จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จ้าวดวงใจจอมราชันย์ (นิยายกำลังภายในแฟนตาซี สัตว์อสูร):ตอนที่12 (29/05/2016) P.5  (อ่าน 37324 ครั้ง)

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



**************************************************************************************





บทที่ 1    เด็กน้อยบนเทือกเขามังกรอัคคี


ใต้ผืนนภาอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีดินแดนยิ่งใหญ่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทุกทิศเป็นที่อาศัยของผู้คน สัตว์อสูรและสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมาย ผู้คนบนแผ่นดินแห่งนี้ได้ขีดแบ่งพื้นที่ออกเป็นเจ็ดดินแดนหลัก ได้แก่ดินแดนฟ้าไพศาล ดินแดนมายาจันทรา ดินแดนเทวะอัคคี ดินแดนวายุอัสนี ดินแดนทิวเมฆา ดินแดนดาราซ่อนเร้น และดินแดนหมื่นอสูร โดยในแต่ละดินแดนนั้นต่างก็มีผู้ยิ่งใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้เป็นผู้ปกครอง

บนผืนปฐพีในดินแดนทั้งเจ็ดต่างวัดความแข็งแกร่งกันที่พลังยุทธ์ ผู้ที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสูงจึงจะเรียกเป็นผู้แข็งแกร่ง ระดับของพลังยุทธ์มีการจัดแบ่งไว้อย่างชัดเจนมีทั้งหมดเก้าระดับขั้นเรียงลำดับจากต่ำไปสูงดังนี้ระดับก่อกำเนิด ระดับผู้ฝึกยุทธ์ ระดับจอมยุทธ์ ระดับยอดยุทธ์ ระดับจ้าวยุทธ์ ระดับราชันย์ ระดับมหาราชันย์ ระดับจักรพรรดิ และระดับมหาจักรพรรดิ โดยแต่ละระดับยังแบ่งย่อยออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง

ผู้คนบนแผ่นดินนี้มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือคนธรรมดาที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ เนื่องจากเมื่อตอนถือกำเนิดไม่มีพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดติดตัวมาจึงไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ และประเภทที่สองคือเหล่าผู้ฝึกพลังยุทธ์ เป็นคนที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิด จึงสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์เพื่อเป็นผู้แข็งแกร่งได้ ในกลุ่มของผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้น หากเกิดมามีพลังก่อกำเนิดในระดับกลางขึ้นไปถือเป็นเด็กอัจฉริยะที่นานทีจะปรากฏมีขึ้นสักคน ในการฝึกพลังยุทธ์นั้นต้องฝึกฝนตามพลังธาตุของพลังก่อกำเนิดที่ติดตัวมา อันมีพลังธาตุพื้นฐานสี่ธาตุได้แก่พลังก่อกำเนิดธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ อีกทั้งยังมีพลังธาตุพิเศษอื่นๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งเช่นพลังธาตุน้ำแข็ง พลังธาตุสายฟ้า พลังธาตุทองเป็นต้น

ในโลกที่ยกย่องผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำผู้อ่อนแอเช่นนี้ หากท่านต้องการเป็นที่ยอมรับ ไม่ต้องการเป็นเพียงเศษหญ้าที่อยู่ใต้เท้าของผู้อื่น ก็ต้องรู้จักฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อยกระดับพลังยุทธ์ให้สูงขึ้น ผู้คนบนผืนแผ่นดินนี้ต่างรู้จักวิธีการยกระดับพลังของตนเอง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธีเช่นการฝึกฝนตามตำรายุทธ์ระดับต่างๆ การรับประทานโอสถเพื่อเพิ่มพลัง การใช้ธาตุของสัตว์อสูรช่วยเพิ่มพลัง หากแต่ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะสามารถใช้วิธีการเหล่านี้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นตำรายุทธ์ขั้นกลางถึงขั้นสูง โอสถวิเศษต่างๆ รวมไปถึงธาตุของสัตว์อสูร ล้วนแล้วแต่มีราคาอันแพงลิบลิ่วเกินกว่าที่ครอบครัวของคนธรรมดาจะอาจเอื้อมถึง

---------------------------------------------------------------------


เทือกเขามังกรอัคคี บนดินแดนฟ้าไพศาลในยามนี้อยู่ในช่วงที่ต้นไม้น้อยใหญ่กำลังผลิใบใหม่เขียวขจีไปทั่ว ต้นสนใหญ่อายุนับร้อยปียืนต้นตั้งตรงดูสง่า แว่วเสียงคำรามกู่ก้องของสัตว์อสูรมาตามสายลมให้ได้ยินเป็นครั้งคราว
 
ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเขาอันสูงชันเห็นเด็กชายอายุประมาณสิบขวบ ดวงตากลมโตสุกใสอยู่ภายใต้แพขนตายาว ใบหน้าเรียวดูใสสะอาดตา จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า ผิวพรรณขาวผ่อง หากเติบใหญ่ขึ้นกว่านี้คงจะเป็นหนุ่มรูปงามอันเป็นที่หมายปองของบุรุษสตรีเป็นแน่แท้ เห็นเด็กชายผู้นั้นนั่งเหยียดขาพิงลำต้นไม้ใหญ่ ในมือถือผลไม้รูปลักษณ์แปลกตาขบเขี้ยวรับประทานดูน่าเอร็ดอร่อย สายตามองเหม่อไปยังทิวเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่ไกลตา

เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่เด็กน้อยปรากฏตัวขึ้นมาอาศัยอยู่บนเทือกเขามังกรอัคคีแห่งนี้แต่โดยลำพัง ไม่น่าเชื่อว่าด้วยรูปลักษณ์ที่บอบบางดูไร้ซึ่งกำลังวังชาถึงเพียงนั้น อายุเยาว์วัยถึงเพียงนั้น จะฝ่าดงสัตว์อสูรขึ้นมาบนเทือกเขานี้ได้โดยไม่ได้รับอันตราย หากไม่ใช่ว่ามีพลังยุทธ์อันเร้นลับซุกซ่อนไว้ ก็คงเป็นเพราะมีโชควาสนา หรืออาจจะมีชะตาชีวิตที่ยังไม่ถึงฆาต จึงไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์อสูรดุร้ายเหล่านั้นไปเสียก่อน

“เฮ้อ…เกือบหนึ่งเดือนแล้วสิเฟยหลงที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ” เสียงทอดถอนหายใจ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำอย่างแผ่วเบาดังขึ้นจากปากเด็กน้อย สายตาจับจ้องมองไปยังที่ห่างไกลออกไป หากแต่ในห้วงคำนึงกำลังครุ่นคิด

จ้าวเฟยหลงเกิดมาพร้อมกับพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับสูง ถือเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่เกิดดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ นำความปีติยินดีมาสู่ตระกูลจ้าวยิ่งนัก ด้วยฐานะครอบครัวที่พรั่งพร้อมทั้งด้านกำลังคนและกำลังทรัพย์ จ้าวเฟยหลงได้รับการดูแลประคบประงมเป็นอย่างดีราวกับไข่ในหิน ได้รับการบำรุงร่างกายด้วยโอสถวิเศษและสมุนไพรล้ำค่าหายากมากมายนับไม่ถ้วนตั้งแต่เยาว์วัย ด้วยถือว่าอัจฉริยะน้อยผู้นี้เป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต และอาจจะถึงขั้นเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ที่สามารถบรรลุถึงขั้นมหาจักรพรรดิเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ก็เป็นได้

ท่ามกลางความคาดหวังของทุกผู้คน เมื่อจ้าวเฟยหลงมีอายุได้สามขวบถึงเวลาที่จะต้องเริ่มฝึกพลังยุทธ์ตามพลังธาตุนั้นกลับพบว่า ในร่างกายของเขามีพลังธาตุที่สับสน จนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นพลังธาตุชนิดใด ยังความแปลกใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจ้าวเป็นอย่างยิ่ง หากแต่พวกเขาก็ยังไม่หมดหวังต่างคาดคิดว่าเป็นเพราะจ้าวเฟยหลงอาจจะยังเด็กพลังธาตุในร่างกายอาจจะยังไม่สามารถรวมตัวได้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักรอให้จ้าวเฟยหลงโตขึ้นอีกสักนิด น่าจะตรวจสอบพลังธาตุในร่างกายได้ และเริ่มต้นฝึกในตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไป ถึงอย่างไรอัจฉริยะก็ต้องเป็นอัจฉริยะ ไม่ว่าจะช้าจะเร็วเขาจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลจ้าวและดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้อย่างแน่นอน

เมื่อจ้าวเฟยหลงอายุได้ห้าขวบ มารดาผู้ให้กำเนิดพลันล้มป่วยด่วนลาโลกจากไปอย่างกะทันหัน ยังความเสียใจมาให้เด็กน้อยยิ่งนัก จากนกน้อยที่มีปีกของมารดาคอยโอบอุ้มและปกป้อง กลับกลายเป็นต้องอ้างว้างเดียวดาย แม้จะมีบิดาและพี่ชายคอยดูแลแต่ไหนเลยจะเทียบเท่ากับความรักความผูกพันจากผู้เป็นมารดาได้ จ้าวเฟยหลงในวัยห้าขวบถึงกับตรอมใจจนล้มป่วยหนัก ผู้เป็นบิดาต้องระดมแพทย์ผู้มีความสามารถทั่วดินแดนฟ้าไพศาลมาช่วยรักษาจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ และจากการป่วยในครั้งนั้นเองทำให้เด็กน้อยผู้เป็นอัจฉริยะ มีร่างกายที่แข็งแรงเนื่องจากได้รับการดูแลเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกพลังยุทธ์ กลับกลายเป็นเด็กน้อยขี้โรคธรรมดา อีกทั้งพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับสูงที่ติดตัวมายังถดถอยจากกลายเป็นพลังยุทธ์ขั้นก่อกำเนิดระดับต่ำเพียงเท่านั้น แม้ว่าจ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาและจ้าวเฟยเทียนผู้เป็นพี่ใหญ่ของเขาจะพยายามรักษาและสรรหาโอสถวิเศษมาช่วยเพิ่มพลังให้ก็ไม่เป็นผล อีกทั้งพลังธาตุภายในร่างกายที่สับสนมาตั้งแต่แรกนั้นกลับปั่นป่วนขึ้นมาทำให้เมื่อใดที่เขาเรียกใช้หรือฝึกพลังยุทธ์ร่างกายจะได้รับความเจ็บปวด บัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวหนาว อวัยวะภายในปั่นป่วนต้องทนทุกข์ทรมานเกินกว่าที่เด็กน้อยเยาว์วัยเช่นนั้นจะทนรับไหว นับตั้งแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้ฝึกพลังยุทธ์อีกเลย

เมื่อพลังยุทธ์เสื่อมถอยไปจากอัจฉริยะที่มีผู้คนคอยห้อมล้อมหน้าหลัง กลับกลายเป็นตัวประหลาดที่ทุกคนเหลือบมองด้วยสายตาหยามเหยียด และคอยหลีกเลี่ยงไม่อยากเสวนาด้วย แต่นี่จะโทษใครได้ หากจะโทษก็โทษที่โลกใบนี้ยกย่องในพลังของผู้เข้มแข็งเหยียบย่ำผู้อ่อนแอเถอะ

ถึงจะไม่สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้แต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่นึกเสียใจ การเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของเขา นับแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็หันมาศึกษาตำรับตำราในหอหมื่นอักษร ซึ่งรวบรวมตำราทุกชนิดเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นตำราพิชัยสงครามโบราณ ตำราอักษรกาพย์กลอน ตำราดนตรีกวีนิพนธ์ ตำราค่ายกลต่างๆ ตำราหมื่นสัตว์อสูรที่รวบรวมเรื่องราวของสัตว์อสูรในแดนดิน แม้แต่ตำราฝึกพลังยุทธ์พื้นฐานเขาก็ศึกษาแม้จะไม่สามารถฝึกฝนได้ก็ตาม แต่ที่ถูกใจจ้าวเฟยหลงเป็นพิเศษกลับเป็นตำราวรยุทธ์โบราณที่ถูกวางไว้ที่มุมหนึ่งของหอหมื่นอักษรไร้ผู้คนสนใจ จากการศึกษาจ้าวเฟยหลงพบว่า สิ่งที่เรียกว่าวรยุทธ์โบราณนั้นแตกต่างจากพลังยุทธ์ที่ผู้คนในดินแดนฟ้าไพศาลฝึกฝนตรงที่วิธีการรวบรวมพลังและวิธีการเคลื่อนพลังปราณซึ่งมีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป การฝึกพลังยุทธ์นั้นต้องอาศัยพลังก่อกำเนิดเป็นฐานพลังแล้วฝึกฝนวิธีการเคลื่อนพลังปราณให้มีระดับที่สูงขึ้น หากแต่วรยุทธ์โบราณนั้นไม่จำเป็น ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถฝึกฝนได้ วรยุทธ์โบราณจะเริ่มฝึกฝนตั้งแต่วิธีการสั่งสมพลังลมปราณหรือพลังวัตร โดยการโคจรลมปราณผ่านจุดต่างๆ ในร่างกายรอบแล้วรอบเล่า ยิ่งฝึกฝนลมปราณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น พลังวัตรก็ยิ่งแข่งแกร่ง จากนั้นจึงอาศัยลมปราณเป็นฐานใช้ออกผ่านวิชาการต่อสู้ซึ่งมีทั้งวิชาฝ่ามือ ท่าเท้า อาวุธลับ เพลงกระบี่ เพลงดาบและอาวุธอื่นๆ อีกมากมาย

จ้าวเฟยหลงตัดสินใจฝึกฝนวิชากำลังภายในที่เรียกว่าวิชาลมปราณผนึกฟ้า ซึ่งมีจุดเด่นที่เป็นวิชาลมปราณสายธรรมชาติช่วยให้ผู้ฝึกสามารถดึงพลังธาตุจากธรรมชาติมาใช้ได้ จึงง่ายต่อการฝึกฝนและสามารถสั่งสมพลังลมปราณได้ในเวลาอันสั้น หากแต่เส้นทางการโคจรของลมปราณนั้นมีความซับซ้อนยิ่งนัก ต้องโคจรผ่านจุดต่างๆ มากกว่าหนึ่งร้อยแปดจุด มีทั้งจุดเปิดเผยและจุดซ่อนเร้น หากไม่ใช่อัจฉริยะเช่นจ้าวเฟยหลงเกรงว่าไม่สามารถทำความเข้าใจแนวทางการโคจรลมปราณผนึกฟ้าได้ง่ายดายเช่นนี้ เขาใช้เวลาฝึกฝนโดยนั่งกรรมฐานรวบรวมพลังไว้ที่จุดตันเถียนที่ท้องน้อยอยู่สามวัน ในค่ำของวันที่สามนั่นเองจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังความร้อนที่ท้องน้อย จ้าวเฟยหลงรู้สึกยินดียิ่งนัก พยายามประคับประคองสติขับเคลื่อนพลังกลุ่มนั้นให้เคลื่อนไปตามจุดชีพจรต่างๆ ทั่วร่างกายใช้เวลาถึงหนึ่งวันจึงโคจรพลังได้ทั่วทุกจุด

น่าแปลก! ในช่วงที่เขาเก็บตัวฝึกโคจรพลังอยู่นั้นร่างกายของมันไม่รู้สึกถึงความหิวโหย ร่างกายที่ไม่ได้พักผ่อนหลับนอนมาหลายวันกลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นับแต่นั้นเขาก็ตั้งใจฝึกฝนลมปราณผนึกฟ้าไม่ได้ขาด เด็กน้อยที่โชคชะตาเล่นตลกจากที่เคยนั่งอยู่บนจุดสูงสุดพลันตกลงมาอยู่ใต้หุบเหวลึกอันมืดมิด เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่สาดส่องลงมาบ้างแล้ว

