ตอนที่ 13 : STALKER อย่างผมพัฒนาแล้วเมื่อคืน พี่เหนือกอดผมนอน ฮ่าๆๆ ถ้ารู้ว่าดิ้นแล้วพี่มันจะล็อคเอาไว้ คืนก่อนผมจะจระเข้ฟาดหางเข้าให้
จะได้กอดแน่นๆ อีกหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับแค่นี้ไอ้โต๊ะก็ฟินแล้ว
ถึงจะตื่นมาด้วยสภาพไม่บุบสลาย ต้องทนก้มหน้ายอมรับว่ามาเสม็ดมันคงไม่เสร็จทุกราย แต่คะแนนความใกล้ชิด
ที่เพิ่มขึ้น ก็พอให้ไอ้โต๊ะไปโม้ได้ไม่อายปาก
หนึ่ง ผมได้นอนกอดพี่เหนือ พี่เหนือนอนกอดผม สองคืนสองรสชาติ อิ่มเอมเปรมปรีดิ์
สอง ผมได้สัมผัสพี่เหนือแบบแนบชิด ไม่ว่าจะเป็นการนวดกึ่งลวนลาม การหนีบแน่นกลัวตกน้ำเกินจำเป็น
ผมนับถือตัวเองมาก ที่ใช้ทุกโอกาสที่หาได้อย่างคุ้มค่าถึงจะแค่ครั้งละไม่กี่นาทีก็ตาม
สาม ต้องไม่ลืมไคลแมกซ์ของการมาเที่ยวครั้งนี้ นั่นคือ..การจูบจริง พี่เหนือจูบผม ไม่ว่ามันจะมาจากการเล่นเกม
หรืออะไรก็ช่าง ผมจะตัดคำสร้อยเหล่านั้นออก เพราะมันยาวเกินกว่าจะเล่าให้คนอื่นฟัง ผมจึงคิดจะเล่าคร่าวๆ
แค่ พี่เหนือจูบผมครับ พี่เหนือจูบผมครับ พี่เหนือจูบผมครับ เราเข้าใจตรงกันนะครับว่า..พี่เหนือจูบผมครับ
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ผมยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกมาก อย่างหนึ่งที่ต้องจดใส่บัญชีดำของผมเอาไว้
เพื่อไม่ให้พลาดอีกครั้งหน้า คือ...
ถอดเสื้อผ้าให้ไว อย่ามัวแต่เขินอาย ความอายเป็นสัดส่วนผกผันกับความฟิน ผมจะท่องจนกว่าจะขึ้นใจ
ไปค่ายที่จะถึงนี้รับรองผมถอดหมดก่อนพี่มันแน่นอน (อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นพี่เหนือโป๊ทั้งตัวอยู่แล้ว ใจเต้นเก้อเลยกู)
ใช่แล้วครับผมได้สร้างโอกาสไว้รอตัวเองเรียบร้อยแล้วโดยที่พี่เหนือไม่รู้ตัว ตั้งแต่วันพุธหน้าจนถึงวันอาทิตย์
กลุ่มพี่เหนือจะไปออกค่าย (ก็ค่ายที่หาทุนกันไว้นั่นแหล่ะครับ) ผมผู้เป็นคนดีมาตั้งแต่เกิดย่อมต้องไปด้วยเป็นของธรรมดา
โดยมีกลุ่มผมทั้งกลุ่มตามไปเป็นผู้ช่วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำความดีของผมให้มีมากขึ้น สรุปก็คือเมื่อเขาไม่ได้กีดกัน
คนนอกคณะ พวกผมก็ไปสมัครไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนโต๊ะ
“โต๊ะ ยืนเอ๋ออะไรของมึงวะขึ้นรถ” ผมเกลียดมารทางความคิดตัวนี้มากครับ หญิงเดียวในกลุ่ม
