C h a p t e r 2 2รุ่งสางของวันใหม่ ท้องฟ้ายังไม่ทันเปลี่ยนสีดีผมก็ลืมตาตื่น ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปทุกอย่าง คล้ายกับถูกทำลายจนสิ้นซาก ไม่สดใส ไม่อิ่มเอมใจกับการมีชีวิตอีกครั้ง
ข้างกายของผมว่างเปล่า เย็นเยียบ เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นช่วงก่อนเวลาตื่นของนิธาน แต่กลับไม่พบอีกฝ่ายอยู่ เสียงกระดิ่งหมาดังกรุ๊งกริ๊งด้านล่างสลับกับเสียงเห่าขรม ให้เดาคงออกไปเล่นกับบุญเหลือข้างนอก
ผมอาบน้ำ แต่งตัว ยาสีฟันรสมิ้นต์ที่ชื่นชอบในวันนี้ไม่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น เดินลงมาชั้นล่างตั้งใจจะออกจากบ้านไวกว่าปกติแต่สายตาเหลือบไปเห็นแซนด์วิชปูอัดกับน้ำส้มคั้นวางอยู่บนโต๊ะ นิธานไม่มีนิสัยช่างเอาใจแบบนี้ แน่ชัดว่าเมื่อคืนเขารู้ว่าผมโกรธ ทั้งโกรธ เสียใจ น้อยอกน้อยใจ ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาหมด กระนั้น ถึงอยากจะยิ้มก็ยิ้มได้ไม่เต็มปากอยู่ดี
ผมไม่ต้องการให้เขาชดเชยด้วยเรื่องพวกนี้ เพียงแค่อยากให้นิธานเปลี่ยนใจเท่านั้นเอง
หลังจากจัดการกับมื้อเช้าง่ายๆ เสร็จเรียบร้อย ผมก็หยิบกระเป๋าพร้อมกุญแจรถออกมา ลานหน้าบ้านจอดโฟล์กสวาเกนสีฟ้าอ่อนที่ไม่ได้ใช้การหลายวันไว้นิ่งสนิท ผมเปิดประตูบ้าน โยกมอเตอร์ไซค์ออกจากรั้วโดยปราศจากคำทักทาย นิธานก็เช่นกัน ใต้ตาเขาลึกโหล ก่อนจะโยนลูกบอลไปให้บุญเหลือคาบโดยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ใช่มีแค่ผมที่ค่อนคืนไปแล้วก็ยังนอนไม่หลับ เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
ถ้ายังรักกันก็ไม่น่าทำร้ายความรู้สึกกันเลย
เสียงเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์คันเก่งดังขึ้น ก่อนจะบิดแฮนด์เคลื่อนตัวออกไปผมเห็นเสี้ยวหน้าของอดีตนายแบบที่ยังเมินเฉยแม้บุญเหลือจะคาบลูกบอลมาคืน เขาทำท่าโยนทั้งที่ในมือมีเพียงความว่างเปล่า บอลลูกนั้นยังอยู่ในปากยาวๆ ของสุนัข และไม่คิดแม้แต่จะก้มลงมองเพื่อรับของเล่นไว้แม้แต่น้อย
บ่ายของวันเดียวกัน แดดร่มลมตก ฝนหลงฤดูทำท่าจะโจมตีภาคกลางและกรุงเทพมหานครเหมือนตลอดหลายวันที่ผ่านมา สภาพอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้ ต้องพกชุดกันฝนระหว่างขับรถไปกลับบ้านกับที่ทำงานทุกวัน
กลิ่นของกาแฟคั่วบดหอมลอยเตะจมูก ท้ายที่สุดก็ไม่มีสมาธิมากพอจะทำงาน ผมรีบเคลียร์งานด่วนให้เสร็จในช่วงเช้า หลังจากนั้นก็โทรหาเมธัส โชคดีที่วันนี้อีกฝ่ายไม่มีงานที่บริษัทเลยชวนผมออกมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านของตัวเอง ร้านที่ผมมีบทสนทนาครั้งแรกกับนิธาน ร้านที่เราสบตากันผ่านเลนส์กล้อง ร้านที่ผมได้จุมพิตผ่านมวนบุหรี่ยามพระอาทิตย์ตก
ร้านที่ทุกอย่างเป็นเพียงอดีต
“ธามเล่าแล้วใช่ไหม”