หลังจากนั้นจ้าวเฟยหลงก็หันมาศึกษาวิชาอื่นควบคู่ไปกับการฝึกลมปราณโดยเขาเลือกฝึกวิชาท่าเท้าเงามายา ซึ่งเป็นวิชาตัวเบาที่ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดุจดั่งเงาภูติพราย ฝึกวิชาฝ่ามือสุริยันต์บรรจบฟ้าสำหรับการต่อสู้ในระยะประชิดและฝึกวิชาซัดขว้างอาวุธลับดาราพร่างพราว นอกจากนั้นยังฝึกเพลงกระบี่หิมะพลิ้ว ซึ่งเป็นเพลงกระบี่ที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เกือบห้าปีที่ซุ่มฝึกฝนวิชาต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ จนถึงวันนี้นับว่าความพยายามที่ทุ่มเทไปไม่สูญเปล่า จ้าวเฟยหลงมีความก้าวหน้าในทุกวิชาที่ฝึกฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาลมปราณผนึกฟ้าด้วยวัยเพียงสิบปีแต่กลับมีพลังวัตรเทียบเท่าผู้ฝึกวิชาลมปราณมานับห้าสิบปี แต่หากจะเทียบกับระดับพลังยุทธ์ในดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้ ตอนนี้เขาคงอยู่ในระดับยอดยุทธ์ ขั้นต้นแล้ว นับว่าสวรรค์ยังคงปราณีไม่เหยียบย่ำจนอัจฉริยะต้องหมดสิ้นหนทางไป

บนดินแดนที่ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้จ้าวเฟยหลงจะถือกำเนิดในตระกูลที่เพียบพร้อมอยู่ในฐานะคุณชายคนหนึ่งของตระกูล  หากแต่ด้วยระดับพลังยุทธ์ขั้นต่ำที่ไม่สามารถฝึกฝนให้สูงขึ้นได้ตลอดชีวิต ในสายตาของคนในตระกูลแล้วจ้าวเฟยหลงจึงเป็นเพียงจอกแหนที่อาศัยเกาะตระกูลอยู่อาศัยไปวันๆ ถือเป็นบุคคลระดับต่ำสุดที่ไร้ซึ่งประโยชน์ ยามลับหลังจ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาและจ้าวเฟยเทียนผู้เป็นพี่ใหญ่เขาจำต้องกัดฟันยอมรับการกลั่นแกล้งจากผู้เยาว์ของตระกูลจ้าวเสมอโดยไม่อาจตอบโต้ให้เกิดปัญหากระทบไปถึงผู้เป็นบิดาและพี่ชาย

“ไม่ได้แล้วเฟยหลง เจ้าจะหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้ เจ้าจะต้องเร่งฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง จะมัวแต่นั่งกินนอนกินอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว เจ้าจะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ให้ได้ เจ้าจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง เจ้าจะต้องยืนหยัดอยู่เคียงข้างท่านพ่อและพี่ใหญ่ให้ได้ เจ้าจะต้องไม่เป็นภาระของพวกเขา ฮึบ!!!” เสียงเล็กๆ แต่ฟังดูฮึกเหิมบอกตัวเอง พลางกระโดดลุกขึ้นยืนในทันใด ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองไปข้างหน้าด้วยแววตาอันมุ่งมั่น

------------------------------------------------------------------------------

...จ้าวดวงใจจอมราชันย์ เป็นนิยายเรื่องแรกของผู้เขียนเองจ้า สถานะคือ แต่งไปเรื่อยๆ ยังไม่จบนะ หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายแนวใหม่แบบนี้ เป็นกำลังใจและแนะนำติชมได้จ้า :call: :call: :call:



[attachment deleted by admin]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2016 13:16:49 โดย DINNDANN »

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
บทที่ 2   วาสนาของอาจารย์กับศิษย์


แสงแดดยามสายกำลังสาดส่องลอดพุ่มใบไม้น้อยใหญ่ลงมากระทบร่างเล็กของจ้าวเฟยหลงที่นั่งหลับตาฝึกลมปราณผนึกฟ้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เห็นประกายแสงสีรุ้งอ่อนๆ ระยิบระยับวนเวียนอยู่รอบตัวดูแปลกตา ที่เบื้องหน้านั้นเป็นน้ำตกใหญ่ ได้ยินสียงสายน้ำร่วงหล่นจากที่สูงกระทบโขดหินเบื้องล่างดังครื่นครั่นไม่ขาดหู

ตูม!!!!!

เสียงวัตถุกระทบผิวน้ำดังก้องกังวานสะท้านสะเทือนเรียกจ้าวเฟยหลงให้ตื่นจากภวังค์แห่งการฝึกลมปราณ ดวงตากลมโตลืมขึ้น จับจ้องมองไปยังน้ำตกเบื้องหน้า ฉับพลันนั้นปรากฏเงาร่างมีดำคล้ายปลายักษ์ขนาดมหึมาพุ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำขึ้นไปสูงหลายวา เห็นปากของมันถูกเกี่ยวด้วยวัตถุแวววาวคล้ายโลหะเนื้อดีลากเส้นเชือกต่อสายยาวออกไปหลายวา

“หวา!!!!! เจ้าบ้าอย่าดิ้นนักได้ไหม ข้าเหนื่อยแล้วนะ!!!!!” ปลายเชือกมีร่างของคนผู้หนึ่งจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ตูม!!!!! เจ้าปลายักษ์พลันมุดลงน้ำไปอีกครั้ง พร้อมทั้งลากร่างของคนผู้นั้นตามลงไปด้วย จ้าวเฟยหลงเบิกตากว้างจ้องมอง รู้สึกประหลาดใจและแอบทึ่งในความดื้อดึงของคนผู้นั้นยิ่งนัก แม้จะโดนลากลงไปในน้ำลึกแต่มือนั้นกลับไม่ยอมปล่อยเชือก ช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ จ้าวเฟยหลงอดจะทอดถอนใจชมเชยไม่ได้ พลางขยับร่างเดินเข้าไปใกล้น้ำตก เห็นผิวน้ำกลับนิ่งเรียบเหมือนกับว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“หรือว่าเขาจะจมน้ำตายไปแล้ว” จ้าวเฟยหลงพึมพำ

ซ่า!!!!! เสียงน้ำพุ่งกระจาย พร้อมกับร่างของคนผู้นั้นทะลึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา สายน้ำสาดกระเด็นถูกร่างจ้าวเฟยหลงจนชุ่มโชก เปียกปอนไปทั้งตัว

แฮ่ก!!!  แฮ่ก!!! แฮ่ก!!!

“โอ๊ย เหนื่อย!! เจ็บใจ น่าเจ็บใจยิ่งนัก เจ้าปลายักษ์ตัวนั้นดันหลุดไปได้ โธ่เว้ย!!” คนผู้นั้นหอบหายใจแฮ่กๆ เร่งโกยอากาศเข้าปอด หากแต่ปากกับไม่ยอมหยุดบ่น สองมือฟาดลงกับสายน้ำเบื้องหน้าอย่างนึกเจ็บใจตนเอง สายน้ำกระเด็นสาดต้องร่างจ้าวเฟยหลงที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เปียกปอนจนไม่อาจจะเปียกปอนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“ว๊าก!!! เจ้าพรายน้ำ อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้ากลัวแล้ว ข้ากลัวแล้ว” คนผู้นั้นร้องขึ้นดังลั่น เมื่อเหลือบเห็นร่างเปียกปอนที่ยืนถลึงตาจับจ้องมองมาที่มันอยู่ พลางขยับถอยตั้งท่าจะมุดลงน้ำไปอีกรอบ

“หยุด!!! ข้าไม่ใช่พรายน้ำ ดูให้ดีสิ” จ้าวเฟยหลงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในใจครุ่นคิดเขาไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย ให้ตายสิ!! นั่งฝึกวิชาอยู่ดีๆ กลับต้องมาโชคร้ายเปียกปอนไปทั้งตัว ยังไม่พอยังต้องมาพบเจอกับคนสติไม่ดีอีกคนหนึ่ง

“หือ เจ้าไม่ใช่พรายน้ำ เจ้าเป็นคนหรอกหรือ ใช่ๆ เจ้าเป็นคน เจ้าเป็นคนจริงๆ ด้วย ข้าเห็นเงาเจ้าแล้ว ฮ่าๆ”

“ก็ใช่นะสิ แล้วท่านไม่คิดจะขึ้นมาจากน้ำหรือ”

“ขึ้นๆ แฮ่ๆ แต่ข้าขึ้นไม่ได้ เจ้าช่วยดึงข้าขึ้นไปหน่อยสิ” คนผู้นั้นกระพริบตาปริบๆ อย่างเว้าวอน แต่ทำไมมันน่าหมั่นไส้ก็ไม่รู้ในสายตาของจ้าวเฟยหลงได้แต่ค้อนให้วงหนึ่งแล้วก็ช่วยลากคนผู้นั้นขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเล เมื่อขึ้นมาได้ก็นั่งแหมะลง หอบหายใจอยู่ริมน้ำตรงนั้น

หมดกัน!!! ภาพลักษณ์ของความห้าวหาญดุดันอันน่าเกรงขามที่เขาเห็นเมื่อตอนไล่จับเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นไม่มีเหลือแล้ว จ้าวเฟยหลงคิดพลางเหลือบสายตามองดูคนผู้นั้น เห็นเป็นเพียงเด็กหนุ่มเยาว์วัยอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีหน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม ดูจากเสื้อผ้าเนื้อบางที่สวมใส่ ซึ่งตอนนี้เปียกปอนแนบลู่ไปตามลำตัวของมัน เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนงาม ดูแข็งแรง นับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่เมื่อเติบใหญ่ขึ้น จะต้องเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วทั้งดินแดนฟ้าไพศาลแห่งนี้เป็นแน่
 
“เอ๋!!! เด็กน้อยเจ้าเป็นใครกัน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วบิดามารดาของเจ้าล่ะ ที่นี่อันตรายมากเลยนะ มันมีสัตว์อสูรดุร้ายมากมายอาศัยอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ มันไม่ใช่ที่ๆ เด็กที่มีระดับพลังยุทธ์ก่อกำเนิดขั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาวิ่งเล่นได้หรอกนะ” คนผู้นั้นหันขวับมาจับจ้องมองจ้าวเฟยหลงแล้วเอ่ยปากถามรัวเร็วอย่างเพิ่งนึกได้

“ช้าๆ หน่อยพี่ชาย ท่านจะให้ข้าตอบคำถามไหนก่อนล่ะ แต่อันที่จริงข้าสิต้องถามท่าน ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งเดือนแล้วไม่เคยพบเห็นผู้คนมาก่อน แล้วท่านล่ะโผล่พรวดมาจากที่ไหนกัน ข้าจ้าวเฟยหลง แล้วท่านล่ะ”

“ขออภัยๆ ข้าตื่นเต้นยินดีมากไปหน่อย ข้าก็ไม่พบเจอผู้คนบนเทือกเขาแถบนี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน  ข้าจินอวี่ อาศัยอยู่บนเขาลูกโน้น” จินอวี่บอกพลางชี้มือไปยังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลลิบออกไป ซึ่งจ้าวเฟยหลงก็เคยนั่งจ้องมองดูอยู่บ่อยครั้ง และเคยหมายมาดไว้ว่าหากฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่งกว่านี้จะลองไปที่นั่นดูสักครั้ง ด้วยสงสัยอยากจะรู้ว่ายอดเขาอันสูงลิบลิ่วเช่นนั้นจะอาศัยอยู่ด้วยสิ่งมีชีวิตแบบใดกัน อีกทั้งยังเคยคิดจินตนาการไปไกลว่า หากจะมีเทพเซียนอาศัยอยู่บนโลกนี้ สถานที่พักอาศัยก็น่าจะเป็นเช่นภูเขาสูงลูกนั้นที่เห็นเพียงปลายแหลมของยอดเขาโผล่ขึ้นมา ด้านข้างล้อมรอบด้วยเมฆขาวลอยละล่องดูงามตา

“ท่านอยู่บนนั้นหรอกหรือ แล้วท่านเป็นคนหรือว่าเป็นเซียนกัน ข้าก็เคยคิดจะเดินทางไปยังที่นั่น” สองตาจ้าวเฟยหลงเบิกกว้างถามจินอวี่ด้วยความสนใจ

“ฮ่าๆ ใช่แล้วข้าอยู่บนนั้น ที่นั่นเรียกว่ายอดเขาเทียมเมฆา แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนหรือเป็นเซียนล่ะ”

“ก็ต้องเป็นคนอยู่แล้ว แถมเป็นยังเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่งด้วย” ประโยคหลังจ้าวเฟยหลงพึมพำเสียงแผ่วเบา

“หืม เจ้าว่ายังไงนะ” จินอวี่หันขวับมามองจ้าวเฟยหลงในทันใด

“เปล่าๆ สักหน่อย ข้าว่าท่านจะต้องเป็นคนที่มีพลังยุทธ์ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ ถึงอาศัยอยู่ในที่อันตรายๆ แบบนั้นได้ หูดีเป็นบ้าเลยให้ตายสิ”

“ฮ่าๆ ข้าอาศัยอยู่บนนั้นกับท่านอาจารย์เพียงสองคน ว่าแต่เฟยหลงเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

“เอ่อ……” เห็นจ้าวเฟยหลงท่าทางอึกอักไม่อยากตอบคำถาม จินอวี่จึงพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว

“หากเจ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องบอกออกมาก็ได้ แล้วเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่เช่นนั้นนะพี่ชาย ข้าบอกท่านก็ได้ ข้าออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวน่ะ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าทำไมจึงออกจากบ้านมา เจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แต่ที่ข้าแปลกใจกลับเป็นเมื่อตอนที่ข้าซุ่มตัวรอคอยเจ้าปลายักษ์นั่นปรากฏตัว ข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ถึงสามคน ตอนแรกข้ายังคิดว่าเป็นพลังของสัตว์อสูรขั้นสูงที่อาศัยอยู่ที่แถวนี้เสียอีก แต่เมื่อพบเห็นเจ้าข้าก็มั่นใจว่าพลังที่ข้าสัมผัสได้ในตอนนี้เป็นพลังของผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน ใช่พวกเดียวกับเจ้าหรือเปล่า”

“ไม่ใช่นะ ข้าอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่เคยพบเห็นผู้คนคนอื่นเลยนอกจากท่าน จะเป็นพวกที่เข้ามาล่าสัตว์อสูรเพราะต้องการพลังธาตุของมันหรือไม่ แล้วเจ้าปลายักษ์ตัวนั้นคือสิ่งใดกันหรือพี่ชาย”

“อืม อาจจะเป็นพวกนักล่าสัตว์อสูรอย่างที่เจ้าว่าก็เป็นได้ เจ้าปลายักษ์นั่นหรือมันคือ ปลามังกรนิลกาฬ สัตว์อสูรดินแดนธาตุน้ำ เจ้าตัวนี้อายุห้าร้อยปีแล้วล่ะจัดเป็นสัตว์อสูรระดับห้า ถือเป็นสัตว์อสูรหายากในหนึ่งปีมันจะปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็คือช่วงนี้ พลังธาตุของมันเหมาะสำหรับสำหรับนำไปปรุงโอสถเพิ่มพลังยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มันหลุดรอดไปได้ เจ้ารู้ไหม ข้ามาดักจับมันมาหลายปีแล้วแต่มันก็หลุดไปได้เสียทุกที น่าเจ็บใจนัก ฮึ!!!” จินอวี่เล่าออกมาด้วยท่าทางเดือดดาลในตอนท้าย ด้วยนึกเจ็บใจตัวเอง

สัตว์อสูรบนผืนแผ่นดินนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สามารถช่วยยกระดับพลังให้กับผู้ฝึกพลังยุทธ์ได้ แบ่งได้ตามพลังธาตุเป็นสัตว์อสูรธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ และธาตุพิเศษอื่นๆ นอกจากนี้ถ้าแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งของพวกมันแล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทเรียกว่าสัตว์อสูรดินแดน จัดเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นได้บนแผ่นดินอาศัยอยู่ตามป่าเขาแบ่งเป็นเก้าระดับตามความแข่งแกร่งของพลังธาตุตั้งแต่ระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า อีกประเภทเรียกว่าสัตว์อสูรวิญญาณ ซึ่งจะมีพลังธาตุที่บริสุทธิ์กว่าสัตว์อสูรดินแดนมากนัก จัดเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่พบเห็นได้ไม่ง่ายนักบนแผ่นดินนี้ ถ้าหากเทียบระดับความแข็งแกร่งแล้วละก็สัตว์อสูรวิญญาณมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิและระดับมหาจักรพรรดิเลยทีเดียวและส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนดินแดนหมื่นอสูรอันไกลโพ้น ดินแดนหมื่นอสูรเต็มไปด้วยสัตว์อสูรนานาชนิด จึงไม่แปลกที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูร ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของนักล่าสัตว์อสูรทั้งแผ่นดินจะตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น และด้วยความที่สมาคมนักล่าสัตว์อสูรมีทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์อันมหาศาลจึงถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดบนดินแดนทั้งเจ็ดที่แม้แต่จอมราชันย์ผู้ปกครองดินแดนยังต้องให้ความเกรงใจ