“เออๆ ผมกำลังจะก้าวขึ้นรถเหมือนตอนขามา (ผม ส้ม เดซี่มารถพี่เหนือ เจ้า พี่ต่อ พี่ของขวัญมารถพี่สกาย
ต้องแบ่งเจ้าไปเพราะรถนั่งคันละสี่คน เจ้ามันขึ้นรถพี่สกายบ่อยๆ จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว)
“เดี๋ยวโต๊ะ” เจ้าเรียกผมเอาไว้
“โต๊ะกับเจ้านั่งคันเดียวกันดีกว่าเพราะหอเดียวกัน พี่ๆ จะได้ไม่ต้องวนไปส่งทั้งสองคัน”
“เอาสิ” ผมหันไปพยักหน้าให้เจ้า
“ส้มไปนั่งแทนเจ้านะ” ส้มกับพี่ของขวัญนอนห้องเดียวกัน เราจึงนับว่าสนิทกันแล้ว
“เออ ได้” ส้มหยิบกระเป๋าลงจากรถ
“เจ้า ให้โต๊ะย้ายมารถพี่ดีกว่า บ้านพี่อยู่ใกล้หอพวกเรา ของขวัญมึงย้ายไปนั่งรถไอ้เหนือ”
ผมอยากประท้วง ไม่อยากถูกชิงตำแหน่งตุ๊กตาหน้ารถพี่เหนือแต่ก็ทำไม่ได้ ขืนปฏิเสธออกไปเดี๋ยวพวกพี่จะสงสัยผมเอา
เลยได้แต่หยิบกระเป๋าตัวเองออกมา
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูจะไปธุระแถวนั้นอยู่แล้ว เอาตามที่เจ้าว่านั่นแหล่ะ โต๊ะขึ้นรถ” พี่เหนือหันมาจ้องผม
ผมหันไปมองคนโน้นที คนนี้ที ตอนนี้ผม เจ้า ส้ม พี่ของขวัญ ถือกระเป๋ากันคนละใบ ยืนเอ๋อๆ อยู่นอกรถ
เหมือนเป็นลูกปิงปองที่โดนตีไปตีมา ไม่รู้ว่าต้องอยู่ตรงไหนกันแน่
“โต๊ะ” เสียงเข้มๆ ของพี่เหนือ ทำให้ผมรีบเผ่นขึ้นรถทันที ผมไม่ได้ออกอาการนะ พี่เหนือเรียกเอง
“พวกมึงเล่นอะไรกันวะ กูแม่งแฮ้งค์ๆ อยู่” พี่ของขวัญบ่นงึมงำ แกจะพูดไม่เพราะเวลาหงุดหงิดมากๆ
ผมชะโงกหน้าออกมาดูสถานการณ์แต่ไม่ยอมลงจากรถ ต้องยึดที่นั่งเอาไว้ครับ เห็นพี่เหนือกับพี่สกายยืนจ้องกันอยู่
พี่เหนือยักคิ้วให้พี่สกาย พี่สกายยกมือขึ้นชี้หน้าพี่เหนือ ผมก็ชักอยากรู้แหะว่าคู่นี้เล่นอะไรกัน
“พี่เหนือ เมื่อกี้อะไรเหรอ” ผมถามทันทีที่พี่เหนือเริ่มขับรถออกจากที่จอด
“อะไร?” พี่เหนือทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนียนมากครับ ผมแค่เอ๋อแต่ไม่ได้โง่นะ
“ก็เมื่อกี้ไง พี่เหนือกับพี่สกายมีอะไรกันหรือเปล่า”
“สกายมันอยากได้เจ้าไปนั่งด้วย พี่แค่แกล้งเพื่อน หรือเจ้าอยากไปนั่งคันสกาย” พี่เหนือมองกระจกมองหลัง
ผมเห็นเจ้ารีบส่ายหน้า พอเป็นเรื่องพี่สกายทีไรเจ้ามันดูไม่นิ่งสักที คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นแต่ผมเป็นเพื่อนสนิทมัน
ทำไมจะดูไม่ออก
“แล้วทำไมพี่สกายถึงอยากให้เจ้าไปนั่งด้วยล่ะครับ” ผมถามเหมือนเด็กปัญญาก่อน แต่เขาว่าสืบความลับให้สืบจาก
เพื่อน ถึงจะดูควายไปหน่อยผมก็ยอม
“นั่นสิ ทำไมล่ะเจ้า”
ควายจริงๆ แล้วล่ะครับ ดันโยนระเบิดฆ่าเพื่อนตัวเองเสียอย่างนั้น ไอ้เจ้าจ้องผมตาเขียวผ่านกระจกมองหลัง
“คงอยากแกล้งเจ้า เหมือนที่พี่เหนืออยากแกล้งพี่สกายมั้งครับ”
กรุณาลุกขึ้นยืนปรบมือให้เพื่อนผมด้วยครับ ความฉลาดและไหวพริบนี้ไม่มีใครเทียบเท่าโดยเฉพาะผม
“หึหึ” นี่คือเสียงที่มาจากคนนั่งข้างๆ ไอ้รอยยิ้มรู้ทันนี่มันน่าจับจูบลงโทษนัก
(เกี่ยวกันไหม? เกี่ยวสิครับ ผมบอกแล้วว่าทุกโอกาสมีค่า)
“ใครง่วงก็หลับไปได้เลย เดี๋ยวใกล้ถึงพี่ปลุก”
“ขอบคุณค่า” เดซี่ตอบรับเป็นคนแรก ก่อนเอนตัวลงนอนหมดสภาพ เดซี่ดอกสวยกลายเป็นไอ้เดย์เพื่อนที่ผมรู้จัก
ตอนปีหนึ่ง ก่อนที่มันจะหายสาบสูญไป
“โต๊ะง่วงไหม นอนได้นะ” พี่เหนือหันมามองหน้าผมแว้บหนึ่งก่อนหันกลับไปมองถนน
“ผมนั่งเป็นเพื่อนพี่เหนือดีกว่าครับ จะได้คุยเป็นเพื่อน”
“ขอบใจ แล้วนี่โต๊ะเลือกรูปที่ชอบได้หรือยัง”
“ได้แล้วครับ” ผมล่ะกลัวพี่เหนือจะขอดูรูปในกล้องอีก จะให้ดูได้ยังไงล่ะครับ รูปที่ถ่ายเพื่อประกวดมีนิดเดียว
นอกนั้นผมกดชัตเตอร์รัวๆ เน้นๆ พี่มันเต็มจอ ภาพโคสอัพมีทุกส่วน โดยเฉพาะใบหน้ากับปากได้รูปนั่น
คืนนี้ไอ้โต๊ะจะรีบปรับสีปรับแสงเอาไปอัดมาแปะหัวเตียง
“โต๊ะ"
"ครับ"
"โต๊ะได้เก็บแปรงสีฟันพี่ติดไปไหม พี่หาไม่เจอ”
“เหี้ย!!”
ไม่ใช่เสียงผมครับ แต่เป็นเสียงของเดซี่ คนที่ผมเพิ่งเห็นว่ามันนอนหมดสภาพไป แต่ตอนนี้มันตาลุกโพลง
อย่างกับโด๊ปกาแฟเข้าไปสิบแก้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ดูเหมือนพี่เหนือจะมองจากกระจกมองหลัง คงเห็นท่าเดซี่ทำหน้าตกใจอย่างกับโดนผีหลอก
“เอ่อ.ไม่มีอะไรค่ะ เดซี่ฝันร้าย”
“นอนแป๊บเดียวนี่ฝันได้แล้วเหรอ” พี่เหนือหัวเราะอยู่ในคอ
“ฝันได้ค่ะ เดซี่ฝันเห็นผี มันตามมาหลอกหลอนทั้งกลางวันกลางคืนไม่ให้ได้พักผ่อน ว่างๆ จะทำพิธีจับถ่วงน้ำ
ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป”
เห็นว่าตอบโต้ไม่ได้ นี่คิดจะถ่วงผมเลยนะไอ้เพื่อนเวร
“โต๊ะ” เสียงเจ้าเรียกผมพร้อมกับมือที่ยื่นมาสะกิดแขน
“หือ?”