ผมพยักหน้า เหลือทิ้งไว้เพียงความนิ่งสงัด เอาเข้าจริงก็นึกไม่ออกว่าควรจะถามอะไรเมธัสที่ทำให้ผมจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของนิธานได้ดีกว่านี้
“แผลเขายังไม่หายสนิทด้วยซ้ำ ไม่เห็นต้องรีบไป อาจจะไม่เป็นแผลเป็นใหญ่นักก็ได้”
“แซค นายก็เห็นตอนเป็นแผลสด ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่าหลอกตัวเองดิ”
“ถึงอย่างนั้นเขารอให้แผลหายดีก่อนก็ได้”
“ธามจะไปรักษาตัวที่เกาหลีก่อน จนกว่าแผลจะหายแล้วค่อยผ่าตัด หมอเกาหลีจะรู้สภาพผิวของคนเอเชียมากกว่า เรียบร้อยทุกอย่างแล้วค่อยบินไปอเมริกาต่อ เรื่องนี้พ่อเป็นคนเสนอ”
“ไหนทีแรกคุณเมธีไม่อยากให้ไป”
“ก็เป็นห่วง สภาพจิตใจธามไม่ดีนักตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ช่วงที่เขากีดกันนาย ที่เราเห็นเป็นแค่ภูเขาน้ำแข็ง ลึกลงไปในใจธามมีมากกว่านั้น เรื่องอุบัติเหตุนั่น พี่นิดไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ”
“พี่หมายถึงพี่ธามจะฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ แล้วพี่ยังจะปล่อยเขาไปอยู่คนเดียวอีกอย่างนั้นเหรอ!”
“ไม่ถึงขนาดนั้น” เมธัสพูดพลางผ่อนลมหายใจ มีทีท่าเครียดขึ้นมาเมื่อพูดถึงจุดนี้ “ธามถนัดในการเรียกร้องความสนใจ รั้นในแบบของมัน ถ้าเมื่อไหร่ที่พ่องานยุ่งจนปล่อยปละละเลย ธามก็จะหาเรื่องมาให้ปวดหัว พี่คิดว่าครั้งนี้ธามคงทำไปเพราะประท้วงที่ถูกคุมขัง แต่ไม่คิดว่าจะอันตรายขนาดนี้”
“พี่จะบ้าเหรอ ใครจะแกล้งทำรถคว่ำเพื่อเรียกร้องความสนใจ!”
“แซค นายรู้ว่าธามเป็นคนยังไง”
ผมนิ่งเงียบหลังจากประโยคนั้นจบลง ผมรู้ คนรักของผมดื้อรั้น เย็นชา กล้าได้กล้าเสีย ช่วงเวลานั้นปัญหารุมเร้าและกดดัน ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่ที่นิธานโทรมาด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีแล้ว
“แล้วพี่จะยังไงต่อ ปล่อยเขาไปเหรอ”
“เรื่องพวกนี้ทำให้พี่กับพ่อไม่อยากให้เขาไป แต่ที่แย่กว่านั้นคือมันไม่ดีขึ้นเลยโดยเฉพาะช่วงที่อยู่กับนาย” คู่สนทนาเอ่ยเสียงเครียด ไม่มีทีท่าว่าจะหยอกล้อแต่อย่างใด “ธามคิดว่าตัวเองเป็นภาระ”
“เรื่องนี้อีกแล้ว” คำก็ภาระ สองคำก็ภาระ “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แต่นายไม่รับงานเหมือนเมื่อก่อน ชีวิตของนายเปลี่ยนไปทุกอย่าง ต้องเฝ้าระแวง ระแวดระวัง นายเป็นห่วงธามทุกฝีเก้าแล้วมันทำให้ธามเครียดมาก ตอนแรกเขาก็ไม่อยากไป นายก็รู้”
ผมเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ทอดสายตามองออกไป ท้องฟ้ายามนี้ขมุกขมัวไม่ต่างจากความรู้สึกที่เป็นสีเทาจางๆ ในอก
“ธามไม่ได้ไปเพื่อตัวเอง นายก็รู้อีกนั่นแหละ ว่ามันไปเพื่อใคร”
“ผมแค่รักพี่ธาม”
“ทุกคนเข้าใจ แซค” มือขาวบีบบนบ่าแล้วตบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ไม่ต้องห่วง พ่อจะส่งคนไปอยู่กับธาม หลังจากผ่าตัดศัลยกรรมเสร็จแล้วจะบินไปเตรียมตัวรักษาตาต่อ ต่างประเทศมีอัตราการบริจาคดวงตามากกว่าในไทย คงใช้เวลาไม่นานนัก อาจารย์หมอฝากฝังไปกับเพื่อนที่เป็นจักษุแพทย์ในบอสตันให้ด้วย ถ้าสุขภาพธามแข็งแรงพร้อมผ่า พอได้รับบริจาคจะผ่าตัดทันที มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ลดการต้านกระจกตา อันนี้เป็นคำแนะนำจากแพทย์เจ้าของไข้โดยตรง มันดีกับธาม แล้วก็...เราปรึกษากัน ว่าบางทีถ้าธามเครียดมากๆ การพบจิตแพทย์ที่นั่นจะทำให้ธามรู้จักเปิดใจ ไว้ใจคนอื่นมากขึ้น"
“พี่ธามไม่ได้บ้านะพี่ เขาแค่โตมาแบบนี้”
“แต่คนปกติไม่ควรขับรถลงเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ พี่ไม่ได้หมายความว่าธามบ้า มันแค่เครียด”
“ผมก็พยายามเปิดใจเขาอยู่นี่ไง”
“นายทำได้ดีมาก แซค แต่ตอนนี้ธามก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเข้าใจ เขาปลีกตัว เก็บตัวเองเหมือนตอนที่ยังไม่รู้จักนาย หรือนายไม่รู้สึก”
ผมยอมรับทุกคำพูดของเมธัสโดยดุษณี
“ผมเข้าใจ แต่อดคาใจไม่ได้ว่าถ้าสุขภาพพี่ธามยังไม่ดีขึ้น หรือไม่มีผู้บริจาคกระจกตาล่ะครับ”
ผมตั้งคำถามที่ไม่มีใครกล้าตอบ
“เขาจะกลับมาหาผมไหม”
เม็ดฝนกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ พื้นซีเมนต์ที่ร้อนระอุชุ่มฉ่ำ ผมมองสายฝนที่หลั่งตัวลงมา จิบกาแฟเย็นชืดด้วยหัวใจที่ด้านชา
“ลองคิดสลับกัน แซค ถ้านายเป็นธาม แล้วการอยู่กับธามทำให้ชีวิตธามเปลี่ยนไปขนาดนี้ นายจะยังอยากอยู่กับเขาอีกไหม”
“ผมคงไม่อยากรั้งเขาไว้”
“นั่นเป็นสาเหตุที่ธามต้องพูด หรือทำให้นายเสียใจ เขามีวิธีการมากมายที่จะถนอมน้ำใจหรือรักษานายเอาไว้ แต่ธามทำอย่างนี้เพราะอยากเปิดโอกาสให้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากของธาม แต่เป็นเรื่องที่คนที่มีความรักคนหนึ่ง อยากจะทำให้คนรักของตัวเอง”
ผมนิ่งสงัด รับฟังเสียงฝนกระทบหลังคา
ฝนเม็ดสุดท้ายหยุดตกพอดีกับเลิกงาน ท้องฟ้ามืดทะมึนเปลี่ยนเป็นสว่างโร่ ช่วงบ่ายฝนตกหนักติดต่อกัน ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศทำให้รู้สึกคันจมูก ผมมองนางแบบผ่านเลนส์กล้อง โดนพี่ไก่เรียกตัวมาช่วยแทนอีกแล้ว ลูกชายไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลกะทันหัน อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เด็กเล็กๆ ก็แบบนี้
"โอเคครับ เดี๋ยวนางแบบไปเปลี่ยนชุดได้เลย เซ็ตสุดท้ายเสร็จก็ได้กลับบ้านกัน”
ผมบอกพลางเช็กรูปที่ถ่ายมาได้ระหว่างรอ นับเป็นโอทีในรอบหลายสัปดาห์ที่ผมต้องอยู่ดึก ถึงแม้เร่งมือแค่ไหนกว่าจะเสร็จก็คงล่วงเลยกำหนดเลิกงานไปพักใหญ่ นางแบบวันนี้อ่อนล้าเต็มทน แม้ริมฝีปากยังคงแย้มรอยยิ้มแต่ตาไม่สนุกไปด้วยกับกำหนดการที่กินเวลามากกว่าปกติ
“ข้างนอกฝนตกอีกหรือเปล่า”
“เมื่อตอนเย็นยังฟ้าโปร่งอยู่เลยนี่ครับ” ผมเงี่ยหูฟังก็ได้ยินแต่เสียงแอร์คอนดิชั่นที่ทำงานหนัก หนึ่งในทีมงานที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่หันมาบอกว่าเมฆตั้งเค้ามายกใหญ่อีกแล้ว
“อากาศบ้านเราแปรปรวนชะมัด”
“อย่างนี้แหละค่ะ โลกร้อน เดี๋ยวแตมป์ต้องมีอัดรายการที่พระรามเก้าตอนสามทุ่มอีก”
“ครับผม จะเร่งมือให้นะ”
ผมส่งยิ้มให้แล้วปลอบประโลมทางสายตาหลังจากนางแบบคนที่ว่ากลับมาเข้าฉากใหม่ ผมตั้งกล้อง หมุนเลนส์ ก่อนจะเงยหน้าสบตาทำสัญลักษณ์ว่าจะเริ่มถ่าย ทีมงานออกจากจุดโฟกัส ผมเทสต์กล้อง สั่งปรับแสงแล้วลงมือกดชัตเตอร์รัวๆ อีกครั้งขณะที่คนตรงหน้าปรับท่าตามคอนเซ็ปต์ที่ได้รับมา
หลังจากทะเลาะกัน ผมก็ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนทุกวัน เมฆที่ตั้งเค้าเมื่อครู่จางลงเมื่อได้ระบายออกมาเป็นฝนเม็ดใหญ่ ผมขี่รถฝ่าพายุมาถึงบ้านเวลาสองทุ่มเศษ แม้จะมีชุดกันฝนก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เปียกปอนได้ ผมไขกุญแจรั้วเก็บมอเตอร์ไซค์คันเก่งเข้าที่ ในบ้านหลังเล็กเปิดไฟสว่าง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่านิธานกำลังนั่งเช็ดหูให้สุนัขพันทางคู่หูอยู่อย่างเงียบเชียบ กลิ่นหอมของกับข้าวง่ายๆ ลอยอวล เป็นกลิ่นของไข่เจียวและต้มยำกุ้ง ไม่ใช่เพราะเพิ่งเสร็จใหม่แต่เพราะบ้านต้องปิดสนิทไม่ให้ฝนสาด ควันเลยยังลอยคลุ้งอยู่ในพื้นที่ วันสองวันมานี้เขาแก้เบื่อด้วยการเข้าอินเตอร์เน็ตหาข้อมูลการทำอาหารและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพียงลำพังบ่อยๆ
“พี่กินข้าวหรือยัง”
ช่องว่างระหว่างเรายังลึกและกลวงโบ๋ คล้ายกับพยายามเติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม บทสนทนาสั้นลงจนเกือบสิ้น เขาไม่ตอบ และผมไม่รอ เปิดหม้อหุงข้าวดูไม่พบรอยเว้าแหว่งก็รู้ได้โดยดุษณีว่าอีกฝ่ายรอผมกลับมากินพร้อมกัน “วันหลังไม่ต้องรอนะ พี่กินเลยจะได้กินยา”
“ไม่ได้รอ” คู่สนทนาพูดเสียงเรียบ ขยำสำลีที่เช็ดหูบุญเหลือใส่ถุงพลาสติกใกล้ๆ “แค่ยังไม่หิว”
นิธานขยันพูดจาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงน้อยอกน้อยใจกว่านี้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าคนอย่างเขาทั้งปากแข็งและอีโก้สูงแค่ไหน เก่งนักล่ะเล่นบทคนใจร้ายแบบนี้
“งั้นกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย”
“ไปอาบน้ำสระผมก่อน เปียกม่อล่อกม่อแลกแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
“เป็นห่วงล่ะสิ” แกล้งแซวให้เขินไปอย่างนั้น แต่ที่ได้กลับมาคือความเงียบ กระทั่งจะละความสนใจกลับขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำอาบท่าแล้วอดีตนายแบบก็พูดมาเสียงเรียบ
“ห่วง”
เงยหน้าสบตาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทีอย่างนี้ล่ะพูดออกมาง่ายๆ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า รู้สึกหูมันร้อนๆ ชอบกล “รีบไปจัดการตัวเองได้แล้ว ฉันหิว”
ผมหลุดยิ้ม ใครหนอใครบอกว่าไม่ได้รอกินข้าวด้วยแค่ยังไม่หิวเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
ผมเฝ้าถามตัวเองว่าหากนี่เป็นวันสุดท้ายแล้ว จะใช้ชีวิตแบบไหนร่วมกับนิธาน
เสียงฝนกระทบหลังคาซาเม็ดลงเมื่อเวลาผ่านไป ไฟในตัวบ้านมืดสนิท ผมเร่งแอร์ ก่อนทรุดตัวลงบนพื้นที่ฟากหนึ่งของเตียงนอนที่ยังโล่งอยู่ นิธานพลิกตัวซ้ายขวา พยายามข่มตาให้หลับ แต่เราต่างรู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาไม่มีใครนอนหลับสนิทได้สักคน
ในจิตใจยังอึงอลด้วยฝุ่นคลุ้ง ผมเข้าใจความจำเป็นที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่ลึกๆ แล้วก็ไม่อยากยอมรับ คิดหาเหตุผลสะระตะว่าหากแม้ผมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เข้มงวดกับนิธานให้น้อยลง ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น ความปรารถนาของคนรักจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า หากแต่พอนึกทบทวนให้ดี ผมก็อยากให้นิธานหายทั้งจากสภาพร่างกายและจิตใจ การเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ย่อมไม่เป็นเรื่องดี
เสียงสวบสาบของผ้ายามร่างกายขยับเสียดสีดังในห้องเงียบๆ ผมขยับตัวไปโอบกอดคนข้างๆ จากด้านหลัง นิธานยินยอม แต่ขืนตัวหนีเมื่อปลายนิ้วไล้ไปตามแผลเก่าราวกับหวงแหนไม่อยากให้สัมผัส ผมครางในลำคอ จุมพิตต้นคอขาวผ่านเส้นผม
“เรื่องเอกสารจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“อืม”
“เสื้อผ้าล่ะครับ” ผมถาม จากวันนี้ก็เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ดีด้วยซ้ำ นิธานครางรับในลำคอแทนคำตอบอีกครั้ง “เอาเสื้อโค้ตตัวหนาไปหรือเปล่า ที่นั่นอาจจะหนาวเร็ว อากาศเดี๋ยวนี้แปรปรวน พี่ต้องเตรียมพร้อมนะ”
“เอาไปที่จำเป็นก็พอ ฉันไปสองประเทศนะ”
“อยู่เกาหลีก่อนใช่ไหมครับ”
“คงงั้น” หลังจากนั้นก็บินไปบอสตันต่อ เมธัสบอกว่ามีคนพานิธานไปด้วยตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ผมก็ยังไม่สบายใจ
“รู้จักคนที่พาไปหรือเปล่า”
“เคยเป็นบอดี้การ์ดที่ป๋าสั่งให้มาเฝ้าแม่” แสดงว่าอายุมากพอสมควร “ที่จริงนับเป็นญาติห่างๆ เลยก็ยังได้ แต่เขาวางมือไปนานแล้ว ตั้งแต่แม่ตาย”
“แล้วนึกยังไงถึงได้กลับมาช่วยงานใหม่”
“ลุงแก้วแกรักแม่” ความลับอีกอย่างของนิธานเผยออกมา ซึ่งฟังดูแล้วผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจนัก แม่ของเขาเป็นคนสวย ผมเคยเห็นจากรูปเก่าๆ ผมเกิดไม่ทันยุคเรืองรองของคุณนาลินีแต่ถามรุ่นแม่ๆ ป้าๆ หลายคนยังร้องอ้อ แม้ทางนั้นจะอำลาวงการมาเนิ่นนานก็ตาม “พอรู้ว่าฉันประสบอุบัติเหตุก็ติดต่อมาทางป๋า ถามอาการ ช่วงนั้นป๋าก็คิดเรื่องไปเมืองนอกของฉันเงียบๆ”
“พี่ธาม ไม่ว่าผ่าตัดจะสำเร็จหรือไม่ กลับมาหาผมได้ไหม”
ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ผมจูบที่ต้นคอย้ำหลายครั้งแล้วลากริมฝีปากไปยังหัวไหล่ นิธานสวมเสื้อยืดสีขาวเนื้อบางกับกางเกงบอล แม้เสื้อผ้าของเขาบางส่วนจะถูกย้ายมาที่นี่แล้วแต่อดีตนายแบบดูจะชอบเนื้อผ้าเก่ายุ่ยที่เป็นชุดนอนของผมมากกว่า กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มลอยอวล แต่ไม่ตรึงจมูกเท่ากลิ่นของผิวกาย ผมเฝ้าฝันคิดถึงนิธานคนเดิม ช่วงเวลาที่แสนดีและทำให้ตระหนักรู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง
“แซค!”
มือขาวไล่ตะปบมือผมที่ไล่ไล้ไปบนผิวกาย แสงสว่างจากไฟในหมู่บ้านส่องมาให้เห็นสีหน้าตระหนกของอีกฝ่ายรำไร ผมพลิกตัวนิธานให้นอนหงาย ส่วนตัวเองลุกขึ้นคร่อม กดหัวไหล่เอาไว้ สบตาในความเงียบงัน ลมหายใจของเราถี่กระชั้น ต่างรู้ว่าละเลยเรื่องแบบนี้มาเนิ่นนานและสัญชาตญาณไม่เคยทรยศปิดบัง
“พี่ธาม”
เราจ้องตากันและกันแวววาวในความมืด ดวงตาสีดำหลุบลงไล่เรียงมายังจมูกและริมฝีปาก เขามองนิ่งที่ปากของผม ก่อนจะกลืนน้ำลายจนได้ยินเสียงของลูกกระเดือก
หากเราจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว สิ่งที่อยากทำเป็นอย่างสุดท้ายคืออะไร
“พี่รู้ไหม ทำไมผมถึงจีบพี่”
ผมเอ่ยถามคำถามที่เขาเคยตั้ง คราวนั้นคำตอบของผมจริงแต่ฉาบฉวย ลึกลงไปที่อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอีกฝ่ายล้วนแต่เป็นบุคลิกภายนอก เย่อหยิ่ง เย็นชา แต่งดงามราวกับประติมากรรมจากพระเจ้า
“พี่หน้าตาดี” ผมสารภาพ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะสวมหน้ากากใส่กันอีก ผมเปลือยเปล่าทางความรู้สึก ก่อนถอดเสื้อแล้วโยนออกไปให้ห่างเพื่อเปลือยเปล่าทางร่างกาย ใช้ท่อนล่างกดทับอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมให้ขยับตัว “หุ่นดี ผิวดี นิสัยก็หยิ่งผยองจนอยากเอาชนะ”
นิธานรับฟังอย่างใจเย็น ไม่แปลกใจกับคำตอบสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดเดาได้ มนุษย์เราล้วนแต่ตัดสินกันจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นปฐมภูมิทั้งนั้น
“แต่ที่ผมรักพี่ เพราะข้างใน”
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องเป็นนิธานที่เพอร์เฟ็กต์ เพียบพร้อมไปด้วยฐานะ ชื่อเสียง หรือรูปลักษณ์ภายนอก ผมชอบที่ตัวเองสามารถดึงความเป็นเขาออกมาได้ ชอบนิธานที่ปราศจากโล่เกราะกำบัง ชอบที่ตัวเองเป็นความสบายใจของอีกคน
ผมอาจไม่สามารถเข้าไปสู่กลางใจของเขาได้
แต่ผมคิดว่าตัวเองได้เข้าสู่ใจกลางความรักแล้วทั้งหัวใจ
“พี่ธาม ถ้าอยากเป็นคนทำ ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“บางทีพี่อาจจะอยากรู้สึกเหนือกว่า...”
นิธานวางมือลงบนหน้าผมแล้วทอดสายตาอ่อนลง เขามองที่ตาสลับกับริมฝีปาก “เราไม่ได้เล่นดัมมี่กันนะแซค ไม่จำเป็นต้องมีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่าทั้งนั้น ฉันแค่...ชอบที่เห็นนายบ้าคลั่ง หลงใหลในตัวฉัน”
“ผมก็ยังคงเป็นอยู่ หรือไม่อย่างนั้น ถ้าหากเป็นครั้งสุดท้าย พี่จะบอกผมได้ไหมว่าพี่กลัวอะไรอยู่”
ระยะห่างที่เราต่างไม่พูดถึงแต่สัมผัสได้ว่ามันเพิ่มขนาดชวนให้เคว้งคว้างไม่สิ้นสุด
“บางทีฉันก็คิด...ว่าคนอย่างฉันไม่มีอะไรดีที่จะดึงนายไว้ได้เลยสักอย่าง ไม่รู้สิว่าทำไมถึงกลัวขนาดนี้ ฉันคง...ทนไม่ได้ถ้าเป็นฝ่ายมองเห็นนายจากไป”
“โธ่ ใครบอกว่าไม่มี” ผมเน้นย้ำ จับมือที่ลูบหน้าตัวเองมาวางที่อกด้านซ้าย เราสื่อสารกันด้วยดวงตาที่เห็นภาพเพียงข้างเดียวของนิธาน แต่กลับเข้าใจว่ามันหมายถึงสิ่งไหนที่ตรึงผมติดไว้ เขาคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนโยนและสบายใจที่สุดนับตั้งแต่เราถูกกีดกันให้ห่างกัน
ผ่านเรื่องราวต่างๆ นานาเพื่อมาพบว่า สุดท้ายแล้วผมก็ต้องปล่อยมือเขาไปอยู่ดี
“ผมจะไม่ขอให้พี่อยู่ แต่ผมขอให้พี่กลับมา”
“ฉันไม่รับปากว่าจะกลับมา แล้วก็ไม่อยากให้นายหวังอะไรแบบนั้น นายเป็นคนดี”
บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่นิธานเปิดหน้ากากของคนใจร้ายให้ผมเห็นเนื้อใน เขาไม่พูดต่อ คล้ายกับกำลังกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ผมรับรู้ได้ว่าเขาอยากอวยพรให้ผมเจอคนใหม่ คนที่สมบูรณ์กว่าตัวเองทุกประการ หากแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบอกให้คนที่รักสุดหัวใจไปเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีเรา
นาทีนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าแค่สายตา ผมก็อ่านอีกฝ่ายออกไปถึงหัวใจ
ผมตัดบทสนทนาทั้งหมดด้วยการแนบริมฝีปากลงไป บดเบียด เคล้าคลึง ระอุไปด้วยความรู้สึก ไล่จมูกไปยังโครงแก้ม สันคาง จุมพิตทุกร่องรอยขรุขระของแผลเป็นโดยไม่รังเกียจ มือข้างหนึ่งไล้ไปตามหัวไหล่ ท่อนแขน ล้วงลงภายใต้ผิวผ้า สัมผัสทุกสัดส่วนด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ตัณหา แต่เป็นความปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งเดียวไม่ว่านิธานจะเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่เราพบกันอย่างไรก็ตาม
รสจูบมัวเมาคล้ายหลงระเริงในฝัน เกี่ยวพันกันและกันด้วยฝ่ามือ ผมกางแขน ตรึงข้อมือทั้งสองข้างบนที่นอนนุ่ม นิธานชันหัวเข่าขึ้นหลังเสื้อผ้าถูกปลดออกกระจัดกระจายโดยทั่ว หากทุกอย่างเป็นฝันดี ก็คงเป็นฝันที่ดีจนไม่อยากตื่น หากแม้นคือฝันร้าย ผมก็ยอมตายในห้วงแห่งมายา
เม็ดฝนที่เกาะติดกระจกไหลรวมเป็นหนึ่งแล้วลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ผมกับนิธานนอนหอบหลังความปรารถนาถูกปลดปล่อย เราคลอเคลียกันเหมือนลูกแมวยังไม่หย่านม จูบกันซ้ำๆ ที่ริมฝีปาก กกหู และซอกคอทั้งที่เหนียวหนึบไปด้วยเหงื่อ
เราพรูลมหายใจเข้าออก แผ่นอกสะท้านขึ้นลง กอดก่ายกันและกันราวกับเป็นวันสิ้นโลก
“ผมโกหกพี่”
สารภาพจากใจจริงเมื่อนิธานสงบนิ่งในอ้อมแขน ซุกจมูกลงบนเรือนผม กระซิบเสียงแหบพร่า ทุ้มต่ำ แต่เต็มไปด้วยพลังและความจริงใจ
“ผมไม่เคยเสียใจเลยที่รักพี่”
ไม่เลยสักเสี้ยววินาที
TBCตอนหน้าจบแล้ววว
แนบรูปหมาแซค

เราเพิ่งไปอ่านโพสต์ของอินทิรามา (คุณทราย เจริญปุระ) เป็นแนวคิดที่เราเอามาใส่ในเรื่องของพี่ธาม คือคนป่วย บางทีไม่อยากได้รับการดูแลเป็น'พิเศษ' จนต้องรู้สึกว่าเขา'พิเศษ' เขาอาจจะอยากเป็นคนทั่วๆ ไป ที่ต้องการการปฏิบัติตัวอย่างปกติก็ได้
ในพาร์ทหลังจากที่พี่ธามประสบอุบัติเหตแล้วเห็นว่าแซคพยายามดูแลพี่ธามทุกอย่าง พี่ธามที่เข้มแข็งมาตลอด อยู่ด้วยตัวของตัวเองมาตลอดเลยรู้สึกว่าตัวเองบกพร่อง และที่ตัดสินใจไปไม่ใช่แค่เพราะไม่สามารถหลุดพ้นจากร่างกายตัวเองที่เปลี่ยนไปได้เพียงอย่างเดียว แต่ทำเพื่อแซคด้วย เพราะไม่อยากให้แซคเสียความเป็นตัวเองไปมากกว่านี้
แซคที่พี่ธามรู้จัก คือแซคที่เอาแต่ใจ ดื้อรั้น เป็นตัวของตัวเอง และนั่นคือแซคที่พี่ธามหลงรักมาตลอด
ด้วยนิสัยของตัวละครเลยชักจูงให้มีบทบาทไปในทางนี้ ส่วนอะไรจะชักนำให้เราละทิ้งนิสัยเดิมได้นั้น ตอนหน้าจบแล้วก็คงเข้าใจได้มากกว่านี้ ฮือออ
ตอนหน้าไม่ดราม่าแล้วค่ะ
แล้วจะเอาตอนพิเศษหวานๆ อุ่นๆ มาเสิร์ฟนะคะ
ทอล์คซะยาวเลย ไหนกอดหน่อย
ฮึบบ