“เฟยหลง ข้าว่าเจ้าไปอยู่บนเขาเทียมเมฆากับข้าดีไหม ข้าว่าที่นี่มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะอยู่เพียงลำพัง ยิ่งเมื่อข้าสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสามนั้นด้วยแล้ว เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้าอีกต่อไป แม้ว่าข้าจะเพิ่งพบเจอกับเจ้า หากแต่ข้ากับรู้สึกถูกชะตากับเจ้ายิ่งนัก เจ้าไปอยู่กับข้าเถอะ”

“จริงหรือ ท่านให้ข้าไปอยู่ที่นั่นกับท่านได้จริงๆ นะ” จ้าวเฟยหลงตากลมโตเบิกกว้าง สองมือเกาะแขน       จินอวี่ กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ด้วยเฝ้ามองยอดเขาเทียมเมฆาอยู่บ่อยครั้ง และปรารถนาจะไปเยือนที่แห่งนั้นสักครั้งอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ อีกทั้งในช่วงอารมณ์ที่กำลังหงอยเหงาเมื่อจินอวี่ปรากฏตัวขึ้นกลับเติมเต็มความรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และด้วยวัยที่ห่างกันไม่มากนักจึงไม่แปลกหากจ้าวเฟยหลงจะถือจินอวี่เป็นสหายของเขา

“จริงสิ ท่านอาจารย์จะต้องชมชอบเจ้าอย่างแน่นอน แล้วข้าจะช่วยขอร้องให้อาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยอีกคน ดีหรือไม่” จินอวี่ยกมือลูบหัวจ้าวเฟยหลงด้วยความเอ็นดู เขาไม่มีพี่น้องเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรที่อาจารย์พบเจอระหว่างทางแล้วนำมาเลี้ยงดูสั่งสอนวิชาให้ด้วยความเมตตา จินอวี่รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก แม้จะรู้สึกว่าจ้าวเฟยหลงต้องไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดา แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ หากจะปล่อยเด็กที่อายุเพียงสิบปีเช่นนี้อาศัยอยู่เพียงลำพังที่นี่

“ไป ไป เช่นนั้นข้าจะไปกับท่าน ข้าอยากเห็นยอดเขาเทียมเมฆายิ่งนัก แต่ว่าพวกเราจะขึ้นไปที่นั่นอย่างไรล่ะ หรือว่าพี่ชายท่านเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมที่เหาะเหินได้ แต่ว่า…ไม่น่าใช่ ท่านไม่เหมือนผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุลมเลยสักนิด” จ้าวเฟยหลงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ พูดพลางทำท่าครุ่นคิดพลางด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู


วิ้ว!!!!! วิ้ว!!!!!

จินอวี่ยกมือขึ้นห่อปากเป่าลมก่อเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวดังยาวนานสองครั้ง ที่ปลายฟ้าไกลลิบปรากฏเงาสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว  ในชั่วอึดใจก็เห็นรูปร่างของมันชัดเจนกลับเป็นนกเหยี่ยวสีน้ำตาลดำขนาดใหญ่บินมาหยุดลงข้างกายจินอวี่ แรงกระพือปีกพัดฝุ่นดินปลิวฟุ้งกระจาย จินอวี่ยกมือตบเบาลงที่ลำตัวให้มันย่อตัวลง

“เจ้าอิงเทียนจะพาพวกเราเดินทางไปยังยอดเขาเทียมเมฆา ไปกันเถอะเฟยหลง” เห็นจินอวี่กระโดดขึ้นไปนั่งบนหลงเหยี่ยว พลางยื่นมือให้จ้าวเฟยหลงจับเพื่อจะช่วยดึงขึ้นไป

จ้าวเฟยหลงจับจ้องมองมือที่ยื่นมาคู่นั้น พลันตัดสินใจยื่นมือของตนให้จินอวี่จับ อาศัยแรงฉุดดึงของเขากระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าเหยี่ยวอิงเทียนได้ นับตั้งแต่นี้เขาจะไม่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพังอีกแล้ว… อย่างน้อยเขาก็คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

---------------------------------------------------------------------

คล้อยหลังจากที่จ้าวเฟยหลงนั่งเหยี่ยวอิงเทียนไปกับจินอวี่ไม่นานนัก บริเวณริมน้ำตกพลันปรากฏร่างของบุรุษวัยกลางคนขึ้นสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับจ้าวยุทธ์ทั้งสิ้น เห็นพวกเขาหยุดอยู่ริมฝั่งจ้องมองไปยังเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เห็นเพียงเงาสีดำอยู่ลิบๆ

“หานตงเจ้าไปส่งข่าวให้นายท่านทราบด้วย ส่วนข้ากับหานลู่จะติดตามไป ดูแล้วนายน้อยไม่น่าจะมีอันตราย แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องติดตามไปอารักขานายน้อย” บุรุษผู้หนึ่งพูดขึ้น

“ทราบแล้วพี่ใหญ่” พูดจบชายผู้นั้นพลันเคลื่อนไหวหายลับไปทางป่าด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“พวกเราก็ติดตามไปเถอะ” พูดจบทั้งคู่พลันเหินร่างไปยังทิศที่ยอดเขาเทียมเมฆาตั้งอยู่ เห็นเพียงเงาเคลื่อนไหวผ่านไปวูบหนึ่งเท่านั้น

---------------------------------------------------------------------

เหยี่ยวอิงเทียนพาจินอวี่กับจ้าวเฟยหลงร่อนลงหน้าตึกหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาเทียมเมฆา จะเรียกเป็นตึกก็ดูไม่ได้ใหญ่โตมากนัก อันที่จริงมันเป็นเพียงบ้านไม้หลังหนึ่งที่ปลูกแอบอิงแนบยาวไปตามแนวของภูเขา หน้าบ้านเป็นลานกว้างมีต้นไม้ยืนต้นเป็นแนวเสมือนรั้วบ้านคอยให้ร่มเงากับคอยบังแดดลมให้กับตัวบ้าน สองฟากข้างของแนวรั้วมีดอกไม้ปลูกประดับประดากำลังชูช่อดอกหลายสีสันดูงามตา

จินอวี่พาจ้าวเฟยหลงเดินบ้านลัดเลาะเข้าไปในตัวบ้านเพียงไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือห้องหนึ่ง เห็นทั้งสามด้านซ้ายขวาและด้านหลังเป็นชั้นเต็มไปด้วยหนังสือ แม้จะไม่ได้มีจำนวนมากมายเช่นหอหมื่นอักษรของตระกูลจ้าวที่จ้าวเฟยหลงขลุกอยู่ตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านแวบหนึ่งจ้าวเฟยหลงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ หนังสือในห้องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นตำราระดับสูงอันมีราคาค่างวดทั้งสิ้นแม้แต่ในหอหมื่นอักษรก็ยังมีไม่มากเท่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปรากฏอยู่ในห้องหนังสือเล็กๆ กลางป่าเขาเช่นนี้

“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว” จินอวี่ร้องบอกพลางหันไปประสานมือคารวะที่มุมหนึ่งของห้อง จ้าวเฟยหลงถึงกับใจสั่นสะท้านขึ้นมา ที่นั่นถึงกับมีบุรุษวัยกลางคนในชุดสีขาวผู้หนึ่งนั่งหลับตาอยู่ หากแต่จ้าวเฟยหลงกลับไม่สามารถจับสัมผัสได้ถึงการคงอยู่นั้น

“กลับมาแล้วหรือ ข้าเดาว่าเจ้าคงจับปลามังกรนิลกาฬไม่ได้อีกตามเคยใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง พลางลืมตาขึ้นประกายตาดุจดั่งสายฟ้าจับจ้องมองไปยังจ้าวเฟยหลงในทันใด

“เจ้าพาใครมาด้วยหรือจินอวี่ หรือเจ้าจะลืมไปแล้วว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!!!” จากเสียงนุ่มทุ้มกลับกลายเป็นกระด้างเย็นชาในชั่วพริบตา

“แฮ่ๆ ท่านอาจารย์ ท่านอย่าเพิ่งดุข้าสิ ฟังข้าก่อนได้หรือไม่”

“เจ้ามีอะไรจะต้องพูดอีก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าห้ามพาคนนอกเข้ามาที่นี่โดยพลการ พามันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!!”

“อาจารย์…” ใบหน้าจินอวี่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน พยายามเอ่ยปากขอร้องผู้เป็นอาจารย์ หากแต่กลับไม่อาจออกเสียงได้ด้วยความตระหนกตกใจ ไม่เคยเห็นผู้เป็นอาจารย์แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธเคืองเช่นนี้มาก่อน อาจารย์ผู้ที่ใจดี ใบหน้ามักจะแต้มเต็มไปด้วยรอบยิ้มเมตตาในวันนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

“พี่ชายท่านไม่ต้องพูดแล้ว ขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ขอท่านอย่าได้โกรธเคืองพี่จินอวี่เลย ข้าจะไปจากที่นี่เอง ขออำลา” จ้าวเฟยหลงประสานมือกล่าววาจา แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยอายุเพียงสิบปี หากแต่วาจากลับเด็ดเดี่ยวอาจหาญนัก พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องนั้นทันที เมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ จะมีเหตุผลใดให้อยู่ที่นี่ต่อไป

“เฟยหลง!! เฟยหลง!!” แม้จะได้ยินเสียงร้องเรียกตามหลังหากแต่จ้าวเฟยหลงก็ไม่สนใจ รีบเร่งเดินออกไปไม่หันกลับไปมอง

เมื่อเดินออกมาถึงลานหน้าบ้านจ้าวเฟยหลงหันซ้ายหันขวาด้วยไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางทิศใด เห็นทางด้านขวามีทางน้อยสายหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหนทางที่ใช้เดินลงเขา จึงตัดสินใจร่ายท่าเท้าเงามายาพริ้วร่างไปตามทางนั้นทันทีโดยไม่รีรอลังเล
แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะเด็ดเดี่ยว หากแต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบปีผู้หนึ่ง เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็อดที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเองไม่ได้ เดินทางไปพลางยกมือปาดเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ไหลจากสองตาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้ร้องไห้มาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว ตั้งแต่ท่านแม่จากไปเมื่อห้าปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้อีกเลย แม้จะถูกรุมรังแกจากบรรดาญาติพี่น้อง แต่เขาก็ไม่เคยร้องไห้ แม้จะต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเสียน้ำตา เขาจำต้องอดทนด้วยไม่อยากสร้างความกังวลใจหรือสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่คอยปกป้องตนเองเสมอมา

 ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ข้าก็เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครต้องการ ข้าเป็นเพียงตัวซวยที่สร้างแต่ความเดือดร้อนให้กับคนที่รักและหวังดีกับข้า ที่บ้านท่านพ่อกับพี่ใหญ่ก็ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะการปกป้องข้า เพราะความอ่อนแอ ความไม่เอาไหนของข้า มาวันนี้ข้ายังทำให้พี่จินอวี่ต้องถูกตำหนิ ข้ามันเป็นตัวซวยจริงๆ สวรรค์!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!! ท่านให้ข้าเกิดมาทำไม!!!! ทำไมไม่ให้ข้าตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!!!! ฮือๆๆ

เสียงตะโกนกู่ก้องตัดพ้อในใจดังก้อง น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายอย่างน่าเวทนา

จ้าวเฟยหลงเดินทางพลางเช็ดน้ำตาพลางไม่รู้ทิศเหนือใต้ ไม่รู้เวล่ำเวลา ผ่านไปเนิ่นนานจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย จำต้องทรุดนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สองแขนกอดเข่าซบหน้าร้องไห้อยู่ตรงนั้น
 
ร้องไห้ให้น้ำตามันไหลออกมาให้หมด ร้องเสียให้พอ หลังจากนี้ข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ข้าจะต้องแข็งแกร่ง ข้าจะต้องยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เป็นภาระให้ใครอีกแล้ว

จ้าวเฟยหลงบอกกับตัวเอง แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง แม้จะจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ภายในจิตใจ หากแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องอดทนฟันฝ่ามุ่งหน้าต่อไป

ไม่รู้ว่าร้องไห้จนเผลอหลับไปนานเพียงใด แต่จ้าวเฟยหลงก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมา ด้วยสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของการมุ่งร้ายหมายเอาชีวิตจากสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าที่ยืนจังก้าจ้องมองเขม็งมา เมื่อเห็นจ้าวเฟยหลงขยับตัว มันพลันกระโดดเข้าหาตะปบกรงเล็บแหลมคมเข้าใส่จ้าวเฟยหลงในทันที จ้าวเฟยหลงไม่มีเวลาให้ได้ครุ่นคิดอันใด อาศัยแรงส่งจากสองมือสะกิดพื้นส่งตัวเหินลอยขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะได้อย่างหวุดหวิดหวาดเสียวนัก สองตามองลงมาเห็นเป็นสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับจู่โจมเข้าหา จากตำราหมื่นสัตว์อสูรที่เคยได้อ่านมา จ้าวเฟยหลงรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเป็นจิ้งจอกเพลิงโลหิต สัตว์อสูรดินแดนธาตุไฟระดับสอง

นับว่าปรากฏตัวได้ดี มาให้ข้าระบายความคับแค้นใจได้บ้าง จ้าวเฟยหลงแสยะมุมปากครุ่นคิด
   
ในฉับพลันนั้นจ้าวเฟยหลงก็เคลื่อนไหว ทะยานร่างเข้าหาจิ้งจอกเพลิงโลหิตในทันที ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเห็นเพียงเงาดำไหววูบผ่านไปดุจดั่งภูติพราย เท้าขวาตวัดฟาดลงตรงแสกหน้าสุนัขจิ้งจอกโชคร้ายตัวนั้นอย่างหนักหน่วง

 ตุ๊บ!!!!

โอกกก!!!!!

เสียงเท้ากระทบถูกจิ้งจอกเพลิงโลหิตคราหนึ่ง ได้ยินเสียงมันร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วผืนป่า จิ้งจอกเพลิงโลหิตผงะถอย สะบัดหัวด้วยความมึนงง เหยื่อตัวน้อยอันโอชะที่มันคิดจะกลืนกินอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นอสูรร้ายที่กำลังหมายเอาชีวิตของมันเสียแล้ว

จ้าวเฟยหลงไม่ปล่อยให้มันได้ตั้งตัว พลันร่ายท่าเท้าเงามายาผสานกับฝ่ามือสุริยันต์บรรจบฟ้า ฟาดเข้าใส่จิ้งจอกเพลิงโลหิต เสียงฝ่าเท้าฝ่ามือกระทบถูกสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นดังตุบตับ ตุบตับ ไม่ขาดหู
โอกกก!!!!! โอกกก!!!!! โอกกก!!!!!

เสียงจิ้งจอกเพลิงโลหิตกู่ก้องร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นไม่รู้ว่าเนิ่นนานเพียงใด ตอนนี้ได้ยินเสียงมันร้องคราง อิ๋งๆ นอนแนบอยู่ข้างเท้าจ้าวเฟยหลงที่กำลังยกมือชี้นิ้วสั่งสอนมันอยู่

“ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือเจ้าเดรัจฉาน ข้ายังไม่ทันเหนื่อยเลยนะ เป็นอย่างไรล่ะ แม้แต่เจ้าก็คิดจะห่มเหงข้าอย่างนั้นหรือ คนอย่างข้าไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงได้ง่ายดายเช่นนั้นอีกแล้ว ฮึ”

พูบจบพลางยกมือปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าแล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่ไม่วายหันมาพูดสำทับจิ้งจอกเพลิงโลหิตอีกครั้ง

“อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกนะ ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน หึหึหึ”

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริเวณยอดเขาเทียมเมฆาก็ไม่ปรากฏสุนัขจิ้งจอกเพลิงโลหิตขึ้นอีกเลยแม้แต่ตัวเดียว ไม่รู้ว่ามันเจ็บซ้ำจนตายไปหรือพาครอบครัวอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

จ้าวเฟยหลงเดินทางต่อ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติรับรู้ได้ว่าตัวเขาเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมหลายครั้งหลายหน บริเวณป่าที่เมื่อครู่ยังเห็นแสงจันทร์ส่องสลัวๆ ลงมาให้เห็นทางบ้าง กลับปรากฏหมอกควันบางเบาขึ้นปกคลุม จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันนั้นมันก็สังเกตเห็นว่าแนวต้นไม้ ก้อนหิน เนินเขาบริเวณนั้นกลับแฝงไว้ด้วยพลังของค่ายกลที่ถูกสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ อาศัยหลักความสมดุลของหยินหยางจัดวางวัตถุก่อเกิดเป็นค่ายกลขึ้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จ้าวเฟยหลงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ค่ายกลนี้กลับเป็นค่ายกลพยุหะแปดทิศ ค่ายกลโบราณที่หายสาบสูญไร้การสืบทอดมานับพันปี หากไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญพบเจอตำรับตำราโบราณเหล่านั้นในหอหมื่นอักษรแล้วละก็คงไม่รู้ว่ามีค่ายกลอันน่าอัศจรรย์อยู่บนโลกนี้

เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วจ้าวเฟยหลงก็เริ่มกำหนดทิศทางเพื่อฝ่าออกไป ค่ายกลพยุหะแปดทิศจัดวางประตูไว้ทั้งแปดทิศทางเรียกเป็นประตูเปิด ประตูปิด ประตูกำเนิด ประตูมรณะ ประตูผวา ประตูบาดเจ็บ ประตูธรรมชาติ และประตูบาป เมื่อกำหนดทิศทางได้แล้วจ้าวเฟยหลงก็มุ่งหน้าฝ่าไปยังทิศตะวันออกซึ่งจัดวางประตูกำเนิดไว้ จากนั้นจึงฝ่าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นประตูบาป แล้วจึงมุ่งลงสู่ทิศใต้จึงพบประตูเปิด อันเป็นหนทางออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ แม้ดูเหมือนจ้าวเฟยหลงจะฝ่าออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นผู้อื่นที่ไม่รู้จักค่ายกลพยุหะแปดทิศแล้ว คงต้องถูกกักอยู่ในค่ายกลจนหิวตายอยู่ภายในนั้นเป็นแน่

เมื่อหลุดออกจากค่ายกลได้จ้าวเฟยหลงก็พบว่าเขาใช้เวลาเดินทางเพื่อลงจากเขาทั้งคืน ด้วยตอนนี้พระอาทิตย์ดวงโตกำลังโผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ทอแสงแดงจ้าอยู่ตรงปลายฟ้าที่ไกลตา นับแต่ที่ขึ้นไปบนเขาเทียมเมฆาพร้อม จินอวี่เมื่อตอนบ่ายคล้อย สะบัดหน้าลงจากเขาเมื่อตอนเกือบเย็นย่ำ หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งฝ่าออกจากค่ายกลพยุหะแปดทิศ กลับต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ลงมาได้แล้ว ถึงตอนนี้คงต้องกลับไปพักอาศัยที่เชิงเขามังกรอัคคีตามเดิม คิดได้เช่นนั้นก็ทะยานร่างมุ่งหน้าจากไปในทันที

---------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2016 21:10:43 โดย DINNDANN »

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
หนูเก่งเกินไปแล้วคะลูกกกกก
กำลังติดนิยายแนวนี้อยู่เลยค่ะ ชอบ รอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ zwxnchii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดตามค่ะ สนุกมากๆๆเลยค่ะ กำลังติดนิยายแนวนี้พอดี สู้ๆๆนะคะ :katai2-1:

ออฟไลน์ love noon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ชอบแนวแฟนตาซีที่สุด แต่หาอ่านยากมาก
ต้องเขียนให้จบนะจ๊ะตัวเอง

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่ 3  กราบอาจารย์

จ้าวเฟยหลงทะยานร่างอยู่เหนือยอดไม้มุ่งหน้าไปยังเชิงเขามังกรอัคคีอย่างรวดเร็วด้วยท่าเท้าเงามายา อันได้ชื่อว่าเป็นทักษะวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยมในยุทธจักรเมื่อกว่าหนึ่งพันปีก่อน เห็นร่างของเขาเคลื่อนไหววูบวาบพุ่งไปดุจดั่งเงาภูติพราย หลังจากคลายความโศกเศร้าได้แล้วจ้าวเฟยหลงก็กลับมาเริงร่าได้อีกครั้ง ท่าร่างนั้นแผ่วพลิ้วลอยละล่องเหินบินหยอกล้อกับมวลหมู่ปักษาที่บินผ่านไป ใบหน้าเด็กหนุ่มตัวน้อยมีรอยยิ้มแต้มเต็ม จนเมื่อสุดแนวต้นไม้ใหญ่ ที่เบื้องหน้าเป็นลานโล่งกว้างแห่งหนึ่ง
พลันนั้นจ้าวเฟยหลงจำต้องหยุดชะงักท่าร่างแล้วเหินลงมายืนหยัดจับจ้องมองแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งที่ปล่อยพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งบีบบังคับให้เขาจำต้องหยุดยั้งลงอย่างไม่อาจต่อต้าน แม้จะหงุดหงิดใจหากแต่ก็ไม่วู่วาม จับจ้องมองดูแผ่นหลังของบุรุษเบื้องหน้าที่รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง

“ผู้อาวุโส เหตุใดจึงขวางทางไม่ให้ข้าผ่านไป”

เสียงแหลมเล็กด้วยเยาว์วัยเอ่ยขึ้น เรียกให้บุรุษผู้นั้นค่อยๆ หันมาเผชิญหน้ากับจ้าวเฟยหลง ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องจับต้องร่าง เห็นเป็นบุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา ประกายตาคมกล้า คิ้วหนาดำคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน รูปลักษณ์ทั้งมวลประกอบรวมกันเป็นบุรุษรูปงามผู้องอาจที่อยู่เบื้องหน้า สายลมโชยพัดชุดสีขาวที่สวมใส่ปลิวสะบัด สองมือไขว่หลังยืดอกผึ่งผายดูสง่า ปากนั้นกำลังคลี่ยิ้มน้อยๆ ให้กับจ้าวเฟยหลง

“เป็นท่าน??”

จ้าวเฟยหลงร้องอออกมาด้วยนึกไม่ถึง บุรุษวัยกลางคนเบื้องหน้าถึงกลับเป็นเจ้าของตึกบนยอดเขาเทียมเมฆาผู้นั้น

“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่” จ้าวเฟยหลงเอ่ยถาม ชายผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบคำ

“เฟยหลง!!!!” เสียงตะโกนร้องเรียกดังก้องกังวานมาจากเบื้องหลัง พร้อมกับร่างที่โถมเข้ามากอดจ้าวเฟยหลงเอาไว้อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

“ท่านพี่จินอวี่!!!!”

“เฟยหลงเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้ไหม หากเจ้าเป็นอะไรไปข้าคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน ข้าดีใจจริงๆ ที่พบเจ้า” จ้าวเฟยหลงจับจ้องมองจินอวี่ รู้สึกซาบซึ้งใจกับความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน หากแต่การแสดงออกของอีกฝ่ายล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ    เห็นดวงตาของจินอวี่มีน้ำใสๆ คลอเอ่อ พร้อมจะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ

“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย ขอบคุณพี่ชายที่เป็นห่วงข้า”

“อะแฮ่ม!!! เด็กน้อยเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถผ่านด่านค่ายกลแปดประตูฟ้าดินของข้ามาได้”

“ฮึ อาจารย์ท่านไม่ต้องพูด ไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ น้องเฟยหลงถึงได้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ หากน้องเฟยหลงเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ทำอาหารให้ท่านรับประทานอีกเลย” จินอวี่หันไปค้อนใส่ผู้เป็นอาจารย์

“ฮ่าๆๆ ข้าเพียงแค่ล้อเด็กน้อยเจ้าเล่น ไม่นึกว่าเจ้าจะใจเด็ดเช่นนั้น มานี่มา” พูดพลางดึงจ้าวเฟยหลงมาหา สองมือประคองโอบร่างน้อยๆ นั้นไว้ราวกับจะปลอบขวัญ เป็นจ้าวเฟยหลงที่ร่างถึงกับแข็งทื่อด้วยไม่คาดคิดว่าบุรุษผู้นั้นจะทำเช่นนี้ หากแต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มกับรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ส่งมา ทำให้มันอดจะซบหน้าแนบกับอกนั้นไม่ได้ น้ำตาพลันไหลรินออกมา อ้อมกอดที่อบอุ่นเช่นนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่มันไม่เคยได้รับ น้ำเสียงแบบนี้ นานเท่าไหร่แล้วที่มันไม่เคยได้ยิน ความรักความจริงใจเช่นนี้ นานแค่ไหนกันที่มันไม่เคยได้สัมผัส ในห้วงความคิดอดจะคิดถึงท่านพ่อและพี่ใหญ่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง

“ไม่เอาๆ อย่าได้ร้องแล้ว” ชายผู้นั้นโอบกอดปลอบประโลม ด้วยคิดว่าเป็นเพราะตนทำให้เด็กน้อยเสียขวัญจึงร้องไห้ออกมา

“ถือว่าข้าผิดเองที่ทำให้เจ้าเสียขวัญ เด็กน้อยที่น่ารักอย่างเจ้าไม่มีใครใจร้ายใจดำขับไล่ได้ลงคอหรอก ไปอยู่บนเขาเทียมเมฆากับข้าดีหรือไม่”

“หืมมม ผู้อาวุโสท่านให้ข้าไปอยู่ด้วยจริงหรือ” จ้าวเฟยหลงยกมือปาดเช็ดน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเฟยหลง เจ้าไปอยู่บนเขาด้วยกันเถอะ” จินอวี่พูดพลางยกมือเช็ดน้ำตามที่อาบแก้มของจ้าวเฟยหลงอย่างเอ็นดู

“เอ๊ะ!!!! น่าแปลก!!!!” ชายผู้นั้นพึมพำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับจับจ้องมองดูจ้าวเฟยหลงอย่างนึกสงสัย

“เฟยหลง เจ้ามีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นต้นเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงสามารถใช้ทักษะเหินบินได้”

“เอ่อ ผู้อาวุโส” จ้าวเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง หากแต่ก็ตัดสินใจบ่งบอกเรื่องราวของมันตามความเป็นจริง

“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ใช้พลังยุทธ์ หากแต่ใช้วรยุทธ์โบราณ ทักษะที่ข้าใช้เรียกว่าวิชาตัวเบา หาใช่ทักษะเหินบินไม่”

ชายผู้นั้นถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตระหนก วรยุทธ์แต่โบราณนับพันปีที่ถึงแม้ว่าจะมีตำรับตำราตกทอดหลงเหลืออยู่บ้าง หากแต่ใช่ว่าจะฝึกฝนได้โดยง่าย หากไม่มีผู้ชี้แนะจำต้องใช้ปัญญาขบคิดตีความให้เข้าใจอย่างยากลำบากจึงจะสามารถฝึกฝนได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยลองศึกษาหากแต่ก็ไม่พบกับความสำเร็จจำต้องเลิกล้มไป ทิ้งตำรายุทธ์เหล่านั้นไว้ในห้องสมุดบนเขาเทียมเมฆาอย่างไร้ค่า ที่เขาศึกษาและพอจะสำเร็จอยู่บ้างมีเพียงวิชาค่ายกลเท่านั้น จึงนำมาดัดแปลงสร้างเป็นค่ายกลแปดประตูฟ้าดินเพื่อใช้เป็นปราการป้องกันผู้บุรุกขึ้นไปสู่ยอดเขาเทียมเมฆา เท่าที่เห็นไม่เพียงเด็กน้อยผู้นี้จะฝึกฝนวิทยายุทธ์โบราณได้ หากแต่มีความสำเร็จเด่นล้ำ อีกทั้งยังแตกฉานวิชาค่ายกลอีกด้วย เด็กน้อยอายุเพียงสิบขวบแต่กลับมีความสำเร็จถึงขั้นนี้จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร

“โอ เจ้าถึงกับฝึกฝนและสำเร็จวิทยายุทธ์โบราณ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้าคาดเดาว่าเจ้ายังแตกฉานวิชาค่ายกลอีกด้วยใช่หรือไม่ จึงสามารถฝ่าค่ายกลแปดประตูฟ้าดินของข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”

“ผู้อาวุโส ข้าเพียงแค่มีวิทยายุทธ์เพียงพอที่จะปกป้องตนเองได้เท่านั้น ยังอยู่ห่างจากความสำเร็จอีกไกลมากนัก หากแต่วิชาค่ายกลนั้นข้าชอบเป็นพิเศษจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง”

“เด็กน้อยเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ฝึกพลังยุทธ์ล่ะ เหมือนกับว่าเจ้าจะปล่อยทิ้งแนวทางการฝึกพลังยุทธ์ไปเสียอย่างนั้น”

“เมื่อตอนเด็กข้าป่วยหนักจนเป็นเหตุให้พลังยุทธ์เสื่อมถอย อีกทั้งพลังธาตุในร่างกายยังสับสน จนไม่อาจฝึกฝนพลังยุทธ์ได้อีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงละทิ้งแนวทางการฝึกฝนพลังยุทธ์แล้วจึงได้เริ่มศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์โบราณนับตั้งแต่นั้นมา” น้ำเสียงจ้าวเฟยหลงพลันสั่นเครือจนผู้ที่ฟังอยู่สัมผัสได้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียมารดาและพลังยุทธ์ไป จินอวิ่นโอบกระชับหัวไหล่อย่างปลอบโยน จ้าวเฟยหลงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายผู้นี้ด้วยความสำนึกขอบคุณ

“พลังธาตุสับสนเช่นนั้นหรือ?? อืมม ไม่น่าจะใช่ ขอข้าตรวจดูให้แน่ใจอีกสักครั้ง”

“ข้าไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสกังวลสนใจเรื่องนี้หรอก เหล่าแพทย์ทั่วทั้งดินแดนฟ้าไพศาลต่างก็อับจนหนทางในการรักษา จนข้าไม่คาดหวังที่จะกลับไปฝึกพลังยุทธ์ได้อีกแล้ว” จ้าวเฟยหลงยกยิ้มฝืนๆ ของมันกล่าววาจา

“ฮึ เหล่าแพทย์กระจอกๆ ที่รู้จักแต่วิธีการใช้ยา หากแต่ไม่รู้จักวิธีปรุงกลั่นยาพวกนั้นน่ะหรือ ก็ไม่แปลกที่พวกมันจะรักษาอาการของเจ้าไม่ได้ ลองให้เทพโอสถอย่างข้าตรวจดูอาการเจ้าอีกครั้งเป็นไร”

“เทพโอสถ!!!!! ท่านว่า…ท่านคือเทพโอสถอย่างนั้นหรือ” จ้าวเฟยหลงตกตะลึงนิ่งงัน เบิกตาจับจ้องบุรุษผู้นั้นไม่วางตา
บนผืนปฐพีนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อผู้ฝึกพลังยุทธ์ทุกคน ได้รับการยกย่องและให้เกียรติเหนือกว่าผู้คนทุกชั้นชน คนกลุ่มนั้นคือ เหล่าแพทย์โอสถ ซึ่งทำหน้าที่ในการปรุงกลั่นตัวยาเพื่อช่วยยกระดับพลังให้กับผู้ฝึกยุทธ์และตัวยาที่มีสรรพคุณวิเศษในการรักษาอาการเจ็บป่วย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่าแพทย์ผู้รักษา ทำหน้าที่ในการตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คน โดยอาศัยตัวยาที่ได้จากการปรุงกลั่นของเหล่าแพทย์โอสถเป็นเครื่องมือ

ในโลกของผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้นการที่จะยกระดับพลังเพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ฝึกพลังยุทธ์นั้นจะต้องรวบรวมพลังธาตุในร่างกายและควบคุมจนเกิดกระแสพลังที่แข็งแกร่งเพื่อทะลุทะลวงไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป หากล้มเหลวอาจทำให้สูญเสียพลังธาตุจนระดับพลังยุทธ์เสื่อมถอยลงได้ ดังนั้น ผู้ฝึกพลังยุทธ์จำต้องพึ่งพาวัตถุธาตุของสัตว์อสูรเป็นตัวช่วย หากวัตถุธาตุของสัตว์อสูรนั้นมีความบริสุทธิ์ก็สามารถดูดซับพลังได้โดยตรง หากแต่วัตถุธาตุของสัตว์อสูรที่บริสุทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง จึงต้องอาศัยการนำไปสกัดผสมกับสมุนไพรหายากนานาชนิดกลายเป็นยาวิเศษซึ่งมีสรรพคุณพิเศษต่างๆ มากมาย เช่นยาสำหรับเพิ่มพลัง ยาหลอมรวมพลัง ยาฟื้นฟูพลัง เป็นต้น

หากแต่ในการสกัดปรุงกลั่นยานั้นจะกระทำโดยแพทย์โอสถ ซึ่งได้รับยกย่องจัดเป็นวิชาชีพชั้นสูงที่เหล่าตระกูลใหญ่ต่างต้องการตัว เพราะหากตระกูลใดมีแพทย์โอสถที่เก่งกาจแล้วละก็ผู้คนในตระกูลเหล่านั้นก็มีโอกาสที่จะมีโอสถวิเศษที่ช่วยยกระดับพลังให้แข็งแกร่งได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วใช่ว่าทุกผู้คนจะเป็นแพทย์โอสถได้

แพทย์โอสถนั้นต้องมีคุณสมบัติพิเศษ คือ หนึ่งนั้นต้องเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟ ยิ่งพลังยุทธ์ธาตุไฟนั้นบริสุทธิ์มากเพียงใด โอกาสที่จะปรุงกลั่นยาให้มีความบริสุทธิ์ระดับสูงก็มีมากเท่านั้น สองนอกจากจะมีธาตุไฟแล้วคนผู้นั้นต้องมีพลังธาตุน้ำแฝงอยู่ด้วย ธาตุไฟ คือ หยาง ส่วนธาตุน้ำ คือ หยิน คนที่จะสามารถปรุงกลั่นโอสถได้นั้นต้องมีหยินหยางที่สมดุลจึงจะสามารถปรุงกลั่นยาที่บริสุทธิ์ออกมาได้ โดยปกติแล้วผู้คนถือกำเนิดมาพร้อมพลังธาตุ เมื่อพลังธาตุถือกำเนิดขึ้น ย่อมมีเพียงหนึ่ง น้อยคนนักที่จะถือครองพลังธาตุถึงสองอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี อย่างน้อยก็มีในตระกูลแพทย์โอสถที่พยายามสืบทอดการถือครองพลังธาตุสองชนิดแบบรุ่นต่อรุ่น ถึงแม้จะมีไม่มากนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ในผู้คนบนโลกนี้หนึ่งล้านคนอาจจะมีแพทย์โอสถถือกำเนิดขึ้นสักคนหนึ่ง

เมื่อมีคุณสมบัติที่จะเป็นแพทย์โอสถได้แล้ว ยังต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้รู้จักควบคุมธาตุไฟและธาตุน้ำให้เหมาะสมสมดุลกับการปรุงกลั่นยาแต่ละชนิด ความเหมาะสมสมดุลที่ว่านี้หากยิ่งสามารถควบคุมได้ดีโอกาสปรุงกลั่นยาได้สำเร็จก็จะมีมาก อีกทั้งทำให้ยาที่ปรุงกลั่นขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพเป็นยาที่มีความบริสุทธิ์ระดับสูงอีกด้วย ความบริสุทธิ์ของยานั้นแบ่งเป็นระดับตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับสิบ ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าใดหมายความว่ายิ่งเกิดผลข้างเคียงต่อผู้ใช้น้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุที่แพทย์โอสถมีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้จึงหาได้ยาก ทำให้สามารถปรุงกลั่นยาออกมาได้จำนวนไม่มากนัก ส่งผลให้ยาวิเศษทั้งหลายกลายเป็นของหายาก มีราคาแพงลิบลิ่ว ยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าใดก็ยิ่งมีมูลค่ามากเท่านั้น

แพทย์โอสถส่วนใหญ่จะเป็นอิสระไม่สังกัดตระกูลใด จึงได้รับการยกย่องและมีสิทธิพิเศษมากมาย นอกจากนั้นยังมีการจัดตั้งสำนักแพทย์โอสถหลวง เพื่อเป็นแหล่งรวมตัวของแพทย์โอสถทั้งหลาย อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่จะฝึกฝนและรับรองระดับชั้นของแพทย์โอสถทั้งแผ่นดิน มีการจัดตั้งสำนักงานใหญ่อยู่บนดินแดนเทวะอัคคีซึ่งอยู่ติดกับดินแดนหมื่นอสูร ซึ่งจัดเป็นแหล่งวัตถุดิบอย่างดีสำหรับการปรุงกลั่นยาวิเศษ สำหรับสำนักแพทย์โอสถหลวงถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ บนแผ่นดินนี้ด้วยเช่นกัน สำนักแพทย์โอสถหลวงนั้นเป็นปรมาจารย์สามท่านร่วมมือกันก่อตั้งสำนักขึ้นมา ท่านแรกได้รับขนานนามนามเป็นเทพโอสถ มีนามว่าอวิ้นหยาง ท่านที่สองได้รับขนานนามเป็นเซียนโอสถ มีนามว่า หมิงเซียน และท่านที่สามเป็นปรมาจารย์หญิงผู้ได้รับขนานนามเป็นจ้าวโอสถ มีนามว่า ไป่ลี่ถิง
   

---------------------------------------------------------------------


“ผู้อาวุโส!!! ท่านคือเทพโอสถ ผู้อาวุโสอวิ้นหยางอย่างนั้นหรือ” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักเอ่ยถาม พลางหันหน้าไปมองจินอวี่ราวกับว่าจะให้เขาช่วยยืนยัน เห็นจินอวี่คลี่ยิ้มพยักหน้ารับคล้ายกับจะบ่งบอกเป็นนัยว่า ถูกต้องแล้วเฟยหลง ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือเทพโอสถอวิ้นหยาง ปรมาจารย์แห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงไม่แปลกปลอม

“โอ ผู้อาวุโส นับเป็นวาสนาที่ได้พบท่าน ได้โปรดช่วยตรวจดูอาการให้ข้าด้วย”

จ้าวเฟยหลงคุกเข่าคำนับ พลางร้องขอให้อวิ้นหยางช่วยเหลือ สองตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ประตูแห่งความหวังที่จะได้ฝึกฝนพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งของจ้าวเฟยหลงถูกปิดลงเมื่อห้าปีก่อน เหล่าแพทย์ทั้งดินแดนฟ้าไพศาลต่างหมดสิ้นหนทางที่จะรักษาเขา ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเพียงปรมาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักแพทย์โอสถหลวงเท่านั้นที่อาจจะช่วยเหลือเขาได้ แม้ระยะทางระหว่างดินแดนฟ้าไพศาลกับดินแดนเทวะอัคคีจะห่างไกลกันเพียงใด แต่จ้าวเจิ้งไฉผู้เป็นบิดาของจ้าวเฟยหลงก็ไม่ยอมแพ้ ส่งผู้คนดั้นด้นเดินทางไปเยือนสำนักแพทย์โอสถหลวงเพื่อเชื้อเชิญปรมาจารย์ทั้งสามให้มาช่วยรักษาบุตรชาย หากก็ต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากปรมาจารย์ทั้งสามต่างก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้พำนักอยู่ที่สำนัก นับแต่นั้นจ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถกลับมาฝึกฝนพลังยุทธ์ได้อีก หากแต่วันนี้เขากับพบเจอกับหนึ่งในปรมาจารย์สำนักแพทย์โอสถหลวงจะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร ประตูแห่งความหวังที่ถูกปิดลงไป กลับมีโอกาสจะถูกเปิดออกได้อีกครั้ง จะไม่ให้จ้าวเฟยหลงตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร

“ฮ่าๆ เด็กน้อยเจ้าลุกขึ้นก่อน เข้ามาให้ข้าตรวจอาการเจ้าก่อน” อวิ้นหยางเอ่ยปากเรียกจ้าวเฟยหลงเข้าไปหา ยกมือขวาแตะลงตรงหน้าผากพลางปล่อยพลังยุทธ์ออกสำรวจสภาพร่างกายของเขาอย่างละเอียด เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเห็นคิ้วของอวิ้นหยางขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด พลันสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสงสัย จากนั้นไม่นานสีหน้ากลับกลายเป็นแตกตื่นยินดี

“ฮ่าๆๆ เด็กน้อยเจ้าช่างโชคดีนัก” พลันนั้นอวิ้นหยางยกมือออก พลางหัวร่อออกมาด้วยความยินดี จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ที่ยื่นอยู่จับจ้องมองอวิ้นหยางอย่างนึกสงสัย

“พวกเจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น ที่ข้าบอกว่าเด็กน้อยเจ้ามีวาสนานั้นเป็นเรื่องจริง”

 “เช่นนั้นหรืออาจารย์ แล้วอาการของเฟยหลงเป็นเช่นไร ขออาจารย์โปรดบอก” จินอวี่คลี่ยิ้มพลางเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์

“เด็กน้อยเฟยหลงเจ้าอยากฝึกพลังยุทธ์หรือไม่” อวิ้นหยางเอ่ยถามจ้าวเฟยหลง

“ข้าฝึกพลังยุทธ์ได้หรือผู้อาวุโส” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักถาม สองตาเต็มไปด้วยประกายด้วยความคาดหวัง

“ฮ่าๆๆ ได้สิ แถมยังจะก้าวหน้ารวดเร็วกว่าศิษย์ไม่เอาไหนแถวนี้อีกด้วย”

“อาจารย์!!!”

“ฮ่าๆๆ หรือว่าไม่จริง เจ้าฝึกฝนพลังยุทธ์กับข้ามาเกือบสิบปีแล้วยังบรรลุถึงแค่ระดับจอมยุทธ์ขั้นสูง ไม่อาจผ่านเข้าสู่ระดับยอดยุทธ์ได้สักที” อันที่จริงด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีอย่างจินอวี่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์จนถึงขั้นจอมยุทธ์ได้นั้นนับว่าเยี่ยมยอดแล้ว ผู้คนทั่วไปใช้วิชาสิบปีฝึกฝนอาจจะผ่านได้เพียงหนึ่งขั้น อายุสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้เพียงแค่ก้าวเข้าสู่ระดับผู้ฝึกยุทธ์ได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว มีเพียงอัจฉริยะในสำนักและตระกูลใหญ่ที่ได้รับการเสริมพลังจากโอสถวิเศษและพลังธาตุสัตว์อสูรเท่านั้น ที่จะสามารถบรรลุถึงระดับจอมยุทธ์ได้

“ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!!!”

“ฮ่าๆ ว่าอย่างไรเฟยหลง เจ้าต้องการฝึกฝนพลังยุทธ์กับข้าหรือไม่”

“อยากฝึก!!! ข้าอยากฝึกฝนพลังยุทธ์!!!” จ้าวเฟยหลงละล่ำละลักพูด

“เฟยหลง คุกเข่าลงคำนับอาจารย์สิ” จินอวี่สะกิดบอก เมื่อตั้งสติได้จ้าวเฟยหลงรีบคุกเข่าโขกศีรษะคำนับอาจารย์เก้าครั้งอย่างไม่ลังเลรีรอใดๆ

“ศิษย์จ้าวเฟยหลง คำนับอาจารย์”

“ฮ่าๆๆ ดี!!! ดีมาก วันนี้ข้าอวิ้นหยางรับศิษย์คนที่สาม ช่างน่ายินดียิ่งนัก”

“ศิษย์ยินดีกับอาจารย์ด้วย ยินดีต้อนรับเจ้าด้วยศิษย์น้องเฟยหลง” จินอวี่เอ่ยแสดงความยินดีกับผู้เป็นอาจารย์ พลางโอบกอบจ้าวเฟยหลงด้วยความดีใจที่จะได้มีศิษย์น้อง ไม่ต้องฝึกฝนพลังยุทธ์ด้วยความหงอยเหงาเพียงลำพังเช่นที่ผ่านมา

“เฟยหลง จากที่ข้าสำรวจดูภายในร่างกายของเจ้า เหตุที่เจ้าไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้นั้นไม่ใช่เพราะพลังธาตุในร่างกายสับสน หากแต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักวิธีการฝึกฝน เรื่องที่น่ายินดีที่สุดคือร่างกายของเจ้ามีเส้นลมปราณพิเศษที่เรียกว่า เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง”

“เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง!!!” จ้าวเฟยหลงและจินอวี่อุทานขึ้นพร้อมกัน พลางหันไปมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นสงสัย

“ถูกต้อง! เส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทองที่ในรอบหลายร้อยปีจะเกิดมีขึ้นสักคนหนึ่ง นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ คนเราปกติจะมีเส้นชีพจรที่รองรับพลังธาตุได้เพียงธาตุเดียวเท่านั้น ที่พิเศษหน่อยก็มีเพียงกลุ่มแพทย์โอสถที่มีพลังธาตุสองชนิดซึ่งก็นับว่าหาได้ยากแล้ว แต่ผู้ที่มีถึงสี่พลังธาตุนั้นมีเพียงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่พึงมี เจ้าว่าเจ้าโชคดีหรือไม่”

“อา…” จ้าวเฟยหลงอ้าปากค้างไปแล้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฮ่าๆๆ แต่ข้ากลับโชคดีกว่าที่ได้เจ้ามาเป็นศิษย์ ศิษย์ของข้าถึงกับมีเส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทอง ศิษย์ของข้าจะต้องยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดบนผืนปฐพี ฮ่าๆๆ”

 “เฟยหลง ในร่างกายของเจ้ามีพลังปราณที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย คงเป็นพลังปราณที่ได้จากการฝึกวรยุทธ์แล้ว หากข้าดูไม่ผิดพลังปราณของเจ้าถึงกับแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับยอดยุทธ์ขั้นกลางทีเดียว นับว่าเป็นเรื่องดีพลังลมปราณของเจ้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก อีกทั้งเป็นพลังปราณจากธรรมชาติมีส่วนช่วยเสริมพลังธาตุในร่างกายของเจ้าอีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เจ้าจะพบความสำเร็จในการฝึกฝนพลังยุทธ์ แต่ก่อนที่เจ้าจะสามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้นั้น ข้าจะต้องช่วยปรับสมดุลพลังธาตุในร่างกายของเจ้าก่อน ไปเถอะ กลับหอพยัคฆ์อัคคีกัน ข้าจะรีบหาวิธีการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุให้เจ้าเอง”

อวิ้นหยางอดที่จะตื่นเต้นยินดีไม่ได้ แม้การปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเทพโอสถไปได้ หากแต่การได้มีส่วนช่วยสนับสนุนผู้มีเส้นลมปราณจตุธาตุมังกรทองให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด อวิ้นหยางไม่อยากจะคาดเดาว่าในวันข้างหน้าจ้าวเฟยหลงผู้นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด จ้าวเฟยหลงจะต้องนำพาหอพยัคฆ์อัคคีก้าวไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นผู้นำของกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนปฐพีอย่างแน่นอน

บนผืนปฐพีนี้มีกลุ่มอิทธิพลที่ได้รับการจัดให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เพียงสิบกลุ่มเท่านั้น สี่อันดับแรกเป็นกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแข็งแกร่งที่สุดในด้านพลังยุทธ์ได้แก่ พรรคเทพวายุ ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุลมที่แข็งแกร่งที่สุด หอพยัคฆ์อัคคี ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด วังบุบผาเหมันต์ ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุน้ำที่แข็งแกร่งที่สุด และหมู่ตึกดินแดนบูรพา ได้รับการยกย่องว่ามีพลังยุทธ์ธาตุดินที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งสี่สำนักนั้นต่างมีความแข็งแกร่งสูสีทัดเทียมกันไม่สามารถจัดอันดับได้อย่างชัดเจน และด้วยที่ตั้งของแต่ละสำนักอยู่ห่างไกลกัน จึงไม่ค่อยมีโอกาสเกิดการปะทะกันมากนัก จึงยากที่ตัดสินได้ว่าสำนักใดแข็งแกร่งที่สุด

จินอวี่เรียกเจ้าเหยี่ยวอิงเทียนมารับทั้งสามไปยังหอพยัคฆ์อัคคีบนยอดเขาเทียมเมฆา ที่ปลายฟ้าไกลลิบเห็นเพียงเงาสีดำโบยบินมุ่งหน้าไป…แม้จะมองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง แต่สำหรับจ้าวเฟยหลงแล้วมันก็ไม่ได้มืดมิดเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

พลันบริเวณนั้นก็ปรากฏเงาร่างของจ้าวยุทธ์ขึ้นสองร่างเป็นหานเฟิงกับหานลู่ที่ติดตามจ้าวเฟยหลงมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง พวกเขาซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากพวกอวิ้นหยางนัก แม้จะรู้ว่าไม่อาจซุกซ่อนตัวจากสัมผัสของผู้ฝึกพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเช่นอวิ้นหยาง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมจากไป จึงได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เห็นดวงตาของทั้งคู่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำ เป็นความปลาบปลื้มปีติยินดีที่นายน้อยของพวกเขามีวาสนาได้พบพานเทพโอสถอย่างไม่คาดคิด ครั้งนั้นที่เดินทางไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงก็เป็นพวกเขาเอง พวกเขารับรู้ได้ถึงผิดหวังเสียใจที่นายน้อยได้รับมากกว่าผู้ใด เมื่อนายน้อยของพวกเขาจะได้กลับมาฝึกพลังยุทธ์ได้อีกครั้ง จะไม่ให้พวกเขายินดีได้อย่างไร เห็นทั้งคู่เหินร่างไปยังทิศที่ยอดเขาเทียมเมฆาตั้งอยู่ ร่างนั้นลอยละลิ่วแผ่วพลิ้วพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว

---------------------------------------------------------------------------

เอามาส่งอีกตอนจ้า เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน๊าาาาาา

จะบอกว่าลงไม่ค่อยเป็น ใครรู้รบกวนแนะนำด้วยนะ

ถ้าจะล่งรูป image ตัวละครเอาไว้ที่หัวกระทู้ต้องทำยังไงเอ่ย????

อีกอย่างทำไมกระทู้ของเรามันถึงไม่เหมือนคนอื่น คือ มันไม่ขึ้น New อะ

เป็นเพราะเหตุใด??? งงงวย????

ใครก็ได้ช่วยหน่อยน๊าาาาา

 :impress2: :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ศิษย์พี่จินอวี่น่ารักดี ดูเป็นเด็กหนุ่มที่ป่วง ๆ (ชอบตอนจับปลาด้วย อ่านแล้วภาพมา ขำเลย)
จ้าวเฟยหลงก็น่ารักดี
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :mc4: :mc4: :mc4: ฉลอง ๆ เย้ ๆ ๆ สนุกมาก  รอตอนต่อไปครับ :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
บทที่ 4   ยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูง

หลังจากที่จ้าวเฟยหลงกราบกรานอวิ้นหยางเป็นอาจารย์ก็ได้ขึ้นมาอาศัยอยู่บนหอพยัคฆ์อัคคี ในระหว่างที่รออวิ้นหยางรวบรวบสรรพวัตถุต่างๆ เพื่อปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุ จ้าวเฟยหลงก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย เขาเข้าไปศึกษาตำราวรยุทธ์โบราณในหอตำราของหอพยัคฆ์อัคคีทันที ทำให้ตอนนี้จ้าวเฟยหลงสำเร็จวรยุทธ์อีกหลายแขนง อันได้แก่ เจ็ดสิบสองเพลงกระบี่ปราบมาร อันได้ชื่อว่าเป็นเพลงกระบี่ที่รวดเร็วที่สุด มีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองกระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าแฝงความเปลี่ยนแปลงอีกนับสิบประการ เพลงกระบี่ปราบมารนี้ท้ายตำราบันทึกเรื่องราวไว้ว่าแรกเริ่มได้ดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทานตะวันแต่ไม่สมบูรณ์ ทำให้มีอุปสรรคต่อการฝึกฝน จนผู้ฝึกจำต้องตอนตัวเองก่อนจึงจะฝึกสำเร็จได้ เมื่อเวลาผ่านไป ผ่านการแก้ไขดัดแปลงจากยอดฝีมือมาหลายยุคหลายสมัย จนกลายเป็นเพลงกระบี่ปราบมารฉบับสมบูรณ์ในที่สุด ดรรชนีกระบี่เทพเป็นเพลงดรรชนีที่ดัดแปลงมาจากเพลงกระบี่อันเกรี้ยวกราดของยอดยุทธ์โบราณท่านหนึ่ง ที่มีความสำเร็จในเชิงกระบี่จนถึงขั้นไร้กระบี่เหนือมีกระบี่ แม้ในมือปราศจากกระบี่แต่ก็สามารถใช้สำนึกกระบี่ออกผ่านดรรชนีได้วิชาเข็มวายุพร่างพราววิชาอาวุธลับของสกุลถังที่ได้ชื่อว่าเป็นวิชาอาวุธลับที่รวดเร็วที่สุด รุนแรงที่สุด ผู้สำเร็จวิชานี้สามารถซัดอาวุธลับนับร้อยนับพันออกพร้อมกันดุจดั่งพายุฝนสาดต้องร่าง จึงยากที่หลบรอดจากการจู่โจมได้ นอกจากนั้นจ้าวเฟยหลงยังศึกษาตำราแพทย์โบราณ อันได้แก่ตำราสมุนไพรโบราณ ตำราการฝังเข็ม ตำราการสกัดจุดรักษาโรค และตำราการรักษาที่แปลกพิสดารอีกหลายเล่ม

อวิ้นหยางใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนเพื่อรวบรวบสรรพวัตถุต่างๆ เพื่อปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุ เนื่องจากวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงกลั่นยานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของหายากราคาแพงลิบลิ่ว หากแต่อวิ้นหยางก็ไม่เสียดายอาศัยเครือข่ายของหอพยัคฆ์อัคคีเสาะหาวัตถุดิบเหล่านั้นมาจนได้

ยาปรับสมดุลพลังธาตุที่อวิ้นหยางจะปรุงกลั่นขึ้นนั้น หาใช่ยาปรับสมดุลพลังธาตุที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์ทั่วไปใช้กันเมื่อตอนพลังธาตุในร่างกายติดขัดจากการฝืนใช้พลังธาตุไม่ หากแต่เป็นเป็นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงที่ใช้เพื่อผสานรวมธาตุทั้งสี่ในร่างกายของจ้าวเฟยหลงให้สมดุล จึงต้องใช้วัตถุดิบที่แตกต่างและล้วนแล้วแต่หายาก แต่คนของหอพยัคฆ์อัคคีกลับเสาะพบวัตถุดิบเหล่านั้นอย่างง่ายดาย เหมือนกับว่ามีคนจัดเตรียมไว้แล้วเสียอย่างนั้น แม้จะแปลกใจ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คนของหอพยัคฆ์อัคคีจะต้องใส่ใจ พวกเขาทำเพียงแค่รับมอบและรวบรวมวัตถุดิบจนครบถ้วนสำเร็จภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน

วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงที่สะท้านสะเทือนวงการแพทย์โอสถในครั้งนี้ประกอบไปด้วยหญ้าผลึกน้ำแข็งม่วงหญ้าสมุนไพรล้ำค่าหายากซึ่งมีอยู่บนยอดเขาน้ำแข็งหยกอำไพ บนดินแดนมายาจันทราเท่านั้นดอกบัวเพลิงโลกันตร์ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหอพยัคฆ์อัคคี ถือเป็นแหล่งรวมพลังธาตุไฟอันบริสุทธิ์ ใช้สำหรับให้เหล่าศิษย์ระดับสูงของหอพยัคฆ์อัคคีดูดซับเพื่อฝึกพลังยุทธ์ ดอกบัวเพลิงโลกันตร์เกิดขึ้นที่สระเพลิงโลกันตร์ศักดิ์สิทธิ์บริเวณใต้ปล่องภูเขาไฟ บนดินแดนเทวะอัคคีเท่านั้นผลึกธาตุของสัตว์อสูรวิญญาณธาตุลมสัตว์อสูรวิญญาณจัดเป็นเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิ อาศัยอยู่ในป่าหมื่นอสูร บนดินแดนหมื่นอสูรอันไกลโพ้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบเจอ และเมื่อได้พบเจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถสยบมันเพื่อแย่งชิงผนึกธาตุได้ และยิ่งเป็นสัตว์อสูรวิญญาณธาตุลมที่เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจดั่งสายลมแล้วยิ่งยากเย็นเข้าไปใหญ่ หยดน้ำค้างธารสวรรค์ธารสวรรค์คือธารน้ำที่เกิดจากตาน้ำที่ผุดขึ้นบนยอดเขาหิมาลัย บนดินแดนทิวเมฆา ที่ค่อยๆ ไหลหลั่งลงมารวมกับสายน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะรวมกันกลายเป็นมหานทีอันกว้างใหญ่ หากแต่หยดน้ำค้างธารสวรรค์ คือ ผนึกแร่ที่เกิดจากการสั่งสมมานับพันนับหมื่นปีบริเวณตาน้ำนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพบ และวัตถุดิบส่วนสุดท้ายเป็น ผลมังกรนิลกาฬต้นมังกรนิลกาฬเป็นต้นไม้ประหลาดที่ขึ้นในบริเวณที่ทับถมด้วยน้ำมันดิบใต้ดินลึก มันหยั่งรากลึกลงไปดูดซับเอาพลังอันหนาแน่นจากผืนปฐพีเหล่านั้นไว้หล่อเลี้ยงตนเองจบเติบใหญ่ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีมันจะผลิดอกออกผลสักครั้งหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นมีลักษณะกลมสีดำเกลี้ยง ถือเป็นวัตถุที่เต็มไปด้วยผลึกธาตุดินอันบริสุทธิ์ทั้งห้าอย่างนี้นับว่ามีค่าควรเมือง แม้มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่ว อย่าว่าแต่มีครบทั้งห้าอย่าง เมื่อปรุงกลั่นแล้วเสร็จนับเป็นยาวิเศษที่สะท้านสะเทือนทั่วทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริง

เมื่อได้วัตถุดิบครบถ้วนเทพโอสถอวิ้นหยาง ก็ได้ออกไปเชื้อเชิญปรมาจารย์อีกสองท่านของสำนักแพทย์โอสถหลวงด้วยตนเองให้มาช่วยเหลือในการปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงในครั้งนี้


ณ ห้องปรุงกลั่นยาริมผาชมจันทร์ บนเขาเทียมเมฆา กึ่งกลางห้องจัดวางไว้ด้วยเตาหลอมยาขนาดใหญ่สีทองแวววาวจับตา ประดับด้วยลวดลายมังกรสองตัวโอบล้อมตัวเตาไว้ ส่วนบนของเตาเห็นมังกรทองทั้งสองตัวกางกงเล็บตะปบลงบนฝาปิดของเตาหลอม ปากมังกรอ้าออกกว้างเผชิญหน้ากันอยู่ดูน่าเกรงขาม ข้างเตาหลอมด้านหนึ่งนั่งไว้ด้วยเทพโอสถอวิ้นหยาง ทางด้านซ้ายของเทพโอสถเป็นสตรีผมขาวโพลน หากแต่ใบหน้ากลับยังดูเต่งตึงดุจคนวัยกลางคน คนผู้นี้คือจ้าวโอสถไป่ลี่ถิง ด้านขวาของเทพโอสถเป็นบุรุษชราผมขาวคิ้วขาว มองดูคล้ายเทพเซียนสมกับฉายาเซียนโอสถยิ่ง เขาคือเซียนโอสถหมิงเซียนนั่นเอง เห็นปรมาจารย์ทั้งสามยกสองมือปลดปล่อยพลังอัคคีอันร้อนแรงออกจากฝ่ามือ เปลวเพลิงจากพลังยุทธ์อันบริสุทธ์ส่องแสงเป็นประกายสีแดงเพลิงสาดแสงสวยงาม ชั่วพริบตาทั่วบริเวณห้องปรุงยานั้นก็ครุกรุ่นด้วยไอความร้อนจากเปลวเพลิง อุณหภูมิทั่วทั้งห้องพุ่งสูงขึ้นทันที

ความต่างชั้นในการปรุงกลั่นยาของแพทย์โอสถนั้น หากเป็นแพทย์โอสถทั่วไปจะใช้วิธีการจุดไฟที่เตาหลอมโอสถแล้วใช้พลังยุทธ์โอบหุ้มเตาควบคุมความร้อนแรงสูงต่ำของเปลวไฟในเตาให้เหมาะสม แต่หากเป็นแพทย์โอสถที่มีพลังยุทธ์ระดับสูงแล้วจะสามารถใช้เปลวเพลิงจากพลังยุทธ์ของตนหลอมเตาเพื่อปรุงกลั่นยาได้โดยตรงซึ่งทำให้สามารถควบคุมความร้อนของเปลวเพลิงได้ง่ายกว่าเปลวเพลิงธรรมชาติมากนัก อีกทั้งเปลวเพลิงนั้นยังมีความบริสุทธิ์กว่า จึงทำให้ตัวยาที่ปรุงกลั่นออกมามีความบริสุทธิ์สูงกว่าวิธีการหลอมโดยใช้เปลวเพลิงธรรมชาติอย่างเทียบไม่ติด

ณ ห้องปรุงกลั่นโอสถนั้นเห็นอวิ้นหยางพลิกฝ่ามืออย่างฉับพลัน สองมือเคลื่อนไหวเร็วรี่ พลังเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาเปลวเพลิงนั้นพลันพุ่งวนรอบเตาหลอมโอสถนั้นดุจพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย ตะปบเกี่ยวร้อยรัดเตาหลอมไว้ ผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอก อวิ้นหยางพลันดึงพลังกลับ เคลื่อนไหวท่าร่างหมุนวนไปสลับตำแหน่งให้เซียนโอสถหมิงเซียนเข้าแทนที่ เห็นหมิงเซียนตวัดมือไขว้กันไว้ระหว่างอกผนึกพลังซัดพุ่งออกไป พลังเปลวเพลิงนั้นพลันพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือเตาหลอมหมุนคว้างอยู่อย่างนั้นรอบแล้วรอบเล่า ผ่านไปครู่หนึ่งพลังนั้นพลันผนึกรวมตัวกันปรากฏเป็นรูปร่างคลับคล้ายว่าจะเป็นหงส์เพลิงสยายปีกตัวหนึ่ง เห็นมันพุ่งกระโจนเข้าหาเตาหลอมยานั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่พุ่งชนเตาหลอมสะเก็ดความร้อนจะกระจายแผ่ทั่วทั้งห้องทำให้อุณหภูมิภายในห้องพุ่งสูงขึ้นทวีคูณขึ้นไปอีก ผ่านไปสักพักใหญ่เห็นพวกเขาเคลื่อนไหวสลับตำแหน่งกันอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นจ้าวโอสถไปลี่ถิงปลดปล่อยพลังเปลวเพลิงออกกลับปรากฏรูปลักษณ์คล้ายดั่งดอกโบตั๋นเพลิงสีแดงฉานเบ่งบานขึ้นที่ใต้เตาหลอมยานั้นดอกแล้วดอกเล่า ปรากฏเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงห้อมล้อมสุมเตาเอาไว้ประดุจบุบผาผลิบานต่อเนื่องยาวนาน ไม่หยุดหย่อนดูงดงามตระการตายิ่งนัก

ปรมาจารย์ทั้งสามผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้พลังยุทธ์หลอมเตาปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน จึงปรุงกลั่นยาปรับสมดุลพลังธาตุระดับสูงได้สำเร็จออกมาทั้งหมดห้าสิบเก้าหยด อวิ้นหยางมอบให้จ้าวโอสถและเซียนโอสถเป็นค่าตอบแทนที่มาช่วยปรุงกลั่นยาคนละสามหยด ตัวเทพโอสถเก็บไว้สี่หยด ที่เหลือสี่สิบเก้าหยดนั้นสำหรับให้จ้าวเฟยหลงใช้ในการปรับสมดุลพลังธาตุของจ้าวเฟยหลงนั้นจะต้องนั่งแช่ในน้ำเพื่อดูดซับพลังจากยาปรับสมดุลพลังธาตุเดือนละหนึ่งครั้งในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพื่ออาศัยพลังจากแสงจันทราช่วยปรับสมดุลและลดความร้อนแรงของพลังจากตัวยาอีกทางหนึ่ง จึงต้องใช้เวลาเกือบห้าปีเลยทีเดียว


--------------------------------------------------------------------------------



ภายในห้องพักห้องหนึ่งที่ส่วนหลังของหอพยัคฆ์อัคคี บนเขาเทียมเมฆา เป็นห้องพักที่ส่วนของหลังคาเปิดโล่ง มองเห็นแสงจันทราสาดส่องตกต้องลงมายังกลางห้องพอดิบพอดี ที่กลางห้องนั้นมีถังไม้ใบใหญ่ตั้งอยู่ ภายในมีเด็กหนุ่มร่างเปล่าเปลือยผู้หนึ่งนั่งหลับตาพริ้มอยู่อย่างสงบ มองเห็นเพียงลาดไหล่เปล่าเปลือยขาวนวลเนียนดุจหยกเนื้อดีโผล่พ้นขึ้นมาจากขอบถัง รอบกายนั้นปรากฏแสงสีเหลืองทองระเรื่อทอแสงนวลงามเป็นประกาย ลอยละล่องวนรอบร่างเด็กหนุ่มอย่างช้าๆ รอบแล้วรอบเล่า แต่ละรอบที่หมุนไปสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างหนาแน่น ยิ่งพลังเพิ่มขึ้นความเร็วในการหมุนก็เพิ่มขึ้นตามไป เพียงไม่นานปรากฏคลื่นพลังอันแกร่งกล้าหมุนวนรอบตัวเด็กหนุ่มนั้นดุจดั่งพายุหมุนกลางท้องทะเลอันบ้าคลั่ง

พลันเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น ประกายตาเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าวูบหนึ่ง ยกสองมือขึ้นด้วยท่วงท่าประหลาด เงยหน้าจับจ้องมองจันทราดวงโต พลังที่เคลื่อนไหวอยู่รอบกายพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงบิดเป็นเกลียวเล็กๆ พุ่งเข้าสู่จมูกผ่านลมหายใจของเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายได้รับพลังจากประกายสีทองแปลกตานั้น ผิวพรรณของเด็กหนุ่มก็ดูสดใสขึ้น ร่างกายปรากฏประกายแสงสีทองเรื่อเรือง ภายในร่างกายบรรจุด้วยพลังเต็มเปี่ยม รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม เห็นเขาหลับตานิ่งลงอีกครั้ง สองมือประสานอยู่ที่ตักดูดซับพลังจากแสงสีทองด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น ภายใต้การดูดซับอย่างต่อเนื่อง เมื่อประกายสีทองเริ่มจางหายหมดไป เป็นช่วงที่จันทราดวงนั้นลอยเด่นอยู่กลางศีรษะของเด็กหนุ่มพอดี พลังแสงสีเหลืองนวลจากจันทราดวงโตพลันห้อมล้อมเข้าแทนที่ประกายแสงสีทอง เห็นกลุ่มก้อนสีเหลืองทองนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งครอบคลุมร่างเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มราวถูกห่อหุ้มด้วยหมอกหนาผืนหนึ่ง

เวลาค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งจันทราเคลื่อนคล้อยจากตำแหน่งเดิมไปมากโข พลังแสงสีเหลืองนวลนั้นก็อ่อนโทรมลง เด็กหนุ่มจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ลืมตาลุกขึ้นยืน ปล่อยให้หยดน้ำไหลรินละผิวกายลงไป ได้ยินเสียงพึมพำด้วยความยินดีแผ่วเบาจากร่างนั้น


“ในที่สุดข้าก็ปรับสมดุลพลังธาตุสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็ทำสำเร็จ…”

:katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จะได้ออกท่องยุทธภพแล้วซินะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
 :mc4: หายแล้ว

ต้องเป็นพวกท่านพ่อแน่ๆที่ช่วยหาวัตถุดิบ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เฟยหลงน่ารักกกกกกก เราชอบเรื่องนี้มาก มาต่อไวๆเลยนะคะ

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4

ออฟไลน์ yaoisamasang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
    • https://www.facebook.com/pages/Yaoi-Sama/463499467036395?ref=hl

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
เนื้อเรื่องน่าติดตาม
แต่อยากบอกว่าตัวหนังสือติดกันเกินไป
อ่านแล้วลายตา :try2:

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :interest: :interest: :interest: ว้าวววววววววววว  เลื่อนขั้นแล้ว  :music: :music: :music:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ DINNDANN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
บทที่ 4   เมืองจันทร์กระจ่าง

          แรกเริ่มฤดูใบไม้ผลิในเมืองจันทร์กระจ่างทางตอนใต้ของดินแดนฟ้าไพศาล อากาศเริ่มอบอุ่น ต้นไม้ผลิใบเขียวสวยสดใสดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่งดูงามตา ผู้คนสวมใส่ชุดใหม่สวยงามเดินสันจรตามถนนหนทางดูคึกคัก สองฟากข้างริมถนนเป็นแผงขายของประหลาดนานาชนิด หากแต่สินค้าที่วางขายบนแผงข้างทางเหล่านี้นับเป็นของชั้นต่ำด้อยคุณภาพ  หากท่านต้องการอยากจะได้ของชั้นสูงที่มีคุณภาพสมกับราคาแล้วละก็ท่านควรต้องเข้าไปเลือกสรรจากในร้านค้าซึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่อีกด้านของเมือง โดยเฉพาะร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทองภายในเมืองแห่งนี้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ที่สุดที่มีสินค้าทุกชนิดที่ท่านต้องการ

          ภายในร้านค้าสาขาของสหพันธ์วาณิชมังกรทอง บนชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่เต็มไปด้วยสินค้ามากมายดูละลานตา มีทั้งศาสตราวุธพิสดาร ชุดเกราะเนื้อดีอัญมณีอันล้ำค่า สมุนไพรหายาก ยาเม็ดเพิ่มพลัง ผนึกธาตุสัตว์อสูรระดับสูง ชิ้นส่วนของสัตว์อสูร มีแม้กระทั่งตำรายุทธ์ขั้นต้น ที่นี่มีสินค้าครบครันอย่างแท้จริง แต่แน่นอนว่าราคาก็สูงด้วยเช่นกัน บางชิ้นแม้จะใช้เงินตราของบางครอบครัวที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตยังไม่อาจเป็นเจ้าของได้

          “ศิษย์พี่รองเราเข้าไปดูของในร้านนี้กันเถอะ”

          “ได้สิ ตามใจเจ้า”

          ได้ยินเช่นนั้นเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบห้าสิบหกปีในชุดสีเหลืองขลิบทอง ก็วิ่งเข้าไปในร้านด้วยความยินดี ส่วนบุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกเป็นศิษย์พี่ผู้นั้นได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินตามเข้าไป

          ทั้งสองคนนั้นคือจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ที่เดินทางผ่านมายังเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้เพื่อเดินทางต่อไปยังสำนักแพทย์โอสถหลวงบนดินแดนเทวะอัคคีนั่นเอง

          จ้าวเฟยหลงในวัยสิบห้าปีอยู่ในชุดสีเหลืองขลิบทอง ใบหน้าเรียวงาม ดวงตากลมโตสุกใส หากแต่เปล่งประกายสูงส่งเหนือคำบรรยาย จมูกโด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า ผิวพรรณขาวผ่องราวกับหยก ปากสีแดงระเรื่อเรียวบาง แย้มยิ้มเห็นฟันขาวเรียงรายเป็นระเบียบงามตา องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบรวมกันอยู่บนร่างนี้ มองดูงดงามราวกับองค์เทพเทวาจากสรวงสวรรค์

           ส่วนจินอวี่สวมใส่อาภรณ์สีเงินยวง สอดรับเข้ากับผมสีเทาหม่น ผิวกายขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้ากึ่งหล่อเหลากึ่งงดงาม ร่างกายสมส่วน ด้วยเติบใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มแน่นนับว่ามีเสน่ห์น่าหลงใหล กอปรกับมีรอยยิ้มประดับที่ริมฝีปากเรียวนั้นตลอดชวนให้น่ามองเป็นที่สุด

           “คุณชายทั้งสองมีสิ่งใดให้ร้านของรับใช้โปรดบอกมาได้ ร้านของเรามีสินค้าทุกสิ่งให้ท่านเลือกสรร” เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็มีพนักงานของร้านปรี่เข้ามาต้อนรับทันที หลังจากที่ชะงักเพราะตะลึงในรูปลักษณ์ที่งดงามของลูกค้าทั้งสองไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากพูดจาได้คล่องแคล่วสมกับเป็นมืออาชีพ

          “เราต้องการอาภรณ์เนื้อดีสำหรับผลัดเปลี่ยนในระหว่างเดินทางท่านพอจะแนะนำได้หรือไม่”

          “รบกวนคุณชายท่านรอสักครู่” เพียงไม่นานพนักงานของร้านก็นำเสื้อผ้าสีสันลวดลายงดงามมาให้ทั้งคู่เลือก แม้ราคาจะสูงไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับศิษย์เอกของหอพยัคฆ์อัคคีที่มีกิจการต่างๆ มากมายตั้งอยู่ทั่วทุกดินแดน

          ขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านไปจ้าวเฟยหลงพลันเหลือบสายตาเห็นวัตถุธาตุสัตว์อสูรรูปลักษณ์แปลกตาจัดวางอยู่บนแท่นวางที่มุมหนึ่งของร้าน จ้าวเฟยหลงไม่รอช้าเดินรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว

          “ข้าต้องการผลึกธาตุชิ้นนั้น!!!”

          “มอบผลึกธาตุชิ้นนั้นให้ข้า!!!”


          สองเสียงเปล่งออกมาพร้อมเพรียงกัน เสียงหนึ่งแน่นอนว่าเป็นจ้าวเฟยหลง อีกเสียงมาจากชายหนุ่มที่เดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม

          จ้าวเฟยหลงละสายตาจากผลึกธาตุเงยหน้าขึ้นมองเห็นที่เบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ดวงตาเรียวสวย คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ร่างกายสมส่วนในชุดสีขาวขลิบเงินดูงามสง่ามีราศีดุจดั่งผู้สูงศักดิ์ ด้านหลังติดตามด้วยบุรุษวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างสูงใหญ่บึกบึนน่าเกรงขาม แผ่พลังกดดันจนผู้จ้องมองลมหายใจติดขัด อีกคนเป็นบุรุษรูปร่างผอมสูงในชุดเช่นบัณฑิตในมือถือพัดจีบลวดลายงามตา บุคลิกท่าทางถือว่าธรรมดาไม่โดดเด่น หากแต่จากพลังที่แผ่กระจายจากร่างนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง

          จากพลังยุทธ์ที่จ้าวเฟยหลงสัมผัสได้ทั้งสองคนนี้ถึงกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งถึงระดับราชันย์เลยทีเดียว นับว่าน่าแปลกที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงมาปรากฏตัวในเมืองเล็กๆ ติดชายแดนเช่นนี้ ชายหนุ่มเบื้องหน้าจะต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จ้าวเฟยหลงคิด

          “โอ คุณชายทั้งสองท่าน โปรดให้อภัยด้วย ผลึกธาตุชิ้นนี้เป็นผลึกธาตุของกิเลนเพลิง สัตว์อสูรวิญญาณธาตุไฟชั้นสูง มีความแข็งแกร่งระดับมหาราชันย์ เหมาะสำหรับผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุไฟยิ่งนัก นับเป็นวัตถุธาตุที่หาได้ยากและที่สำคัญร้านของเรามีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น” พนักงานของร้านรีบปรี่เข้ามาบรรยายสรรพคุณสินค้าทันที

           “ข้ามาก่อน!!!ท่านจะต้องขายมันให้ข้า” จ้าวเฟยหลงตวัดสายตามองพนักงานของร้าน พูดออกมาพลางเบ้ปากให้ฝ่ายตรงข้าม

          “หึหึ มันไม่สำคัญหรอกว่าใครมาก่อนหรือมาทีหลัง มันสำคัญที่ว่าเจ้ามีเงินเพียงพอที่จะซื้อมันหรือไม่ต่างหากเล่า” ชายหนุ่มเปล่งเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังออกมา พลางปรายตามองผ่านจ้าวเฟยหลงไปวูบหนึ่ง หากสังเกตให้ดีจะเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายวาว ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ชวนมอง

           “ทำไมข้าจะไม่มีเงินจ่าย ผลึกธาตุชิ้นนี้ท่านขายมันในราคาเท่าไหร่”กล้าดูถูกข้าจ้าวเฟยหลงอย่างนั้นรึ ผลึกธาตุชิ้นเดียวมีหรือข้าจะซื้อหาไม่ได้ หึ จ้าวเฟยหลงครุ่นคิดอย่างคับแค้น เบิกตาจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าแล้วหันไปถามพนักงานของร้าน แว่วเสียงหัวร่อน้อยๆ อย่างนึกขำท่าทางของเขาจากฝ่ายตรงข้ามชวนให้น่าโมโหยิ่งกว่าเดิม

          “เรียนคุณชายผลึกธาตุชิ้นนี้ราคาสองร้อยเหรียญทอง”

          “หา!!!สองร้อยเหรียญทอง ทำไมแพงถึงเพียงนั้น แล้วใครจะพกเงินมากมายขนาดนั้นเล่า” จ้าวเฟยหลงถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินพนักงานบอกราคา

           ระบบเงินตราบนดินแดนทั้งเจ็ดนั้นใช้ระบบเหรียญอยู่สามชนิดได้แก่เหรียญทองแดง เหรียญเงินและเหรียญทอง โดยเหรียญทองแดงหนึ่งพันเหรียญแลกเป็นเหรียญเงินได้หนึ่งเหรียญ เหรียญเงินหนึ่งพันเหรียญแลกเป็นเหรียญทองได้หนึ่งเหรียญและหากไม่ต้องการพกพาเหรียญทองจำนวนมากก็สามารถนำไปแลกเป็นบัตรแทนเงินได้จากร้านรับแลกเงินสังกัดสำนักธนวานิชต่างๆ ซึ่งก็มีการแบ่งรูปแบบของบัตร มีทั้งบัตรแบบทั่วไปจนถึงบัตรพิเศษสำหรับบุคคลชั้นสูง

          “ข้าขอซื้อผลึกธาตุกิเลนเพลิงชิ้นนี้” พูดจบชายหนุ่มผู้นั้นก็ยื่นบัตรสีทองสะดุดตาใบหนึ่งให้พนักงานที่ค้อมตัวรับบัตรไปอย่างนอบน้อม ดูจากบัตรสีทองที่ใช้นับว่าเป็นบัตรพิเศษสำหรับบุคคลชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย

          “จ…เจ้า!!!หึ ข้าไม่ต้องการมันแล้วก็ได้” จ้าวเฟยหลงถลึงตาจ้องมองฝ่ายตรงข้าม แล้วสะบัดหน้ากระทืบเท้าปึงปังเดินออกจากร้านไป โดยมีสายตาของชายหนุ่มมองตามไปจนลับสายตา


--------------------------------------------------------------------------------


           “โมโห โมโห ช่างน่าโมโหยิ่งนัก ฮึย!!!” จ้าวเฟยหลงเดินฟึดฟัดออกจากร้านด้วยความความหงุดหงิด

          “เอาน่าเฟยหลง ช่างเถอะ ของราคาแพงเช่นนั้น ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเสียเงินซื้อสักนิด” จินอวี่ยิ้มพลางพูดปลอบอย่างนึกขำ

          “ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะศิษย์พี่รองนั่นเป็นผลึกธาตุอสูรวิญญาณธาตุไฟเชียวนะ หากได้มันมาจะช่วยให้ท่านผ่านเข้าสู่ระดับจ้าวยุทธ์ได้อย่างแน่นอน น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าน่าจะแอบหยิบบัตรแลกเงินของอาจารย์มาด้วย ไม่อย่างนั้นเราคงไม่พลาดโอกาสเช่นนี้แน่ หึ เจ็บใจที่สุดที่ แพ้เจ้านั่นเสียได้”

           “ฮ่าๆๆๆ ขืนเจ้าแอบหยิบบัตรของอาจารย์มาจริงๆ กลับไปมีหวังโดนทำโทษให้เฝ้าเตาปรุงกลั่นโอสถทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่ เอาเป็นว่าข้าจะหมั่นฝึกฝนกว่าเดิม เพื่อจะได้ก้าวสู่ระดับจ้าวยุทธ์โดยเร็ว เจ้าไม่ต้องไม่ห่วงหรอก อย่าได้หัวเสียไปหน่อยเลย เราไปเดินดูของทางโน้นกันดีกว่า” จินอวี่ลูบหัวปลอบศิษย์น้องที่ทำปากยื่นแก้มป่องอยู่ ด้วยความเอ็นดู

           “ฮ่าๆๆ ช่างโชคดียิ่งนัก วันนี้กลับได้มาพบเจอคนงามถึงสองคน นี่ต้องเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นแน่แล้ว” เสียงหัวร่อกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง จ้าวเฟยหลงคิ้วขมวดมุ่นอย่างนึกขัดใจ พลางหันขวับกลับไปด้านหลังเห็นเป็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ที่นำหน้าเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ติดแต่สีหน้าค่อนข้างซีดเซียวไปบ้าง ขอบตาดำคล้ำเล็กน้อยอย่างคนที่อดหลับอดนอนเป็นประจำ อยู่ในชุดหรูหราอย่างคุณชายตระกูลใหญ่ ด้านหลังมีผู้ติดตามเป็นบุรุษเกือบสิบคน เห็นชายผู้นั้นสาวเท้ามุ่งหน้าเข้ามาหาจ้าวเฟยหลงและจินอวี่อย่างรวดเร็ว

           “คนงามทั้งสองได้พบกันถือเป็นวาสนา พวกท่านจะให้เกียรติไปรับประทานอาหารที่เหลาชมจันทร์กับข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เปล่งออกจากปากบุรุษหนุ่มผู้นั้นดูสุภาพดุจดั่งบัณฑิตปัญญาชน หากแต่สายตาที่กวาดมองไปยังจ้าวเฟยหลงและจินอวี่คู่นั้นกลับดูจ้วงจาบ ละลาบละล้วง จนน่าสะอิดสะเอียน

            “ขอบคุณสำหรับน้ำใจไมตรีจากคุณชายท่าน แต่พวกเรามีเรื่องราวต้องรีบไปจัดการ ไม่อาจไปกับท่านได้ โปรดอภัยด้วย พวกเราขอตัวก่อน” ขณะที่จ้าวเฟยหลงจะเอ่ยปาก จินอวี่เห็นว่าไม่ควรก่อเรื่องราวให้เสียเวลารีบดึงตัวศิษย์น้องไว้ แล้วประสานมือกล่าววาจาแทน

            ขณะที่หันหลังกลับเพื่อเดินจากไป บุรุษหนุ่มผู้นั้นพลันส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามล้อมทั้งสองไว้ทันที

             “พวกท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” จินอวี่ขมวดคิ้วถาม

             “ฮ่าๆๆ ไม่มีอันใดๆ ขออย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่มีความจริงใจที่จะเชื้อเชิญคนงามทั้งสองไปให้ได้ก็เท่านั้น”

              “หึหึหึ หากพวกเราไม่ไปกับพวกเจ้าล่ะ?” จ้าวเฟยหลงแค่นเสียงถามขึ้น ในใจเริ่มเดือดดาล คำก็คนงาม สองคำก็คนงาม ข้าก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ไม่ชอบให้ใครมาเรียกเป็นคนงามหรอกนะ และอีกอย่างข้าไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ฮึ

              “ขอพวกท่านอย่าได้ปฏิเสธดีกว่า” บุรุษหนุ่มผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์กล่าววาจา

              สถานที่ที่จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่ถูกห้อมล้อมไว้ แม้จะเป็นใจกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน หากแต่ก็มีเพียงคนหันมามองพวกเขาด้วยความสงสัยเท่านั้น เมื่อเหลือบเห็นบุรุษหนุ่มในชุดคุณชายที่เป็นผู้นำ ก็พากันเดินหลบเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดอาจหาญเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่คนเดียว

              “พวกเจ้าอย่าได้เล่นตัวไปหน่อยเลย ได้ร่วมรับประทานอาหารกับคุณชายของพวกเรานับเป็นวาสนานัก” สมุนคนหนึ่งพูด

            “ถูกต้อง!!!และหากพวกเจ้าทำให้คุณชายของพวกเราถูกใจ พวกเจ้าอาจจะได้สุขสบายไปชั่วชีวิตก็เป็นได้ฮ่าๆๆ”อีกคนสอดรับทันควัน

            “อย่าได้เสียมารยาท!!!” คุณชายผู้นั้นทำเป็นถลึงตาห้ามปรามผู้ติดตาม

             ขณะที่จ้าวเฟยหลงผลึกลมปราณเตรียมปลดปล่อยความหงุดหงิดที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อก้าวเท้าเข้าเมืองจันทร์กระจ่าง เสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านหลัง

              “ช่างคาดคิดไม่ถึงว่าจะได้พบคุณชายจ้าวหย่งฉี มาเดินเล่นกลางถนนในเวลาเช่นนี้ หรือว่าท่านจะมาช่วยท่านเจ้าเมืองตรวจตราความเรียบร้อย โอ หากว่าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านเจ้าเมืองผู้เป็นบิดาท่านคงได้ปลาบปลื้มเป็นแน่แล้ว” พูดจบร่างนั้นก็แหวกฝ่าวงล้อมมายืนเคียงข้างจ้าวเฟยหลงกับจินอวี่แล้ว ด้านหลังยังมีผู้ติดตามเป็นบุรุษวัยกลางคนในชุดสีดำเข้มอีกสองคน เห็นผู้มาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี อยู่ในชุดรัดกุมสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายบึกบึนแข็งแรง อย่างผู้ที่ฝึกกำลังอยู่เสมอ ใบหน้านั้นดูคมคายอย่างบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง

          “หยางหมิง!!!ข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า!!” คุณชายจ้าวหย่งฉีถลึงตาจ้องมองหยางหมิง
อย่างนึกเคียดแค้น

          ในเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้มีศูนย์กลางของอำนาจการปกครองรวมอยู่ที่จวนท่านเจ้าเมือง และมีสำนักต่างๆ ที่ถือเป็นกลุ่มผู้เข้มแข็งที่มีอิทธิพลอยู่อีกห้าสำนักได้แก่สำนักยุทธ์จันทร์กระจ่าง ซึ่งเป็นสำนักยุทธ์หนึ่งเดียวที่สังกัดและได้รับการสนับสนุนจากจวนเจ้าเมือง นับเป็นสำนักยุทธ์ประจำเมืองจันทร์กระจ่างแห่งนี้ สำนักยุทธ์ลมปราณเหล็ก ตระกูลทวนพยัคฆ์ ตระกูลวายุเมฆา อันเป็นสำนักและตระกูลใหญ่ในท้องถิ่นที่สืบทอดอิทธิพลรุ่นต่อรุ่นมานับร้อยปี และสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา ซึ่งนับเป็นสาขาย่อยของในกลุ่มสำนักผู้ยิ่งใหญ่สำนักเดียวที่ตั้งสำนักอยู่ที่เมืองจันทร์กระจ่าง

          ด้วยชื่อเสียงเกียรติภูมิของหมู่ตึกดินแดนบูรพาสำนักสาขาใหญ่ สำนักสาขาย่อยแห่งนี้จึงถือว่ามีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ท่านเจ้าเมืองยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจอยู่หลายส่วน และหยางหมิงที่สอดเท้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของจ้าวหย่งฉีในครั้งนี้ ก็เป็นถึงบุตรชายคนเล็กของเจ้าสำนักหมู่ตึกดินแดนบูรพา สาขาเมืองจันทร์กระจ่าง จะไม่ให้จ้าวหย่งฉีนึกเคียดแค้นได้อย่างไร

    “โอ คุณชายจ้าว ข้าเพียงเห็นว่าที่แห่งนี้มีเรื่องราวคึกคึกน่าดูชม จึงได้เดินเข้ามา หากว่าเข้ามายุ่งเกี่ยวทำให้ท่านต้องเสียเรื่อง ก็ต้องขออภัยแล้ว ไม่ทราบว่าพวกท่านชุมนุมที่นี่ด้วยเรื่องอันใด ขอข้าเข้าร่วมด้วยได้หรือไม่”หยางหมิงกล่าววาจา พลางทำหน้าตาไขสืออย่างคนไม่รู้เรื่องราว กวาดสายตามองคนนั้นทีคนนี้ที จนจ้าวเฟยหลงอดจะหัวเราะคิกไม่ได้ เห็นเช่นนั้นจ้าวหย่งฉีเดือดดาลเคียดแค้นยิ่งขึ้น

    “หึ หยางหมิง ถือว่าข้าเตือนเจ้าแล้ว หากแต่เป็นเจ้าที่ไม่น้อมรับคำตักเตือนนั้นเอง เรื่องราววันนี้เป็นเรื่องของข้าจ้าวหย่งฉีกับหยางหมิงเจ้า ไม่เกี่ยวกับสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างและสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา พวกเราบุก!!!”

     สิ้นสุดเสียงตะโกนก้อง จ้าวหย่งฉีพร้อมด้วยบรรดาผู้ติดตามนับสิบคนของเขาที่ห้อมล้อมพวกจ้าวเฟยหลง
อยู่ พลันผลึกพลังยุทธ์ขึ้นทันทีอย่างพร้อมเพรียง ส่งพลังเข้ากดดันพวกเขาในวงล้อมในทันใด

          จากที่จ้าวเฟยหลงสัมผัสได้พบว่าในผู้คนนับสิบที่รายล้อมอยู่นั้น มีตั้งแต่ผู้มีพลังยุทธ์ระดับผู้ฝึกยุทธ์ ระดับจอมยุทธ์และสูงสุดเป็นระดับยอดยุทธ์ขั้นต้นซึ่งมีอยู่สองคนรวมทั้งจ้าวหย่งฉีด้วย นับว่าเป็นผู้พรสวรรค์ผู้หนึ่งที่สามารถก้าวมาถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปี จากพลังยุทธ์ของพวกเขามีทั้งพลังยุทธ์ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ และที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นยอดยุทธ์ธาตุลมทั้งสองคน

           ความแตกต่างอย่างหนึ่งของสำนักยุทธ์ประจำเมือง ตระกูลใหญ่กับสำนักใหญ่ คือแนวทางการฝึกฝน สำนักยุทธ์กับตระกูลใหญ่โดยส่วนมากจะรวมผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุต่างๆ ทั้งสี่ธาตุ ไม่ได้มุ่งเน้นฝึกพลังยุทธ์ธาตุใดธาตุหนึ่งเป็นหลัก หากแต่ภายในจะมีการตัดสินโดยใช้ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์เป็นสำคัญเพื่อคัดเลือกผู้นำ เฉกเช่นสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างในขณะนี้เจ้าสำนักเป็นผู้ฝึกพลังธาตุลมที่มีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุอื่นๆ ส่วนในสำนักใหญ่ต่างๆ เช่น หอพยัคฆ์อัคคี หมู่ตึกดินแดนบูรพา พรรคเทพวายุ วังบุบผาเหมันต์ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่คัดเลือกและสรรหาศิษย์ผู้มีพลังธาตุบริสุทธิ์ตรงตามแนวทางของสำนักเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น จึงมีความเข้มงวดอย่างมากในการคัดเลือกศิษย์ คุณสมบัติของศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือกก็ล้วนแต่สูงส่ง ผู้ใดได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์สำนักใหญ่เหล่านี้ จึงนับเป็นวาสนาประการหนึ่งด้วยความที่สำนักใหญ่คัดเลือกแต่ผู้มีพรสวรรค์มาเป็นศิษย์ อีกทั้งมุ่งเน้นฝึกฝนและพัฒนาทักษะยุทธ์ในแนวทางเดียวเป็นเวลานับร้อยนับพันปีจึงทำให้กลายเป็นสำนักที่มีความแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าสำนักทั้งหลายบนแผ่นดิน

           “พวกเจ้าสองคนอย่าได้อยู่ห่างจากข้าโดยเด็ดขาด!!!” หยางหมิงกล่าวเสียงเข้ม หน้าตาเคร่งเครียดเป็นครั้งแรกด้วยเกียรติภูมิของสาขาย่อยหมู่ตึกดินแดนบูรพา เขาไม่คาดคิดว่าจ้าวหย่งฉีจะกล้าลงมือจุดฉนวนความขัดแย้งขึ้นเช่นนี้ พลันเห็นเขาพร้อมด้วยผู้ติดตามทั้งสองผลึกพลังยุทธ์เข้าต่อต้านแรงกดดันจากพลังยุทธ์รอบข้างทันที พลังยุทธ์ของทั้งสามคนเป็นพลังยุทธ์อันหนักแน่นของผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุดิน ทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับยอดยุทธ์ทั้งสิ้น หยางหมิงอยู่ในขั้นต้น ส่วนบุรุษวัยกลางคนทั้งสองเป็นยอดยุทธ์ระดับสูง

           จ้าวเฟยหลงกับจินอวี่อดที่จะหันมาสบตากันไม่ได้ คนกลุ่มนี้นับว่าไม่ใช่คนธรรมดาในเมืองจันทร์กระจ่างเมืองเล็กๆ ติดชายแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลหรือพลังยุทธ์ ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา

           เห็นจอมยุทธ์สองคนพลันผลึกพลังยุทธ์ทะยานร่างเข้าหาปล่อยหมัดอันหนักหน่วงรุนแรงสองสายเข้าใส่หยางหมิงหยางหมิงเห็นเช่นนั้นกลับไม่แตกตื่นลนลาน ริมฝีปากนั้นเผยอรอยยิ้มน่ามองขึ้น ผลึกพลังซัดหมัดเข้าต่อต้านสองหมัดนั้นในทันใด

          “ฝ่ามือป่นศิลาผ่าพิภพ” เสียงตะโกนก้องอันดุดันจากปากของหยางหมิง พร้อมกับพลังยุทธ์อันหนักหน่วงแผ่พุ่งเข้าปะทะกับพลังหมัดของจอมยุทธ์สองคนนั้น

          “ตูม!!!”
           ตุ๊บ!!!

          เสียงพลังปะทะกันดังกึกก้องเพียงครั้งเดียว ตามด้วยเสียงจอมยุทธ์คู่นั้นตกลงสู่พื้นพร้อมกัน แน่นิ่งไปห่างจากจุดที่เกิดการปะทะไม่ไกลนัก ความเคลื่อนไหวรอบข้างพลันหยุดชะงักลง เกิดการปะทะกันเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้นจริงๆ

          จ้าวหย่งฉีเบิกตาจ้องมองหยางหมิง ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่มีโอกาสที่จะประมือกัน ทั้งคู่รับทราบระดับฝีมือของกันและกันผ่านคำบอกเล่าที่ได้ยินอยู่ประจำในฐานะอัจฉริยะรุ่นใหม่ของเมืองจันทร์กระจ่าง จ้าวหย่งฉีคาดคิดไม่ถึงว่าหยางหมิงยังแข็งแกร่งกว่าที่ได้ยินมา เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสยบจอมยุทธ์ของสำนักยุทธ์จันทร์กระจ่างลงได้ถึงสองคน ในใจของหยางหมิงอดที่จะเต้นระริกไม่ได้ ปากแสยะยิ้มอย่างนึกยินดีที่จะได้พบเจอคู่มือที่สูสีทัดเทียมกันเช่นนี้

          “ยอดเยี่ยม!!!ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!! ฮ่าๆๆ ข้าว่าพวกเรามาประลองกันดูสักตั้งเป็นอย่างไร หากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าไป”จ้าวหย่งฉีจ้องหยางหมิงเขม็ง พลางกล่าววาจา

           “คนที่ท่านต้องการหาเรื่องเป็นพวกเราสองพี่น้อง หากเจ้าต้องการประลอง ข้าจะเป็นคู่ประลองให้เจ้าเอง!!!”
   

   
--------------------------------------------------------------------------


ถึงเวลาทีจ้าวเฟยหลงจะออกไปโลดแล่นแล้วนะ

เอาใจช่วยจ้าวเฟยหลงด้วยจ้า


:hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ออกท่องยุทธไม่ทันไรความงามก็ก่อเหตุซะแล้ว
ว่าแต่ทั้งศิษย์พี่ศิษย์น้องนี่อยู่ฝ่ายเคะใช่ไหม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :fire: :fire: :fire: คนสวยโหมดโหด ฆ่ามัน  ถล่มสำนักให้ราบเรียบ :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เฟยหลงถล่มมันค่ะ
คนแรกนี่พระเอกใช่ไหม

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
แอร๊ย อยากเห็นฤทธิ์คนงามเฟย รอหนูนะลูก  :ruready o18

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
ชอบเรื่องนี้ รักเรื่องนี่ สนุกมากกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด