C h a p t e r 0 8เป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ความสัมพันธ์ของผมกับเจเรมี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกถึงในเชิงนั้นมาก่อน คืนนั้นมันเมา อ้วกแตก ร้องไห้ สุดท้ายก็ต้องแบกเจ้าของร่างผอมบางกลับมาที่บ้าน เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ตื่นเช้ามาเห็นตัวเองในชุดหลวมโพรกก็เพียงขอบคุณแบบขอไปทีแล้วรื้อไข่ในตู้เย็นผมมาทำออมเล็ตสำหรับตัวเองแค่คนเดียว ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนสักกระบิ เช่นกัน เราต่างทำเป็นลืมไป สำหรับผมคงใช้คำนั้นได้ แต่อีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าจำไม่ได้หรือแสร้งความจำเลอะเลือนไปกันแน่
หลายวันถัดมา ผมยังคงไม่แวะไปที่ร้านมัน ไม่พูดเรื่องของจูบ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่นึกถึง ยังคงวนเวียนวนประโยคเหล่านั้นซ้ำๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เมือไหร่ มันตัดใจได้หรือยัง กระทั่งมีใครบางคนมากดออดหน้าบ้านถึงลืมมันไปสิ้น
"ไม่ตอบไลน์"
นิธานพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ โฟลคสวาเก้นจอดดับเครื่องทิ้งไว้นอกรั้วบ้าน บุญเหลือคิดถึงแขกที่แวะเวียนมาบ่อยจนกระโดดโลดเต้นไปพังชั้นวางแคคตัสที่ตั้งไว้ชิดกำแพงล้มครืน จะดุก็ไม่ได้ ผมเองก็ดีใจไม่ต่างจากมัน
"พี่ไม่ตอบข้อความผม"
"เหรอ เมื่อไหร่"
"ก็วันที่..." นึกขึ้นได้ว่าที่จริงพี่ธามตอบ แค่ดึกไปหน่อย แต่ผมเองที่ว้าวุ่นจนไม่ได้กดเข้าไปอ่าน คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นถามซ้ำ กลายเป็นตัวเองที่คอตก ยอมจำนนว่าผิดแต่เพียงผู้เดียว "โทษที ผมยุ่งๆ"
"ติดสาว?"
"ไม่ใช่" เถียงแทบในเวลาเดียวกันกับที่ประโยคนั้นจบ นิธานลงไปนั่งเล่นกับบุญเหลือ ไม่ใส่ใจกับคำตอบของผมสักนิด "นี่ ถามแล้วเมินแบบนี้สนใจกันจริงๆ หรือเปล่า"
"ก็เล่ามาสิ"
"ไม่มีอะไรหรอก" ผมบอกปัด เสียเวลามากพอที่จะพะวง นั่งมองคนที่ไม่เจอหลายวันเล่นกับหมาดีกว่า เขายังทั้งเท่ทั้งน่ารักเหมือนเคย ใบหน้านิ่งเรียบยิ้มนิดๆที่มุมปาก แววตายังหม่น คงมีเรื่องไม่สบายใจมาอีก "งานเป็นไงบ้าง"
"ก็เหมือนเดิม"
