รักลัดฟ้า ตอนพิเศษ ปีใหม่ 01/01/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักลัดฟ้า ตอนพิเศษ ปีใหม่ 01/01/18  (อ่าน 20920 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม                                                                           




                                                                             
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2018 08:06:57 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #1 เมื่อ19-04-2016 08:56:13 »

รอตอนต่อไปค่าาา :pig4:

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #2 เมื่อ19-04-2016 09:10:45 »

พรหมลิขิต.....บันดาล ชักพา.....

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #3 เมื่อ21-04-2016 13:05:47 »

บทนำ

วิทยา

      คุณเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตกันบ้างรึเปล่า? ถ้าถามผมเหรอ  อื้มม ผมเชื่อนะ ผมเชื่ออยู่อย่างนึงว่าคนเรานะจะมาเจอกันได้เนี่ย ต้องเป็นคนที่มีเวรมีกรรม ไม่สิ ต้องเคยทำบุญร่วมกันมาก่อนนไม่ชาติใดก็ชาตินึงหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้มีโอกาสตักบาตรในศาลาวัดเดียวกันบ้างละถึงจะสามารถมาบรรจบพบเจอกันใหม่ในชาตินี้  ด้วยความที่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิตของผม ตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงตอนนี้เวลาผมอยากจะมีแฟนกับเขาสักคน ผมเลยไม่เคยเข้าไปจีบใครก่อนเลย  (แม้ในบางทีจะรู้สึกชอบจนอยากจะวิ่งตามเขาเหล่านั้นกลับบ้านก็ตาม) ได้แต่อาศัยการภาวนาว่าขอให้เขาหันกลับมามองผม  ถามว่ามีไหม? ก็มีบ้างนะที่หันมามองแล้วก็หันมองเลยผ่านไป ผมก็ได้แต่คิดปลอบตัวเองว่า เราคงทำบุญด้วยกันมาแค่นี้ แต่เห็นแบบนี้ก็ใช่ว่าผมจะรอแต่พรหมลิขิตแล้วไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยนะ ผมเองก็เคยมีแฟนแล้วก็คบกันนานด้วย ความรักครั้งเก่าของผม ผมว่าอย่าไปพูดถึงมันเลยครับ แต่สถานะ ณ ตอนนี้ผมก็โสดแหละ แต่ก็เหมือนเดิมผมก็ยังคงไม่ไขว้คว้า ได้แต่หวังว่าพรหมลิขิตแห่งรักจะพาคนๆ นั้นมาหาผมให้เจอสักที 

ต้นตะวัน

       ตั้งแต่สมัยยังเด็กพ่อกับแม่ของผมมักจะกรอกหูผมเกี่ยวกับเรื่องของพรหมลิขิตอยู่เสมอๆ เล่าเช้าเล่าเย็นจนผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าให้ผมเล่าต่อให้ใครฟังไม่มีทางที่คำบอกเล่าจะตกหล่นแม้แต่คำสะกดสักตัวเดียว ท่านทั้งสองมีความเชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตมาก อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่ท่านเจอกันและรักกันด้วยความไม่ได้ตั้งใจมั้ง ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจรักนะครับตอนรักนะตั้งใจแต่ก่อนจะรักท่านทั้งสองไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้มีโอกาสมาคบกัน แต่ด้วยความไม่ตั้งใจนั้นก็ทำให้ท่านมีผมและรักกันมายาวนานเกือบ 30 ปี ผมเลยโตมาแบบฝังใจพร้อมถูกปลูกฝังมาด้วยคำว่าพรหมลิขิต จาก ตอนแรกก็เฉยๆ แค่คิดว่าถ้าสักวันเราได้เจอกับคนที่เป็นพรหมลิขิตของเราบ้างก็ดีสิเนอะ แต่ไม่ได้จริงจังยังคงมีการไขว้คว้าไล่จีบคนที่เราถูกใจอย่างบ้าคลั่ง ก็กลับกลายเป็นว่าพอโตขึ้นมาอยากเจอใครสักคนด้วยพรหมลิขิตบ้าง แบบไม่ต้องไปไขว่คว้าให้ได้มาบ้าง ทุกวันนี้ผมเลยอยู่อย่างโสดๆ และนอนรอให้พรหมลิขิตพาใครสักคนมาให้เจอกันสักที ที่ผ่านมามันเจ็บมาเยอะ ลองอยู่เฉยๆ ดูบ้างเพื่อจะไม่ต้องเจ็บอีกแล้ว

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

สวัสดีค่ะ กลับมาอ่านอีกรอบแล้ว ฟ้าจะเป็นลม ฟ้าเขียนอะไรลงไปปปปป ไม่มีความประติดประต่อไหนจำคำผิดอีก อื้อหือออออ  ฟ้าเลยขอรีไรท์ใหม่นะคะ แหะๆ เรื่องแรกของฟ้า ขอกลับมาหา วิทยากับต้นตะวัน

เนื้อเรื่องไม่น่าเปลี่ยน (?) ค่ะ แค่น่าจะให้มันดูเป็นเรื่องเดียวกันมากเดิมค่ะ ตอนนี้เหมือนมีคนเขียนประมาณ 10 คนใน 1 เรื่องค่ะ ฮาาา

แล้วก็เพิ่มตอนค่ะ เรื่องนี้เลยจะไม่เป็นเรื่องสั้นอีกต่อไปแล้วนะคร่า

ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2016 12:30:19 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #4 เมื่อ21-04-2016 13:54:19 »

เจอกันครั้งแรกที่ร้านไอติม ครั้งที่สองจะเจอกันบนเครื่องบิน หรือว่าออสเตรเลียนะ

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #5 เมื่อ21-04-2016 22:39:03 »

สั่งเลิกคบเลยหรอ?......
เจอกันแล้วใช่ไหม?

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #6 เมื่อ22-04-2016 18:31:25 »

อะไรคือพูดน้ำไหลไฟดับ 555
จะได้เจอกันอีกตอนไหนนะ?

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #7 เมื่อ24-04-2016 19:12:01 »

วิทพูดเป็นต่อยหอย?
ให้ตะวันพูดบ้าง 555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #8 เมื่อ24-04-2016 20:28:13 »

แผนแม่รึเปล่า ให้ลูกไปออสเตรเลีย
วิทพูดมากเจงๆ พูดในใจ ปากยังขมุบขมิบ  :ruready
ต่างฝ่ายต่างชอบผู้ชาย น่าจะคบกันได้ :-[
รอตอนใหม่  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #9 เมื่อ27-04-2016 14:31:30 »

หวังว่ากลับไทยแล้ว คุณพ่อของตะวันจะยอมรับนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
« ตอบ #9 เมื่อ: 27-04-2016 14:31:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #10 เมื่อ30-04-2016 20:41:22 »

ต่อจากนี้ คือวิท ลิขิตเองสินะ  :-[

ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #11 เมื่อ13-05-2016 11:55:50 »

น่ารักจังง
บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตสุดๆเลยยย
ตะวันกับวิทก้น่ารักก
วิทตลกอะดูเฮฮา เด็กน้อยยยมากเลยย
วิทก้แบบดูเปนผชติดเมีย5555 วนเวียนใกล้ไตลอดเลย
ขอบคุณค่าา

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: เรื่องสั้น - รักลัดฟ้า
«ตอบ #12 เมื่อ13-05-2016 14:13:22 »

น่ารักจังง
บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตสุดๆเลยยย
ตะวันกับวิทก้น่ารักก
วิทตลกอะดูเฮฮา เด็กน้อยยยมากเลยย
วิทก้แบบดูเปนผชติดเมีย5555 วนเวียนใกล้ไตลอดเลย
ขอบคุณค่าา


ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านแล้วเม้นท์ให้กันด้วย  :mew1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 1 

–ก่อนจะลัดฟ้า-

      วิทยาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งนึงมาประมาณ 1 ปี  หลังจากจบรับปริญญาออกมาไม่นานวิทยาแทบจะเป็นไม่กี่คนในรุ่นที่ไม่ต้องงมานั่งคิดว่าอยากไปทำงานอะไร หรือสมควรไปหางานที่ไหนให้มันวุ่นวายเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ เพราะตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสิ่งที่วิทยาตั้งใจมุ่งมั่นทำตามฝันของตัวเองก็คือการมีร้านไอติมสักร้านเป็นของตัวเอง และวิทยาเองก็มีความโชคดีที่พ่อแม่ของเขาค่อนข้างเปิดกว้างในความฝันของลูก วันที่ได้รับใบปริญญาวิทยาก็เริ่มไปสมัครเป็นพนักงานขายหรือให้เรียกอีกตำแหน่งก็คือพนักงานเสิร์ฟที่ร้านไอติมที่เขาเคยได้มีโอกาสเข้าไปลองชิมลองทานอยู่บ้างในช่วงสมัยเรียน ตอนสมัครงานวิทยาไม่ได้เลือกร้านที่โด่งดังแต่วิทยาเลือกร้านเหล่านั้นจากการตกแต่งร้านที่เรียบง่ายแต่สะดุดตา เพราะความฝันของวิทยาไม่ใช่ว่าเขาอยากจะมีร้านไอติมเป็นร้อยสาขา แต่เขาอยากมีแค่สาขาเดียวแต่ดังสุดๆ ให้มีลูกค้ามาต่อแถวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดเท่านั้นก็พอ 

      หลายต่อหลายครั้งที่เวลาเพื่อนๆ ได้ยินข่าวมักจะไม่เข้าใจว่าทำไมวิทยาต้องเริ่มงานตั้งแต่เป็นเด็กในร้านก่อน ทำไมถึงไม่แค่ไปซื้อสูตรที่ชอบแล้วก็หาทำเลดีๆ สักทีแล้วก็เปิดร้านเลย นั้นก็เป็นเพราะเวลาวิทยาอ่านหนังสือเกี่ยวกับพวกเริ่มต้นธุรกิจหลายต่อหลายเล่มทุกเล่มมักจะบอกบทสรุปที่เหมือนกันว่าถ้าอยากจะสำเร็จในธุรกิจเราต้องรู้ทุกอย่างที่อยู่ในสายงานเสียก่อน 
แต่ไม่น่าเชื่อว่าแค่การไปสมัครเป็นพนักงานที่ร้านไอติมที่ใครๆ ต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับวิทยาสักนิด ไม่ใช่เพราะว่าร้านไอติมในเมืองไทยมีน้อย หรือ เพราะเป็นเพราะวิทยามีคุณสมบัติที่ไม่เพียงพอ แต่ที่วิทยาต้องใช้เวลานานกว่าจะได้งานมันเป็นเพราะวิทยาเองก็ตั้งใจที่จะเลือกร้านในแบบที่เขาอยากจะทำ และ เจ้าของต้องเปิดโอกาสให้วิทยาได้เรียนรู้งานมากกว่าแค่ยกไอติมไปเสิร์ฟ วิทยาไม่ใจร้อนยอมตกงานแตะฝุ่นอยู่สักพัก และในที่สุดการรอคอยของวิทยาก็มาถึงจุดสิ้นสุด เขามีโอกาสได้เจอร้านที่ครบวงจรมีขายทั้งไอติมและกาแฟแถมตอนเย็นยังเปลี่ยนให้ร้านนี้มีอาหารเย็นออกขายอีกด้วย แม้จะเป็นมื้อเย็นเบาๆ ง่ายๆ ก็ตาม   

“เฮ้ย อย่าอู้สิยินคิดอะไรอยู่ เร็วๆเลย มานี้มาช่วยยกลังไอติมไปเก็บในห้องเย็นก่อน เขามาส่งกองไว้เป็นสิบนาทีแล้ว ถ้าไอติมมันละลายไป แล้วตอนเปิดกล่องออกมาเนื้อตรงหน้าไอติมมันไม่สวยนะ จะฟ้องพี่หว่าว่าเป็นเพราะวิทเอาแต่ยืนยิ้มวิญญาณหลุดพูดคนเดียว” 

ไม่รู้ว่านี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของวิทยาที่เขาได้เข้ามาทำงานที่นี้โดยที่มีแป้ง เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนเข้ามาทำงานที่นี้ด้วยกัน แป้งในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่วิทยาก็เลยชวนให้มาหาประสบการ์ณด้วยกันเพื่อที่ว่าวันนึงแป้งอาจจะหาตัวเองเจอ 

“เร็วๆ สิวิท"   

“โอ๊ย บ่นจริง ก็เดินมาอยู่เนี่ย ถ้างานไม่เสร็จเราจะฟ้องพี่หว่า ว่าแป้งเอาแต่ด่าเรา ให้เรียกว่า มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” 

“แต่พี่ว่าพอทั้งคู่เลยดีไหม ไอติมละลายนะ ไม่เท่ากับที่เสียงน้องๆ เริ่มดังไปไกลถึงหน้าร้านแล้วค่ะ”

     เป็นเรื่องธรรมดาซะแล้วสำหรับหว่าเจ้าของร้านของร้านไอติมแห่งนี้ที่ทุกครั้งที่เธอเข้ามาร้านตอนเช้าทีไร ก็มักจะได้ยินเสียงของสองคนนี้เถียงกันอยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อาจจะมีปรามๆ บ้างเวลาที่เห็นว่าเสียงมันเริ่มจะดังมากขึ้นทุกที

 “ครับ/ครับ”

ณ เวลาบ่าย 3 โมงตรงซึ่งเป็นเวลาที่ร้านไอติมร้านนี้จะได้เวลาแปลเปลี่ยนสภาพเป็นร้านอาหารเพื่อที่จะขายอาหารเย็น และนั้นหมายความว่าพวกที่ทำงานช่วงเช้ากำลังจะได้เวลาเลิกงาน วิทยากับแป้งไม่ได้ไปช่วยคนอื่นๆ เก็บร้านเพราะเขาทั้งสองก็ต้องรีบเคลียร์ยอดเพื่อที่ปิดบัญชีช่วงเช้าและก็ต้องเช็คของให้พี่หว่าและต้องสั่งของสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วย

      แต่ว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจะเก็บร้านเสียง “กรุ้งกริ้ง” เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านก็ดังขึ้น แม้พวกเขายังไม่ได้พลิกป้ายว่า
“Closed” แต่สภาพโต๊ะหน้าร้านที่เก็บซ้อนกันหมดแล้ว คนเดินเข้ามาก็น่าจะรู้ว่าร้านกำลังจะปิด แต่เมื่อลูกค้าเดินเข้ามาแล้ว หน้าที่ที่เกือบจะหมดลงก็ต้องโหมขึ้นมาใหม่ วิทยาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับป้ายเขาเลยได้แต่ส่งสายตาขอโทษไปให้พนักงานคนอื่นๆ 

 “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ?”

      คนที่เข้ามาในร้านยังคงทำหน้างงๆ ใส่วิทยาตอนที่วิทยากล่าวทักทายออกไป จากท่าทางของคนที่เข้ามาวิทยาก็คิดเอาเองว่าอากาศข้างนอกอาจจะร้อนจัดดูแล้วคนๆ นี้คงแค่อยากเข้ามารับแอร์โดยที่ไม่รู้เลยว่านี่คือร้านไอติม วิทยาเลยกระตุ้นคนที่เข้ามาใหม่อีกครั้ง 

“พอดีตอนนี้เป็นเวลาที่เราจะปิดร้านแล้วครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจะมีบริการแค่ใส่โคนหรือกล่องเพื่อนำกลับบ้านเท่านั้นครับไม่สามารถสั่งทานนั่งในร้านได้นะครับ” 

     หลังจากที่วิทยาเอ่ยประโยคนี้จบไป คนที่เข้ามาใหม่ขมวดคิ้วนิดหน่อย เพราะถ้าจับใจความในประโยคนั้นดีๆ ก็เท่ากับว่าพนักงานคนนี้กำลังเอ่ยปากไล่อยู่

“งั้นผมเอา ลัมเรซิน ใส่ถ้อย 1 ลูกครับ”

“นี่ครับ ทั้งหมด 40 บาทครับ”
 
 “ขอราดช้อคโกแลตเพิ่มหน่อยครับ” 

“นี่ครับ ทั้งหมด 45 บาทครับ”   

“ผมขอเพิ่มลูกชิดด้วยครับ” 

“ครับ”   

     ในขณะที่วิทยากำลังก้มหน้าก้มตาตักไอติมเสิร์ฟให้ลูกค้า วิทยาไม่ได้ทันระวังตัวเลยว่าคนที่เป็นลูกค้าก็กำลังสำรวจเขาอยู่เช่นกัน คนที่เป็นลูกค้าแม้จะโดนเหมือนเอ่ยปากไล่ออกจากร้านแต่ก็ยังคงยิ้มได้เพราะเขารู้สึกถูกใจกับท่าทางของพนักงานขายคนนี้ ที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าหมดและำนักงานายคนนี้ก็คงจะรำคาญเขาเต็มที่แล้ว หายากแล้วนะคนสมัยนี้ ที่คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าออกมาอย่างนั้น

 “ขอโทษนะครับไม่ทราบว่า ชื่..”

“อ้าว มาพอดีเลยตะวัน นี่กำลังจะโทรไปตาม เออ ถ้วยของคนนี้ไม่ต้องคิดเงินนะ คนรู้จักพี่เอง”

“ครับพี่” 

“เอ้า มัวแต่เหม่อมองไรตะวัน พี่มาด้านหลังร้านแล้วมาทางนี้มา เร็วพี่อยากคุยเรื่องเรียนต่อของเรา คุณลุงฝากมา”

“ครับๆ พี่ไปละ”

 “ตะวัน รู้เรื่องที่พ่อเราอยากให้เราไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียแล้วใช่ไหม?”

“โห พี่หว่าถ้าพี่จะมากล่อมเรื่องไปเรียนต่อแทนพ่อ ผมว่าพี่อย่าเสียเวลาเลย พี่ก็รู้ว่าผมไม่ไป ไม่ได้อยากไปเมืองนอก พี่ก็รู้ว่าผมเข้ากับคนใหม่ๆ ไม่ค่อยเก่ง” 

“แต่งานที่เราต้องทำในอนาคต คืองานที่เราติดต่อกับผู้คนมากมายนะ คุณลุงก็เลยอยากให้เราลองออกไปใช้ชีวิต ไปเถอะไปเรียนรู้ ไปเอาประสบการ์ณ ไปเปิดโลกใหม่ด้วย เพื่อจะได้อะไรกลับมาพัฒนาธุรกิจของพ่อเราด้วยไง ยังไงในอนาคตธุรกิจตัวนี้ก็ต้องเป็นของเราอยู่ดี คิดซะว่าทำเพื่อตัวเองไม่ได้เหรอ?”

“ไม่เป็นไรพี่หว่าผมมีประสบการ์ณที่เมืองไทยได้”

“ว่าแล้วเชียวว่าเราต้องปฎิเสธ เอาไงดีน่าพี่กะไว้ว่า ถ้าตะวันยอมตกลงไปเรียน พี่จะลองคุยกับคุณลุงให้เรื่องที่ตะวันชอบผู้ชาย แต่เนี่ยตะวันไม่ไป สงสัยที่พี่เตรียมคุยให้ คงไม่ได้คุยแล้วเนอะ”

“พี่หว่ารู้?”

“ใช่ พี่รู้ รู้มานานแล้ว และนี้คือข้อแลกเปลี่ยนถ้าตะวันยอมไปเรียนต่อตามที่คุณลุงขอ วันที่เรียนจบกลับมาพี่จะช่วยพูดให้เรื่องที่ตะวันชอบผู้ชายให้อีกแรง และต่อให้คุณลุงไล่แกออกจากบ้านฉันจะรับแกมาอยู่ด้วยเองกำลังขาดคนทำความสะอาดร้านพอดี แกก็มาเป็นคนถูร้านของฉันแล้วกัน เอาไหมข้อแลกเปลี่ยนนี้?”

“แล้วพี่ไม่รู้สึกรังเกียจ?”

"ตะวัน เรื่องรังเกียจเราคิดไปเองรึเปล่า? ไม่มีใครเขารังเกียจเราหรอกเลิกคิดเรื่องนี้สักที มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะ"

"แต่พ่อ"

"มันก็ต้องใช้เวลา เชื่อพี่ นะลองหใ้โอกาสกับตัวเองดูสักครั้งไปเปิดโลกบ้างตะวัน แล้วกลับมาพี่จะได้พูดกับคุณลุงให้ด้วยอีกแรงดีไหม?"

“ได้ครับพี่”

"รับปากพี่แล้วนะ อย่ามาล้มเลิกกลางคันซะละพ่อหนุ่ม"

สวัสดีซิดนี่ย์ See you soon
 
“วิทลูกไปเรียนต่อเมืองนอกเถอะนะ มันเป็นความฝันของแม่เลยนะ” 

       วันนี้พอวิทยากลับถึงบ้านยังถอดรองเท้าไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำคำพูดประจำที่เขามักจะได้ยินซ้ำๆ ก็ลอยเข้าหูมา เวลาแม่ของวิทยาเห็นหน้าเขาเองทีไรเป็นต้องพูดเรื่องเรียนต่อทุกที ไม่รู้ว่าแม่ของเขาติดใจอะไรที่ออสเตรเลียหนักหนาถึงได้พยายามกล่อมเขาตั้งแต่เขาเรียนจบออกมา ใจวิทยาก็อยากไป ไปดูโลกภายนอกใครจะไม่อยากแต่นอกจากประโยคให้ไปเรียนต่อยังมีประโยคต่อท้ายมาให้แสลงหูเล่นว่า “ไปเรียนแม่ส่งค่าเรียนส่วนลูกหาค่ากินให้ไงลูก น้าลูกก็อยู่ที่นั้นลูกจะกลัวอะไร” โธ่ แล้วแบบนี้จะให้วิทยาตัดสินใจไปก็คงยาก เพราะเขาเองก็กำลังเก็บเงินเพื่อทำร้านอยู่ ถ้าเกิดไปแล้วหางานไม่ได้เขามิต้องควักเงินเก็บออกมาใช้รึไง

“แม่ เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะครับวิทบอกแม่แล้วนิว่าวิทอยากทำตามความฝันของวิท วิทอยากเป็นเจ้าของร้านไอติมแม่ก็ฟังวิทหน่อย ให้วิทได้ตามฝันของวิทบ้างนะครับ” 

“แล้วการไปเรียนต่อลูกไม่ได้ตามฝันตรงไหน แม่ไม่ได้บอกนิว่ากลับมาแล้วไม่ให้เปิดร้าน นะลูกนะตามใจแม่หน่อยนะครับ”
วิทยาดูแล้วคืนนี้ท่าทางจะอีกยาวพอคิดได้ดังนั้นวิทยาก็รีบวางรองเท้าเก็บเข้าชั้นรองเท่าพร้อมทั้งพุ่งตัวไปที่บรรไคบ้านเพื่อขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเอง 

“วิท รักแม่นะครับ”  คำศักสิทธิ์ที่วิทยาทิ้งท้ายก่อนวิ่งหนีหายไป

สามอาทิตย์ต่อมา

“เฮ้ย วิท อย่าลืมนะวันนี้งานแต่งเพื่อนทั้งทีเขารวมตัวกันหมดไม่มาหมานะโว๊ย” 

        นี่คือคำเชิญชวนไปงานแต่งที่ทำให้ดูน่าไปอย่างเป็นที่สุด วิทยารู้เรื่องงานแต่งของเพื่อนคนนี้มาสักพักแล้ว ตอนแรกที่กะเอาเงินใส่ซองให้และไม่ไปงานเพราะสถานที่จัดงานค่อนข้างไกล และแถมวันรุ่งขึ้นเขายังต้องกลับมาทำงานที่ร้านพี่หว่าอีก แต่อีกใจวิทยาก็อยากไปเพราะเขาเองก็ไม่ได้เจอเหล่าเพื่อนกลุ่มนี้มานานมากตั้งแต่เรียนจบกันไป หลังจากคิดไปมาหลายตลบวิทยาก็คิดกับตัวเองว่าเขาควรไปแสดงความยินดีกับเพื่อนซักหน่อย 

“เออ ไปก็ได้ แต่ขอเอาไอ้แป้งไปด้วยอีกคนนะขากลับจากสุพรรณจะได้ไม่รู้สึกเปลี่ยวขับรถตีกลับคนเดียวบอกตรงปอดอะ”
 
“เอาใครมาก็มาเหอะ แค่ใส่ซองให้ไอ้นิดคงไม่ว่า ขอแค่มึงมาด้วยก็พอ”

       แล้วก็มาถึงวันงาน การที่นานๆ จะได้มาเจอเพื่อนเก่า มันก็เป็นธรรมดาที่จะมีเรื่องให้โม้เยอะแยะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใครแต่งใครเลิกกับใคร ไหนจะเรื่องหน้าที่การงานไปถึงไหนกันแล้ว แต่ไม่ว่างานเลี้ยงในยามค่ำคืนนี้จะสนุกมากขนาดไหนก็ตาม มันก็ต้องเป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา นั่งคุยกันไปสักพักวิทยาก็เห็นว่ามันค่อนข้างดึกแล้วเลยชวนแป้งกลับบ้าน เพราะถ้ากลับช้ากว่านี้วิทยาเกรงว่าจะไม่ได้นอน 

“จะขับกลับจริงดิ? ไม่ค้างกันว๊ะ นี่มันจะตีสามแล้ว”

“ก็อยากค้างแต่พรุ่งนี้เช้าทั้งเราทั้งไอ้แป้งมีทำงานเช้าคู่เลยขับกลับดีกว่าอีกอย่างรถแม่ด้วยไม่เอาไปคืนเดี๋ยวแม่กริ้ว”

“เออๆ ขับกลับดีๆแล้วกัน”

“วิทไหวเหรอดึกแล้วนะค้างไหม? แล้วตอนเช้าค่อยไปขับเช้าสักตีห้าได้พักหน่อยน่าจะดีกว่าขับกลับ” 

“อย่าดูถูกกันเพื่อน ไหวดิเดี๋ยวแวะซื้อกาแฟที่เซเว่นสักหน่อยก็พอ” 

“เออๆ แล้วแต่ แต่ถ้าไม่ไหวต้องจอดพักนะ”

“เออ พูดเยอะน่า ไอ้แป้ง” แต่แล้วรถที่วิทยาที่เป็นคนขับยังไม่ทันพ้นตัวเมืองสุพรรณดีก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน

“เฮ้ยยยยยย  หมาๆๆๆๆๆ”

“เฮ้ยยยยยย วิท”

โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

“แป้งๆ เป็นไงบ้าง โอเคไหม” 

      หลังที่วิทยาหักหลบสุนัขตอนนี้รถของวิทยาก็ตกลงจากพื้นถนนลงตรงแอ่งข้างทาง ทำให้รถช่วงหน้ากระแทกและลากขูดไปกับขอบพื้นอย่างรุนแรง โชคยังเข้าข้างของคนทั้งสองที่ทั้งคู่คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรที่รุนแรง

“เจ็บหลังอะ วิทเป็นไงบ้าง?”

“เราโอเค เจ็บเท้านิดหน่อย น่าจะส้น รอแป้ปนะแป้งรอคนมาลากรถก่อน”

“อืม”

       พอทั้งคู่เช็คอาการของกันละกันและเห็นว่าไม่เป็นอะไรมากขนาดต้องเรียกรถพยาบาล วิทยาเลยกลับไปดูที่รถก่อนแล้วก็พบว่ารถไม่สามารถใช้งานได้ วิทยาเลยโทรติดต่อหาอู่มาลากรถเข้ากรุงเทพ ยังโชคดีที่เพื่อนๆ ที่อยู่ในงานยังไม่ได้เมาหลับกันไปหมดเสียก่อนเลยมีคนกลุ่มนึงมาคอยเก็บของ โบกรถคันอื่นๆ ให้ผ่านไป และเรียกรถพยาบาลตามมาทีหลังเพราะจากที่แป้งบอกว่าไม่เป็นอะไรก็เห็นว่าแป้งหน้าซีดลงเรื่อยๆ และวิทยาเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าไม่รู้ว่าการเกิดอุบัติเหตุในคราวนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าที่เขาคาดเอาไว้

“แม่”

“วิท ลูกเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหมลูก?”

“ไม่แม่ผมไม่เจ็บอะไรเลยอย่าร้องนะ วิทไม่ได้เป็นอะไรมากคนที่เจ็บและเป็นมากคือแป้งครับแม่ แล้ววิทก็ทำรถแม่พังหมดเลยแม่ วิทขอโทษนะครับแม่”

“ช่างรถมันเถอะลูก ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเนอะลูกเนอะ”

“ครับแม่”

      หลังจากกลับมาบ้านวิทยาก็คิดว่าเหตุการ์ณก็ไม่น่ามีอะไร อาจจะต้องเพราะวิทยาต้องไปทำบันทึกกับตำรวจไปดูซากรถไปติดต่อทำเรื่องเกี่ยวกับประกัน เขาเลยไม่ได้รออยู่ดูอาการแป้งแต่เห็นพยาบาลบอกว่าแป้งกลับไปกับที่บ้านแล้ววิทยาเลยวางใจไม่ได้ตามไปดูแป้งอีกที

เช้าวันต่อมาวิทยาก็โทรไปลางานหลังจากที่วางหูกับพี่หว่าวิทยาก็พยายามโทรหาแป้งแต่ไม่มีคนรับสาย คิดว่าแป้งน่าจะพักผ่อนอยู่เลยกะว่าจะไปเยี่ยมแป้งที่บ้านพรุ่งนี้สักหน่อย พอวิทยาดูเอกสารของทางประกันเสร็จก็เลยลงมาหาอะไรกินที่ครัวชั้นล่างของบ้าน

“ดิฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ มีอะไรให้ทางดิฉันชดใช้ได้แจ้งมาเลยค่ะ” ช่วงจังหวะที่วิทยากำลังเดินเข้ามาที่ห้องครัวเขาก็ได้ยินว่าแม่ของเขากำลังติดสายของใครสักคนอยู่

“แต่ลูกคุณก็ตามไปด้วยเองนะคะ” 

“ค่ะๆ ได้ค่ะ ตามที่คุณเรียกร้องเลยค่ะ แต่แค่นี้ลูกดิฉันก็ขวัญเสียแล้ว ดิฉันขอร้องอย่าทำให้เรื่องมันใหญ่โตไปกว่านี้เลยค่ะ” 

“ค่ะ  ดิฉันจะไม่ให้ลูกดิฉันติอต่อกับหนูแป้งอีกค่ะ” 

“แม่?”

“อ้าว วิทลงมาทำไมลูกอยากได้อะไร”

“แม่ ทางนั้นเขา…..แม่แป้งเขาว่ายังไงบ้างรึครับ?”

“จ๊ะ……”

      แม่ของวิทยาอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฟัง บอกว่าหลังจากเกิดเรื่องแม้แป้งไม่ได้เป็นอะไรหนักก็จริง แต่แม่ของแป้งก็กังวลเรื่องสุขภาพหลังของแป้งแถมแป้งต้องหยุดงานอีกนาน หรืออาจจะต้องไม่ได้ไปทำงานอีกเลยเพราะว่าคุณหมออยากให้แป้งพักเพื่อดูหลังให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่เคลื่อนหรือมีอะไรเสียหาย เพราะถ้ากระดูกช่วงหลังเกิดปัญหาขึ้นมาแป้งจะแย่กว่าที่เป็นอยู่
ผ่านไปสองอาทิตย์ตั้งแต่เกิดเรื่องรถชนแม้ว่าวิทยาจะพยายามติดต่อกับแป้งแต่วิทยาก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับทางแป้งเลยสักครั้ง แป้งลาออกจากร้านตั้งแต่วันเกิดเรื่อง วิทยาอยากจะเจอกับแป้งสักครั้งเขาอยากที่จะขอโทษไม่ใช่แค่เรื่องรถชนแต่เขาอยากจะขอโทษที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทุกครั้งที่เขาใช้แป้งยกของเวลาแป้งกลับไปบ้านบางครั้งต้องมีอาการปวดหลัง ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากขอโทษวิทยาเลยตัดสินใจไปหาแป้งที่บ้าน

“สวัสดีครับคุณป้า”

“มีอะไร”

“คือ เรื่องอุบัติเหตุผมต้องขอโทษด้วยนะครับผมไม่ได้ตั้งใจผมแค่….”

“ช่างมันเถอะ แม่เราเองก็ได้จ่ายค่าเสียหายมาให้ป้าแล้ว ต่อไปเราก็ระวังๆหน่อย อย่าให้เกิดเหตุการ์ณแบบนี้กับคนอื่นอีก”

“ครับ? แม่ผมจ่ายค่าเสียหาย”

“ใช่ ค่ารักษาค่ายาค่ายาบำรุงของแป้งถ้าแม่เราไม่ยอมรับผิดป้าก็ไม่ยอมนะเราเกือบเอาลูกป้าไปตายนะจริงๆ แล้วเงินแสนนึงนั้นได้แค่ค่ารักษาอาการทางหลังของแป้งด้วยซ้ำ ป้าไม่ได้ขออะไรเพิ่มไปมากกว่านั้นเลยนะ ดูใบเสร็จได้ถ้าเราไม่สบายใจ”
 
      เงินแสน วิทยาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของเขาต้องหมดเงินไปเป็นแสนเพราะความคิดมักง่ายของเขาที่เขาคิดว่าตัวเองเก่งตัวเองขับรถได้ ด้วยความอวดเก่งของเขา เขาทำให้แม้ต้องเสียทั้งเงิน ทั้งรถ แล้วเขาจะเอาอะไรไปชดใช้ให้แม่ของเขาได้
 
“ยังไงผมก็ต้องขอโทษคุณป้าอีกทีนะครับที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับแป้ง”

      หลังจากวิทยากลับมาจากบ้านของแป้ง วิทยาก็มานั่งรอแม่ของเขาที่ห้องรับแขก เขาลองคิดทบทวนกับตัวเองหลายต่อหลายครั้ง เขามีเงินเก็บที่จะเอาไปเปิดร้านเงินนั้นเขาสามารถเอาให้แม่ไปดาวน์รถใหม่ของแม่ได้ แม่จะได้ไม่ต้องลำบากในการเดินทางแบบตอนนี้ และเขาก็อยากจะลดความรู้สึกผิดให้น้อยลงโดยการที่จะทำให้แม่สมหวังสักที ถ้าแม่ยังไหวที่จะส่งเสีย เพราะการที่จะตัดสินใจไปเรียนเมืองนอกแค่ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ แม่เองก็จ่ายไปเยอะแล้ว  ถ้าเขาตัดสินใจไป แม่จะดีใจจริงๆ ใช่ไหม? แม่จะอยู่ได้ใช่ไหมคนเดียวไม่มีผม สมองของวิทยายังไม่เลิกตีกัน ตั้งแต่กลับมาจากบ้านของแป้ง

“แม่”

“ว่าไงวิท โอ้โห วันนี้แม่ต้องเลี้ยงฉลองรึเปล่า ลูกสุดที่รักไม่ไปไหนแถมยังมานั่งรอแม่ที่โซฟาอีก”

“ผมเพิ่งรู้ว่า แม่เสียเงินไปเป็นแสนเพราะผม แม่ผมขอโทษ” หลังจากผมเอ่ยคำขอโทษออกไปแม่ก็มองผมตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มวางประเป๋าลงแล้วนั่งลงข้างๆ ผม

“รู้สึกผิดเหรอลูก”

“ครับ”

“งั้นทำอะไรเพื่อแม่สักอย่างได้ไหม”

“ครับ”

“ไปเรียนต่อให้แม่นะลูก แม่รู้ว่าความฝันของลูกคือการได้เป็นเจ้าของร้านไอติมซึ่งแม่ก็ไม่เคยขัดแล้วแม่ก็ไม่ได้บอกว่าลูกห้ามเปิดหลังจากลูกกลับมาไทยแต่ว่า แม่ต้องการให้ลูกไปเรียนต่อเหตุผลของแม่อาจจะไม่ได้มีมากมาย แม่แค่อยากให้ลูกมีความรู้ติดตัวเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แม่จะให้ลูกได้ อีกอย่างการเรียนเมืองนอกเป็นสิ่งที่แม่ฝันแต่ตอนฐานะทางคุณตาคุณยายไม่พร้อม แต่ตอนนี้เรามีญาติที่นั้นแถมตอนนี้แม่ก็พร้อมเรื่องทุนทรัพย์แม่เลยอยากให้ลูกไป”

“ครับ แต่ ผมขอไปรัฐอื่นที่ไม่ใช่ซิดนี่ย์ได้ไหมครับ ผมสัญญาผมจะหางานทำเก็บเงินมาคืนแม่ด้วย แต่ไม่ไปอยู่ซิดนี่ย์เพราะผมอยากไปอยู่ตามต่างจังหวัดของที่นั้นดูครับ อยากได้บรรยากาศที่ต่างออกไปจากตัวเมือง”

“จริงนะลูก ได้สิจ๊ะ ขอแค่ไปรัฐใกล้ๆก็พอเกิดถ้ามีอะไรฉุกเฉินอย่างน้อยน้าเขาก็ยังช่วยเราได้ขอบใจที่ สานฝันให้แม่นะลูก เด็กๆ แม่ไม่มีโอกาศนี้จริงๆ”

“ครับแม่”
 
ตอนนี้ในใจผมได้แต่กู่ร้องออกไปว่า ออสเตรเลียจร้าอีกแป้ปเราคงได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการแล้วสินะ

 

..โปรดติดตามตอนต่อไป...

ฝากติดตาม อีกที ด้วยค่ะ แหะๆ

ปล ฟ้าเอาบทที่ 1 มาไว้ตรงนี้เพราะใส่ที่บทนำไม่ได้เลยค่ะมันเต็ม.... เรื่องบทเรียงกันอาจจะงงๆ หน่อยนะคะ ถ้าผิดพลาดตรงไหนแนะนำได้เลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2016 12:38:06 โดย sweetsky »

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
บทที่ 2

“ว่าไงตะวัน”

“สวัสดีครับพี่หว่า”

 วันนี้ต้นตะวันเข้ามาเอาเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเรียนที่พี่หว่าเตรียมเอาไว้ให้แก่เขา ความจริงต้นตะวันจะรอให้พี่หว่าเอาเอกสารไปให้เขาที่บ้านก็ได้ แต่ที่เขายอมมาเอาเองถึงที่ร้านเพราะเขาอยากมาแกล้งใครบางคนที่นี้เขาถึงได้เลือกมาในช่วงเวลาใกล้ร้านปิด ต้นตะวันเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ติดใจอยากแกล้งคนนั้นมากนัก แต่พอต้นตะวันเดินเข้ามาในร้านเขาก็ไม่เห็นคนๆ นั้นอยู่ที่หน้าเค้าท์เตอร์

“เฮ้อ” ต้นตะวันแอบถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองมาเสียเที่ยวเข้าแล้ว วันนี้คงจะเป็นวันหยุดของเขาคนนั้นพอดีหรือไม่ก็คงลางานเพราะเท่าที่มองๆ ก็ไม่เห็นคนนั้นในร้านเลย

“อะ ตะวันนี่คือเอกสารทั้งหมด ในนี้มีข้อมูลทั้งของที่มหาวิทยาลัยและก็ที่พัก พี่กับคุณลุงไม่ได้ให้ตะวันพักกับหอของที่มหาวิทยาลัยนะเพราะห้องเดี่ยวมันเต็มเราจองช้าไป พี่กับคุณลุงเลยให้ออกมาอยู่คนเดียวเช่าห้องให้แทน จองห้องนั้นไว้ให้ 4 อาทิตย์ถ้าจะอยู่ต่อหรืออยากย้ายออกเพราะไม่ชอบห้อง ต้องบอกเขาล่วงหน้าอย่างน้อย 2 อาทิตย์ สามารถไปทำเรื่องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของตึกที่ด้านล่างของที่พักได้เลย อะเอกสารลองเอาไปอ่านดูคร่าวๆ ก่อนจะได้ไม่ผิดพลาด มีอะไรสงสัยถามพี่ได้เลยนะ”

“ครับพี่ ขอบคุณนะครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

เดือนกว่าๆ ที่ผ่านไปชีวิตของวิทยายุ่งอีรุงตุงนังไปหมด เพราะเขาต้องเตรียมตัวจัดการเรื่องเอกสารที่จะไปเรียน ไหนจะต้องไปลาออกจากร้านของพี่หว่าซึ่งเป็นเรื่องที่เขาทำใจได้ยากที่สุดเพราะกว่าเขาจะหาร้านดีๆ เจ้านายดีๆ แบบนี้เจอมันก็ไม่ใช่ง่าย วิทยาใช้เวลาเป็นอาทิตย์ที่จะบอกเปลี่ยนจากหยุดพักมาเป็นลาออก ฝันร้านไอติมของวิทยาตอนนี้คงต้องหยุดเอาไว้ก่อนกลับมาทำตามฝันของแม่ก่อน แต่จะโทษใครได้ความผิดครั้งนี้ไม่มีใครที่สามารถให้วิทยาโยนความผิดใส่ได้เลย ทำเองก็สมควรต้องรับผลของมัน ซึ่งโทษที่เขาได้มันไม่ได้เรียกว่าโทษด้วยซ้ำ มันสบายมากจนเกินไปแค่ไปเรียนต่อ เพราะฉะนั้นความตั้งใจแรกของวิทยาก็คือพยายามไปทำงานเก็บเงินในระหว่างเรียนให้ได้มากที่สุดแม่จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เขาเพิ่มนอกจากค่าเล่าเรียน และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากมีเงินเก็บกลับมาสักก้อนเอามาให้แม่ชดเชยที่แม่ต้องจ่ายไปกับอุบัติเหตุครั้งนั้น
 
หลังจากไปลาออกจากร้านของพี่หว่าวิทยาก็เริ่มส่งใบสมัครไปตามมหาวิทยาลัยที่เขาเลือกเอาไว้ วิทยาเลือกสมัครไปแต่ละที่เป็นที่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองซิดนี่ย์แต่มหาวิทยาลัยที่ตอบรับวิทยาเข้าเรียนก็คือมหาวิทยาลัยประจำเมืองตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลซึ่งไม่ไกลจากซิดนี่ย์มากแค่ 3 ชั่วโมงจากการเดินทางโดยรถไฟ ซึ่งแม่ของวิทยาเองก็พอใจกับมหาวิทยาลัยนี้ เพราะอย่างน้อยยังเข้ามาหาญาติที่อยู่ที่นั้นได้ไม่ลำบากถ้าเกิดวิทยามีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่นั้น

หลังจากได้มหาวิทยาลัยที่จะไปเรียนแล้ววิทยาก็ตัดสินใจลงเรียนติวภาษาอย่างหนักเพราะไม่อยากไปเรียนแล้วไม่รู้เรื่องไม่ทันคนอื่นๆ ในห้องเรียน และไหนจะต้องไปลองหางานทำที่่ต่างแดนเป็นครั้งแรก วิทยาก็เลยอยากที่จะเตรียมตัวให้พร้อม และในขณะที่วิทยาเรียนปรับภาษาเขาก็ต้องเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่า ไปตรวจร่างกายกว่าวีซ่าจะผ่าน เอาเป็นว่าสำหรับวิทยาช่วงเวลาที่ผ่านมามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีวิทยาก็ต้องมานั่งเก็บกระเป๋าแล้วและเวลาของการเดินทางก็ใกล้เข้ามาทุกทีซะจนน่าใจหาย
 
“วิท แม่ขอเข้าไปนะลูก”

“ครับแม่ เข้ามาเลย วิทไม่ได้ล็อคประตูครับ”

“เริ่มเก็บของแล้วเหรอลูก อย่าลืมอะไรนะ เสื้อผ้าหนาๆ เอกสารอะไรที่สำคัญก็อย่าลืม”

“ครับแม่” วิทยาวางมือจากการจัดกระเป๋าเขาไปนั่งใกล้กับแม่ของเขาพร้อมกอดแม่ของเขาจากทางด้านข้าง

“แม่ครับเรื่องที่เกิดขึ้นวิทขอโทษจริงๆ นะครับ” แม่ของวิทยาก้มมองวิทยาที่ตอนนี้กำลังกอดเธอด้วยความออดอ้อน นานแค่ไหนแล้วที่ลูกชายของเธอคนนี้ไม่ได้กอดเธอขนาดนี้ 

“ช่างมันเถอะลูกแต่ก็จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกันนะลูก อย่าประมาทอีก”

“ครับแม่”

“แม่จะเข้ามาบอกว่าไปเรียนครั้งนี้ตั้งใจเรียนนะลูก ที่แม่ให้ไปแม่ทีเหตุผลของแม่ ขอบใจนะที่ลูกทำตามฝันของแม่”

“ครับ ในเมื่อวิทรับปากแม่แล้ว วิทจะทำให้ดีที่สุดครับ”

 หลังจากแม่ออกไปจากห้องวิทยาก็เช็คของต่างๆ ให้เรียบร้อย วิทยามองไปรอบๆ ห้องของเขาอีกครั้ง ของก็เก็บหมดแล้ว เรื่องเอกสารก็มีครบหมดแล้ว และสายตาของวิทยาก็ไปหยุดที่รูปที่อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ รูปนั้นเป็นรูปที่เขาลากแป้งไปที่ร้านเหล้าครั้งแรก ดูก็รู้แล้วว่าแป้งไม่อยากไป ขนาดในรูปหน้ายังไม่มีแม้แต่รอยยิ้มแถมยังทำหน้าเบื่อหน่ายใส่กล้องอีกต่างหากแต่เขากลับยิ้มกว้างมากในภาพนั้น ให้ย้อนกลับไปเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าที่แป้งไม่ค่อยดื่มเหล้ามันก็เกี่ยวเนื่องมาจากโรคกระดูกและเขาเองก็ไม่เคยได้ถามไถ่ว่าทำไมถึงพยานามเลี่ยงนักเอาแต่ลากไปด้วยกัน เมื่อเรื่องของเขาเองก็เรียบร้อยแล้วตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังค้างคาใจของวิทยาอยู่นั้นก็คือเรื่องของแป้ง เขาอยากคุยกับแป้งสักครั้งก่อนไป

ติ๊งน่องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“มาแล้วๆ ครับ รอแป้ปนะ………….วิท”

“แป้งใครมาลูก อย่าวิ่งสิหลังเรายิ่งไม่ค่อยดีอยู่……...แป้งเข้าบ้าน แป้ง แม่บอกว่าให้เข้าบ้าน”

“สวัสดีครับคุณป้า คือ วิท เอ่อ คือ ผมอยากมาขอคุยกับแป้งหน่อยครับ ขอเวลาผมสักครู่ได้ไหมครับ?”

“คงจะไม่ดีค่ะ ป้าว่าวิทกับแป้งคงไม่มีเรื่องที่ต้องคุยกันอีก แป้งแม่บอกให้เข้าบ้าน”

วิทยาก็ไม่อยากจะขัดใจแม่ของแป้งแต่เขาอยากจะขอโทษแป้งด้วยตัวเองสักครั้ง ในเมื่อขอคุยดีๆแล้วไม่ได้ งั้นก็ต้องวิธีนี้นี่ละ วิทยาเลยป้องปากตะโกนเข้าไปในบ้านของแป้ง

“แป้ง เราขอโทษนะ เราไม่คิดจริงๆ ว่าความดื้อของเราจะทำให้แป้งเดือดร้อน ขนาดนี้ เราไม่ได้อยากจะโชว์เท่ห์เลยจริงๆนะ เราแค่อยากกลับมาพักที่บ้าน กลัวตอนเช้าเข้างานสายไม่ได้คิดว่ากลับดึกแล้วจะไม่ไหว เราไม่เห็นหมาตัวนั้นก่อนหน้าจริงๆมาเห็นอีกทีเราก็จะชนแล้ว เราขอโทษที่หักหลบแล้วทำให้แป้งเจ็บ เราไม่รู้ว่าแป้งจะเจ็บหนัก แม่แป้งพูดเรื่องหลังมาหลายทีแล้ว หลังแป้งเป็นอะไร แป้งบอกกันสิ บอกมา เราขอโทษ แป้ง”

      วิทยาเองเสียเวลาตะโกนไปนานแค่ไหน เขาก็จำไม่ได้หรอก แต่ที่เขาจำได้ไม่ลืมเลยคือสีหน้าของแป้ง น้ำตาของแป้ง วิทยาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าความประมาทของเขาเพียงเล็กน้อยในวันนั้นมันทำให้เพื่อนของเขาต้องเสียใจมากขนาดนี้ แต่เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่ยอมแพ้หรอก วันนี้เขาอาจจะยังเอาแป้งกลับมาเป็นเพื่อนข้างๆตัวเขาไม่ได้ แต่ในวันข้างหน้าเขามั่นใจว่าข้างตัวของเขาต้องมีเพื่อนที่ชื่อแป้งอย่างแน่นอน

ณ สนามบิน

“มีอะไรอย่าลืมนะตะวัน โทรหาพ่อได้เสมอ ขออย่างเดียวอย่าไปทำฝรั่งที่ไหนท้องนะลูก พ่อกลัวคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง”

“ครับพ่อ” 

“ถึงแล้วโทรมานะ”

“ครับพ่อ ผมไปละ ยังไงพ่อดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะครับ”

“อื้ม เดินทางดีๆละ”

หลังจากที่ต้นตะวันเดินลับตาจากพ่อไปแล้ว พ่อของต้นตะวันก็ได้แต่ถอนหายใจที่ลูกของเขา พอออกมาในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะทีไรลูกชายก็จะแปลงร่างเป็นคนเงียบขรึมทันที ทั้งๆ ที่ตอนที่อยู่ที่บ้าน หรือ กับคนที่รู้จักลูกเขามักจะเป็นคนร่าเริงขี้เล่น

“หว่า ลุงขอบใจมากนะ”

“หว่าก็หวังแต่ว่าการไปต่างประเทศครั้งนี้ของตะวัน จะทำให้ตะวันเขาเข้าสังคมเก่งขึ้นนะคะ” 

“ลุงก็หวังไว้ว่าอย่างนั้น”

ส่วนอีกด้านของสนามบิน

“ของครบไหมลูก? ไม่ลืมอะไรนะ?”

“ครบแล้วครับแม่”

“ดูแลตัวเองด้วยนะวิท เงินที่แม่ให้ไปนะ แม่เตรียมไปให้แค่เดือนแรกนะ เพราะฉะนั้นใช้อย่างระวังๆนะ อย่าเอาไปให้สาวๆ สวยๆ หมดละ แต่ว่าถ้ายังหางานไม่ได้หรือว่าไม่พอจริงๆ ก็โทรกลับมาบอกแม่ได้เสมอนะลูก”

“ครับแม่ วิทจะพยายามครับ ถ้ามีอะไรติดขัด วิทจะรีบโทรกลับมาขอเงินแม่นะครับ”

“เจ้าลูกคนนี้นิ เดินทางดีๆนะลูกนะ ถึงแล้วโทรมาหาแม่ด้วยนะครับ”

“ครับแม่”

หลังจากวิทยาเดินลับเข้าเกทไปแล้วแม่ของวิทยาก็ได้แต่หวังว่าลูกของเขาจะระวังตัวในการใช้ชีวิตให้มากกว่านี้ อยากให้วิทรู้จักการวางตัวในสังคมบ้าง คิดอะไรอยากให้เก็บไว้บ้าง ไม่ใช่เป็นคนที่อ่านง่ายอย่างง่ายดายขนาดนี้โลกนี้มันไม่ได้สวยงามขนาดนั้น
บนเครื่องบิน

“Welcome on board…………”

แค่ก้าวเข้าไปในตัวเครื่องบินวิทยาก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว คิดไปถึงว่าคนนั่งข้างเขาจะเป็นคนชาติอะไร จะเป็นคนไทยไหม ลึกๆ เขาก็อยากให้เป็นคนไทย  นั่งไปตั้ง 9 ชั่วโมงไม่อยากนั่งเงียบๆ คนเดียว

“Hi, this is my seat”

“This is mine” วิทยาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขามาผิดที่รึไม่แต่แอร์โฮสเตสชี้มาทางนี้เขาก็น่าจะนั่งถูกแล้ว

“No it is not your”

“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นคะ?……. อ่อขอโทษนะคะ เหมือนคุณผู้โดยสารจะนั่งผิดที่ค่ะ เลขที่นั่งนี้นั่งติดทางเดินนะคะ ไม่ใช่ริมหน้าต่างค่ะ รบกวนผู้โดยสารเปลี่ยนที่นั่งด้วยค่ะ” 

“อ้าววว ขอโทษครับ // Sorry I dont know” 

“ขอโทษนะครับ พอจะมีที่นั่งที่ติดหน้าต่างเหลือให้ผมไหมครับ? ผมพอขอย้ายได้ไหม? ผมเคยขึ้นเครื่องครั้งแรก ผมอยากเห็นวิวครับ”

“เดี๋ยวยังไงจะดูให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

แต่แล้ววิทยาก็ต้องถอนหายใจและถอดใจอย่างหมดหวัง เพราะผ่านไปจนเครื่องขึ้นแล้วแอร์ยังไม่มาเรียกให้เปลี่ยนที่นั่งเลย อดดูท้องฟ้ายามตะวันขึ้นกันพอดี ที่เลือกไฟล์กลางคืนเพราะเหตุนี้เป็นหลัก

“ท่านผู้โดยสารค่ะ มีที่ว่างไม่ติดหน้าต่างนะคะ แต่ว่านั่งกับคนไทยด้วยกัน ถ้าผู้โดยสารโอเค ก็สามารถย้ายได้นะคะ”

“ขอบคุณมากครับพี่ ไปครับไป ย้ายครับย้าย”

“นี่ค่ะ ยังไงทางดิฉันขอรบกวนย้ายผู้โดยสารท่านนี้มานั่งตรงนี้นะคะ”

“ได้ครับไม่มีปัญหา”

      ต้นตะวันกำลังจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่พอดีแอร์โฮสเตสก็มาสะกิดเขาเสียก่อนบอกกล่าวว่าจะมีคนมานั่งด้วยซึ่งเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็ต้องแอบอมยิ้มเอาไว้เพราะนึกไม่ถึงว่าคนที่จะมานั่งข้างๆ เขาก็คือคนที่เขาเคยอยากเจอ เด็กที่ทำงานที่ร้านพี่หว่า มันช่างจะบังเอิญเกินไปแล้ว ไปหาที่ร้านไม่เจอแต่กลับมาเจอกันบนเครื่องบิน 

“ขอบคุณมากนะครับ พอดีได้นั่งกับคนที่เป็นฝรั่งผมเลยแอบเกร็งนิดหน่อย เลยขอให้เขาหาที่ย้ายให้”

“ครับ”

      ในขณะที่เครื่องกำลังขึ้นทะยานสู่บนฟ้าและต้นตะวันกำลังคิดว่าเขาชวนควรคนข้างๆ คุยอะไรดี เขาก็รู้สึกว่าเขากำลังถูกจ้องมองเขาเลยหันไปด้านข้างแล้วเขาก็รู้แล้วว่าใครกำลังจ้องมองเขาอยู่

“เอ่อขอโทษนะครับคุณ..”

“ต้นตะวันครับ”

“ครับคุณต้นตะวัน ผมขอรบกวนให้คุณต้นตะวันเอนหลังนิดนึงได้ไหมครับ?”

“ครับ?”

“เอ่อ พอดีผมอยากลองเก็บภาพพระอาทิตย์ตกจากด้านบนของท้องฟ้าดูนะครับ แต่เผอิญว่าที่ที่ผมนั่งมันต้องรบกวนคุณขยับสักนิด” 

“อ่อ ได้สิครับ” 

“คุณชอบถ่ายรูป?”

 “ครับ ผมถึงขนาดเตรียมกล้องไว้เลยนะ”

“งั้นผมว่าคุณย้ายมานั่งที่หน้าต่างจะดีกว่าครับ ผมว่าภาพวันน่าจะได้มุมที่ดีกว่า”

 “แล้วคุณไม่อยากเห็นเหรอครับ?”

“อยากครับ”

“........”

“ผมล้อเล่น ไม่เป็นไรครับ คุณมานั่งนี่เถอะ เดี๋ยวดูผ่านหลังของคุณก็ได้”

      ไม่รู้จะว่าด้วยเพราะแสงของพระอาทิตย์ยามที่กำลังลับขอบก้อนเมฆที่กำลังส่องเข้าทางหน้าต่างมาตอนนี้พอดีรึเปล่าที่พอต้นตะวันมองไปที่ทางด้านข้างของวิทยา มันเลยทำให้เขารู้สึกชอบรอยยิ้มหลังกล้องของคนเบื้องหน้าของเขาได้แค่เพียงเสี้ยววินาที เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของคนตรงหน้ามันสามารถทำให้เขายิ้มตามได้

“ผมถ่ายเสร็จแล้วคุณอยากย้ายกลับมานั่งที่เดิมไหมครับ?” 

“ไม่เป็นไรครับ” 

“คุณจะไปเที่ยวที่ออสเตรเลียใช่ไหมครับ?”

      ต้นตะวันรู้ว่าคำถามของเขามันดูสิ้นคิด เป็นคำถามที่ไม่น่าถามออกไป เพราะยังไงซะจุดหมายปลายทางของสายการบินนี้ก็ต้องเป็นออสเตรเลียอยู่แล้ว เขารู้แต่ว่าเขาไม่อยากให้บทสนทนาของเขากับคนข้างๆ จบลง

“ผมมาเรียนครับ แล้วคุณ....”

      โชคดีที่วิทยาเป็นคนเปิดเผยและไม่คิดอะไรมากถ้าจะมีเพื่อนเพิ่มอีกสักคนในยามเดินทาง ดังนั้นบทสนทนาระหว่างเขาสองคนเลยไม่จบลงง่ายๆ ตามที่ต้นตะวันได้คิดเอาไว้ เขาต่างแลกเปลี่ยนเรื่องราวของเขาทั้งสองให้กันและกันฟัง ว่าพวกเขามาทำอะไรที่ต่างแดน

“รูปในกล้องของคุณภาพสวยๆเยอะนะ”

“จริงเหรอครับ? ดีใจนะที่คุณคิดแบบนั้นปกติไม่ค่อยมีคนชมรูปผมสักเท่าไหร่” 
 
      คำตอบของวิทยาทำให้ต้นตะวันคิดว่า มีด้วยเหรอ ที่พอใครสักคนกำลังอวดผลงานด้วยความภาคภูมิใจแล้วจะมีคนบอกว่าไม่ชอบต่อหน้าของเจ้าของได้ด้วย ทุกคนก็ต้องพูดแต่เรื่องที่อีกฝ่ายอยากฟังเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? 
หลังจากมื้อเย็นผ่านไป ต้นตะวันก็คิดได้ว่าเขายังไม่ได้ถามชื่อของคนนี้เลย  “คุณชื่………”

      หันหลับไปมองด้านข้างก็เห็นว่าคนที่นั่งข้างๆ ของเขา ตอนนี้ได้งีบหลับไปแล้ว หมดกันจะถามชื่อทีไร ทำไมเขาไม่เคยได้รู้ชื่อของคนๆ นี้เลยนะ หลับซะละ ต้นตะวันแอบลอบสังเกตุหน้าของคนข้างๆ ของเขา จะว่าไปดูๆไปหน้าตาก็ดูธรรมดา ไม่ได้ดีดูโดดเด่นแบบคนที่เขาเคยคบมา แก้มนี่ย้อยมาเชียว แต่ที่น่าสนใจในตัวของคนนี้ก็คือ ตะวันรู้สึกว่าเขาสามารถพูดเปิดอกกับคนๆ นี้ได้โดยที่ยังไม่ได้รู้จักกัน แต่จะไปนั่งมองเขาทำไม เขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบผู้ชายสักหน่อย สังเกตุไปก็เท่านั้น เปลี่ยนไปเป็นดูหนังดีกว่า   

ผ่านไป 4 ชั่วโมง

“คุณครับๆ”

“หื้มม?”

“ขอโทษนะครับ พอดีผมพยายามจะก้าวข้ามแต่ไม่พ้น ผมอยากเข้าห้องน้ำรบกวนคุณลุกสักนิดได้ไหมครับ?”

“อ่อ อื้ม เดี๋ยวลุกให้นะ”

“ขอบคุณครับ”

“ขอโทษครับ" 

         ตอนที่วิทยากำลังก้าวขาข้ามกลับไปนั่งของตัวเองโดยการที่ก้ามข้ามตัวของต้นตะวัน ขากลับครั้งนี้ต้นตะวันไม่ได้ลุกให้วิทยา ต้นตะวันได้แต่เลื่อนตัวขยับเข้ามาให้ติดกับที่นั่งให้มากขึ้นเพื่อเว้นช่องให้วิทยาเดินเข้าไปได้ แต่มันเป็นช่วงพอเหมาะพอเจาะพอดีที่ทำเครื่องบินกำลังเคลื่อน หรือ ตกหลุมอากาศต้นตะวันก็ไม่สามารถทราบได้ แต่มันก็ทำให้วิทยาเสียการทรงตัว แล้วก็โน้มลงมาทับใกล้กับตัวของต้นตะวัน

กึง “โอ๊ย”   “เฮ้ย” 

“เฮ้ย ขอโทษครับ คุณเป็นไรรึเปล่า?  เจ็บมากไหมครับ?  ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมข้ามไม่พ้น”

"ไม่เป็นไรครับ ผมว่าคุณเข้าไปนั่งเถอะครับ ก่อนที่เครื่องบินจะโคลงอีกรอบ"
 
“ผม ขอเปิดหน้าต่างได้ไหมครับ? ผมอยากเตรียมตัวถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า”

“ตามสบายเลยครับ"

แต่ในขณะที่แสงตะวันกำลังจะขึ้น ต้นตะวันเห็นคนข้างกายเงียบเป็นพิเศษ สงสัยจะตื่นเต้นจนกลั้นหายใจ แต่พอเขาหันกลับไป

“คุณครับ”

“อื้มมม ขออีกนิดนะครับนะ”

“...............”
     
       ในเมื่อใช้เสียงปลุกแล้วไม่ตื่น ต้นตะวันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะให้ปลุกต่อไปก็ไม่ใช่นิสัยของเขา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้นตะวันคิดออกในตอนนี้ก็คือ หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ถ่ายภาพแสงแรกของวันเก็บเอาไว้ให้ เพื่อใครบางคนอยากจะได้ 

ติ้งๆๆๆๆ แสงไฟเปิดพรึ่บๆๆๆ

 “สวัสดียามเช้าค่ะ ตอนนี้เราก็ได้ก็ใกล้เข้าสู่น่านฟ้าของประเทศออสเตรเลียแล้วนะคะ อุณหภูมิตอนนี้อยู่ที่…..”

“หื้ม?”

“สวัสดี ได้เวลาอาหารเช้าแล้วครับ”

“หื้ม?? ว้า ผมเลยเวลาที่แสงอาทิตย์ส่องมาแล้วสินะครับ ผมนี่แย่จังพลาดได้ขนาดตั้งใจเอาไว้แล้วแท้ๆ  คุณได้ทันเห็นไหม
ครับ?”

“ไม่ครับ” 

“เสียดายเนอะ พลาดโอกาศเลย ต้องรออีกทีตั้งปีหน้า ตอนจะกลับเลย”

“ต้องขอโทษผู้โดยสารทุกท่าน อากาศที่ซิดนี่ย์ตอนนี้แปรปรวนมาก เรายังเอาเครื่องลงจอดไม่ได้ ขออภัยในความล่าช้า”

1 ชั่วโมงผ่านไป

"คุณว่า มันจะเป็นอะไรมากไหมครับ?"

"ไม่น่านะครับ"
 
“ประกาศทางเราต้องนำเครื่องลงจอดที่สนามบินที่บริสเบนก่อน แล้วถ้าอากาศทางซิดนี่ย์พร้อมเมื่อไหร่ เราจะนำท่านเดินทางสู่นครซิดนี่ย์ทันทีครับ”

      สิ้นสุดเสียงประกาศรอบนี้ต้นตะวันไม่ได้ยินเสียงของคนข้างกายอีกเลย หันกลับไปดู เห็นคนข้างกายหน้าซีดเผือกเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก

"เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณ? คุณโอเคไหม?"

"ผม ผม กลัว"

“ใจเย็นๆ นะครับ”

“ผม ผม" 

     ต้นตะวันก็ไม่รู้ว่าเขาเอาความกล้ามาจากไหน ที่เอื้อมมือไปจับมือของคนข้างกายไว้ เขารู้แค่ว่า พอเขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวนั้น เขาก็อยากจะทำให้คนข้างๆ เขารู้ว่า ยังมีเขาอยู่ตรงนี้อีกคน เขาไม่ได้ไปไหน
 
“ผมๆ”

"ขอโทษครับ"

      แต่ในขณะที่ต้นนะวันกำลังจะดึงมือของเขาออก กลับกลายเป็นคนข้างๆ เขาเองนี่แหละ ที่ยึดมือเขาเอาไว้ แล้ว      ทั้งสองก็นั่งกันเงียบๆ แต่ส่งผ่านกำลังใจไปให้กันภายใต้ความอบอุ่นที่มือนั้น

      หลังจากนั้นไม่นานเครื่องก็บินมาส่งที่สนามบิน ณ นครซิดนี่ย์ เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ขาของคนทั้งสองจะก้าวพ้นออกมาจากเคบิลเตรียมเดินไปผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ทั้งสองคนก็ได้มีโอกาสล่ำลากัน

"ขอบคุณ คุณมากนะครับ"

"ครับ?"

"ก็เรื่องที่คุณนั่งเป็นเพื่อนจนเครื่องลงจอด"

"ครับ"

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอให้โชคดีครับ"

"ครับ เช่นกันครับ"

      คนๆ นั้นเดินจากไปแล้ว ในที่สุดต้นตะวันก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาลืมอะไรไป เขาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงนั่งข้างๆ กันแต่เขาก็ลืมที่จะถามชื่อของคนๆ นั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าคนๆ นั้นจะสามารถจำชื่อของเขาได้ไหม สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือ เขาได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนนั้นไป 

“อื้ม หวังว่าจะเจอกันใหม่นะครับ เจอกันใหม่นะ” 

...โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า แก้ไขบทที่ 2 ค่ะ 22/08/16
«ตอบ #15 เมื่อ23-08-2016 06:54:36 »

บทที่ 3

ลัดเมืองมาเจอกัน

ทันทีที่วิทยาได้เหยียบลงบนพื้นดินเขาก็แทบอยากตะโกนให้ดังๆ ว่า ฮัลโหลลลลลล ออสเตรเลีย ผมนายวิทยาได้มาเหยียบเมืองจิงโจ้แห่งนี้แล้ว หรือไม่ก็อยากจะเอาธงมาปักว่ามาถึงแล้ว

     วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว แว้บๆจากวันที่อยากกู่ร้องมาถึงวันนี้ก็ครบสองอาทิตย์ที่วิทยาได้มาอาศัยอยู่ที่นิวคาสเซิล มันยังคงเป็นสองอาทิตย์ที่เขาเองก็ยังไม่เลิกตื่นเต้น ถ้าให้คิดย้อนกลับไปวันแรกที่เขามาถึงที่นี้ วิทยาคงต้องเริ่มจากแอร์พอต ที่นั้นคนเยอะแยะไปหมด และแม้ตัวเขาเองอยากหยุดดูของที่  duty free ที่มีพื้นที่อันเล็กน้อยนิดนั้นมากเลย แต่ตอนนั้นเขาก็ต้องตัดใจพร้อมบอกตัวเองว่าอย่าเลยเพราะตอนนั้นก็ช้ามากพอแล้ว มีเจ้าหน้าที่มารอรับแค่เคื่องบินดีเลย์ไปเป็นชั่วโมงแบบนี้ก็นานพอแล้ว
ตอนที่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าประเทศ วิทยาก็เตรียมท่องคำตอบมาอย่างดีแต่กลายเป็นว่าทางตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ถามไรมากทำให้เขาผ่านมาได้อย่างรวดเร็ว มาตกม้าตายมาช้าตอนเอากระเป๋านี่แหละ คนจะเยอะไปไหน กว่าจะแบกกระเป๋าออกมาจนมาถึงจุดนัดรับก็กินเวลาไปอยู่ โชคดีที่พอออกมาก็เจอคนขับที่มาจากทางบริษัทรับส่งถือป้ายชื่อเขาอยู่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มวิทยารีบพูดกล่าวขอโทษแม้ถึงจะไม่ใช่ความผิดของเขาที่ช้าก็ตาม หลังจากขอโทษขอโพยกันเสร็จคนขับรีบให้วิทยาขึ้นรถตู้แล้วขับตรงจากซิดนี่ย์ถึงนิวคาสเซิลกันเลยทีเดียวโดยไม่มีการหยุดพักรถแต่อย่างใด
 
2 ชั่วโมงของวิทยาที่อยู่บนรถ เขาไม่หลับเลยลึกๆ แอบกลัวนิดหน่อยว่าคนขับอาจจะพาเขาออกเส้นทาง (แต่เขาก็ลืมคิดไปว่าเขาเองก็ไม่เคยเผ่านทางตรงนี้มาก่อน ถ้าคนขับจะพาเขาออกเส้นทาง เขาจะรู้ได้ยังไง กว่าจะคิดตรงนี้ได้เขาก็มาถึงบ้านที่พักพร้อมนอนแล้วละ) ตลอดทางของการเดินทางมันเต็มไปด้วย ป่า….เพราะว่าคนขับไม่ได้ใช้ทางหลักแต่ใช้เหมือนมอเตอร์เวย์บ้านเรา มาน่าตื่นตาตื่นใจพอจะให้ไม่หนังตาตกได้ก็ตอนเริ่มเข้าเมืองนิวคาสเซิลนี่แหละ แบบเฮ้ยย บ้านคนไร้รั้วบ้าน  เตี้ยแบบไม่ต้องกระโดดก็เข้าไปได้ 

        วิทยาเลือกที่พักแบบพักอยู่กับโฮมสเตย์ มาถึงโฮสก็บอกกฏต่างๆ ภายในบ้านให้ฟัง แล้วก็ให้เขาไปพักผ่อน สิ่งแรกที่เขาเลือกทำคือ วิ่งหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแถวบ้านเพื่อที่จะโทรกลับหาแม่ 

“ฮัลโหลค่ะ” 

 แค่ได้ยินเสียงแม่ ไม่น่าเขื่อว่าวิทยาจะน้ำตาไหลตั้งแต่ได้ยินเสียงคำว่า “ฮัลโหล” จากแม่ คิดถึงบ้านจัง

“แม่ วิทถึงแล้วนะ” 

“อย่าเสียงสั่นสิ หนาวมากเหรอลูก ไปปะพักนะ”

“ครับแม่”

      มหาวิทยาลัยที่นี้เป็นตึกหลายๆ ตึกแยกกันไปไม่ได้อยู่ติดกัน เพราะฉะนั้นค่อนข้างยากถ้าคนต่างคณะจะมาบังเอิญเดินสวนกัน วิทยาค่อนข้างโชคดีที่เข้ามาเรียนในภาคเรียนนี้แล้วบังเอิญมีคนไทยรวมอยู่ในคลาสด้วย 1 คน เป็นผู้หญิงไทยมีนามว่ากระแต กระแตทำให้เขาหายคิดถึงบ้านได้มากทีเดียว อย่างน้อยก็ได้พูดไทยฟังไทยบ้าง

“หวัดดีวิท มาแล้วเราไม่สายไปใช่ไหม รถไฟยังไม่ออกใช่ไหม?”  วันนี้วิทยากับกระแตตั้งใจว่าจะไปเที่ยวซิดนี่ย์กัน เพราะตั้งแต่เขามาถึง เขาก็ยังไม่ได้มีโอกาศไปเที่ยวที่ซิดนี่ย์เลย หนทางเข้าซิดนี่ย์จากนิวคาสเซิลมีแค่ 2 ทางเลือก คือขับรถไปเอง หรือ นั่งรถไฟเข้าไป และแน่นอนตอนนี้ทั้งวิทยาและกระแตไม่มีรถ พวกเราเลยเหลือแค่เพียงทางเลือกเดียวนั้นคือ รถไฟ

“อื้ม ไม่ช้าๆ” 

ตลอดการเดินทางวิทยากับกระแตช่วยกันลิสดูว่าจะไปไหนกันก่อน ที่ดูๆ กันไว้ก็มีหลายที่แต่ที่ต้องไปแน่ๆ ก็คือ ร้านขายของสดของชำที่รวมกินของใช้ของทุกชาติ 

พวกเขาวางแผนออกจากตัวเมืองนิวคาสเซิลตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพราะ 3 ชั่วโมงบนรถไฟไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กะว่าพอไปถึงตอน 9 โมงเช้า เขาสองคนแวะทานข้าวเช้า ที่ China Town ถือโอกาสไปลองโจ๊กยามเช้าของชาวจีน เสร็จก็จะได้ไปแชะรูปที่สะพาน Harbourne bridge พอตอนเที่ยงแวะกินข้าวที่ร้านชื่อดังอย่าง Pancake ที่ The Rock  ถ่ายรูปตลาดยามบ่ายที่นั้น แล้วเย็นๆ ค่อยเดินข้ามฝั่งไป Opera house ดูพลุด้วย เพราะพวกเขามาวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่มีพลุจุดให้ดู แล้วก็เดินมากินอาหารไทยแถว Thai Town ค่อยนั่งรถไฟกลับกัน
 
“ตื่นๆ วิท ซิดนี่ย์แล้ว”

“อื้มมม ปะ หิวแล้วด้วยอะ” 

ช่วงเช้าจนถึงช่วงบ่ายทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วิทยากับกระแตได้วางเอาไว้ ติมซำและโจ๊กที่ China Town ไม่ผิดหวังอร่อยตามที่เคยเห็นรีวิวแต่ว่าราคาแอบโหดไปหน่อยจานก็ไม่ได้ใหญ่มาก วิทยาเลยใช้วิธีสั่งซาลาเปาลูกใหญ่มาด้วยเพื่อให้อิ่มท้อง เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายของฝากที่แถวฮาเบอร์เขากะว่าจะเดินถ่ายรูปแถวนี้ก่อน กระแตอยู่ๆ ก็กระโดดโลดเต้น โบกมือโบกไม้

“วิท แป้ปนะ เราเจอเพื่อน” เพื่อนของกระแตเป็นผู้หญิงไทยครับเหมือนจะเพื่อนกัยตั้งแต่ก่อนบินมาที่นี้แล้ว ในขณะที่สองสาวคุยกัน กระแตได้พาเพื่อนมาให้เขารู้จักทักทายกันนิดหน่อยเพื่อนกระแตก็มาเรียนต่อ แต่มาเรียนแค่ภาษาสั้นๆ แล้วก็จะเดินทางกลับ พอกระแตรู้แบบนั้นกระแตก็เริ่มหันรีหันขว้าง

“วิท ถ้าเราอยากเปลี่ยนแผน ไปกิน ไอติม ช้อปปิ้ง วิทอยากไปกับเราไหม?”

วิทยาเริ่มคิดหนักว่าจะเอาไงดีละ ไอติมก็อยากกินหรอกนะแต่ไอ้ช้อปปิ้งนี่สิ ไม่ใช่งานถนัดของเขาเลย ยิ่งถ้าต้องเดินกับสาวๆ เขามองอนาคตไว้ว่ามันน่าจะยาวแน่ อีกอย่างเขามองดูแล้วบทสนทนาระหว่างสองสาวเขาเองก็อาจจะแทรกเข้าไปไม่ได้แล้วมันจะพาลไม่สนุกซะเปล่าๆ

“ถ้าไปกินติมเราไปด้วย แล้วค่อยแยกกันตรงนั้นแล้วกัน ตอนแตไปช้อปปิ้ง เดี๋ยวเราแยกเดินไปดูของเอง”

เพื่อนของกระแตคนนี้เล่าประสบการ์ณในซิดนี่ย์ให้ฟังฟังดูแล้วมันช่างแตกต่างจากที่เมืองที่เขาอยู่มาก เพื่อนของแตบอกว่าที่ซิดนี่ย์เที่ยงคืนร้านบางร้านในตัวเมืองยังเปิดอยู่เลย ในขณะที่เมืองที่วิทยาอยู่นั้น 5 โมงเย็นทุกอย่างก็ปิดแถบจะหมดแล้ว ถ้าไม่นับร้านอาหาร หรือ พวกฟาสฟู้ดที่เปิด 24 ชั่วโมง 

“วิทแน่ใจนะว่าจะไม่ไปกับพวกเรา?”
 
“อื้มไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะเดี๋ยวเราเดินเล่นเองดีกว่าสาวๆจะได้คุยกันด้วย”

“โอเค งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ แล้วเราคงไม่กลับนิวคาสเซิลวันนี้นะ อาจจะอยู่ค้างกับเพื่อนเรา งั้นวิทไม่ต้องรอเรา”

“อื้ม ได้ๆ แต่ถ้าแตเปลี่ยนใจจะกลับก็ ไลน์มาบอกเราแล้วกัน ถ้าเราเกิดยังไม่กลับ เราจะได้กลับพร้อมกัน” 

แล้วทริปเดินทางพร้อมเพื่อนของวิทยาก็เปลี่ยนเป็นทริปลุยเดี่ยว เอาละเริ่มจากตรงไหนดี มันน่าเดินไปหมดเลย อากาศก็กำลังดีไม่ร้อน  วิทยามองไปรอบๆ ก็ตัดสินใจได้ว่าไปถ่ายรูปตลาดนัดก่อนแล้วกันไม่ไกลจากตรงนี้ด้วย ในขณะที่เขากำลังแพลนกล้องไปจับภาพผู้คนตรงถนน กล้องก็ดันไปจับภาพใครคนนึงที่ร้านขายของได้

“คุณต้นตะวัน”

“....” 

“สวัสดีครับคุณต้นตะวัน”

“อ้าวสวัสดีครับคุณ...?”

“วิทยาครับ”

“ผมลองเรียกคุณจากตรงนั้น แต่สงสัยเสียงแถวนี้น่าจะดังเกินไป คุณเลยดูท่าไม่ได้ยินผมเลยเดินมาสะกิด กลัวเหมือนกันว่า จะทักคนผิดเข้า”

“ขอโทษ พอดีไม่ค่อยแน่ใจว่าเรียกผม จนคุณเดินมาสะกิดนี่ละครับ ได้ยินไม่ชัดผมเลยคิดว่าหูแว่วไม่ติดว่าจะเจอคนรู้จักมาเดินแถวนี้ ว่าแต่สรุปคุณย้ายอยู่ที่ซิดนี่ย์เหรอครับ? วันนั้นเห็นคุณบอกว่าจะออกไปเรียนนอกเมือง”

“อ่อเปล่า ผมเข้ามาเที่ยวนะ ผมอยู่นิวคาสเซิลนั้นแหละครับ ไม่ได้ทำเรื่องย้ายเข้ามา มีอะไรรึเปล่าครับ? ที่หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึเปล่าครับ?”

“อ่อ เปล่า ครับ” ก็ไม่แปลกที่วิทยาจะสงสัยว่ามีอะไรติดที่หน้าของเขารึเปล่าเพราะต้นตะวันเล่นมองหน้าของวิทยาอย่างไม่วางตา มันคงเป็นเพราะต้นตะวันแอบรู้สึกดีๆใจอยู่ลึกๆ ว่าเขาได้มีโอกาสหวนมาเจอกับคนๆ นี้อีกครั้ง “แล้วนี่คุณตะวันมาเที่ยวคนเดียว?”

“อะหะ”

“สนใจเดินเล่นกับผมไหม? ถ้าคุณเผอิญไม่ติดธุระอะไร ผมก็เข้ามาเดินดูบรรยากาศคนเดียวเหมือนกัน”

“เอาสิครับ เดี๋ยวผมพาเดินคุณน่าจะมาครั้งแรกผมมาหลายครั้งแล้ว”

     ตลอดช่วงสายๆ ของวันถนนในย่านThe Rock ก็ได้มีโอกาสเปิดถนนต้อนรับคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันไปตามทางถนนทั้งสองมีหยุดถ่ายรูปบ้างหยุดดูของที่ขายอยู่ตามตลาดที่ยาวไปตลอดสองข้างทางบ้าง ในกล้องของวิทยานอกจากจะมีภาพที่ถ่ายภาพวิวก็เริ่มมามีถ่ายภาพคนถ่ายเดี่ยวถ่ายคู่บ้างสลับกันไป 

“เดี๋ยวคุณส่งรูปนี้ให้ผมหน่อยสิตะวัน ผมชอบจัง”
 
     ในขณะที่สองหนุ่มหาที่นั่งพักรับลมและพักขา ทั้งสองก็เริ่มแลกรูปกันดู ต้นตะวันไม่ได้พกกล้องมาเขาจึงใช้มือถือเป็นอาวุธในการแชะภาพ และเพราะว่าวิทยาต้องการรูปบางรูปที่อยู่ในมือถือของต้นตะวันน ทำให้วิทยารู้ตัวแล้วว่ามีอะไรบางอย่างหายจากตัวเขาไป

“เฮ้ยยย มือถือ มือถือผม คุณๆ ผมขอยืมมือถือหน่อยได้ไหม มือถือผมหายไปไหนไม่รู้ ขอร้องอย่าโดนล้วงเลย”

“นี่ครับ” 

“.....”

“ผมไม่ได้ใส่รหัสไว้ครับคุณเปิดล้อคแล้วโทรออกได้เลยครับ”

“ผม จำเบอร์ตัวเองไม่ได้ครับ”

“งั้น ใจเย็นๆ นะครับ โดนล้วงผมคิดว่าไม่เพราะเดินอยู่ด้วยกันตลอดคุณเองก็สะพายกระเป๋าไว้ข้างผม งั้นล่าสุดไปที่ไหนมาก่อนเดินมาเจอผม เดินช้อป หรือ นั่งร้าน?”

“ไอติมๆ ใช่แล้วไอติม งั้นเดี๋ยวผมมานะ ผมขอไปที่ร้ายไอติมนั้นก่อน” 

แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจต้นตะวันให้จับข้อมือของวิทยาเอาไว้ รู้แค่ว่าเขาไม่อยากให้วิทยาออกไปตามหาของคนเดียว

“ไปครับ ผมไปด้วย”

โชคดีที่พอมาถึงร้าน ก็มาเจอมือถือของที่นี้ มันยังอยู่ครับ พนักงานเก็บเอาไว้ให้ 

“ขอบคุณนะที่มาเป็นเพื่อน”

“แต่นี้เองโอเค ว่าแต่คุณอยากไปไหนต่อ?”

“อื้ม นี่ก็บ่ายแล้ว สนใจไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหมครับ?”

“ไปสิ ผมก็เริ่มหิวแล้ว”

“แต่ผมมีที่ในใจแล้วนะ ผมอยากลองกินที่ร้าน Pancake ที่  the rock นะครับ ได้ยินมาว่าแพนเค้กที่นั้นมากเลย คุณจะโอเคไหม?”

“โอเคครับ แพนแค้กที่นั้นอร่อยนะ ผมเคยลองแล้ว ว่าแต่คุณไม่ได้อยู่ที่นี้ คุณยังรู้เลยสงสัยว่าจะอร่อยจริง”

“ผมลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน้ทเอานะครับ อ่านรีวิวมา เขาว่าห้ามพลาด ถ้ามาซิดนี่ย์แล้วไม่ได้กินคือเหมือนมาไม่ถึง" 

     สรุปมื้อเที่ยงของทั้งสองคนก็เป็นที่ร้าน Pan Cake ตามที่วิทยาอยากลอง หลังจากทั้งสองคนทานมื้อเที่ยงเสร็จ ตลอดบ่ายนั้น เขาทั้งสองก็พากันเดินไปรอบๆ ฝั่ง Harbour ต้นตะวันเป็นคนนำทางแต่ส่วนสถานที่วิทยาเป็นคนเลือกว่าอยากที่จะเดินไปไหน เป็นคนคิดเองหมด เช่น ต้องถ่ายรูปจุดนี้ ร้านขนมต้องร้านนี้ น่าแปลกที่วันนี้ต้นตะวันรู้สึกไม่อึดอัดที่ต้องเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้   

     ตั้งแต่ชีวิตของต้นตะวันมาอยู่ที่ซิดนี่ย์เขาก็หมดไปกับการคลุกตัวเล่นเกมส์ในห้องมากกว่า เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาเรียนเขาก็ยังไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะรู้สึกสนิทใจพอที่จะไปเที่ยวด้วยกัน แล้วพอทุกคนเห็นเขาเป็นคนเงียบๆ ทุกคนก็พากันหายกันไปทีละคนสองคน แต่กับคนข้างๆ เขากลับรู้สึกสบายใจที่จะเดินด้วยพูดคุยด้วยไม่รู้สึกอึดอัดหรือเกร็งเวลาพูดคุยกัน ต้นตะวันเลยเต็มใจที่จะเป็นคนพาเที่ยว และถือโอกาศเดินเล่นไปด้วยกัน 

ทั้งสองเดินมาจนถึงฝั่งที่เป็นสะพานที่สามารถนั่งดูพลุได้ในยามค่ำคืนได้ แต่ว่าแผนยามเย็นของวิทยาดูจะล่มไม่เป็นท่าเพราะร้านอาหารไทยที่เขาหมายมั่นปั่นมือหาข้อมูลมาดันไม่เปิดทำการวันนี้

“ครับ?"

"คือ ร้านที่เราดูมามันไม่เปิดนะสิ"

“ก็ร้านข้างๆ ไหมครับ มันก็น่าจะแทนกันได้ วิวน่าจะเดียวกัน ห่างกันนิดเดียวเอง”

“คือผมกินอาหารอินเดียไม่เป็น……...ผมเลยคิดว่าผมจะไปซื้อของแถวนี้มานั่งดูวิวที่ข้างทางแทน ถ้าคุณไม่สะดวกเราจะแยกกันตรงนี้เลยไหมครับ?"

"......."

"เงียบไปเลยคุณตะวัน สีหน้าไม่ดีเลย เฮ้ย อย่าบอกนะว่าคุณคิดว่า... ผมไม่ได้ไล่นะครับ"

"เอ่อ .."

"ผมขอโทษๆ ผมไม่ได้ไล่จริงๆ แต่กลัวคุณไม่สะดวกไง มานั่งกินข้าวข้างพื้นถนนแบบนี้"

ต้นตะวันพยักหน้าเป็นการตอบตกลงว่าเขาจะรอดูพลุอยู่ตรงนี้กับวิทยา ตอนนี้เขาทั้งสองคนก็เริ่มจะหิวกันแล้ว ต้นตะวันแอบหันไปมองคนข้างๆ ของเขาก็แอบเห็นว่าคนข้างๆ ของเขาเริ่มเอามือขึ้นมาลูบท้อง

พรึ่บ 

"จะไปแล้วรึครับ?" ด้วยความที่วิทยาตกใจที่อยู่ๆ คนข้างๆ ก็ยืนขึ้นเขาเลยหันกลับไปคว้ามือคนข้างๆ ไว้อย่างลืมตัวแต่วิทยาก็ไวพอที่จะแกะเอามือของตนเองออกจากมือของอีกคนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

"เดี๋ยวผมมาครับ" 

     เนื่องจากวิทยาเห็นว่าใกล้เวลาจะดูพลุมากแล้ว เขาก็เลยไม่ได้รั้งต้นตะวันเอาไว้หรือจะขอตามไปด้วย ได้แต่เพียงหยักหน้าหงึกหงักแสดงออกให้รู้ว่าเขารับรู้และจะขอรอตรงนี้ เพราะว่าเขาเองก็กลัวว่าจะเสียพื้นที่ตรงนี้ไป เขาเลยถือว่าเขาทำหน้าที่เป็นคนจองที่ให้กับทั้งเขาและตะวันแล้วกัน

ผ่านไปไม่เกิน 15 นาที ต้นตะวันก็กลับมาพร้อมกับของในมือ

"นี่ครับ ของรองท้อง"

"ขอบคุณครับ"

       แล้วในที่สุดพลุก็มา เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ของพลุเอง แต่ก็มีความสวยงามมากในสายตาของวิทยา เขาหยิบกล้องมากดชัทเตอร์รูปไปหลายสิบรูป แม้เขาจะรู้ว่าการมองพลุด้วยตาเปล่าจะสวยงามกว่าขนาดไหนก็ตาม แต่ ภาพบรรยากาศแบบนี้ก็ไม่ได้สามารถจะหาได้บ่อยๆ 

"มีโปรแกรมจะไปไหนต่อไหมครับ?"

“ผมคงต้องกลับแล้วละครับ ถ้าช้ากว่านี้ เดี๋ยวจะไม่มีรถต่อเข้าที่พักจากที่สถานีรถไฟครับ”

“อื้ม งั้นเดี๋ยวผมเดี๋ยวเดินไปส่งที่สถานีรถไฟ”

      ตลอดทางจากจุดตรงนั้นเพื่อที่จะเดินมาที่สถานี Central พวกเขาสองคนไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก จะมีแต่วิทยาที่คอยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่หารู้ไม่ว่าแม่ทั้งสองคนไม่ได้คุยกันแต่สิ่งนึงที่ทั้งสองคนคิดเหมือนกันก็เลยคือ เขาไม่อยากให้ทางเดินตรงนี้มันสิ้นสุดลงเลย อาจจะเป็นเพราะวันนี้มันเป็นวันที่สนุกมากของเขาทั้งสองก็ได้ เขาทั้งสองก็เลยไม่อยากให้มันจบลง
   
“ขอบคุณตะวันมากนะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

"เอ่อ ว่าแต่เรายังไม่เบอร์ของตะวันเลย เราขอเบอร์ไว้ได้ไหม จะได้แอดไลน์ของกันได้เลย อีกอย่างเพื่อเราเข้าซิดนี่ย์อีก เราขอโทรหาตะวันได้ไหม?"

“อื้ม ได้ดิ นี่กะกำลังจะขออยู่พอดีเหมือนกัน”

“โอเค อย่าลืมส่งรูปให้เรานะ เดี๋ยวเราจะส่งไปให้ด้วย เราไปก่อนนะ”

“อื้ม” 

“แล้วเราคงได้เจอกันใหม่นะ”

“อื้ม เจอกัน”

....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า แก้ไขบทที่ 3 ค่ะ 23/08/16
«ตอบ #16 เมื่อ24-08-2016 11:20:56 »

บทที่ 4

ณ ตอนนี้วิทยาเองกลับมาจากซิดนี่ย์ได้เกือบเดือนแล้ว การเรียนของที่ออสเตรเลียโดยมากอาจาราร์ยจะเน้นให้นักศึกษาวิเคราะห์เคสแต่ละเคสหาทางแก้โดยใช้ความรู้ที่เรียนมามาอธิบายว่าทำไมเราถึงเลือกแก้เคสนี้แบบนี้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่กลับมาวิทยาก็ได้แต่หมกตัวอยู่แค่ที่ห้องของตัวเองหรือไม่ก็ห้องสมุดที่มหาวิทยาลัย มีอยู่สองที่ีเท่านั้นที่จะสามารถหาวิทยาเจอ  เพราะถ้าเขียนรายงานผิดนิดเดียวชีวิตนักศึกษาและเงินเก็บของวิทยาจะเปลี่ยนไปโดยทันที

ในท่ามกลางมรสุมแห่งการเรียนเห็นจะมีเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับวิทยาได้ก็มีอยู่หนึ่งเรื่อง นั้นก็คือ วิทยาได้งานที่ร้านขายไอติมตามที่เขาอยากทำ มันไม่ใช่ว่าพอวิทยาเดินเข้าไปสมัครปุ้ปเขาจะได้งานนนี้ปั้ป วิทยาเองก็ล้มลุกคลุกคลานไปสมัครงานเป็นคนผัดกับข้าวบ้าง ไปเป็นเด็กเสริ์ฟบ้าง แต่ในที่สุดวิทยาก็ได้งานที่ร้านขายไอติมอย่างที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้ 

ร้านไอติมที่วิทยาได้งานเป็นร้านไอติมแบบ Home made คนที่เปิดร้านนี้ทำไอติมเอง คิดสูตรไอติมเอง ผสมเอง ทุกอย่างทุกขั้นตอนพวกเขาทำกันเองหมดเป็นเหมือนธุรกิจครอบครัว เพราะฉะนั้นรสชาติที่ขายที่ร้านนี้มีให้เลือกไม่เยอะ แต่ในแต่ละอาทิตย์จะมีการเปลี่ยนรสชาติที่ทำขาย เหมือนเป็นการเอาสูตรมาให้ลูกค้าได้ลองมากกว่า ถ้าอันไหนดีก็ทำต่อเป็นสูตรของร้านไป แต่ถ้าอันไหนไม่ดีเจ้าของร้านก็จะจดเอาไว้และไม่เอากลับมาทำอีก ข้อดีของเจ้าของร้านร้านนี้คือเขาฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า ซึ่งวิทยาก็คิดว่าเขาควรเอาเป็นตัวอย่าง 

หลังจากที่วิทยาได้เข้าไปเริ่มงานได้ไม่นาน เจ้าของร้านก็แอบใจดีให้สูตรไอติมบางสูตรกับวิทยามา เหตุผลนั้นเพราะวิทยาเองก็พูดคุยกับเขาตรงๆ ว่าหลังจากเขาเรียนจบและเดินทางกลับเมืองไทยเขาอยากลองเปิดร้านเป็นของตัวเอง  การทำงานร้านนี้เป็นไปได้ด้วยดีเพื่อนร่วมงานดี เจ้านายดี แต่เรื่องที่วิทยาแอบหวั่นใจทุกครั้งที่เข้าไปทำงานก็คือความหนาวของอากาศ ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาวถ้าเป็นร้านอื่นๆ เข้าไปก็เปิดฮิตเตอร์แต่ร้านไอติมไม่มีทางเพราะไม่อย่างนั้นไอติมที่ทำมาก็ละลายกันหมดพอดี
 
"คุณเคยไปเที่ยวที่ไหนนอกจากที่นี้บ้างรึยัง?" เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเย็นที่ใกล้จะปิดร้านแล้ว ลูกค้าที่มาเลือกซื้อไอติมเลยบางตา ก็มักจะเป็นเวลาที่คนที่ทำงานในร้านได้คุยเรื่อวราวต่างๆ ด้วยกัน 

"ผมเคยเข้าไปเที่ยวที่ซิดนี่ย์" 

พอพูดถึงซิดนี่ย์แล้วคนที่วิทยารู้สึกคิดถึงตามมาทุกครั้งงก็คือ ต้นตะวัน ถ้าถามว่าทำไมวิทยาเองก็ตอบไม่ได้ ก็ว่าทำไมต้องถึงนึกถึงคนนี้ มันอาจจะเป็นเพราะว่าต้นตะวันคือคนที่พาเขาเที่ยวในวันนั้น แล้วก็แน่นอนพอคิดถึงสถานที่ก็ต้องคิดถึงคนที่พาไปด้วย 

ช่วงที่วิทยากลับมานิวคาสเซิลใหม่ๆ ถ้าเขามีเวลาว่างๆ เขาก็มักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีบางความคิดที่วิทยาคิดว่าพอหยิบขึ้นมาก็น่าจะเห็นเบอร์ หรือ เมสเสจของคนนั้นส่งเข้ามาบ้าง เพราะเขาสองคนก็แลกเบอร์กันแล้ว ไม่ใช่แค่เบอร์แต่ไลน์ก็มี แต่ทุกครั้งวิทยาก็จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ต้นตะวันก็ไม่เคยทักเขามาและวิทยาเองก็ไม่กล้าพอที่จะทักต้นตะวันกลับไป แต่วิทยาก็ติดตามความเคลื่อนไหวของต้นตะวันในไลน์เสมอๆ วิทยาเห็นต้นตะวันเปลี่ยนรูปประจำตัวบ่อยๆ แล้วบางทีก็ไปถ่ายรูปอะไรมาลงอยู่ในทามไลน์เยอะแยะ วิทยาก็อยากจะคอมเม้นท์เวลาเห็นรูปต่างๆ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร ได้แต่มอง
 
และสงสัยว่าการที่มองโทรศัพท์มากๆ ของวิทยาจะได้ผล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่ในที่สุดตัวของต้นตะวันก็ตัดสินใจติดต่อวิทยากลับมา อยากที่วิทยาอยากให้เป็น 

ลั้นลาลั้นลาตะลันนั้นลาาาาา

เสียงโทรศัพท์ของวิทยาดังขึ้นในตอนที่เขากำลังเข้าเวรทำงานอยู่ที่ร้านไอติม รอบแรกวิทยาไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้เพราะกำลังติดพันลูกค้าจนต้องปล่อยให้เป็นสายที่ไม่ได้รับ แต่แค่สิ้นเสียงโทรศัพท์ๆ ที่ไม่ได้รับไปเพียงแค่อึดใจเดียว เสียงเรียกเข้าก็กลับดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รุ้ว่าทำไมแค่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมันกลับทำให้ใจของวิทยาสั่นขนาดนี้เหมือนกับวิทยาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่เสียงที่เรียกเข้าจากคนทั่วไป มันจะเป็นใครที่เขากำลังอยากคุยอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

ลั้นลาลั้นลาตะลันนั้นลาาาาา….เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง อย่านะอย่าเพิ่งวาง และคำขอของนายวิทยาก็เป็นจริง ลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ทำการซื้อไอติมและได้ไอติมไปแล้ว และเสียงของโทรศัพท์ก็ยังไม่ดับลง เขาเลยมีเวลาที่จะมารับโทรศัพท์

“ฮัลโหล?”

“ฮัลโหล สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์ของวิทยาใช่ไหม? ผมต้นตะวันครับ”

“ครับ เบอร์ผมเอง สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง สบายดีไหม? แต่ผมว่าคุณคงสบายดีแหละเห็นในทามไลน์ดูชีวิตสบายดี”

“5555555 เห็นด้วยเหรอครับ? ครับ ผมสบายดี เอ่อ คุณ ผมเรียกคุณว่า วิท ได้ไหมครับ?”

“ได้สิ แล้วถ้าจะเรียกวิทแล้ว ไม่ต้องมีครับทุกคำก็ได้”

“อื้ม โอเค วิท งั้นก็เรียกเราว่า ตะวันก็พอ ผมโทรมาผมจะถามวิทดูว่าเสาร์หน้าที่จะถึงนี้วิทพอมีว่างไหม?”

“ว่าง มีอะไรให้เราช่วยรึเปล่า?”

“คือว่าวันเสาร์หน้าเรากับเพื่อนๆ คิดไว้ว่าอยากจะไปทะเล ทะเลในซิดนี่ย์ก็ไปมาหมดแล้ว เลยว่าจะลองไปเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งชายหาดซะหน่อย เช่นที่นิวคาสเซิลเรากับเพื่อนๆ เลยว่าจะไปกัน เห็นวิทว่าอยู่ที่นั้นเราเลยจะลองโทรมาถามข้อมูลกับวิทดูนะ”

“อ่อ งั้นต้องคุยยาวอะตะวัน คือมันก็มีหลายหาด มันขึ้นอยู่กับว่าจะมาทำอะไร มาว่ายน้ำเล่น หรือ มาเล่นเซิฟ แล้วตั้งใจเอาไว้จะอยู่เที่ยวกี่วันละ? หรือมาเช้า เย็นกลับ? เพราะนิวคาสเซิลจริงๆ มันมีกิจกรรมอย่างอื่นอีกนะ”

“อ้าวเหรอ เราไม่เคยรู้เลย เรานึกถึงแต่ทะเล ไม่รู้ว่ามีอะไรทำอีกเยอะ งั้นเราถามข้อมูลตอนนี้ได้ไหม?”

“ตะวันเราขอโทษพอดีเราทำงานอยู่ เราคุยได้แค่แป้ปเดียว  เราจะเลิกงานตอน 4 โมงเย็น ตะวันโทรมาอีกทีตอนนั้นแล้วกัน เอ๊ะ ไม่สิ เดี๋ยวเราโทรไปหาเองดีกว่า เพื่อเก็บของยังไม่เสร็จ”

“โอเค เอางั้นก็ได้”

“อื้ม”

“.............................”

“.............................”

“ตะวัน…..”

“หื้ม?”

“เราวางเลยนะ?”

“ห๊ะ อ้าว อ่อ อื้ม โอเค วางนะ เดี๋ยวคุยกันใหม่” 

หลังจากที่วางสายไปวิทยาผู้ที่รักในการขายไอติมและรักในงานที่ทำอยู่กลับรู้สึกว่าอยากให้งานที่กำลังทำอยู่จบเร็วๆ คอยแต่ผวงดูนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเลิกงานของเขาสักที และในขณะที่อีกฝ่ายกำลังผวงกับเวลาอีกฝ่ายที่เป็นต้นเหตุกำลังนั่งยิ้มที่ได้คุยกันสักที

“เฮ้ ต้นยิ้มอะไรคนเดียว ยูโอเคไหมเนี่ย?”

“ไอ โอเค”

แต่เพื่อนต่างชาตินามว่าแจ็คที่แวะมาอ่านสรุปรายงานที่ห้องของต้นตะวันกลับไม่คิดว่าต้นตะวันโอเคจริงๆ เพราะหลังจากวางโทรศัพท์ไปจนมาถึงตอนนี้ยังไม่เห็นว่าต้นตะวันจะหุบยิ้มลงเลย แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่คิดจะเล่าเขาก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้เพราะรู้จักกันมาเกือบ1 เทอมเขาก็พอรู้ว่าถ้าเพื่อนคนนี้ไม่คิดจะเล่าให้เขาฟังก็ไม่มีวันจะได้ยิน 

“ฮัลโหล หลับไปยัง เราขอโทษที่เราโทรมาช้า”

หลังจากวิทยาเลิกงานเขาก็รีบพุ่งตัวกลับบ้าน อาบน้ำด้วยความเร็วสูงเพื่อที่รีบค้นหาข้อมูลที่เที่ยวของที่นี้ กว่าข้อมูลจะครบและแน่นพอก็ปาเขาไปเกือบสี่ทุ่ม วิทยาอยากจะทุ่มให้เต็มที่เพราะว่าครั้งที่แล้วที่เขาเข้าซิดนี่ย์ต้นตะวันก็ดูแลเขาอย่างดี

“ยังเลยครับ ยังไม่ได้นอนเลย”

“เป็นคนนอนดึกเหรอ?” และบทสนทนาคืนนั้นก็ต่อยาวจนเลขของเข็มนาฬิกาเลยเลข 12 ไปแล้วทั้งๆ ที่วิทยาเองก็ยังไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับที่เขาเตรียมมาให้ต้นตะวันได้รู้เลย

“ง่วงแล้วเหรอครับ?” เพราะช่วงหลังของการสนทนาของพวกเขา ต้นตะวันแอบรู้สึกว่าเสียงของวิทยาเริ่มอ่อนลงและเริ่มตอบคำถามของเขาช้าขึ้น

“นิดหน่อยครับ ผมยังไม่ได้บอกเรื่องที่เที่ยวเลย” 

“ไม่เป็นไร วิทนอนเถอะเอาไว้วันหลังก็ได้ครับ พักผ่อนก่อนเถอะครับ”

“อื้อ งั้นเราไปนอนก่อนนะ”

“ครับ ฝันดีครับ” 

คำบอกกล่าวให้ฝันดีคืนนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากคืนนั้นที่ผ่านมาเขากับวิทยาก็ได้มีการอวยพรฝันดีให้กันแก่กันอีกหลายคืนต่อมา

“แจ๊ค วันหยุดสุดสัปดาห์นี้นายว่างไหม?”

“ว่างมีอะไรเหรอ?”

“อยากไปเที่ยวนิวคาสเซิลไหม?”

“วันนี้โลกจะถล่มไหมนะ มิสเตอร์ต้นตะวันผู้ติดห้อง จะชวนผมไปเที่ยวถึงนิวคาสเซิล?”

“จะไปหรือไม่ไป?”

“เฮ้ๆ ใจเย็นเพื่อน แซวนิดเดียวเอง เอาจริงเอาจังไปได้ ถ้ายูต้องการไอ ไอก็พร้อม”

“ใช่แจ๊คไอต้องการยูมากไปครั้งนี้ไอไม่ค่อยมั่นใจ”

“แค่เที่ยวต้องมั่นใจ?”

“ใช่ไอต้องการความมั่นใจ”

“โอเค ถ้ายูต้องการไอ ก็แค่บอกคำเดียวไอพร้อม”

“ขอบใจ” 

ปกติเรื่องการออกไปข้างนอกออกไปเที่ยวมันเป็นเรื่องยากสำหรับต้นตะวันซึ่งเพื่อนหนึ่งเดียวของเขาที่ชื่อว่า แจ๊ค รู้เกี่ยวกับข้อนี้ดี เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่พอวิทยาเอ่ยปากชวนแจ๊คจะยอมตกลงใจไปทันที ต้นตะวันรู้ว่าตัวเองเวลาอยู่นอกบ้านจะเป็นอย่างไรก็เลยเกิดอาการใจฝ่อกลัวไปแล้วไม่สามารถสร้างบรรยากาศให้มันสนุกได้ อีกอย่างดันบอกวิทยาไปว่าเขาจะไปกับเพื่อนๆ ถ้ามีเขาโผล่ไปเพียงคนเดียวต้นตะวันคิดว่ามันจะแปลกเอาได้

ในที่สุดก็ถึงวันที่นัดกัน พอนั่งรถไฟมาได้สองชั่วโมงแจ๊คก็เริ่มบ่นว่าไกลๆ บอกไป Bondi beach ก็พอมั้ง มันก็ใช่ แต่จุดประสงค์ที่ต้นตะวันมาที่นี้ผมไม่ได้แค่อยากมาเล่นน้ำ เขาอยากเจอรอยยิ้มของใครบางคนที่ไม่ได้เจอมาเป็นเดือนแล้วต่างหาก ยิ่งใกล้ถึงยิ่งตื่นเต้น  และในที่สุด 3 ชั่วโมงแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อรถไฟมาเทียบท่าที่ สถานีนิวคาสเซิล

“หวัดดีตะวันและ เอ่อ คุณ?”

“ผมแจ๊คครับ”

“ครับ คุณแจ๊ค ผมวิท”

หลังจากที่ตะวันกับแจ๊คลงมาจากรถไฟ ยังไม่ทันที่ตะวันจะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะบอกกล่าวกับวิทยาว่าเขามาถึงแล้ว ตาของต้นตะวันก็เหลือบหันไปเห็นผู้ชายคนมีทรงผมสีดำประดับอยู่ แต่งตัวด้วยเสื้อหนาวสีดำที่ใหญ่กว่าตัวจนแทบจะคลุมไปถึงครึ่งของต้นขาด้านบน กางเกงยีนส์สีฟ้าเข้มกับรองเท้าผ้าใบสีดำ นั่งอยู่ที่ม้านั่งตรงที่ชานชะลาที่รถไฟจอดอยู่ ก็น่าแปลกที่วิทยาไม่ใช่คนเอเชียคนเดียวที่อยู่แถวนั้น แต่ต้นตะวันก็สามารถเห็นวิทยาได้แค่เพียงไม่กี่นาทีแม้จะไม่มั่นใจว่าใช่แต่ต้นตะวันก็ก้าวเท้าเข้าไปหา และสำหรับวิทยาพอเขาเห็นรถไฟเข้าเทียบท่าเขาก็สามารถเห็นต้นตะวันที่เดินลงมาจากรถไฟด้วยเสื้อยีนส์สีอ่อนคลุมทับเสื้อยืดด้านในพร้อมกับกางเกงสีเข็มได้แทบจะทันที ทั้งๆ ที่ต้นตะวันเองก็ไม่ได้มีสัดส่วนที่สูงไปกว่าชาวออสซี่ที่เดินลงมาจากรถไฟคนอื่นๆเลย

“ไม่เห็นรู้ว่าจะมารอ ไม่เห็นบอกเลย กำลังจะโทรบอกว่ามาถึงพอดี”
 
“กะมาเซอร์ไพล์ ตะวันมากับเพื่อนยังเดี๋ยวเราเอาแผนที่กับสายรถให้นะ”

หมับ ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้นตะวันขว้าแขนของวิทยาเอาไว้ในขณะที่วิทยากำลังจะหยิบแผนที่การท่องเที่ยวให้กับเขา แต่พอจับลงไปมันก็เหมือนกับว่าต้นตะวันจับโดนของร้อน เพราะมันแทบจะเป็นเสี้ยวนาทีที่มือของต้นตะวันสัมผัสที่ข้อมือของวิทยา

“ครับ?”

“เอ่อ คือ ไม่ไปด้วยกันเหรอครับ?”

“ก็ผมเห็นว่า...”

พอแจ๊คเห็นสถานการ์ณตรงหน้าแจ๊คก็เริ่มพอที่จะเดาอะไรออก เพื่อนเขาที่ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด เขาก็เลยออกตัวแทนเพื่อนคนนี้

“ไปด้วยกันไหมคุณ? ผมกับเพื่อนเองก็ไม่ชินทางแถวนี้”

ต้นตะวันรู้สึกขอบคุณแจ๊คมากกว่าครั้งไหน เพราะเขาเองก็เอาแต่อ้ำอึ้ง

 “งั้น ตกลงครับ ไปสิเดี๋ยวผมพาเที่ยวเอง” 

วิทยาพาแขกจากซิดนี่ย์มาที่แถวริมทะเลที่เป็นท่าเรือกับประะภาคารก่อนเป็นอันดับแรก แดดยามสายยังไม่แรงมากมันเหมาะแก่การถ่ายรูปตรงนี้ ถ้ารอสายกว่านี้เป็นช่วงบ่ายแดดมันจะแรงรูปอาจจะไม่สวย ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเพราะจากตรงหน้าสถานีเดินขึ้นไปที่ประภาคารไม่มีรถเมล์ผ่าน ต้องเป็นแค่รถส่วนตัวหรือว่าเดินไปเท่านั้นและในเมื่อเขาทั้งสามไม่มีรถส่วนตัว ขาจึงเป็นพาหนะเดียวที่พวกเขามี

ตลอดทางแจ๊คกับวิทยาเป็นคนทำให้ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินกันอยู่ไม่เงียบจนมากเกินไป มีแค่เพียงต้นตะวันที่ไม่ค่อยเอ่ยชวนพูดคุยอะไร ตลอดบทสนทนาต้นตะวันจะเป็นคนตอบ และตอบแค่ พยักหน้า ส่ายหน้า ส่งเสียงมากสุดในประโยคก็คือ
“อะหะ”

“เหนื่อยเหรอ?” วิทยาหันมาถามต้นตะวันในขณะที่เห็นว่าต้นตะวันเงียบ เขาจึงหันมาถามด้วยความเป็นห่วง “จะนั่งพักก่อนไหมละ?” 

“เปล่า ผมไม่ได้เหนื่อย”

“อ่อ โอเค”

ปกติวิทยามั่นใจในตัวเองนะว่าเป็นคนพูดมากเอาเรื่องคนนึงเลยทีเดียว แต่มาเจอกับตะวันโหมดนี้เขาก็แอบชวนคุยต่อไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ที่ติดใจนิดหน่อยก็คงตรงที่ว่าทำไมยามคุยโทรศัพท์ต้นตะวันดูเป็นคนพูดเก่ง แต่พอเป็นตัวจริงๆ ทำไมกลับเป็นคนขรึมได้ขนาดนี้ 

 “เอ่อ วันนี้ไม่ต้องทำงานที่ร้านไอติมเหรอ?” 

“ไม่ต้องๆ วันนี้เราแลกเวรการทำงานกับเพื่อนที่ทำงานแล้วไม่มีปัญหา”

“ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรเลย เรื่องแค่นี้เอง ทีตอนเราเข้าไปเที่ยวที่ซิดนี่ย์ตะวันยังเป็นคนพาเราเที่ยวเลย”

ตอนที่ต้นตะวันได้ยินว่าวิทยาเตรียมการแลกงานแลกชิฟงานกับเพื่อนเพื่อพาเขากับแจ๊คออกเที่ยว หัวใจเขาเต้นโคตรมครามอย่างหนัก แต่พอรู้มาเพิ่มอีกนิดว่าที่วิทยาทำก็แค่เพื่อการตอบแทน อัตราการเต้นของหัวใจของเขาก็ลดลงสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว
 
“ถึงแล้วละ” ต้นตะวันหลุดออกมาจากความคิดของตัวเองหลังจากวิทยาสะกิดให้เขารู้ตัวว่าพวกเขาเดินมาถึงที่หมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอต้นตะวันได้มองไปรอบๆ ก็พบว่ามันคุ้มค่าที่จะเดินขึ้นมาบนนี้จริงๆ มันสวยงามมาก

“ฉันถ่ายรูปให้ นายสองคนเป็นเพื่อนกันนิมาร่วมเฟรมกันหน่อยสิ” 

แชะ และรูปของเขาสองคนในบรรยากาศสวยๆ ก็มีขึ้นเป็นรูปแรกในกล้องของต้นตะวัน

หลังจากพวกเขาสามคนถ่ายรูปจนหน่ำใจก็ได้เวลาอาหารกลางวัน คนที่ชินเส้นทางก็เลยแนะนำร้านอาหารฝรั่งที่ร้านตั้งติดอยู่ริมทะเล เผื่อที่พวกเขาจะได้สามารถชมวิวไปพร้อมกับมื้ออาหารพวกเขาเลยเลือกนั่งที่ด้านนอกของร้าน ช่วงแรกที่มานั่งสั่งอาหารมันก็ยังเป็นบรรยากาศสบายๆ แต่พอเวลาผ่านไปสักพักระหว่างที่พวกเขาสามคนกำลังรออาหาร แสงแดดก็เริ่มเลียเข้ามาใกล้กับที่พวกเขากำลังนั่งอยู่
 
“ผมขอนั่งฝั่งนั้นได้ไหมครับ?” อยู่ๆ ต้นตะวันก็ขอเปลี่ยนที่กับวิทยาแบบไม่มีปี่มีขลุย ซึ่งวิทยาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยให้แลก จนพออาหารมาเสริ์ฟและพวกเขานั่งกินไปสักพักนั้นแหละวิทยาถึงเพิ่งเห็นอะไรบางอย่าง

“ร้อนไหมตะวัน? ย้ายที่ไหม?”


“ไม่เป็นไร เราโอเค”

แต่ในขณะที่เขาบอกว่าโอเคถ้าสังเกตุมองดูดีๆ จะเห็นว่าแผ่นหลังของคนที่เพิ่งพูดว่าโอเคชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากมื้อกลางวันจบลง พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนตัวไปที่หาดซึ่งเป็นอีกฝั่งของทะเล ฝั่งนี้เอาไว้ให้คนลงเล่นน้ำได้ กว่าตะวันและแจ๊คจะพึ่งพอใจในการเล่นน้ำที่ทะเลก็ปาไปเกือบเย็น วิทยาเลยอาสาพาไปร้านไอติมที่เขาทำอยู่เนื่องจากร้านตั้งอยู่ใกล้แถวนี้แล้วทุกคนก็อยากรองท้องก่อนจะไปถึงร้านอาหาร

“รสชาติของไอติมที่นี้มีแตกต่างกับที่อื่นนะ ขนาดผมอยู่มานานผมยังไม่เคยได้ลองชิมเลย” แจ๊คเอ่ยชมทันทีหลังจากที่ลองเลือกชิมรสที่มันต่างออกไปจากร้านอื่นๆ

“ครับ ที่นี้เจ้าของร้านจะทำเองตลอดเขาคิดสูตรใหม่ตลอด ตะวันละชอบไหม?”

“อื้ม อร่อยดีครับ”

เย็นแล้ววิทยาเลยชวนทุกคนกินบาบีคิวที่บ้านเพราะว่าบ้านที่วิทยาเช่าและหารกับนักเรียนคนอื่นๆ มีพื้นที่ตรงสนามหน้าบ้านและที่สำคัญมีเตาบาบีคิวด้วย 

“เอาสิ ผมเองก็ไม่เคยได้ลองปิ้งเองเลยตั้งแต่อยู่ที่นี้”

“จะมีได้ไง วันนึงเอาแต่อยู่ในห้อง มันจะไปมีโอกาสได้ยังไง” บางทีต้นตะวันก็นึกว่าเขาอาจจะตัดสินใจผิดที่พาเพื่อนคนนี้มาด้วย
 
“ดีสิ ต่อไปนี้เวลาตะวันต้องทำบาบีคิวจะได้จำวันนี้ได้ไง”

“อื้ม”

หลังจากที่พอพวกเขาทั้งสามเริ่มอิ่มท้องแล้ว วิทยาก็เริ่มปิดเตาและคนอื่นๆ ก็ช่วยกันเคลียร์ข้าวของและทำความสะอาด
 
“อยากเห็นห้องของวิทจังครับ” ต้นตะวันเอ่ยปากขอหลังจากที่เดินออกมาทิ้งขยะด้วยกัน

“ได้สิ เข้าไปเลย ไม่รก”

“อยากให้เจ้าของห้องพาทัวร์”

“ได้สิ”

แล้วห้องก็ไม่รกจริงๆ ตามที่วิทยาได้บอกเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเรียบร้อยแต่มันเป็นเพราะว่าในห้องแห่งนี้ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์มากมาย ในห้องมีแค่เตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ และเก้าอี้ 1 ตัวเท่านั้น เสื้อผ้าที่เอามาจากไทยก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นก็เลยต้องคอยซักทุกอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นวิทยาก็ไม่มีใส่

“ไม่รกจริงๆ นั้นแหละ  วิทอย่างเก่ง ห้องผมอย่างรก” เห็นแล้วอยากเอากลับไปจัดห้อง มันคือสิ่งที่ตะวันคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป

“จริงสิ? เราว่าเราก็ไม่ได้เป็นคนสะอาดขนาดนั้นแต่พอมีคนบอกว่ารกกว่าเราก็เบาใจ”

“ดีจังใครได้อยู่ด้วยสบายแน่นอน ทั้งไม่รกทั้งทำอาหารได้” กว่าตะวันจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ก็ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียว เพราะวิทยาจากที่ชวนเขาคุยอยู่ๆก็ เงียบลง พอหันไปมองอีกที ภาพที่เขาเห็นก็คือ คนที่ยืนนิ่งหน้าแดงอยู่ถัดไปจากเขา

 “หน้าแดงหมดแล้ว ร้อนจากเตา?”

“.......................” 

“ต้องไปล้างหน้าไหม?” 

“.............”

“ทำไมเงียบไปเลยละ?” 

“..........................” 

“งั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ” วิทยาชวนต้นตะวันกลับออกไปที่หน้าบ้าน

“โอเค” และในขณะที่ตะวันกำลังเดินผ่านตัวของวิทยา

“จะว่าไปขนาดอยู่หน้าเตาแบบนั้นตัววิทยังหอมอยู่เลยนะ ใช้น้ำหอมอะไรเหรอบอกบ้างสิ” 

ขวับ

วิทยาหันกลับมามองหน้าของต้นตะวันเพื่อที่จะสังเกตุว่าที่ต้นตะวันกำลังถามเป็นเรื่องล้อกันเล่นหรืออยากรู้จริงๆ แต่วิทยาก็ไม่สามรถหาคำตอบให้กับตัวเองได้เพราะว่าหน้าของต้นตะวันนั้นนิ่งเกินไป แต่ในทางกลับกันต้นตะวันแอบยิ้มให้กับหน้าตาที่เหรอหราของวิทยา ปกติเขาก็ไม่ค่อยเล่นกับใครแบบนี้ ถ้าไม่ได้สนิทกันแต่ก็ไม่รู้ทำไมเขากับรู้สึกว่าเขาอยากแกล้งให้คนๆ นี้ให้มากกว่านี้

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 4 24/08/16
«ตอบ #17 เมื่อ24-08-2016 11:44:57 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 4 24/08/16
«ตอบ #18 เมื่อ25-08-2016 07:04:44 »

บทที่ 5

กว่าต้นตะวันกับแจ๊คจะเดินทางออกจากนิวคาสเซิลก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ วิทยากะเวลาเอาไว้ว่ากว่าที่พวกของต้นตะวันจะถึงซิดนี่ย์ก็คงจะเกือบตี 1 ตอนที่เขาเดินมาส่งต้นตะวันกับแจ็คที่สถานีรถไฟมีแว๊บนึงที่วิทยามีความคิดที่อยากจะชวนให้ต้นตะวันกับแจ๊คค้างที่ห้องของเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเจอต้นตะวันเล่นมุขด้วยตอนที่อยู่ในห้องนอน วิทยาเลยได้แต่คิดแต่ไม่ได้เอ่ยชวนออกไป

ติ้งๆ

วิทยา “ถึงแล้วส่งเมสเสจหรือไลน์มาบอกด้วยนะ”

ตะวัน “นอนก่อนเลยนะไม่ต้องรอ เดี๋ยวถึงจะส่งไลน์ไปบอก”

ต้นตะวันกลับมาถึงที่พักประมาณตี 1 ครึ่ง ต้นตะวันรู้ซึ้งถึงคำว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดเป็นอย่างไรก็วันนี้นี่เองพอเขาเดินลากตัวเองออกมาจากสถานีรถไฟจนมาถึงห้องได้ ต้นตะวันก็จัดการโยนของทุกอย่างลงไปที่พื้นห้องอย่างไม่ไยดี สลัดเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ออกแบบเสื้อไปทางกางเกงไปทาง เหลือแต่บ๊อกเซอร์ติดกายแม้ว่ายามนี้จะเป็นหน้าหนาวก็จริงแต่ต้นตะวันกับรู้สึกว่าในวินาทีนี้การนอนโดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นไปหยิบเสื้อนอนมาสวมใส่เขาก็สามารถนอนหลับลงได้ และในขณะที่เขากำลังจะปิดเปลือกตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาลืมทุกอย่างลืมที่จะเอาเสื้อผ้าที่ใส่ลงเล่นน้ำทะเลออกจากกระเป๋า ลืมเปิดฮีสเตอร์นอน แต่สิ่งที่เขาไม่ลืมและนึกขึ้นได้คือ การดึงตัวเองขึ้นมาเพื่อที่ควานหาเจ้าโทรศัพท์จอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของเขา เพื่อที่ส่งไลน์หาใครบางคน

ตะวัน “ถึงแล้วนะ”

วิทยา “อื้มม ช้าจังอะ”

ลั้นลาลันลาาาาาาาา

“ฮัลโหล ไหนใครว่าจะไม่รอครับ?”

“อื้มม ไม่ได้รอซะหน่อย” 

“เหรอ เห็นส่งปุ้ปตอบปั้ป ไลน์เสียงมันดังนี่เนอะ”

“.......…..”

"วิท"

"…...."

"วิทยา?"

“หื้ม?”

“เปล่า เห็นเงียบไป”

"ง่วง"

“โอเคๆ ไปนอนไปครับ ขอบคุณที่รอนะครับ ฝันดีครับ”

“อื้ม ฝันดีครับ”

แล้วคืนนั้นทั้งสองคนก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งคู่ไม่ได้แค่นอนหลับฝันดีเท่านั้นแต่ในคืนนั้นริมฝีปากของทั้งสองคนกลับยกยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะหลับลึกไปจนถึงเช้า

หลังจากที่ต้นตะวันกลับมาถึงซิดนี่ย์เขาทั้งสองคนยังคงคุยโทรศัพท์กันอยู่ทุกวัน บางวันคุยกันเป็นชั่วโมงๆ บางวันก็แค่ถามไถ่กับแค่ไม่กี่คำต่อวัน แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะยุ่งแค่ไหนไม่มีวันไหนที่เขาทั้งสองไม่คุยโทรศัพท์กันเลย จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน ต้นตะวันจากที่เป็นคนไม่ค่อยคุยกับใครถ้าเขาไม่ได้รู้จักมานานหรือสนิทใจมากๆ เขากลับรู้สึกว่าเขาอยากจะเล่าเรื่องความเป็นไปในชีวิตของเขาให้กับวิทยาได้รับรู้  ซึ่งถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาเปิดใจมากขึ้นกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงปี 

ต้นตะวันแอบสันนิฐานไปเองว่าอาจจะเป็นเพราะวิทยาดูเป็นคนสบายๆ รึเปล่า เขาเลยกล้าที่จะโชว์อีกด้านของตัวเขาให้วิทยาได้เห็น ด้านของความขี้เล่นขี้แกล้ง หรือ มันเป็นเพราะว่าเขาอยากให้วิทยารู้จักตัวตนของเขามากกว่าคนอื่นหรืออาจะเป็นเพราะว่าวิทยาเป็นคนไทยคนแรกที่เขาเจอที่นี่เขาเลยพร้อมที่จะเปิดใจให้กับคนๆ นี้

"เออ เราว่าเราจะถามหลายครั้งแล้ว ตะวันรู้ตัวรึเปล่า ว่าเวลาตะวันตอนเจอตัวเป็นๆ กับในโทรศัพท์วันต่างกันมากเลยนะ?"
 
"หื้ม ว่าไงนะ? ทำไมละ?" 

ต้นตะวันกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องพัก เขาเพิ่งทำรายงานกลุ่มเสร็จเพิ่งแยกกลุ่มออกมา จริงๆ ทุกคนในกลุ่มก็ชวนเขาไปกินมื้อเย็นด้วยกัน เพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะทุ่มครึ่งอยู่แล้ว แต่เขาอยากกลับห้องมากกว่า ไม่อยากไปนั่งฝืนยิ้มอยู่ในกลุ่มนั้นเพราะเขาไม่สนิทกับใครเลย ขาเดินกลับห้องเขาก็เลยโทรคุยกับวิทยา เพราะเขากลัวว่ากว่าจะถึงห้องกินข้าวเสร็จและโทรหามันจะดึกเกินกว่าจะได้คุยกัน

"ก็ ไม่รู้สิ อย่างที่ตอนตะวันมาเที่ยวที่นี้ ตะวันก็ไม่ค่อยพูดเลย ก็จะมีแค่ช่วงท้ายๆ ที่แซวเราเล่น แต่ ในโทรศัพท์ดูพูดเยอะกว่า"
 
"จะว่าผมพูดมาก?" 

"เปล่าๆ ไม่ใช่ๆ คือเราแค่"

"ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่ายังไงดี"

"ช่างมันเถอะ เราก็แค่ถาม ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ว่าแต่วันนี้ ไปทำอะไรมาบ้างละ?..."

แม้ตอนเริ่มต้นของบทสนทนาต้นตะวันจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเพราะเหมือนว่าวิทยาจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาด เขากลัวว่าในที่สุดแล้ว คนๆ นี้ก็จะมองเขาเหมือนกับคนอื่นๆ เหมือนที่เขาเคยเจอมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ แต่หลังจากที่เขาก็ไม่คิดที่จะอธิบายและเขาก็กำลังพยายามจะทำใจถ้าเกิดว่าเขากับวิทยาจะไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม เขากำลังคิดกังวลไปต่างๆ นาๆ แต่วิทยากลับไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังกังวล เพราะแม้เขาจะไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเงียบๆ ตอนที่ไปเที่ยวด้วยกัน แต่ตลอดทางจากที่มหาวิทยาลัยจนไปถึงที่ห้องของเขาวิทยาก็ยังชวนเขาคุยเรื่องงอื่นๆ ต่อไป

"ถึงห้องแล้วใช่ไหม?"

"อื้ม ถึงแล้ว"

"งั้นเราวางก่อนนะ จะไปตั้งใจทำรายงานแล้ว"

"อื้ม ครับ เดี๋ยวผมกินไรเสร็จก็ว่าจะนอนแล้ว วันนี้ไม่ไหวเพลีย"

"อื้ม ฝันดี"

"วิท"

"หื้ม?"

"เอ่อ เปล่า ฝันดี" ใจจริงต้นตะวันอยากจะพูดว่าขอบคุณ ขอบคุณที่ไม่มองว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาดที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ ต้นตะวันก็กลัวว่าวิทยาจะงงไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้นตะวันทำหลังจากที่วางสายจากวิทยาไปเขาก็บอกกระซิบไปกับโทรศัพท์ว่า "ขอบคุณครับ" แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินแล้ว แต่เขาก็ดีใจที่เขาได้พูดออกไป

“เสร็จแล้วว รายงานของเทอมสองเสร็จแล้วว ไม่ต้องมานั่งหลังคดหลังแข็งแล้ว” 

หลังจากรายงานตัวสุดท้ายจบเล่มลง กระแตก็รีบวิ่งออกมาที่หน้าห้องสมุด แล้วก็ตะโกนอย่างสุดเสียงอยู่ตอนนี้ โดยที่กระแตไม่ได้สนใจสักนิดว่าจะมีใครมองบ้างรึเปล่า พอวิทยาได้เห็นภาพนั้นวิทยาก็เชื่อแล้วว่ากระแตเธอรู้สึกปลดปล่อยจริงๆ
 
“เออ วิท วิทเห็นประกาศที่จะมีละครเวทีจัดแสดงที่ซิดนี่ย์ไหม?”

“อ่อ เห็น เรื่องที่แปะอยู่หน้ามหาลัยปะ? น่าดูเนอะ อยากลองเข้าไปในโรงละครสักครั้ง ไม่เคยได้ดูละครเวทีของเมืองนอกเลย แตละ อยากไปดูไหม ถ้าอยากจะได้ไปด้วยกัน?”

“เราก็อยากดูนะ อยู่เมืองไทยเราชอบมากเลยพวกละครเวทีแบบนี้แต่ค่าบัตรที่นี่ แพ้งแพง เราคงถอนตัวคงไม่ได้ไป เสียดายจัง ถ้าค่าบัตรไม่แพงว่าจะไปดูสักหน่อย แล้ววิทละ เห็นสนใจ คิดว่าจะไปดูไหม?”

“อื้ม ก็คิดๆ อยู่เหมือนกันว่าจะไปดูแต่คงต้องหาเพื่อนไป ไปคนเดียวเราก็คงไม่กล้า” 

"วิทอะ พูดซะเรารู้สึกผิดเลย"

"ไม่ๆ ไม่ใช่แบบนั้นเราไม่กล้าเองไม่เกี่ยวกับที่แตที่ไม่ไป เดี๋ยวเราจะลองถามเพื่อนเราอีกคนนึงด้วย"

เรื่องโปสเตอร์ละครเวทีที่จะมาจัดแสดงที่ซิดนี่ย์ จริงๆ วิทยาเห็นตั้งแต่ก่อนที่ถึงดิวที่ต้องทำรายงานเสร็จแล้ว กะจะมาชวนแตให้ไปดูด้วยกัน แต่ไม่นึกว่าแตจะเป็นคนเปิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน วิทยาเองก็ยอมรับว่าราคาบัตรค่อนข้างสูงแต่โอกาสที่จะได้เข้าโรงละครที่ต่างประเทศมันก็ไม่ได้มีบ่อยมาก วิทยาก็เลยจะยอมตัดใจจ่ายเพียงแต่ติดอยู่ที่ว่าวิทยาไม่อยากเข้าไปในโรงละครคนเดียวพอคิดได้อย่างนั้นวิทยาก็เลยส่งไลน์ไปหาต้นตะวันเพื่อที่จะชวนไปดูละครเวทีด้วยกัน   

ติ้ง

วิทยา “สวัสดีตะวัน”

ต้นตะวัน “ครับ” 

วิทยา “เราขอโทรหาได้ไหม? ว่างรึเปล่า?”

ลั้นลันลาา

“ฮัลโหล โทรกลับมาเร็วมาก ว่างอยู่เหรอ?" 

“อื้ม โทรศัพท์อยู่ในมือพอดี ว่าแต่มีอะไรด่วนรึเปล่า?” 

“คือ ตะวันเราเห็นการติดประกาศอยู่หน้ายูเราเกี่ยวกับละครเวที ทีจะจัดขึ้นที่่ซิดนี่ย์ เราสนใจอยากดูแต่ไม่มีเพื่อนไปดูด้วยเลย ตะวันสนใจอะไรที่เกี่ยวกับละครเวทีบ้างไหม?”

“ตอนอยู่ที่ไทยก็มีแวะเข้าไปดูบ้าง ถ้าวิทชวนเพราะไม่มีเพื่อนผมไปเป็นเพื่อนก็ได้" 

"จริงเหรอ?" 

"จริงๆ ถ้าไม่มีคนไปเป็นเพื่อน ผมไปด้วยได้นะ" 

“อื้มเราอยากดู”

“โรงละครไม่ไกลจากที่พักของผม ผมเดินผ่านเห็นทุกวัน คนมาดูค่อนข้างเยอะนะ บางวันคิวรอเข้าโรงละครยาวออกมาถึงถนนด้านหน้าแนะ”

“โห น่าตื่นเต้น งั้น โอเค แล้วเดี๋ยวจะนัดวันอีกทีเนอะ ขอดูวันที่ว่างก่อน ต้องไปดูตารางงานของอาทิตย์หน้าก่อนด้วย ได้รู้ตารางเมื่อไหร่เราจะบอกตะวันอีกทีนะ ถ้าตะวันไม่ว่างวันนั้นตะวันก็บอกเรานะ เราจะได้ลองเปลี่ยนวันดู”

“โอเคครับ”

ถัดจากนั้นไปสามวันวิทยาโทรกลับไปหาต้นตะวันอีกครั้ง เพราะว่าเขาสามารถแลกเวรกับเพื่อนที่ทำงานได้แล้ว เขาทั้งสองคนตัดสินใจว่าให้ต้นตะวันเป็นคนจัดการจองตั๋วไปก่อนเลยเพราะว่าที่พักอยู่ใกล้กับโรงละคร
 
"ให้เราโอนค่าตั๋วไปให้ตะวันเลยไหม? เพราะเป็นอีกอาทิตย์กว่าเราจะได้เจอกัน"

"แค่นี้เองไม่เป็นไร ไว้ตอนเจอกันวิทค่อยเอามาให้เราก็ได้"

และแล้ววันดูละครเวทีก็มาถึง วิทยาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาตื่นเช้ามากกว่าเดิมเพื่อที่จะลุกขึ้นมาแต่งตัวและใช้เวลาในการเลือกเสื้อผ้าอยู่นาน อาจจะเป็นเพราะต้นตะวันย้ำนักหนากับวิทยาว่าอย่าลืมเอาเสื้อหนาวมาเพิ่มอีกตัว เพราะในตัวเมืองซิดนี่ย์ช่วงนี้อากาศหนาวมาก  แถมในโรงละครอาจจะไม่ได้เปิดฮีทเตอร์มากพอเลยให้เตรียมเสื้อหนาวทับมาจากเสื้อสเว้ทเตอร์อีกที หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาแค่อยากดูดีในวันนี้เป็นพิเศษก็ได้

เหตุการ์ณเหมือนย้อนกลับไปในวันที่ต้นตะวันไปหาวิทยาที่นิวคาสเซิล เพราะพอวิทยาลงมาจากรถไฟแล้วผ่านประตูเกทมาได้ เขาก็เจอกับต้นตะวันที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้าร้านขายกาแฟโดยที่เขาไม่ต้องเสียเวลามองหาสักนิด

“สวัสดี มารับทำไม เราบอกแล้วว่าเราจะไปซื้อของก่อน ตะวันจะตื่นเช้าทำไม? ไม่นอนต่ออีกสักหน่อยละ”

วิทยาแอบเดินไปที่ทางด้านหลังของตะวันที่ยืนเล่นมือถืออยู่และสะกิดต้นตะวันจากทางด้านหลัง ต้นตะวันสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าเป็นวิทยาเขาก็ยิ้มให้ แต่พอวิทยาได้มองไปที่ตาของตะวันวิทยาก็รู้แล้วว่าต้นตะวันคงยังไม่ได้นอนอย่างเต็มที่

“อะ นี่กาแฟครับ ผมสั่งไว้ให้ แล้วนี่จะไปไหนก่อน? มีแผนมาไหมวันนี้?”

“ขอบคุณนะง่วงอยู่พอดีจะได้ตื่น เราอยากไปลองดูตลาดตอนเช้าของคนที่นี้ เราเคยเดินที่นิวคาสเซิลแล้วอยากรู้ว่า ตลาดช่วงวันหยุด ของซิดนี่ย์จะต่างจากที่แถวที่เราพักไหม?”

“อื้มไปสิ เห็นบอกว่าชอบเกี่ยวกับไอติม งั้นเช้านี้หลังเดินตลาดเสร็จเดี๋ยวผมพาไปร้านที่เป็นร้านกาแฟ แต่เอาไอติมมามิกซ์เสริฟ์พร้อมกับกาแฟดีไหม?”

“ไปสิๆ เราอยากรู้ว่าวิธีการเขาจะเป็นยังไง”

ช่วงเช้าตะวันพาวิทยาเดินไปที่ตลาดแล้วก็แวะถ่ายรูปต่างๆเป็นที่ระลึก ที่ตลาดก็จะมีขายของหลายอย่างทั้งของทำเอง ของมือสอง ของใหม่ อาหาร ดอกไม้ เหมือนเอาทุกอย่างมายำรวมกัน ใครตาดีแล้วไม่รังเกียจที่จะใส่ของมือ 2 นั้นก็ยิ่งดีใหญ่เลยเพราะว่าของมือสองบางทีเป็นของมียี่ห้อเลยด้วยซ้ำ วิทยาได้ของมาแทบจะเต็มสองมือ หลังจากเดินชมของเสร็จก็ได้เวลาไปลองชิมกาแฟที่เอาไอติมมาเป็นส่วนประกอบของกาแฟเป็นการปิดท้าย ก็อร่อยและแปลกไปอีกแบบ 

“อะ เอามาผมช่วยถือ”

“ไม่เป็นไรเราถือไหว”

“เอามาเถอะ จะได้ดูอะไรต่อ”

“แต่”

“นิ้ววิทแดงหมดแล้ว”

“ขอบคุณ”

หลังจากที่เดินตลาดเสร็จเขาทั้งสองคนก็แวะกินข้าวกลางวันกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น

“เหมือนมาเที่ยวญี่ปุ่นเลยเนอะ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีพนักงานเป็นคนญี่ปุ่นคอยเสริฟ์ด้วย” ระหว่างที่รออาหารวิทยาก็มองไปรอบๆร้านแล้วก็สังเกตุว่าพนักงานในร้านเป็นคนเอเชียและจากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้ววิทยาค่อนข้างมั่นใจเขาเหล่านั้นคือคนญี่ปุ่น

“รู้ได้ไง?”

“ก็เขาพูดภาษาญี่ปุ่นกัน”

“วิทฟังภาษาญี่ปุ่นออก?”

“เปล่า เดาเอานะ ดูหนังบ่อย” ทั้งๆ ที่วิทยาไม่ได้ตั้งใจเล่นมุกอะไรเลยแต่ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบของวิทยาในวันนี้จะทำให้ต้นตะวันยิ้มกว้างได้มากขึ้นไปอีก

“เหนื่อยไหมครับ?”

“ไม่เลยเราชอบ สนุกดีนะ เราว่าเพราะอากาศเย็นด้วยละเราเลยเดินได้ถึงบ่าย”

“อื้ม เออ วิท...”

“ขอโทษค่ะดิฉันเอาอาหารมาเสริฟ์ค่ะ”

“......”

“ประกี้ตะวันว่าอะไรนะ?”

ต้นตะวันเพียงแค่ส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับวิทยา แม้ว่าวิทยาพยายามจะถามต่อแต่ต้นตะวันก็ไม่ตอบอะไรจนพอวิทยาเลยชวนคุยไปถึงเรื่องอาหารตรงหน้าต้นตะวันก็เพียงยิ้มรับ เมื่อวิทยาเห็นว่าต้นตะวันดูเงียบไม่ค่อยคุยวิทยาก็คิด้ว่า ต้นตะวันอาจจะไม่ชอบพูดคุยในระหว่างมื้ออาหาร วิทยาเลยเพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพอาหารเอาไว้แล้วก็เริ่มลงมือจัดการกับเหล่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเขา แต่ในขณะที่มื้ออาหารกำลังจะจบลง อยู่ๆต้นตะวันก็เป็นคนทำลายความเงียบ 

“เอาของไปเก็บห้องเราก่อนไหม? ของเยอะ เอาเข้าโรงละครไม่ได้แน่ มันคงเกะกะ แล้วนี้ก็ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงเข้าไปนั่งพักที่ห้องผมก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรเกรงใจ เดี๋ยวถ้าตะวันไม่สะดวกเราเอามาถือเองก็ได้”

“โกรธผมรึเปล่า?”

“หื้ม? เปล่าเราไม่ได้โกรธอะไรนี่ ทำไมเหรอ?”

“อ่อ ไม่มีอะไรแต่ไม่ใช่ไม่สะดวกครับแต่ว่าของมันเยอะ วิทจะวางไว้ที่เก้าอี้เหรอ มันมีอาหารด้วยนะ”
 
“เออ ลืมคิดเลยอะ ก็ได้ งั้นเรารบกวนตะวันหน่อยนะ ขอเอาของไปฝากที่ห้องหน่อย”

“ได้ครับ”

ต้นตะวันรู้สึกโล่งอกที่วิทยาไม่ได้คิดมากเรื่องที่อยู่ดีๆ เขาก็หยุดพูดคุยกับวิทยา ตอนแรกที่เอ่ยปากชวนแล้ววิทยาไม่ยอมตกลงเอาของไปเก็บที่ห้อง ต้นตะวันคิดไปแล้วว่าวิทยาต้องไม่พอใจเขาอย่างแน่นอน แต่จะให้แก้นิสัยของเขาเองเขาก็ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดีแต่เขาก็ไม่สามารถปรับปรุงมันได้เลย แต่จะให้เขามานั่งอธิบายเขาก็รู้สึกกลัวว่าถ้าวิทยาเกิดรู้เกี่ยวกับนิสัยอันนี้ของเขาขึ้นมาเขาจะกลายเป็นคนแปลกในสายตาของวิทยาไป

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ถึง

คุณ BlueCherries // ขอบคุณสำหรับเม้นท์ค่ะ กอดๆ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 5 25/08/16
«ตอบ #19 เมื่อ26-08-2016 06:54:52 »

บทที่ 6

      ตอนที่วิทยาเดินเข้ามาในตัวตึกของห้องที่ต้นตะวันพักอยู่วิทยาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องรู้สึกตื่นเต้น ทั้งๆ ที่ความจริงมันก็เหมือนกับตอนที่เขาไปหาเพื่อนที่ห้องตอนที่เขายังเรียนปริญญาตรี ใช่ว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยไปเที่ยวเล่นที่ห้องของเพื่อนสักหน่อย แต่ตอนที่เขาเดินเข้าไปในตัวอาคารวิทยาสามารถรู้สึกได้ถึงใจเต้นแรงจนเหงื่อออกที่มือ วิทยาพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร และเขาก็สรุปได้ว่าอาจจะเพราะว่าเดินมาไกลหรืออาจะเป็นเพราะว่าเขาถือของมาหนักมากก็ได้ 

      ห้องที่ตะวันเลือกอยู่เป็นห้องพักธรรมดา 1 ห้อง ไม่ได้แบ่งว่าในห้องมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น หรือห้องนอน เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอครัวเล็กๆ อยู่ทางขวามือ ทางซ้ายมือมีรองเท้าถอดกองอยู่สองคู่ ตู้เสื้อผ้าอยู่ติดอยู่อีกมุมห้องตรงปลายฝูก  ตรงกลางของห้องต้นตะวันเอาฟูกมาวางไว้กับพื้นเฉยๆ โดยที่ไม่มีเตียงรองอีกชั้น

“ของกินผมเอาไว้ในตู้เย็นก่อนนะ ตอนกลับอย่าลืมเตือนละ ถ้าลืมเอาไว้ที่นี้ไม่มีการส่งคืนไปที่นิวคาสเซิลนะ”

“อะหะ ตะวันอยู่ห้องคนเดียวเลยเหรอ? ไม่ได้แบ่งเช่ากับเพื่อน”

“อื้ม ผมอยู่คนเดียว”

“ห้องก็ไม่ได้รกอย่างที่บอกเราสักหน่อย”

“อ่อ เราเก็บนะ กลัววิทเข้ามาแล้วจะตกใจ”

“โธ่ อดเห็นความจริงเลย”

ทั้งสองนั่งเล่นในห้องของตะวันอยู่พักใหญ่ ต้นตะวันเอาคอมออกมาเปิด youtube ให้วิทยาได้ดูรายการต่างๆ ระหว่างนั่งรอเวลา ต้นตะวันขอตัวไปอาบน้ำเพราะว่าเมื่อเช้าเขาไม่ได้อาบน้ำตอนที่ออกไปรับวิทยาเด้งตัวตื่นขึ้นมาก็พุ่งตัวไปที่สถานีรถไฟเลยและกว่าละครเวทีจะเริ่มก็ทุ่มครึ่ง เขาทั้งสองเลยตกลงกันว่าจะอยู่รอที่ห้องของต้นตะวันก่อน 

ตอนแรกที่เข้ามาในห้องวิทยาร้องขอคอมจากต้นตะวัน แต่เมื่อเช้าวิทยาตื่นเช้ากว่าปกติแถมพอมาถึงซิดนี่ย์วิทยาก็ออกเดินอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน พอได้มาอยู่ที่ห้องนอนอยู่บนที่ฝูกนุ่มๆ ตอนแรกที่กะว่าดู youtube เพียงเวลาผ่านไปแค่ 40 นาทีตอนนี้กลายเป็นว่า Youtube ได้ดูวิทยาแทน

ก่อนออกมาจากห้องน้ำต้นตะวันที่ยืนแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำก็คิดว่าทำไมห้องเงียบผิดปกติ เพราะตอนที่เขาเข้ามาในห้องน้ำแรกๆ ยังได้ยินเสียงวิทยาวิจาร์ณกับเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากกับจอคอมอยู่่เลย แต่พอต้นตะวันออกมาจากห้องน้ำเขาก็รู้คำตอบ วิทยาหลับไปแล้วแต่เขาก็ไม่คิดที่จะปลุกให้วิทยาตื่น ต้นตะวันยืนดูคนที่นอนหลับไปบนที่นอนของเขาและขดตัวแน่นอยู่ใต้ผ้าห่มนั้น จริงๆ ต้นตะวันก็ไม่ได้อยากนอนหรอกแต่เห็นว่าคนอีกคนในห้องหลับไปแล้ว เกิดเขาเปิดหนังเสียงดังเขาก็กลัวว่าคนที่หลับอยู่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน ต้นตะวันจึงค่อยเลื่อนคอมออกจากฝูก ผับฝาหน้าจอลง แล้วก็ขยับตัวล้มตัวลงนอนใกล้ๆ กับวิทยาอีกที
ก่อนล้มตัวลงนอนต้นตะวันตั้งปลุกเอาไว้ตอน 5 โมงเย็น เพราะเขากะว่าจะทานมื้อเย็นกันก่อนเข้าโรงละคร แผนของต้นตะวันชวนวิทยาออกไปทานข้าวนอกบ้านแต่วิทยากลับบอกว่า

"จะออกไปทำไม ของสดเราก็มีกัน ทำอะไรกินง่ายๆ กันไปก่อนดีไหม?"

"อื้ม เอาสิ ผมยังไงก็ได้" 

วิทยาทำข้าวผัดไก่เพื่อเป็นอาหารเย็นสำหรับคนสองคน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ของง่ายๆ แค่นี้มันกลับทำให้มื้ออาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่มีความสุขของตะวันอีกมื้อนึงในช่วงรอบที่มาอยู่ที่ออสเตรเลีย ข้าวผัดจานนนี้มันทำให้เขาลดความคิดถึงบ้านได้อยู่มาก ต้นตะวันเลยเอ่ยชมวิทยาไม่ขาดปาก วิทยาเลยตัดสินใจผัดข้าวผัดไก่เก็บแร้ปไว้ให้อีก 1 จานใส่ไว้ในตู้เย็นเพื่อคืนนี้หลังดูละครกลับมาห้องแล้วต้นตะวันเกิดหิวอีก จะได้สามารถอุ่นทานได้

"ขอบคุณนะ"

"ไม่เป็นไร สงสัยตะวันจะคิดถึงอาหารไทยมากจริงๆ เราว่าฝีมือเราก็ธรรมดาแต่ตะวันชมไม่ขาดปากเลย เราเลยทำไว้ให้อีกนะ"

"อื้ม"

“ปะ พร้อมยังไปดูละครกัน เราตื่นเต้นม๊ากกมาก”

“อื้ม ไปกันครับ อย่าลืมเสื้อ”

ประมาณสามทุ่มละครเวทีก็จบลง ภายในโรงละครต้นตะวันเลือกแถวหน้าๆ ไว้ให้สำหรับเขาทั้งสองคนมันเลยทำให้วิทยาได้เห็นตัวละครอย่างใกล้ชิด ได้เห็นถึงความอลังการความอลังการของแสงสีเสียง ตอนจบทุกคนในโรงละครต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นตบมือให้กับนักแสดง

“เราชอบมากเลยอะตะวัน มันสนุกมากเลย”

“ครับ สนุกมาก ดีใจนะที่วิทชอบ วิทหิวไหม?”

“หิว แต่มันดึกแล้วอะ ถ้าแวะกินเราจะกลับนิวคาสเซิลไม่ทัน รถเมล์รอบสุดท้ายเข้าที่พักของเราหมดไม่ดึกมาก"
 
"งั้นกลับไปเอาของที่ห้องผมก่อนแล้วกันนะครับ”

แม้ว่าต้นตะวันกับวิทยาจะไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหนเลยก็ตามพอออกจากโรงละครก็รีบตรงดิ่งไปที่ห้องของตะวัน แต่ระยะทางจากโรงละครกลับไปที่ห้องและเดินกลับมาที่สถานีรถไฟมันก็ไกลพอควร ทำให้ในที่สุด วิทยาก็พลาดรถไฟขบวนที่ตั้งใจจะกลับ 

"โอ๊ยย เสียดาย ไม่ทันแค่เสี้ยววินาทีเอง ถ้าตรงที่ข้ามประกี้เรายอมวิ่งข้ามถนนมานะก็ทันแล้ว และแบบนี้เราจะเข้าที่พักเราได้ยังไง"

"….."

"เฮ้อ ตะวันขอบใจมากนะที่เดินมาส่ง ตะวันไม่ต้องรอหรอกมันอีกตั้งเกือบ 1 ชั่วโมงกว่าอีกขบวนจะออก เราอยู่ได้ตะวันกลับไปพักผ่อนได้เลยนะ"

"พรุ่งนี้ต้องทำงานรึเปล่า?"

"ไม่ต้องเราลาเผิ่อไว้"

“งั้นจะค้างที่ห้องผมไหม?”

“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพอเรากลับไปถึงที่นั้นเราเรียกแท๊กซี่เข้าที่พักได้อยู่”

“ถ้าวิทไม่สะดวกใจ ผม..”

"ไม่ใช่แบบนั้น เราไม่ได้ไม่สะดวกใจนะตะวัน แต่เราเกรงใจจริงๆ มารบกวน"

"ไม่เลยครับไม่รบกวนเลย"

"งั้นเราขอรบกวนด้วยนะ"

"ครับ"

“ยังหิวอยู่ไหม?”

“อื้ม หิว ยิ่งวิ่งมาประกี้ยิ่งหิวหนักกว่าเดิม ตะวันละ?”

 “หิว งั้นไปหาอะไรกินกัน แล้วค่อยกลับขึ้นห้อง?”

“อื้ม เอาสิ”

ต้นตะวันได้พาโอกาสพาวิทยาทัวร์ย่าน Thai Town ในเวลากลางคืน เวลาในช่วงกลางคืนร้านไทยส่วนมากของย่านนี้จะเปิดขายแอลกกอฮอล์และบางร้านก็แถมด้วยการมีดนตรีสดเล่นในร้าน ทั้งสองคนเลือกนั่งร้านที่มีดนตรีสดเล่นและมีแอลกกอฮอล์ขายด้วย ต้นตะวันสั่งเบียร์มาดื่มแก้มกับกับข้าวสำหรับวิทยาเขาสั่งเหล้าปั่นมา 1 แก้ว พวกเขาทั้งสองคนเลือกที่นั่งอยู่ทางด้านริมติดกำแพงของร้าน เป็นมุมที่ไม่ต้องมีคนมาเดินผ่านโต๊ะเวลาคนเดินเข้าออก

"บรรยากาศเหล่านี้เหมือนตอนอยู่ที่เมืองไทยตอนนั่งร้านแถวมอเลย ตอนอยู่เมืองไทยตะวันไปนั่งร้านแบบนี้บ้างไหม?"

"ไม่ค่อย"

"สงสัยจะเหมือนเพื่อนเรา เรามีเพื่อนสนิทอยู่ 1 คน รายนั้นก็ไม่นั่งร้านเหล้าเหมือนกัน ทำไมละ? เป็นคนไม่ดื่มเหรอ?"

"เปล่า ผมเป็นพวกเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง"
อาจจะเป็นมีแอลกอฮอล์เข้ามาในบทสนทนาทำให้การระวังตัวของต้นตะวันลดน้อยลงและเปิดปากพูดมากขึ้น

"จริงอะ? แต่เราว่าตะวันก็เป็นคนคุยสนุกดีออก"

"ก็มีแต่วิทคนเดียวรึเปล่าที่คิดแบบนั้น คนอื่นเขาก็มองผมเป็นตัวประหลาดกันทั้งนั้น"

"ประหลาดยังไง?"

"ฮึ แค่ผมผิดเพศก็ประหลาดแล้วละ"

น้ำเสียงที่ต้นตะวันใช้เต็มไปด้วยความประชดประชัน วิทยาเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรกลับไปดีหรือไม่เพราะเขาก็ไม่เคยเจอเพื่อนที่มีเหตุการ์ณแบบนี้มาก่อน ตอนที่เขายังอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ไทย เขาเองก็มีเพื่อนที่มีความชอบหลากหลายแล้วเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นปัญหาไม่ว่าจะกับเขาหรือกับคนรอบข้าง อาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเขาและเพื่อนสนิทของเขาเองอย่างแป้งก็ยังมีแฟนเป็นผู้ชายเลย เขาก็เลยไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้คือเรื่องที่น่าประหลาดหรือแปลกแต่อย่างไร

"อย่าคิด..." วิทยาเอื้อมมือไปจับที่ไหล่ของต้นตะวัน แต่เพียงแค่วิทยาแตะมือลงไปที่หัวไหล่เขาก็กลับรู้สึกแรงเกร็งตัวจากต้นตะวัน วิทยาเลยชักมือกลับออกมา

"อย่าคิดมากเลย เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มันเป็นเรื่องธรรมดามากเลยนะ"

"ช่างมันเถอะ"

 แม้วิทยาอยากจะบอกว่าตัวเขาเองก็มีความชอบที่เหมือนกับต้นตะวัน แต่จากที่เขาดูสีหน้าของต้นตะวันในตอนนี้ เขาไม่คิดว่าต้นตะวันพร้อมที่จะรับฟังเรื่องใดๆ วิทยาเลยไม่ได้พูดออกไป ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมแทน

เพื่อเป็นการเยียวยาให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดในช่วงเวลานี้มันหายไปเขาทั้งสองคนเลยนั่งอยู่ที่เดิมเพื่อที่ซึมซับบรรยากาศความสนุกในร้านต่ออีกสักพักจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนประมาณเกือบเที่ยงคืน พวกเขาถึงเรียกพนักงานมาเก็บเงินแล้วก็เดินกลับไปที่ห้องพักของต้นตะวัน

"ถ้ารุ้ว่าจะไม่ได้กลับ รู้งี้ไม่น่าวิ่งมาเอาของเลย เดินถือไปถือมาหนักจะแย่" 

วิทยาเริ่มเดินบ่นไปตลอดทางกับของที่หนักที่ต้องเดินหิ้วไปมา ตอนที่ต้องเดินกลับห้องของต้นตะวันเขาเลยเริ่มบ่นว่าไม่น่าเอาของมา รู้งี้ค้างแต่แรกก็ดี ต้นตะวันแม้ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทบานนั้น แต่เขาก็ยิ้มรับฟัง สำหรับต้นตะวันมันก็เพลินดีนะ ได้ฟังเสียงใครสักคนพูดอยู่ตลอดตามทางเดิน แม้มันจะมืดแล้วแต่มันก็ไม่เหงาดี 

“อะ นี่เสื้อผ้า ใส่ของผมนอนไปก่อนแล้วกัน” 

ตอนมาถึงห้องต้นตะวันเดินไปรื้อเสื้อผ้ามาให้วิทยาเปลี่ยน โชคดีว่าขนาดร่างกายของเขากับวิทยาไม่ได้ต่างกันมากจนไม่สามารถใส่เสื้อผ้าของกันและกันได้

“อื้ม ได้ขอบใจนะ ให้เราอาบน้ำก่อนเหรอ?”

“อะหะ อาบก่อนเลย ในห้องน้ำตู้ที่เหนืออ่างล้างหน้ามีแปรงสีฟันอันใหม่อยู่ในนั้นแกะมาใช้ได้เลยนะ”

"โอเค"

ผ่านไป 15 นาทีวิทยาก็จัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมานอกห้องน้ำ

“เสร็จแล้วตะวันจะอาบต่อเลยไหม?”

“อื้ม จะดูอะไรก็เปิดจากไอแพดได้เลยนะ ผมเชื่อมต่อกับทีวีไว้ให้แล้ว”

“ขอบใจนะ”

"ไม่นอนดีๆ ละครับ?" ออกมาจากห้องน้ำต้นตะวันเห็นวิทยานั่งอยู่บนฝูกแต่สัพหงกไปมาไม่ยอมล้มตัวลงนอนดีๆ ต้นตะวันเลยเดินไปสะกิดบอกกล่าวให้วิทยาล้มตัวลงนอนดีๆ 

"เราไม่รู้ว่าปกติตะวันนอนฝั่งไหน เราเลยไม่ได้ล้มตัวลงนอนก่อน"

"ผมติดนอนฝั่งซ้าย"

"งั้นเรานอนขวา" สิ้นคำวิทยาก็พลิกตัวไปทางด้านขวาของเตียงและล้มลงนอน

เช้าแรกของการที่คนทั้งสองคนได้นอนร่วมชายคาเดียวกัน วิทยาเป็นคนที่ลืมตาตื่นคนแรกแอบตกใจเล็กน้อยที่ตอนตื่นขึ้นมาท่าที่เขานอนอยู่คือเขากำลังเบียดตัวเข้าหาต้นตะวัน คงต้องโทษที่ตัวของต้นตะวันอุ่นจนเกินไปและอากาศที่หนาวจนฮีสเตอร์ทำงานได้น้อยลง มันเลยทำให้ร่างกายของเขาต้องเบียดเข้าหาสิ่งที่สร้าความอบอุ่นได้ดีกว่าฮีสเตอร์

วิทยาเขยิบตัวออกมาให้ห่างสักเล็กน้อย และในตอนที่ขยับตัวนั้นเองที่ทำให้วิทยาได้มีโอกาสมองหน้าของต้นตะวันเต็มๆ ตาสักที เมื่อคืนวิทยารู้ตัวว่าเขาไม่ได้เมาและเขาจำได้ทุกคำพูดของต้นตะวัน ที่ต้นตะวันดูแปลกๆ ในบางครั้งก็น่าจะมาจากเหตุผลนั้นด้วยสินะ แม้เขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่วิทยาก็บอกกับตัวเองไว้ว่าเขาจะพยายามไม่ไปย้ำในจุดที่ทำให้ต้นตะวันรู้สึกแย่อีก ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนดีแต่เขาแค่ไม่อยากเห็นต้นตะวันทำหน้าเศร้าแบบเมื่อคืนอีกก็เท่านั้นเอง น้ำเสียงที่ต้นตะวันใช้พูดประโยคนั้นมันสื่อได้ว่า คนที่กำลังนอนหลับตรงหน้าของวิทยาอยู่ตอนนี้เศร้ามากขนาดไหน

“อรุณสวัสดิ์ครับวิท”

“อะ อะ อรุณสวัสดิ์ตะวัน” อยู่ๆต้นตะวันก็ลืมตาขึ้นมาเลยทำให้วิทยาหลบตาที่กำลังจ้องมองที่ใบหน้าของต้นตะวันไม่ทัน หน้าของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเพียงแค่คืบ วิทยาผงะไปทางด้านหลังและการขยับด้วยจังหวะที่เร็วไปทำให้วิทยารู้สึกเจ็บหลังเล็กน้อย
 
“อะ”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” 

“เปล่าๆ เราแค่เคล็ดนิดหน่อยเดียวก็หาย”

“แล้วนี่ต้องกลับกี่โมงครับ?”

“ก็สักบ่ายๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา”

หลังจากที่วิทยากลับมาที่นิวคาสเซิลครั้งนี้เขาเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับต้นตะวัน เขากับต้นตะวันสนิทกันมากขึ้น เขาเข้าไปในซิดนี่ย์บ่อยกว่าเดิมทั้งๆ ที่บางครั้งเขาไม่ได้มีแผนว่าเข้ามาทำไมด้วยซ้ำ แต่เขาก็เข้าไป แรกๆ ก็อ้างเหตุผลการเที่ยวชม การแวะชิมอาหาร แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต้นตะวันเลิกถามเหตุผลในการเข้าซิดนี่ย์ของวิทยาและวิทยาเองก็เลิกหาข้ออ้างเข้าไปในซิดนี่ย์

“วิท ไปๆ กลับๆ ระหว่างสองเมืองบ่อยแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ?” 

“ก็ไม่นะ แต่เอ่อ ตะวันรำคาญเรารึเปล่าที่เราเข้ารบกวนตะวันที่ซิดนี่ย์บ่อยๆ”

“ไม่ครับไม่เลย แค่กลัววิทจะเหนื่อยมันนั่งรถนาน เอางี้สิวันไหนเข้ามาก็มาค้างไหมละ? ผมเองก็อยู่คนเดียว วิทอยู่ผมเองก็ไม่เหงา” 

และคำชวนนั้นก็คือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งแรก เพราะจากที่เข้ามาแบบไปเช้าเย็นกลับ ก็กลายเป็นนอนค้างเล่นอยู่ที่ห้องของต้นตะวัน ยิ่งถ้าอาทิตย์ไหนวิทยาไม่มีเรียนเพราะเป็นช่วงอาทิตย์ปิดจบเล่มรายงาน ก็กลายเป็นว่าวิทยาก็จะมามาหมกตัวอยู่ที่ห้องของต้นตะวันแทบจะทั้งอาทิตย์ 

ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น จากที่ทั้งสองคนคุยกันแค่เรื่องทั่วไปก็เริ่มเจาะเข้าไปถึงเรื่องครอบครัว เรื่องความฝันของแต่ละคน เรื่องหน้าที่การงานที่พวกเขาต้องทำตอนที่เรียนจบจากที่นี่

“แบบนี้ ตะวันก็กลับไปทำงานที่บริษัทของที่บ้านเลยนะสิ”

“ใช่ พ่อคงไม่ยอมให้ผมผลัดได้อีกแล้ว ก่อนจะมาที่นี้ผมก็เล่นตัวมาตลอด และวิทคิดว่ากลับไปจะเปิดร้านเลยเหรอครับ?”

“ก็คงต้องเปิดแล้วละ ต้องเริ่มทำงานอย่างจริงจังแล้ว แต่คงต้องขอเงินแม่เป็นเงินทุนก่อน ตอนแรกกะมาทำงานที่นี้เก็บเงินสักก้อนแล้วกลับไปเปิดร้าน แต่เอาเข้าจริง เราเก็บได้แค่เงินที่จะใช้หนี้แม่ตอนที่เราเอารถไปชน เพราะงั้นเลยคงต้องของยืมแม่ก่อน”

วันนี้เป็นอีกวันที่วิทยามานอนค้างที่ห้องของต้นตะวัน หลังจากที่ทั้งสองทำมื้อเย็นทานกันง่ายๆในห้องพัก พร้อมทั้งเก็บกวาดหมดแล้ว พวกเขาทั้งสองก็นั่งย่อยอาหารฆ่าเวลาก่อนที่จะล้มตัวลงนอน ทั้งสองนั่งอยู่ที่ฝูกกลางห้องหันหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าในคืนนี้มืดสนิทแสงดาวมีไม่ค่อยเยอะ อาจจะเพราะคืนนี้ก็ยังอยู่ในฤดูหนาวท้องฟ้าจึงมืดตั้งแต่ช่วงเย็น
 
“ตะวัน เราถามอะไรสักอย่างได้ไหม?” 

“ได้สิ” 

“ทำไมวันนั้นต้นตะวันถึงบอกว่าคนอื่นมองตะวันเป็นคนแปลกประหลาดเพราะว่าผิดเพศละ? มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” 

“แล้ววิทว่ามันไม่แปลกประหลาดเหรอ?”

“ไม่นะ เราก็มีเพื่อนหลายคนที่มีความชอบที่หลากหลายมีความรักที่หลายรูปแบบ เราเลยไม่คิดว่ามันแปลก”

“วิทโชคดี ที่รอบข้างมีผู้คนหลายแบบ อย่างผม ผมไม่ได้โชคดี่มีคนรอบข้างแบบวิท”

 “แต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้มองว่าตะวันเป็นคนประหลาด”

วิทยามองเข้าไปในดวงตาของต้นตะวัน ช่วงเวลานั้นวิทยาก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขารู้เพียงแต่ว่าเขาเห็นทั้ง ความผิดหวัง ความน้อยใจความเสียใจ อยู่ในแววตานั้น กว่าที่ทั้งต้นตะวันและวิทยาจะรู้ตัว วิทยาก็โน้มหน้าลงมาแล้วก็จูบเข้ากับริมฝีปากปากของต้นตะวัน วิทยาเอาริมฝีปากที่เรียวหยักที่มักยิ้มแย้มตลอดเวลาของตัวเองประทับลงมาที่ริมฝีปากที่มักจะนิ่งเฉยของต้นตะวัน วิทยาเริ่มแตะไปตามรอบๆ ขอบปากเริ่มจากริมฝีปากล่างขึ้นมาที่ริมฝีปากล่าง เริ่มเบาๆ จากซ้ายไปขวาจากขวามาซ้ายโดยที่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แล้ววิทยาก็ถอนริมฝีปากออกมา

“เออ คือ ตะวัน”

“วิท”

“ เราขอโทษ”

แล้วความเงียบก็ปกคลุมเขาทั้งสองเอาไว้

“เออออ….”        “เอออ…”

“เราว่า”/”ผมว่า” 

“โอเควิทก่อนครับ”

“นอนกันเถอะเนอะ เราก็ง่วงแล้ว”

“ครับ”

แล้วเขาทั้งสองคนก็นอนกอดกันเพื่อให้ไออุ่นแก่กันในวันที่หนาวและท้องฟ้าไร้ซึ่งดาวจนหลับสนิทไป

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รักลัดฟ้า บทที่ 5 25/08/16
« ตอบ #19 เมื่อ: 26-08-2016 06:54:52 »





ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 6 26/08/16
«ตอบ #20 เมื่อ27-08-2016 12:00:45 »

บทที่7

เช้าวันรุ่งขึ้นต้นตะวันรู้สึกตัวก่อนคนข้างกาย เมื่อคืนจูบที่เขาได้รับ มันเป็นการปลอบใจเขารู้ จูบที่วิทยาให้กับเขานั้นมันไม่ได้มีสเน่หาเจือปนอยู่ในนั้นเลยสักนิด จูบของวิทยาไม่ได้ดีเริ่ด หรือ เก่งกาจแต่ที่มันทำให้ต้นตะวันรู้สึกติดใจจนอยากได้จูบนั้นอีกเพราะทันทีที่เขาได้รับจูบนั้นของวิทยาเขาก็รู้สึกว่าเรื่องเจ็บปวดที่เขาเจอมามันเหมือนค่อยๆ ถูกปัดเป่าให้เจือจางด้วยเพียงแค่จูบเดียวมันก็น่าแปลกที่เขารู้สึกแบบนี้ ต้นตะวันหันมองพิจารณาคนข้างกายของเขาอีกครั้ง วิทยาเป็นเพียงบุคคลหน้าตาแสนธรรมดาไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกถูกใจคนๆ นี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ร้านไอติมของพี่หว่า ในวันนั้นการแสดงออกต่างๆ ของวิทยามันไม่ได้มีความคิดซับซ้อนให้เขามาคอยให้เขาต้องคอยมานั่งเดา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นวันนั้นไม่พอใจที่เขาเข้าร้านตอนร้านจะปิดแล้ววิทยาก็ทำหน้าแบบนั้น และวิทยาก็เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลาที่ได้รู้จักที่นี้มันเลยทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่อยู่ใกล้ และนั้นก็ทำให้ต้นตะวันรู้สึกไม่อยากเสียความสบายใจนี้ไป

ถ้าให้ต้นตะวันมองเข้าข้างตัวเองสักหน่อยต้นตะวันก็คิดว่าวิทยาเองก็มีใจให้กับเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไม่อย่างนั้นวิทยาจะเข้ามาหาเขาที่ซิดนี่ย์บ่อยๆ ทำไมอีกอย่างวิทเองก็บอกกับต้นตะวันเองว่าวิทยาไม่ได้มองว่าการคบเพศเดียวกันเป็นเรื่องแปลก เพราะฉะนั้นวิทยาก็ไม่น่ามีปัญหาจะผิดไหมที่ต้นตะวันรู้สึกว่าเขาอยากได้คำปลอบโยนคำปลอบใจและความมสบายใจจากคนๆ นี้ จะผิดไหม ถ้าเขาจะขอคนๆ นี้คบโดยที่เขายังไม่ได้รู้สึกว่ารัก เขาจะผิดมากไหมถ้าเขาอยากจะลองเห็นแก่ตัวสักครั้ง ไหนๆ พรหมลิขิตก็ทำให้เขาสองคนเจอกันพรหมลิขิตอาจจะอยากให้เขาลองมีโอกาศทำแบบนี้ก็ได้

“งั้นเดี๋ยววันนี้เรากลับเลยแล้วกันนะพรุ่งนี้เราทำงานตอนเช้า” 

โชคดีว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาเขาทั้งสองก็ไม่ได้มีอาการมองหน้ากันไม่ติด วิทยาก็ยังลุกขึ้นมาพูดคุยกับเขาได้เหมือนเดิมแบบปกติ และเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องหลบหน้าหลบตากับวิทยาด้วยเช่นกัน

“ครับ วิทไม่ลืมอะไรนะ?” 

“ไม่น่าลืมนะ”

ต้นตะวันเดินไปส่งวิทยาที่สถานีรถไฟอย่างเคย ตลอดทางวิทยาชวนต้นตะวันดูร้านตามข้างทางพร้อมทั้งยังฝากให้ต้นตะวันดูร้านไอติมที่มีการตกแต่งแปลกๆ เพื่อเขาด้วย ถ้าเกิดต้นตะวันมีโอกาสได้ไปที่ต่างๆ

“วิทก็รู้ว่าผมไม่ค่อยไปไหนมาไหนถ้าไม่มีวิทผมก็อยู่แต่ที่ห้อง”

"แจ๊คไง? ไม่ลองชวนแจ๊คไปไหนละ?"

"รายนั้นถ้าไม่ใช่ร้านเหล้าไม่มีทางออกไปไหน"

“โธ่ๆๆๆ ตะวันผู้เงียบขรึม ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ขรึมสักกะหน่อย ขี้เก๊กเสียมากกว่าละมั้ง”

“อะงั้นเดินไปที่ทางรถไฟคนเดียวเลยครับผม คนขี้เก๊กจะไปนั่งเก๊กต่อในห้องแล้วครับผม”

“ห๊ะ? เดี๋ยว นี่โกรธจริงหรือล้อเล่นเราเดาไม่ออก”

เพราะว่าทันทีที่ตะวันพูดจบตะวันก็เดินหันหลังกลับเตรียมออกตัวเดินไปอีกทางทำให้วิทยาต้องรีบขว้าข้อมือเอาไว้ แต่พอวิทยาเอามือแตะโดนข้อมือของต้นตะวัน ต้นตะวันก็รีบดึงมือออก นั้นทำให้วิทยาคิดว่าต้นตะวันคงจะโกรธที่เขาแซวแรงไปจริงๆ

“ล้อเล่นครับ”

ต้นตะวันเอื้อมมือไปหมายจะขยี้หัววิทยาด้วยความมั่นเขี้ยวและต้นตะวันเองก็แอบเห็นวิทยาหน้าเจื่อนลงก็เลยอยากลูบหัวปลอบใจแต่พอต้นตะวันคิดได้ว่าตรงนี้คือตรงทางเดินมีผู้คนเดินไปมามากมายเขาก็เลยตัดสินใจเอามือกลับมาไว้ข้างตัวเขาเช่นเดิม

“ส่งตรงนี้ก็พอตะวัน เราข้ามไปเอง ตะวันจะได้ไม่ต้องข้ามไปข้ามกลับ”

“อื้ม”

“วิท” 

“ว่า”

“เอ่อ อาทิตย์หน้าจะมาอีกไหมครับ?”

“อาจจะไม่นะ เดี๋ยวเราบอกอีกที เพราะมันก็ใกล้สอบแล้วนะ เราคงไปมาบ่อยๆ ไม่ได้”

“อ่ออื้ม”

“งั้นเราไปนะ”

“เดี๋ยววิท”

“ว่า”

“คือ ผม”

“เดี๋ยวเราตกรถไฟ”

“เอ่อ งั้น ผมเดินไปส่งนะ”

“โอเค”

“วิท เราสองคนมาลองคบกันไหม?”

“...................”

“คือผมรู้ว่ามันดูกระชัดชิด แต่ เราลองมาคบกันไหม?”

“ทำไมอยู่ๆ? ตะวันชอบเราเหรอ?” 

“แล้ววิทชอบผมบ้างไหม?”

“เราก็ไม่รู้ คือเรา”

“งั้น เราสองคนลองมาคบกันไหมครับ?” 

วิทยายืนคิดทบทวนเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมต้นตะวันถึงมาขอเขาคบกับเขา มันก็ใช่ที่เวลาที่ผ่านมาเราทั้งสองคนคุยกันมากขึ้นและเขาเองก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้คุยกันได้เจอกันแต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันเรียกความชอบรึเปล่า หรือว่าเป็นความรู้สึกของคนสองคนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาเจอกันก็เลยทำให้รู้สึกถูกชะตากัน รอบตัวของเขาทั้งสองคนแม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ ตัวพวกเขาแต่เขาทั้งสองคนกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของความคิดของตัวเอง
 
“คือ เรา เราไม่รู้เลยตะวัน”

“มันเร็วไปสินะ ผมก็ขอโทษครับ”

“มันก็  ไม่รู้สิ”

“...............”

“แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้ตะวันทำเราตกรถไฟ”

แม้ วิทยายังไม่ได้ให้คำตอบกับต้นตะวันในทันที แต่เขาก็ไม่ได้ปฎิเสธในทันทีเช่นกัน เขาแค่อยากจะมั่นใจกว่านี้อีกสักนิด อีกสักนิด

“เซอร์ไพรส์”

วิทยามาหาต้นตะวันที่มหาวิทยาลัย หลังจากที่วิทยาสอบเสร็จตัวสุดท้ายเขาก็กะมาเซอร์ไพรส์ต้นตะวันโดยจากที่มาหาที่ซิดนี่ย์โดยที่ไม่ได้บอกไว้ก่อน เมื่อวานตอนที่เขาทั้งสองคุยโทรศัพท์กันวิทยาแอบลองถามแล้วว่าต้นตะวันตารางสอบวันนี้เป็นยังไง โชคดีที่มหาวิทยาลัยนี้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว เพราะฉะนั้นวิทยาก็เลยไม่กลัวพลาดที่จะไม่เจอกัน วิทยามาก่อนเวลานั่งรอได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เห็นต้นตะวันเดินออกมาทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยพร้อมกับกลุ่มคนกลุ่มนึง ต้นตะวันก้มหน้าก้มตาเดินสโหลสเหลมมาเลย ไม่มีแล้วหนุ่มหน้าใสเมื่อหลายเดือนก่อน 

“มาได้ไง?”

“ก็ เอ่อ ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์เลยไม่ได้บอกเอาไว้ก่อน”

“อ่อ”

“เฮ้ เพื่อนของผมมานะผมคงไม่ได้ไปทานข้าวกับพวกคุณแล้วนะ ไว้โอกาสหน้า” วิทยาเองก็เพื่งรุ้ว่ากลุ่มคนที่เดินมาใกล้ๆ กับต้นตะวันนั้นคือกลุ่มเพื่อน
 
“โอเคตามสบาย” 

“เรามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่าเราขอโทษ” 

“เปล่า วิท มานานยัง?”

“ไม่นาน วันนี้เป็นไงทำข้อสอบได้ไหม?”

“ทำได้ครับ แต่ว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่”

“เอาน่า ยังดีกว่าทำไม่ได้เนอะ”

“ดีใจนะครับ”

“ช้าไปไหม?”

“ครับ?’

“ดีใจช้าไปไหม”

“ก็ประกี้เพื่อนอยู่เยอะ ผมก็เลยไม่ได้แสดงออกมากผมขอโทษ”

“งั้นดีใจจริงไหมเนี่ย?”

“งั้นแค่นี้ เชื่อพอไหมครับ?” และแล้วต้นตะวันก็ยิ้มให้กว้างมากที่สุดเท่าที่เขาเคยยิ้มมา และ เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกในที่สาธารณะมากขนาดนี้

“ฮ่าๆ อะๆ เชื่อแล้ว ยิ้มแก้มปริเลยยย ไหนนนน มาดึงแก้มหน่อย นอนกินกินนอนในห้องช่วงสอบแป้ปเดียวลงแก้มแล้วเหรอ? สอบเสร็จแล้วหิวอะไรไหมครับ อยากกินอะไรไหม?” แต่ในขณะที่วิทยาจะเอื้อมมือไปดึงแก้มของต้นตะวัน ต้นตะวันก็ผละตัวออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมุนตัวกลับเดินนำหน้าไปก่อน มือของวิทยาเลยค้างเอาไว้อยู่ที่อากาศ
“อยากกลับห้องมากกว่าครับ ง่วง ถ้างั้นก็ซื้อข้าวกล่องเข้ากลับไปกินที่ห้องเลยละกันนะครับ วิทไม่ต้องไปทำกับข้าวหรอก ซื้ออะไรง่ายๆ เข้าไปกินสะดวกกว่า”

“เอางั้นก็ได้”
 
หลังจากถึงห้องได้กินข้าวเย็นความรู้สึกหม่นๆ ในใจของวิทยาก็ดีขึ้นมาหน่อย อีกอย่างตัววิทยาเองก็ไม่อยากเก็บเอามาให้เป็นอารมณ์มากนัก เพราะวันนี้เขาตั้งใจให้มันเป็นวันดีๆ สำหรับเขาทั้งสองคน
 
“ตะวัน”
 
“หื้มม?”

“เรา มีอะไรจะพูดด้วย”

"ครับ" ตะวันผละจากหน้าครัวที่เขากำลังจะเช็ดจานเพื่อเก็บเข้าตู้เดินกลับมาที่วิทยาที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่พื้นปลายของฝูกนอน
 
"ว่าไงครับ?" ต้นตะวันลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางด้านหน้าของวิทยา ทำให้ตอนนี้เขาทั้งสองคนกำลังหันหน้าเข้าหากัน 

"คือ เมื่ออาทิตย์ก่อนๆ จำได้ไหมว่าตะวันถามอะไรเรา?"

"อื้ม จำได้ เรื่องที่ผมจะขอวิทคบ"
 
"เรา ไปคิดคำตอบมาแล้วนะ" 

"ครับ"

วิทยาสูดลมหายใจเข้าปอดสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง อยู่สักสองสามทีแล้วจึงเอ่ยปากบอกกับต้นตะวัน

"เรา ว่า เราจะลองคบกับตะวันดูตามที่ตะวันขอ"

"ขอบคุณนะวิท ขอบคุณ"

ต้นตะวันรวบตัววิทยาไปกอด ตอนที่เขาได้ยินวิทยานอบตกลงหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นต้นตะวันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ดีใจถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตอนที่เขาขอเขาก็ไม่ได้คาดหวังหรือหวังผลอะไรเอาไว้ว่าวิทยาจะตอบตกลง เพราะเขาก็ยังไม่ได้เริ่มจีบเลยสักนิด แต่พอมาวันนี้วันที่เขาได้รับคำตอบเขากลับรู้สึกดีใจมาก

"พะ พอแล้ว" 

"ขอโทษครับ ผมดีใจไปหน่อย ขอบคุณนะที่ยอมตกลง"

"อื้ม เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ตะวันอยากลองคบกับเรา แต่ หลังจากที่เรากลับไปนิวคาสเซิลแล้วต้องคร่ำเครียดกับการสอบ และเราสองคนก็ไม่ค่อยได้คุยกัน เราก็รู้สึกคิดถึง ซึ่ง ถ้าเราไม่ได้ชอบเราก็คงไม่คิดถึง"

"อะหะ"

"เราถามตัวเองตลอดว่าเราคิดยังไงและคำตอบที่เราได้ก็คือในเมื่อเรารู้สึกชอบ รู้สึกดีด้วยเราก็จะตกลงคบ เราจะไม่ถามเหตุผลของตะวันว่าทำไม แต่ก็เราขอข้อเดียว"

"ว่ามาได้เลยครับ"

"คือ ถ้าวันไหนตะวันคิดว่าเราไปกันไม่ได้ หรือมันไม่ใช่ เราขอร้องขอให้บอกกัน"

"ให้บอก?"

"ใช่ บอกเลยว่าไม่ใช่ ไม่ชอบอย่าหายอย่าเงียบ"

"ครับ" ข้อเสนอของวิทยาเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า แต่ที่เขารับปากเพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาในที่สุดเขาก็ได้ความสบายใจมาอยู่ข้างๆ เขาแล้วและก็หวังไว้แค่ว่าความสบายใจจะอยู่กับเขาตลอดไป
 
วันนี้ก็เหมือนกับทุกๆ วัน เช้านี้วิทยาก็ตื่นนอนก่อนคนข้างกายอยู่ดี ปกติในเช้าสิ่งที่วิทยาจะทำหลังจากตื่นนอนคือนอนมองหน้าที่หลับใหลของต้นตะวัน วิทยามักจะทำแบบนี้เสมอๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาเริ่มนอนมองหน้าต้นตะวันตั้งแต่ตอนไหนแต่กลับกลายเป็นว่าหลังๆ ถ้ามีโอกาสได้มานอนค้างที่นี้เขาก็ต้องนอนมองหน้ากอ่นลุกไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวอยู่เสมอ 

แต่เช้านี้เป็นเช้าแรกของการเป็นแฟนกันวิทยาเลยอยากทำอะไรที่่มันพิเศษกว่าทุกวันสักหน่อย เขาอยากขอทำตามใจตัวเขาเอง และสิ่งที่วิทยาอยากทำมานานคือการสัมผัสกับใบหน้าของต้นตะวัน ถ้าต้นตะวันยังตื่นอยู่วิทยาก็คงไม่กล้าทำอย่างแน่นอนน วิทยานอนตะแคงหันหน้าเข้าหาต้นตะวันเอื้อมมือไปที่คางที่เริ่มมีหนวดต่อเขียวๆ ขึ้นมาบ้างแล้วน่าจะเป็นเพราะช่วงนี้คือช่วงสอบต้นตะวันเลยไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเอง วิทยาเลื่อนปลายนิ้วมาที่สันกรามที่ไม่ได้เป็นสันแบบชัดเจนมากนัก เลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาที่แก้ม ปลายจมูก และตอนที่วิทยากำลังจะเลื่อนมือไปที่คิ้วนั้นเองที่ต้นตะวันลืมตาตื่นขึ้นมา

“มอนิ่งครับ” 

“มอนิ่ง” จบคำของวิทยาต้นตะวันก็เขยิบตัวเข้าไปทางด้านซ้ายมือของตัวเองให้มากกว่าเดิมแล้วรอยยิ้มกว้างรับวันใหม่ของวิทยาก็ถูกปิดลงด้วยริมฝีปากของต้นตะวัน

“แอบทำอะไรอยู่ครับ? แอบแตะอั๋งผม?”

“อื้ม แตะอั๋ง”

“อะ งั้นตอนนี้ผมตื่นแล้ว วิททำได้เต็มที่เลยครับ” 

ต้นตะวันหยอกล้อกับวิทยาเพราะแม้วิทยาจะไม่ยอมแสดงออกว่าเขินตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าวิทยากำลังจับต้องที่ใบหน้าของเขาอยู่ แต่ริ้วรอยเลือดฝาดที่แดงไปตามแก้มและลามไปที่ใบหูนั้นไม่สามารถปิดบังความอายนั้นได้อย่างแน่นอน
“วิทเคยมีแฟนเป็นผู้ชายไหม?” ต้นตะวันเอื้อมมือไปเกลี่ยผมวิทยาเล่นในขณะที่เขาเองก็เริ่มชวนคุยไปเรื่อยๆ
“ไม่เคยอะ แต่เคยมีแอบๆ มอง มีบางคนมีโอกาสได้คุยกันศึกษากันบ้างแต่ไปไม่ถึงคำว่าคบ”

“ทำไมละ?”

“ก็คุยแล้วไม่ใช่อะไรแบบนั้นก็เลยไม่ได้คบกัน หรือ บางทีอีกฝ่ายก็หายไปเฉยๆ แล้วตะวันละ”

“ผม ก็มีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด ไม่เคยคบกับผู้หญิง”

“ตะวันเอ่อ คือ แบบ”

“หื้ม ว่าไงครับ?”

“เปล่าๆ ช่างมันเถอะ”

“วิท”

“เอาน่าๆ ตอนนี้เราไม่อยากรู้แล้วไว้อยากรู้เดี๋ยวถามใหม่นะ”

"ตามใจคนอยากรู้เลยครับ"

และเช้าวันแรกของคำว่าแฟนที่ทั้งสองคบกันทั้งสองใช้เวลานอนกลิ้งพูดคุยถามไถ่เรื่องราวต่างๆ อยู่บนฝูกนิ่มนี้อยู่ถึงเกือบ 11โมงเช้า แม้เหมือนว่ามันจะดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสำหรับเขาทั้งสองเพราะมันก็เป็นแค่อีก 1 วันใหม่ เขาทั้งคู่ไม่มีการขอเป็นแฟนที่อลังการไม่มีกระทั่งของแทนใจ  แต่อย่างน้อยเขาทั้งคู่เปิดใจให้แก่กันมากขึ้นเพิ่มอีกทีละนิดๆ
 
เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายของทั้งสองคนแล้ววิทยาและต้นตะวันเหลือเรียนแค่คนละ 2 ตัวเรื่องเรียนก็เลยไม่หนักมากแต่วิทยาตอนนี้กลับไม่ค่อยได้เข้าไปหาต้นตะวันที่ซิดนี่ย์เพราะเขาเองอยากจะทำงานเก็บเงินและประสบการ์ณเกี่ยวกับงานที่ร้านไอติมให้ได้มากที่สุดเพราะฉะนั้นไม่ว่าเพื่อนคนไหนนที่ร้านอยากแลกตารางงานเพื่อไปเที่ยววิทยาถ้าว่างก็จะรับทำทั้งหมด และก็เป็นครั้งแรกที่กลับกลายเป็นว่าต้นตะวันเป็นฝ่ายเข้ามาหาวิทยาที่นิวคาสเซิลด้วยตัวเอง

“รอนานไหม?”

“ไม่นานครับ เลิกงานแล้วจะไปไหนต่อรึเปล่า?”

“แล้วแต่ตะวันเลย”

“งั้นถ้าไปเดินเล่นที่ทะเลก่อนไปกินข้าววิทไหวไหม?”

“ไหวสิ” 

ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ถ้าต้นตะวันได้มีโอกาสมาหาวิทยาเขาก็จะมานั่งรอวิทยาเลิกงาน แล้วค่อยเข้าไปที่พักของวิทยาพร้อมกัน  โชคดีที่ช่วงนี้อากาศเข้าหน้าร้อนแล้วเลยทำให้ต้นตะวันไม่ต้องทนหนาวมากนัก เพราะเขาไม่สามารถไปนั่งรอในร้านได้เพราะข่วงหน้าร้อนร้านจะขายดีเป็นพิเศษต้นตะวันเลยต้องเอาตัวเองออกมารอที่หน้าร้านยังโชคดีอยู่บ้างที่หน้าร้านยังพอมีเก้าอี้ให้นั่ง

“นึกยังไงชวนมาเดินทะเล?”

“ก็ อยากดูพระอาทิตย์ตกก็เลยชวนมาดูด้วยกัน เราสองคนยังไม่เคยดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันเลยนะ”

ทั้งสองคนเดินไปตามแนวทะเลเดินถือรองเท้าและเดินเท้าเปล่าบนพื้นทราย ทั้งสองเดินไปจนเกือบสุดแนวของขอบฝั่ง

“นั่งตรงนี้แล้วกันนะครับ”

“ตรงโน้นก็มี ทำไมต้องเดินมาไกลถึงตรงนี้ด้วยละ?”

“เหนื่อยเหรอครับ? ผมขอโทษ”

“เปล่าแค่ถามนะ”

แล้ววิทยาก็นั่งลงข้างๆ กับต้นตะวันเพื่อที่จะได้ดูพระอาทิตย์ตกกัน ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย เขาทั้งสองกำลังนั่งซึบซับกับบรรยากาศในยามเย็น

แชะ

"ทำอะไร? ตะวันอยากถ่ายรูปเหรอ เราถ่ายให้ไหม?"

"ก็ถ่ายรูปไงครับ แต่ไม่เป็นไร เพราะคนที่ผมต้องการจะถ่ายไม่ใช่ตัวเองสักหน่อยและผมก็ได้รูปแล้วด้วย ว่าแต่คนในรูปนี้คิดอะไรอยู่ครับ?"

"อื้ม เราเหรอ เรากำลังคิดว่า หิวจังเลย อิ่มตาแต่หิวท้องแล้วละ"

"โอเคครับ งั้นกลับกัน" 

"เฮ้ย" 

วิทยาร้องเสียงหลง เพราะช่วงที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนเขาลุกขึ้นผิดจังหวะเล็กน้อยและแม้ว่าต้นตะวันจะยืนอยู่ใกล้ๆ กันกับวิทยา แต่ก็น่าเสียดายที่ต้นตะวันเคลื่อนไหวตัวช้าเกินไป ทำให้วิทยาล้มลงไปนั่งที่พื้นทรายอีกครั้ง และกว่าวิทยาจะใช้เวลาลุกขึ้นมาเองได้ก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะคนที่ยืนข้างๆ กันไม่ได้ยื่นมือมาช่วยให้วิทยาจับเพื่อที่จะช่วยดึงวิทยาขึ้นมาจากทราย

"เจ็บไหม?" ในขณะที่วิทยาปัดทรายออกจากตัวเองเขาก็ได้ยินเสียงของต้นตะวันร้องถามอยู่ห่างๆ ออกไปเล็กน้อย

"ไม่เจ็บๆ ดีนะที่เป็นพื้นทราย"

พอกลับมาถึงที่พักวิทยาก็ขอตัวอาบน้ำก่อนเป็นสิ่งแรก เพราะนอกจากตัวจะเต็มไปด้วยทรายแล้วเมื่อเช้าเขาก็ทำงานตั้งแต่เช้าจดเย็นก็เลยอยากล้างเอาคราบเหงื่อไคลออก พอเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะแต่งตัว ต้นตะวันก็เดินเข้าไปกอดวิทยาจากทางด้านหลัง ลูบมือไปที่ข้อศอกของวิทยาที่เริ่มเป็นรอยแดงที่น่าจะเกิดจากทรายบาด
 
"แสบไหม?"

"มะ ไม่แสบ" จริงๆ มันก็รู้สึกแสบอยู่บ้างตอนที่วิทยาเข้าไปอาบน้ำล้างแผล แต่ตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นหายไปหมดแล้วแต่วิทยากลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องซะแทน เมื่อต้นตะวันไม่ได้หยุดลูบที่แผลของเขาเพียงเท่านั้น แต่ต้นตะวันยังคงพรมหอมพรมจูบไปทั่วช่วงหัวไหล่ของเขา ช่วงลำคอ และตอนนี้ มือของต้นตะวันก็เริ่มเลื่อนมาที่ตรงหน้าท้องและแผ่นอกของวิทยา

"เอ่อ ตะวัน"

"หอม วิท หอมจังเลยครับ"

"กะ ก็เราเพิ่ง อาบน้ำเสร็จ"

ต้นตะวันไม่ได้ตอบอะไรวิทยากลับไปแต่เขากลับไม่ละไปจากร่างกายตรงหน้านี้ ต้นตะวันยังคงกอดร่างกายนี้เอาไว้ในอ้อมกอดของเขา เขาพลิกตัวของวิทยาให้หันหน้ามาหากัน ต้นตะวันเอื้อมมือไปไล้ตามกรอบหน้าของวิทยา

"วิทจำได้ไหมว่าเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้แล้ว?"

"..."

วิทยาเหมือนถูกมนต์สะกดตอนที่เห็นหน้าของต้นตะวันอยู่ใกล้ๆ วิทยาไม่สามารถคิดแม้กระทั่งคำที่จะพูดออกไปได้ วิทยาเลยได้แต่ส่ายหน้าเป็นตำตอบให้แก่ต้นตะวัน

"วันนั้นผมไปหาพี่หว่าที่ร้าน วิทก็อยู่ตรงนั้น รู้ไหมว่าผมติดใจใบหน้านี้ รอยยิ้มนี้ ริมฝีปากนี้มากขนาดไหน" 

และต้นตะวันเองก็ไม่ได้แม้จะเปิดโอกาสให้วิทยาได้คิดย้อนกลับไป เพราะทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็โน้มหน้าลงมาจูบไปตามกรอบหน้าที่เขาจำได้ตั้งแต่ที่เจอกัน จูบที่ริมฝีปากที่คอยพูดอยู่เป็นเพื่อนเขา จูบไปที่แก้ม ที่มักจะแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ของผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างไม่ปิดบัง จูบไปที่ใบหู ที่มักจะทรยศเจ้าของโดยการเปิดเผยอารมณ์ออกมาแม้เจ้าของของมันพยายามปั้นหน้าไม่เขินอาย

ต้นตะวันบีบนวดช่วงลำคอของวิทยาให้วิทยารู้สึกผ่อนคลาย พอวิทยาเริ่มเผลอไผลไปกับความสบายต้นตะวันก็ฉวยโอกาสก้มลงจูบอย่างลึกซึ้งกับวิทยา จาแค่ริมฝีปากที่สัมผัสกันก็เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากนั้น ต้นตะวันใช้ลิ้นสำรวจจนเป็นที่พอใจและเริ่มรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดเริ่มที่จะใช้เขาเป็นที่ยึดเกาะมากขึ้น เขาถึงได้ถอนจูบออกมา แล้วก็เดินนำวิทยามาที่เตียง ต้นตะวันนั่งลงที่เตียงก่อนแล้วค่อยดึงให้วิทยานั่งลงมาที่ตักของเขา 

"ตะวัน"   

"ครับ" 

แม้ต้นตะวันกำลังรับคำของวิทยา แต่ต้นตะวันก็ไม่ได้หยุดที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับวิทยา มือของต้นตะวันยังคงทำการสำรวจร่างกายของวิทยาต่อไป มีหยุดพักเล่นที่แถวอกบ้าง แต่นั้นมันยิ่งกลับทำให้วิทยาปั่นป่วนมากกว่าเดิม อีกมือนึงต้นตะวันก็เอื้อมมือเข้าไปที่ทางแยกของผ้าขนหนูที่วิทยาพันเอวเอาไว้ ลูบไปตามต้นขาด้านบนของวิทยา แถมยังตั้งใจเอาปลายนิ้วเฉียดไปมากับส่วนที่อ่อนไหวของวิทยา ทำให้วิทยาเกือบหายใจแทบไม่ทัน

"พะ พอก่อน นะ"

"ทำไมละครับ?"

"เรา เราไม่พร้อม พะ พอก่อนนะ"

"แต่ ตรงนี้ของวิทไม่ได้สื่อว่าไม่พร้อม"

ข้อดีของวิทยาคือเป็นคนที่ไม่คิดซับซ้อนคิดยังไงพูดอย่างนั้น เหมือนกันกับสีหน้าและร่างกายของเขาที่มักจะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสมอ มันจึงทำให้ต้นตะวันได้ใจและคิดว่าเขาเข้าใจวิทยาได้ดี ไม่ใช่ว่าวิทยาไม่พร้อมแต่วิทยาแค่อายมากกว่า ต้นตะวันเลยไม่หยุดการกระทำทั้งหมด เขายังคงสัมผัสไปทั่วร่างกายของวิทยาแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าไม่พร้อมก็ตาม

"ผมขอนะ" จากปลายนิ้วที่แค่เฉียดไปมาที่ส่วนอ่อนไหวของวิทยา ตอนนี้ต้นตะวันกลับสัมผัสมันเต็มๆ ลูบไล้ไปตามความยาวขึ้นลงอย่างไม่เร่งรีบ เหมือนกับต้นตะวันต้องการสำรวจทุกตารางนิ้วของวิทยา

"อื้มม มะ ไม่ เราไม่ อะ ไม่พร้อม อย่าเลยนะ"

แม้ว่าร่างกายของวิทยาจะแสดงออกว่าต้องการมากขนาดไหนแต่วิทยาก็ยังคงพร่ำบอกว่าไม่อยู่อย่างนั้น แต่ร่างกายของวิทยามีผลกับต้นตะวันมากเกินไป มันเลยทำให้ต้นตะวันไม่ได้ยินเสียงของคำว่า "ไม่" ของวิทยา ต้นตะวันยังคงใช้ปากของตัวเองผิดเสียงต่อต้านจากวิทยาเขาประโคมจูบที่ดูดดื่มให้แก่วิทยาเท่าที่เขาสามารถทำได้ ส่วนมืออีกข้างปลดปมของผ้าขนหนูออก เพียงแค่ปมของผ้าหลุดออกเท่านั้น

 “โอ๊ย จะกัดทำไมวิท” วิทยากัดลิ้นของต้นตะวันที่อยู่ในโพรงปากของเขาเอง เขารู้ว่าต้นตะวันต้องเจ็บและเขาก็ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น

“ก็เราบอกให้หยุด ทำไมตะวันไม่หยุด”

"ดูก็รู้ว่า วิทเองก็ต้องการ ดูสิดู ดูตรงนี้ของตัวเอง" แล้วต้นตะวันก็จับมือของวิทยามาจับส่วนที่อ่อนไหวที่ตอนนี้มันไม่ได้อ่อนไหวแล้วของวิทยาเอง

"และผมเองก็ต้องการ" และต้นตะวันก็เลื่อนมือของวิทยามาจับส่วนของเขา

"แต่ แต่ เราไม่พร้อม เรา เรา เราขอโทษ"   

“โอเคๆ ผมยอมแล้ว งั้นผมไม่ทำอะไร แต่ขอช่วยให้วิทสบายตัวก่อนได้ไหมครับ?"

ต้นตะวันไม่ได้รอให้วิทยาตอบรับเขาเพียงแค่เลื่อนมือไปจับส่วนอ่อนไหวของวิทยาที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำปริ่มขึ้นมาแล้ว ต้นตะวันใช้มือของเขาช่วยให้วิทยาปลดปล่อยและสบายตัว ไม่ได้มีการเล้าโล้มที่ไหนเพิ่มเติมในระหว่างทางของการปลดปล่อย
"จะไปไหนอะ?" ต้นตะวันเอาตัววิทยาลงจากตักของเขาตอนที่วทยาปลดปล่อยหมดแล้ว และในขณะที่เขากำลังลุกขึ้น วิทยาก็ดึงมือเขาเอาไว้

"ไปเอาเสื้อผ้ามาให้วิทใส่ และไปอาบน้ำครับ วิทนอนก่อนเลยก็ได้" 

"อื้ม"  น่าแปลกที่คืนนี้เขาทั้งสองคนแม้จะนอนอยู่บนเตียงเดียวกันแต่คืนนี้เขาทั้งสองคนกลับไม่ได้นอนกอดกันเหมือนกับคืนอื่นๆ ที่ผ่านมา

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 7 27/08/16
«ตอบ #21 เมื่อ28-08-2016 09:06:18 »

บทที่ 8

"ผมกลับซิดนี่ย์ก่อนนะครับ" 

เช้านี้พอวิทยาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นต้นตะวันนอนอยู่ข้างๆ แล้ว วิทยาตื่นมาก็เห็นแผ่นกระดาษที่มีข้อความนี้วางเอาไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือในห้อง ปกติเขาก็เป็นคนตื่นเช้ากว่าต้นตะวันแต่วันนี้ เขาตื่นสายกว่าวิทยาพยามยามทำความเข้าใจว่าต้นตะวันอาจจะมีธุระด่วนที่ต้องเข้าซิดนี่ย์ แต่สิ่งที่วิทยาไม่เข้าใจคือทำไมต้นตะวันไม่คิดที่จะปลุกเขาขึ้นมา อย่างน้อยได้บอกลากันหรือได้เดินไปส่งที่สถานีรถไฟก็ยังดี 

"เฮ้อ" 

หลังจากที่วิทยาเห็นข้อความในกระดาษวิทยาก็กดโทรหาต้นตะวันแต่เหมือนโทรศัพท์ของต้นตะวันถูกปิดเอาไว้หรือว่าแบตอาจจะหมดทำให้ไม่สามารถติดต่อกันได้ วิทยาเลยได้แต่เพียงทิ้งข้อความเอาไว้ว่า "ถึงแล้วส่งเมสเสจมาบอกหน่อยนะ" 

ตลอดช่วงบ่ายแม้ว่าวิทยาจะทำงานอยู่แต่วิทยาก็แอบเอามือถือขึ้นมาดูเป็นระยะ แต่เขาก็ไม่เห็นเมสเสจจากต้นตะวันเลยสักข้อความ วันนี้วิทยาทำงานด้วยอารมณ์ไม่แจ่มใสและดูไม่ค่อยเต็มที่กับงานถึงขนาดที่เจ้านายยังมาบอกให้เขาพักก่อนเพราะเขาอาจจะทำงานหนักมากเกินไป วิทยาเลยจำต้องปัดเรื่องราวพวกนี้ออกไปจากหัวก่อนที่จะทำให้งานของเขาเสียไปมากกว่านี้ จนเมื่อเวลาผ่านไปถึงช่วงเย็นเลิกงานวิทยาจึงตัดสินใจลองโทรหาต้นตะวันดูอีกที

"ฮัลโหลครับ"

"เอ่อ ฮัลโหลตะวัน เมื่อเช้าเราโทรหาไม่ติดเลย" โชคดีที่พอเขาลองโทรไปรอบนี้โทรศัพท์ของต้นตะวันกลับมาใช้งานได้แล้ว 
"พอดี ผมไม่ได้เปิดเครื่อง นี่เพิ่งจะได้เปิดเหมือนกันครับ"

"เอ่อ เมื่อเช้าไปไม่เห็นบอกเลย"

"ก็เห็นว่าหลับอยู่ ก็เลยไม่ได้ปลุก"

"อ่อ"

แล้วทั้งสองคนก็ถูกความเงียบปกคลุมแม้จะไม่ได้วางสายแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร นี่แทบจะเป็นครั้งแรกๆ ในชีวิตของวิทยาที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร และ ควรที่จะแสดงออกยังไงออกไป ปกติเขามีอะไรเขารู้สึกอย่างไรเขาก็จะพูดแต่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้ว่าเขาต้องพูดอะไร

“อื้มงั้นแค่นี้ละ เราแค่เป็นห่วง”

“ครับ สวัสดีครับ”

ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่หลังจากเรื่องความอึดอัดของพวกเขาทั้งสองเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วันความอึดอัดนั้นก็ถูกพักจากหายไปก่อน เพราะว่าใกล้ช่วงสอบปลายภาคของเทอมสุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งสองเลยเปลี่ยนความสนใจไปที่หนังสือกันแทน กว่าอาทิตย์สุดท้ายของการเรียนจะจบลงความหม่นหมองในใจก็จากหายไปพอดี วิทยาเลิกทำงานพิเศษแล้วเพราะเขาเหลืออีกแค่ประมาณ 3 อาทิตย์เท่านั้นก่อนที่จะเตรียมตัวกลับประเทศไทย อีกอย่างเขาก็อยากใช้เวลานี้ไปเที่ยวดูเมืองรอบๆ ให้มากขึ้นเก็บเกี่ยวประสบการ์ณต่างๆ ก่อนกลับไปเริ่มต้นชีวิตทำงานจริงๆ

“ว่าแต่ช่วงอาทิตย์หน้าตะวันว่างวันไหนบ้างละ เราจะได้ดูตั๋วขึ้นไปเมลเบริ์นด้วยกันให้ได้?” 

“ก็ ผมสอบเสร็จวันมะรืน หลังจากสอบเสร็จผมไปเลยก็ได้นะ วิทอยากไปค้างนานไหมละ?”

“ไป 3 วัน 2 คืนดีไหม? รอบๆ ตัวเมืองเมลเบริ์นก็มีอะไรน่าเที่ยวเยอะอยู่นะ”

“โอเค ได้เลยผมยังไงก็ได้”

“โอเค งั้น หลังสอบเราให้พักวันนึงแล้วค่อยบินเช้าวันรุ่งขึ้นเนอะ บินเช้าได้ไหมตะวัน? ค่าตั๋วมันถูกมากๆ เลยนะ”

“เช้านี้กี่โมงครับ?”

“6 โมงเช้า มันถูกกว่าเกือบครึ่งๆ ของรอบสายๆเลยนะ”

“โอเคๆ ลากผมให้ตื่นแล้วกัน”

หลังจากที่ทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อย ทริปนี้วิทยาเป็นคนอาสาจัดการทุกอย่างเองเพราะว่าต้นตะวันยังคงอยู่ในช่วงสอบ
ไม่เหมือนเขาที่สอบเสร็จแล้ว วิทยาแอบดีใจที่เขาได้ไปเที่ยวกับต้นตะวันเพราะก่อนหน้านี้ก่อนที่เขาจะมาออสเตรเลียเขาเคยคิดวางแผนว่าเขาจะต้องไปไหนมาไหนคนเดียวไม่นึกไม่ฝันเลยว่าในวันนึงวันที่เขาได้มาอยู่ที่นี้เขาจะได้มีเพื่อนร่วมทาง

“งานช้างแล้วสิเรา” 

แล้วในที่สุดวันกำหนดวันเที่ยวก็มาถึง วิทยาเดินทางเข้าซิดนี่ย์ก่อน เพราะว่าบินจากซิดนี่ย์ไปจะง่ายกว่าที่เขาบินจากนิวคาสเซิลแล้วไปรอเจอกันที่นั้น วิทยามาถึงก่อนเวลาตอนแรกเขาคิดว่าจะเลยต่อรถไปหาต้นตะวันที่มหาวิทยาลัยแต่เขาเองก็กลัวว่าจะสวนทางกัน เขาก็เลยไปนั่งรอต้นตะวันที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับที่พักของต้นตะวัน วิทยาเลือกนั่งติดริมหน้าต่างเขาจะได้เห็นต้นตะวันกลับมาได้ นั่งรอไปสักพักก่อนเวลาที่ต้นตะวันจะบอกว่าเลิกสอบ เขาก็เห็นต้นตะวันกลับมาแล้ว แต่ต้นตะวันไม่ได้กลับมาคนเดียว ต้นตะวันเดินมากับผู้ชายเอเชียหนึ่งคน วิทยาพยายามเดินไปให้ทันทั้งสองคนเพราะไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถเข้าตึกได้ แต่โชคไม่ดีที่ว่าเขาต้องรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนเขาเลยข้ามไปไม่ทันสองคนนั้น

เพราะว่าที่พักของต้นตะวันต้องใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องก่อนที่จะเข้าไปด้านในได้ ดังนั้นวิทยาเลยพยายามที่จะโทรหาต้นตะวัน แต่ต้นตะวันก็ไม่ยอมรับสายของเขา เขาเลยส่งเมสเสจไปบอกต้นตะวันว่าเขาถึงแล้ว แต่ต้นตะวันก็ไม่ตอบข้อความของเขาเช่นกัน 

“ฮัลโหล วิท มานานยัง ผมขอโทษพอดีไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไว้เลย”

“อื้อ สักพักแล้ว เรารออยู่ด้านล่างนะ”

“โอเคครับเดี๋ยวผมลงไปรับ”

วิทยาไม่ได้สนใจที่จะถามอะไรเกี่ยวกับที่เขาเห็นต้นตะวัน พาเพื่อนมาที่ห้องตอนแรก เพราะเขาก็แค่คิดว่าคงเป็นเพื่อนที่แวะมาเอาของที่ห้อง แต่พอเขาเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่ามีการใช้ห้องน้ำและที่สำคัญผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ก็เปียกทั้งสองพื้น เขาก็เลยมีแอบแว้บคิดอยู่สักหน่อย

“ตะวันเพิ่งอาบน้ำเหรอ”

“เปล่า อ่อ อื้อ” และด้วยประโยคที่ไม่แน่ใจของต้นตะวันนี่เองที่ทำให้วิทยาจากที่ไม่คิดก็คิดมากขึ้นกว่าที่เคย แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป ปล่อยให้เป็นคำถามคาใจอยู่ในใจของเขาว่าเพื่อนคนประกี้ของตะวันคือใคร

“ตะวันจัดกระเป๋ายัง เราไม่เห็นกระเป๋าตะวันเลย”

“จัดแล้ว โน้น” วิทยาแทบจะเอาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ อีกสักที ตอนที่เขาหันไปเห็นกระเป๋าที่ต้นตะวันว่าจัดแล้ว การจัดกระเป๋าแล้วของต้นตะวันคือ การที่เอาเสื้อผ้าทั้งหมดโยนเข้าไปในกระเป๋าแล้วก็ยังไม่ได้ปิดกระเป๋าลงเลยแม้แต่น้อย
 
“เฮ้ย ทำไรไม่เป็นไรเดี๋ยวเราจัดเอง” วิทยาทนไม่ได้เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเห็นเขาเลยเดินเข้าไปรื้อของออกมาแล้วก็พยายามพับเสื้อผ้าลงไปใหม่

“ไม่ทันแล้วไหม เราจัดแล้ว” 

ในเมื่อต้นตะวันแยกออกมาจากมือของวิทยาไม่ได้ ต้นตะวันเลยนั่งลงข้างๆ วิทยานั่งมองวิทยาที่กำลังรื้อเอาเสื้อผ้าของเขาออกมาเพื่อที่นั่งพับให้เรียบร้อย และเพราะว่ากระเป๋าของเขาเป็นแค่เป้หนึ่งใบ แต่วิทยาเตรียมกระเป๋าแบบที่เตรียมโหลดมาได้ เพราะฉะนั้นวิทยาจึงเอาของพวกที่แต่งผม ไปใส่ในกระเป๋าของวิทยา 

“มีอะไรรึเปล่า หรือว่าอยากให้เรารวมกระเป๋าเลย?”

“รวมเลยก็ได้ถ้ากระเป๋าวิทพอ แล้ววิทก็เอาพวกของที่ยังไม่ลงมาใส่เป้เราก็ได้”

“อื้อ”

“...... “

“มองอะไรมีอะไรรึเปล่าตะวัน?” 

วิทยาเองก็รู้สึกมาได้สักพักแล้ว ว่าตั้งแต่ที่เขาลงมือมารื้อกระเป๋าต้นตะวันที่นั่งอยู่ตรงนี้จ้องเขาอย่างไม่วางตาเลย ตอนแรกเขาก็สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปได้ แต่พอนานไป เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทนสายตานั้นได้อีกแล้ว

“เปล่าไม่มีอะไรครับ” 

สำหรับต้นตะวัน ภาพที่เขาเห็นตอนนี้มันทำให้เขายิ้มได้และรู้สึกมีความสุข เขายอมรับว่าในคืนนั้นตอนที่เขาพยายามจะขอวิทยากอดและวิทยาปฎิเสธเขา ตอนเช้ามาเขาก็เลยมีเคืองอยู่เล็กน้อยเขาถึงได้เรีบกลับมาที่ซิดนี่ย์เพราะเขาก็ไม่อยากทะเลาะกัน เพราะเขากลัวว่าเช้ามาถ้ามองหน้ากันเขาอาจจะพาลใส่วิทยาได้ แต่พอมาวันนี้เขากลับรู้สึกมีความสุขแม้ว่าเขาจะไม่ได้แม้กระทั่งจูบกับวิทยาเลย เขาเลยคิดได้ว่าถ้าวิทยาไม่พร้อมเขาก็จะไม่บังคับการอยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว 

“รีบเข้านอนกันเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้านะ” 

จริงๆ แล้วทั้งคู่ก็เป็นคนนอนดึก เพราะฉะนั้นมันไม่ง่ายสำหรับเขาทั้งสองเลยที่จะต้องพยายามทำตัวให้หลับตั้งแต่สองทุ่ม แม้เขาทั้งสองจะล้มตัวลงนอนปิดไฟแล้ว แต่ตาของทั้งสองคนยังคงโตอยู่ในท่ามกลางความมืด วิทยาพลิกตัวไปมาอยู่ตลอดเวลา

“นอนไม่หลับเหรอครับ” เพราะต้นตะวันก็ยังคงนอนไม่หลับเช่นกัน เขาเลยรู้ว่าวิทยาก็ยังตื่นอยู่

“อื้ม นอนไม่หลับเลย แต่ต้องนอนอะ”

“เคยได้ยินไหม ว่าถ้าเรายิ่งพยายามมันจะยิ่งไม่หลับ”

“เคย แต่เราจะทำยังไงดี เราต้องนอน”

โดยที่ไม่มีคำตอบใดๆ แต่ต้นตะวันก็ดึงวิทยาเข้ามากอดเอาไว้โดยที่เขาเองเป็นคนที่กอดซ้อนอยู่ด้านหลังของวิทยา มือนึงของต้นตะวันกำลังลูบหัวของวิทยา ส่วนแขนอีกข้างเอาไว้ให้วิทยาหนุนแทนหมอน วิทยาเอื้อมมือของตัวเองไปจับที่มือของต้นตะวันที่รองศรีษะของเขาเอาไว้ ลูบนิ้วมือที่แขนข้างนั้นเล่น แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้วิทยาเคลื้อมได้มากกว่ากัน ระหว่างการเล่นนิ้วมือของต้นตะวัน หรือสัมผัสจากการลูบหัวที่แผ่วเบาที่เขาได้รับ แต่นั้นมันก็ทำให้เขาสามารถหลับลงได้ 

ติ้ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตีสาม วิทยาแทบจะอยากคลานไปที่สนามบินทั้งๆ ชุดนี้ที่เขาใส่อยู่แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำได้ เขาทั้งสองเลยยังต้องลุกขึ้นไปอาบน้ำ มันไม่ใช่เพราะความรักสะอาดแต่มันเพื่อความสดชื่น อาบมันทั้งๆ น้ำเย็นนี้แหละได้ผลเชียวทั้งตื่นและสดชื่นดี

“โชคดีที่มาทันนะเนี่ย ดีนะที่ตะวันคิดทันโทรนัดแท๊กซี่มาก่อน เรากะจะโบกเอา โห มองไม่เจอสักคัน”

ทั้งคู่มาถึงสนามบินได้ทันเวลา มีเวลาได้พักกินกาแฟและเซ็ทอาหารเช้าหลังจากที่เช็คอินเรียบร้อยแล้ว ตอนขึ้นเครื่องทั้งสองคนไม่มีใครพูดจาอะไร ต่างพร้อมใจกันชาตพลังโดยการนอน

“เมลเบิร์น มาถึงแล้ว มาๆ ตะวันมาถ่ายภาพกันก่อน” 

วิทยาลากต้นตะวันเก็บภาพไปตลอดทางตั้งแต่เอากระเป๋าออกมาได้ จนมาถึงรถบัสที่จะขับเข้าไปในตัวเมือง เพราะว่าทั้งสองได้เก็บแรงมาเต็มที่แล้วทำให้ตลอดข้างทางที่มุ่งเข้าโรงแรมพวกเขาไม่ได้หลับและใช้โอกาสดูทิวทัศน์ รถนี้เป็นรถของโรงแรมที่วิทยาเลือกใช้บริการรับส่งจากสนามบินเพราะมันจะได้สะดวก และ ราคาก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นสักเท่าไหร่

“ถ้าออกไปเที่ยวเลย ตะวันจะไหวไหม” ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนมาถึงที่โรงแรมแล้ว เช็คอินเรียบร้อยแต่ว่ายังเข้าห้องไม่ได้เพราะว่าพวกเขาไปถึงเช้าเกินไป เลยต้องฝากกระเป๋าเอาไว้ที่ล้อบบี้ก่อน

“ไปสิ อยู่นี่ก็ไม่ได้เข้าไปที่ห้องอยู่ดี ไปเดินเล่นก่อนก็ได้ เหนื่อยค่อยกลับเข้ามา” โชคดีที่วิทยาสามารถหาห้องได้กลางตัวเมืองเพราะฉะนั้น การเข้าออกโรงแรมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาเลยสักนิด

“งั้นเราไปกินข้าวเช้าก่อนเนอะ”

“อื้ม ได้เลย” 

ทั้งสองเดินออกไปนอกโรงแรมแล้วเข้าไปที่ตรอกของไชน่าทาวน์ กินโจ๊กกันคนละชามแล้วก็ตัดสินใจออกเดินบริเวณนั้นเล็กน้อย พวกเขาเดินไปที่หน้า ฟินเดอร์สเตชั่นที่เป็นสถานีรถไฟที่โด่งดังของที่นี้ เรียกว่าถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปหมือนมาไม่ถึงแล้วก็เดินเล่นแถว ถนนฟินเดอร์ วิทยารู้ว่าเวลาออกมาข้างนอกต้นตะวันจะไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ซึ่งเขาก็ชินแล้ว แต่วันนี้สำหรับเขาต้นตะวันเงียบเป็นพิเศษ เขาเลยหันกลับไปดูเพราะก็กลัวว่าจะหลงกัน

“เป็นอะไรรึเปล่าตะวัน หน้าเครียดๆ”

“ผมว่าผมจะไม่ไหวแล้วละวิท วิทจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนไหม เดี๋ยวผมเดินกลับโรงแรมเอง ผมอยากนอนสักหน่อย”

“มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ ก็ดีเราเองจะได้เข้าไปพักด้วย เดินมากก็เริ่มเมื่อยขาเหมือนกัน”

มาถึงที่โรงแรมต้นตะวันไม่เปิดประตูเข้าไปแอบหยุดมองเล็กน้อยเพราะห้องที่เขาได้เป็นเตียงเดี่ยวแยกสองเตียงอยู่ในห้อง
 
“นี่วิทจงใจเลือกห้องนี้เหรอครับ?” ความง่วงความล้ามีอยู่แต่ความอยากรู้ของต้นตะวันมีมากกว่า

“ใช่ กว่าจะได้ห้องนี้ไม่ง่ายเลย”

“กลัวผมขนาดนั้นเลยรึครับ?”

“กลัวอะไรเหรอ”

“ก็ วิทจงใจเลือกห้องนี้” ต้นตะวันไม่ได้พูดอธิบายเพิ่มเติมเพียงแค่ลงไปนั่ที่เตียงที่ติดกับหน้าต่างของโรงแรม

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” แล้ววิทยาก็เดินมานั่งข้างๆ กับต้นตะวัน เอาหัวของตัวเองพิงไปที่ไหล่ของต้นตะวัน อาจจะเนเพราะว่าแอร์โรงแรมปรับอยู่ในอณุหภูมิที่สบายทำให้เขาเริ่มรู้สึกจะง่วงตาม เลยต้องใช้หัวไหล่ของต้นตะวันเป็นที่พักพิง 

“ตะวันมองออกไปสิ วิวด้านนี้เป็นสวนสาธารณะที่มองเห็นจากตรงนี้ อีกด้านเป็นถนนใหญ่ที่มีแต่รถ ที่เราบอกว่าเราจงใจเลือกห้องนี้เพราะเราอยากได้วิว เราไม่ได้ดูเรื่องเตียงเลย ตอนนั้นมันเหลือแค่ไม่กี่ห้อง เราไม่ได้ดูเรื่องอื่นเลยยกเว้น เรื่องวิว”

“......  “

เมื่อวิทยาพูดจบเขาก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากต้นตะวัน เขาคิดว่าสงสัยต้นตะวันยังคงโกรธเขาเรื่องนี้อยู่เขาเลยอยากที่จะอธิบายอีกครั้ง ในขณะที่เขาเอาหัวขึ้นจากไหล่ของต้นตะวันแล้วหันกลับไปมอง เขาก็เห็นว่าคนที่เขาพยายามจะอธิบายให้ฟังอยู่นั้นหลับลงไปแล้วโดยการพิงหัวไปที่หัวเตียง วิทยายิ้มให้หับภาพที่เห็น แล้วเขาก็พยายามพยุ่งลากตัวของต้นตะวันให้นอนดีๆ และในเมื่อเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เขาก็เลยล้มตัวลงนอนไปข้างๆ กัน

“ตื่นครับตื่นเดี๋ยวตะวันทับตา” 

“อื้มมมมม” ตอนนี้ต้นตะวันพยายามงัดเอาวิทยาออกจากเตียง ต้นตะวันตื่นได้สักพักแล้วแต่เขาก็ไม่อยากที่จะปลุกวิทยาขึ้นมา แต่ตอนนี้มันก็จะห้าโมงเย็นแล้วและพวกเขาก็เหลือเวลาเที่ยวอีกแค่ไม่นานเขาก็เลยไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ 

“หิวๆๆๆ” 

พอวิทยาลืมตาตื่นมาได้เต็มตาสิ่งแรกที่วิทยาพูดถึงก็คืออาหาร พวกเขาทั้งสองมีแผนเอาไว้ว่าจะไปทานที่ฝั่งตรงข้ามของสะพานของเมลเบิร์น เพราะมันมีร้านอาหารที่อร่อยอยู่แถวนั้นแถมพวกเขาจะสามารถได้เดินดูแสงสีที่ตรงสะพานแล้วใต้โรงแรมที่นั้นอีกด้วย ซึ่งมันก็เป็นจุดที่เที่ยวที่น่าไปอีกที่นึงที่ไม่ควรพลาด

“โอ๊ย อิ่มพุงจะแตก”

 หลังจากเขาทั้งสองไม่ได้พูดได้จา มาถึงก็ชี้นิ้วสั่งแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตากิน ในที่สุดกระเพาะของพวกเขาทั้งสองก็สามารถถูกเติมเต็มได้ และหลังจากท้องอิ่มแล้วแน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองก็มีแรงเดิน วิทยาเก็ยรูปให้ครบทุกซอกทุกมุม ส่วนต้นตะวันก็มีแชะภาพเองบ้างแล้วก็คอยแชะภาพของคนข้างกายเขาบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะเป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เพราะนักท่องเที่ยวยังคงอยู่เต็มถนนไปหมด เพราะด้วยความที่ถนนเส้นนี้ค่อนข้างยาวมาก วิทยากับต้นตะวันเลยตัดสินใจนั่งลงที่ริมแม่น้ำ

“บรรยากาศดีเนอะ”

“ครับ วิทชอบไหม?”

“ชอบสิ ดีใจที่ได้มีโอกาสมาก่อนที่จะกลับเมืองไทย”

“ผมก็ดีใจที่ได้มาที่นี้นะครับ”

อาจจะเป็นเพราะอากาศพาไปหรือว่าอาจะเป็นเพราะคำพูดของต้นตะวันทำวิทยาเอื้อมมือข้างซ้ายของเขาออกไปเพื่อที่จะไปจับมือกับวิทยาแต่ในทันทีที่วิทยาได้สัมผัสกับหลังมือของต้นตะวัน ต้นตะวันก็ดึงมือออกจากการสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว จนวิทยาเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่าต้นตะวันกำลังจะดึงมือออกพอดี หรือว่า ต้นตะวันตั้งใจดึงมือออกจากเขากันแน่
 
“ผมว่าเราเริ่มเดินกลับโรงแรมกันเถอะครับ นี่มันก็ดึกมากแล้ว พักผ่อนกันดีกว่าพรุ่งนี้จะได้ออกแต่เช้า” แต่ในเมื่อต้นตะวันพูดแบบนี้มันก็สงสัยว่าจะเป็นความบังเอิญที่ทำให้ต้นตะวันเอามือออกจากวิทยาพอดี

ตลอดการเดินทางกลับมาที่โรงแรม แม้ว่าวิทยาจะคิดได้แบบนั้นแต่เขาก็ยังคงรู้สึกขมุกขมัวในใจ เพราะพอวิทยามาลองเดินคิดดูดีๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้นตะวันจะทำแบบนี้กับเขาวิทยาก็เลยไม่แน่ใจว่ามันคือความบังเอิญจริงรึเปล่า กลับมาถึงที่โรงแรมต้นตะวันก็ให้วิทยาไปอาบน้ำก่อนแล้วต้นตะวันค่อยเข้าไปอาบทีหลัง 

“ฝันดีครับ”

ตอนที่ต้นตะวันเดินออกมาจากห้องน้ำเขาเห็นว่าวิทยานอนห่มผ้าไปเรียบร้อยแล้วโดยการหันหลังมาทางห้องน้ำ ต้นตะวันเดินไปลูบหัวและจูบหน้าผากบอกให้หลับฝันดี  ในขณะที่ต้นตะวันกำลังจะหันหลังกลับไปที่นอนอีกเตียง เขาก็เห็นว่าผ้าห่มที่วิทยาห่มมันล่วงลงมา เขาก็เลยจะดึงมันขึ้นให้ แต่พอมือไปโดนตัว ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้นตะวันล้มลงไปนอนด้วยกัน

ความตั้งใจแรกของต้นตะวันคือ แค่ล้มตัวลงนอนกอดกัน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเตียงเป็นเตียงขนาดเล็กเลยทำให้ ตัวของเขาต้องชิดกับตัวของวิทยามากขึ้น เสื้อที่วิทยาใส่นอนก็ไม่รู้ว่าเป็นใจไหม ถึงได้ถลกขึ้นไปจนถึงช่วงเอวมันทำให้มือของต้นตะวัน ลูบไล้ที่ช่วงเอวนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ต้นตะวันจะบอกกับตัวเองไว้ตอนที่ก่อนบินมานี่ว่าแค่มีวิทยาอยู่ก็เพียงพอแล้วเรื่องพวกนี้เขาไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเหมือนตอนนี้เขาจะลืมไปซะหมด เพราะมือของเขาเร่มไล่จากช่วงเอวไปที่หน้าท้องและที่หน้าอกของวิทยา 

มือของต้นตะวันลากผ่านตุ่มไตทั้งสองที่หน้าอกของวิทยาและเพราะว่าตอนนี้วิทยากำลังนอนหันหลังให้แก่เขา เขาก็เลยถือโอกาสสูดกลิ่นตัวของวิทยาจากทางด้านหลังคอ จากสูดก็การเป็นการจูบที่หลังคอของวิทยา แต่ก่อนที่ต้นตะวันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขากลับรู้สึกได้ว่าคนที่เขากำลังสัมผัสตัวอยู่กำลังตัวสั่น ต้นตะวันเกรงว่าวิทยาอาจจตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ไม่อยากปลุกคนที่หลับไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้ส่วนความเป็นตัวตนของเขาจะขับแน่นมากเพียงใดเขาก็ไม่สามารถไปต่อจากนี้ได้ เขาเลยผละตัวเองไปจัดการตัวเองที่ห้องน้ำ 

ตอนที่ต้นตะวันลุกออกไปเพื่อเข้าห้องน้ำ วิทยาลืมตาโพรงเพื่อที่จะเอามือมาเช็ดน้ำตาของเขา เขากลั้นน้ำตาและเสียงของตัวเองจนตัวสั่น ก็น่าแปลกทั้งๆ ที่วิทยารู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติว่าถ้าคนคบกันก็ต้องมีอะไรกัน วิทยาเองก็ไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเขาที่จะลึกซึ้งกับต้นตะวันแต่ว่าสิ่งที่ตะวันกำลังแสดงออกมา มันทำให้วิทยารู้สึกแย่มันเหมือนต้นตะวันมองเขาเป็นแค่เครื่องมือบำบัดความใคร่ยามอยู่ไกลบ้านของตะวัน มีที่ไหนคนจะมีอะไรกันยังไม่เคยบอกรักกัน บอกชอบกันสักคำ แล้วเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าแค่เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะต้องร้องไห้ มันอ่อนแอไปไหมวิทยาเขาได้แต่ถามตัวเองอยู่ซ้ำๆ

ตอนที่ต้นตะวันออกมาก็เป็นกับช่วงเวลาเดียวกับที่วิทยาสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ต้นตะวันกลับมานอนที่เตียงเดียวกับวิทยาอีกครั้ง ยังคงโล่งใจที่เขาไม่ได้ทำให้วิทยาตื่น 

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 8 28/08/16
«ตอบ #22 เมื่อ30-08-2016 06:52:05 »

บทที่ 9

“คิดไรอยู่ครับ?”

 เช้ามาเขาทั้งสองคนลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรม วันนี้แผนเที่ยวของพวกเขาคือช่วงกลางวันนั่งรถไฟที่เรียกว่ารถเทรมไปรอบๆ เมืองและแวะลงตามจุดต่างๆ เพื่อที่จะถ่ายรูป แล้วพอตอนกลางคืนก็จะนั่งรถออกไปนอกเมืองเพื่อไปดูแพนกวินที่ชายทะเลยามดึก แต่เช้านี้ต้นตะวันรู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกวิทยามีอะไรที่ค้างอยู่ในใจ อย่างที่บอก วิทยาเป็นคนคิดอะไรก็แสดงออกมาต่อให้วิทยาอยากจะปิดสีหน้านั้นก็ไม่สามารถปิดเขาได้อยู่ดี 

“เปล่า” 

ใจจริงวิทยาอยากจะคุย อยากจะถามให้เคลียร์ไปเลย แต่ด้วยว่าเขาไม่อยากทำลายบรรยากาศวันนี้ให้พัง เขาเลยได้แต่เก็บเอาไว้ก่อน อีกอย่างเขาก็อยากมีช่วงเวลาจดจำดีๆ ด้วย เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่พูดไปแล้วเขาทั้งสองคนจะเป็นยังไงกันต่อไป เขาเลยเลือกที่จะเก็บความอยากคุยเอาไว้ก่อน

“เปล่าอะไรกันครับ หน้าตาแสดงออกมาหมดว่าคิดอะไรอยู่?”

“เราคงแค่เหนื่อยนะ”

“โอเค” ต้นตะวันรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นแต่ในเมื่อวิทยายังไม่พร้อมเขาก็จะยังไม่บังคับให้พูด รอให้วิทยาพร้อมแล้วพูดออกมาเองจะดีกว่า 

"ผมว่าวิทควรกลับไปเอาเสื้อหนาวเพิ่มที่โรงแรมก่อนนั่งรถออกไปนะ"

"แต่นี่มันก็หนาแล้วนะเราว่าพอ"

"ตามใจครับ ถ้าหนาวผมปล่อยให้หนาวตายเลยนะ"

"ครับบบบ"

"นี่ตะ ตะวันเคยมาที่นี้มะ มาก่อนใช่ไหม?"
 
ตอนนี้เขาทั้งสองมาถึงสถานที่ที่จะมาดูเพนกวินกันแล้ว ทุกคนที่เข้ามาดูต้องนั่งรอที่ริมทะเล นั่งรอให้เพนกวินกลับเข้ามาฝั่งมาจากการหาปลา มันเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจของวิทยาและต้นตะวันอย่างมากเพราะเขาคิดเอาไว้ว่าตัวผู้ต้องเป็นฝ่ายออกไปผจญภัยหาปลาแต่กลายเป็นว่าตัวผู้จะรออยู่ที่ฝั่งคอยร้องเรียกตัวเมียให้กลับมาให้ถูกทาง แต่ปัญหาที่มากกว่าการที่จะได้รู้ว่าเพศไหนออกไปหาปลาแล้วก็คือยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว วิทยาจากที่คิดว่าทนได้ก็เริ่มห่อตัวแน่น จะให้เอ่ยปากบอกหนาวก็ไม่ได้ เพราะต้นตะวันเองก็เตือนเขามาแล้ว เขาเองที่ขี้เกียจจนได้เรื่อง
 
"เปล่า ไม่เคยครับ"

"และ แล้วทำไมรู้ว่าจะหนาว"

ต้นตะวันได้เพียงแต่ยิ้มตอบให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะแค่มองต้นตะวันก็รู้ว่าวิทยากำลังหนาวอย่างแน่นอนก็เตือนกันแล้ว ต้นตะวันเอื้อมไปหยิบมือของวิทยามาใส่ในกระเป๋าเสื้อของเสื้อหนาวของเขา

"หวังว่ามันจะอุ่นขึ้นมาได้บ้างนะครับ"

"โห มันน่ารักมากเลยเนอะ เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูปเนอะ อดเก็บความน่ารักไว้เลย" 
 
"ใช่ น่าเสียดายมากเลยครับ ว่าแต่ ไปหาอะไรอุ่นๆ ดื่มก่อนดีกว่าไหมปากซีดหมดแล้วครับ"
 
"ก็ดีเหมือนกัน"

"งั้นวิทนั่งรอตรงนี้แหละเดี๋ยวผมไปซื้อมาให้"

วิทยาได้แต่มองตามต้นตะวันไป เขายิ้มให้กับแผ่นหลังแผ่นนั้นเพราะไม่ว่าเขาจะรู้สึกไม่ดียังไงก็ตาม แต่สิ่งนึงที่ต้นตะวันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือความใส่ใจ ต้นตะวันจะเอาใจใส่ในตัวของวิทยาเสมอมา ไม่ว่าจะร้อนจะหนาว จะหิวจะง่วง ต้นตะวันจะถามไถ่และดูแลแบบที่วิทยาเองก็ไม่ต้องเอ่ยปากขอ และนั้นมันก็มากพอที่จะทำให้วิทยารู้สึกหายเคืองใจในเรื่องของเมื่อคืน
"ลุกไปอาบน้ำก่อนครับ อย่านอนเลยสิ"

"ไม่ไหวแล้วอะ" 

กว่าที่พวกเขาทั้งสองคนจะกลับสู่ตัวเมืองเมลเบริ์นอีกครั้งก็เป็นเวลาตีหนึ่งเข้าแล้ว กลับมาถึงที่ห้องต้นตะวันเข้าไปอาบน้ำก่อนตามที่วิทยาขอ พอออกมาจากห้องน้ำเขาก็เห็นว่าวิทยาหลับลงไปแล้ว ต้นตะวันพยายามที่จะปลุกให้วิทยาลุกไปล้างหน้าล้างตัวแต่วิทยาก็เอาแต่บอกว่าไม่ไหวๆ อย่างเดียว แต่จะให้นอนทั้งอย่างนี้วิทยาต้องไม่สบายตัวแน่นอน เพราะว่าวันนี้พวกเขาก็ออกไปตั้งแต่เช้า พอเห็นอย่างนี้ต้นตะวันเลยเดินเข้าไปในห้องน้ำชุบผ้ากับน้ำแล้วเดินกลับมาที่เตียง

"มาครับเช็ดตัวก่อน" 

ต้นตะวันถอดชุดของวิทยาออกเพื่อที่จะทำความสะอาดร่างกายของวิทยาให้ หลังจากเช็ดตัวเสร็จต้นตะวันก็เดินไปหยิบชุดใส่นอนของวิทยามาใส่ให้แล้วค่อยล้มตัวนอนไป่พร้อมกัน  แม้ว่าวิทยาจะง่วงนอนมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ตัวเลย เขารู้ว่าต้นตะวันเช็ดตัวให้เขา เขารู้ว่าต้นตะวันสวมใส่เสื้อผ้าให้เขา โดยที่ขั้นตอนทั้งหมดนั้นต้นตะวันไม่ได้แม้กระทั่งจะหาเศษหาเลยกับเขาเลยสักนิด คืนนี้เลยเป็นอีกคืนที่วิทยานอนหลับฝันดีเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นตอนที่ต้นตะวันล้มตัวนอนข้างๆ กับเขา เขาถึงได้หันไปกอดต้นตะวันเพื่อเป็นการขอบคุณ

เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งสองก็ทานอาหารเช้าของโรงแรม เพราะวิทยาเป็นคนที่ชอบอาหารเช้าโรงแรมเป็นพิเศษเพราะฉะนั้นสำหรับมื้อเช้า เขาทั้งสองเลยไม่เคยไปหาอาหารที่อื่นทานวันนี้เป็นเช้าวันสุดท้ายที่เมลเบริ์น พวกเขาทั้งสองได้แต่เดินรอบๆ เมืองเล่นไม่ได้ออกไปไหนไกล เพราะแม้ว่ารอบบินกลับของพวกเขาจะเป็นรอบเย็นแต่ว่าพวกเขาเองก็ต้องไปสนามบินตั้งแต่บ่าย แล้วจากตัวโรงแรมเข้าไปที่สนามบินก็ไม่ได้ใกล้เลย 

"งั้นคืนนี้วิทนอนค้างห้องผมก่อนก็แล้วกัน" 

"อื้ม ได้ให้เดินทางต่อเลยเราต้องนอนหลับบนรถไฟแบบเจ้าหน้าที่มาปลุกก็ไม่ตื่นอะ" 

"ซื้ออะไรขึ้นไปกินก่อนแล้วกัน"

"ครับ วิทเลือกเลย" แล้วมื้อเย็นของพวกเขาก็เป็นแมคโดนัลแบบง่ายๆ เพราะว่าวิทยาแทบจะไม่มีแรงที่จะเดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อที่ซื้ออาหารเย็นได้แต่เอาที่ว่าเดินผ่านแล้วเดินไปสั่งได้เลยง่ายเข้าว่า

"กินที่นี้เลย หรือกลับไปกินห้องผมดี"
 
"ที่ห้องดีกว่า อยากกินไปนอนแผ่ไปด้วย" 

"ขี้เกียจตัวเป็นขนหมดแล้วครับ"

พวกเขาทั้งสองคนมาถึงซิดนี่ย์ตอนค่ำๆ มันก็ยังไม่ได้ดึกมากจนกลับนิวคาสเซิลไม่ได้แต่ว่าความขี้เกียจของวิทยามีมากกว่า วิทยาเลยตกลงใจที่นอนค้างห้องของต้นตะวันก่อนสักหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับไป พวกเขาแวะซื้อของกินก่อนเข้าไปที่พัก กำลังเดินคุยวางแผนอยู่ว่าจะนอนดูหนังอะไรกันดีคืนนี้ แต่พอพวกเขาเดินมาถึงทางเข้าที่พักของต้นตะวัน วิทยาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ตรงข้างๆ ทางเข้า แล้วพอวิทยาเพ่งมองให้ดีเขาก็จำได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เขาหันไปมองทางต้นตะวัน แต่ต้นตะวันเอาแต่ก้มมองหาคีย์การ์ดเพื่อที่จะเข้าที่พักเลยยยังไม่ทันได้เห็นผู้ชายคนนี้

"ตะวัน เราว่าคนนั้นเพื่อนตะวัน"

"หื้ม? คนไหน" วิทยาเลยชี้ไปที่ทางเข้าประตูให้ต้นตะวันดู

"ถังปะ? มานั่งไรตรงนี้ว๊ะ?"

"มารอพี่นั้นแหละ"

"เฮ้ย มารอนานยังทำไมไม่โทรมาหา?"

"โทรแล้วเหอะ พี่ปิดเครื่องหมดเลย แต่พอดีผมเข้าเฟส ผมเห็นพี่เช็คอินสนามบินเลยรอก่อน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพี่ก็กลับมา"

"เออ ... "

"งั้นเดี๋ยวเราขึ้นไปที่ห้องก่อนดีกว่า เอากระเป๋ามาสิเดี๋ยวเราไปเก็บให้"

ตั้งแต่มายืนอยู่ตรงนั้นต้นตะวันก็ไม่ได้แนะนำเขากับคนนั้นที่ชื่อว่าถังและเหมือนถังเองก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะยืนอยู่ด้วยวิทยาก็เลยไม่รู้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นทำไม เลยขอตัวขึ้นข้างบนดีกว่า

"โอเค งั้นผมฝากด้วยนะเดี๋ยวผมขึ้นไป"

วิทยาแปลกใจนิดหน่อย เพราะตอนแรกที่เขาเห็นหน้าที่ชื่อถังนั้น ครั้งนั้นเขาไม่ได้คิดว่าถังจะเป็นคนไทยเพราะดูเผินๆ เหมือนเป็นคนจีนซะมากกว่า ถังเป็นคนผิวขาวและขาวมาก ยิ่งเมื่อตอนก่อนขึ้นมาเขาได้เห็นหน้าแบบใกล้ๆ เขาแทบจะไม่คิดเลยว่าคนนี้เป็นคนไทย ขึ้นห้องวิทยามองแมคโดดัลในมือหิวอยากกินเลย แต่ก็อยากรอกินพร้อมกับต้นตะวันเช่นกัน วิทยาเลยตัดสินใจไปอาบน้ำก่อน เผื่อว่าพออาบน้ำเสร็จต้นตะวันขึ้นมาจะได้กินพอดี 

"เฮ้อ"

แต่นี่เวลาก็ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมงได้แล้วที่วิทยาขึ้นมาที่ห้องพักก่อน วิทยาทำทุกอย่างจนไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว ทั้งอาบน้ำ ทั้งแยกเสื้อผ้าของต้นตะวันมาซัก ทั้งตากผ้า ทั้งแอบกินเฟร์นฟรายบางส่วนไปก่อน แต่จนแล้วจนรอดต้นตะวันก็ยังไม่ขึ้นมา 

"ตื่นครับ" วิทยามารู้ตัวอีกทีก็คือได้รับแรงสะกิดที่หัวไหล่ พอเขาเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เห็นหน้าของต้นตะวันอยู่ใกล้ๆ พอดี

"กี่โมงแล้ว?" 

"จะห้าทุ่มได้แล้วครับ ไปวิท ง่วงแล้วไปนอนดีๆ ก่อนครับ ไปนอนที่เตียงนะ"

"อื้มๆ" 

ตอนที่วิทยาล้มนอนที่เตียงเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าเขาเริ่มง่วงมากแล้ว แม้จะได้ยินเสียงพึมพำๆ ว่า "นอนดีๆ" "อย่าไปฝั่งนั้น" อะไรแบบนี้ก็ตาม เขาคิดเอาเองว่าต้นตะวันคงกำลังบอกกับเขาให้เขานอนดีๆ แต่ก็แปลกนิดหน่อยที่วันนี้เขาไม่รู้สึกถึงอ้อมกอดของต้นตะวัน ความอุ่นที่เขาได้มันก็มาจากแค่ผ้าห่มเท่านั้นเอง 

เช้าแล้ววิทยาเริ่มตาปริบๆ วันนี้เขาตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะว่าเมื่อคืน เขาไม่ได้กินอะไรก่อนนอนเลยเมื่อคืนเขาแค่นั่งเล็มเฟร์นฟรายไปไม่กี่ชิ้นแล้วก็ฟุบหลับไปที่ขอบฝูก มันก็เลยเป็นสาเหตุให้เขาตื่นเช้ามากกว่าเดิม เพราะว่ากะเพาะเขาเริ่มเรียกร้องว่าอยากกินอะไรบ้าง พอสายตาของวิทยาเริ่มปรับเข้ากับแสงได้แล้ว เขาก็เลยพลิกตัวไปด้านข้าง ทำอย่างที่เขาทำประจำ คือถ้าตื่นก่อนเขาจะหันไปมองหน้าของต้นตะวันตอนที่ยังไม่ตื่น

"หื้ม?"

แต่เช้าวันนี้ไม่เหมือนกับเช้าวันอื่นๆ เช้าวันนี้พอเขาหันกลับไปด้านข้าง เขากลับเห็นกลุ่มเส้นผมที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มเป็นเส้นผมสีน้ำตาล ซึ่งนั้นไม่ใช่สีผมของต้นตะวัน วิทยาพอเห็นได้ดังนั้นเขาก็มั่นใจว่าคนที่นอนข้างๆ เขาในตอนนี้ไม่ใช่ต้นตะวันอย่างแน่นอน วิทยาเลยลุกขึ้นนั่งบนฝูกแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วเขาก็เห็นคนที่เขามองหา และ รอมาทั้งคืน 
ต้นตะวันปูผ้านอนกับพื้นโดยที่บนตัวใส่แค่เสื้อหนาวเอาไว้ไม่มีผ้าห่มใดๆ แต่นั้นมันไม่ได้ทำให้วิทยาใจหายเท่ากับต้นตะวันเลือกปูผ้านอนตรงที่ฝั่งฝูกด้านของคนที่คนที่มีผมสีน้ำตาลนอนอยู่ วิทยาย้อนคิดไปถึงเสียงที่เขาได้ยินเมื่อคืน แล้วเขาก็คิดออกว่าเสียงที่เขาได้ยินมันเป็นเสียงที่ต้นตะวันพูดกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา

"ตะวันๆ" วิทยาเดินลงมาจากที่นอน เพื่อที่จะมาปลุกต้นตะวันให้ขึ้นไปนอนที่เตียงดีๆ เพราะดูจากสภาพแล้วต้นตะวันเองก็คงไม่ได้สบายเท่าไหร่ที่ต้องเอาผ้ามาปูนอนแบบนี้

"ตื่นแล้วรึครับ"

"อื้ม ตื่นแล้ว ตะวันขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ ไป"
 
"อื้ม"
 
ต้นตะวันพยักหน้ารับแล้วก็ย้ายตัวเองขึ้นไปนอนที่บนเตียง วิทยาพอเห็นว่าต้นตะวันได้นอนที่ดีๆ แล้วเขาก็เดินไปจัดการล้างหน้าล้างตาตัวเองในห้องน้ำ ออกมามองถึงแมคโดนัลที่ยังตั้งอยู่ จะอุ่นเวฟกินเบอร์เกอร์ก็คงจะไม่อร่อยแล้วละ เขาก็เลยตัดสินใจทิ้งถุงนั้นลงไปถังขยะไป 

เพราะว่าสองคนนั้นยังไม่ตื่นและวิทยาก็ไม่อยากจะปลุก แม้ว่าจะหิวแต่เขาก็อยากกินข้าวเช้ากับต้นตะวันก่อนเขาก็เลยเอาไอแพดของต้นตะวันมาเปิดรายการดูแต่ก็เสียบหูฟังเพื่อที่จะป้องกันเอาไว้ไม่ให้เสียงดังเพราะอีกสองคนยังไม่ตื่น แล้วก็เดินไปนั่งที่ข้างๆ ตู้เสื้อผ้า แต่ในขณะที่เขากำลังนั่งดูรายการอยู่นั้น เขาก็เห็นเงาของคนกำลังใกล้เขาเข้ามา วิทยาเลยเงยหน้าขึ้น
"สวัสดีครับ"

"ครับ" 

"ผมถัง"

"ผมวิท"

วิทยามองตามถังที่ดูจะหยิบจับของในห้องนี้อย่างคล่องแคล่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของต้นตะวันที่สามารถหยิบขึ้นมาเลือกใส่ได้เลย ผ้าเช็ดตัวที่เลือกของต้นตะวันไปใช้ ทั้งๆ ที่ตากเอาไว้สองผืนแต่ถังกลับรู้ว่าผืนไหนเป็นของต้นตะวันโดยที่ไม่ต้องหันมาถามเขา   

"มาบ่อยเหรอครับ?" วิทยาพยายามที่จะห้ามใจตัวเองไม่ให้ถามแล้ว แต่ว่ามันหยุดไม่ได้ก่อนที่ถังจะเดินเข้าห้องน้ำไปวิทยาก็เลยเอ่ยปากถามออกมา

"ก็.."

"ตื่นกันหมดแล้วเหรอ?" 

"แล้วพี่คนว่าผมนอนละเมอเดินมาไง?"

"กวนตีน"

พอจบบทสนทนาถังก็เดินยักไหล่เข้าห้องน้ำไปส่วนต้นตะวันก็หันมามองที่วิทยา วิทยาแอบขัดใจนิดหน่อยที่ยังไม่ทันได้รู้คำตอบเลย 

"ทำไมไปนั่งตรงนั้นละครับ?"

"ก็ ไม่รู้จะนั่งตรงไหน เห็นยังไม่ตื่นกัน"

"ตื่นนานยัง?"

"สักพักแล้ว" 

"ทำไรอยู่? ไหนดูหน่อย"

"ดูอะไรไปเรื่อยนะ" 

ต้นตะวันเดินเข้ามาหาวิทยาที่ตรงตู้เสื้อผ้า แล้วก็นั่งลงข้างๆ เอาคางเกยไปที่ไหล่ของวิทยาแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูที่หน้าจอไอแพดด้วย ต้นตะวันเอาหัวของเขาดุนเล่นกับหัวไหล่ของวิทยาพร้อมทั้งยังจูบที่หัวไหล่ของวิทยาไปด้วย และแม้ว่าไหล่ของวิทยาจะมีผ้ากั้นเอาไว้แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ต้นตะวันเลิกสนใจหัวไล่ของวิทยาลงเลย

"เราหิวอะ ไปหาอะไรกินกันไหม?"
 
"งั้นเดี๋ยวรอถังออกมาแล้วไปหาอะไรกินกัน"

"อื้ม" 

สักพักถังก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ต้นตะวันพละตัวออกจากวิทยาแล้วก็บอกว่าเป็นคิวของเขาที่จะต้องไปล้างหน้าล้างตาบ้าง ตอนที่ต้นตะวันเข้าไปในห้องน้ำ วิทยาแอบเหลือบมองถังเป็นระยะๆ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกตะหงิดๆ กับคนนี้ เขาเองก็ตอบไม่ได้แต่เขาก็แค่รู้สึกอึดอัด อย่างเช่นตอนนี้ที่ไม่มีต้นตะวันนั่งอยู่ด้วย ในห้องก็กลายเป็นแค่ความเงียบเท่านั้น และในขณะที่วิทยาพยายามตัดเรื่องนี้ออกจากสมองแล้วก็จะกลับไปสนใจรายการที่เขากำลังดูอยู่ ถังกลับเป็นคนที่ทำลายความเงียบขึ้น

"อื้ม ผมมาบ่อย"

"ครับ?"

"ก็ประกี้คุณถาม ผมเสียมารยาทไม่ได้ตอบ ผมก็เลยจะบอกว่า ผมมาบ่อยครับ"

"อ่อ ครับ"

"พี่ตะวันเป็นรุ่นพี่ผมที่โรงเรียนเก่านะครับ เรารู้จักกันมานานมาก"

"อ่อ ครับ"

"แล้วคุณ"

"เอ่อ ผมก็เพิ่งมารู้จักกันตะวันที่นี่แหละครับ"

"อ่อ มิน่าไม่คุ้นหน้าเลย" 

พอต้นตะวันออกมาจากห้องน้ำ ก็เป็นถังที่เลือกร้านสำหรับอาหารเช้าซึ่งตอนนี้เป็นเรียกว่าเป็นมื้อเช้าและมื้อบ่ายในคราเดียวกันเลย ตลอดมื้ออาหาร อาจจะเป็นว่าสองคนนั้นทั้งถังและต้นตะวันรู้จักกันมาก่อน ทำให้เรื่องสนทนาเป็นเรื่องที่วิทยาไม่เคยรู้ เช่น เรื่องที่มหาลัยเก่าโรงเรียนเก่า หรือเรื่องเพื่อนๆ รุ่นพี่เก่าๆ จนบางทีวิทยาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม เพราะตั้งแต่เข้าร้านมาเขายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ   

ทั้งๆ ที่จริงแล้วเขามีเรื่องอยากถามต้นตะวันตั้งหลายอย่าง ไหนจะเรื่องเมื่อคืนที่หายไปไหนมา และ ถัง คนนี้คือใคร ทำไมทีเขาต้นตะวันยังไม่เคยคุยอย่างออกรสชาติด้วยตอนที่นั่งกินอาหารที่อยู่นอกบ้าน แต่ทำไมทีกับถังต้นตะวันสามารถที่จะหัวเราะ สามารถคุยได้แม้กระทั่งคนเดินเอาอาหารมาเสริ์ฟก็ตาม  สนิทกันมากแค่ไหน แล้วทำไมเขาถึงไม่เคยรู้เลยว่าต้นตะวันมีเพื่อนคนนี้มาเพิ่มอีกคน เพราะตลอดที่เขารู้คือแจ๊ค

"เราขอกุญแจ ขึ้นไปเอาของได้ไหม เราจะกลับแล้วละ" 

เพราะว่าต่อให้นั่งไปวิทยาก็ไม่เห็นเหตุผลที่เขาจะนั่งต่ออยู่ตรงนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้เรื่องสักอย่าง เขาเลยคิดว่าเขาจะกลับ แต่ปัญหาคือ เขาไม่ยังเอากระเป๋าไว้ที่ห้องของต้นตะวันเพราะฉะนั้นเขาจึงต้องขึ้นไปเอาก่อน

"เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละ ปะ ผมจะได้เดินไปส่งด้วย"

"ไม่เป็นไร เราเกรงใจ คุยกันไปเถอะ เดี๋ยวเราไปเอาของแล้วเดี๋ยวเราเอากุญแจมาคืน ห้องตะวันใกล้แค่นี้เอง"

"โอเคครับ"

"..." 

แม้ว่านั้นจะคือคำขอของเขาเองแต่วิทยาก็แอบรู้สึกสะอึกเล็กน้อยที่ต้นตะวันยอมปล่อยให้เขาเดินกลับมาเอาของคนเดียวจริงๆ วิทยาเดินขึ้นไปเก็บกระเป๋า แล้วก็เดินเอากุญแจและการ์ดมาคืนให้กับต้นตะวัน ตอนที่วิทยาขอตัวกลับ ต้นตะวันเดินมาส่งวิทยาที่สถานีรถไฟ และบอกให้ถังไปรอที่ห้องก่อนก็ได้ถ้าขี้เกียจเดิน

"เป็นอะไรรึเปล่าครับ?"

"เปล่า ไม่มีอะไร"

"อีกแล้วนะ ผมเห็นวิทเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่เมลเบริ์นแล้ว มีอะไรบอกผมก็ได้นะ"

"เมื่อวาน ตะวันไปไหนมาเหรอ?"

"อ่อ พอดีถังมีเรื่องนิดหน่อยผมเลยไปช่วยดูๆ ให้"

"เรื่องอะไรเหรอ?"

"มันเป็นเรื่องของถังนะวิท ผมขอไม่บอกนะ"

"อื้ม โอเค" 

"งั้นเราไปแล้วนะ ขอบคุณที่เดินมาส่ง" 

"โอเคครับ เดินทางกลับดีๆ นะ เดี๋ยวผมโทรหา"

"อื้ม" 

ทั้งๆ ที่ก็เหมือนกับเมื่อก่อนที่พอต้นตะวันเดินมาส่งต้นตะวันก็ต้องเดินหันหลังกลับไป แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมวิทยากลับไม่รู้สึกให้ต้นตะวันกลับไเลย เขายังอยากให้ต้นตะวันอยู่ตรงนี้ไม่หันหลังให้เขา บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเดินทางเหนื่อย หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะอากาศของวันนี้มันหนาวกว่าทุกวัน มันเลยทำให้เขารู้สึกหนาวเข้าไปถึงข้างใน

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ imvodka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 9 30/08/16
«ตอบ #23 เมื่อ31-08-2016 00:05:35 »

เริ่มเรื่องยังงงๆ แต่เนื้อเรื่องสนุกมาก
ไม่ได้อ่านนี่พลาดเลย

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 9 30/08/16
«ตอบ #24 เมื่อ31-08-2016 21:00:36 »

อารมณ์มันมัวๆ เห็นทางที่ทั้งคู่จะเดินต่อกันไปไม่ชัดเจนเลย

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 9 30/08/16
«ตอบ #25 เมื่อ01-09-2016 14:31:41 »

บทที่ 10

วิทยากลับมาถึงนิวคาสเซิลโดยที่ยังไม่ได้เย็นมาก วิทยาเลยมีเวลาเคลียร์กระเป๋าเดินทางของตัวเองเขาเอาเสื้อผ้าออกมาซักตากให้เรียบร้อย เสร็จก็หาอะไรทานเพราะเมื่อเช้าเขาก็แค่มีกาแฟกับขนมปัง 1 แผ่นรองท้องมาเท่านั้น หลังจากที่วิทยาทำอะไรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเขาก็มานั่งพักพอคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้ดูรูปที่ถ่ายเอาไว้สักรูปเลย เขาก็เลยเอากล้องออกมาถอดเอาเมมเมอร์รี่อออกแล้วก็ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะดูรูปภาพต่างๆ ที่เขาถ่ายที่เมลเบิร์น 

วิทยานั่งเลือกรูปคัดรูปอยู่นานเพราะมากเพราะเขาตั้งใจว่าจะมีบางภาพที่เขาจะล้างเก็บเอาไว้ด้วย วิทยาเลือกรูปเบลอๆ ทิ้ง แยกรูปคู่รูปเดี่ยวของทั้งเขาและของต้นตะวันออกจากกัน เพราะว่าเพื่อต้นตะวันอยากมีรูปของตัวเองบ้างเขาจะได้ส่งไปให้ได้ มารู้ตัวอีกทีว่าเขาควรต้องพักสายตาลุกไปทำอย่างอื่นบ้างก็ตอนที่เขารู้สึกแสบตามากๆ นั้นเอง

“โห นี่ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วเหรอเนี่ย ไม่รู้ตัวเลย” วิทยาลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจก็เลยได้มีโอกาสเหลือบตาไปมองที่ด้านล่างของคอมแล้วก็รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงหน้าคอมนี้มากกว่าสี่ชั่วโมงแล้ว

“เฮ้ย ตะวัน” 

เพราะก่อนแยกกับต้นตะวันที่สถานี ต้นตะวันบอกกับวิทยาเอาไว้ว่าจะโทรหา นี่เวลาผ่านไปนานมากขนาดนี้แล้ว เขากลัวว่าต้นตะวันจะโทรมาหาเขาหลายสายแล้ววิทยาเลยรีบเดินไปดูมือถือที่เขาวางทิ้งเอาไว้ แต่แล้วพอวิทยาหยิบมือถือขึ้นมาดูเขาก็แอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ เพราะเขาไม่เห็นสัก Miss call หรือ สักข้อความจากต้นตะวัน เมื่อดูแล้วเห็นว่าโทรศัพท์ไม่มีอะไร วิทยาเลยไปอาบน้ำเพื่อให้หัวโล่งขึ้นและเตรียมตัวที่จะเข้านอน ตอนอาบน้ำเสร็จก็เหมือนว่าสมองของวิทยาจะโปร่งขึ้นจริงๆ วิทยาเลยสามารถโยนความน้อยใจทิ้งไปและคิดว่าต้นตะวันคงกำลังจะไม่สะดวกที่จะคุยมากกว่าก็เลยไม่ได้โทรมา เพราะปกติ ต้นตะวันไม่เคยที่จะไม่โทรหาเขา

"ฝันดีนะ" อาจจะเป็นเพราะมันเป็นความเคยชินของวิทยาที่ช่วงๆ หลังๆ มานี้เขาต้องบอกฝันดีกับต้นตะวันทุกวัน เขาเลยอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไปบอก ถึงไม่ได้คุยกันได้บอกทางข้อความก็ยังดี

ตรื้ดดดดด แต่หลังจากที่วิทยาสิ่งเมสเสจออกไปเสียงมือถือของเขาก็ดังสวนขึ้นมาทันที พอเห็นชื่อที่หน้าจอปรากฎขึ้นนั้นก็ทำให้วิทยายิ้มออกได้

"ฮัลโหลตะวัน"

"ฮัลโหลวิท จะนอนแล้วเหรอครับ?"

"อื้ม จะนอนแล้ว ตะวันละ?"

"ยังเลยแต่คิดว่าอีกแป้ปก็น่าจะได้นอนแล้ว" // "พี่ ให้เอาข้าวออกจากล่องเลยไหม?" // "เออๆ เอาออกมาเลย"

"ตะวัน"

"ครับๆ"

"อยู่ไหน?"

"อยู่ที่ห้องครับ" 

วิทยาเงียบไปอึดใจ อยู่ที่ห้องแล้วที่เขาได้ยินเสียงของถังเข้ามาในโทรศัพท์ด้วยแบบนี้ก็แสดงว่าถังเองก็ต้องยังอยู่ที่ห้องกับต้นตะวันด้วย วิทยารู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอะไรเขารู้ตัวดีว่าเขากำลังจะรู้สึกไม่สบายใจเรื่องของคนชื่อถัง แต่เขาก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ ทั้งๆ ที่ถังก็ไม่ได้ทำอะไรเขาสักนิด เขาเลยกำลังคิดทบทวน ว่าเขาสมควรที่จะถามต้นตะวันดีไหม? แต่จะให้เขาถามว่าอะไร ถามว่าสนิทกันเหรอ? อย่าลืมว่าสองคนนั้นก็รู้จักกันมานานก็ไม่แปลกถ้าสองคนนั้นจะสนิทกันและอยู่ด้วยกันแบบนี้
 
"ฮัลโหล วิท ยังอยู่รึเปล่า"

"อื้ม แล้ววันนี้ตะวันไปทำอะไรมาบ้าง"

"อ่อ วันนี้ผม...." 

ต้นตะวันเล่าเรื่องที่ไปทำหลังจากที่วิทยาขึ้นรถไฟกลับมานิวคาสเซิลแล้ว แม้ว่าในขั้นตอนการเล่านั้นเสียงที่วิทยาได้ยินจะไม่ใช่เสียงของต้นตะวันคนเดียวก็ตามแต่เขาก็รู้สึกดีมากขึ้นกว่าตอนแรกที่เขารับโทรศัพท์จากต้นตะวันมาก และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว 

"งั้น ต้นตะวันวางเถอะ เสียงถังเรียกไม่หยุดแล้ว"

"โอเคครับ งั้นผมวางก่อนนะ แล้วเดี๋ยวคุยกันใหม่"

"ครับ"

"ฝันดีนะครับวิท"

"ผันดีตะวัน"

ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาหลายครั้งที่เวลาวิทยาโทรคุยกับต้นตะวันวิทยาจะต้องได้ยินเสียงของถังประกอบอยู่ในบทสนทนาของเขาเสมอ จากที่คิดมากคอยกังวลพอเจอบ่อยๆ วิทยาก็รู้สึกเริ่มชิน อีกอย่างหลังจากวันนั้นที่ต้นตะวันไม่โทรหาเขาตามที่บอกกับเขาเอาไว้ ต้นตะวันก็ไม่เคยผิดสัญญาอีกเลยวิทยาก็เลยไม่ได้คิดมากเรื่องนี้อีก แม้ว่าบางทีบางการกระทำจะมีติดอยู่ในใจเขาเองอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นอารมณ์ เพราะสำหรับวิทยาแล้วตราบใดที่ต้นตะวันยังสามารถตอบคำถามของเขาได้ เช่น ไปไหน ทำอะไรบ้าง เขาก็รู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะสำหรับวิทยาคำถามที่มีคำตอบมันไม่น่ากลัว เท่ากับคำถามที่ไม่มีคำตอบ
 
"อาทิตย์หน้าเราจะรู้ผลครบทุกตัวแล้วนะ"

"อื้ม ผมก็จะรู้หลังอาทิตย์ถัดไปนั้นแหละ น่าจะใกล้ๆ กัน" 

หลังจากที่กลับมาจากเมลเบิร์นวิทยายังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปที่ซิดนี่ย์อีกเลย วิทยาเองอยากทำงานเก็บตังค์ให้ได้มากที่สุดที่สำคัญเขาก็อยากเก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับสูตรไอติมให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ต้องขอบคุณเจ้าของร้านที่เขาทำงานอยู่ที่พอรู้ว่าวิทยาตั้งใจจะกลับไปเปิดร้านก็เลยเปิดโอกาสให้กับเขาเต็มที่

วิทยาเคยถามว่าทำไมถึงไม่ห่วงวิชาหรือสูตรกับเขา เจ้าของร้านก็ตอบเขากลับมาว่า "คุณไม่ได้จะมาเปิดร้านข้างๆ ผมสักหน่อย" แต่เจ้าของร้านก็มีแลกเปลี่ยนสำหรับวิทยาว่า "แต่ว่าถ้าลูกค้าของคุณที่เมืองไทยชมว่าสูตรของผมอร่อย คุณต้องบอกนะว่าใครเป็นคนสอนแล้วให้เขามาชิมต้นตำหรับที่นี้ด้วยก็ดี" ด้วยข้อแลกเปลี่ยนนี้วิทยาก็ไม่คิดที่จะปฎิเสธอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่แรกความตั้งใจของเขาก็คือบอกว่าเขาได้สูตรมาจากใคร
โชคดีที่ต้นตะวันเข้าใจว่าวิทยาต้องการอะไร เพราะฉะนั้นตอนที่ต้นตะวันชวนวิทยาไปเที่ยวตามนอกเมืองด้วยกันแล้ววิทยาปฎิเสธพร้อมบอกเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถไปด้วยได้ ต้นตะวันก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรแค่เพียงแค่ว่า "เสียดายจังครับ"

วิทยาโทรหาต้นตะวันตอนที่เขากำลังเดินกลับมาจากร้านเขาเล่าเกี่ยวกับความรู้ใหม่ที่วันนี้เขาได้รับมา

"เหนื่อยไหมครับ?"

"ก็เหนื่อยนะตะวัน แต่ว่าเราชอบมันมีเวลาอีกไม่นานเอง พอวีซ่าหมดเราก็จะไม่ได้อยู่ต่อแล้ว ต้องเก็บเกี่ยวช่วงนี้ให้ได้"

"วิทครับ"

"หื้ม?"

"พูดถึงเรื่องกลับไทย วิทคิดว่าจะกลับไทยประมาณวันไหนครับ? มีกำหนดแล้วรึยัง?"

"น่าจะเดือนหน้า เราซื้อตั๋วมาแบบเปิดตั๋วขากลับเอาไว้ยังไม่ได้ระบุวันเลย"

"กลับด้วยกันไหมครับ?"

"กลับบ้านพร้อมกันเนอะครับวิท?"

"อื้ม กลับบ้านพร้อมกัน"
 
โชคดีที่พอทั้งสองฟังผลสอบเทอมสุดท้ายแล้วทั้งสองผ่านหมดทุกตัวตามกำหนดเลยไม่จำเป็นต้องต่อวีซ่าอีกรอบเพราะไม่อย่างนั้นต้องเตรียมเอกสารกันให้วุ่นแถมแผนที่วางเอาไว้ว่าจะกลับบ้านพร้อมกันอาจจะไม่ตามแผนนั้น พอรู้ว่าผลสอบของทั้งสองคนไม่มีปัญหา เขาทั้งสองก็เลยอยากนัดกันเพื่อกินเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย

"ให้ผมไปหาวิทที่นิวคาสเซิลดีกว่า เพราะว่าไม่อย่างนั้นวิทก็ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อกลับไปทำงานในวันต่อไป ผมไปง่ายกว่าสบายวิทด้วย"

"เอางั้นเหรอ?"

"เอาแบบนี้แหละครับ" 

คืนก่อนที่ต้นตะวันจะมาหาวิทยาก็จัดเตรียมห้องให้เรียบร้อยเปลี่ยนผ้าปูเปลี่ยนปลอกหมอน ไม่บ่อยหนักที่ต้นตะวันจะเป็นคนมาหาเขาส่วนมากจะเป็นเขาที่เข้าไปหาต้นตะวันวิทยาเลยแอบตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นเขาเลยแอบเซอร์ไพล์ต้นตะวันโดยการที่ขอลางานล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เพราะเขากะว่าจะพาตะวันไปเที่ยวที่ hunter valley เพราะคราวที่แล้วที่ต้นตะวันมาเที่ยวเขาก็ไม่ได้มีโอกาศพาไป วิทยาไปรับต้นตะวันที่สถานีรถไฟเหมือนครั้งที่แล้ว วันนี้ต้นตะวันขอให้วิทยาพาเขาไปที่ที่นึง

"ยังไงวันนี้วิทพาผมไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยของวิทได้ไหมครับ?"

"เฮ้ย มันก็เหมือนๆ กันและทำไมอยากไปละ?"

"ก็ผมอยากรู้ ว่าวิทเรียนในสถานที่แบบไหน"
 
ปกติต้นตะวันไม่ค่อยจะพูดอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะแต่พอวิทยาได้ยินคำพูดของต้นตะวันในตอนนี้ที่เขากำลังเดินออกมาจากสถานีรถไฟ มันสามารถทำให้วิทยาตัวลอยไปได้ทั้งวัน เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าต้นตะวันจะใส่ใจในเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับตัวของเขาด้วยเช่นกัน

หลังจากที่ทั้งคู่เดินชมมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ววิทยาก็พาต้นตะวันไปร้านที่เขาจองเอาไว้เพื่อเป็นฉลองการเรียนจบอย่างเป็นทางการ วิทยาเลือกร้านอาหารที่อยู่ในกลางเมืองของนิวคาสเซิลตั้งอยู่ในถนน Darby ซึ่งเป็นถนนที่รวบรวมร้านอาหารเอาไว้มากมายหลายร้าน 

"ร้านสวยมากเลยครับ"

"ใช่มะ? เราเลือกอยู่นานมาก แต่ร้านนี้บรรยากาศดีแม้ว่าตอนอ่านเมนูต้องใช้แสงไฟจากเทียนอะนะ แหะๆ" 

วันนี้พวกเขาทั้งสองเลือกทางอาหารฝรั่งแทนอาหารทางด้านเอเชีย ตอนดูเมนูยังเป็นช่วงเริ่มหัวค่ำ ร้านยังคนไม่เยอะเท่าไหร่ วิทยากับต้นตะวันก็เลยคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิมที่ว่าพอมีคนมาเสริ์ฟน้ำ หรือ อาหารว่าง ต้นตะวันก็จะหยุดคุยไปเฉยๆ ยิ่งพอคนเริ่มเข้ามาที่ร้านมากขึ้นเท่าไหร่ ต้นตะวันก็เงียบขึ้นมากเท่านั้น วิทยาได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ว่าทำไม เครื่องดื่มปิดท้ายวิทยาเลือกไวน์มาดื่มกันคนละแก้วกับต้นตะวัน เพราะเห็นว่าจากนี้กลับไปที่พักของเขามันไม่ไกลมาก

"ขากลับเราเดินกลับกันเนอะ ย่อยอาหารด้วย" 

วิทยาชวนต้นตะวันเดินกลับที่พัก ต้นตะวันก็พยักหน้าตกลง เพราะคิดว่าก็น่าจะดีที่ได้ย่อยบ้าง ถนนยามกลางคืนไฟจากถนนสวยนวลๆ ทำให้บรรยากาศดูไม่วังเวงจนเกินไปถนนดูเดินตอนกลางคืนไม่น่ากลัว อากาศก็ไม่ร้อนหรือไม่หนาวจนเกินไปเหมาะแก่การเดินย่อยไปเรื่อยๆ และอาจจะด้วยเป็นเพราะว่าอากาศเป็นใจ วิทยาจึงเผลอตัวเอื้อมมือไปจับมือของต้นตะวันเอาไว้ แต่แล้ววิทยาก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภาพหวานที่สร้างขึ้นมาเพราะทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับมือของต้นตะวัน ต้นตะวันก็สะบัดมือเขาออกทันที นี่เป็นเหตุการ์ณครั้งที่สามได้แล้วที่วิทยาเจอแบบนี้ ที่เมลเบริ์นเขายังไม่แน่ใจแต่มาตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว ว่าต้นตะวันตั้งใจจะสะบัดเขาออกจริงๆ

"เอ่อ คือ" 

หลังจากที่ต้นตะวันสะบัดมือของวิทยาออกตัวเขาเองก็ตกใจแต่เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองเอาไว้ได้ ปฎิกริยาร่างกายของเขามันไปก่อนที่สมองของเขาจะสั่งงานเสียอีก ก่อนที่ต้นตะวันจะหันหน้ากลับไปมองที่ใบหน้าของวิทยาเขาคิดเอาไว้ว่า เขาต้องเจอกับความโกรธความไม่พอใจอยู่แน่นอน เพราะประสบการ์ณที่ผ่านๆ มาของเขาแฟนเก่าๆ ของเขาทุกคนก็มักจะโกรธเขาเสมอ แต่พอเขาหันหน้ากลับไปมอง เขากลับเจอความสงสัยมากกว่าความโกรธสีหน้าและดวงตาของวิทยาบอกอย่างเด่นชัดว่ากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมว่าเรารีบเดินกันเถอะครับมันดึกแล้ว"

"อื้ม" ใช่และวิทยาก็กำลังสงสัยอย่างที่ต้นตะวันคิดเอาไว้จริงๆ และเขาก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาต้องคุยกับต้นตะวันให้รู้เรื่อง

“มาๆ มาดูหนังกัน”

พอกลับมาถึงที่พักและต่างคนต่างจัดการตัวเองเรียบร้อยทั้งสองก็มีความเห็นว่าจะดูหนังกัน ตลอดเวลาที่เดินจนมาถึงที่พักและจนอาบน้ำเสร็จวิทยาก็คิดมาตลอดเวลาเขาควรถามช่วงเวลาไหนดี แต่พอเห็นว่าต้นตะวันพยายามจะหาอะไรทำเช่น ดูหนัง ดูละคร วิทยาเลยคิดว่าเขาควรรอให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปก่อนแล้วเดี๋ยวตอนนอนค่อยคุยกัน
 
พอได้เริ่มดูหนังต้นตะวันก็เริ่มสังเกตุเหมือนวิทยาจะเริ่มอารมณ์ดีขึ้น มีอารมณ์สนุกไปกับหนังพอหนังเริ่มผ่านไปได้ครึ่งเรื่อง ต้นตะวันก็เริ่มไม่อยู่เฉยอาจจะเป็นเพราะไวน์แก้วนั้นมันเลยทำให้การห้ามใจของต้นตะวันน้อยลง มือของเขาเริ่มมานัวเนียอยู่ที่หน้าขาของวิทยา พอต้นตะวันเห็นว่าวิทยาไม่ได้หลบหนีต้นตะวันก็เลยได้ใจเริ่มพรมจูบไปตามหัวไหล่ ซอกคอ ดมกลิ่ินกายของวิทยาเอาไว้ แล้วก็เลยขึ้นไปที่หลังหู ต้นตะวันทำซ้ำๆ ย้ำๆ และพอเห็นว่าวิทยาไม่พูดเพื่อห้ามเขาเลย เขายิ่งได้ใจโน้มหน้าเข้าไปจูบวิทยา
 
วิทยายอมรับว่าเขาเองก็เคลิ้มไปกับจูบของต้นตะวัน แต่สำหรับเขามันค่อนข้างน่าน้อยใจที่ต้นตะวันทำกับเขาแบบนี้ มันเหมือนว่าต้นตะวันเขาเห็นผมเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์ พอเข้ามาในที่ลับตาคนก็ดึงเขามาจูบมาหอมแต่พออยู่ที่ไม่ลับตาคนก็ผลักเขาออกไปไกล วิทยาไม่เข้าใจว่าตัวของเขาเองมันดูไม่ดีเวลาเดินด้วยแล้วมันน่าอายขนาดนั้นเลยรึยังไงกัน?
 
“วิท”

“.............”

“วิท ลืมตาครับ วิทคุยกันก่อนวิท ร้องไห้ทำไมครับ?”

“ตะวันหยุดทำไมละ?  เราก็ไม่ขัดขืนแล้วไง ตะวันทำต่อสิ”

“วิท”

“สงสัยตะวันคงไม่อยากทำแล้ว งั้นเราขอลุกขึ้นนะ”

เพราะตะวันเองก็ไม่รู้จะสู้หรือไปบังคับให้ต้นตะวันหยุดทำไม เพราะเขาเองลึกๆ ก็อยากมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับต้นตะวันอยู่แล้วแต่เขาแค่ยังไม่พร้อมและเขาผิดเหรอที่เขาแค่อยากได้ยินว่ารักกันหรือชอบกันก่อนที่จะความสัมพันธ์มันจะเดินหน้าต่อไปก็เท่านั้น 

พอเห็นว่าตอนนี้ต้นตะวันต้องการวิทยาก็เลยยอมนอนลงกับที่นอนโดยที่ต้นตะวันไม่จำเป็นต้องผลักหรือบังคับเขา วิทยานอนนิ่งให้ได้ลูบไปตามใจที่ต้นตะวันอยากสัมผัส ในเมื่อถ้าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้นตะวันอยากได้มากกว่าการนั่งคุยกัน และเพื่อมันจะดีกว่าการที่เขาทำอาหารให้ต้นตะวันกิน
 
“วิท อย่าเป็นอย่างนี้สิครับ”

ตอนนี้ต้นตะวันยอมปล่อยตัวของวิทยาแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งคุยดีๆ แล้ว แต่พอเขาปล่อยตัวของวิทยาปุ้ป วิทยาก็ทำท่าจะลุกขึ้นเพราะฉะนั้นต้นตะวันเลยผวาลุกขึ้นตามแล้วกอดรวบตัวของวิทยาเอาเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของเขาทันที หลังจากที่ต้นตะวันยืนกอดวิทยาเอาไว้ได้สักพัก วิทยาก็สูดลมหายใจเข้าเพื่อที่จะระงับความคิดและอารมณ์ที่ไม่คงที่ของตัวเองแล้วก็หันหน้ากลับมาคุยกับต้นตะวันแบบจริงจังสักที

“ตะวันเราขอถามได้ไหม ตกลงตะวันคบกับเราเพราะอะไร?”

“ก็เพราะวิททำให้เราสบายใจ”

“สบายใจ? สบายใจยังไง?”

"วิทจำจูบนั้นได้ไหมที่ผมกำลังเล่าเรื่องวันเก่าๆ ให้วิทฟังแล้ววิทก็จูบผม"

"อื้ม เราจำได้"

"นั้นและครับ วิทจะว่าผมประสาทก็ได้นะ แต่มันเป็นเพราะจูบนั้นจริงๆ"

"และเพราะจูบนั้นด้วยรึเปล่า เลยทำให้ตะวันคิดว่าเราเป็นคนง่ายๆ ในเรื่องแบบนี้ด้วย"

"วิทว่ายังไนะ?"

"ก็ตลอดเวลาที่คบกัน ที่ตะวันขอเราคบ เพราะตะวันแค่อยากมีอะไรกับเราใช่ไหม?"

"วิท"

"ใช่ไหมละ? ถ้าใช่ตะวันก็บอกเรามาตรงๆ เลย เราเข้าใจได้แต่เราขอไม่ทำตามที่ตะวันบอกนะ เพราะเราคงให้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราหวงตัวแต่เพราะเราไม่อยากมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รักเรา"

"เดี๋ยวๆ วิทใจเย็นๆ มันไปกันใหญ่แล้ว วิทคิดเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? คิดได้ยังไง? ผมดูหน้าหื่นจะเอาอย่างเดียวเลยรึไง"

เสียงของต้นตะวันที่นุ่มเหมือนปลอบประโลมกลายเป็นเสียงดังกร้าวขึ้นมา เพราะมาถึงตอนนี้จากที่ต้นตะวันต้องการปลอบวิทยาให้สงบลงพอได้ยินสิ่งที่วิทยาพูดออกมากลับกลายเป็นว่าต้นตะวันเองก็เริ่มรู้สึกโมโหเองบ้างแล้ว วิทยากำลังดูถูกเขา วิทยาเห็นเขาเป็นคนยังไงกันแน่ 

วิทยามองคนที่ยืนกำมือแน่นมองหน้าของเขาจ้องเขม็งด้วยสายตาของความโกรธ วิทยาก็เลยเริ่มรู้สึกว่าเขาคงพูดอะไรที่ข้ามเส้นไปซะแล้วแต่จะให้เขาหยุดตอนนี้เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เขาไม่ชอบที่จะต้องอยู่เงียบๆ แบบไม่เข้าใจถ้าจะต้องทะเลาะกันแต่ได้รู้และเข้าใจเขายอมที่จะทะเลาะ
 
"แล้วมันไม่ใช่รึไง? ตะวันไม่เคยบอกแม้กระทั่งชอบเราเลย แต่มาทำแบบนี้กับเราตะวันจะให้เราคิดยังไง"

"ก็เพราะมันไม่ใช่ไง เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวเลย ที่ทำเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมล้วนที่ผมต้องการวิทเท่านั้นเอง ถ้าผมอยากวิทคิดว่าคนอย่างผมจะไม่มีปัญญาไปหาที่อื่น?"

"ก็นี่มันไม่ใช่เมืองไทย เราไม่รู้หรอกว่าตอนที่ตะวันอยู่เมืองไทยตะวันเป็นอย่างไร เราไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย"

"โธ่โว้ย" 

ตอนนี้ต้นตะวันฟิวส์ขาดไปแล้วเพราะต้นตะวันถึงขนาดเดินหนีวิทยาไปอยู่อีกมุมห้องนึง ต้นตะวันกลัวว่าถ้าเขายังยืนอยู่ที่เดิมเขาก็อาจจะไม่สามารถไม่ให้ตัวเองทำให้วิทยาเจ็บตัวได้ เพราะแต่ละคำที่วิทยาพูดออกมา มันทำร้ายความรู้สึกเขามากเหลือเกิน
 
"แล้วทำไมถึงเลือกที่จะขอเราคบเพราะจูบนั้น"
 
หลังจากเขาทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบเกิดขึ้นไปได้สักพักวิทยาเป็นผ่ายเดินเข้ามาต้นตะวันที่อีกมุมห้อง แล้วก็แตะมือของเขาลงที่แขนของต้นตะวันและจับเอาไว้เพื่อให้ต้นตะวันรู้ว่าเขากำลังจะพูดต่อแล้วนะ และเขาอยากให้ต้นตะวันเปิดใจฟังเขา และก็ไม่รู้ว่าเวลาเป็นการช่วยเยียวยาให้ต้นตะวันสงบลง หรือ เป็นเพราะสัมผัสที่แขนของต้นตะวัน มันก็เลยทำให้ต้นตะวันพร้อมที่จะพูดคุยมากขึ้น

"เพราะว่าผมรู้สึกดี ในตอนนั้นทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้วิทผมจะรู้สึกดี รู้สึกสบายใจตลอดเวลาที่เราได้อยู่ใกล้กันได้พูดคุยกัน ผมเลยตัดสินใจขอวิทว่าให้เรามาลองคบกัน เพราะว่าผมก็ไม่อยากเสียความรู้สึกสบายใจนี้ไป และจากวันนั้นมาถึงวันนี้มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยความรู้สึกที่มีเลย ผมก็ยังคงรู้สึกสบายใจและรู้สึกที่มีวิทอยู่ใกล้ๆ แบบนี้"

"แล้วในวันนี้นอกจากความรู้สึกดี ตะวันรู้สึกชอบเราชอบเราบ้างไหม? ตอนนั้นตะวันเองก็ไม่เคยบอกว่าชอบเรา เป็นเราฝ่ายเดียวที่บอกชอบตะวัน"

"ถ้าผมไม่ชอบผมไม่สนใจหรอกครับว่าตอนนี้วิทจะรู้สึกยังไง แค่หลับหูหลับตาต่อไปผมก็ทำต่อได้แล้วจริงไหมครับ?"

““เราไม่รู้”

"ผมก็กำลังบอกให้รู้"

"ผมชอบวิทนะครับ จากความรู้สึกดีที่มี ตอนนี้มันเป็นความชอบแล้วละครับ"

"เอ่อ เราก็ชอบตะวัน" 

วิทยาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไงกันแน่ในตอนนี้ เพิ่งจะเสียใจไปเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว 10 นาทีต่อมาก็ทะเลาะ และอีก 10นาทีต่อมาก็กลายเป็นว่าเขาหน้าแดงเขินอาย น้ำตาที่เอ่ออยู่ตรงขอบตากลับหายไปได้ด้วยความร้อนของแก้ม แต่ถ้าถามว่าอารมณ์หม่นหมองต่างๆ มันหายไปหมดรึยัง มันก็เจือจางมากจนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะหมดไปเลยทีเดียว และเขาก็เชื่อมั่นว่าความโกรธของต้นตะวันมันก็แค่เจือจางแต่ยังไม่ได้หายไปเช่นกัน

“อะผมว่าวิทไปล้างหน้าล้างตาดีกว่า”

"อื้ม"

"มานอนมาครับมา" 

ตอนที่วิทยาเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นว่าต้นตะวันปิดทีวี ปิดไฟ เหลือแค่ไฟจากถนนส่องเข้ามาในหน้าต่างเพียงเท่านั้น ตอนที่วิทยาเดินไปที่เตียงจากบรรยากาศที่เขาเห็นเขาก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าต้นตะวันจะต้องไม่ยอมจบลงในสิ่งที่สานต่อขึ้นมาอย่างแน่นอน

"ผมไม่ทำอะไรวิทแล้วหรอกน่า"

"เรา คือ"

"ผมขอโทษนะ ที่ทำให้วิทรู้สึกไม่ดี"

"ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีขนาดนั้น"

"เชื่อได้เหรอ วิทรู้ไหมว่าเวลาวิทรู้สึกยังไง วิทแทบไม่ต้องพูดเลยนะ หน้าตาของวิทมันพูดแทนวิทหมดแล้ว" 

"แม่เราก็บอกยังงั้น"

แล้วบทสนทนาก็ต่อยาวไปอีกเรื่อยๆ เหมือนให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้นอีกนิด คืนนั้นต้นตะวันก็ไม่ได้ทำอะไรวิทยาอย่างที่วิทยาคิด เขาทั้งสองคนแค่นอนกอดกันคุยกันบนเตียงคุยเรื่องทั่วไปจนต่างคนต่างหลับไป 
แม้ว่าวิทยาจะไม่ได้ถามในเรื่องที่เขาตั้งใจเอาไว้ว่าจะถาม แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่าเขาได้รู้ในอีกแง่ความรู้สึกของต้นตะวันและมันเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าเขาน่าสมควรรู้มากกว่าเรื่องที่เขากำลังจะอยากรู้ เพราะอย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าต้นตะวันเองก็ชอบเขาและชอบเพราะอะไร 

ส่วนทางด้านต้นตะวันเองก็รู้สึกขอบคุณที่วิทยาไม่เคยเปลี่ยนไป วิทยาเป็นคนซื่อตรงในความรู้สึกของตัวเองเสมอ และนั้นมันทำให้เรื่องที่เขาสองคนกำลังจะต้องทะเลาะกัน ก็ไม่ต้องทะเลาะกันมันจบลงได้แค่เพียงการพูดคุย ก่อนที่ต้นตะวันจะหลับตาลง เขาเลยหันไปหอมที่หน้าผากของวิทยาซึ่งปกติแล้วเขาจะต้องบอกว่า "ฝันดี" แต่วันนี้เขาขอเปลี่ยนเป็นคำว่า "ขอบคุณครับ" แทน

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึง

คุณ imvodka ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากนะคะ จะพยายามให้มากขึ้นค่ะ

คุณ wan_sugi ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากคร่า // ฝากติดตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ imvodka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-4
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 10 01/09/16
«ตอบ #26 เมื่อ07-09-2016 21:35:30 »

 :katai5:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 10 01/09/16
«ตอบ #27 เมื่อ08-09-2016 00:14:48 »

กำลังถึงช่วงสื่อสารให้เข้าใจกันสินะ แต่ดูแล้วอามรณ์ยังหน่วงๆ อยู่ดี

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 10 01/09/16
«ตอบ #28 เมื่อ08-09-2016 11:02:46 »

บทที่ 11 

เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ต้นตะวันได้มีโอกาสตื่นก่อนวิทยาแทบจะนับครั้งได้ที่ต้นตะวันจะได้มีโอกาสตื่นขึ้นมานอนมองหน้าวิทยาแบบนี้ ก่อนหน้านี้ต้นตะวันเคยที่จะพยายามตื่นก่อนบ้างแต่ไม่ว่าต้นตะวันจะพยายามยังไงเขาก็ไม่เคยตื่นก่อนวิทยาได้เลย แต่วันนี้ที่ต้นตะวันสามารถตื่นก่อนได้มันเป็นเพราะเมื่อคืนต้นตะวันนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไหร่ มีหลายเรื่องที่ต้นตะวันยังคงนอนคิดเลยทำให้แค่วิทยาที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเขาแค่มีการกระดิกตัวนิดหน่อยต้นตะวันก็ตื่นแล้ว

"มอนิ่งครับ" 

"มอนิ่งตะวันตื่นก่อนนานยัง?"

"ก็สักพักเองครับ"

"วันนี้เดี๋ยวเราพาไปเที่ยวนะ" 

วิทยาขยับตัวออกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าขนหนูและขณะที่วิทยากำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำเขาก็หันไปกลับบอกกับต้นตะวันว่าเขาจะพาต้นตะวันไปเที่ยว วิทยาตั้งใจจะบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วหลังจากที่พวกเขาทานมื้อเย็นเสร็จ แต่พอดีมันมีเรื่องอื่นมาขัดขึ้นมาซะก่อนเลยทำให้วิทยายังไม่ได้บอกแผนเที่ยวกับต้นตะวัน

"อ้าวแล้ววิทไม่ต้องไปทำงาน?" 

"ลาแล้ว ลาเป็นพิเศษเลยเพราะจะพาเที่ยวเนี่ย"

ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีจากในตัวเมืองของนิวคาสเซิลมาที่ Hunter Valley ตลอดวิวสองข้างทางเต็มไปด้วยพื้นหญ้าสีเขียวยิ่งออกมาจากตัวเมืองเท่าไหร่วิวที่เห็นจะเริ่มเปลี่ยนจากบ้านเรือนไปเป็นวิวของชาวบ้านที่มีการเลี้ยงสัตว์และปลูกพวกต้นไวน์มากขึ้นเท่านั้น

"บรรยากาศดีเนอะ" ต้นตะวันแอบเสียดายลึกๆ ที่ตอนนี้พวกเขาอยู่บนรถตู้ทำให้พวกเขาไม่สามารถเปิดกระจกออกไปเพื่อสูดกลิ่นธรรมชาติได้

"ใช่ แต่น่าเสียดายช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงปลูกองุ่น พวกเจ้าของไร่เขาแค่เตรียมต้นเอาไว้ ตะวันเลยอดเห็นเลย"

"แล้ววิทเคยมาเห็นแล้วเหรอครับ?"

"ยังอะ แต่ไปตามอ่านมา"   

"มาที่นี้ก็ดีนะจะได้แวะซื้อไวน์กลับไปฝากพ่อด้วย" ทันทีที่มาถึงไร่องุ่นที่มีโรงกลั่นไวน์เป็นของตัวเอง ต้นตะวันก็แสดงความดีใจเป็นพิเศษเหมือนได้มาเที่ยวถูกที่

"ตอนแรกคิดว่าเราจะพาไปไหน?"

"คิดว่าจะพาไปเล่นภูเขาทราย"

"อ่อ ดีนะไม่ได้พาไป คิดอยู่ 2 ที่ แต่คิดว่าที่นี้น่าจะดีกว่า ว่าแต่พ่อตะวันชอบไวน์เหรอ?"

"ทำไมครับ? สนใจอยากซื้อไปให้พ่อผมเพื่อที่ไปฝากเนื้อฝากตัวเหรอครับ?"

วิทยาไม่โต้ตอบกลับต้นตะวันได้แต่เดินดุ่มๆ เข้าไปที่ทางเข้าไร่เพื่อชมไร่องุ่น หันกลับไปมองที่เดิมก็เห็นต้นตะวันหัวเราะเสียงดังหยุดยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้เดินตามเขามา ภาพที่เห็นทำให้วิทยาลืมอายและยิ้มตามเพราะนี่เป็นครั้งแรกของวิทยาเลยที่เห็นต้นตะวันหัวเราะเสียงดังขนาดนี้ในที่สาธารณะ วิทยาเลยหยิบกล้องตัวเก่งขึ้นมาซูมเข้าไปเพื่อเก็บภาพนี้เอาไว้ 

"แล้วข้าวเที่ยงเราจะกินที่นี้เลยไหมครับ?"

"อื้ม กินที่นี้เลยดีกว่าเพราะว่ามันมีสเต็กขายด้วยนะอร่อยเราสืบมาแล้ว" 

หลังจากที่อิ่มท้องมื้อเที่ยงทั้งสองคนก็เดินชมรอบๆ ไร่อีกครั้ง ที่ไร่นี้จะมีการให้เข้าแถวจ่ายเงินเพื่อที่จะได้มีโอกาสชิมไวน์รสต่างๆ ที่ทางไร่ผลิตขึ้นมาเองอีกด้วย โปรแกรมนี้วิทยาขอตัวไม่เอาด้วยเพราะว่าตัวเองไม่มีความรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่และต่อให้ชิมหมดทั้ง 20 ชนิดเขาก็คิดว่าเขาไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีคงได้มาแค่ความเมากลับมา แต่ส่วนต้นตะวันที่พอจะมีความสนใจอยู่บ้างเพราะพ่อของเขาเป็นคนชื่นชอบการดื่มไวน์มากก็เลยขอต่อแถวเพื่อชิมไวน์ วิทยาเองก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ว่าขอออกไปเดินถ่ายรูปเล่นทางด้านนนอกแทน 

"ไปไหนกันต่อดีครับ?" หลังจากที่ต้นตะวันได้ชิมไวน์ครบทุกรสชาติและได้เลือกซื้อมาบ้างแล้วก็เดินออกมาตามวิทยาที่ทางด้านนนอกของโกดัง

"ไปร้านขายช้อคโกแลตกันไหม?"

"ไปสิ" กว่าจะชิมช็อคโกแลตเสร็จกว่าจะเข้ามาถึงตัวเมืองนิวคาสเซิลมันก็ค่อนข้างเย็นมากแล้ว วิทยาก็เลยชวนต้นตะวันค้างคืนที่ห้องของเขาอีกวัน

“วิท”

“เดี๋ยวจะเสร็จแล้ว แป้ปนึงๆ”
 
เมื่อตอนบ่ายที่กำลังเดินทางกลับจากไร่ไวน์ต้นตะวันบ่นว่าเอียนอาหารฝรั่งมาตลอดทาง วิทยาเลยเอ่ยปากชวนต้นตะวันไปกินอาหารจีนแก้เลี่ยนแต่ต้นตะวันกลับขอให้วิทยาทำกับข้าวให้เขากินหน่อย

"นะครับ วิททำให้ผมกินนะไม่ได้กินฝีมือของวิทมานานมากแล้ว" 

“งั้นต้องแวะซื้อของที่ซุปเปอร์กันก่อนนะ ที่บ้านไม่ได้ทำอะไรเก็บไว้เลย”

"ได้ครับ"

"วิทครับบบ" ตอนนี้เขาทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านกันแล้ว หลังจากที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดสบายๆ วิทยาก็เข้าครัวเตรียมอาหารส่วนต้นตะวันก็ออกมายืนดูด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ข้างเตาเพราะพอเขาจะช่วยทีไรวิทยาก็จะบอกเสมอว่า "ไปนั่งรอไป" แต่ต้นตะวันไม่อยากนั่งรอเฉยๆ เลยไม่ยอมทำตามในเมื่อช่วยไม่ได้ก็ขอมาเดินวนๆ ให้กำลังใจแทน

"จะเสร็จแล้วๆ"

“ไม่ใช่จะเร่งอาหารซะหน่อย”

“อ้าวเหรอ เห็นมาเดินวนหลายรอบนึกว่าหิวจนทนไม่ไหวแล้ว”

“วิทว่าวิทจะทำงานที่ร้านไอติมถึงเมื่อไหร่ครับ?”
 
“อื้มเราก็ยังไม่ได้คิดเลยตะวัน”

“ลองคิดดูไหมครับ?”

“ได้สิ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า?”

“ก็เวลาอยู่ที่นี้ของเราสองคนมันก็น่าจะอีกแค่ประมาณเดือนนิดๆ ใช่ไหมครับ?”

“อะหะ”

“ผมอยากเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ที่นี้เยอะๆ”

“อื้ม” นั้นสิวิทยาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาเอาแต่คิดว่าเขาจะเก็บความรุ้เกี่ยวกับร้านไอติมให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้จนเขาลืมไปเลยว่าช่วงเวลาที่เขามาอยู่ที่ออสเตรเลียมันไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น นอกจากการทำงานแล้วเขาควรมีความทรงจำอื่นๆ กลับไปบ้าง

"อยากไปเที่ยวเหรอ?  ได้สิเอางี้เดี๋ยวยังไงเราจะลองขอวันลาให้นะ"

"ครับ" ไม่ใช่ต้นตะวันไม่ได้อยากเก็บแค่เวลาช่วงเที่ยวอย่างเดียวมันไม่ใช่แค่นั้น แต่เขาจะพูดออกไปได้ยังไงว่าเขาเองอยากอยู่กับวิทยาอยากลองใช้ชีวิตร่วมกัน แม้ว่าตั้งแต่เช้ามาดูเหมือนว่าวิทยาจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปหมดเรียบร้อยแล้ว และบรรยากาศทุกอย่างระหว่างเขาทั้งสองมันกลับมาเป็นปกติก็ตา แต่ต้นตะวันก็ไม่อยากพูดในสิ่งที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้วิทยามองเขาในแง่นั้นอีกรึไม่

"เรื่องตั๋วเดี๋ยวยังไงเราจัดการแทนให้ไหม? ดูวิทยุ่งๆ อยากช่วยอะไรบ้าง"

"อื้มๆ ได้ๆ ยังไงเราฝากด้วย วันที่ตะวันกลับเราก็โอเค เรากลับวันนั้นได้ เลื่อนของเราไปให้ตรงกับของตะวันนั้นแหละ"

ตอนแรกวิทยาอยากรู้ว่ามันจะมีความบังเอิญเกิดขึ้นอีกไหมโดยการเสนอว่าลองไม่ยอมบอกเรื่องวันกลับของกันและกันให้ไปลุ้นเอาเองวันที่ต้องขึ้นเครื่อง แต่เป็นต้นตะวันที่ไม่ยอมเพราะเขาอยากกลับไปเมืองไทยพร้อมกับวิทยาเขาไม่อยากลุ้นแล้วพลาดหรือว่าต้องมาทำอะไรที่กระทันหัน ตอนที่พวกเขาพูดกันเรื่องตั๋วมันพอดีกับช่วงที่วิทยาตัดสินใจเลิกทำงานพิเศษที่ร้านไอติมพอดี วิทยาก็เลยต้องช่วยสอนงานคนที่มาใหม่ช่วงนี้วิทยาก็เลยค่อนข้างยุ่งเล็กน้อย ต้นตะวันเลยอาสาที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดให้เอง 

"เหนื่อยจังเลยตะวัน" วันนี้นอกจากจะต้องช่วยสอนงานให้เด็กใหม่แล้วมันยังเป็นวันที่เขาต้องคอยจดสูตรทั้งหมดด้วย เพราะพอเจ้าของรู้ว่าวิทยากำลังจะกลับไทยก็เลยเอาความรู้มาให้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งยังอวยพรให้ร้านเขาขายดิบขายดีจนขายไม่ทัน
 
"เหนื่อยมากเลยตะวันสมองจะแตกแล้ว"

"เอาน่าเดี๋ยวก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะครับ แล้วเหนื่อยแบบนี้พรุ่งนี้จะเข้าซิดนี่ย์ไหวเหรอ? ให้ผมไปหาแทนดีกว่าไหม?"

"ไม่เป็นไรๆ เราเข้าได้เดี๋ยวคืนนี้พอได้นอนพักก็หายแล้วเราไหว"

"วันนี้ให้ทายว่าเราได้อะไรมาจากเจ้าของร้าน?"

"สูตร?"

"อันนั้นมันได้อยู่แล้ว แบบของฝากสิแบบที่ติดมือกลับไทยไปนะ"

"ไม่รู้สิครับ ผมเดาไม่ถูกหรอก"

"เราได้ที่ตักไอติมมาแหละ เจ้าของร้านให้เป็นที่ระลึก"

"ฮ่าๆๆๆๆ ดีๆ วิทจะได้แขวนเอาไว้ข้างตู้ไอติมเป็นเครื่องรางไง"

"วิท"

"หื้ม?"

"เปล่าครับ จะบอกงั้นรีบนอนเถอะครับ ฝันดีนะ"

"โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ"

"ครับ เจอกัน"

สรุปคืนนี้วิทยาก็ตกลงใจค้างกับต้นตะวันเพราะกว่าจะดูซีรี่ย์จนจบก็ลากไปจนถึงช่วงดึก อีกอย่างยังไงเขาเองก็ไม่ต้องกลับไปทำงานที่ร้านไอติมอีกแล้วก็เลยไม่จำเป็นที่ต้องรีบกลับไปที่นิวคาสเซิลและอีกเหตุผลที่วิทยาไม่ค่อยอยากกลับสักเท่าไหร่ก็เพราะ 

"เฮ้ยพี่เราไปกินข้าวรอบดึกกันไหมผมหิว?" 

วันนี้เด็กที่ชื่อถังเข้ามาหาต้นตะวันตั้งแต่ช่วงบ่าย ตอนแรกที่เสียงออดที่กดมาจากทางเข้าห้องพักดังขึ้นต้นตะวันก็ไม่ยอมเดินไปกดรับว่าใครบอกว่าน่าจะเป็นพวกเด็กมากดเล่นมากกว่าเพราะเราเองก็ไม่ได้สั่งอะไรมากิน แต่แล้วเสียงออดนั้นก็ดังอย่างต่อเนื่องต้นตะวันก็ลอยยอมไปกดฟังเลยรู้ว่าเป็นถังที่กดเรียกอยู่ด้านล่าง ต้นตะวันเองก็ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้ถังถึงมา แต่พอเด็กที่ชื่อถังบอกว่าส่งเมสเสจมาหาแล้วแต่ไม่เห็นตอบก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเลยเข้ามา แถมต่อท้ายประโยคว่า
 
"อ้าวก็ปกติผมก็เข้ามาหาพี่อยู่เป็นประจำอยู่แล้วนิ" 

และประโยคนี้เองที่พอวิทยาได้ยินมันทำให้วิทยาเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าเด็กที่ชื่อถังมาหาต้นตะวันบ่อยเพราะหลังๆ ตอนที่วิทยาคุยกับต้นตะวันเขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงของถังเลยพอไม่ได้ยินเสียงเขาก็คิดเอาเองว่าถังคงไม่ได้อยู่ด้วย แม้วิทยาจะพยายามทำความเข้าใจว่าสองคนนี้สนิทกันเพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกที่จะไปมาหาสู่กันแต่พอมาเจอคำพูดแบบนี้ต่อหน้าก็กลับกลายเป็นว่าความเข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสร้างขึ้นมันไม่ได้ช่วยอะไร ต้นตะวันลากถังออกไปคุยอะไรกันที่หน้าห้องพัก วิทยาเองก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันรู้แต่ว่าพอทั้งสองคนนั้นเข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้ถังก็ยังไม่ได้ทักวิทยาสักคำ
 
"เออ เรื่องตั๋วเราไม่เห็นเขาส่งอีเมลล์มาให้เราเลย" 

"พอดีผมขอให้เขาส่งมาเป็นอีเมลล์ผมเองละ เอเจ้นท์ที่่จองตั๋วรู้จักกันนะ เพราะว่าผมจะได้เช็คได้ไงว่าข้อมูลถูกต้องรึเปล่า"
 
"อ่อ โอเค เราก็ว่าเออทำไมเรายังไม่เห็นตั๋วใบใหม่เลยสักที เออ ตะวันเดี๋ยวยังไงตอนเรามาครั้งต่อไป เราไปซื้อของฝากกันดีไหม? เรายังมีของฝากให้เพื่อนไม่ครบเลย เพิ่งมีของแม่ไปเองนี่ยังขาดพวกครีมให้แม่อยู่เลยเพราะมันต้องซื้อจากซิดนี่ย์"

"ไปสิ ผมก็ยังซื้อไม่ครบเหมือนญาติก็ฝากพวกครีมมาเยอะพอสมควร"

"ตะวันยังโชคดีซื้อก็แบกมาที่ห้อง แต่เรานี่ดิต้องแบกกลับไปที่ินวคาสเซิลแล้วก็แบกมาขึ้นเครื่องที่นี้อีก แต่จะไม่ซื้อก็ไม่ได้เจ้าของค่าเทอมเลยนะนั้น"

“งั้นก็ ย้ายเข้าไปอยู่ทิ่ซิดนี่ย์ด้วยกันไหมครับ?” 

"หา?" 

วิทยามองหน้าต้นตะวันเพื่อที่จะพิจารณาว่าต้นตะวันพูดเล่นหรือว่าพูดจริงกันแน่เรื่องที่จะชวนมาอยู่ด้วยกันที่นี้ เพราะแม้ว่าเขาทั้งสองจะพูดเรื่องกลับด้วยกัน หรือ เรื่องที่ว่าอยากเก็บช่วงเวลานี้ก่อนกลับไทยให้มากที่สุดก่อนที่ต้องไปตรากตรำทำงานแต่ทุกครั้งต้นตะวันก็ไม่เคยทำท่าทีที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา

"คือ ถ้าวิทไม่สบายใจ ผมเข้าใจนะไม่ได้บังคับไม่อยากย้ายมาก็ไม่เป็นอะไร"

"คือ..."

"ผมเองก็เห็นว่าวิทเองก็ไม่ต้องทำอะไรที่นั้นแล้วแถมเรียนจบหมดแล้วทำเรื่องจบแล้วงานก็ออกแล้วก็เลยคิดว่าถ้าวิทเข้ามาอยู่ในซิดนี่ย์วิทอาจจะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วย" ในตอนแรกที่ได้ยินต้นตะวันชวนวิทยาก็อยากจะที่จะขอคิดดูก่อนแต่พอวิทยาเหลือบไปเห็นถังเดินออกมาจากห้องน้ำ เหมือนปากทำงานเร็วกว่าสมองคำว่าขอคิดดูก่อนเลยเปลี่ยนเป็น

"แล้วตะวันละ อยากให้เราย้ายมาอยู่ด้วยไหม?"

"ผมอยากตามใจวิท"

"แต่เราอยากตามใจตะวัน"

"ผมอยากให้วิทมาอยู่ด้วย"
 
"อื้มถ้าตะวันชวนมาเราก็โอเค" 

กลับมาจากนิวคาสเซิลวิทยาก็ทำเรื่องยกเลิกสัญญาเช่าที่บ้านพักเรียบร้อยเก็บของทำความสะอาดห้อง ตอนที่เก็บห้องเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นนักช้อปปิ้งตัวยงอยู่เหมือนกัน นี่ขนาดเหมือนว่าเขาไม่ได้ซื้ออะไรเยอะแยะแล้วนะ กลายเป็นว่ายังมีนี่นั้นที่มาใหม่เต็มไปหมด 

"วิท ผมว่าเราไปขอกล่องเปล่ามาเหอะ แบบนี้ยัดลงกระเป๋าวิทไม่หมดแน่นอน" ต้นตะวันเองก็มาช่วยวิทยาเก็บของด้วย เพราะถ้ามีแค่วิทยาคนเดียวอาจจะไม่สามารถเสร็จได้ตามเวลาที่เจ้าของบ้านกำหนด

"ตอนซื้อไม่ได้คิดเลยนะว่าจะซื้อเยอะขนาดนี้ แล้วพวกเสื้อหนาว กลับไทยก็ไม่ได้ใช้แล้วเสียดายอะได้เก่าเก็บแน่เลย"
"เพื่อได้ไปเที่ยวไหนไงครับ"

"โอ๊ย ตะวันเราไม่ได้ไปเมืองนอกหรอก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ออกนอกประเทศ"

"ไว้เดี๋ยวเราเอาไปขายมือสองกันก็ได้ครับ ของยังอยู่ในสภาพโอเคอยู่เลย"

"อื้ม เอางั้นก็ได้"

แม้ว่าทางจากสถานีรถไฟจะไม่ไกลจากที่พักของต้นตะวันแต่ด้วยทั้งจำนวนกล่องและกระเป๋าของวิทยามันทำให้เขาทั้งสองตัดสินใจเรียกแท๊กซี่มาที่หน้าที่พักของต้นตะวันแทน

"มาพี่ผมช่วย" ตอนที่ลงมาจากรถแท๊กซี่วิทยาก็เห็นถังยืนรอที่หน้าที่พักอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ที่ทำให้วิทยาแปลกใจมากกว่านั้นคือ วันนี้ถังเดินเข้ามาทักเขาและช่วยเขาขนของขึ้นไปที่ห้องพักของต้นตะวัน

"คิดอะไรครับ?"

"เปล่า"

"อีกและ โอเคไม่บอกผมไม่ตื้อก็ได้"

"เอ่อ ตะวันบอกกับถังเหรอว่าเราจะย้ายเข้ามา?"

"อื้ม ผมบอกเองแหละ พอดีเมื่อคืนมันมาชวนผมไปเล่นบาสวันนี้แต่ผมบอกไปว่าผมไม่ว่าง มันก็เซ้าซี้ผมก็เลยบอกไปเลยว่าผมต้องไปช่วยวิทย้ายบ้านมาอยู่นี่แต่ไม่คิดจริงๆ ว่ามันจะมาช่วยด้วย"

"อ่อ อื้ม"

"เหนื่อยโคตร พี่ต้องเลี้ยงมื้อเย็นผมเลยนะ" ตอนนี้ของทุกชิ้นขึ้นมาอยู่่่ที่ห้องของต้นตะวันหมดแล้ว แม้ว่าวิทยาจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับถังมากแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็รู้สึกขอบคุณอยู่ดีที่ถังมาช่วยมันให้เร็วขึ้น
 
"ได้ถังอยากกินอะไรเดี๋ยวพี่เลี้ยง" ก็อยากตอบแทนไม่อยากเป็นหนี้บุณคุณกันและกัน

"ไม่เป็นไรครับ ผมอยากกินเงินของพี่ตะวันมากกว่า กินเงินของคนอื่นมันไม่อร่อยนะครับ" วิทยาขมวดคิ้วเป็นปมเพราะมาถึงตอนนี้เขามั่นใจแล้วละว่าถังต้องไม่ชอบเขา จากการกระทำหลายๆ อย่างก็บ่งบอกอยู่ แต่ที่วิทยาหัวคิ้วหมุนอยู่อย่างนี้ก็เพราะเขาเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเขาไปทำอะไรให้ถังไม่พอใจ หรือว่าแค่เพราะไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรกเห็น

"ถัง พูดอะไร" 

"ก็จริงอะพี่ผมไม่ได้อยากให้คนอื่นเลี้ยงนิ มาชาวยก็ไม่อยากให้พี่ตะวันเหนื่อยไม่ได้จะช่วยคนอื่นแล้วผมจะกินเงินพี่ผมผิดตรงไหน"

"ถังอย่ารวน ยังไงพี่วิทเขาก็เป็นรุ่นพี่อายุมากกว่าอย่าพูดไม่คิด"

"พี่ตะวัน...ทำไมพี่...."

"จะเอายังไงจะพูดต่อ หรือจะแค่เดินลงไปกินข้าว"

"งั้นผมกลับ" 

"เอ่อ เราทำให้สองคนทะเลาะกันรึเปล่า?"

"ไม่หรอกถังมันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว มันเอาแต่ใจวิทก็อย่าโกรธมันเลยนะ"

"ตะวันเราถามได้ไหมว่าถังมีเรื่องอะไรเหรอถึงต้องมาอยู่กับตะวันบ่อยๆ"

"งั้นมานี่มา" ต้นตะวันเรียกเอ่ยปากพร้อมกับควักมือเรียกให้วิทยาที่ยังยืนอยู่ตรงจุดเดิมแม้ว่าถังจะออกไปแล้วเดินเข้ามานั่งใกล้กับตัวของเขาเอง 

"ตอนแรกก็ว่าจะไม่เล่า แต่ตอนนี้วิทย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วเดี๋ยววิทก็ต้องเจอกับถังบ่อยขึ้นแน่นอน งั้นผมเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ ถีงมาเรียนภาษาที่นี้มาแค่ช่วงสั้นๆ ที่บ้านเลยให้อยู่กับ Home Stay แต่เหมือนว่าถังจะเข้ากับโฮสไม่ค่อยได้มีปัญหากันบ่อยๆ ถังก็เลยไม่ชอบกลับบ้านแล้วมาลี้ภัยที่ห้องผม"

"อะหะ เคยได้ยินเหมือนกันเรื่องที่ว่าถ้าเด็กกับโฮสเข้ากันไม่ได้มันจะอยู่ร่วมกันยาก"

"อื้ม ผมก็เลยเอาถังมาอยู่ด้วยบ่อยๆ เรื่องมันก็แค่นี้เองละครับ"

"อ้าว แล้วตอนที่เรากลับกันถังจะทำไงอะ?" 

"ถังก็ต้องทนให้ได้ ถังกลับหลังจากพวกเรานิดเดียวเองไม่ถึงเดือน เพราะฉะนั้นก็ไม่น่ามีปัญหา"

"อื้ม" 

อีกเพียงแค่อาทิตย์เดียวเขาทั้งสองคนก็ต้องกลับไทยกันแล้ว พวกเขาทั้งสองจากที่คิดไว้ว่าเดี๋ยวจะเที่ยวเก็บตามนอกเมืองหรือเมืองใกล้ๆ ให้หน่ำใจกลายเป็นว่าพวกเขาหมดเวลาไปกับการซื้อของฝากและฝากซื้อรวมทั้งยังต้องจัดการกับข้างของที่มันไม่สามารถขนกลับไทยไปด้วยได้ 

"เราเอาบางส่วนพวกเสื้อผ้าโพสขายมือสองไหม?"

"เอาสิ ผมมี Log-in อยู่แล้ววิทโพสที่เว็บได้เลย"

"งั้นของตะวันมาด้วยสิ จะได้ถ่ายรูปทำราคาโพสขายทีเดียวเลย" 

แม้ว่าข้าวของบางส่วนจะได้ขายไปหมดแล้วแต่ก็ยังมีส่วนที่ขายไม่ได้ทำให้กระเป๋าเดินทางของพวกเขามีน้ำหนักที่เกินจากน้ำหนักที่กำหนดอยู่ดี เช่น พวกตำราเรียนและสมุดจดต่างๆ ที่พวกเขาทิ้งหรือขายไม่ลง ดังนั้นในที่สุดทั้งสองก็ต้องแพ้คของเพื่อที่ใช้บริการชิ้ปปิ้งกลับไทย การส่งของทีเดียวด้วยน้ำหนักเยอะค่าส่งจะถูกกว่าแยกส่งต้นตะวันเลยเสนอความคิดว่าให้ชิปของทั้งหมดไปทิ้งไว้ที่บ้านของเขา แล้วค่อยไปแยกของตอนกลับไทยเพราะบ้านเขามีแม่บ้านที่คอยดูบ้านอยู่ตลอดเวลาจะรับของได้ง่ายกว่าที่บ้านของวิทยาที่แม่ของเขาต้องออกไปทำงานช่วงกลางวันซึ่งวิทยาเองก็เห็นด้วย

"เรื่องรับปริญญาวิททำเรื่องแล้วใช่ไหมครับ?"

"อื้ม ทำแล้ว สรุปต้นตะวันก็กลับมารับที่นี่ใช่ไหม? ไม่ได้ให้เขาส่งไปที่บ้านเนอะ"

"ครับครอบครัวผมมา ของวิทก็น่าจะมาใช่ไหม?"

"อื้ม แม่ตื่นเต้นมากคงต้องมาแหละ"

"ดี ผมจะได้ฝากเนื้อฝากตัว"

"ให้กล้าๆ หน่อยตะวัน"

หลังจากวันนั้นที่เกิดเรื่องถังหายไปได้สัก 2-3 วันแล้วก็กลับมา ถังยังคงมาหาต้นตะวันที่ห้องอยู่เรื่อยๆ แต่คราวนี้วิทยาไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากเหมือนที่ผ่านๆ มาไม่รู้เป็นเพราะว่าถังลดการพูดจากระทบวิทยาน้อยลงหรือเป็นเพราะว่าวิทยารู้เรื่องเกี่ยวกับถังมากขึ้นกันแน่ 

"พี่ตะวัน คืนนี้ผมค้างนะ"

"เฮ้ย ไม่กลับบ้านละ?" ในแว้บแรกที่วิทยาได้ยินถังบอกว่าจะค้างวิทยาก็คิดแบบเดียวกับต้นตะวัน นั้นสิทำไมถังไม่กลับบ้าน แม้ว่าเมื่อก่อนถังก็มาค้างบ่อยๆ ก็เถอะแต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตอนนั้นเขายังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่แต่ตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่แล้ว 

"พี่ผมมีปัญหาจริงๆ โฮสแม่งหาเรื่องผมตลอดเลย เน้ทก็ตัดไม่ให้เล่นผมเหงาจริงๆ นะพี่"

สิ้นคำของถังต้นตะวันก็หันกลับมามองหน้าวิทยาเพื่อที่จะข้อความคิดเห็นแว้บแรกที่ต้นตะวันเห็นสีหน้าของวิทยาเขาก็รู้แล้วว่าวิทยาไม่พอใจ แต่แล้วต้นตะวันก็ต้องหลุดแอบขำออกมาเพราะพอมองวิทยาต่อไปหน้าของวิทก็เปลี่ยนไปเรื่อยตามที่คิด จากหน้าไม่ชอบใจ มาเป็นหน้าสงสัย และก็หน้าขมวดคิ้วเป็นหน้าปิดท้าย

"คิ้วย่นหมดแล้วครับ" ต้นตะวันที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่อยู่โซนครัวลุกเดินไปหาวิทยาที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงแล้วก็เอานิ้วมือไปนวดตรงระหว่างคิ้วให้กับวิทยา 

"ว่าไงถ้าวิทไม่โอเคผมบอกให้ถังกลับได้นะครับ"

"เราไม่อยากให้อยู่ เพราะเราไม่อยากนอนเตียงเดียวกับถังเหมือนครั้งนั้น" และก็ไม่อยากให้ต้นตะวันลงไปนอนข้างเตียงฝั่งเดียวกับถังด้วย นี่คือประโยคที่ต่อท้ายแต่วิทยาไม่ได้พูดออกไป

"โธ่วิท โอเค เดี๋ยวผมให้ถังนอนพื้น แค่นี้?"

"อื้ม"

"โอเค ถังค้างได้แต่นอนพื้นนะ"

"ขอบคุณมาก พี่ตะวัน" 

"คนที่ต้องขอบคุณคือพี่วิทมากกว่า"

"............"

แม้หลายคืนที่ผ่านมาทั้งวิทยาและต้นตะวันจะนอนเตียงเดียวกันอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยมีอะไรไปมากกว่าการนอนกอดกันบางคืนอาจจะมีบ้างที่จูบกันแต่ก็ไม่เคยมีอะไรไปมากกว่านั้นแล้วก็ต่างคนต่างนอนหลับไปตื่นเช้ามาบางเช้าก็นอนกอดกันบางเช้าก็ต่างคนต่างนอนหันหลังใส่กัน แต่ก่อนหลับตาลงของคืนนี้วิทยาสัญญากับตัวเองเลยว่าเช้าวันรุ่งขึ้นที่เขาตื่นขึ้นมาตัวของเขาจะต้องอยู่ในอ้อมกอดของต้นตะวัน

...โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ถึง

คุณ imvodka เรามากระดึ้บๆ เรื่องไปด้วยกันนะคะ ฮาาา

คุณ wan_sugi กำลังจูนหาคลื่นให้ตรงกันเลยคร่าา

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: รักลัดฟ้า บทที่ 11 08/09/16
«ตอบ #29 เมื่อ11-09-2016 08:13:48 »

บทที่ 12

"พี่แอบมองหน้าพี่ตะวันแบบนี้ทุกวันเลยรึเปล่า?"

"อื้ม ก็ถ้าได้ตื่นก่อนก็จะทำแบบนี้แหละ"
 
"น่ากลัวนะพี่นะ"

"แต่พี่ว่าคนที่ตื่นมาแล้ว มานั่งมองคนที่เขาเป็นแฟนกันนอนมองหน้ากันอีกทีพี่ว่าน่ากลัวยิ่งกว่า"

"เฮ้ย พี่"

"อะไรกัน" ในสุดท้ายต้นเรื่องที่ทำให้ทั้งถังและวิทยาเถียงกันก็ลืมตาตื่นขึ้นมาสักที 

"เปล่าไม่มีอะไรพี่"

วิทยาไม่รู้ว่าช่วงที่เขาเข้าไปอาบน้ำต้นตะวันกับถังคุยอะไรกันแต่ตอนที่เขาออกมาจากห้องน้ำถังก็ไม่ได้อยู่ในห้องแล้วแต่วิทยาเองก็ไม่ได้ถามว่าถังไปไหนเพราะเอาเข้าจริงวิทยาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีตอนที่ถังอยู่ในห้อง หลังจากถังกลับไปชีวิตของพวกเขาสองคนก็กลับไปเป็นเหมือนวันก่อนๆ ทั้งสองกินอาหารที่วิทยาทำเดินชมเมืองหรือออกไปนอกเมืองบ้าง แต่สิ่งที่ทำให้วิทยาสบายใจมากกว่าการได้ไปเที่ยวก็คือช่วงหลังมานี้ถังไม่ได้มาที่ห้องของต้นตะวันอีกเลย

"จะได้กลับไทยแล้วตื่นเต้นไหมครับวิท?"

"อื้ม ไม่รู้สิก็มีรู้สึกแปลกๆ บ้างเพราะไม่ได้กลับเลยมาตลอดหนึ่งปีนิดๆ"

"ผมก็แอบตื่นเต้นนิดๆ"

"ตะวัน"

"ครับ"

"กลับไปไทย เรื่องของเราสองคนมันจะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ใช่ไหม?"

"ก็ต้องเหมือนเดิมสิ มีอะไรที่จะเปลี่ยนไปเหรอ?"

"ไม่รู้ ก็พอกลับไทยไปเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้"

"ผมถึงอยากใช้เวลาแบบนี้ให้มากที่สุดไงครับ"

"อื้ม จะว่าไปเพื่อนเราที่ชื่อกระแตเคยเล่าให้ฟังว่าเด็กที่มาเรียนและคบกับแฟนที่นี้พอกลับไทยไปส่วนมากจะเลิกกัน"

"แต่ผมว่าเราจะเป็นส่วนน้อย"

"แล้วจะคอยดู" 

วิทยาปล่อยให้เวลาของยามค่ำคืนผ่านไปโดยการที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของต้นตะวัน วิทยาอยากยืดเวลาแบบนี้ออกไปให้นานเท่าที่เขาจะทำได้เพราะเขารู้ตัวดีกว่าพอเขากลับไปไทยเขาก็จะต้องอยู่กับแม่ที่บ้านเริ่มทำงานเปิดร้านอย่างจริงจัง ส่วนต้นตะวันเองก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านเช่นกัน คงหาช่วงเวลาแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว
 
"ผมมาเพื่อขอโทษ" 

ในขณะที่ต้นตะวันกับวิทยากำลังเก็บของเช็คทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ลืมอะไรและกำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดห้องเพราะว่าเขาทั้งสองต้องออกจากห้องที่พักวันนี้เพื่อที่จะไปพักที่โรงแรมหนึ่งคืนก่อนกลับไทย เสียงมือถือของต้นตะวันก็ดังขึ้นแล้วก็เป็นถังที่โทรมาบอกว่าอยากขอคุยด้วย ต้นตะวันก็เลยให้ถังเข้ามาที่ห้องอีกครั้ง มาถึงถังก็พูดคำว่า "ผมขอโทษ" เป็นคำแรก แม้ว่าถังจะไม่ได้เจาะจงว่าขอโทษใครแต่จากสายตาที่มองสลับซ้ายขวาระหว่างวิทยากับต้นตะวันก็น่าจะหมายถึงว่าถังกำลังขอโทษทั้งคู่ 

"ช่างมันเถอะอย่าทำอีกแล้วกัน" 

นั้นคือสิ่งที่ต้นตะวันพูดออกไปวิทยาไม่ได้พูดว่ายกโทษหรือไม่ยกโทษให้เพราะว่าเขาเองก็ไม่ได้โกรธหรืออยากได้ยินคำขอโทษนี้ แต่สิงที่วิทยาอยากรู้มากกว่าคือทำไมถังถึงจงใจที่จะไม่ชอบหน้าของเขามากนัก แต่ในเมื่อต้นตะวันยกโทษให้อีกอย่างคืนนี้ก็จะเป็นคืนสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสองคนจะอยู่ที่ออสเตรเลียและยังไงวิทยาก็คงไม่ได้เจอกับถังอีกอยู่ดีวิทยาก็เลยได้แต่พยักหน้าตามที่ต้นตะวันพูดออกไป

"ตะวันไปเอาเงินมัดจำเถอะไปเคลียร์ให้เสร็จเดี๋ยวออฟฟิตมันปิด เดี๋ยวเราอยู่ห้องเก็บของทำความสะอาดที่เหลือเอง" 

วันนี้เป็นวันที่ทำสัญญาเลิกเช่าเมื่อเช้าเจ้าของที่พักมาทำเรื่องตรวจสถานที่เรียบร้อยแล้วและเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรต้นตะวันก็เลยจะได้เงินมัดจำคืน ที่จริงเจ้าของห้องมีทางเลือกให้อีกหนึ่งทางที่ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมนอนคือเก็บแค่ค่าเช่าอีกหนึ่งคืนเอาไว้แต่ต้นตะวันเห็นว่ายังไงก็ต้องจ่ายเงินต้นตะวันเลยขอไปเปิดห้องนอนที่โรงแรมดีกว่าด้วยเหตุผลที่ว่าสบายดีไม่ต้องกลัวมีปัญหาเรื่องข้าวของเสียหายอีกด้วย และไม่อยากมีปัญหาทีหลัง 

"เดี๋ยวผมช่วยเองก็ได้ พี่ไปเถอะ" เป็นเพราะตะวันดูท่าจะลังเลที่จะไปทำเรื่องเอามัดจำคืนถังเลยเอ่ยปากว่าจะช่วยวิทยาอีกเสียงต้นตะวันเลยวางใจ

"งั้นเดี๋ยวถ้าผมเสร็จเร็วเดี๋ยวผมกลับมาช่วย แต่ถ้าเสร็จช้าเดี๋ยวไปเจอกันที่โรงแรมเลยแล้วกัน"

"โอเค" พอต้นตะวันออกจากห้องไปห้องก็กลายเป็นห้องเงียบโดยสนิท วิทยากับถังไม่ได้เอ่ยปากคุยกันสักนิด ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ถังก็มีช่วยเลื่อนของนิดหน่อยถ้าเห็นว่าวิทยาเลื่อนคนเดียวไม่ไหวจริงๆ 

"ถังพี่วานมาช่วยยกฝูกหน่อยสิ" ในที่สุดก็เป็นวิทยาที่ทำลายความเงียบลงเพราะว่าเขาต้องการแรงงานจากถังเขาไม่สามารถยกฝูกขึ้นเพียงคนเดียวได้

"อุ้ย" 

แต่ทันทีที่ยกฝูกขึ้นถังก็ส่งเสียงร้องเหมือนตกใจออกมาทำให้วิทยาต้องหันหลับไปดู วิทยาคิดว่าใต้ฝูกคงจะมีพวกเศษอาหารหรือขยะบ้างแต่สิ่งที่วิทยาเห็นมันไม่ใช่ขยะแต่เป็นซองถุงยางที่ยังไม่ได้แกะ วิทยาไม่เคยเห็นซองถุงยางในห้องนี้มาก่อนเลยและเขาก็ไม่ได้เคยคิดแปลกใจด้วยเพราะว่า

"พี่ตะวันโคตรเด็ดเอาถุงยางมาซ่อนที่นี้อะนะ" 

"ซ่อน?"

"เอ้า ก็นี่ถุงยางของพี่ตะวัน พี่ไม่รู้เหรอว่าพี่ตะวันนะเขาก็ต้องใช้ถุงยางกับ เอ่อ ช่างมันเหอะ ท่าทางพี่จะไม่รู้"

"ถัง"

"ก็นี่มันห้องพี่ตะวัน ถุงยางอยู่ในห้องนี้" 

วิทยาเข้าใจและรู้ว่านี่คือห้องของต้นตะวันเพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็ต้องเป็นของต้นตะวันแต่ที่วิทยาไม่เข้าใจก็คือในเมื่อห้องนี้ก็มีเขาอยู่กับต้นตะวันเพียงเท่านั้นและตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากับต้นตะวันก็ไม่เคยมีอะไรไปมากกว่าการกอดจูบ และต้นตะวันเองก็ไม่มีทีท่าที่จะขอให้มีอะไรที่เกินเลยมากกว่านั้นเพราะฉะนั้นถ้ามันจะมีสิ่งนี้อยู่มันก็ต้องมีก่อนหน้านั้น ซึ่งนั้นก็

"งั้นถังจะบอกว่า"

"ผมไม่บอกอะไรพี่หรอก แต่เรื่องถุงยางพี่ลองคิดเอาเองแล้วกัน"

วิทยาพยายามคิดให้เจอหลายคำตอบถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมีสิ่งนี้อยู่ที่ห้องนี้ แต่เขาก็คิดได้แค่ไม่กี่คำตอบนั้นคือถังรู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้ หรือทางที่แย่ที่สุดคือถุงยางพวกนี้ต้นตะวันจะมีไว้ใช้กับถัง
 
ตลอดช่วงบ่ายวิทยาได้แต่ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องถุงยางที่เจอและกำลังชั่งใจว่าเขาสมควรที่จะพูดเรื่องนี้กับต้นตะวันดีรึไม่ ในอีกทางเองต้นตะวันก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างไม่เป็นปกติ เพราะตั้งแต่ต้นตะวันกลับมาเจอวิทยาที่โรงแรมจนตอนนี้ถังก็กลับไปแล้ววิทยาแทบจะไม่พูดกับเขาเลย จากคนที่คอยชวนคุยชวนดูสิ่งต่างๆ ก็กลายเป็นคนที่เอานั่งคิ้วขมวดก้มหน้าก้มตา แต่เพราะรู้จักกันมาได้สักพักแล้ว ต้นตะวันก็พอรู้ว่าถ้าวิทยายังไม่อยากที่จะพูดต่อให้เขาถามอะไรออกไปสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คงเป็นแค่คำว่า "เปล่า" อยู่ดีเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เขาเคยถามไป

"เย็นนี้ซื้ออะไรเข้าไปกินที่โรงแรมดีหรือว่าจะกินข้างนอกดีครับ?"

"เราตามใจตะวันเลย" 

"งั้นซื้อไปกินที่โรงแรมนะครับ" 

ต้นตะวันอยากพูดอยากเคลียร์กับวิทยามากกว่าถ้ากินข้าวข้างนอกโอกาสที่จะได้เคลียร์กันก็จะลดลงตาม อีกอย่างพรุ่งนี้ก็ต้องบินกันแล้ว ยื้อเวลาได้นานที่สุดก็แค่ 9 ชั่วโมงที่อยู่บนเครื่อง พอคิดถึงเรื่องนี้ต้นตะวันก็รู้สึกเอ๊ะใจว่าที่วิทยาเงียบไปอาจจะเป็นเพราะว่าวิทยาจะรู้เรื่องตั๋วแล้วที่เขาแอบมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในตั๋วโดยที่ไม่บอกก่อน

"อิ่มแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อนเลยละกัน" 

"อื้มครับ เดี๋ยววิทอาบเสร็จผมอาบต่อ"

ความกังวลที่เกิดขึ้นมันทำให้ต้นตะวันเงียบตามวิทยาไปด้วย แล้วพอวิทยาเห็นต้นตะวันเงียบวิทยาก็คิดไปว่าที่ต้นตะวันเงียบไปเพราะว่าไม่อยากอยู่ห่างจากถัง ต่างคนต่างคิดกันไปคนละแบบแม้จะอยู่ในห้องเดียวกัน

"ตะวัน" แต่พอต้นตะวันเดินออกมาจากห้องน้ำวิทยาก็เลือกแล้วว่าเขาต้องพูดเขาไม่สามารถนั่งอยู่เงียบๆ ไปเฉยๆ อย่างนี้ได้ทั้งคืนอย่างแน่นอน

"ครับ"

"เราถามอะไรสักอย่างได้ไหม?"

"อื้มได้สิ"

"ตั้งแต่ที่เราทะเลาะกันเรื่องเอ่อ เรื่องที่เราไม่ได้ให้ตะวันกอดเราที่นิวคาสเซิลนะ เรารู้นะว่าตะวันแอบทำอะไรกับเราบ้างที่เมลเบริ์น"

"ผมขอโทษ" ในที่สุดต้นตะวันก็โล่งอกที่เป็นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตั๋ว แต่ที่เขาแปลกใจก็คือเรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้วแต่ทำไมวิทยายังคงเอามาเป็นอารมณ์ในวันนี้ หรือว่าจะรู้สึกรังเกียจที่เขาสัมผัสจริงๆ

"เราอยากรู้ว่าทำไมหลังจากนั้นตะวันไม่เคยคิดจะอยากสัมผัสเราอีกเลยละ?"
 
"ครับ?"

"คือ ตะวันดูไม่เคยแม้แต่จะแอบทำเหมือนที่เมลเบริ์นอีกเลย ตะวันไม่รู้สึกอะไรกับร่างกายเราแล้วเหรอ"

ต้นตะวันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ยังไงดีเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้วิทยาถามคำถามนี้กับเขาขึ้นมา สิ่งที่ต้นตะวันตัดสินใจทำไม่ใช่การตอบคำถามแต่เป็นการที่เดินเข้าไปจูบวิทยาที่นั่งอยู่ที่เตียง การเริ่มจูบของเขาทั้งสองเป็นไปด้วยความเชื่องช้า จูบที่ต้นตะวันป้อนให้กับวิทยาเป็นจูบของการแสดงความอ่อนโยนความเป็นห่วง จากความเป็นห่วงเริ่มเป็นจูบของความต้องการ และในเมื่อวิทยารับรู้ได้ถึงความต้องการของต้นตะวันวิทยาก็จูบตอบกลับไปในแบบเดียวกัน
 
"คราวนี้รู้แล้วรึยังว่าผมรู้สึกยังไง" ต้นตะวันยอมผละปากของเขาออกมาห่างจากปากของวิทยาเพื่อที่จะเอามือของวิทยามาจับสัมผัสลงบนความเป็นชายของเขาที่ตอนนี้กำลังตื่นตัวเพียงแค่เขาได้จูบกับวิทยา

"ตะวัน"

"ในทุกครั้งผมก็รู้สึกแบบนี้แหละ ทุกครั้งที่เราจูบกันผมก็เป็นแบบนี้ตลอด บางครั้งผมสามารถกลั้นใจทำให้มันสงบลงได้บางครั้งผมก็ต้องไปทำให้มันไปสงบลงในห้องน้ำ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจูบกับวิทแล้วผมไม่เป็นแบบนี้"

"แล้วทำไมตะวันไม่เคยบอก?"

"แล้วจะให้ผมพูดว่าอะไร ในเมื่อตอนที่เราทะเลาะกันก็เป็นเพราะผมไม่หักห้ามใจตัวเองได้ ที่เมลเบริ์นผมเองก็ละอายแก่ใจที่แอบทำอะไรกับวิทตอนที่วิทหลับไปแล้ว แล้วจะให้ผมพูดอะไรครับ"

"ก็ๆ ที่เราทะเลาะกันเพราะว่าตะวันไม่เคยบอกชอบเรา"

"อะหะ"

"แต่ตอนนี้ตะวันบอกแล้ว"

"ขอบคุณนะครับ"

"จะไปไหน" 

เพราะว่าพอต้นตะวันพูดขอบคุณกับวิทยา ต้นตะวันก็เอามือลูบลงที่หัวของวิทยาและก็ทำท่าที่จะผละตัวออกไป วิทยาตกใจเขาก็เลยเอาขาขึ้นเกี่ยวช่วงต้นขาของต้นตะวัน ส่วนต้นตะวันเองก็ไม่ทันได้ตั้งแต่ตัวเช่นกันทำให้เขาเสียหลักลงไปที่เตียง ดีที่เขายังตั้งตัวได้ทันในช่วงสุดท้ายเขาเลยไม่ได้นอนทับลงไปที่ตัวของวิทยา ต้นตะวันสามารถเอาช่วงแขนท้าวเอาไว้กับเตียงได้ทัน
 
"จะไปห้องน้ำครับ ครั้งนี้ผมต้องไปห้องน้ำนะ วิทน่ารักเกินไปผมทำให้มันลงเองไม่ได้"

"ไม่ต้องไป"

"วิทครับ"

วิทยาไม่ปล่อยให้ต้นตะวันพูดหรือเอ่ยอะไรต่อไป วิทยาเอามือขึ้นคล้องคอกับคอของต้นตะวันดึงหน้าของตะวันให้ลงมาเพื่อที่วิทยาจะได้สามารถประทับจูบลงบนลงริมฝีปากของต้นตะวันได้โดยง่าย จูบที่ทั้งสองมอบให้แก่กันมันเต็มไปด้วยทั้งความอ่อนโยนและความต้องการ

"ถ้าวิทไม่ปล่อย ผมจะ หยุดไม่ได้แล้วนะ" เพราะความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดและต้นตะวันก็ไม่สามารถจะอดทนได้อีกถ้าวิทยายังไม่ปล่อยเขาไปตั้งแต่ตอนนี้

"งั้นก็ไม่ต้องหยุด กอดเรานะกอดเรา" 

"วิท"  ต้นตะวันหยุดการกระทำทุกอย่างลง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการแต่ครั้งนี้มันมีอะไรที่เขาไม่เข้าใจ

"กอดเราแล้วอย่าไปกอดใครอีกนะ เรายอมแล้วเรายอมนานแล้ว" เพราะแม้ว่าต้นตะวันจะหยุดแต่วิทยาไม่ได้หยุดตามที่เขาหยุด วิทยาในเมื่อไม่สามารถที่จะจูบกับต้นตะวันได้ วิทยาก็เอามือของตัวเองลงไปสัมผัสกับความตื่นตัวของต้นตะวันแทน 

"คุย อื้ม กันก่อน"

"ตะวันไม่อยากกอดเราแล้วเหรอ?" เพราะว่าช่วงขาของวิทยายังคงเกี่ยวอยู่กับช่วงสะโพกของต้นตะวัน วิทยาเลยใช้ขาทั้งสองข้างของเขาเหนี่ยวรั้งให้ต้นตะวันเข้ามาใกล้กับเขามากขึ้น แต่ครั้งนี้ต้นตะวันไม่โอนผ่อนตาม

"อยากกอดสิครับ หลักฐานที่อยากก็ยังอยู่ แต่วิทเป็นอะไร เราต้องคุยกันก่อน"

"วันนี้เราเจอถุงยางในห้องตะวัน" 

"ครับ?" ยังไม่ทันที่ต้นตะวันจะหายสงสัยว่าเจออะไรนะ วิทยาก็หยิบเอาถุงยางซองนั้นออกมาให้ต้นตะวันดู
 
"เราเจอมันอยู่ใต้ฝูก เราอยากรู้ทำไมมันอยู่ในห้องของตะวัน"

"มันไม่ใช่ของผม"

"ตะวันเราอยู่กันสองคนในห้อง ในเมื่อมันไม่ใช่ของเรามันก็น่าจะเป็นของตะวัน หรือว่า..." หรือว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นของถังและ
"ก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่ของผม ผมทำให้ดู"

การกระทำสำคัญกว่าคำพูดต้นตะวันคิดแบบนี้เสมอมาและครั้งนี้เขาก็จะเอาหลักการนี้มาใช้กับวิทยาเช่นกัน ต้นตะวัน ก้มลงไปจูบวิทยาอีกครั้ง ไล่จากปากมาที่ต้นคอ ไห้ปลาร้า มือของต้นตะวันถอดเสื้อยืดสีเขียวอ่อนที่วิทยาสวมใส่อยู่ออกแล้วก็เริ่มสำรวจไปทั่วช่วงอกของวิทยา วิทยาไม่ได้เป็นคนอ้วนแต่ก็ไม่ได้เป็นคนฟิตหุ่น เพราะฉะนั้นช่วงท้องของวิทยาจึงนุ่มนิ่มและต้นตะวันก็ชอบความนุ่มนิ่มนี้เขาเลยเสียเวลาอยู่กับส่วนนี้ของร่างกายของวิทยานานเป็นพิเศษ

"ผมขอถอดหมดนะครับ" ในเมื่อเสื้อหลุดออกไปแล้วอุปสรรคเดียวที่ยังเหลืออยู่ในการที่จะสัมผัสกันให้แนบชิดก็เหลือเพียงแค่บ๊อกเซอร์ด้านล่างนี้ วันนี้วิทยาใส่แค่บ๊อกเซอร์ไม่ได้ใส่ชั้นในไว้อีกทีเพราะฉะนั้นแค่ต้นตะวันรูดบ๊อกเซอร์ลงมาก็ทำให้ส่วนอ่อนไหวของวิทยาโผล่พ้นออกมาสู่แก่สายตาของต้นตะวัน

"อย่า จับ สิ" เพราะมันไม่ใช่มือของตัวเองวิทยาก็เลยไม่คุ้นชินที่จะถูกสัมผัสแบบนี้ในมือของคนอื่น มันรู้สึกมากกว่าทุกครั้งและนั้นก็ทำให้วิทยารู้สึกเขินอายที่แค่ต้นตะวันสัมผัสด้วยมือตัวเขาเองก็เป็นได้มากถึงขนาดนี้

"ถ้าอายงั้นจับของผม"  ต้นตะวันก็ลอกคราบตัวเองหมดแล้วเขาเอื้อมมือไปดึงมือของวิทยาที่ว่างอยู่มาสัมผัสความต้องการของเขา

"อ๊า" ทันทีที่ความต้องการของทั้งสองคนได้สัมผัสกันวิทยาก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อีกต่อไป พอต้นตะวันเห็นอาการดังนั้นเขาก็จับเอาความต้องการของทั้งเขาและของวิทยามารวมไว้ด้วยกันและให้ความสุขแก่ทั้งสองคนไปพร้อมๆ กัน วิทยาส่งเสียงร้องออกมาโดยไม่มีการกลั้นเสียงเอาไว้ และเสียงนั้นมันยิ่งทำให้ต้นตะวันรู้สึกมีอารมณ์มากขึ้นไปอีกจนเขาเกือบที่จะไม่สามารถบังคับตัวเองได้เหมือนกัน

"อะ เราจะไป" แต่เป็นฝ่ายวิทยาที่ไม่สามารถอดทนได้ตลอดแค่สิ้นคำของตัวเองเขาก็ปลดปล่อยทุกหยาดน้ำความต้องการออกมาในมือของต้นตะวัน วิทยารีบก้มหน้างุดเก็บความอายแต่เหมือนเขาจะคิดผิดที่ทำแบบนั้นเพราะพอเขาก้มหน้าลงไปเขาก็ยังคงเห็นความต้องการของต้นตะวันที่ยังคงตื่นตัวอยู่ตรงหน้าของเขา

"เอ่อ เราช่วยไหม"

"วิทไปหยิบถุงยางนั้นมาที" วิทยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถ้าต้นตะวันใส่ถุงยางเขาก็รู้แล้วว่าเขาต้องเจอกับอะไร แต่ครั้งนี้เขายินยอมเขาพร้อมใจให้มันเกิดขึ้น วิทยาจึงยกตัวขึ้นไปหยิบถุงยางมาแล้วฉีกออก

"ใส่มันให้ผมได้ไหมครับ" ตอนนี้ต้นตะวันพลิกตัวมานั่งที่เตียงแล้วให้วิทยาเป็นคนลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างๆ เขาเพื่อที่จะลงมือใส่ถุงยางให้กับเขา

"เอ๊ะ" ในขณะที่วิทยาพยายามที่จะใส่ถุงยางให้แก่ต้นตะวันตามที่ต้นตะวันขอ เขากลับค้นพบว่า

"ตะวัน มันใส่ไม่ได้ มันหลวมไม่พอดี" 

"ก็เพราะมันไม่ใช่ของผมไงครับ" ต้นตะวันเอี้ยวตัวเข้ามาใกล้กับวิทยาเพื่อที่จะจูบปลอบที่ขมับ ใช่แล้วถุงยางซองนี้ไม่ใช่ของเขาเขามั่นใจเพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนซื้อมาและเขาก็ไม่ได้พกมาจากไทย เขาก็ไม่รู้ว่าซองเจ้าปัญหานี้มาอยู่ในห้องของเขาได้ยังไง ถ้าเขาเอาแต่พูดว่าไม่ใช่และยืนกรานที่จะเป็นแบบนั้นวิทยาอาจจะเชื่อเขา แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าความเชื่อนั้นไม่ได้มีความเคลือบแครงปนอยู่ด้วย ต้นตะวันเลยอยากทำแบบนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ 

"ตะวัน" ตอนนี้วิทยารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ของต้นตะวัน วิทยา็รู้สึกโล่งอก แต่ความโล่งอกมันมาพร้อมกับอารมณ์ที่เพิ่งดับมอดไปเมื่อกี้อารมณ์นั้นกลับลุกโหมขึ้นมาใหม่ 

"งั้นเราช่วยนะ" ต้นตะวันคิดแค่ว่าวิทยาจะใช้มือช่วยปลดปล่อยให้เขาแต่แล้ววิทยาก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นด้วยการที่ก้มหน้าลงไปที่หว่างขาของต้นตะวันแล้วก็เริ่มใช้ริมฝีปากและปลายลิ้นสัมผัสความเป็นตัวตนของต้นตะวันตั้งด้านล่างมาจนถึงช่วงปลานโคน

"อื้มม วิท" ยิ่งเสียงที่ต้นตะวันเปร่งออกมาเป็นเสียงแห่งความพอใจวิทยาก็เริ่มขยับปากของเขาให้เร็วขึ้น อ้าให้กว้างขึ้นเพื่อที่จะได้รับความเป็นต้นตะวันได้หมด และที่น่าแปลก ในขณะที่เขากำลังทำให้ต้นตะวันนั้นตัวเขาเองก็มีปฎิกริยาเช่นกัน เขาเลยเอามือของเขาไปรูดรั้งเพื่อที่จะช่วยตัวเองให้ไปถึงที่พร้อมกับต้นตะวัน

"วิท ผม"

ต้นตะวันดึงใบหน้าของวิทยาขึ้นมา ไม่ใช่ว่าวิทยาทำไม่ดีหรือว่าไม่ถูกใจแต่เขาไม่ได้อยากปลดปล่อยด้วยปากของวิทยาเขาต้องการอะไรที่รู้สึกมากกว่านี้ ต้นตะวันจับตัววิทยาให้นั่งหันหลังให้เขา วิทยายิ่งคิดจินตนาไปไกล น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวอยู่เลยทุกจินตนาการของเขามีแต่ความตื่นเต้น

"ผมขอข้างนอกนะครับ" ต้นตะวันไม่ได้ล่วงล้ำเข้าในตัวของวิทยา ต้นตะวันแค่เอาตัวต้นของตัวเองไปอยู่ที่ระหว่างขาของวิทยาแล้วก็บีบช่วงสะโพกของวิทยาให้แน่นขึ้น

"ตะวัน" วิทยาเปร่งชื่อของต้นตะวันออกมาตอนที่เขาไปถึงฝั่งฝันอีกครั้ง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้นตะวันไม่ยอมกอดเข้ามาในตัวของเขาแต่วิทยาก็รับรู้ได้ถึงความรักในทุกการกระทำ ทุกการสัมผัส และเพียงครุ่ต่อมาต้นตะวันก็ไปถึงฝั่งฝันและได้ปล่อยทุกหยาดน้ำของเขาลงมาบนหลังของวิทยา

"ต้องอาบน้ำกันอีกรอบเลย"

คืนนั้นพอออกมาจากห้องน้ำต่างคนต่างเพลียวิทยาพอหัวถึงหมอนได้ก็หลับตาลงทันทีแต่ยังไม่วายที่จะคว้าตัวของต้นตะวันเข้ามากอดเอาไว้ สำหรับต้นตะวันตอนนี้เขาได้แต่นึกขอบคุณไม่ว่าใครก็ตามที่มาลืมซองนั้นในห้องของเขาเพราะมันทำให้เขากับวิทยากระเถิบความสัมพันธ์ขึ้นมาอีกขั้น แต่ก่อนจะหลับตาลง เขาก็ไม่ลืมที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดเข้าโปรแกรมยอดฮิตสีเขียวอันนึงพร้อมเตรียมคุยกับใครอีกคนที่ตอนนี้อยู่ห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมงว่า
 
ตะวัน : “พี่หว่าครับ ถ้าพี่หลับแล้ว ตอนตื่นมาพี่อย่าลืมสัญญาที่พี่ให้กับผมก่อนผมจะมาเรียนนะครับ ว่าถ้าผมยอมมาเรียนที่นี้พี่จะช่วยพูดกับพ่อผมให้เรื่องที่ผมจะมีแฟนเป็นผู้ชาย เพราะว่าตอนนี้ผมเจอคนที่ผมอยากเอาไปเปิดตัวกับพ่อแล้วนะครับพี่หว่า”
 
หลังจากส่งข้อความหาพี่หว่าเสร็จต้นตะวันก็ตั้งปลุกปิดเครื่อง แล้วก็ต้องตัดใจนอนจริงๆ เสียที ก่อนจะนอนเขาหันไปมองคนที่นอนกอดเขากลมอีกทีแอบหอมแก้มของคนข้างๆ กายที่ตอนนี้มีสิวขึ้นอีกสักหน่อยพร้อมกับกระซิบข้างหูไปว่า "รักวิทนะครับ"

....โปรดติดตามตอนต่อไป....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด