C h a p t e r 2 0ท้องฟ้าในมหานครกรุงเทพฯ สว่างกว่าที่ภูเก็ต หลังจากอาการดีขึ้นจนสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้นิธานก็ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพื่อดูอาการต่ออีกสิบวัน แผลของเขาลึก ถึงแม้หมอบอกว่าไม่อันตรายมากแต่ถ้าติดเชื้อขึ้นมาก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่
กลิ่นฉุนของน้ำยาฆ่าเชื้อเริ่มชินจมูกเมื่อผมขลุกอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดวันหยุด ข่าวของนิธานที่ไร้การควบคุมยังถูกปั่นเป็นกระแสต่อเนื่อง ธาราธรณ์เดินทางมาเยี่ยม และเล่าเหตุการณ์ที่เป็นไปในขณะที่ผมกับนายแบบมีชื่อยังคงติดอยู่ในโลกที่เงียบงัน เราจงใจไม่เปิดโทรทัศน์ ไม่เปิดอินเตอร์เน็ต หน้าที่รับหน้าสื่อเป็นของพี่นิดที่จัดการแถลงข่าวและอัพโหลดภาพนิธานที่ลุกนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยเสี้ยวหนึ่งติดมือที่ผมกุมอยู่ไปด้วย
“ผมจะไม่ศัลยกรรม”
ในวันที่แดดจัดนิธานพูดขึ้นมา อุบัติเหตุวันนั้นทำให้คางและคิ้วแตก มีแผลที่หลังใบหู หน้าท้อง แขนเป็นรอยกรีดลึกตั้งแต่หัวไหล่ไปถึงข้อศอก ซึ่งนั่นไม่หนักหนาเท่ารอยลึกตั้งแต่หางตาจนถึงเหนือริมฝีปาก ผมจำได้ไม่ชัดว่ากี่เข็ม เท่าที่ฟังจากพี่นิดในทีแรกก็มากโขจนไม่อยากรับรู้ต่อ
พี่นิดนั่งปอกแอปเปิ้ลใส่จานในมุมหนึ่ง ขณะที่ผมยกโน้ตบุ๊กมาทำงานข้างเตียงเงยหน้ามองนิธานซึ่งอ่านหนังสือเงียบๆ บนเตียงด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ
“พูดอะไรน่ะธาม เดี๋ยวนี้หมอเก่งจะตาย ไม่อันตรายหรอก พี่คุยกับคุณเมธีแล้วว่าหลังจากทุกอย่างหายดีจะพาไปรักษาต่อที่เกาหลี รับรอง เนี้ยบเหมือนเดิม”
“ผมอยากออกจากวงการอยู่แล้ว พี่ก็รู้ ผมเหนื่อยมามากแล้ว”
“ธาม ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่นะ ธามลืมไปแล้วเหรอว่าเข้าวงการเพราะอะไร”
“ก็เพราะไม่ลืมไงถึงรู้สึกว่าพอสักที ผมรับผิดชอบความฝันของแม่ไม่ไหวแล้ว แล้วผมก็ชดใช้ความรู้สึกผิดของป๋าที่ทำให้แม่ไปไม่ถึงฝันไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้น ผมใช้ครึ่งชีวิตไปกับชีวิตของคนอื่นมาพอแล้ว”
"ธาม แล้วแฟนๆ ที่ติดตามนายล่ะ ไม่เป็นห่วงเขาเหรอ ไหนจะเรื่องสัญญา"
"ทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง...ผมเชื่อว่าเขายอมรับการตัดสินใจของผมได้ ส่วนสัญญา ถ้าหน้าผมเละแบบนี้จะยังอยากให้รับงานอะไรอีกเหรอครับ"
เหลือเพียงความเงียบงัน ผมเซฟงานที่ทำค้างไว้แล้วหันมามองหน้าคนป่วย นิธานยังไม่ลดหนังสือลงจากหน้า ตาข้างหนึ่งยังคงปิดผ้าเอาไว้ แล้วใช้ตาเพียงข้างเดียวในการดำเนินชีวิตต่อ
“นายก็ด้วย”
“ครับ?”
“ไม่ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่ฉันหรอกนะ”
เรามองตากันเมื่อผมดึงหนังสือออกจากมือ ผมจ้องตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของนิธาน "พี่พูดอะไร"
"ก็ได้ยินชัดแล้วนี่"
"ผมว่าพี่พักผ่อนดีกว่า" ผมคั่นหนังสือที่นิธานอ่านทิ้งไว้แล้ววางบนโต๊ะ ก่อนจะปรับเตียงนอนให้คนป่วยได้นอนพักสบาย เขาไม่พูดอะไรต่อแต่ทอดสายตามายังผมแบบที่ไม่อาจตีความหมายให้แน่ชัดได้
นิธานยังเป็นคนเดิมเสมอ เวลาที่ไม่อยากเผยความรู้สึกให้ใคร
"ใช้สายตามากๆ ไม่ดี"
"คืนนี้ไม่ต้องมาเฝ้านะ"
"พี่ธาม"
"อยู่กับบุญเหลือเถอะ มันคงเหงา คืนนี้ป๋าจะมาด้วย"
ผมพยักหน้ายอมรับแม้จะไม่เข้าใจ นิธานหลับตาลง พลิกตัวหันหลังให้ ปิดตัวเองลงอีกครั้ง สร้างกำแพงหนาไม่ให้ใครข้ามผ่าน
ผมบีบบ่าคนป่วยเป็นเชิงบอกว่าแม้อีกฝ่ายไม่อยากให้เข้าใจ แต่ผมก็จะยืนข้างเขาอยู่ดี
ข่าวของผมกับนิธานถูกกระพือหนักขึ้นอีกครั้งในโซเชียลมีเดียหลังเกิดอุบัติเหตุ ผมกลายเป็นคนดังที่ถูกกล่าวถึง พร้อมๆ กับเสรีภาพบางอย่างถูกลิดรอน แต่ก็อุ่นใจเพราะกระแสส่วนใหญ่เป็นไปในทางบวกมากกว่าลบ ผมรู้เรื่องพวกนี้จากไอ้เดี่ยว มันทักทายหน้าบานเมื่อเห็นผมปรากฏตัวในออฟฟิศหลังลาพักร้อนยาวคราวนั้น
“รูปปาปารัซซี่พี่ที่โรงพยาบาลเพียบ”
เดี่ยวบอกก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์มาโชว์ ผมนั่งปรับแต่งรูปที่ต้องแก้ส่งพี่จิ๊บก่อนเที่ยง เหลือบหางตาไปมองหน้าจอไอโฟนของรุ่นน้องเป็นพักๆ แต่ไม่ใส่ใจมาก
“พี่ธามแฟนคลับเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“เมื่อก่อนก็ไม่รู้ ไม่เคยเจอพี่ธามออกงาน ตอนมาถ่ายที่ตึกก็เป็นวันธรรมดาทั้งนั้น เห็นมีไม่กี่กลุ่มเอง”
“พอเล่นละครเลยมีแฟนเยอะขึ้นเลยดิ ยิ่งเจออุบัติเหตุแล้วแฟนหนุ่มสุดหล่อมาเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น สาวๆ จะฟินกันไปถึงโลกไหน”
“เพ้อเจ้อ งานเสร็จแล้วหรือไง”
“พักบ้างดิพี่”
“พักบ้านมึง เพิ่งเก้าโมง คอมฯ ยังไม่ทันเปิดก็มาวอแวแล้ว ไปไหนก็ไปไป๊”
“อารมณ์ไม่ดีเหรอแซค” หวานเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋า สายตลอด “พี่ธามเป็นไงบ้าง”
“ไม่ค่อยดี จู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องเลิกกับเรื่องออกจากวงการ”
“สภาพจิตใจคงแย่”