“เผลอหยิบของพี่เหนือติดมาหรือเปล่า เปิดดูสิ เผื่อติดมาจะได้คืนพี่เขาไป"
เจ้าพูดเสียงนุ่ม แต่ตาจ้องจิกผมเสียจนเสียวสันหลังวาบๆ
“พี่เอากระเป๋าโต๊ะไปไว้ข้างหลัง ไม่เป็นไร พี่ฝากไว้ที่ห้องโต๊ะเผื่อวันไหนไปค้างจะได้มีใช้”
พี่เหนือบอกว่าจะไปค้างห้องผม พี่เหนือจะไปค้างด้วย
“โอ๊ยยยย” มือที่จับแขนเปลี่ยนเป็นบิดสุดแรง
“เฮ้ย ค้างไม่ได้ครับ ไม่ได้” ผมนึกออก ตกใจรีบละล่ำละลักบอก จนลืมลำดับคำพูดให้ดีเสียก่อน
“ทำไมไม่ได้ พี่นึกว่าเราสนิทกันแล้วเสียอีก” พี่เหนือขมวดคิ้ว ดูท่าจะโกรธผมนิดๆ
“ห้องผมไม่มีแอร์ พี่เหนือขี้ร้อน” ถึงจะเสียดายแทบขาดใจ แต่เพื่อปกป้องความลับของผมให้ยังเป็นความลับต่อไป
ก็ต้องปฏิเสธเข้าไว้
“พูดเกินไป มันจะร้อนแค่ไหนเชียว ลองดูคืนนี้เลยไหม พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะนอนได้หรือเปล่า”
“คืนนี้!!”
การประสานเสียงแบบไม่ได้นัดหมาย แอร์ในรถเย็นฉ่ำ แต่ผมเหงื่อแตกพลั่ก ได้ยินเสียงเดซี่พึมพำเบาๆ
“ไม่ต้องนอนแล้วกู”
“คือ.ผมว่า..” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์พี่เหนือก็ดังขึ้นเสียก่อน
พี่เหนือยกมือขึ้นเหมือนขอเบรคการคุยไว้ชั่วครู่ ก่อนกดบลูทูธรับสาย
“ครับพราว” ยังไม่ทันเข้าเขตกรุงเทพฯ ความจริงในชีวิตก็ตามมาจู่โจมผมถึงนี่ ไหนจะพี่พราว ไหนจะแวนโก๊ะ
“ไปครับ”
“พราวแน่ใจเหรอ ไปออกค่ายมันเหนื่อยนะ ที่พักอาหารการกินไม่ได้สบายเหมือนไปเที่ยว”
“ก็ตามใจครับ ไปลงชื่อที่พัต รู้จักใช่ไหม”
“ครับ กำลังขับรถ แค่นี้ก่อนนะพราว ครับ”
ไม่ต้องถามผมก็รู้เรื่องที่พวกเขาคุยกันครับ พี่พราวจะไปออกค่ายด้วย ความสุขผมหายไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์
ความเซ็งกำลังครอบงำจนเผลอทำหน้าหงิกออกมา”
“เป็นอะไร พี่แค่จะไปค้างด้วยต้องทำหน้าหงิกขนาดนี้”
ผมเพิ่งเห็นว่าพี่เหนือมองมาถึงจะแป๊บเดียวก็เถอะ เฮ้อ เข้าใจกันไปคนละเรื่องเลย แต่ใครจะอธิบายได้ล่ะ
“คือโต๊ะกับเจ้าจะไปค้างบ้านเดซี่กันค่ะ เดี๋ยวไปเอาเสื้อผ้าเพิ่มที่หอแล้วก็จะไปพร้อมกันเลย”
เดซี่คงใช้เวลาที่พี่เหนือคุยโทรศัพท์คิดหาทางออกให้ ส่วนผมได้แต่จดจ่อแอบฟังพี่เหนือคุยไม่ได้นึกถึงอะไรพวกนี้เลย
“แล้วทำไมไม่ยอมบอกแต่แรกฮึเรา” พี่เหนือยื่นมือมาโยกหัวผมเล่น
“พี่นึกว่าไม่อยากให้ไปค้างด้วย นัดกับเพื่อนไว้ก็บอกสิ”
“ขอโทษครับ ผมเกรงใจ” ผมไหลไปตามน้ำ ใจยังไม่หายเศร้ากับสิ่งที่ได้ยินมา
งานนี้คงต้องถอยกลับไปเป็นแค่คนยืนมองอีกแล้วสินะ เขามาทวงตำแหน่งคืนแล้วนี่
“สกายแวะเข้าปั๊ม” พี่เหนือตบไฟเลี้ยวเข้าซ้ายตามรถคันหน้าไป
“พี่จะไปซื้อน้ำใครเอาอะไรไหม” พี่เหนือหันมาถามพวกผมเมื่อจอดรถเสร็จแล้ว
“เอาครับ” เอาค่ะ” เราบอกออเดอร์พี่เหนือ ก่อนเดินมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำ
“โต๊ะ มึงเอาอะไรของพี่เหนือมาบ้าง สารภาพมา กูใจหายใจคว่ำหมด ช่างกล้านะคะ”
“เปล่า” ผมลากเสียงยาวปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ
“อย่าบอกว่าโต๊ะไม่ได้เอาแปรงสีฟันพี่เหนือไป” เจ้าจ้องหน้าผมเขม็ง
ผมมองซ้ายมองขวา เราหยุดคุยกันก่อนถึงห้องน้ำ พี่ต่อ พี่สกายเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ส้มกำลังเดินมารวมกับพวกผม
“เออ โต๊ะเอามาเองแหละ”
“ไอ้เหี้ย” เดซี่ตบกะโหลกผมดังป๊าบ
“อะไรวะ” ส้มมาไม่ทันได้ยิน จึงมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที
“โต๊ะมันขโมยแปรงสีฟันพี่เหนือมา”
“ไอ้..” ผมรีบยกมือกุมหัว เมื่อส้มทำท่าจะซ้ำรอยเดซี่
“ฟังกูก่อนนนนนน” ผมรีบโวยวายประท้วง ส้มถึงยอมลดมือลง
“ว่ามา เหตุผลไม่เข้าท่ากูตบสลบจริงๆ ด้วย"
“กูนึกว่าพี่เหนือลืม พี่เขาเก็บของเข้ากระเป๋าไปหมดแล้ว ที่โกนหนวด ครีมอะไรก็ไม่มีเหลือ กูเลยหยิบมา”
“หยิบอะไรมาอีก” ส้มขู่ผมฟ่อๆ
“ปอกหมอนที่พี่มันหนุน กูไปบอกพนักงานว่ากูทำเปื้อนให้เขาคิดเงินมาเลย กูจ่ายไปแล้วไม่ได้ขโมย”
“เหี้ยโต๊ะ” เสียงสรรเสริญเยินยอผมตามมาเพียบ
“แต่กูพัฒนาแล้วนะ ของเล็กๆ น้อยๆ กูไม่เอาแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้เจอกันบ่อยไง”
“อะไร ไหนบอกมาสิ”
“ก็พวกหลอดดูด แก้วพลาสติก ห่อลูกอม ถุงขนม ฯ” ผมจาระไนออกมายาวเหยียด ที่จริงก็เหมือนประจานตัวเอง
ว่าก่อนหน้านั้นผมเคยเก็บอะไรมาบ้าง
“พอๆ มึง กูทำใจไม่ได้ค่ะ นอกจากปลอกหมอนมึงไม่มีอะไรอีกแล้วใช่ไหม”
“เอ่อ กู..กู..เก็บเส้นผมพี่มันที่ร่วงบนเตียงมาด้วย”
“ผมหัวนะมึง ไม่ใช่ผมอย่างอื่นใช่ไหม” ไอ้ส้มทำหน้าสยองใส่ผม
“ไอ้บ้าส้ม ผมอย่างอื่นกูไม่กล้าโว้ย เส้นเล็กแบบนั้นใครจะไปมองหา”
“หืม แปลว่ามึงมองแล้วสิ”
“พี่มันออกมากันแล้ว ไปเหอะ เดี๋ยวไม่ทัน” ผมรีบตัดบท
ผมไม่ได้หาจริงๆ นะ ใครจะลามกขนาดนั้น ถ้าเห็นวางอยู่จะจะก็ว่าไปอย่าง
“ขอบคุณครับพี่เหนือ” ผมยกมือไหว้ นานๆ ทีถึงจะทำ
“ขึ้นไปเก็บของ เดี๋ยวพี่รอไปส่งที่บ้านเดซี่” พวกผมหันมามองหน้ากัน ไม่ได้คิดจะไปค้างกันจริงๆ นี่ครับ
“ไม่เป็นไรครับพี่เหนือ เดี๋ยวพวกผมไปกันเอง”
“ไม่ต้องเกรงใจ พี่ไม่ได้มีธุระไปไหน” เข้าตัวสิครับงานนี้ บ้านเดซี่ไปค้างได้ที่ไหนล่ะ ลูกหลานบ้านมันเยอะ
ห้องหนึ่งนอนกันสองคนเข้าไปแล้ว
“เดี๋ยวกูโทรบอกป๊าก่อนว่าถึงกรุงเทพฯแล้ว” เดซี่ทะลุกลางปล้องขึ้นมา ก่อนเดินแยกตัวไปคุยห่างๆ
“มึง ขอโทษทีไม่ได้แล้วว่ะ ป๊ากูจะให้ไปงานวันเกิดใครไม่รู้เป็นเพื่อน เห็นกูกลับมาเร็วกว่าที่บอก เอาไว้วันหลังนะ”
สกิลการเอาตัวรอดของเดซี่มีสูงมาก มันคงตกใจจนลืมว่าเดี๋ยวพวกผมนั่งแท็กซี่กลับมาก็ได้
“พี่เหนือ เดซี่ไปก่อนนะคะเดี๋ยวป๊ารอ บายเจอกันพรุ่งนี้มึง” มันคว้ากระเป๋าได้ก็เดินแน่วไปโบกแท็กซี่
ไม่หันกลับมามองพวกผมสักนิด
“เจ้าขึ้นหอก่อนนะครับพี่เหนือ ขอบคุณมากครับ” คราวนี้ก็เหลือผมคนเดียว ต้องรีบชิ่งก่อนพี่มันจะนึกได้
“บายครับพี่เหนือ” ผมคว้ากระเป๋ายกมือโบกไวๆ
“เดี๋ยวโต๊ะ” ผมติดเบรคแทบไม่ทัน อย่านะครับพี่เหนือ ถึงผมอยากจะให้พี่ค้างแค่ไหนแต่ห้องผมตอนนี้ไม่สามารถจริงๆ
“ไม่ได้มีธุระอะไรใช่ไหม”
“เอ่อ..” ผมกำลังคิดหาข้ออ้างดีๆ อยู่
“ถ้าไม่มี ไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ ขี้เกียจกลับไปทานที่บ้าน เดี๋ยวพี่วนกลับมาส่ง”
“ได้ครับ” ผมโยนกระเป๋าเข้ารถอย่างว่องไว
เดทกับพี่เหนือสองคน ดินเนอร์กันสองต่อสอง
พี่พราว แวนโก๊ะหน้าตาเป็นยังไงตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วครับ ขอตักตวงโอกาสงามๆ ไว้ก่อน
“โต๊ะ มีคนที่ชอบแล้วใช่ไหม เห็นเคยบอกพี่”
“หะ? อ๋อ..ครับ” ผมไม่รู้จะตอบรับหรือตอบปฏิเสธดี แต่ในที่สุดก็รับๆ ไป
“จะจีบไหม”
ทำไมอยู่ๆ มาถามผมเรื่องนี้ ผมพูดส่งๆ ไปตั้งนานแล้วจนเกือบลืม
“คงไม่ครับ ชื่นชมอยู่ห่างๆ ก็พอ”
ตอแหลโครตครับ ไม่จีบหรอก กะจะจับกดเลยมากกว่า นี่ถ้าวันนั้นไม่ตกใจขาโต๊ะ จนลืมคิดไปว่าพองก็ช่างปะไร
จะได้จับกดๆ ไปเลย ป่านนี้พี่เหนือเสร็จผมไปแล้ว อ่อนด้อยประสบการณ์ก็งี้แหล่ะตกใจง่ายไปหน่อย คราวหน้าไม่พลาดแน่
“ผู้ชายหรือผู้หญิง”
“หะ..เหี้ย” หะข้างนอก เหี้ยในใจครับ ผมเอาอยู่ไม่ต้องกลัว
“พี่..พี่เหนือจะเล่นยี่สิบคำถามกับผมเหรอครับ” ผมพล่ามฆ่าเวลาหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะนึกอะไรเจ๋งๆ ออก
“ว่าแต่พี่เหนือเถอะครับ แอบไปหลงรักใครอยู่หรือเปล่า ผมรู้นะ” ผมแค่ต้องการเบี่ยงเบนประเด็น แต่รถกลับกระตุกวูบ
ก่อนพี่เหนือจะควบคุมได้อีกครั้ง
“รู้อะไร?” พี่เหนือหันมาจ้องหน้าผม จนผมต้องรีบชี้ไปที่ถนน กลัวรถจะชนตายเสียก่อน
“ผมได้ยินพี่ต่อคุยโทรศัพท์กับพี่เหนือ ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะครับ ผมจะเข้าไปทักพี่ต่อพอดี ได้ยินคุยกันเรื่องพี่เหนือชอบแวนโก๊ะ”
“เหี้ย” คราวนี้ผมอุทานออกมาจริงๆ ก็พี่เหนือสิครับ เกือบชนรถคันข้างหน้าที่ชะลอจอดพราะติดไฟแดง
“ขอโทษที” พี่เหนือยื่นมือมากันตัวผมไว้ สุภาพบุรุษโครตๆ
“แปลว่าชอบจริงสินะครับ อาการออกเลย” เจ็บจี๊ดครับ แต่ต้องถามเพราะอยากรู้จนใจสั่นไปหมดแล้ว
“โต๊ะบอกมาก่อนสิว่าแอบชอบใครอยู่ แล้วพี่ถึงจะบอก แลกข้อมูลกัน” พี่เหนือหันมาจ้องหน้าผม
ไฟเขียวเร็วๆ สิ ผมกลัวตัวเองหน้าแดง ก็พี่มันเล่นจ้องยิ้มๆ ผมก็เขินเป็นนะเว้ย
“ไม่บอกครับ ไม่เห็นจะอยากรู้” ผมทำเป็นเมินมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ตามใจ” พี่เหนือยื่นมือมาปัดผมที่ตกลงมาโดนขอบแว่นออกให้
“แวนโก๊ะเรียนคณะผมเหรอครับ รุ่นพี่หรือรุ่นน้องผมจะได้เรียกถูก” ผมเนียนๆ ชวนคุยเผื่อพี่เหนือจะหลุดปาก
“อยากรู้ไปทำไม” เกลียดจริงๆ ครับ ตอบคำถามด้วยคำถามเนี่ย แล้วเมื่อไหร่ผมจะสืบความลับได้
“เห็นพี่ต่อบอกว่าเจอที่คณะผม งั้นก็คงใช่” ผมโยนหินถามทาง พี่เหนือไม่ตอบอะไร เอาแต่ยุ่งอยู่กับผมของผม
“เดี๋ยวผมจะไปตัดแล้วครับ” ผมยกมือปัดผมที่ตกลงมา ไม่ได้ใส่เจลไว้ปัดยังไงมันก็ตก
“เอาให้เด๋อๆ เหมือนแต่ก่อนนะ น่ารักดี”
“โห พี่เหนือดูถูกเกินไปแล้ว ต้องเรียกว่าหล่อสิครับ ไม่ใช่น่ารัก” ผมโวยวาย ผู้ชายที่ไหนอยากให้ชมว่าน่ารัก
“อย่างเรายังห่างไกลคำว่าหล่อ” พี่เหนือยีหัวผมก่อนหันกลับไปขับรถเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“ใช่สิ ใครจะหล่อลากเหมือนพี่เหนือล่ะครับ หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อไม่แบ่งใคร” ผมมัวแต่โมโหที่โดนหาว่าไม่หล่อ
จนลืมนึกไปว่า ทำไมพี่เหนือรู้ว่าเมื่อก่อนผมไว้ผมเด๋อๆ ตอนผมเจอพี่เหนือ ผมของผมก็ยาวเข้าที่เข้าทางแล้ว”
“ไม่ดีเหรอ เวลาโต๊ะเดินกับพี่จะได้มีคนอิจฉา” ผมแอบยู่หน้าใส่พี่เหนือ
“ดีตรงไหน คนก็มองแต่พี่เหนือหมดสิครับ ใครจะมามองไอ้ขี้เหร่อย่างผม”
“ดีตรงที่ไม่มีใครมองโต๊ะนี่แหล่ะ ดีมาก” ผมหันขวับไปมอง ร้ายกาจมาก ที่ชอบไปไหนมาไหนกับผมเพราะแบบนี้ใช่ไหม
ไอ้โต๊ะน้อยใจอย่างแรง
“ที่แท้ก็เอาผมไว้เป็นลูกไล่ พี่เหนือเดินกับใครก็หล่อไม่ต้องกลัวครับ” ผมพูดประชดไปตามอารมณ์
ก็มันน่าไหมล่ะครับ ดูพูดแต่ละคำ
“พี่ไม่ได้พูดว่าพี่อยากหล่อ พี่หล่ออยู่แล้ว”
โอ้ย อะไรของพี่มันวะ ผมไม่เข้าใจจริงๆ กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า เพี้ยนเข้าไปอีก
ผมชะโงกตัวจากเบาะ เอามืออังหน้าผากพี่เหนือ ก่อนจับลงตรงคอ
“ก็ไม่มีไข้นี่หว่า” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ
“ทำอะไร” พี่เหนือเอามือมาจับมือผมเอาไว้ สงสัยกลัวผมลวนลาม ก็อยากจะทำอยู่หรอกครับแต่ในรถมันคงไม่ดีมั้ง
“วัดไข้ครับ อยากรู้ว่าพี่เหนือไม่สบายหรือเปล่า ทำไมผมฟังพี่เหนือพูดไม่รู้เรื่องเลย”
“วัดไข้เขาต้องวัดกันตรงนี้” พี่เหนือยกมือผมไปทาบไว้ที่ริมฝีปาก ก่อนกดลงมากลางฝ่ามือผม
“ร้อนไหม”
ผมรีบส่ายหน้า ไม่กล้าตอบกลัวเสียงมันจะสั่นเหมือนใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีไข้ พี่ปกติดี”
พี่เหนืออะปกติ แต่ผมไม่ปกติแล้ว ใครใช้ให้พี่มันขี้อ่อยแบบนี้วะ สงสารหัวใจดวงน้อยๆ ของผมด้วยเถอะ
มันทำงานหนักจนจะเกินลิมิตอยู่แล้ว
พี่เหนือปล่อยมือผม ก่อนส่งมือมาแตะหน้าผากผมแทน
“พี่ว่าโต๊ะน่าจะไม่สบายมากกว่าพี่นะ ทำไมหน้าแดง ปวดหัวหรือเปล่า”
ใครก็ได้ ช่วยเรียกกู้ภัยให้ผมที ผมรับมือกับพี่เหนือไม่ไหวอีกแล้ว พี่มันกะพาผมมาฆ่าหรือเปล่า ทำไมรัวผมเป็นชุดแบบนี้
ไอ้โต๊ะตายแน่ๆ ครับ งานนี้คงไม่รอด
“ซื้ออะไรไปทานที่คอนโดพี่แล้วกันนะท่าทางโต๊ะจะไม่ไหว เดี๋ยวพี่ดูแลเอง”
บึ้ม เสียงหัวใจผมระเบิด ไปไหนก็ไปเถอะครับผมคิดอะไรไม่ออก
“หึหึ”
“ไม่ต้องกลัวคอนโดพี่มีแอร์”
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
คิดว่าใครอ่อยกว่ากันคะ ^^
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ พิมพ์เสร็จเอาลงเลย เดี๋ยวมาแก้ค่ะ
Darin ♥ FANPAGE