"วันนี้ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม" ในครัวไม่มีอะไรเลย ไข่ฟองสุดท้ายก็เพิ่งผัดกับมาม่าไปเมื่อบ่าย นิธานไม่ตอบในทันที เมื่อลุกขึ้นยืนบุญเหลือก็กระดิกหางเดินวนรอบตัวไปด้วย
“เหนื่อย ไม่อยากไปไหน”
“ที่บ้านไม่มีอะไรกินเลยนะ”
“โทรสั่งพิซซ่ามาสิ”
สาบานเลยว่าคนบอกให้ผมสั่งจั๊งฟู้ดมากินเป็นมื้อเป็นถึงนายแบบ นิธานเดินกลับไปที่รถ ไขกุญแจหยิบถุงพลาสติกเล็กๆ ที่วางไว้เบาะข้างคนขับติดมือออกมา “นี่ของฝาก ไม่ได้ไปไหน เจอพวงกุญแจที่สนามบินเลยซื้อมาให้”
“เซอร์ไพรส์ว่ะ”
“แทนค่าข้าวที่มาฝากท้องไว้หลายวันไง”
“ขอบคุณมากพี่” ไม่ได้สวยหรือแปลกตาอะไรนัก แต่ของที่ให้ไม่สำคัญเท่าใจคนฝากถูกไหมครับ ผมยิ้มหน้าบาน อารมณ์ดีจัดในรอบหลายวัน กระชุ่มกระชวยบอกไม่ถูก
“พิซซ่าใช่ไหม หน้าอะไร"
"อะไรก็ได้ ไก่นิวออลีนด้วย"
"โค้กนะ”
“เอาเซ็ตที่มีพาสต้า”
“จัดไป"
ผมสงสัยมาตลอด ว่าการมีแฟนมีข้อดีอะไรบ้าง หรือแม้กระทั่ง แฟนกับคู่นอนต่างกันยังไง นิธานกลายเป็นคำตอบให้ผมโดยไม่รู้ตัว เรานั่งดูถ่ายทอดสดบอลด้วยกันตอนตีหนึ่ง พิซซ่าโปรหนึ่งแถมหนึ่งหมดเกลี้ยงทั้งสองถาด ไก่ทอด สลัด พาสต้า โค้กขวดใหญ่ ไม่มีอะไรเหลือ กินแบบไม่ต้องเหนียมอาย ซัดกันไปราวกับปอบเข้าสิง นิธานคือความเหลือเชื่อทุกอย่าง เขาตัวเล็กกว่าผม แต่กินดุพอกัน ยังมีแรงเปิดเบียร์คนละสองขวด จิบกินสลับกับคำรามเมื่อทีมโปรดเกือบทำประตูได้
เสียตรงนี้ ผมกับพี่ธามแม่ง เชียร์กันคนละทีม
"ต่อเวลาหาพ่อเหรอตั้งเจ็ดนาที" เขาสบถ เมื่อกรรมการตัดสิน ตอนนี้ทีมพี่ธามนำ แต่ดูทรงแล้วเหนื่อยล้าเต็มทน "เชี่ย ล้ำหน้า เป่าสิวะ!"
"พี่ต่อให้ทีมผมบ้างดิวะ"
"กากเอง"
"บอลยังไม่หมดเวลาอย่าชะล่าใจไปดิพี่ มันก็แค่ลูกกลมๆ ในสนาม"
"กากก็บอกว่ากาก"
"เจ็ดนาที พนันไหมล่ะ เดี๋ยวทีมผมก็ตีแต้มได้"
"ไร้สาระ"
"ไม่กล้าหรือไง" ยักคิ้วยวน แกล้งถามไปอย่างนั้น แต่คนข้างๆ กลับกัดฟันจนเห็นกระดูกกรามนูนขึ้นมา แหย่พี่ธามแล้วสนุก ผมชอบเวลาใบหน้านิ่งเรียบแบบนี้มีความรู้สึก ขุ่นมัวก็ได้ อย่างน้อยก็ดีกว่าอมทุกข์นิดๆ เหมือนเมื่อตอนเย็น
เอาเข้าจริง ตอนที่เจอนิธานทีไรเขามักจะเริ่มต้นจากอารมณ์บูดจากไหนสักแห่งมาตลอด ผมไม่น้อยใจ ไม่คิดค้นหา ถ้าสบายใจก็เล่าเอง ความสัมพันธ์ของคนโตๆ กันแล้วคงเป็นแบบนี้ ไม่หวังมาก แค่ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้ก็ถือเป็นชัยชนะของวันแล้ว
"หนึ่งหมื่น ถ้ามึงแพ้จ่ายกู" คนหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ตอบ ผมเดาะลิ้นกับเพดานปาก แลกเปลี่ยนข้อเสนอตัวเองกลับไปทันที
"ไม่มีปัญหา แลกกับหนึ่งจูบ" นิธานนิ่งไป มองจอโทรทัศน์ที่นับเวลาผ่านไปเรื่อยๆ "กล้าป่าว"
"ก็เอาดิ"
ให้ตาย ผมไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับฟุตบอลแมชท์ไหนเท่านี้มาก่อน หลังจากตกลงก็ประสานมือ จับจ้องไปข้างหน้า ใจเต้นแรงเหมือนลงเตะเอง หวีดหวิวทุกครั้งที่ทีมตัวเองควงลูกไปหน้าประตูอีกฝ่าย
เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ เกมรุกของทีมผม แต่ประตูทีมพี่ธามก็เหนียว ยิงไปสองรอบ ปัดออกได้ทั้งสองรอบ
“หมดเวลาสิวะ”
เอาเข้าจริง เงินหนึ่งหมื่นผมก็เสียดายนะ แต่จะเสียดายมากกว่าถ้าพลาดโอกาสได้จูบไป วันก่อนจูบกับเจเรมี่แล้วไม่ได้แย่ มันเป็นปากของผู้ชาย กลิ่นของผู้ชาย การรุกล้ำและลีลาล้วนชัดว่าแตกต่างจากผู้หญิง พอเจอหน้านิธานก็ชวนคิดว่าถ้าจูบนั้นเป็นพี่ธามผมจะรู้สึกยังไง
เวลาเดินมาสู่สามนาทีสุดท้าย หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ คนข้างๆ ก็เช่นกัน เขานั่งกระดิกเท้า เห็นได้ชัดว่าเริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ การต่อเวลาเหมือนต่อลมหายใจให้ทีมผมที่เป็นรองอีกฝ่ายลูกเดียว แค่ลูกเดียว
"เยส!!!"
นาทีสุดท้ายกองหลังทำดี หลอกล่อให้โกลด์หลบซ้าย ยิงเฉียดเสาเข้ามุมขวา เสียงเฮดังสนั่นเพราะนับแต้มรวมแล้วชัยชนะเป็นของเจ้าบ้าน นักเตะคุกเข่า เฮละโลมาโถมกอดฮีโร่ไว้จนเป็นก้อนกลม ประตูทีมที่พี่ธามเชียร์ยืนคอตก เพื่อนบางคนมาตบบ่าปลอบใจ แต่นั่นมันภาพในสนาม ภาพที่อยู่ห่างจากเราไปเป็นพันกิโลเมตร
“ว้า ผลออกแล้ว โอเคหรือเปล่า”
ยิ้มมุมปาก รอผลการพนัน เอาเข้าจริงถ้าฝืนใจอีกฝ่ายก็คงยอมเสียสิทธิ์ ทำไงได้ผมไม่ถนัดแนวนั้น จูบไม่ใช่แค่ปากชนปาก มันมีฟีลลิ่งเป็นส่วนประกอบ ตัวอย่างเช่น ต่อให้มีเซ็กส์ ผมก็ไม่ได้จูบคู่นอนทุกคน ถ้าปฏิเสธได้จะปฏิเสธมากกว่า กับไอ้นั่นยังใส่ถุงยางได้ แต่เป็นน้ำลายต่อน้ำลาย บอกตรงๆ เสือแค่ไหนลองติดโรคก็ง่อยเหมือนกันหมดนั่นแหละครับ
“ว่าไงพี่”
ใช้ปลายนิ้วเขี่ยปลายผม นิธานหลับตาครู่หนึ่งก็ลืมตา เป็นฝ่ายดึงคอเสื้อผมเข้าหาทันที ทั้งร่างเซลง ดีที่ใช้แขนยันเบาะนั่งโซฟาได้เลยกลายเป็นคร่อมอีกฝ่ายแทนที่จะล้มทับทั้งตัว ปลายจมูกเฉี่ยวกัน ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมกับยีสต์หมักที่ดื่มเข้าไป ผมจ้องตาเขา เช่นกัน ดวงตาสีดำคู่นั้นมองกลับมา ไม่ยี่หระ ไม่มีความขลาดกลัวหรือประหม่า แม้กระทั่งบดเบียดกลีบปากลงไปยังนิ่งเฉย ผมเอียงคอ หลบสันจมูกให้กดริมฝีปากได้แนบแน่นขึ้น ถอยออกมาเล็กน้อยสำหรับพื้นที่ในการเกลี่ยจุมพิตผะแผ่ว ตามด้วยใช้ปลายลิ้นหยอกล้อริมฝีปากสีสวยให้คลี่ออกและจูบให้สมกับที่เป็นจูบ
มือขาวยังกำที่คอเสื้อ ผมเริ่มเบียดลงไปทั้งร่าง เสียงของน้ำลายยามกดจูบลงไปและคลายออกดังเย้า เนิบช้า อ่อนโยน ก่อนจะดุดันเรื่อยๆ เมื่อไม่มีใครยอมลดรา นิธานไล้มือไปที่ต้นคอด้านหลัง กดท้ายทอยผมเพื่อจูบที่หนักหน่วง เช่นเดียวกันกับผมที่เลิกใช้แขนเป็นค้ำยัน แต่มากอดรัดอีกฝ่ายแนบแน่น เลื้อยมือไปบนแผ่นหลังกว้าง กั้นระหว่างผิวเพียงเสื้อ ผมจูบเขาเหมือนคนบ้า ดูดดึงราวกับลิ้นอ่อนเป็นอากาศใช้หายใจ ผมเอียงจมูกหลบอีกฝั่ง เบียดเข้าไปให้ล้ำลึก จ้องตากันและกัน กระทั่งมือที่สอดเข้าเรือนผมด้านหลังเปลี่ยนเป็นกำทุบถึงค่อยละออกมา และพบว่าตัวเองตะโบมจูบอีกฝ่ายอย่างตะกละตะกลามเพียงใด
“โทษที เพลินไปหน่อย”
ริมฝีปากคู่นั้นวาววับ แดงระเรื่อ แก้มก็เช่นกัน นิธานหอบหายใจ เบือนหน้าไปทางอื่น เสื้อผ้าเรายับเยิน กระดุมของนายแบบหนุ่มหลุดออกจากรังไปสองเม็ด น่าจะเป็นเพราะผมที่ดึงทึ้งเสื้อเขาเมื่อครู่ เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผม ดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าบนปกนิตยสารไหนๆ
“พี่ธาม เอากันปะ”
“ไอ้แซค!”
“ผมแม่ง มีอารมณ์ว่ะ รู้ใช่ไหม”
คู่สนทนากัดริมฝีปาก ตอบไม่ตรงคำถาม “ทำเองไม่เป็นหรือไง”
“มันดีกว่าถ้ามีคนทำให้” จริงๆ จะดีมากเลยถ้าเป็นพี่ธาม เลือดในกายผมสูบพล่าน ตื่นเต้นชะมัด ผมบดสะโพกลงไป ให้อีกฝ่ายรู้ซึ้งว่าตอนนี้พร้อมแค่ไหน “ธาม”
“ไปชักเองในห้องน้ำเลย จะกลับแล้ว”
“เฮ้ย ไม่เอาดิ ดื่มไปจะขับรถกลับยังไง อันตราย” ผมควรดีใจหรือเปล่าที่นิธานนายแบบสุดเฮี้ยบพูดหยาบคายด้วย เหมือนได้ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เขาดันอกผม แต่ไม่ได้จริงจังนัก ส่วนผมก็ยังอยู่ในท่าที่คร่อมอีกฝ่ายไว้เหมือนเดิม มองด้วยแววตาออดอ้อน “ค้างนี่เถอะ”
“อยู่นี่ไม่อันตรายกว่าหรือไง”
“โธ่ ผมจะทำอะไรได้ถ้าพี่ไม่ยอม ตัวผมกับพี่กว่าจะสู้กันรู้ผลได้ หดหมดอะ”
“ทุเรศ”
“เอ้า จริงๆ ค้างได้นะ พรุ่งนี้มีงานหรือเปล่า”
“มี”
“กี่โมง”
“แค่ค้างก็จบใช่ไหม เลิกเซ้าซี้ได้แล้วน่า”
“อาบน้ำไหม ผมเอาผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนให้”
“อืม”
สำเร็จ! พอได้คำตอบผมก็ลุกไปหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวให้แขก บุ้ยใบ้ว่าจะไปเปิดแอร์รอในห้องนอนแล้วค่อยลงมาเก็บซากอาหารที่วางทิ้งไว้ ไอ้เหลือโชคดี พรุ่งนี้เช้าได้กินกระดูกไก่เพียบแน่ คืนนี้มันนั่งงับยุงอยู่นอกตัวบ้าน มีกรงที่เป็นห้องนอนส่วนตัวของมันเองอยู่ โดยปกติแล้วผมจะให้มันนอนในบ้าน แต่วันนี้ไม่ปกติ อยากอยู่กับธามสองคนเลยเฉดหัวหมาทิ้ง นิธานบ่นบ้าง แต่พอผมโกหกว่าที่อยู่ประจำของไอ้เหลือคือนอกบ้านเขาก็ยอมรับกติกาข้อนี้แต่โดยดี
“พี่นอนก่อนได้เลยนะ”
“มีกางเกงที่ดีกว่าตัวนี้ไหม” หมายถึงที่สวมอยู่เป็นยางยืนที่ค่อนข้างหลวม ผมเลยอนุญาตให้อีกฝ่ายหาเสื้อผ้าในตู้ตามสะดวกระหว่างที่ผมผลัดไปอาบน้ำบ้าง ใช้เวลาไม่นาน พอกลับมานายแบบชื่อดังก็อยู่ในชุดที่เข้ากับตัวเองที่สุดบนเตียง นอนดูโฟโต้บุ๊คเล่มล่าสุดที่ผมซื้อมาแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงเรียบร้อย
“ผมชอบพี่ศีล เขาเป็นไอดอลเลย ถ่ายภาพสวยมาก”
“สวยทุกรูป”
“แหงล่ะ นี่มันโฟโต้บุ๊ครวมงานตลอดสิบปี ไว้ว่างๆไปดูนิทรรศการภาพถ่ายด้วยกันไหมพี่ เจออะไรเด็ดๆ เยอะ”
“คิดว่าฉันว่างนักเหรอ”
“แหม ก็ว่างมาเจอกันบ่อยในระดับหนึ่งล่ะนะ” แกล้งเย้าอีกฝ่าย ก่อนเปิดไฟหัวเตียงแล้วปิดไฟนีออน “พี่ทำงี้ผมก็คิดว่าตัวเองก็มีหวังได้ ใช่ปะ”
“เอาที่สบายใจเหอะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เหมือนที่พี่อยู่กับผมแล้วสบายใจอะ” ล้มตัวลงนอนข้างๆ เท้าข้อศอกลงกับหมอน ตะแคงมองอีกฝ่ายที่เปิดโฟโต้บุ๊คไปเรื่อยๆ “ผมรู้ว่าพี่มีปัญหาอะไรสักอย่าง ไม่รู้นะว่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่สบายใจแล้วมาเจอกันมันทำให้พี่โอเคขึ้น ผมในฐานะคนที่ชอบพี่ก็รู้สึกดี”
“เออ”
“เล่าได้ไหมว่าเรื่องอะไร จริงๆ ก็ไม่อยากถามหรอก แต่..”
“แต่ถามมาแล้ว” ตาคมเหลือบมองผมแค่หางตา ปิดสมุดภาพลง วางไว้ที่เดิมติดกับโคมไฟ “เรื่องที่บ้าน เล่าให้ใครฟังไม่ได้”
“พี่หม่อนรู้ไหม”
“ก็เพิ่งบอกว่าเล่าให้ใครฟังไม่ได้”
“โอเค แปลว่าเล่าให้ผมฟังก็ไม่ได้ ไม่เป็นไร เวลาจะละลายความไม่เชื่อใจเอง ถ้าพี่มั่นใจในตัวผมอยากพูดเมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่ไปไหนอยู่แล้ว”
“คนอย่างนายไว้ใจได้ด้วยเหรอ”
“อะ แน่นอน”
“งั้นถามอย่าง” เขาพลิกตัวหันหน้ามาทางผม หนุนแขนตัวเองอีกชั้นต่อจากหมอน “เสื้อผ้าที่แขวนอยู่หน้าตู้นั่นของใคร”
“อ้อ” ไอ้เด็กที่เมาเละมาค้างวันก่อน ผมซักให้มันแล้วแต่ยังไม่ได้เอาไปคืน “น้อง”
“นึกว่าเป็นลูกคนเดียว”
“น้องพี่จิ๊บ เคยพูดถึงแล้วนี่นา”
“สนิทกับน้องชายหัวหน้าขนาดมาค้างแล้วทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่ได้เลย?”
“ทีกับพี่ทำงานด้วยกันวันแรกยังเอาเสื้อผ้ากลับมาได้เลย”
“สรุปว่าเด็กนั่นกับฉันเหมือนกัน?”
“หึงปะเนี่ย” ผมอมยิ้มที่มุมปาก โดนซักแบบนี้บ่อย แต่ไม่เคยรู้สึกดีเหมือนตอนนี้มาก่อน โคตรบ้าเลยไอ้แซค “ไม่เหมือนหรอก ผมไม่ได้ชอบมัน แต่ผมชอบพี่”
นิธานไม่ถามต่อ เขาเงียบเสียงลง สักพักก็เป็นฝ่ายพลิกตัวหันหลังให้ มือขาวเอื้อมไปปิดโคมไฟ ความมืดโรยตัว มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้านวมที่เกิดจากการขยับตัวที่ดังในห้องนอนเล็กๆ
ผมขยับเข้าหาเขา สอดมือเข้ากอดรอบเอว นิธานแกะมือผมออก ปัดทิ้ง แต่สักพักผมก็กอดใหม่ ดิ้นขลุกขลักกันอยู่พักใหญ่คนผมเป็นผู้ชนะ ดึงร่างสมส่วนของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนได้สำเร็จ ไม่นุ่มนิ่มเหมือนเนื้อสาว แต่อ่อนโยนกว่าผู้ชายทั่วไป ผมขยับเข้าไปใกล้ กดจมูกลงบนท้ายทอยผ่านเส้นผมสีดำที่ยาวระลงมา นายแบบหนุ่มเกร็งไปทั้งร่าง ซึ่งผมไม่สน ยังเฝ้าหอมต้นคออีกฝ่ายซ้ำๆ กระทั่งจรดริมฝีปากลงจูบ
“ผมหลงพี่มากเลยว่ะ ใจผมเต้นแรงมาก ได้ยินหรือเปล่า”
“คนที่พูดแบบนี้ได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยมีแต่พวกเสือผู้หญิง”
“อย่าอคติดิ ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับใครนะ”
“ก็ต้องบอกแบบนี้กันทั้งนั้น”
ผมหัวเราะ ขยับตัวขึ้นเอาหน้าไปวางบนแก้มอีกฝ่าย ยิ่งกอดแนบชิดแบบนี้ยิ่งรู้สึกดี “พี่ธามเคยมีแฟนหรือเปล่า”
“เคย”
“พี่หม่อนบอกว่าไม่”
“หม่อนไม่ได้รู้จักฉันดีขนาดนั้น”
“จริงดิ แล้วระหว่างผมกับพี่หม่อนใครรู้จักพี่ธามดีมากกว่ากัน”
“อาจจะไม่มีใครรู้จักเลยก็ได้”
“เหรอ” ผมเงียบเสียงไป ตราบใดที่ยังไม่รู้เรื่องความทุกข์ที่อยู่ในใจก็เหมือนยังไม่ได้ถูกยอมรับว่าสำคัญ ถึงแม้เวลานี้จะได้ทั้งกอดทั้งหอม หรือแม้กระทั่งจูบจากการพนันโง่ๆ แต่นิธานก็ไม่ค่อยปริปากเล่าเรื่องตัวเองอยู่ดี
“พี่รู้ไหม ผมคิดมาตลอดเลยนะว่าทำไมคนเราถึงอยากมีคู่ชีวิต”
“ได้คำตอบหรือยัง”
“ได้แล้ว เพิ่งได้ตอนเห็นพี่ไม่สบายใจนี่แหละ ผมอยากแบ่งเบาเรื่องที่มันหนักในใจของพี่มาบ้าง ผมรู้ว่าพี่เก่ง พี่เก่งมากๆ ที่มายืนถึงตรงนี้ได้ แล้วผมก็เห็นมาเยอะด้วย พวกคนดัง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไว้ใจใครไม่ได้ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะเข้าหาใครเพราะผลประโยชน์ พี่ไว้ใจผมได้จริงๆ นะเว้ย”
“พูดมาก นอนได้แล้ว”
“ธาม”
“ใครอนุญาตให้เรียกห้วนๆ แบบนี้ ตอนแรกยังเรียกพี่ธามอยู่เลย”
“อยากเรียกธามแล้ว อยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ได้”
คนที่ถูกกอดไม่ตอบอะไร เลือกที่จะเงียบเหมือนทุกครั้ง ผมขยับตัว ปล่อยในที่สุด พลิกนอนหงาย ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก จะไปยืนข้างๆ ได้ยังไงถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ
“แซค”
“หืม”
“ตอนที่จูบหน้าทีวีรู้สึกยังไง”
“จะยังไงล่ะ ของผมเด้งชนพี่เสียขนาดนั้น” พูดกลั้วหัวเราะ เฮ้ย ผมมีอารมณ์กับผู้ชายเข้าให้จริงๆ ว่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงคิดว่านี่เป็นเรื่องโจ๊กแน่ๆ ผู้ชายที่เหมือนผมทุกประการ ไม่เสริมหน้าอก ไม่แต่งหน้า ไม่มีจริตจก้านอ่อนหวาน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว น่าจะเพราะเวลาที่เราชอบอะไรสักอย่างแล้วการข้ามผ่านกฎเกณฑ์เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เริ่มจากสนใจ เป็นอยากลอง ตอนนี้ชอบแหงๆ หลงมากเสียด้วย
“พี่ล่ะรู้สึกยังไง”
“หายใจไม่ทัน”
“แต่พี่ก็จูบเก่งนะ” ผมหมายถึง ถ้าผมไม่ตะบี้ตะบันเอาแต่ใจตัวเองเกินไปคงจูบกันได้นานกว่านี้ ซึ่งการควบคุมอารมณ์ ณ ขณะนั้นเป็นไปได้ยาก เรื่องเซ็กส์กับผู้ชาย ยิ่งกว่าน้ำมันกับเชื้อไฟ ลองลุกโชนแล้วยากที่จะข่ม “แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“ก็แปลกๆ”
“ถือว่าดีหรือเปล่า”
“ฉันไม่ค่อยได้จูบใคร นอกเหนือจากเรื่องงาน”
แบบนี้นี่เอง ต่อให้มีแฟน หรือผ่านคู่นอนมาไม่มากเท่าผมแต่ที่จูบเก่งเพราะคู่ซ้อมเยอะ ฟังแล้วรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจยังไงชอบกล “เวลาพี่แสดงหนัง หรือละคร ตอนจูบรู้สึกยังไงบ้าง”
“ก็ทำไปตามหน้าที่”
“ไม่แปลกๆ เหมือนที่รู้สึกกับผมเหรอ”
“ไม่เคยจูบผู้ชายนอกเวลางาน” จริงของเขา แต่ก็นะ บอกตรงๆ จูบของผู้ชายกับผู้หญิงต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเจเรมี่หรือพี่ธามล้วนแต่เป็นความแปลกใหม่ของผม สิ่งที่ต่างจากเจมกับนายแบบหนุ่มข้างๆ อีกทีคงจะเป็นเรื่องของความรู้สึกฟูฟ่องในใจกระมัง
“พี่ว่าดีหรือเปล่า”
“เรื่อง”
“จูบไง”
“ไม่รู้สิ ไม่มีความเห็น”
“ที่เคยบอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย ตอนนี้รู้สึกยังไงกับผมบ้าง ถามได้ไหม” ผมลุ้นคำตอบ มองสีดำเข้มที่เป็นเงาตามโครงหน้าอีกฝ่ายในความมืด นิธานเงียบไปอึดใจ คล้ายกับใช้ความคิด
“ฉันไม่ได้คิดอะไร”
“ทั้งๆ ที่จูบกันแล้ว ก็ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเหรอ” ฟังแล้วเจ็บชะมัด แต่ผมไม่โทษเขาหรอก พี่ธามพยักหน้า ผมเห็นในความมืด ก่อนจะถูกตอกย้ำอีกประโยค
“ตอนแสดงละครก็จูบกับคนที่ไม่รู้สึกอะไรด้วยเยอะแยะไป”
ผมกลอกตาที่จ้องมองเงาเมื่อครู่มามองเพดาน ยังใช้แขนหนุนแทนหมอนอยู่ บนฝ้ามีดาวเรืองแสงสีเขียวอ่อน แปะไว้เป็นรูปจักรวาลตั้งแต่เด็ก นอนมองเพลินๆ บางคืนที่เครียดก็ผล็อยหลับไป แต่คงใช้ไม่ได้กับคืนนี้แน่
“พูดอะไรตรงๆ ได้ไหม นอกจากเรื่องเซ็กส์ ทำไมถึงคิดจะจีบฉันอีก”
“ถามงี้” ผมหัวเราะ แต่ก็ยอมตอบ “ตอนแรกเลยผมก็แค่อยากเอาพี่จริงๆ นั่นแหละ”
นิธานรับฟังเงียบเชียบแม้ประโยคฟังดูชวนตี แต่เขาโตพอที่จะยอมรับความคิดเห็นตรงๆ ของผมอย่างที่ปากถาม “แต่ความรู้สึกอื่นมันเพิ่งตามมาหลังจากรู้จักมากขึ้น”
“ที่อยากจะแชร์ความช้ำน่ะนะ”
“น้ำเน่าใช่ไหม ปกติผมก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ ถึงได้บอกไงว่าชอบเข้าให้แล้ว”
“อืม” เขาครางรับ คล้ายพิจารณาคำตอบ ผมไม่หวังทุกอย่างจะสัมฤทธิ์รวดเร็วนัก ทุกอย่างมีจังหวะเวลาของมัน ตัวเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร
“พี่ไม่ต้องคิดเรื่องผมเยอะก็ได้ เอาที่พี่รู้สึกว่ามันดีกับชีวิตพี่ก็พอ ผมโอเค”
“แมนสัด”
“เชี่ย” สบถกลั้วหัวเราะ “ผมโคตรชอบตอนพี่หยาบคายเลย ฟังดูจริงใจกว่าตั้งเยอะ ไม่น่าหมั่นไส้ด้วย”
“นายมันคนประหลาด”
“ใช้มึงก็ได้”
เขาหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมยิ้มค้าง เนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินมัน แม้ไม่ได้เห็นรอยยิ้มอีกฝ่ายตอนนี้แต่ผมก็อุ่นใจว่าเป็นความสบายใจของนิธานเหมือนทุกที
“มึงมันคนประหลาด”
“น้อมรับทุกคำชมด้วยความยินดีครับ”
TBCเอามาง้อแล้วๆๆๆ
ขอโทษที่ลงสายๆค่ะ ไหนตอนนี้ใครยังธามแซคอยู่ พี่จะล่มเรือ!
กอดแรง