ผมถอนหายใจ ถึงจะดูไม่แคร์กับรูปลักษณ์ตัวเองนักแต่ก็ต้องยอมรับว่านิธานมีใบหน้าที่งดงามมาตลอด ผมไม่ได้หมายถึงสวยงามในแบบของผู้หญิง แต่งดงามแบบที่เป็นรางวัลจากพระเจ้า เมื่อวันหนึ่งถูกพรากมันไป เป็นใครก็คงรู้สึกไม่ดีไม่มากก็น้อย
“ตอนอยู่ที่ภูเก็ตก็ไม่เห็นมีอารมณ์แบบนี้”
“ร่างกายป่วยนานๆ จิตใจก็ห่อเหี่ยวเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้วล่ะก็...เก็บอะไรไว้บ้างก็ไม่รู้”
“ผมว่าเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระ”
“ก็เป็นอีโก้อย่างหนึ่งของคนที่เคยเดินเหินได้สะดวก รูปร่างหน้าตาเป็นที่ต้องการของใครๆ น่ะ”
จะบอกว่าเข้าใจก็เข้าใจ บอกว่าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อตกลงแล้วว่าจะสู้ทุกอย่างไปด้วยกัน แต่ทำไมนิธานถึงกันผมออกมาอีก ถ้าเป็นเพราะเรื่องคุณเมธียังพอยอมรับได้ แต่ตอนนี้ทางนั้นก็ดูคล้ายลังเลใจที่จะกีดกันผมกับลูกชายคนโตแล้วเหมือนกัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะหายดีนั่นแหละ
“ก็ต้องอดทนน่ะนะ บ่ายนี้มีออกไปที่ไหนหรือเปล่า”
“ไปถ่ายงานร้านวิสกี้เปิดใหม่แถวทองหล่อน่ะ ถึงเที่ยงคืนเลย แกรนด์โอเพนนิ่ง” ผมถอนหายใจ อยากรีบๆ เลิกงานแล้วไปหานิธานมากกว่า
“ถ้าไม่โอเคสลับกับผมก็ได้นะพี่ ค่อยไปคุยกับพี่จิ๊บเอาเรื่องตารางงาน”
“ไม่เป็นไร” ผมพูดด้วยสายตาเลื่อนลอย “ทำๆ ไปให้เสร็จงาน วันอื่นจะได้มีเวลาไปเฝ้าธามที่โรงพยาบาล”
“โคตรแคร์พี่ธามอ่ะ แล้วนี่เลิกบุหรี่ขาดเลยเหรอ อาทิตย์ก่อนยังเห็นสูบบ้าง วันนี้ไม่ลุกเลย โอเคป่ะพี่”
ผมคลิกเม้าส์แทนที่จะตอบคำถามแล้วเปลี่ยนรูปหน้าจอไปเรื่อย ถ้าวันหนึ่งเดี่ยวมันรู้ซึ้งถึงคุณค่าการมีชีวิต อย่างน้อยก็มีชีวิตเพื่อใครสักคน มันคงเข้าใจโดยไม่ต้องถามว่าทำไมถึงได้เด็ดขาดขนาดนี้
เพราะต้องอยู่ข้างนิธานไปนานๆ เท่านั้นเอง
ร้านวิสกี้ย่านใจกลางเมืองเป็นทำเลทองของนักท่องราตรี ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้งานในร้านอาหารกินดื่ม งานแบบนี้ก็ท้าทายดี ท้าทายตรงที่ว่าต้องดื่มยังไงไม่ให้เมานั่นแหละครับ
“น้องแซค? น้องแซคจริงๆ ด้วย”
เสียงหญิงสาวสองสามคนเรียกแล้วหันไปกรี๊ดเบาๆ ให้กันในลำคอเมื่อผมหันกลับไป มองประเมินแล้วคิดว่าอายุน่าจะน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ แต่เรียกผมว่าน้องนี่มันอะไรวะ
“น้องแซคไม่ไปเฝ้าพี่ธามเหรอคะ”
“วันนี้คงไม่ครับ ค่อยไปวันหลัง มีอะไรหรือเปล่า”
“น่ารักอ่ะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ เราตามข่าวแซคธามมาตลอดเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอ”
เชี่ย เงิบไปสิครับ ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีแฟนคลับกับเขาเหมือนกัน “เอาไว้หลังเลิกงานดีกว่าครับ ขอบคุณมากนะครับ”
“ฝากของไปให้พี่ธามได้ไหมคะ”
“อ่า...ครับ”
หนึ่งในสองคนค้นกระเป๋าตัวเองแล้วหยิบถุงเยลลี่เล็กๆ มาให้ ผมเคยได้ขนมแบบนี้เป็นของฝากจากญี่ปุ่นหนึ่งครั้ง ดูเหมือนสาวๆ จะพกไว้กินเล่นเองมากกว่าตั้งใจจะซื้อมาฝากใครสักคน ผมก็รับน้ำใจนั้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าคู่สนทนาชัดเจนขึ้นแม้อยู่ในร้านเหล้าที่แสงน้อย ผมหันกล้องไปถ่าย ถือเป็นการเก็บบรรยากาศซึ่งเจ้าของภาพยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“น้องแซคถ่ายให้ของที่ไหนคะ”
“ลงคอลัมน์ Award ครับ อย่าลืมเก็บเล่มนะ”
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ บอกพี่ธามหายไวๆ นะคะ”
ผมพยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มให้ เดินห่างออกมาอีกนิดก็ถูกเรียกอีก
คราวนี้คงต้องบอกพี่จิ๊บสักที ว่าถ้าเป็นงานที่ต้องพบปะผู้คนมากขนาดนี้ต้องส่งคนอื่นมาแทนก่อนจะไม่ได้งาน
เกือบตีสอง กว่าผมจะปลีกตัวออกมาได้ ไม่ได้แวะไปที่โรงพยาบาล แต่เมื่อขับรถยนต์ของออฟฟิศกลับมาที่บ้านก็พบว่ามีเมอร์เซเดสสีดำขลับป้ายทะเบียนสวยจอดอยู่ เจ้าของรถติดเครื่อง นั่งเบาะหลัง ด้านหน้าเป็นคนขับรถส่วนตัวที่อยู่ในอิริยาบถนิ่งเฉยเช่นเดียวกัน
“คุณเมธี”
ผมเรียกพลางเคาะกระจก เขาเปิดประตูออกโดยไม่รอลูกน้องมาดูแล ถอนหายใจแล้วกอดอก บรรยากาศคล้ายมีเรื่องหนักใจให้คิดอยู่ตลอดเวลา
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย”
“เข้าไปในบ้านก่อนไหมครับ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า บุญเหลือยังคงทำหน้าที่รับแขกได้ดีเสมอ เพียงแต่คราวนี้ไม่ว่าผมหรือผู้มาเยือนก็ไม่สบอารมณ์เล่นด้วย มันคาบลูกเบสบอลวิ่งวนไปมา ไม่รับรู้ถึงเรื่องทุกข์ใจอะไรสักอย่าง
“เลี้ยงหมาด้วยเหรอ”
“ครับ”
“ธามชอบหมา เมื่อก่อนตอนอยู่กับแม่เขาเลี้ยงอยู่หนึ่งตัว บีเกิ้ล”
“ตอนนี้อยู่กับพี่หม่อนใช่ไหมครับ”
“อ้วนเป็นหมู” เขาพูดพลางคลี่ยิ้มเศร้า “เสียดาย ธามน่าจะได้เห็น”
“เขาคงไม่อยากเสียอะไรไปอีก”
“ธามถูกสอนมาแบบนั้น แม่เขาเป็นดารา ฉลาดในการวางตัวให้คนรัก มีเสน่ห์ชวนค้นหา ได้แบบแม่มาเต็มๆ”
“ถ้าคุณมีธุระกับผมโทรหาผมก่อนก็ได้ งานผมพอจะรับสายได้อยู่”
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางเหยียดแขน ผมเทน้ำใส่แก้วมารับแขก เชิญพ่อนิธานนั่งลงบนโซฟา ส่วนตัวเองขยับไปนั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ “นอนไม่หลับแล้วก็ฟุ้งซ่าน คนแก่ก็แบบนี้”
“มีเรื่องอะไรที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ”
“เป็นเด็กฉลาด”
“ไม่ฉลาดก็พอจะเดาได้ คุณไม่น่าจะมาหาผมกลางดึกเพราะอยากรู้ว่าบ้านผมเป็นยังไง”
ชายวัยกลางคนหัวเราะ เขาจิบน้ำเพียงนิด ก่อนวางมันลงบนโต๊ะไม้ข้างโซฟาแล้วไม่สนใจมันอีก “ฉันรักแม่เขามาก ฉันอยากให้เขามีชีวิตที่ดีสมฐานะเดียวกับเจ้าหม่อน ฉันอยากให้เด็กสองคนนี้สนิทกัน”
“เขาก็สนิทกัน” ผมหมายถึงถ้าไม่มีเรื่องคลางแคลงในใจก่อนหน้านี้ “ถึงพี่หม่อนอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับความสัมพันธ์ใหม่ของตัวเองกับเพื่อนสนิทบ้าง แต่ผมคิดว่าความสัมพันธ์เป็นสิบๆ ปี ยังไงก็คงตัดไม่ขาด ในเมื่อทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของพี่ธาม”
“หม่อนโกรธที่ธามปิดบัง แต่เขาก็เข้าใจ”
“เป็นผมยังโกรธเลยที่ไม่บอกว่าเป็นลูกคุณตั้งแต่แรก แถมยังดึงเช็งไม่ยอมคบกันอีก”
“ธามไม่คบกับนาย เพราะเขารู้ว่าตัวเองหลงรักนายเข้าจริงๆ”
“ผมก็ว่างั้น”
“มีใครเคยบอกว่าเป็นคนหลงตัวเองไหม”
“พี่ธามมั้งครับ” ผมหัวเราะ อันที่จริงก็หลายคน ผมมักมีความเชื่อมั่นอะไรแปลกๆ เสมอ แต่ทุกครั้งก็ล้วนเป็นเรื่องจริง “จริงๆ ผมไม่เข้าใจเขาหรอก ไม่เคยเข้าใจเลย”
“แต่ฉันว่านายเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุด”
“ก็แหงล่ะ ไม่เคยมีใครพยายามทำความเข้าใจเขา”
“แม้แต่ฉัน”
“โดยเฉพาะคุณ” ผมเชื่อทุกอย่างที่คุณเมธีพยายามบอก เชื่อว่าเขารักและหวงแหนลูกชายนอกสมรสมากแค่ไหน เชื่อว่าเขาหวังดี และปูทางชีวิตว่านิธานจะรุ่งโรจน์ในเส้นทางที่มารดาผู้ล่วงลับอยากให้เป็น แม้สุดท้ายจะเป็นดาวค้างฟ้า หรือร่วงลงมา แต่ดาวที่แตกสลายยังไงก็ยังลอยคว้างในนภาอากาศ
นิธานจะสุกสกาวเสมอในความทรงจำของใครหลายๆ คน คล้ายกับว่า ต่อให้วันหนึ่งเขาเดือดร้อนก็จะมีคนพร้อมยื่นมือให้ความช่วยเหลือ นิธานผู้เป็นที่รู้จัก นิธานผู้เป็นที่ยอมรับ ให้และดูแลอย่างที่พ่อแท้ๆ ของตัวเองให้ไม่ได้
แต่เช่นกัน นั่นเป็นความเชื่อที่ไม่อาจเยียวยาความรู้สึกของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
“เขามีเงินเก็บเยอะมาก ลงทุนในพอร์ตหุ้น กองทุน การเป็นดาราทำให้เขารู้จักคนหลายแบบ ทุกครั้งที่รับงาน เขาอ่าน หาข้อมูล เป็นดาราแต่ก็เป็นนักลงทุนที่ใช้เวลาว่างทำกำไรให้ตัวเองได้พอสมควร ฉันรู้ นิดก็รู้ ต่อให้เขาไม่ทำงานในวงการบันเทิงก็ยังมีชีวิตอยู่ได้”
“เขาพูดเหมือนตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นดารา”
“ธามไม่ใช่คนโอ้อวด” น้ำเสียงของคุณเมธีเต็มไปด้วยความชื่นชม “เขาถ่อมตน กดดัน เป็นกังวลกับตัวเองมากๆ”
“ผมพอจะรู้ ช่วงนี้เขาเลยไม่สบายใจที่ผมวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น”
“ธามเข้าวงการเพราะสานต่อความฝันของนาลินี”
“ผมเคยได้ยิน”
“เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาคิดว่าจะหยุดแล้ว หยุดจริงๆ ธามจะไม่ศัลยกรรม” ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ และไม่ใช่ปัญหาของผมเช่นกัน เริ่มแรกเราอาจถูกดึงดูดเข้าหาใครบางคนเพราะรูปลักษณ์ภายนอก แต่สิ่งที่ทำให้ล้วนแต่ปลีกตัวออกห่างไม่ได้ก็เพราะความรัก และผมก็ติดบ่วงเล่ห์ลวงนั่นให้เสียแล้ว
“ถ้านายอยากเลิกกับธาม ฉันแนะนำให้เลิกไปหาที่โรงพยาบาลอีก ธามจะเข้าใจ”
“นี่ลุงจะยังมายุให้ผมเลิกอีกเหรอ ทั้งๆ ที่ผมจะเป็นคนดูแลนิธานได้ตลอดชีวิต”
“เพราะถ้านายไม่หยุดตอนนี้นายต้องดูแลเขาตลอดชีวิตจริงๆ! ธามกำลังจะตาบอด! หมอบอกตรวจพบแผลเป็นหลังจากที่อาการอักเสบทุเลาลงแล้ว ทางเดียวที่จะรักษาได้คือผ่าตัด ซึ่งไม่มีกำหนดเลยว่าเมื่อไหร่! ถ้านายจะดีแค่ช่วงนี้เพราะหวังว่าเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็เลิกซะ ฉันไม่อยากให้ธามเจ็บ!”
เสียงทุ้มต่ำสั่นเครือ เต็มไปด้วยความเครียดขึง ผมนิ่งงัน เรื่องตาของนิธานเจ้าตัวไม่เคยพูดถึงเลย
“ทำไมพี่ธามไม่บอกผม”
“เขาไม่อยากได้รับความสงสารถึงได้บอกเลิกนายไปเมื่อวันก่อน นิดพูดกับฉันแล้ว”
“เขาไม่ได้บอกเลิก!” ผมเถียงเสียงลั่น “พี่ธามก็แค่เครียด”
“จะยังไงก็แล้วแต่” ชายวัยกลางคนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เขามองผมสีหน้าจริงจัง ปราศจากอารมณ์ สิ่งที่เห็นตอนนี้เป็นเพียงพ่อที่อยากดูแลและปกป้องลูกชายคนหนึ่งเท่านั้น “โอกาสตัดสินใจเป็นของนาย และฉันอยากให้นายรีบๆ ตัดสินใจ”
ผมแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากคุณเมธีกลับไป ผมนั่งค้นข้อมูลเกี่ยวกับโรคทางตาจนสว่างก็เก็บกระเป๋า ไลน์บอกพี่จิ๊บว่าจะเข้าไปช่วงบ่ายแล้วจะรีบปั่นงานให้ หลังจากดื่มอเมริกาโน่ไปหนึ่งแก้ว ผมก็เป็นแขกคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมนิธานหลังจากพี่นิดนอนเฝ้ามาตลอดทั้งคืน ผมบอกให้เขากลับไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองจะดูแลต่อจนถึงเที่ยง คนป่วยยังหลับสนิทบนเตียง ซูบลงไปกว่าเดิมพอสมควร มือเขาอุ่น แต่หัวใจผมเย็นเยียบ ผมนั่งมองเสี้ยวหน้าที่หายไปครึ่งหนึ่งกับหมอนสีขาวของโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกรักใคร่ มันมากมายถึงขั้นนี้เมื่อไหร่ก็ไม่อาจตอบได้ แต่ที่แน่ชัดคือเหมือนหัวใจผมผูกติดกับเขา นิธานเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่ไม่อาจพรากจากให้ฉีกขาด เหมือนมีเส้นใยเชื่อมต่อระหว่างเรา เมื่อคนหนึ่งเจ็บ อีกคนหนึ่งก็โกรธ โกรธตัวเองที่ไม่อาจดูแลได้ดีไปมากกว่านี้
แสงอาทิตย์ขึ้นเป็นสีส้มอ่อน ขนตาเป็นแพหนาขยับตัวคล้ายผีเสื้อเตรียมกระพือปีก นิธานหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นผม หลังจากจับจุดโฟกัสได้ก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ทำงานเหรอ”
“ลาครึ่งวันเช้า เมื่อคืนเลิกดึก” เขาพยักหน้า และนิ่งเงียบคล้ายมีเรื่องในใจแต่ไม่บอก “เข้าห้องน้ำไหม”
นิธานพยักหน้าอีกครั้ง ขยับตัวลงจากเตียงโดยมีผมพยุงไปไม่ห่าง ยืนรอหน้าห้องน้ำสักพักเมื่อได้รับสัญญาณก็เปิดเข้าไปรับ เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้อาบน้ำ แต่จะมีพยาบาลมาเช็ดตัวให้ตามเวลา เช่นเดียวกับอาหารที่ยังกินของตามที่โรงพยาบาลจัดหาให้ กระนั้นก็ทานน้อยเต็มที หลังจากพยุงมาส่งถึงเตียงอีกครั้งผมก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พี่ธามอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่ล่ะ อะไรก็ได้”
“ถ้าอะไรก็ได้ก็ต้องกินให้มากกว่านี้ พี่ผอมลงมาก” ผมจับข้อมือเขาไว้ซึ่งโอบรอบได้ด้วยนิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือ “อุตส่าห์เล่นกล้ามไว้ ตอนนี้แห้งหมดแล้ว”
“ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วสักหน่อย”
“คนเราจำเป็นต้องใช้ร่างกายที่แข็งแรงเสมอครับ ตาเป็นยังไงบ้าง เจ็บหรือเปล่า ปวดไหม”
“ก็ไม่ ปกติดี”
นิธานจงใจปกปิดความผิดปกติของตัวเอง แต่ผลักไสผมด้วยวิธีเย็นชา เมินเฉย ผมลูบที่หลังมือแล้วขยับขึ้นไปตามแขนขาวซีด สัมผัสแก้มคนป่วยด้วยปลายนิ้ว ก่อนจรดปลายจมูกลงไปผะแผ่ว คนป่วยผินหน้าหนี ยังมีร่องรอยสะเก็ดแผลให้เห็นประปราย แต่สำหรับผม เขาก็ยังคงเป็นนิธานคนเดิม
“นายดูโทรม”
“บอกแล้วว่าเมื่อคืนเลิกงานดึก” ส่วนเรื่องที่ไม่ได้นอนกับที่คุณเมธีไปหาที่บ้านขอปิดเป็นความลับ ซึ่งนิธานก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรตามนิสัย
“นายน่าจะนอนพัก ฉันอยู่คนเดียวได้”
“ผมคิดถึงพี่”
“ฟังนะแซค ถ้ามีแรงก็ไปทำงาน ถ้าเหนื่อยก็นอนพัก นายไม่จำเป็นต้องหอบตัวเองมาถึงที่โรงพยาบาลทุกเช้าก่อนเข้างาน หรือทุกเย็นหลังเลิกงาน”
“ก็แฟนป่วย ทำแค่นี้ไม่เห็นจะลำบากอะไร”
“เลิกคิดว่าเป็นแฟนกันสักทีได้ไหม ฉันไม่มีอะไรจะให้นายได้ ไม่มีหน้าตา ไม่มีชื่อเสียง มีแต่หน้ายับๆ และกำลังจะเป็นคนตกงาน”
“เป็นผู้ป่วยรอการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาอีกต่างหาก” พูดถึงความจริงที่นิธานปิดบัง เขาก็เงียบเสียง แต่ไม่ปฏิเสธ “ทำไมพี่ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น”
“มันไม่จำเป็นที่นายจะต้องรู้”
“เพราะกลัวว่าผมจะสงสารพี่ แล้วก็อยู่กับพี่ หรือเพราะกลัวว่าถ้าผมรู้แล้วผมจะทิ้งไปล่ะ”
“ถ้านายรู้แล้วทิ้งฉันจะยินดีมาก” นิธานพูดทั้งๆ ที่ไม่สบตา ผมบีบมือข้างที่จับไว้แน่น เขากำลังต่อต้านตัวเองระหว่างความรักและการเห็นแก่ตัว ซึ่งมันงี่เง่ามาก “ฉันไม่เหลืออะไรให้นายเลย แซค ไปเถอะ”
ดวงตาผมพร่าลงชั่วขณะ คล้ายกับมีม่านน้ำบดบังอยู่ เพียงหลุบตาลง น้ำตาก็หล่นสู่หลังมืออีกฝ่ายง่ายดาย นิธานไม่พูดต่อ เขามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าประโยคเมื่อครู่คือคำสิ้นสุด
“แล้วความรักล่ะธาม” ผมเอื้อนเอ่ยร้องขอเป็นครั้งสุดท้าย “ความรักของเรา...พี่ยังเหลือให้ผมอยู่หรือเปล่า ผมไม่เคยขอแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องขอร้องใครอย่างนี้”
ผมซบหน้าลงบนตัก กอดคนป่วยไว้ทั้งตัว ก่อนจะสะอื้นฮักเอาความอัดอั้นทั้งหมดให้รินไหล ผมไม่ปล่อยธามไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ฆ่าตัวเองทั้งเป็นด้วยวิธีนี้เด็ดขาด
“อย่าทิ้งผมได้ไหม พี่ธาม ไม่มีพี่ผมอยู่ไม่ได้...”
เอ่ยขอเป็นครั้งสุดท้าย
“อยู่ไม่ได้จริงๆ”
TBCดราม่าโค้งสุดท้ายแลั้วววว อีแซคมันรักพี่ธามของมันจริงๆนะ ฮืออออ
สัญญาว่าจะมีตอนพิเศษหวานๆ มาลงให้อ่านหลังจากเรื่องจบค่ะ เคลียร์ปมแล้วเราไม่อยากยืดเรื่องมาก เดี๋ยวจะเบื่อกันไปก่อน
อยากให้อ่านกันแล้วอุ่นๆ ในใจ ตบท้ายหวานๆ อีกตอน
เราควรสปอยล์ไหม? ไม่ต้องกลัวนะ แฮปปี้เอนดิ้งแน่ๆ ฮร่า
นี่พ่อก็ยอมแล้วไงงง
มา กอดกันหน่อยเร้ว
