่บอกว่ามีหน้าที่ต้องรอกับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน

   แม้เป็นราชาก็ไม่อาจต่อกรจ้าวแห่งความตาย

   "เรื่องที่ฝากเอาไว้ พี่สัญญาว่าจะทำให้" เคารพในการตัดสินใจ ไม่คิดจะรั้งไว้อีก "ถ้ามีคนไม่ทำตาม พี่จะทำให้คำพูดมันผูกพันเอง"

   มันยากที่จะบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น แม้ภาพตรงหน้าจะไม่มีอะไรต่างไปจากเจ้าชายนิทราผู้พร้อมจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้รับจุมพิต เพียงแค่ในความเป็นจริงไม่มี 'ใครคนนั้น' ที่จะมาล้างคำสาปของแม่มดได้อีก คนที่หลับไหลเลยไม่อาจลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

   "หลับ...ได้แล้วนะภัส" ร่างของพี่ชายขยับเข้ามาใกล้กับทิวากาลเพื่อคุยกับน้องชายได้ถนัดขึ้น "ไม่ต้องห่วงอะไรนะ พี่จะอยู่ตรงนี้"

   ไฟตรงปลายเปลวเทียนกำลังจะดับลง

   พิชชาเข้มแข็งอย่างที่เขาบอกไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนมีโทนขึ้นลงบ้างในบางคำคอยขับกล่อมให้ร่างตรงนั้นผ่อนคลายมากกว่าเดิม ทิวากาลอาจไม่รู้เกี่ยวกับระบบการทำงานของร่างกาย นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนี้ใกล้จะหยุดหายใจ

   "ภัสมีแต่พิชนะ..."

   "อืม พี่จะอยู่กับภัส"

   "ไม่ไปอยู่กับคนอื่นนะ"

   สายสัมพันธ์ของคนสองคนไม่ควรคิดคำนิยาม อย่างเขากับน้องสาวเองก็จะเป็นอย่างหนึ่ง กับเกรย์หรือว่าโรมก็จะเป็นอีกอย่าง มีอยู่วูบหนึ่งเหมือนกันที่ลองสลับบทบาทของตัวเองกับพิชชา เขาจะทำอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ แล้วจะตอบมันไปอย่างไรในเมื่อคำพูดมันผูกพัน

   ตอนนี้คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดคงเป็นตัวแบล็คเอง

   เพราะเขาไม่อยากให้พิชชาตอบตกลงออกไป

   "อะไรที่พี่ต้องคืน จะใช้ให้จนครบ"

   ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน

   "ไม่ต้องคิดมากนะภัส"

   มองลงไปถึงเห็นว่าสร้อยสีเงินเส้นนั้นมีมือผอมแห้งของภัสสร์กำเอาไว้แน่น สร้อยที่อยู่กับพิชชาเสมอคงมาจากน้องชายคนเดียว นัยน์ตาอ่อนล้ามีแววลังเลกับอะไรบางอย่าง

   "จะเลือกแบบไหน...พี่ไม่เคยโกรธอยู่แล้ว"

   ในห้วงเวลาที่กลายเป็นอนันตกาล ทิวากาลทำได้เพียงรอคอยให้ละครฉากต่อไปเล่นเสียที

   ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของคู่พี่น้อง หรืออาจจะกำลังใช้คลื่นอื่นในการสื่อสารอย่างที่เขากับฝาแฝดเคยทำก็เป็นได้ เรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ออกมาเป็นทางการได้ มีแค่คนสองคนรับรู้และเข้าใจกันเงียบๆ ไม่เคยหวังให้ใครอื่นมาเข้าใจ

   มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรวางฐานะของตัวเองไว้ตรงตำแหน่งไหน

   "...ขอโทษนะ"

   สุดท้ายแล้วมือนั้นก็ทิ้งลงข้างตัวตามเดิม

   ห้วงอากาศอบอ้าวหายไปพร้อมกับเสียงหยาดฝนตกกระทบผืนดิน หัวใจหล่นวูบไม่ทราบสาเหตุ คนนอนอยู่ปิดเปลือกตาสนิทอีกครั้ง จังหวะการหายใจเข้าออกเริ่มผ่อนความเร็วลงเรื่อยๆ จนเกือบไม่เห็นการขยับของช่วงกระบังลม

   "ไม่เป็นไร"

   คำนั้นปลอบประโลม ประทับจูบบริเวณหน้าผากแทนการบอกลา

   "เราได้เจอกันแล้ว"

   มือข้างที่ว่างอยู่ของพิชชาจิกลงกับผ้าเนื้อฝ้ายของตัวเองจนเกิดรอยยับย่นขึ้น แบล็คเคลื่อนมือของตัวเองออกไปประสาน ปล่อยให้แรงทั้งหมดส่งมาทางนี้แทน มือเย็นเฉียบเวลานี้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งชั้นดีไปแล้ว ได้แต่หวังว่าการแทรกบทของตัวเองจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้อีกคน

   ให้รู้ว่า ‘เรา’ มันหมายถึงสองคน

   "ไม่มีวันแยกจากกันอีก!"


***
   เหลืออีกสองตอนค่ะ ไว้คุยกันยาวๆ ทีเดียวเลยนะคะ
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.17-2 [19.02.17] P.4
«ตอบ #103 เมื่อ22-02-2017 00:46:46 »

โอ้ววววว
เขียนบรรยายได้กินใจมาก

เอาใจช่วยคนทั้งสอง

เรา หมายถึงคนสองคน
ไม่มีวันแยกจากกันอีก!!

ที่สุด!!


ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
«ตอบ #104 เมื่อ24-02-2017 20:20:29 »

CH.18

   คงเป็นเรื่องจริงที่บอกว่าทุกอย่างมีเวลาของมันเอง

   งานส่งลาของภัสสร์เรียบง่ายเหมือนตัวตนของเขา คนร่วมงานน้อยจนนับหัวได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนจากที่โรงเรียนและมีบางส่วนเป็นเพื่อนจากกลุ่มปาร์ตี้ งานประกอบพิธีทางศาสนาทำขึ้น 'พอเป็นพิธี' อย่างที่ตัวพี่ชายเองไม่อยากได้มากเท่าไหร่

   ตลกดีที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาตลอด ส่วนคนหน้าคุ้นนั้นไม่มีใครเหยียบเข้ามาเลย พิชชาส่งข่าวไปบอกทางบ้านแล้วตั้งแต่ช่วงจบเรื่อง คนรับสายเพียงรับทราบแต่ไม่ได้รับปากว่าจะมา คนมีสายเลือดร่วมกันไม่แยแส ส่วนคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกลับอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม

   "ไปพักก่อนก็ได้นะ"

   เดินไปหาเจ้าภาพคนเดียวของงานทั้งสามวัน พิชชาอยู่ในชุดขาวทั้งตัวจนตัดกับผมยาวชัด นัยน์ตาล้าจากการใช้ร่างกายต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายวัน เรื่องงานของน้องมันไม่ยากอะไรหรอก ยากที่สุดคือเรื่องที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก

   "ไม่เป็นไรครับ" คนน้อยจนสามารถดูแลคนเดียวได้

   "ถ้าไม่ไหวรีบบอก"

   "นอกจากคุณผมจะไปบอกใครได้ล่ะครับ"
   
   "รู้ก็ดี"

   ทิวากาลรับหน้าที่เป็นผู้ต้อนรับตรงทางเข้า ส่วนข้างในปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าภาพไป คนต้องยืนอยู่ข้างนอกไม่มีอะไรทำมากไปกว่าการกล่าวคำต้อนรับแล้วก็ขอบคุณสำหรับการเสียสละเวลามาร่วมงาน ถ้าถึงคราวของตัวเองก็อยากให้ทุกอย่างมันเรียบง่ายอย่างนี้เช่นกัน อาจจะไม่ต้องมีพิธีอะไรเลยก็ได้ รวมถึงไม่ต้องเสียเวลาเอามาตั้งก่อนเผา

   ตั้งแต่เริ่มงานมามีแขกเพียงห้าคน อีกไม่กี่นาทีจะเริ่มสวดรอบแรกแล้ว มองนาฬิกาข้อมือของตัวเองจนไม่รู้ว่ามีแขกรายสุดท้ายกำลังเดินเข้ามา

   “...สวัสดีครับ"

   มันยากเกินไปสำหรับการทักทายให้เป็นปกติ

   ไม่เคยกล้าเรียกผู้หญิงคนนี้สั้นๆ ว่า 'แม่' มันเป็นคำที่ไม่เคยติดปาก วันนี้อยู่ในชุดผ้าเนื้อดีสีดำสนิทเข้ารูป ผมมัดรวบตึงจนเห็นทั้งโครงหน้าชัด เครื่องประดับทุกชิ้นเหมาะกับแบบชุด เหมือนได้เห็นน้องสาวของตัวเองในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

   "งานจะเริ่มแล้วครับ" ส่งของแจกในงานไปให้ "พิชอยู่ข้างในแล้ว"

   "สบายดีนะ"

   ตีคำถามนั้นในฐานะคนไม่รู้จัก "พิชสบายดีครับ ช่วงนี้อาจนอนน้อยไปหน่อย"

   "เปล่า ฉันหมายถึงเธอสองคน"

   ทั้งร่างอุ่นวาบ เสียงของหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อยๆ บอกว่าสิ่งที่เกิดมันคือเรื่องจริง

   "ครับ...เราสบายดี"

   เพียงแค่นั้นก็เกินพอ

   "ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น"

   "ขอให้คุณสบาย ...หมายถึงผมหวังว่าคุณก็คงสบายดีเหมือนกัน"

   บางคำแม้อยากจะพูดออกไปแค่ไหนมันก็ควรจะเก็บเอาไว้ ซึมซับความรู้สึกแปลกใหม่นี้ให้ได้มากที่สุดเผื่อสำหรับน้องสาวด้วย ส่งคำขอโทษในใจไปให้รัตติกาลที่ได้เจอกับแม่เป็นครั้งที่สองแล้ว รู้ดีว่ามันไม่แฟร์กับคนที่ไม่เคยได้เจอเลยสักครั้ง

   ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมต่อจากนั้น มองไปจนสุดสายตาแล้วไม่เห็นว่ามีแขกเข้ามาเพิ่มจึงเตรียมกลับเข้าไปช่วยข้างใน งานสำหรับหนึ่งคนซึ่งจัดขึ้นโดยคนสองคนมันลำบากอยู่หลายส่วน ต่างคนต่างให้กำลังใจสำหรับการก้าวผ่านบททดสอบข้อถัดไป

   เก็บของด้านนอกจนครบ เหลือบไปเห็นใครอีกคนทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตรงหลังเสา แขกปริศนาที่เห็นวนเวียนอยู่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

   "ไม่เข้าไปเหรอครับ" ชิงทักในจังหวะที่ปกายก้มลงทำอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ของตัวเอง

   เรียกว่าเป็นญาติรายเดียวที่เหยียบเข้ามาในบริเวณส่วนจัดงานของภัสสร์ก็ว่าได้ เสื้อสีดำกับกางเกงสีเดียวกันแทนสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ ใบหน้าหมองลงหลายระดับไม่มีความคล้ายกับผู้ชายพราวเสน่ห์คนเดิม ทำอย่างนี้ภรรยาไม่คิดสงสัยหน่อยเหรอ

   "ไม่"

   "อืม ก็ดีสำหรับคุณเอง"

   น่าสงสารผู้ต้องมาอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งทั้งหมด

   รอดูว่าลูกพี่ลูกน้องจะพูดอะไรต่อจากนั้นหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่น่ามีคำใดออกมาเพิ่มเติมอีกจึงบอกในสิ่งที่ตัวเองรับปากเอาไว้แล้ว

   "ภัสฝากผมมาบอกคุณเรื่องหนึ่ง"

   ชื่อนั้นเพิ่มประกายข้างในตาอีกคน "ฝากว่า?"

   "คำพูดมันผูกพัน"

   รอยความหวังดับสิ้นไปพร้อมกับนัยน์ตาหลุบลงต่ำ "ผมรู้"

   "เขาฝากให้ผมช่วยดูต่อ อย่าเพิ่งรำคาญผมเลยนะครับ"

   "ไม่ต้องห่วง พี่จะทำให้ภัสแน่นอน"

   บ้านนี้นี่แน่วแน่มั่นคงเสียอย่างนี้ทุกคนไปเลยหรือเปล่า ดูสิ เจอตัวอย่างแบบนี้จะไม่ให้กลัวความรักได้อย่างไร?



   "กลับมาแล้วครับ"

   หลังจากงานทุกอย่างของภัสสร์จบลงสิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการเข้าไปเก็บกวาดสถานที่อยู่อาศัย เห็นว่าลงประกาศขายไปแล้วเลยควรรีบเข้ามาเคลียร์ให้พร้อมสำหรับการส่งต่อ มันเป็นเรื่องยากต่อการยอมรับเหมือนกันว่าเมื่อเคาะประตูบานนั้นไปแล้วมันจะไม่มีใครเดินมาเปิดให้

   เหม่อมองภาพที่ปรากฏต่อสายตาตรงหน้าเงียบๆ ของที่วางอยู่เต็มไปหมดไม่ช่วยให้ห้องดูมีชีวิตขึ้นมาได้ เมื่อคนที่เป็นเจ้าของนั้นไม่อาจจะกลับมาทักทายได้อีกนิรันดร์

   ตกลงกันว่าเสื้อผ้าและหนังสือทั้งหลายจะเก็บรวบรวมแล้วส่งไปให้กับโรงเรียนขาดแคลนริมชายแดน อันไหนที่เป็นของส่วนตัวก็คงเอากลับไปเก็บไว้ที่บ้าน อย่างอื่นที่ไม่จำเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์แล้วก็ของประดับจะปล่อยให้เจ้าของในอนาคตจัดการเอง

   "งั้นคุณเข้าไปจัดการเสื้อ เดี๋ยวผมแยกหนังสือก่อน"

   แบ่งหน้าที่กันเพื่อความรวดเร็ว อยู่ที่บ้านก็ต้องคอยดูเรื่องความสะอาดอยู่แล้วไม่น่ายากอะไร

   จัดการแยกของที่จะจัดส่งกับสิ่งที่ทำได้แค่ชั่งกิโลขายทิ้ง ภัสสร์จัดว่าเป็นเด็กรักการอ่านอยู่มากพอสมควรเลยล่ะ ครั้งก่อนที่มาเจอแต่หนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว พอรื้อไปมาถึงเจอว่ามันยังมีหนังสือหลายรูปแบบเก็บเอาไว้อยู่ในกล่องกระดาษหลายลัง

   ทิวากาลเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในหลายเล่ม ที่มีคนเคยบอกว่าหนังสือบอกตัวตนของเจ้าของได้มันจริงอย่างนั้น นี่ขนาดเปิดไปดูแค่ไม่กี่เล่มยังเห็น 'ภัสสร์' ซ่อนอยู่ข้างในตัวอักษร น่าเสียดายที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เพื่อนอ่านเพิ่มขึ้นมาอีกคน สมัยนี้หายากจะตายไป ทุกคนหลงอยู่โลกแห่งความเร็วกันหมดแล้ว

   ช่วงเช้าหมดไปกับการแยกประเภทหนังสือ มีกล่องลังเตรียมเอาไว้พร้อมสำหรับการจัดเก็บ พอแยกหมวดหมู่ทั้งหมดได้แล้วก็ถึงเวลาของเรียงหนังสือตามขนาดลงไป เมื่อครบทุกเล่มแล้วจึงเขียนชื่อประเภทของงานเขียนตรงหน้ากล่องก่อนใช้เทปกาวปิดตรงให้เรียบร้อย

   "ในห้องยังมีหนังสืออีกหรือเปล่า"

   ส่วนของห้องอเนกประสงค์ที่ไร้หนังสือเล่มหนาโล่งขึ้นมาถนัดตา เดินเข้าไปยังส่วนของห้องนอนอันมีอีกคนทำหน้าที่เก็บพวกเสื้อผ้าอยู่ ภาพตรงหน้าแบล็คคือผู้ชายผมยาวกำลังจ้องมองเสื้อตัวหนึ่งตรงตักของตัวเอง เสื้อเชิ้ตมีปกสีน้ำเงินเข้ม ไม่ใช่ตัวที่เขาเคยเลือกซื้อให้สองสามครั้งหลัง

   "...ให้ผมเก็บดีกว่าไหม" รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพิชชา คนที่ปากบอกว่าไม่เป็นไรแต่การกระทำนั้นตรงกันข้าม "คุณไปนั่งรอเถอะ"

   "ไม่เป็นไรครับ..."

   พักหลังได้ยินแต่เสียงแห้งเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่านั่นไม่ควรเรียกว่าปกติสักหน่อย

   "พิช อย่าฝืน"

   "ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จครับ"

   หน้าที่ของพี่ที่จะทำให้น้องเป็นครั้งสุดท้าย

   ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าใบใหญ่มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่แล้ว ข้างในมีเสื้อผ้าพับเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง และยังมีอีกหลายตัวรอให้เขาไปย้ายลงมา แบล็ควางแผนในการจัดให้มันพอดีกับที่เก็บเพราะว่ายังมีเหลืออยู่ในตู้อีกเยอะ
   
   "ทำไมถึงชอบซื้อของให้น้อง" อยู่มาจนรู้ว่าของที่พิชชาซื้อส่วนใหญ่ไม่เคยเป็นของสำหรับตัวเอง

   "อืม...เพราะไม่รู้จะทำอะไรมั้งครับ"

   "ผมไม่ชอบซื้อของให้" การเลี้ยงน้องในแบบทิวากาลไม่เคยตามใจ "ถ้าอยากได้ก็ต้องหาเอง ผมไม่อยากให้พวกเขาติดนิสัยรอ"

   กับไวท์ไม่ค่อยได้เลี้ยงอะไร เป็นไฟลท์บังคับอยู่แล้วที่พี่กับน้องจะได้อะไรเหมือนกัน เพียงแค่โตขึ้นมันก็จะมีความแตกต่างไปบ้างตามเพศ ส่วนน้องคนอื่นจะได้ต่อเมื่อวันสำคัญอย่างวันเกิดเท่านั้น บางปีขี้เกียจก็หลอกให้คนอื่นซื้อแทนแล้วสวมรอยเอา

   "ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะทำให้ภัสติดนิสัยอะไรนะครับ"

   มือยังคงพับเสื้อหลายสีไปเรื่อย ทุกตัวเป็นเสื้อแบรนด์มีราคาแต่ไม่มีความหมายสำหรับบางคน ยังมีป้ายราคาติดเอาไว้ก็หลายชิ้นอยู่ สำหรับเขาแล้วสิ่งที่พิชชาทำมันไม่ต่างอะไรกับคำที่ว่าพ่อแม่รังแกฉัน ให้แต่ของแต่ไม่เคยที่จะให้ใจตามไปด้วย

   "อย่างอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ เที่ยว เล่นเกม"

   "เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันครับ ภัสเองก็มีพี่กายอยู่แล้ว"

   ลืมเรื่องนี้ไปเลยว่าทั้งสองถูกเลี้ยงดูกันมาคนละแบบ "เสียใจบ้างไหม"

   "หมายถึงเรื่องไหนครับ"

   "ทุกเรื่อง"

   ในฐานะพี่ของเด็กสามคน ทิวากาลเชื่อว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ไม่มีบกพร่อง สิ่งที่ต้องแบกรับเอาไว้หนักเหลือเกินแต่ไม่เคยคิดจะปริปากบ่น

   "พอคิดว่าทุกคนมีทางเป็นของตัวเองก็จะไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่ครับ" เหลือเสื้อผ้าในตู้อีกเล็กน้อย พยายามไม่หันไปมองศิลปะบนฝาผนังขนาดใหญ่ตอนยื่นมือกลับมาขอเสื้อสีน้ำเงินบนตักของพิชชา "เสื้อตัวนี้เป็นตัวแรกที่ผมซื้อให้ภัสแหละ"

   มือลูบเชิ้ตขนาดพอดีตัวไปมา "ภัสสร์ยิ้มสวยมากเลย"

   หนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคือรอยยิ้มสวยอย่างที่ว่า สิ่งที่มักประดับอยู่บนหน้าซูบผอมคือริมฝีปากเป็นระนาบเดียวกับพื้น หากยกยิ้มขึ้นมามันก็ไม่เคยมีครั้งไหนเอาไว้แสดงถึงความสุข ราวกับว่ารอยยิ้มสำหรับภัสสร์นั้นไม่เคยมีอยู่จริง

   "เคยคิดอย่างนั้นมาตลอด ...จนเห็นรอยยิ้มตอนวันสุดท้าย"

   เสียงขาดหายเป็นช่วงสั้นสลับกับการบอกเล่า มือบรรจงพับเก็บมันช้าๆ จนเหลือเพียงทรงสี่เหลี่ยม "ถึงรู้ว่าที่คิดว่ามันสวยที่สุด...คือวันนั้นต่างหาก"

   มุมปากยกองศาขึ้นสวยหลังกล่าวคำลา ไม่ต่างกับรอยยิ้มของเทวดาในรูปปั้นกรีกโบราณ

   รับเสื้อตัวสำคัญมา วางมันลงไปในกระเป๋าอย่างเบามือที่สุด ตรวจสอบความเรียบร้อยโดยรวมจนมั่นใจแล้วถึงปิดมันให้สนิท พิชชายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมตอนเขาย่อตัวลงไปนั่งตรงหน้า กุมมือเย็นเฉียบทั้งสองข้างเอาไว้จนแน่น

   "ผมอยู่ตรงนี้”

   “...”

   “อยู่กับคุณตลอดไป”



   ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าห้องรกจะกลับมาสะอาดแบบเดิม ของทุกชิ้นถูกส่งต่อไปยังสถานที่ปลายทางแตกต่างกันตามที่วางแผนเอาไว้ และไม่มีชิ้นไหนถูกส่งไปยังบ้านชั้นเดียวเหมือนอย่างที่บอกไว้ทีแรก พิชชาไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงตัดสินใจอย่างนั้น ถึงเขาจะเสนอให้เก็บของบางอย่างเช่นโมเดลแผนที่โลกมันก็ถูกตีกลับ

   "กลับมาแล้วครับ"

   ชะโงกหน้าออกไปตรงประตูทางเข้า "ยินดีต้อนรับ"

   "เหนื่อยจังเลยครับราชา"

   "มีน้ำอยู่ในตู้เย็น"

   ยังติดภารกิจในการแก้ปมก้อนไหมพรมสำหรับการตกแต่ง วันนี้พิชชาไปคุยกับผู้จัดการมรดกเรื่องทรัพย์สินมาอีกรอบ พอภัสสร์เสียส่วนแบ่งอะไรมันก็ต้องเอากลับมาจัดใหม่ แม้ในรายละเอียดส่วนใหญ่มันจะเหมือนเดิมก็ควรเข้าไปดูแลด้วยตัวเองอยู่ดี

   "ผมเห็นคุณแก้ตั้งแต่ตอนผมออกไปแล้วนะครับ"

   "ก็ใครยัดๆ มันเอาไว้จนกลายเป็นอย่างนี้ล่ะ" โอกาสแวะมาก็ต้องใช้ เห็นทีแรกมันเกือบหลอมกลายเป็นสีผสมแล้ว "อยากจะเล่นแต่ก็ไม่ดูแล"

   "ขี้บ่น"

   "ก็อย่าทำให้ผมบ่นสิ"

   เบาะข้างตัวยวบลงไปเมื่อมีอีกร่างทิ้งน้ำหนักลงมา ตามมาด้วยช่วงศีรษะซบลงมาตรงไหล่ หันไปประทับจูบตรงเส้นผมสวย มือยังวุ่นวายอยู่กับการแก้ปมไปไม่มีหยุด เพิ่งหลุดออกไปได้สีเดียว และตรงหน้าตอนนี้มันยังมีอีกห้าสีที่รอให้เขาแก้ไขอยู่

   "แล้วเป็นไงบ้าง"

   "ก็ดีครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"

   "เหรอ" เบามือมากที่สุดกับการแก้ไปทีละส่วน ไม่อยากเร่งร้อนดึงด้วยความกังวลว่ามันอาจไปสร้างปมตายที่จุดอื่นแทน "ผมไม่เชื่อแฮะ"

   รับรู้ได้ถึงแรงสั่นนิดหน่อยตรงที่ใบหน้าอีกคนยังชิดอยู่ "ก็เรื่องเดิมๆ ครับ เราก็ตอบแบบเดิมไป"

   ใกล้วันนัดของบริษัทรับทำลายอาคารเข้าไปทุกที มีคนแปลกหน้าหลายคนมากดกริ่งจนอยากจะติดป้ายหน้ารั้วว่าไม่รับแขก ไล่กลับไปกี่ครั้งไม่เห็นจะเข็ด เขาว่าจะลองวิธีอื่นแทนการเจรจาแล้ว ในเมื่อพูดภาษาไทยดีๆ ฟังไม่เข้าใจคงต้องเพิ่มภาษากายเข้าไปอีกหน่อย

   "อีกนิดเดียว"

   "ส่วนในมือของคุณน่าจะอีกนานครับ"

   "เอาไปทำต่อเองเลย" ยกของในมือตัวเองไปให้ "ผมจะได้ไปรดน้ำต้นไม้"
   
   ทำทุกอย่างจนเหมือนบ้านของตัวเอง ห้าวันอยู่ที่นี่และอีกสองวันกลับไปนอนบ้านตามข้อตกลงเดิม บ้านที่จ้างคนมาทำความสะอาดเพียงหนึ่งวันต่อสัปดาห์ไม่ครอบคลุมงานบางส่วนอย่างเช่นสวนสีเขียวรอบตัวบ้าน รวมถึงการดูแลเจ้าของบ้านด้วย

   "ฮื่อ ให้ผมทำไปซื้อใหม่เลยง่ายกว่าครับ"

   "ไหนบอกไม่รีบใช้"

   "ไม่รีบแต่กลัวจะไม่ได้ใช้น่ะสิครับ"

   "หรือจะตัดทิ้ง?"

   การแก้บางปมมันยากจนตัดทิ้งเสียดีกว่า

   "...ใกล้แล้วล่ะครับ ผมขอเวลาอีกหน่อย"

   ครอบครัวที่ไม่มีสายใยคอยเหนี่ยวรั้งเอาไว้ จนไม่อยากเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ร่วมสายเลือด ถ้าต้นตระกูลได้มาเห็นความบาดหมางอย่างนี้อาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมมีลูกหลายคนก็ได้

   "คุณไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้ขนาดนี้ก็ได้นะพิช" บอกในฐานะคนที่มีประสบการณ์ตรงมาก่อน การเอาทุกอย่างเก็บไว้โดยไม่คัดกรองระดับความสัมพันธ์สุดท้ายไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา "ทิ้งมันเสียบ้าง คุณเหนื่อยมาพอแล้ว"

   จากเรื่องของพ่อ ดำเนินต่อมาจนถึงเรื่องของน้องชาย ผู้รู้ที่ต้องแลกความสามารถในการเห็นด้วยการเผชิญหน้ากับทุกอย่างตัวคนเดียวไม่มีใครคอยหนุน จนบางครั้งเวลามองผู้ชายคนนี้มันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าการเกิดมาหนึ่งครั้งจำเป็นต้องเจอเรื่องราวมากขนาดนี้เลยหรือไม่

   ปมหลวมขนาดใหญ่คลายออกจากกัน ตามหาปลายเชือกของสีหนึ่งจนพบ ใช้ปากกาหลายแท่งมาเป็นแกนสำหรับการขมวดปมใหม่ ค่อยๆ หมุนข้อมือของตัวเองไปตามทิศทางที่วางเอาไว้ จนกระทั่งมันเริ่มเป็นก้อนขนชิ้นใหม่จึงกลับมาแก้ปัญหาข้อต่อไป

   กลิ่นเครื่องหอมสองชนิดรวมเป็นหนึ่งกลิ่นใหม่ ราวกับว่ามันผสมสารระเหยมีฤทธิ์ทำให้อารมณ์ดีอย่างอื่นเข้า เอียงคอซบกับพิชชาเอาไว้ มือข้างหนึ่งที่ยังว่างของเจ้าของบ้านแตะอยู่ตรงข้อแขนของเขาค้างเอาไว้ จากมุมนี้ไม่สามารถหาข้อสนับสนุนอื่นได้ว่านี่คือการอ้อนหรือไม่

   "อยากทำบ้างแล้วหรือไง"

   "ไม่ครับ พอดีพูดถึงเรื่องตัดทิ้งแล้วว่าจะขอให้คุณช่วยอะไรหน่อย"

   "เรื่องอะไรล่ะ"

   "ตัดผมให้หน่อยได้ไหมครับ"


***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
«ตอบ #105 เมื่อ24-02-2017 20:22:42 »

   "คุณมองผมเป็นตัวสารพัดประโยชน์ใช่ไหม"

   เขารักเสียงหัวเราะอย่างนั้น "ก็ผมขอไปทีไรคุณก็ทำให้ได้หมดนี่ครับ"

   เลือกเอาระเบียงไม้ตรงด้านนอกเป็นร้านทำผมชั่วคราว เก้าอี้แบบมีพนักพิงตัวนุ่มมีไว้สำหรับรอให้บริการลูกค้ารายพิเศษ ส่วนช่างตัดผมจำเป็นต้องตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งหมดก่อน

   หยิบอุปกรณ์สำหรับจัดแต่งทรงผมออกมาจากซองพลาสติกอย่างดี อ่านคำอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือแต่ละอย่างจนครบ สำคัญเลยคือกรรไกร ส่วนหวีซอยน่าจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่ แล้วจะมีของใช้เฉพาะอย่างเยอะแยะไปไหนกัน

   รวมผมยาวขึ้นเป็นหางม้าสูงเอาไว้ลวกๆ เพื่อสวมผ้าคลุมป้องกัน ช่วงที่ปล่อยให้พิชชาไปหากรรไกรตัดผมก็เปิดหาคลิปสอนตัดผมอย่างง่ายทำได้เองที่บ้านไปเรื่อยจนพอจับหลักของมันได้ อย่างเช่นการตัดผมที่ละช่อรวมถึงทริกเล็กน้อยบางอย่าง

   ไม่เป็นแล้วชาวสวนบ้านนอก ไปเปิดร้านซาลอนน่าจะรุ่ง

   "ก็คุณเคยเสนอตัวว่าจะช่วยตัดผมให้นี่ครับ"

   "นั่นมันตอนที่คุณผมยาว"

   สระผมช่วงแรกโมโหกับความยาวเส้นผมจะตายไป พอได้สระหลายครั้งเข้ามันก็หาทางแก้ไขของมันได้เองจนไม่เคยประสบกับเรื่องกวนใจเหล่านั้นอีกแล้ว

   "นี่ผมก็ยังยาวอยู่นะ" ถึงจะหายไปจากเดิมหลายนิ้วอยู่ "ไปให้ร้านตัดให้เหรอ"

   "เปล่าครับ ตัดเอง"

   "หืม"

   พอเห็นว่ายังไม่เข้าใจเลยมีการอธิบายเพิ่มเติม "มัดรวมเป็นหางม้าแล้วก็ตัดทีเดียว"

   ถึงว่าทำไมถึงพอปล่อยผมแล้วมันถึงไม่ค่อยเท่ากัน ถ้าเป็นเขาไม่มีทางทำเองหรอก เสี่ยงทั้งทรงผมแล้วก็ความปลอดภัยของนิ้วมือ นอกจากจะได้ทรงผมที่ไม่ต้องการแล้วอาจจะได้บาดแผลตามนิ้วกลับมาด้วย

   "ซ่าใหญ่"

   "มันเป็นผลงานที่ผิดพลาดน่ะครับ"

   "แล้ว...ทำไมตัดแล้วล่ะ" จัดท่าของลูกค้ารายแรกให้นั่งหลังตรงมองไปข้างหน้า ลองนึกภาพสุดท้ายของผลงานที่กำลังจะสร้าง มือจับกรรไกรเอาไว้มั่นก่อนออกแรงตัดจนปอยแรกร่วงหล่นสู่พื้น "ต้องไม่ชินแน่เลยที่เห็นคุณผมสั้น"

   หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองตอนนี้เป็นรูปของนายแบบคนหนึ่งในต่างประเทศ ต้นแบบสำหรับผมทรงใหม่ของพิชชา

   "ก็ไม่จำเป็นต้องต่อชีวิตของอีกคนแล้วไงครับ"

   "คุณเป็นพี่ที่มีวิธีเลี้ยงน้องแปลกที่สุดเลยพิช"

   "นั่นชมอยู่ใช่ไหมครับ"

   "อืม..." ระหว่างกะระดับของความยาวก็คิดไปด้วยว่านั่นเรียกว่าชมหรือเปล่า "ไม่นะ ผมเรียกว่าการประชด"

   คราวนี้เห็นชัดว่าพิชชาต้องกลั้นขำเอาไว้แค่ไหน ใต้ผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่พยายามควบคุมร่างของตัวเองไม่ให้สั่นจนเกิดข้อผิดพลาดกับทรงผม

   "ใจร้ายจังครับ"

   "นี่แหละผม"

   พอคิดว่าด้านในได้รับการตัดแต่งจนดีแล้วถึงขยับไปจัดการช่อต่อไป ส่งกำลังใจให้ตัวเองว่ามันก็ไม่ได้ยากอย่างที่กลัวเอาไว้ แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่ต้องมาทำลายสิ่งที่อยู่ในความดูแลของตัวเอง ถ้าผมสั้นแล้วมันก็รู้สึกว่าไม่ใช่พิชชาคนที่เขารู้จัก

   "วันนี้เจอพี่กายด้วยครับ"

   ทิวากาลไม่ได้เล่าว่าตัวเองเจอชายคนเดียวกันในวันสวด ถือว่านั่นเป็นสัญญาของคนสองคนเท่านั้น

   โคลงหัวไปมาเมื่อคิดถึงพี่ชายที่เป็น 'ความรัก' ของภัสสร์ "เป็นไงบ้างล่ะ”

   "ไม่มีอะไรนะครับ ภรรยาเขาก็เริ่มท้องใหญ่แล้ว"

   "พูดยากนะ"

   "ก็เลยไม่พูดน่ะครับ ช่วงนี้คุณอาดูมีปัญหาเรื่องธุรกิจด้วย"

   เศรษฐกิจไม่ค่อยดีพาหลายธุรกิจมีปัญหา อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็เจอหัวข้อพวกเตรียมขายกิจการ ขาดทุนในรอบหลายสิบปี รวมถึงธนาคารไม่ปล่อยให้กู้ ได้แต่ถอนหายใจแล้วหวังว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นในเร็ววัน

   ถ้าพูดตามหลักของนักกฎหมายอย่างที่เขาได้รับการปลูกฝังมาตลอดสี่ปีมันก็แก้ได้หลายทางแหละ เพียงแต่ว่าเรามันเป็นนักทฤษฎีที่ไม่เคยเห็นข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ ก็เลยทำได้แค่บ่นกันไปไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไรจริงจัง แล้วถ้ามองให้ลึกเข้าไปอีกแค่ความขัดแย้งในคณะมันก็เยอะจนไม่มีเวลาไปสนใจข้างนอกแล้ว

   "แล้วจะเข้าไปเมื่อไหร่ล่ะ" คดีแรกที่ส่งเข้ามาถึงมือของเด็กนิติศาสตร์คือการตรวจสอบเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายมรดก ไล่อ่านรายชื่อทรัพย์สินจำนวนมากจนตาลายไปหมด ส่วนที่เป็นทรัพย์ทั่วไปมันไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะพิชชาเองไม่ได้สนใจ ที่ต้องระวังคือพวกหุ้นในบริษัทแล้วก็ตำแหน่งผู้จัดการ

   เรียนส่วนหลักการมาตั้งเยอะแยะ ในโลกความจริงไม่เคยมีคนปฏิบัติตามอย่างที่อาจารย์เคยเปรยเอาไว้

   ตามจริงสิ่งควรจะเป็นคือพิชชาจะต้องก้าวเข้าไปดูแลบางธุรกิจเองแล้วด้วย และเพราะว่ายื้อกันไปมาอย่างนี้นี่แหละมันเลยมีปัญหาว่าการตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ใคร ต้องไปล็อบบี้กันวุ่นวายอีก

   "ไม่เข้าแล้วล่ะครับ ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป"

   หลังจากจัดแบ่งทรัพย์ได้ทั้งหมด สิ่งที่เป็นของพ่อจะแปรกลายเป็นต้นทุนสำหรับการต่อตั้งมูลนิธิต่อไป ยังไม่ได้คุยกันจริงจังว่าสรุปแล้วจะเป็นองค์กรในรูปแบบไหน สิ่งเดียวที่รู้อยู่ในเวลานี้คือไม่มีสักสตางค์เดียวหล่นไปอยู่กับพวกญาติพี่น้อง

   พิชชาน่ากลัวใช่ไหมล่ะ

   "ระวังหน่อย ที่จริงวันนี้คุณน่าจะให้ผมไปด้วย"

   "ไปแล้วทุกคนก็กลัวคุณหมดครับราชา"

   ยักไหล่ไม่สนใจใคร "ไม่เห็นต้องกลัวเลย"

   จัดแต่งไปทีละส่วนจนเส้นผมกระจายเต็มพื้น จากอารมณ์เสียดายในช่วงแรกมันก็ชินชาจนไม่รู้สึกอะไรอีก ในหัวคิดอย่างเดียวว่าจะจัดแต่งแบบไหนให้เหมาะกับคนอยากเปลี่ยนลุคมากที่สุด

   "เดี๋ยวตัดผมเสร็จแล้วผมมีอะไรจะให้ด้วยครับ"

   "ค่าจ้างดูแลบ้านใช่ไหม ผมขอโอทีด้วยนะ"

   มองนาฬิกาตรงโทรศัพท์ของตัวเอง ผ่านมาเกือบชั่วโมงหนึ่งช่างตัดผมมือใหม่ก็วางมือลง ตรวจความเรียบร้อยโดยรวมว่าไม่มีส่วนไหนไม่เข้าทรง ปัดเอาเส้นผมตามช่วงไหล่ลงไปกองกับส่วนอื่น ไม่มีกระจกเลยต้องใช้กล้องหน้าแทนสิ่งสะท้อนผลงาน

   คนตรงหน้าแปลกตาไปจนต้องกลับมาเพ่งส่วนนัยน์ตาว่ายังเป็นคนเดิมกับที่รู้จักหรือไม่ สิ่งที่ทำให้พิชชาแตกต่างจากคนอื่นไม่ใช่แค่การไว้ผมยาว แต่รวมถึงทั้งโครงหน้าประหลาดไม่เหมือนกับคนชาติไหนชัด พิชชาไม่ใช่คนหน้าหวานอะไรอยู่แล้ว พอผมสั้นเกือบติดหนังหัวมันก็ยังเข้าท่า

   "โอเคไหม"

   "คุณทำให้ทุกอย่างก็ดีหมดแหละครับ"

   "งั้นไปสระผม"

   บ้านหลังใหม่ไม่ได้ออกแบบให้มีอ่างในห้องน้ำ ถ้าจะช่วยสระผมให้ทีก็ต้องเข้าไปเบียดกันในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกำลังดีซึ่งไม่มีส่วนไหนสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ได้ พิชชาเคยดื้ออยากจะสระผมจนยอมออกมาสระตรงสวนเพื่อพบว่านอกจากจะลำบากตอนสระแล้วยังต้องมาลำบากตอนเก็บด้วย

   "ครับผม" ตอบรับพลางลุกขึ้นเดินเข้าไปยังส่วนในของบ้าน

   "อย่าลืมของที่จะให้ผมนะ"

   บอกไล่หลังไปเผื่อลืม ถ้ามีของตอบแทนแล้วทำเนียนไม่ให้เขาจะตามทวงทุกนาทีเลย

   "อยู่ตรงเก้าอี้แล้วครับ"

   หันมามองหา บนเก้าอี้ตัวที่มีคนนั่งอยู่เมื่อครู่มีกระดาษสีแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ ภาพขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขวดน้ำหอมชนิดเดียวกับที่เขาใช้อยู่ปรากฏ สงสัยว่าพิชชาไปเอาภาพนี้มาได้อย่างไรในเมื่อดูจากองค์ประกอบของภาพแล้วมันไม่ใช่ขวดที่เขาใช้อยู่ทุกวันนี้แน่ แล้วมันก็ไม่มีทางมาจากรัตติกาลด้วย

   นอกจากขวดแก้วตรงกลางด้านข้างยังมีป้ายขนาดเล็กวางอยู่ถัดไป บนนั้นมีตัวโรมันเป็นลายมือเขียนเอาไว้อยู่ลองสะกดตามความเข้าใจแต่ก็อ่านไม่ออก

   หรือจะเป็น...
   
   หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปลี่ยนจากคำสั่งกล้องถ่ายรูปเป็นเครื่องมือแปลภาษา ป้อนคำสั่งแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษทันที แม้จะไม่เคยเรียนภาษาที่สามมาก่อนเขาก็มั่นใจว่ามันไม่มีทางผิดพลาด อดีตสาวดาวอักษรเรียนภาษานี้เป็นภาษาเอกตอนอยู่ในมหาวิทยาลัย

   ลองเทียบกับแป้นจนคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด กดคำสั่งเปลี่ยนภาษาแล้วรอให้ระบบประมวลผล

   เวลาไม่กี่วินาทียาวนานจนเขาลืมหายใจ

   เมื่อระบบทำงานเสร็จจึงเผยคำที่เห็นตรึงเข้าไปในหัวใจตั้งแต่แรกเห็น ทิวากาลสูดหายใจเข้าลึก ฝากสายลมให้ส่งบางคำกลับไป

   "...ขอบคุณครับ"

   Amour éternel   

   -Everlasting Love




   ช่วงเวลาหลังมื้อเย็นมักเป็นเวลาของการดูทีวีหรือไม่ก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง นานครั้งจะได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงเพลงตามอารมณ์ของผู้เล่น ผิดแปลกไปก็ตรงที่ทิวากาลยังต้องแก้ปมไหมพรมให้เสร็จก่อนจะไปทำอย่างอื่นได้ ที่จริงเขาควรเริ่มอ่านหนังสือสำหรับสอบปลายภาคได้แล้ว ส่วนสมาชิกอีกคนคล้องแขนตัวเองไว้หลวมๆ พิงไหล่เขาในขณะที่ชมข่าวในช่องต่างประเทศอยู่

   "สัปดาห์หน้าผมไปเที่ยวกับที่บ้านนะ"

   บอกไว้ก่อนว่าจะไม่ได้มาหาช่วงวันหยุด จะยกทั้งครอบครัวไปพักผ่อนก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะต้องหมกตัวอยู่กับคอนโดยาวในช่วงการสอบไล่

   "ครับ"

   "อยู่คนเดียวได้นะ?"

   "ครับ"

   ไม่เคยได้ยินพิชชาตอบรับส่งๆ มาก่อน ลองนึกย้อนไปว่าตั้งแต่กลับบ้านมามีเรื่องเล่าอะไรที่น่าจะยังติดค้างอยู่ในใจบ้างหรือไม่

   "กลับบ้านไปคุยเรื่องอื่นมาด้วยใช่ไหม" เรื่องที่ทำให้พิชชาคิดมากได้ก็มีแค่อย่างเดียว

   “สรุปแล้วหัวใจของคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับราชา”

   หนึ่งคำที่เคยถามแต่ยังไม่ได้ตอบ

   “หวังให้ผมตอบเลี่ยนๆ อย่างเช่นอยู่กับคุณอยู่หรือไง”

   “ถ้าตอบอย่างนั้นผมจะผิดหวังมากเลยครับ”

   หัวเราะให้เสียงยุ่งติดไม่พอใจ เขาถึงชอบที่อยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์อย่างนี้ไง ไม่ต้องมีเรื่องเซอร์ไพรส์หรือว่าทำอะไรให้อยู่ในความสนใจของคนอื่น ไม่เคยเอาคำหวานมาใช้กัน

   “หัวใจของผมก็อยู่ตรงอกซ้าย” บอกตามหลักของวิชากายวิภาค ความเงียบสงบรอบตัวช่วยให้จับจังหวะการเต้นที่ยังอยู่ในความเร็วเท่าเดิม “เป็นอวัยวะที่ช่วยให้ร่างกายของผมยังทำงานอยู่ได้”

   ไม่เคยเชื่อเรื่องการฝากใจไว้ที่ใครอื่น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลาพูดถึงเรื่องความรักแล้วชอบเอาไปเกี่ยวกับหัวใจ ทั้งที่ส่วนที่ทำให้เรามีความรู้สึกมันควรเป็นการสั่งการจากสมองมากกว่า ยิ่งฟังเพลงแล้วก็ไม่อินเข้าไปใหญ่เพราะว่าจะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นมาจนต้องเลิกใช้ตรรกะเรื่องความเป็นจริงมาปรับ

   "แล้วคุณเคยคุยกับภัสสร์เรื่องอนาคตไหมครับราชา"

   ระหว่างการแก้ปมของสีที่สามหัวข้อใหม่ของการสนทนาก็เริ่มขึ้น พิชชาไม่เคยคิดว่าการพูดถึงคนที่จากไปจะสร้างรอยแผลอะไรเพิ่ม มันคือการยอมรับว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วมันไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้ และยังดีเสียกว่าถ้าเราจะเก็บเขาไว้ในความทรงจำ

   "เคยนะ บอกว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก"

   "อย่างนั้นเหรอครับ"

   "มีอะไร...?"

   "วันนี้เจอทนาย เขาบอกภัสสร์เขียนคำสั่งเอาไว้"

   อายุเข้าเกณฑ์ที่จะทำพินัยกรรมเองได้แล้ว มือที่ขยับไม่มีหยุดพักลดระดับความเร็วลงหน่อยเพื่อแบ่งไปจับประเด็นในเรื่องเล่า อย่างเด็กคนนั้นจะสั่งอะไรเอาไว้นะ เรื่องชื่อลูกของพี่กายหรือไง

   "เขาอยากไปผมพาไปเที่ยว..."

   สมุดเล่มหนาไม่มีลวดลายตรงหน้าปกวางลงตรงตัก เป็นผลโดยตรงให้ทิ้งก้อนไหมพรมหนาเอาไว้ข้างตัว ทิวากาลหยิบมันขึ้นมาเปิดดูรายละเอียดคร่าวๆ เอาแค่พอให้เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไร ทุกหน้าเขียนด้วยลายมือโดยมีภาพประกอบของสถานที่เอาไว้ครบ ระบุชื่อประเทศ ชื่อเมือง รวมถึงกิจกรรมที่อยากให้ไปทำเอาไว้ชัดเจน

   "คุณต้องเรียน" เด็กเอกธุรกิจไม่เหมือนกับเขา วิชาเรียนไม่เคยมีการเช็คชื่อเลยทำให้บางคนเห็นหน้าแค่ช่วงสอบเท่านั้น "จะทำอย่างนั้นจริงคงต้องใช้เวลาหลายเดือน"

   "หรืออาจหลายปีครับ"

   มีลางร้ายจนต้องปรามเอาไว้ก่อน "ไม่เอานะพิช"

   "มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำให้เขาได้ครับ"

   "แต่คุณไม่ต้องทำขนาดนั้น"

   มือขาวซีดก้มลงแตะสร้อยสีเงินของตัวเอง "...ผมยังต้องชดใช้ให้ภัสอยู่"

   พูดอะไรไม่ออกสักอย่าง สมองกำลังหาเหตุผลมารองรับการกระทำก่อนจะใช้อารมณ์ในการโต้เถียง มันเป็นเรื่องที่ดูบ้าหากพูดตามมุมของแบล็ค และมันอาจเป็นเรื่องที่สมเหตุผลที่สุดในมุมของพิช ในเมื่อคนเป็นพี่น้องเกิดมาเพื่อชดใช้ให้กัน นั่นคือ 'หน้าที่' ของพิชชาที่ต้องทำ

   จนมั่นใจว่าตัวเองสงบลงแล้วถึงถามต่อ "เมื่อไหร่"

   "คิดว่าไม่เกินเดือนหน้าครับ"
   
   ทุกอย่างเร็วจนตั้งตัวไม่ติด ความคิดเรื่องตามไปนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัว เขาเองก็มีเงื่อนไขของตัวเองเช่นกัน การทำหน้าที่ในฐานะลูกคนโตยังรั้งเขาเอาไว้ "งั้นเหรอ..."

   นอกจากไม่อยากขยับปากหัวใจก็พลอยลดจังหวะการสูบฉีด กลิ่นน้ำหอมที่เคยชอบวันนี้แสบจมูกจนไม่อยากจะหายใจเข้าไปอีก มุมก้มที่ควรเห็นแต่ตักของตัวเองมีใครบางคนแทรกเข้ามาในจอรับภาพ ผู้ชายผมสั้นที่เขายังไม่คุ้นชินกับทรงผมนี้สักเท่าไหร่

   "ผมเคยบอกไหมครับว่าตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ผมได้เจอคุณอีกแล้ว"

   "ภัสเคย"

   “นั่นแหละครับ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม”รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุขล้น จนเขาไม่อยากทำให้มันหายไป “แค่ได้เจอคุณก็พอ”

   “พิชชา...”

   "สิ่งที่ผมปรารถนาเกิดขึ้นจริงแล้ว" อยากจะกระชากเสียงออกไปใจจะขาดว่าถ้ารู้สึกอย่างนั้นจะจากเขาไปทำไม ติดก็ตรงนัยน์ตาสีแปลกกับรอยยิ้มแกมโศกไม่เข้ากับคำเล่ากลบทุกอย่างให้อยู่เพียงในความคิด "และคราวนี้ผมก็ต้องทำความฝันของน้องให้เป็นจริงเหมือนกัน"

   ไม่ว่าส่วนไหนก็ไม่เหลือที่พอให้ตัวเองแทรกเข้าไปได้

   เลยไปสัมผัสกับสร้อยสีเงินเส้นคุ้นตาเอาไว้ เครื่องประดับงานละเอียดแทนสัญญาของพี่น้อง เขาไม่กล้าแม้ยกมือขึ้นแตะใบหน้าอีกคนเอาไว้

   เพราะกลัวเหลือเกินว่าหากสัมผัสแล้วมันจะสลายไป

   “คุณไม่น่ารักเลยนะพิช”

   การหัวเราะสั้นมาพร้อมกับย้อนด้วยคำเดิม “ผมเคยน่ารักเหรอครับ”

   “ไม่”

   “ก็นั่นแหละ” มือเย็นเอื้อมมาทับกับบริเวณที่เขาจับสร้อยอยู่ "เพราะงั้น...รอได้ไหมครับ"
   
   คำร้องขอที่ไม่เคยคิดว่าจะตอบยากได้ขนาดนี้ ความหนาวเหน็บต่างจากทุกครั้งพุ่งตรงเข้าสู่ข้างในร่างกายไม่มีหยุด พิชชาชอบสั่งมากกว่าอ้อนวอน และเขาก็ติดนิสัยตามใจจนลืมไปแล้วว่าการตัดสินใจด้วยตัวเองมันเป็นความรู้สึกแบบไหน

   "ผมบอกไม่ได้ว่าอีกนานเท่าไหร่ แล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะจบลงแบบไหน แต่ผมสัญญาว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะกลับมาหาคุณให้ได้"

   ไร้ความลังเลข้างในนัยน์ตานั้น ทิวากาลจ้องจนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนกลับมา

   "คุณใจร้ายมากเลยนะพิช" ถ้อยคำตัดพ้อเหมือนอย่างที่รู้สึก "ก็รู้อยู่แล้วว่าผมตอบอย่างอื่นไม่ได้"

   “ตอบอย่างอื่นได้นะครับ อยู่ที่คุณ”

   “ผมบอกว่าอยู่กับคุณ แต่คุณกำลังหนีผมไป”

   “ชั่วคราวเท่านั้นครับ” การเดินทางไกลขนาดนั้นมันกินเวลายาวนานจนยากจะยอมรับ “เราจะได้เจอกันอีกแน่นอน”

   “...”

   “ที่คุณเคยถามผมว่าหัวใจของผมอยู่ที่ไหน” ทิวากาลเคยย้อนถามกลับไปเช่นนั้น มือเย็นเฉียบยกขึ้นแตะตรงตำแหน่งหัวใจของตนเอง “มันจะอยู่ตรงนี้ ช่วยให้ผมทำ ‘หน้าที่’ ต่อไป แล้วเมื่อไหร่ที่หน้าที่ของผมจบ ด้ายสีดำจะพาผมกลับมาเจอคุณอีกครั้ง”

   ถ้าเราได้เจอกันแล้ว ...จะไม่มีวันจากกันไป

   “คุณจะรอไหมครับ”

   ผ่านการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ มาก็มาก ทิวากาลเป็นคนเด็ดขาดเสมอไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน มันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่คนเป็นพี่โตสุดควรมี ชั่งวัดถึงข้อดีแล้วก็ข้อเสียทั้งหมดแล้วเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แม้บางครั้งมันอาจเป็นทำให้ตัวเองเจ็บปวดก็ตาม

   คำตอบที่ยังไม่ได้เอ่ยเรียกแย้มยิ้มจางจากคนร้องขอ ก็พิชชาเป็นอย่างนี้จะให้เขาทำอะไรได้ล่ะ

   "รอ"
   
   หนึ่งคำสั้น

   แทนคำสาบานนิรันดร์


***
   พรุ่งนี้จะมาพร้อมตอนจบนะคะ
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
«ตอบ #106 เมื่อ24-02-2017 20:40:21 »


รอ

#พิชแบล็ค
#รักมาก

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
«ตอบ #107 เมื่อ25-02-2017 18:29:42 »

 :pig4: :pig4: :L2: :L2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.18 [24.02.17] P.4
«ตอบ #108 เมื่อ25-02-2017 21:14:57 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
«ตอบ #109 เมื่อ25-02-2017 21:28:19 »

CH.19

   เสียงฝีเท้าเบาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหน้าห้องเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะของตัวเอง ตัวเลขเจ็ดด้านหน้ากับห้าสิบห้าตรงด้านหลังบอกเธอว่าใครคือผู้มาเยือน ก็ท่านที่มาก่อนเวลาเข้างานอย่างนี้มีอยู่ไม่กี่คนเองนี่นา

   "อรุณสวัสดิ์ค่ะท่าน"

   "สวัสดี"

   'ท่าน' มาพร้อมกับของฝากจากภาคใต้ขนาดกำลังดีสองถุง ที่ไม่ได้เข้ามาหลายวันเห็นว่าไปสัมมนาต่างจังหวัด หล่อนกล่าวคำขอบคุณตามมารยาทโดยเตือนตัวเองว่าอย่าจ้องมากไป พอผู้มาใหม่เดินเลยไปแล้วจึงชะเง้อมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตา

   จะเจอมากี่ปีก็ยังไม่ชิน 'ท่าน' ในศาลที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง อย่างเธอเองเจอครั้งแรกก็อดกรี๊ดในใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ ตัวสูง หุ่นดี ดีกรีนักเรียนนอกที่สอบเป็นผู้ช่วยได้ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปี มีหลายคนอยากเข้าไปใกล้ชิดแต่เจอนัยน์ตาสีดำมองตรงมาก็ไม่กล้าทำอย่างที่พูดไว้

   ท่านมีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

   ไม่เคยเข้างานสายเหมือนอย่างที่ผู้คลุกคลีในวงการกฎหมายหลายคนสบประมาทว่าเป็นพวกไม่รักษาเวลา รวมถึงทุ่มเทกับงานจนกว่าจะเสร็จสิ้นดี

   "ท่านทิวามาแล้วเหรอ"

   น่าขำที่คนทำงานในห้องมาก่อนผู้ต้อนรับ พยักหน้าให้เล็กน้อยพลางส่งของฝากอีกถุงไปให้ "เคยมาสายที่ไหน"

   "ส่วนบางคนก็ไม่เคยมาทัน"

   "ชู่ว อย่าเสียงดังไป"

   เอ็ดเข้าให้ ขืนมีท่านคนไหนเดินผ่านไปแล้วได้ยินเดี๋ยวจะได้หางานใหม่ สมัยนี้งานดีๆ ไม่ได้มีมาก เธอชอบบรรยากาศการทำงานที่นี่ รวมถึงคนร่วมงานที่ไม่จ้องเอาแต่จะขัดขากันอย่างบางแห่ง ถึงเงินเดือนจะไม่มากแต่เมื่อเทียบกับชั่วโมงการทำงานรวมแล้วก็คุ้มอยู่

   "เรื่องจริงไหมล่ะ แล้วนี่มีใครมาแล้วบ้าง"

   "ท่านอื่นยังไม่มา" กว่าเข้างานกันบางคนสายเป็นชั่วโมง

   "สบายไป ยังไม่ต้องเริ่มงาน"

   สังคมที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันมันน่าเบื่อ เธอเกือบจะถอนหายใจออกมาแล้วด้วยซ้ำในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นแทน "ไปชงกาแฟนะ"

   ส่วนของที่ทำงานจะมีห้องกลางไว้สำหรับพักผ่อน ของว่างหลายแบบเตรียมเอาไว้พร้อม ช่วงเวลาตอนเช้าอย่างนี้มันยังว่างเปล่าไร้ผู้คน เธอตรงไปยังส่วนของเครื่องทำกาแฟสด กดคำสั่งคล่องแคล่วเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกเช้า รอจนได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงหมุนตัวเตรียมกลับไปประจำที่

   "อุ้ย!"

   ไม่คิดว่าจะหันมาเจอท่าน

   "ขอโทษที"

   "...ไม่เป็นไรค่ะ"

   ควรจะเลี่ยงตัวเดินออกไป ผิดก็ตรงที่ขาไม่ยอมฟังคำสั่ง เธอทำเป็นคนกาแฟในแก้วของตัวเองระหว่างที่ลอบมองว่า 'ท่านทิวากาล' เลือกเครื่องดื่มอะไรสำหรับยามเช้า กับบางท่านแล้วไม่เคยมีเรื่องไหนเป็นความลับ ผิดกับคนที่เธอกำลังใช้อากาศหายใจร่วมกันในเวลานี้ เพราะว่าน้อยเรื่องนักที่ทุกคนจะรู้ตัวตนที่แท้จริง

   เท่าที่ได้ยินมาก็นามสกุลหวิดทำเอาเกือบไม่ได้บรรจุ คนพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลแต่ลูกกลับมาผดุงความยุติธรรม ยังดีที่ผลสอบออกมาสวยงามจนข้อกังวลทั้งหมดตกไป ส่วนเรื่องอื่นนั้นบอกได้เลยว่าไม่มีใครให้ข้อมูลได้ จนมีเพื่อนร่วมรุ่นของท่านย้ายมาทำงานที่นี่เมื่อสองสามปีที่แล้วเรื่องของท่านทิวาถึงแพร่หลายมากขึ้น

   "กลิ่นหอมจังค่ะท่าน"

   เมล็ดกาแฟคั่วของตัวเองเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่อยู่ในมือของอีกคน ช่วงเช้าที่เคยคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนเท่านั้นจึงจะช่วยให้ตื่นตัวคราวนี้คงต้องลองเปลี่ยนใหม่ เธอไม่ได้สังเกตว่าท่านหยิบซองชาช่องไหนไป น่าแปลกดีที่เห็นผู้ชายดื่มชา

   "ทั่วไป ยังมีอย่างอื่นหอมกว่า"
   
   พูดน้อย ไม่ค่อยคุยอะไรนอกเหนือจากความจำเป็น เป็นที่รู้กันว่าการคุยงานกับท่านครั้งหนึ่งต้องเตรียมข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อม แล้วอย่าหวังว่าจะมีการคุยเล่นเรื่องอื่นเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย รอบๆ ตัวของท่านต่อให้เปิดเพลงสดใสมากแค่ไหนมันก็ยังมีรังสีอะไรบางอย่างแผ่ออกมาเสมอ

   "ท่านไม่ดื่มกาแฟเหรอคะ" ได้คืบจะเอาศอก ใช่ว่าโอกาสคุยกับท่านทิวาจะมีมากเสียเมื่อไหร่ "ไม่เคยเรียกให้ชง"

   อีกอย่างที่ไม่เคยมีคือการเรียกขอกาแฟ ท่านไม่เคยใช้งานเลขานอกเหนือไปจากการทำงานโดยตรง ไม่ต้องจัดเตรียมของใช้ ไม่ต้องไปซื้อของให้ ท่านทำเองเสมอจนไม่เคยมีใครรู้ว่ารสนิยมของท่านเป็นอย่างไรบ้าง

   คราวนี้เธอไม่ได้คำตอบ ท่านยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ อีกพักหนึ่งจึงเดินออกไปโดยไม่มีคำลา เมื่อตรงนั้นไม่มีใครอยู่อีกแล้วมันก็ได้เวลากลับมาอยู่ที่ของตัวเองเช่นกัน

   "ไปนานเชียว"

   "เจอท่านทิวาในห้องพัก" เรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างนี้ก็ต้องเล่าหน่อย

   "อย่าบอกนะว่าคุยกับท่าน"
   
   หล่อนยกไหล่ขึ้น "แค่บอกว่าชาหอม"

   "ว่าแล้วเชียว"

   บอกแล้วว่าเป็นเรื่องรู้กันทั่วไปว่าท่านไม่ค่อยสุงสิงกับคนอื่น งานเลี้ยงกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็นหน้าหากไม่ใช่งานสำคัญในระดับมากถึงมากที่สุด พอประเด็นเรื่องของท่านถูกจุดขึ้นมาเรื่องเดิมๆ ก็จะมีการหยิบยกขึ้นมาโต้เถียงกันได้อีก ตั้งแต่เรื่องงานไปจนถึงเรื่องส่วนตัว

   "เออนี่ เตรียมชุดสำหรับงานวันมะรืนหรือยัง" มันจะมีงานเลี้ยงเกษียณส่งลาท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งในศาล ทุกคนได้รับเชิญถ้ว
นหน้า "ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใส่รองเท้าคู่ไหน"

   "ชุดสีอะไรล่ะ"

   "โทนฟ้า ไม่มีปัญหาดี"

   "ถ้าอย่างนั้นก็เอาสีที่ใกล้เคียงกัน จะได้ไม่ประหลาด"

   เรื่องของ 'ท่าน' เลยถูกพับเก็บลงไป



   งานเลี้ยงเรียบง่ายคลอไปด้วยเสียงดนตรีเล่นเพลงยุคเก่า บทสนทนาเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของงานจนเกิดเสียงจอแจเต็มไปหมด งานของเหล่าท่านก็จะเต็มไปด้วยผู้พิพากษาและคนในวงการที่รู้จักกันมานมนาน มองไปทางไหนก็พบแต่คนหน้าคุ้นเต็มไปหมด

   สาวเลขามองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ชุดราตรียาวสีเลือดหมูคือคำตอบสุดท้ายหลังจากที่ไม่สามารถหารองเท้าเข้ากับชุดเดิมได้ เธอหมุนตัวตรวจสอบไปมาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาดจึงเดินกลับมาร่วมวงกับเพื่อนคนอื่น

   "นานจัง"

   "ไม่อยากมีปัญหา" งานใหญ่อย่างนี้ไม่ควรมีข้อบกพร่อง "แล้วนี่ท่านทิวามาหรือยัง"

   อาจเป็นเพราะเพิ่งเจอในห้องพักเมื่อวันก่อนเลยอดคิดถึงไม่ได้ เพื่อนของเธอชะเง้อหน้ามองไปทั่วงานก่อนลดตัวลงมาส่ายหัวให้ "ยังหรอ..."

   เสียงฮือฮาเรียกให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปตรงหน้าประตูทางเข้างาน

   "ผู้หญิงคนนั้นใคร?"

   ท่านทิวากาลผู้ซึ่งหลายคนรอคอยการปรากฏตัววันนี้มาพร้อมกับหญิงสาวผมยาวในชุดราตรีสีนวลไข่มุก งานนี้เป็นท่านผู้ใหญ่ที่ทุกคนรู้ว่าเอ็นดูทิวากาลเหมือนลูกเลยค่อนข้างแน่ใจได้ว่าหนึ่งในสมาชิกข้างในงานจะต้องมีท่านผู้เงียบขรึมด้วย เพียงแต่มันมีเรื่องน่าประหลาดใจก็ตรงคนที่ท่านควงมาด้วยนี่แหละ

   "แฟนเหรอ?"

   "บ้า ท่านคุยกับใครด้วยเหรอ"

   ชายหนุ่มอนาคตดีผู้เพียบพร้อมย่อมถูกเพ่งเล็งจากสาวๆ มากหน้าหลายตา เพียงแค่ว่าทุกคนต่างทำได้แค่ส่วนของ 'เพ่ง' แต่ไม่กล้าที่จะ 'เล็ง' เป้าหมาย ไม่เคยมีร่องรอยหลักฐานในปรากฏว่าท่านมีใครอื่น บนโต๊ะทำงานมีเพียงกรอบรูปครอบครัววางไว้อยู่โดดเดี่ยวเท่านั้น

   จะแอบถามจากใครก็ไม่มีเคยมีคนบอกได้ว่าคนอย่างท่านทิวากาลนั้นมีความรักเหมือนกับใครอื่นบ้างหรือไม่

   "ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นใครล่ะ"

   "แฝดน่ะ แบล็คเป็นแฝดชายหญิง"

   การเฉลยดังมาจากด้านหลัง เสียงแทรกเล่นเอาวงโต้เถียงของหญิงสาวแตกเป็นเสี่ยง เธอหันไปมอง 'ท่าน' อีกคนผู้เป็นเพื่อนเรียนกลุ่มเดียวกันสมัยเรียนปริญญาโทในต่างประเทศของท่านทิวากาล เคยทำงานอยู่ที่ศาลเป็นช่วงสั้นๆ แล้วขอย้ายไปประจำศาลพิเศษอื่นซึ่งตรงตามสายที่เรียนมามากกว่า

   เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

   "ไม่เหมือนกันเลยค่ะ"

   เป็นความรู้ใหม่ว่าท่านมีแฝด ก็บอกแล้วว่าเรื่องส่วนตัวของท่านไม่เคยมีใครรู้ แล้วหน้าไม่เหมือนกันอย่างนั้นบอกว่าเป็นคนเพิ่งรู้จักกันก็ยังเชื่อ

   "ไม่เคยมีใครบอกว่าเหมือน"

   "เพราะต่างเพศเหรอคะ"

   "ลองถามมันเองไหมล่ะ เดินมานู่นแล้ว" มือที่ยังมีแก้วแชมเปญอยู่ยกขึ้นไปทิศหนึ่ง "ว่าไงแบล็ค"

   ชื่อเล่นที่ไม่เห็นว่าเข้ากับชื่อจริงตรงไหน สำหรับการเรียก 'ชื่อ' ของท่านบางคนก็ชอบที่จะใช้ชื่อเล่นเพราะมันลดความห่างเหินลงไปดี แต่กับทิวากาลแล้วถึงจะรู้ชื่อเล่นก็ไม่มีใครกล้าเรียก ไม่ว่าใครก็จะเต็มใจเรียกว่าท่านทิวามากกว่า อย่างที่เธอเจอมากับตัวคือเผลอหลุดปากไปถามว่าชื่อแบล็คที่แปลว่าสีดำใช่หรือไม่ นัยน์ตาซ่อนแววอะไรบางอย่างที่เธอได้กลับมาลบทุกความสงสัยหลังจากนั้น

   "สบายดี"

   หล่อนเลี่ยงตัวเองมาอยู่หลังฉาก แบบที่ยังอยู่ในวงเดียวกันแต่ก็ไม่มีปากมีเสียง

   "ไวท์สบายดีนะ"

   "...อืม"

   สรุปเอาเองว่าเงียบหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง คนหนึ่งชื่อแปลว่าสีดำส่วนอีกคนก็เป็นสีขาว สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกัน

   "แล้วทำไมวันนี้มาด้วยล่ะ"

   "โดนทิ้ง ทำหน้าตาน่าสงสารเลยพามาด้วย"

   คิดไม่ออกว่ามันน่าหัวเราะตรงไหนท่านถึงกลั้นขำเสียขนาดนั้น ในกลุ่มเพื่อนผู้พิพากษาของท่านมีหลายแบบ ตั้งแต่ใส่แว่นหนาคงแก่เรียนไปจนถึงเพลย์บอยที่ไม่เข้าใจว่าเอาเวลาไหนไปอ่านหนังสือ ส่วนสิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันคือการมาเป็นเพื่อนกับท่านทิวากาลคือสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุด

   "อย่างนั้นเหรอ กลายเป็นว่ามาแล้วยิ่งแย่กว่าเดิมหรือเปล่า"

   ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จ้องเทียบความแตกต่างของคนเป็นพี่น้องทุกสัดส่วน ส่วนของตาคือสิ่งแรกที่ต่างกันชัด ท่านทิวานัยน์ตาจะรีกว่าแล้วก็เป็นสีดำสนิท ส่วนของน้องสาวนั้นกลมกว่าหน่อยบวกกับสีของตาเรียกไม่ถูกว่าควรใช้คำไหน ส่วนอื่นนั้นก็แตกต่างกันไปตามเพศ

   "ไม่หรอก พาออกมานอกบ้านบ้างด้วย"

   "แต่คงอยู่ไม่ถึงชั่วโมง" พูดอย่างคนที่รู้จักกันมานาน คนอย่างทิวากาลน่ะไม่เคยอยู่ในงานเลี้ยงได้นาน "เห็นท่านอยู่ตรงโต๊ะหน้าเวที"

   "เดี๋ยวไป คนเยอะอยู่"

   "จะว่าไปวันก่อนพาเด็กที่ไหนไปเที่ยวล่ะ"

   "ข่าวไว" เพื่อนที่เคยเป็นแค่คนร่วมคณะผู้เลื่อนขั้นเป็นคนร่วมห้องสมัยเรียนต่อต่างประเทศ "ลูกของคนรู้จัก"

   "น่ารักดี ชื่ออะไร"

   "พัสสะ"

   นานๆ ทีถึงจะได้เห็นท่านทิวาคุยเรื่องอื่นให้เป็นบุญตา คำว่าคุยก็คือการตอบรับสั้นๆ ตามแบบแต่ว่ามีการเสริมเรื่องอื่นลงไปนิดหน่อย ส่วนแฝดของท่านยืนนิ่งคล้ายกับรูปปั้นสลัก น่าอิจฉาใบหน้าสวยหมดจดอย่างนั้น ทุกอย่างรับเข้ากันจนไม่เจอที่ติ

   "ท่านดูสนิทกันนะคะ" เปรยขึ้นระหว่างมองแผ่นหลังคู่หนึ่งไกลออกไป

   เสียงหัวเราะหยันชีวิตตัวเอง "ยังติดหนี้กันอยู่ ไปไหนไม่ได้"

   "หนี้?"

   "อืม ติดไว้ตั้งแต่ปีสี่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ใช้"

   "ไม่ลืมได้ยังไง"

   "ก็อยากจะลืม" ไหล่ยกขึ้นลงตามแรง "แต่พอเป็นแบล็คแล้วไม่กล้าลืมสักที"

   "ท่านทิวาไม่เหมือนพวกเราเลยนะคะ" แม้แต่กับฝาแฝดของตัวเองก็ยังต่าง หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์แต่ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่า 'ต่างชั้น' เหมือนกับพี่ "สมัยเรียนคนอื่นคิดอย่างนั้นไหมคะ"

   "ใครไม่คิดต่างหาก"

   ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเธอไม่ได้คิดไปเองคนเดียว

   "นี่...มาพนันกันไหม"

   "คะ?" กับท่านบางคนเมื่ออายุไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ก็สามารถคุยได้ปกติ

   "แบล็คจะทนอยู่ในงานได้กี่นาที"

   "...ห้าสิบเอ็ดนาทีค่ะ"

   โชว์หน้าจอโทรศัพท์ที่จับเวลาเอาไว้ตั้งแต่จบการพนันจนถึงตอนที่ทั้งสองเดินออกจากประตูหน้างานไป ถือว่าเป็นตัวเลขที่กำลังดีเลยล่ะ

   "ไม่ถึงชั่วโมงแฮะ"

   "นอกจากติดหนี้ท่านทิวาแล้วก็เพิ่มเจ้าหนี้เป็นฉันเข้าไปด้วยนะคะ"

   คุยกันสนุกสนาน อย่างมากก็เลี้ยงอาหารมื้อหรูสักครั้งหนึ่ง นอกศาลเป็นเพื่อนไม่ต้องรักษาระดับความสัมพันธ์เอาไว้ ทั้งสองเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกล้องจับภาพเคลื่อนไหวตามติดไปทุกอิริยาบถ สังเกตได้ว่าจากปกติที่ท่านไม่ค่อยมีใครเข้ามาคุยด้วยคราวนี้มันยิ่งไม่มีใครกล้ามากกว่าเดิมเมื่อเห็นคนข้างๆ

   "ติดหนี้มาเฟียระดับโลกยังไม่น่ากลัวเท่าติดหนี้แบล็คคนเดียว"

   "ท่านทิวาสร้างวีรกรรมอะไรไว้เหรอคะถึงต้องกลัวขนาดนั้น"

   "ไม่เคยทำอะไรเลยต่างหาก..."

   "ไม่เคย?"

   "แบล็คไม่เคยทำอะไรเลยตอนอยู่มหาลัย ยิ่งไม่ทำคนก็เลยรู้จัก"

   ท่านทิวาเป็นที่รู้จักของเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่รุ่นน้องในวัยไล่เลี่ยกัน เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็มีคนเข้ามาทักเสมอ แต่ก็นะ ที่เหมือนกันหมดก็คือรู้ว่าเป็น 'ทิวากาล' ส่วนเรื่องอื่นนั้นน้อยคนที่จะตอบได้ ขนาดคนที่ไปเรียนปริญญาโทต่างประเทศด้วยกันมาเป็นปียังบอกได้แค่ไม่กี่เรื่องเอง

   "แล้วเรื่องแฟนล่ะคะ" เธอไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ "ไม่เคยเห็นท่านกับใครเลย"

   สมถะ เรียบง่าย เคยต้องไปส่งเอกสารที่บ้านมาครั้งหนึ่งก็เป็นบ้านชั้นเดียวในซอยลึก ร่มรื่นแต่ดูไม่ใช่รสนิยมของท่านเสียเท่าไหร่

   "ไม่เคยเหมือนกันนั่นแหละ" เขาหัวเราะเมื่อพูดจบประโยค ย้อนคิดกลับไปแล้วสะกิดใจกับใบหน้าเลือนรางของใครบางคน "เหมือนจะเคยคุยกับสักคนช่วงปีสี่ แต่ว่าแป๊บเดียวก็หายไป"

   "สวยไหมคะ?"

   "อืม...สวยไหมเหรอ"

   ตอบออกไปไม่ได้ พยายามนึกแค่ไหนก็ไม่สามารถจับใบหน้าของใครคนนั้นให้ชัดเจนได้เลย เป็นเรื่องน่าแปลกของคนเรียนกฎหมายผู้สามารถจำมาตราในประมวลได้เป็นร้อยๆ แล้วยังมีพระราชบัญญัติอย่างอื่นคอยเสริมอีกเป็นตั้งกลับนึกไม่หน้าของคนเดียวไม่ออก

   เหมือนว่าช่วงนั้นเริ่มมีข่าวลือเรื่องของแบล็คนี่แหละ สายข้างในก็ไม่พ้นเพื่อนร่วมกลุ่มที่ดันไปเจอทิวากาลเดินอยู่กับบางคนเข้า มันยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปใหญ่เมื่อมีหนึ่งในเพื่อนบอกว่าแบล็คเคยถามเรื่องของคนแปลกหน้าคนนั้นด้วย แต่ว่าพอทุกคนพร้อมใจกันพิสูจน์หลักฐานก็หายไปเสียแล้ว

   "จำไม่ได้เลยแฮะ"

   นึกไม่ออกแม้กระทั่งว่าคนคนนั้นเป็นหญิงหรือชาย

   ราวกับมีม่านหมอกชั้นหนาคอยซ่อนเอาไว้



 
   เรื่องของท่านทิวามักจะมาในช่วงสั้นๆ แล้วก็ไม่เคยมีใครยุติได้สักที

   อย่างตอนนี้มันก็มีข่าวว่าท่านกำลังจะลาออกจากราชการทั้งที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย อีกไม่นาจะได้เลื่อนขั้นรวมถึงอาจเปลี่ยนศาลอีกด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่มีทุกอย่างพร้อมแต่กลับจะทิ้งมันเอาไว้ตรงนั้น

   "ผมจะออกไปข้างนอก คิดว่าไม่มีงานด่วนแต่ถ้ามีใครมาหาก็ฝากบอกว่าเดี๋ยวติดต่อกลับ"

   "คะ?" ใจลอยจนไม่ทันได้รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างๆ

   “มีสติหน่อย ถ้ามีใครเอาปืนมาจ่อไว้จะได้หนีทัน”

   “โธ่ท่านคะ คงไม่มีใครมาทำอะไรฉันหรอกค่ะ”

   “แค่นัดเดียว...ก็เจ็บกันมาเยอะแล้ว”

   ตอนที่ท่านทิวาทำหน้าจริงจังกว่าทุกครั้งทำเอาเธอไม่กล้าแซวอะไรกลับ "ผมไปฟังคำพิพากษาหน่อยนะ"

   สมองยังไม่ทันสั่งให้ตอบรับอะไรคนที่อยู่ในความคิดก็หายไปเสียแล้ว เธอทำได้แค่กลับไปมานั่งอยู่กับที่แบบเดิม เขียนเตือนความจำเอาไว้ว่าถ้ามีใครมาหาท่านจะต้องทำอย่างไรต่อ จนจบคำสุดท้ายแล้วแปะมันเอาไว้ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ถึงสะกิดใจอะไรบางอย่าง

   ท่านไปฟังคำพิพากษาของคดีไหนกัน

   ข้อมูลการออกนั่งบัลลังก์ไม่ใช่ข้อมูลลับอยู่แล้ว เธอเปิดหาจนเจอคดีของวันนี้ลากยาวมาจนถึงที่จะตัดสินในบ่ายนี้ มันมีเพียงคดีเดียวในศาลเลยไม่ต้องไปนั่งเดาอีกว่าคดีไหน

   "พินัยกรรม...เหรอ"

   มันเป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลด้วยข้อพิพาทเรื่องพินัยกรรม แต่ไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไรเพราะยังไม่มีคำพิพากษาฉบับเต็มออกมา ดูชื่อของโจทก์จำเลยแล้วไม่มีใครใช้นามสกุลเดียวกับท่าน แล้วจะไปฟังเพื่ออะไรกัน หรือว่าเป็นคดีของคนรู้จักอย่างนั้นเหรอ

   นั่งทำงานเอกสารของตัวเองไปจนถึงบ่ายสามกว่าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนถอนหายใจด้วยความเสียดายว่าสุดท้ายแล้ววันนี้ก็มีงานเข้าจนได้ อุตส่าห์หลงดีใจไปแล้วว่าวันนี้ไม่มีงานภาคบ่ายเลย

   "ค่ะ"

   (มึงระวังตัวไว้! เวรกรรมจะตามกลับไปหามึง!!)

   "..."   

   สัญญาณถูกตัดไปแล้ว เธอยกโทรศัพท์เอาไว้ข้างหูอย่างเดิมในขณะที่หัวใจเริ่มสูบฉีดเลือดเข้าไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าการทำงานในส่วนของการตัดสินคดีความนั้นมันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีโทรศัพท์เกรี้ยวกราดเช่นนี้ คนที่ถูกตัดสินให้ผิดบางครั้งก็ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ จึงโทษว่าความผิดนั้นอยู่ที่กรรมการ

   ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครั้งนี้ถึงใจหายกว่าที่เคย

   ถึงไม่อยากจะทำแต่ถ้าท่านทิวากลับมาคงต้องเตือนไว้ ในรอบสองสามสัปดาห์หลังมันมีคดีเดียวที่ตัดสินแล้วเกิดปัญหา ซึ่งตามลำดับชั้นของศาลแล้วความจริงยังสามารถยื่นเรื่องให้ตัดสินใหม่ได้อีกครั้ง ที่ไม่มีใครอยากรอเพราะมันต้องใช้เวลาในการพิจารณาใหม่อีกหลายปี

   หนึ่งสิ่งที่ทำให้ท่านทิวาได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าคนอื่นคือผลงาน มีหลายคดีที่บางท่านปฏิเสธไม่ขอรับมันก็เลยถูกผลักภาระมาหาท่านทิวาแทน เธอเคยถามอยู่เหมือนกันว่าไม่กลัวบ้างเหรอแล้วท่านก็ตอบง่ายๆ มาแค่ 'อีกไม่นานจะตายแล้ว ทำไปเถอะ' เมื่อประกอบกับฐานะทางบ้านแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคำอาฆาตแค้นใด สิ่งที่เคยเป็นข้ออ่อนของท่านในวันนั้นมันกลายเป็นจุดแข็งที่สุดที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้

   "ท่านคะ มีโทรศัพท์เมื่อช่วงบ่าย"

   บอกแค่นั้นเป็นอันรู้กันว่าหมายถึงอะไร

   ใบหน้าติดเรียบตึงไม่มีความกังวล "อืม คุณก็ระวังไว้"

   และกลายเป็นเธอเสียอีกที่ได้รับความห่วงใย มองท่านเขียนอะไรเสร็จแล้วก็หยิบพวกกุญแจขนาดใหญ่เดินออกจากส่วนห้องทำงานไป ในส่วนของศาลนั้นมีรถหรูอยู่หลายคน ส่วนของท่านนั้นกลับเป็นรถยี่ห้อญี่ปุ่นรุ่นธรรมดาไม่ตกแต่งอะไร มันเลยน่าค้นหาว่าคนอย่างท่านทิวานั้นที่แท้จริงแล้วเป็นคนแบบไหนกันแน่

   หลังจากที่รับโทรศัพท์แล้วมันก็ยังมีอีกสายเข้ามาอีก คราวนี้เวรกรรมของเธอบ้างแล้วล่ะ เอกสารที่เคยบอกว่าต้องส่งต้องสิ้นสัปดาห์กลายเป็นว่าจะเอาพรุ่งนี้แทน คืนนี้เลยต้องรีบทำเสียหน่อยเพราะเพิ่งเริ่มไปได้ไม่กี่สิบเปอร์เซนต์

   "งานด่วนเหรอ?"

   "ใช่ ชอบสั่งแบบไม่ให้เวลาหายใจ" ได้บ่นนิดหน่อยก็ช่วยให้สบายใจขึ้น "แล้วนี่ไปไหนมา"

   งานเลขาบางทีก็โดนเรียกไปใช้งานเป็นวัน คือตามที่บอกน่ะไม่กี่สิบนาทีแต่พอเห็นว่ามาแล้วก็สั่งให้ทำงานอื่นเพิ่มด้วย

   "เข้าไปช่วยท่านตอนตัดสินภาคบ่าย"

   "หืม?" นึกขึ้นได้ว่าอีกคนก็เข้าฟังเหมือนกัน "เจอท่านทิวาไหม เห็นบอกว่าจะไปฟังเหมือนกัน"

   "เจอ นี่ว่าจะมาเล่าอยู่ แปลกดีที่เห็นท่าน"

   ไม่เคยเจอท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการพิพากษาคดีอื่น อย่างมากก็แค่เอาคำพิพากษาฉบับเต็มมาอ่านหลังจากมีการตัดสินแล้ว

   "คดีอะไรน่ะ"

   "พินัยกรรมเขียนมือ ญาติคนอื่นบอกว่าคนตายไม่ได้เขียนเอง"

   "แค่นั้น?" มันดูเป็นคดีที่ไม่มีความซับซ้อนหรือว่าสำคัญอะไรสักนิด "ใครเหรอ"

   "ไม่รู้จัก ชื่อแปลกๆ ตายไปตั้งหลายปีแล้วทะเลาะไม่จบ"

   "เงินเยอะล่ะสิ"

   "เยอะอยู่นะ พวกบ้านมีเงิน"

   "แล้วตัดสินว่าไง"

   "เขียนเอง แล้วญาติคงจะอุทธรณ์ต่อ แต่ฉันว่าชนะยากเพราะหลักฐานชัดมาก"

   นอกจากจะเป็นคดีธรรมดาแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอย่างอื่นอีก "แล้วทำไมท่านทิวาถึงเข้า คนรู้จักเหรอ"

   "ไม่รู้ เราเคยรู้อะไรเกี่ยวกับท่านหรือไง"

   "รู้ว่าท่านกำลังจะลาออก"

   วันก่อนมีท่านผู้ใหญ่มาเยี่ยม แอบไปฟังได้ความว่าเข้ามากล่อมไม่ให้ท่านตัดสินใจออกจากอาชีพนักตัดสินคดีความ ถ้าผู้ใหญ่ลงมาขนาดนั้นแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นแค่ข่าวลือแล้วล่ะ

   "ก็ไม่น่าแปลกนะ"

   "เหรอ"

   "ฉันว่าท่านไม่ได้อยู่เพื่อทำงานอะไรอย่างนี้" เวลานี้งานเก็บเอาไว้ก่อน เรื่องอื่นสำคัญกว่า "พูดยังไงดี เหมือนท่านไม่ได้ทำมันไปเพราะอยากจะทำ"

   ทั้งที่การได้เป็นท่านเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา เพราะมันมาพร้อมกับ ‘ยศ’ และ ‘ศักดิ์’

   ความสูงของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทำให้ภาพด้านล่างดูเล็กจนนึกไปเองว่าตนนั้นยิ่งใหญ่กว่า หลงลืมไปว่าในท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาเหยียบดิน ต่างจากช่วงเวลาที่เห็นท่านทิวาบนนั้น

   ไม่รู้ทำไมแท่นที่เคยสร้างให้มนุษย์น่าหวาดเกรง

   กลับกลายเป็นมนุษย์ต่างหากที่ทำให้บัลลังก์น่าเกรงขาม

   "ท่านทำมันเพื่อรอบางสิ่งที่สำคัญกว่า”


***
ต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
« ตอบ #109 เมื่อ: 25-02-2017 21:28:19 »





ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
«ตอบ #110 เมื่อ25-02-2017 21:34:20 »

   กระดาษขู่อาฆาตเขียนด้วยอักษรสีแดงที่ไม่รู้ว่าหมึกหรือว่าเลือด ถ้อยคำผรุสวาทด่าทอการทำงานของท่านจนเต็มหน้ากระดาษ มันถูกเก็บไว้ในซองอย่างดีจนมองผ่านๆ แล้วไม่ต่างจากเอกสารทั่วไป นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่าทุกครั้งเท่าที่ผ่านมา

   "โอ้ย คราวนี้น่ากลัว"

   "ถ้าฉันไม่ไปตามหาเอกสารจะรู้ไหมเนี่ย"

   ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ท่านเอามาบอก แต่เธอลืมหยิบเอกสารออกมาจากห้องจนแอบถือวิสาสะเข้าไปเอาเองอีกรอบจนเจอว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ในถังขยะ

   "ท่านไม่บอกใครบ้างเหรอ เรื่องนี้มันใหญ่แล้ว"

   ผู้พิพากษาเป็นอาชีพที่มาพร้อมกับความเสี่ยง นอกจากจะไม่สามารถเข้าไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นได้ในทุกโอกาสแล้วยังต้องระวังอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย การตัดสินหนึ่งครั้งมันอาจทำลายทั้งชีวิตของคนบางคน มันเลยเป็นเหตุผลให้ท่านบางคนเลือกรับคดีไงล่ะ

   "อย่างท่านถ้าบอกล่ะแปลก" เคยปริปากพูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งานเสียที่ไหนล่ะ เรื่องส่วนตัวนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แค่รู้ว่ามีแฝดทั้งศาลก็ตื่นเต้นไปหมด "นี่ท่านไปไหนเช้านี้?"
   
   ท่านผู้ไม่เคยเข้างานสายวันนี้ยังไม่เห็นตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าวันนี้ออกไปทำธุระข้างนอก

   เช้ามาก็เจอเรื่องแปลกไปแล้วสองเรื่อง

   "ไม่ร...แป๊บนะ" พอพูดถึงท่านท่านก็โทรมา เธอยกมือขึ้นพักเบรคการพูดคุยพร้อมกับรับสายอย่างรวดเร็ว "ค่ะท่าน"

   (ผมเข้าบ่าย รถมีปัญหา)

   "อ๋อ ได้ค่ะท่าน"

   (แล้วก็ใครมาหาผมให้ระวังหน่อย)

   "...ค่ะ"

   สายขาดไปแล้ว และสิ่งเดียวที่เธอทำได้คือเม้มปากเอาไว้จนแน่น มันไม่สัมพันธ์อะไรเลยกับการที่รถมีปัญหาแล้วจะต้องรอถึงบ่าย ในเมื่อท่านเองก็สามารถปล่อยให้ประกันจัดการได้

   "ว่าไง"

   "รถ"

   "เรื่องใหญ่นะเนี่ย"

   เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันเรื่องรถที่เป็นหัวข้ออยู่ตอนนี้มันหมายถึงอะไร

   "งั้นฉันไปเก็บแฟ้มเซนต์ออกมาก่อน ไว้ท่านมาแล้วค่อยให้ดีกว่า" ลุกออกจากโต๊ะไปทางประตูห้องแขวนชื่อของท่านเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วจึงเห็นความผิดปกติบางอย่าง

   "เธอ มานี่หน่อย" เรียกให้อีกคนเดินมามองมุมเดียวกัน "รู้สึกไหมว่าห้องของท่านมันโล่งกว่าเดิมเยอะเลย"

   ห้องที่เคยโล่งอยู่แล้วคราวนี้เกือบเรียกได้ว่าว่างเปล่า ของใช้ในห้องของท่านจะมีอยู่ไม่กี่อย่าง หนังสือกฎหมาย แฟ้มสรุปคดีสำคัญ กองกระดาษข้อมูลที่ใช้ประกอบในคดีต่างๆ บนโต๊ะทำงานก็มีเพียงรูปครอบครัวแล้วก็กระบอกใส่ปากกา เรียกได้ว่าไม่มีอย่างอื่นนอกเหนือไปจากสิ่งที่ต้องใช้ในการทำงาน เคยลองสังเกตเหมือนกันว่ามีสิ่งไหนช่วยบอกใบ้ถึงความสัมพันธ์อื่นของท่านหรือไม่ แล้วก็ไม่เคยพบอะไรทั้งนั้น

   เมื่อวันหนึ่งเดินเข้ามา

   ก็ต้องมีวันเดินจากไป   

   พอบ่ายโมงกว่าท่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารใบเก่ง มันทำมาจากหนังแต่ไม่ใช่ของแบรนด์ หรืออาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าท่านมีรสนิยมในการเลือกซื้อของที่เป็นเอกลักษณ์ในทุกอย่าง

   กลิ่นของบุหรี่ลอยตามลม รู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นสิงห์อมควัน เพียงแต่ตามปกติแล้วท่านทิวาไม่ค่อยสูบหนักในสถานที่ทำงาน จะต้องเป็นเคสหนักระดับมากที่สุดเท่านั้นถึงจะได้กลิ่นของบุหรี่นอกลอยตามเส้นทางการเดิน ไม่อย่างนั้นท่านจะชอบออกไปสูบแค่ไม่กี่นาทีพอให้หายอยาก

   จนมีคนแซวว่าเห็นก้นบุหรี่ที่เหลือมากกว่าครึ่งเมื่อไหร่ก็รู้ได้เลยว่าใครเป็นคนยืนก่อนหน้า

   ทุกอย่างเหมือนปกติ ท่านเข้าห้องไปทำงานแล้วจะไม่เรียกจนกว่ามีงานจริงๆ อย่างน้อยด้านในห้องทำงานก็จะมีการดูแลเรื่องความเรียบร้อยเอาไว้ดีจนไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีใครบุกรุกมาถึงด้านในหรือไม่

   มันไม่ใช่เรื่องแรก รวมถึงมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก น่าห่วงที่สุดก็คนที่ไม่เคยคิดจะระวังตัวเองอย่างท่านนี่แหละ จะบอกว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าห่วงถ้าเกิดอะไรขึ้นมามันจะแย่เสียเปล่า

   "ท่านดูแลตัวเองด้วยนะคะ"

   อาจจะเป็นเรื่องไม่เข้าท่า เธอก็อดพูดมันออกไปไม่ได้

   "หน้าที่ผมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง"

   ไม่เข้าใจในความหมายนั้น รวมถึงไม่มีโอกาสได้ถามมันออกไป เลยต้องปลอบใจตัวเองไปว่าท่านก็คงหาทางแก้ไขปัญหาได้เองอย่างทุกที

   "แย่ล่ะ" แฟ้มที่เอาออกมาเมื่อเช้ายังไม่ได้หยิบเข้าไปใหม่ งานด่วนที่รอให้ท่านเซนต์พรุ่งนี้ไม่ได้

   วิ่งตามท่านออกไปทันที เพิ่งเดินออกไปไม่นานคิดว่าจะน่าจะตามทัน จุดหมายปลายทางอยู่ตรงลานจอดรถด้านข้างของตึก ได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วท่านจะยังไม่เคลื่อนรถออกไป

   "..."

   ใช่...เธอมาทัน

   ก่อนที่จะมัจจุราชจะพรากดวงวิญญาณของท่านไป




   ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล เสียงญาติร้องปะปนไปกับเสียงสั่งของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล กลิ่นของคาวเลือดรุนแรงจนกลบยาฆ่าเชื้อ เตียงของผู้ป่วยหนักหายเข้าไปข้างหลังประตูแล้ว เหลือเพียงคนสบายกายที่เพิ่งได้รับข่าวไม่น่าสบายใจ

   เหตุที่คราวนี้วุ่นวายไปมากกว่าทุกทีเพราะชื่อของผู้ป่วย ตระกูลที่ไม่เคยคิดจะมาหาโรงพยาบาลเพียงเพื่อตรวจร่างกายประจำปี ตามรายงานเบื้องต้นคือถูกอาวุธปืนเข้าที่จุดอวัยวะสำคัญ ยังไม่ทราบว่าคนร้ายเล็ดรอดเข้าไปด้านในพื้นที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นได้อย่างไร

   หนึ่งคนเจ็บพาหลายคนรอตามมา แม้จะอายุเลยเลขสามกันเข้าไปแล้วมันก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่ควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ ชายตัวเล็กสุดตาแดงก่ำมีอีกคนคอยจับมือเอาไว้ บางส่วนเงียบสนิทไม่เอ่ยคำใด ที่เห็นได้ชัดคือสาวคนเดียวท่ามกลางกลุ่มชายหลายชีวิต

   "เสียเลือดมากครับ ต้องให้เลือด"

   รายงานตามหน้าที่ ร่างกายของคนไข้ต้องการเลือดเข้าไปช่วยในการเสริมให้อวัยวะภายในทำงานได้เช่นเดิม เพียงแต่ว่ากรุ๊ปเลือดที่ตามหาอยู่นั้นมันมีอยู่เพียงน้อยนิดในประเทศ

   "ไวท์...เลือดเรา" โรมันรีบเอ่ยออกไป เขาคำนวณดูแล้วว่าร่างกายของตัวเองพร้อมที่จะบริจาคได้อย่างแน่นอน คราวนี้จะไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อน ที่เขาไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ "เดี๋ยวไม่ทันนะ"

   “...”

   สิ่งที่ต้องรับรู้สร้างช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับรัตติกาล

   ห้องที่เคยจอแจกลับไม่ได้ยินเสียงรบกวนใด ญาติที่สามารถให้ความยินยอมในการต่อชีวิตได้มีเพียงน้องสาวฝาแฝด เธอไล่มองหน้าของเพื่อนคุ้นเคยทุกคนจนครบ ตั้งแต่น้องคนโตต่อด้วยน้องชายคนเล็ก หนุ่มแว่นกรอบโตกับชายผิวขาว และสุดท้าย...

   'ครึ่งชีวิต'

   กระพริบตาถี่ไล่อาการประสาทหลอน เมื่อลองตั้งสมาธิให้ดีแล้วก็ยังเห็นพี่ชายของตัวเองยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงแว่วกำลังเตือนว่าห้ามลืมคำที่สัญญากัน

   ขอบตาร้อนผ่าว กลั้นทุกความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาให้หยุดอยู่ตรงนั้น สีขาวมือกุมประสานกันเอาไว้ให้กำลังใจตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับคิดกลับไปถึงช่วงเวลาใต้ต้นไม้ใหญ่ของคนสองคน


   'ไวท์...สัญญากับพี่หน่อย'

   'สัญญา?'

   'ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น...ห้ามเอาเลือดคนอื่นเข้ามาอยู่กับพี่'



   เรื่องที่ไม่เคยรู้จนกระทั่งยอมเอ่ยปากบอก...ในวันที่สายเกินไป


   'พี่สัญญากับพิชชาเอาไว้แล้ว'


   เมื่อหลับตาลงภาพรอบตัวเหลือเพียงสีดำสนิท เชือกที่มองไม่เห็นส่งต่อความรู้สึกหลากหลายเข้ามาไม่มีหยุด บอกตัวเองว่าอย่าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา การจากลามันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ หลายครั้งแล้วที่โลกสอนเรื่องนี้แต่เธอไม่เคยยอมรับมันได้

   มันยากเกินกว่าจะยอมรับว่ากลางวันกำลังจะจากกลางคืนไป

   ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งลมหายใจก็ขาดช่วงไป ร่างของครึ่งชีวิตยังอยู่ตรงที่เดิมส่งรอยยิ้มมาให้ราวกับรับรู้แล้วว่าเธอตัดสินใจอย่างไร เมื่อนั้นองศาของริมฝีปากจึงเปลี่ยนเป็นยกขึ้นนิดหน่อยผิดจากวิสัยปกติ ส่งคำตอบคืนผ่านสายใยที่ไม่เคยมีใครอื่นเข้าใจ

   แบล็คทำเพื่อไวท์มามากพอแล้ว...คราวนี้ให้ไวท์ได้ทำเพื่อแบล็คบ้างนะ

   "ไม่ต้องยื้อค่ะ"

   เสียงไร้โทนเอ่ยชัด

   "ไวท์!" ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อของตัวเองจากหลายทิศ เธอกำมือของตัวเองเอาไว้แน่น ท่องบอกเอาไว้ว่าอย่าแสดงอาการอ่อนแอออกไป ต้องขอบคุณมือของใครอีกคนที่กำลังกดให้กำลังใจตรงบ่า มันช่วยให้รัตติกาลทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้

   มันไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา

   แต่เป็นสิ่งที่อีกคนบัญชาไว้

   "แบล็คสั่งไว้แล้ว..." เสียงที่ไม่เคยขึ้นสดใสครั้งนี้หม่นกว่าที่เคย "อีกคนรออยู่"


   'พี่กำลังรอเวลาตามไป'


   เหลือเพียงความเงียบสงัด ทุกคนเป็นพยานในวันที่ใครคนนั้นกลับมา วันรวมกลุ่มที่มากันพร้อมหน้า ต่างคนต่างพา ‘ความรัก’ ของตัวเองมาด้วย ยังแซวกันอยู่เลยว่ามีเพียงทิวากาลไม่เข้าพวก

   และเหมือนว่าความคิดนั้นจะส่งไปถึงใครอีกคน เมื่อมีของสิ่งหนึ่งถูกส่งมาในเวลาไล่เลี่ยกัน

   กล่องขนาดกำลังดีมีกลิ่นหอมแปลกลอยกำจาย พร้อมรูปถ่ายขาวดำของชายคนหนึ่ง ด้านล่างภาพระบุวันเวลาที่ต่างกันเอาไว้สองส่วน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ไม่ว่าคนที่รู้อยู่แล้วหรือว่าคนที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน

   มือที่ยกไปแตะของชิ้นใหม่อ่อนโยนราวกับของล้ำค่า รอยแย้มยิ้มสุขปนเศร้านั้นไม่เคยให้ใครมาก่อน

   “แบล็คหมดหน้าที่แล้ว”


   ‘กลับมาหาผมแล้วเหรอพิชชา’


   "...ให้เขาได้พบกันสักที"


“กลับมาแล้วนะ”
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”


เราจะได้เจอกันอีกครั้งในโลกของวิญญาณ



***
   สวัสดีค่ะ คิดว่าเป็นการคุยกันท้ายเรื่องที่ยาวกว่าคราวที่แล้วแน่เลย (หัวเราะ)

   อย่างแรกที่ต้องมาก่อนเรื่องอื่นคือขอบคุณทุกท่านที่อยู่กันมาจนถึงบรรทัดนี้ ไม่ว่าจะแวะเข้ามาอ่านเรื่องต่อจากที่หนึ่งหรือว่าจะเป็นการเจอกันในเรื่องนี้ครั้งแรกก็ตาม ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับนิยายเรื่องนี้ เพราะถ้ามีแต่เจ้าเป็นคนเขียน แต่ไม่มีทุกท่านที่เป็นคนอ่าน มันก็ไม่สามารถดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างแน่นอนค่ะ

   ส่วนถัดมาเจ้าจะมาคุยถึงความเป็นมาของเรื่อง PITCH BLACK กันเนอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะเรียกว่าต่อยอดก็ไม่เชิง เพราะที่จริงแล้วตอนแรกเจ้าเคยคิดว่าจะทำให้เรื่องทั้งหมดจบที่ที่หนึ่งให้ได้ค่ะ แต่พอวางโครงไปมาแล้วพบว่าไม่ไหวจริงๆ พี่แบล็คเลยจะเป็นเรื่องที่ใช้เวลาแต่งยาวนานมากเลย เพราะเรียกได้ว่าเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่เรื่องของน้องโรมกับที่หนึ่งเลยก็ได้

   เพราะงั้นเจ้าถึงใช้เวลานานมากในการเลือก 'พิชชา' มันเริ่มมาจากการเลือกชื่อเรื่องค่ะ เจ้าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นชื่อสีดำ หาไปหามาจบพอใจตรงพิชแบล็คนี่แหละ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าตัวเอกต้องชื่อพิชนะ เหมือนเดิมคือรื้อไปรื้อมาเจอชื่อพิชชา โห รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญขึ้นมาเลยค่ะ (หัวเราะ) แล้วหลังจากนั้นคือการสร้างตัวละครทั้งหมดขึ้นมา เพื่อให้สอดรับกับสิ่งที่เราอยากจะเคลียร์ให้ได้ตามที่บอกไว้

   เรื่องนี้เจ้าเล่นกับรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างเยอะค่ะ ตั้งแต่สัญลักษณ์ของเรื่องแล้ว มันคือตัวแทนในหมากรุกที่ใช้สำหรับ คิง แล้วก็ ควีน ค่ะ มันก็แทนการสลับกันได้อยู่นะ แต่บอกเอาไว้ตรงนี้เลยคือเรื่องของตำแหน่งเจ้าไม่ได้ฟันธงเด็ดขาด แล้วก็มีที่แทรกเอาไว้อีกหลายอย่างมากค่ะ ถ้าไล่หมดคงต้องโดนลิมิตแน่ๆ

   พี่แบล็คเป็นตัวละครที่เจ้าคิดว่าจะไม่แต่งใครให้ยากเท่านี้อีกแล้วค่ะ เขาเป็นตัวละครที่ทำเจ้าหนักใจมาตั้งแต่ต้น การวางตำแหน่งให้เขาเป็น 'ราชา' สร้างปัญหาในการเล่าเรื่องหลายต่อหลายครั้งเลยค่ะ สิ่งที่เจ้าตั้งใจไว้ในการแต่งเรื่องนี้คือเป็นการเก็บตกบางประเด็นที่ไม่สามารถใส่ลงไปในเรื่องที่หนึ่งได้อย่างที่เคยบอก อีกส่วนมันคือการเข้าไปทำความรู้จักกับพี่แบล็คไปพร้อมกันนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) ในมุมของน้องโรมหรือว่าที่หนึ่งก็มองพี่แบล็คไม่ค่อยต่างกันหรอก แล้วมุมของพี่แบล็คที่มองคนอื่นมันจะเป็นแบบไหนบ้างนั่นคือหนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่เจ้าต้องทำมันให้ได้ค่ะ

   โจทย์เรื่องปมใหญ่ที่สุดคือเรื่องของคุณแม่ค่ะ ที่เจ้าอยากจะคลายมันให้ได้ ทั้งเรื่องน้ำหอมที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกด้วย และค้นพบแล้วจริงๆ ค่ะว่าจงอย่าวางปริศนาไปทั่ว ตอนต้องมาตามแก้นี่มันทรมานมากเลยค่ะ ตอนที่แก้มันได้รู้สึกชีวิตนี้ปฎิบัติภารกิจสำเร็จไปอีกอย่าง ภาคภูมิใจมากๆ ค่ะ (ฮา)

   ส่วนเรื่องที่เราจะไม่พูดไม่ได้เลย คือตอนจบค่ะ นี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยากที่สุดสำหรับเจ้า คือบังคับตัวเองแบบไหนให้พาเรื่องนี้จบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น เจ้าตั้งใจตั้งแต่ตอนที่คิดจะแต่งแล้วค่ะ ว่าอยากให้จบอย่างนี้ เหตุผลก็ดูง่ายๆ ไม่ค่อยมีอะไรนะคะ เจ้าแค่คิดไม่ออกว่า 'รัก' ขนาดไหนถึงจะควรค่ากับราชาอย่างแบล็คเท่านั้นเองค่ะ แต่พอแต่งไปแต่งมาก็จะมีคำถามนี้ตามมาตลอดว่าเจ้าจะจบแบบนี้แน่เหรอ เพราะในแต่ละส่วนของเรื่องมันต้องสอดคล้องกับช่วงจบ ตีกับตัวเองตลอดทั้งเรื่องเลยค่ะ ขนาดตอนท้ายๆ แล้วนะ

   ถามว่ากลัวฟีตแบคไหม ไม่ค่ะ เจ้าเชื่อว่าเจ้าวางเบื้องหลังของเหตุผลเอาไว้ในเรื่องจนครบแล้ว แล้วเพราะตั้งใจจบอย่างนี้แหละค่ะ การแต่งเลยยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้าวางตัวละครมาให้พิชชาเห็นได้ ยกเว้นของตัวเอง นั่นคือพิชชาเห็นอยู่แล้วค่ะว่าในวันหนึ่งจะไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง การบอกออกไปแบบทางอ้อมนั่นแหละถึงเหนื่อยกว่า เจ้าใช้คำว่า 'ได้รัก' ตอนที่พิชคุยกับพี่แบล็ค เพราะพิชชารู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือแค่ได้รักจริงๆ ค่ะ แต่เขาจะไม่มีทางได้อยู่ด้วยกัน รวมถึงการที่บอกว่าคุณต้องอยู่บนนั้นลำพัง เจ้าถึงบอกตลอดว่าการแต่งเรื่องนี้ยากและทรมานค่ะ คือหลุดไปตรงไหนตรงหนึ่งนี่เรื่องอาจพลิกได้เลย

   คุยแต่พี่แบล็คไม่พูดถึงพิชชาเลยเนอะ เจ้าชอบพิชชามากเลยนะคะ ชอบทุกอย่างที่เป็นเขาเลย ถ้าเราต้องเป็นคนที่เห็นทุกอย่างขนาดนั้นแล้วยังจะทำตามความปรารถนาของตัวเองอยู่หรือเปล่า คนที่รู้ทุกเรื่องแต่ก็พูดได้แค่บางเรื่อง คนที่ต้องทำ 'หน้าที่' ของตัวเองให้เสร็จเช่นเดียวกัน เจ้าชอบความมั่นใจในแบบของพิชชานะ เขาเป็นตัวละครที่เข้มแข็งลำดับต้นๆ ของเจ้าในเวลานี้เลยค่ะ

   แล้วเจ้าก็เชื่อนะคะ ว่าเขาจะได้พบกันอีกครั้งจริง (ยิ้ม)

   มันเลยเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นการเล่าจากหลังมาหน้าค่ะ จะว่ายังไงดีล่ะ เป็นเรื่องที่ควรเริ่มจากสุดท้ายแล้วค่อยไล่เรียงมาจนถึงจุดเริ่มต้น เจ้าอยากลองเอาตอนจบมาไว้ข้างแรกสุดมานานแล้วค่ะ จบสบโอกาสจากเรื่องนี้นี่แหละ เพราะงั้นในบทแรกและบทสุดท้ายเราจะได้เห็นคำเดียวกันโผล่ขึ้นมาในส่วนท้ายเหมือนกัน เรียกว่าสปอลย์ตอนจบไว้ตั้งแต่บทแรกเลยก็ได้นะ (หัวเราะ)

   สำหรับเพลงที่ใช้ในเรื่องนี้ คือ Wonder Wall - Oasis ค่ะ ช่วงเริ่มแต่งพี่แบล็คเจ้าฟังมันซ้ำๆ จนหลอนหูเลยล่ะ เจ้าชอบความหมายของเนื้อเพลงนี้มากๆ เลยอยากเอามาใส่ไว้ในเรื่องค่ะ

   เห็นไหม บอกแล้วว่ามันต้องยาวมากแน่ๆ (หัวเราะ) เหมือนกับว่าเราต้องจบให้เคลียร์ทั้งหมดให้ได้ เพราะจะไม่มีเรื่องอื่นมาช่วยต่อยอดแล้วนะ (ฮา) ถ้าสงสัยตรงไหนถามเพิ่มเติมได้นะคะ เจ้าจะกลับมาตอบให้ครบเลยค่ะ

   และนี่คือทั้งหมดของ 'สีดำสนิท' สำหรับเจ้าค่ะ

   ท้ายสุดนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ การกดบวกและชื่นชม
   ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
   23August

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
«ตอบ #111 เมื่อ25-02-2017 22:21:45 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
«ตอบ #112 เมื่อ25-02-2017 23:43:16 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.19 END [25.02.17] P.4
«ตอบ #113 เมื่อ26-02-2017 00:35:14 »

โครงเรื่องล้ำลึกมากค่ะ
คิดไว้ไม่แบบนี้ คนละแบบจริงๆ
คนละอย่างกับที่หนึ่ง
สนุกที่ต้องคิดตามตลอด
มันไม่หนักนะคะ แต่มันอึนมาก
พบว่า ห้ามเดาเด็ดขาด!!! จะถูกน้อยมาก ^^

ที่สำคัญ จบเศร้าในความรู้สึก
อาจเป็นเพราะรักคู่นี้ #พิชแบล็ค
ดีที่เขาได้รักกัน และยังรักกันเสมอ

เชื่อว่า เขาคงจะได้พบกันอีกครั้งจริง เช่นกันค่ะ

ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆ ให้อ่าน
รอเรื่องต่อไปนะคะ

กอดค่ะ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #114 เมื่อ03-03-2017 19:18:45 »

ขอบคุณนะ ขอให้เขาได้เจอกัน สักที

ออฟไลน์ cass-meyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #115 เมื่อ05-03-2017 14:54:53 »

ขอให้เขาเจอกันนะ  :o12:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #116 เมื่อ05-03-2017 16:28:54 »

 :mew6: :mew2: :mew2:
♚ PITCH BLACK ♛ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์ มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #117 เมื่อ06-03-2017 18:08:19 »

ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปซักทีนะ  :mew6:

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #118 เมื่อ07-03-2017 08:54:04 »

เป็นนิยายที่อ่านแล้วไม่รู้จะเม้นอะไร นอกจากร้องไห้

ขอให้เขาได้อยู่ด้วยกัน รักพี่แบล็ค ชอบตั้งแต่เร่องที่หนึ่งแล้ว


ขอบคุณนะคะ เราไม่รู้จะเม้นอะไรนอกจากขอบคุณ


ออฟไลน์ NaEZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ : END
«ตอบ #119 เมื่อ07-03-2017 19:47:55 »

ขอบคุณเรื่องราว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด