ตอนที่ 24 : ดวงจันทร์วันเพ็ญ [สกาย ♥ เจ้า]-ข้าวเจ้า-
“ผมไม่อยากไป” ผมปฏิเสธเป็นครั้งที่สาม เมื่อพี่สกายพยายามชวนผมไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนมัธยมให้ได้
ไม่มีใครที่ผมรู้จักสักคน
“ไปเถอะ ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับ สัญญาว่าไม่สนุกจะพากลับ” คนชวนยังพยายามตะล่อมผม
เพิ่งรู้ว่าพี่สกายดื้อขนาดนี้
“พี่สกายก็ไปเองสิครับ จะได้สนุกด้วย เอาผมไปเป็นภาระเปล่าๆ”
“ไม่เอาไปก็ต้องนั่งคิดถึงอีก ไปด้วยน่ะดีแล้ว”
ผมที่พยายามตั้งป้อมอย่างแข็งแกร่ง ยอมรับว่ามักจะอ่อนไหวกับคำพูดพวกนี้ของพี่สกายเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“แต่ถ้าไม่สนุกผมกลับก่อนนะครับ พี่สกายห้ามกลับ อยู่สนุกกับเพื่อนๆ ไป ผมไม่อยากให้เพื่อนพี่ว่าผม” ผมต่อรอง
“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับที่คณะ ห้ามหนีกลับ”
“ครับ” ผมพยักหน้าให้
“ตั้งใจเรียนนะ” มือใหญ่ลูบหัวผมเบาๆ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้
“ผมไม่ใช่เด็ก”
สองประโยคนี้ กลายเป็นประโยคประจำวันของผมกับพี่สกายไปแล้ว ไม่รู้เป็นอะไร ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ
อยู่เรื่อย
“โต๊ะลงได้แล้ว” ผมหันไปเรียกโต๊ะที่นั่งอยู่เบาะหลัง เดี๋ยวนี้พอขึ้นรถชอบทำตัวเงียบเชียบเหมือนไม่ได้มาด้วย
จนบางทีผมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“ขอบคุณครับพี่สกาย” โต๊ะยิ้มเผล่ก่อนเปิดประตูลงรถไปอย่างไว ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าโต๊ะเป็นเพื่อนผมหรือเป็น
ลูกคู่พี่สกาย เดี๋ยวนี้ไม่เคยช่วยผมออกจากสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทำหูทวนลมตลอดเวลา
“ตอนเย็นเจอกัน”
“ครับ”
ผมลงมายืนข้างรถ รอจนคนขับเคลื่อนรถออกไปแล้ว จึงหันมาล็อคแขนคนที่ยืนรออยู่ข้างๆ
“ไม่ช่วยเจ้าเลยนะ”
“ช่วยอะไรล่ะ แฟนเขาจะชวนกันไปเที่ยวใครจะกล้าขัด”
“โต๊ะ”
“ใครๆ เขาก็รู้ว่าเจ้าเป็นแฟนพี่สกายทั้งนั้นแหละ มีแต่เจ้าไม่รู้อยู่คนเดียว”
“เจ้ายังไม่ได้ตอบตกลง”
“อย่าใจร้ายกับพี่สกายไปเลยว้าเจ้า ที่สำคัญอย่าใจร้ายกับใจตัวเองด้วย ชอบเขา เขาก็ชอบ มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
ความสุขไม่อยากได้หรือไง”
“ได้มาเยอะแล้วสิ ถึงพูดเรื่องนี้เก่งขึ้นเยอะ”
“เต็มคราบ เอ๊ย เต็มอิ่ม มีความสุขจนอิจฉาตัวเอง” คนพูดทำหน้าเหมือนกำลังสุขจนล้น บางครั้งผมก็อิจฉานิสัยอย่างโต๊ะ
อยากเป็น อยากคิดได้แบบนี้บ้าง
“โต๊ะแอบชอบพี่เหนือมาตลอด ไม่เคยคิดถึงวันแบบนี้เลยนะเจ้า พอถึงวันนึงพี่เหนือเข้ามาใกล้ รู้สึกว่าอาจจะเอื้อมถึงได้
โต๊ะก็ลองคว้าดู ไม่ได้คิดหรอกว่าถ้าไม่ได้จะเป็นยังไง ถึงวันนั้นก็คงรู้เอง แต่โชคดีที่คว้ามาได้สำเร็จ”
“การที่เราชอบใครสักคนมากๆ และในที่สุดก็ได้มาอยู่เคียงข้าง มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ สำหรับโต๊ะแค่นี้พอ
ไม่จำเป็นต้องมากกว่านี้ ทำไมต้องทำอะไรอีก ทำไมต้องคิดอะไรอีกมากมาย แค่ได้กอดกันไว้แบบนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ชีวิตมันง่ายแบบนั้นเหรอโต๊ะ”
“แล้วชีวิตมันยากตรงไหนวะเจ้า”
“คนรอบข้าง สังคม พ่อแม่ ความเหมาะสม”
“โต๊ะรู้ว่าเจ้าคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับพี่สกาย แล้วโต๊ะเหมาะกับพี่เหนือเหรอ ดูยังไงก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าพี่มันบอกว่า
อยู่กับโต๊ะแล้วมีความสุขมากกว่าอยู่กับคนอื่น โต๊ะก็เชื่อ”
“มันมีวิธีตั้งมากมายนะเจ้า ที่จะก้าวไปด้วยกันได้ อย่างตอนนี้ ไม่ใช่ว่าโต๊ะไม่กังวลว่าคนรอบข้างมองยังไง คิดยังไง
หรือเอาเข้าจริงพี่เหนือจะรับได้ไหม แต่โต๊ะก็อยากลองพยายามดู”
“เราเริ่มจากพื้นที่เล็กๆ ก่อน ค่อยเป็นค่อยไป อย่างโต๊ะตอนนี้ก็มีความสุขดี ไม่จำเป็นต้องรีบประกาศให้โลกรู้
ให้เวลาพี่เหนือปรับตัวให้ชินกับเสียงแซว สายตาอยากรู้อยากเห็น พอวันนี้ชิน อีกหน่อยพอรู้กันกว้างขึ้นๆ
เราก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย ค่อยเป็นค่อยไป โต๊ะแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่โต๊ะจะปกป้องพี่เหนือได้”
“โต๊ะก็คือโต๊ะจริงๆ เลยนะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เป็นแบบนี้ คิดได้แบบนี้ เจ้าโคตรอิจฉา”
“อย่าอิจฉาเลย อีกหน่อยจะมีแต่คนอิจฉาเจ้าเหมือนกัน เชื่อโต๊ะสิ”
“สาธุ ขอบใจนะโต๊ะ ขึ้นเรียนเถอะ ป่านนี้พวกนั้นด่าแล้ว” ผมดึงแขนโต๊ะให้ออกเดิน หลังจากหยุดคุยกันอยู่นาน
“นี่ เขม นนท์ บัว ป๊อบ เปิ้ล ไท นิดหน่อย” พี่สกายแนะนำผมให้รู้จักกับคนอื่นๆ ในโต๊ะ
“ส่วนนี่ ข้าวเจ้าแต่เรียกเจ้าก็ได้”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้รอบโต๊ะ
“โอะโอ๋ วันนี้สกายไม่ควงสาวมา ฝนจะตกน้ำจะท่วมหรือเปล่าวะ”
“มากไป กูก็ไม่ได้ควงมาทุกครั้ง” สายตาที่เหลือบมองมาคล้ายจะแก้ตัวอยู่ในที
“ไม่พากิ๊บมาด้วยวะ กูนึกว่าจะเจออุตส่าห์ทำหล่อมา เก้อเลยมึง”
“กูไม่ได้ไปไหนมาไหนกับกิ๊บตั้งนานแล้ว” ผมเริ่มรู้สึกว่ามาด้วยครั้งนี้ก็ดีนะ
“พวกมึงอย่าพูดมาก ทำกูเสียคะแนนหมด”
“เสียคะแนนอะไรของมึง หรือตามเพื่อนใครในกลุ่มอยู่วะ ไม่เห็นมีใครอัพเดทให้กูฟังเลย”
คนที่ชื่อนนท์หันไปมองหน้าเพื่อนคนอื่นๆ
“กูก็ไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ใช่เพื่อนกู”
“มึงหมายความว่าไงวะ มาถึงก็แจกปริศนาให้กูงงอีก”
“ปริศนาอะไรของมึง กูก็พามาด้วยเห็นๆ ”
ผมไม่คิดว่าพี่สกายจะเปิดประเด็นเรื่องผม เล่นเอาอึ้ง เงียบกันไปทั้งโต๊ะ
“บัวหูไม่ฝาดใช่ไหม อันนี้คืออำกันเล่นหรือเปล่าสกาย”
“เรื่องจริง แต่ห้ามแซว น้องมันขี้อาย”
ผมหันขวับไปส่งสายตาเอาเรื่องกับคนที่ทำท่าสบายอกสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเลยว่ากำลังทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะเปลี่ยนไป
“อย่าบอกว่ามึงเป็น...”
“เฮ้ย พอๆ อย่าไปแซว เดี๋ยวน้องมันไม่สนุก อย่าไปสนใจพวกนั้นเลยครับน้องเจ้า มาดื่มๆ”
พี่ป๊อบยื่นแก้วเหล้าให้ผม ผมผงกหัวขอบคุณ ก่อนรับมาดื่มทีเดียวครึ่งแก้ว ย้อมใจตัวเอง
“ช้าๆ” คนที่นั่งข้างๆ เขยิบเก้าอี้มาชิด
“เพราะใครล่ะครับ พูดออกไปแบบนั้น” ผมกระซิบเบาๆ พยายามไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“ก็พี่ไม่อยากให้เจ้าเข้าใจอะไรผิดๆ เดี๋ยวหาว่าพี่ไม่จริงใจ”
“รู้แล้วครับ”
“จริงหรือเปล่า พี่..”
“เจ้าอย่าไปหลงเชื่อนะ เพื่อนพี่มันร้าย เวลามันอยากได้ใครก็พูดแบบนี้แหละ”
“เฮ้ย บัว!!” “บัวมันแซวเล่นนะน้อง” ผมมองผู้หญิงที่ชื่อบัว ไม่มีคำว่าล้อเล่นอยู่ในแววตาคู่นั้น
“ก็จริงของบัว ตอนนี้กูกำลังอยากได้ อยากได้มาก กะว่าถ้าไม่ยอมเป็นแฟนเสียทีจะมอมเหล้าแล้วปล้ำมันคืนนี้แหละ “
“เหี้ยสกาย น้องมันตื่นหมด”
“ทำไงได้วะ กูโคตรหลง นี่ก็ต้องพามาด้วยไม่อยากอยู่ห่าง”
“เหี้ยยยย กูไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่เสียดายเหล้ากูอาเจียนแม่ง หวานฉิบหาย”
“โห น้องเจ้าบอกพี่เปิ้ลนิดสิคะ ทำยังไงผู้ชายรักผู้ชายหลง พี่จะทำกับผัวไม่เอาไหนนี่บ้าง”
พี่เปิ้ลจิ้มนิ้วไปบนหัวพี่ไท ผมเพิ่งรู้ว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน
“เมียจ๋า นี่ก็กราบเช้ากราบเย็นแล้วจะเอาอะไรอีก”
“ฮ่าๆๆ” ผมอดหัวเราะความน่ารักของสองคนนี้ไม่ได้ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง พี่ๆ น่ารักกันดี
เว้นอยู่คนเดียว คนที่ถึงไม่หันไปมองก็รู้ว่าจ้องผมอยู่
ผ่านไปชั่วโมงกว่า ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ไม่ได้อึดอัดใจเหมือนที่นึกกังวลเอาไว้ ผมไม่ค่อยได้พูดอะไร
ได้แต่นั่งฟังคนในกลุ่มรำลึกความหลัง และผลัดกันเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ของแต่ละคนเพื่ออัพเดทชีวิตว่าใครเป็นยังไงกันบ้าง
“เบื่อไหม”
ผมส่ายหน้า เมื่อพี่สกายก้มลงมาถาม
“แต่ขอออกไปโทรหาโต๊ะแป๊บนะครับ บอกไว้ว่าจะโทรไป”
“ไปเถอะ”
ผมลุกเดินออกไปนอกร้าน จะได้คุยกันสบายๆ ไม่ต้องตะโกน
“ได้ยินไม่ผิดหรอก ถึงโทรมาถามนี่ไง ว่ามีใครได้ข่าวสกายบ้างไหม”
ผมชะงัก รีบถอยเข้าไปยืนอยู่ข้างตึก เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู และชื่อที่ผมรู้จัก
“อยู่ๆ มาบอกว่าชอบผู้ชาย มึงคิดว่ากูจะเชื่อเหรอ”
“ใช่ไง กูแค่ไม่รู้ว่าสกายเล่นอะไรอยู่”
“เออ กูมันคิดเยอะ”
“บ้ามึง ห้ามพูดแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ สกายไม่มีทางเบี่ยงเบน อีกอย่างมึงต้องมาเห็นเด็กนี่ เตี้ยๆ อ้วนๆ
หงิมๆ ดูไม่ได้ว่ะ หลุดสเปคสกายอย่างแรง แล้วอย่างนี้จะให้กูเชื่อลงได้ไงวะ สวยๆ หน่อยกูจะไม่ว่าเลย”
“ถ้าจริงเหรอ” ผมไม่สามารถขยับขาได้ จึงยังยืนเสียมารยาทฟังที่อีกฝ่ายคุย
“ก็ดี แบบนี้กูค่อยมีหวัง ถ้าจริงกูก็ภาษีดีกว่าเห็นๆ ไม่แน่กูอาจจะได้สกายมาเป็นของกูซะที”
“เออๆ กูจะเข้าไปแล้ว มึงก็ลองสืบๆ ให้กูหน่อย แค่นี้นะ”
ผมรีบหลบกลับเข้าไปในร้าน รอจนพี่บัวเดินกลับเข้าไปแล้ว ถึงเดินออกมาใหม่
เตี้ยๆ อ้วนๆ หงิมๆ มันก็ถูกแล้ว นั่นล่ะผม
“ทำไมหายไปนาน พี่นึกว่าหนีกลับไปแล้ว”
“แม่ผมโทรแทรกเข้ามา เลยต้องคุยก่อนครับ”
“อืม”
“น้องเจ้านี่หุ่นน่ารักนะ อวบๆ อ้วนๆ หนักเท่าไหร่เหรอ”
“ผมหนัก xx ครับ” ผมตอบแต่โดยดี ถึงจะรู้นัยที่ไม่น่ารักของคำถามก็ตาม
“อุ๊ย!! แล้วอย่างนี้สกายจะอุ้มไหวเหรอ หนักเอาเรื่อง สมัยก่อนน้องเจ้าต้องโดนล้อว่าหมูอ้วนแน่เลย”
“บัว วันนี้ทำตัวไม่น่ารักเลย” พี่เปิ้ลหันไปดุเพื่อน ก่อนหันมาขอโทษผม
“เจ้าอย่าถือเลยนะ สงสัยจะดื่มเข้าไปเยอะ แซวเลอะเทอะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ใช่ แซวกันแค่นี้ทำไมต้องโกรธ บัวก็แค่พูดให้มันครึกครื้น น้องมันจะได้ไม่นั่งเหงา”
“ขอบคุณครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมแกล้งเชื่อในสิ่งที่พี่บัวพยายามบอก
“อุ้มไหวหรือเปล่าตอบไม่ได้ ยังไม่เคยลองอุ้ม ขอลองหน่อยได้ไหมครับ” พี่สกายพูดเสียงดังแถมทำสายตาวิบวับใส่ผม
“โว้ววววววววว”
“อุ้มเลย อุ้มเลย อุ้มเลย”
“เสียงเชียร์ดังจากเพื่อนๆ ที่เหลือ ดูบางคนจะสนุกกับการทำให้ผมเขิน
“พวกนี้แซวไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวหลังก็หักพอดี”
“หรือพี่บัวอยากให้อุ้มพี่มากกว่าละครับ” ผมแซวยิ้มๆ ทำตาซื่อๆ เข้าใส่
“พี่ไม่ได้พูดแบบนั้น” พี่บัวตอบเสียงสะบัด
“สกายถ้ามึงไม่อุ้ม กูจะคิดว่ามึงแค่อำเรื่องน้องมันเล่นขำๆ ว่าไง”
ผมรีบส่ายหัวให้พี่สกาย ร้านนี้คนนั่งเกือบเต็ม ขืนให้พี่สกายอุ้มผมขึ้น ได้เอาปี๊บคลุมหัวเดิน
“เสียใจด้วยว่ะ ที่รักกูไม่ยอมมึงอดเห็น”
“เหี้ย ยิ่งดึกสรรพนามยิ่งเปลี่ยนนะมึง”
“กูไม่เชื่อ ยังไงกูก็ไม่เชื่อ มึงต้องพิสูจน์”
“ให้ทำอะไรว่ามา กูบอกเลยว่าจริงร้อยเปอร์เซ็นต์”
ผมเห็นเพื่อนๆ พี่สกายหันซ้ายหันขวามองหน้ากันคล้ายจะปรึกษา ท่าทางแบบนี้ไม่ดีกับผมเท่าไหร่
ผมก็ต้องคิดแผนเตรียมชิ่งหนีไว้ เห็นท่าไม่ดีคงต้องขอตัวกลับก่อน
“เอางี้ สกายบอกรักน้องต่อหน้าพวกเรานี่แหละห้ามพูดเร็วๆ พูดเบาๆ ด้วยนะ ต้องให้ได้ยินกันทั้งโต๊ะ ว่าไงกล้าหรือเปล่า”
พี่เปิ้ลเสนอหนทางที่นุ่มนวลที่สุด แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ไหวอยู่ดี
“ผมขอไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมาครับ”
“เจ้า อย่าเพิ่งไป ฟังพี่พูดก่อน” เสียงทุ้มหยุดผมเอาไว้
“พี่ชอบข้าวเจ้านะครับ ชอบมาก”
“พี่รักข้าวเจ้า”
“กรี๊ดดดด ช็อตนี้กูตายค่ะ นิพพานมาก” พี่นิดหน่อยกรี๊ดจนพี่ไทที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องเอามืออุดหู
“สกายคนจริงเว้ย เพื่อนกูแมนโคตร”
“น้องเจ้าว่ายังไงคะ จะตอบตกลงไหม”
“น้อยๆ หน่อยเมีย เขายังไม่ได้ขอกันเป็นแฟน ไปขอแทนได้ยังไง”
“อยู่เฉยๆ ค่ะผัว สกายไม่ขอกูขอให้ ว่ายังไงคะน้องเจ้า” พี่เปิ้ลหันมาจี้ผมจริงจัง
“เล่นกันพอหรือยังเสียเวลาดื่ม สกายมันก็เล่นตามน้ำไป ก็รู้ว่ามันท้าไม่ได้ก็ไปท้ามัน”
“คราวนี้กูว่าบัวพูดผิดว่ะ ไม่ใช่เรื่องท้าไม่ท้า เรื่องรักไม่รักต่างหาก ใช่ไหม”
“ใช่ กูไม่ได้ทำเพราะถูกท้า กูบอกวันละสามเวลาอยู่แล้ว เลยพูดได้สบาย”
“ไอ้เหี้ยยย” พี่นนท์ถึงกับอุทานเมื่อเจอคำตอบเพื่อนเข้า
“แต่เจ้าไม่ต้องตอบ อย่าตอบเพราะโดนเพื่อนพี่มันบังคับ พี่รอได้ เมื่อไหร่ก็รอได้”
“ ทำพระเอกนะมึง เดี๋ยวยุให้น้องมันไม่ตอบทั้งชาติแม่งเลย”
“จะใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับข้าวเจ้า”
“ผม.ผม..” ผมเพิ่งมีโอกาสได้พูดบ้าง
โต๊ะพูดว่ายังไงนะ
“ถ้าพี่มันบอกว่าอยู่กับโต๊ะแล้วมีความสุขมากกว่าอยู่กับคนอื่น โต๊ะก็เชื่อ”
“ผมก็ชอบพี่สกายครับ”
“เจ้า”
“ข้าวเจ้า”
ผมก้มหน้างุด อยากจะโทษว่าเป็นเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไป แต่ก็เพิ่งแก้วกว่าๆ ยังไม่ทันออกฤทธิ์อะไรทั้งนั้น
“เฮ้ย กูกับเจ้ากลับก่อนนะ เดี๋ยววันหลังกูเลี้ยงคืนเป็นการขอโทษ”
“อ่า..”
“เออ ไปเหอะ ตามสบายเพื่อน ยินดีด้วย”
“ไปกันเถอะ” พี่สกายจับมือผมดึงให้ลุกจากเก้าอี้ คว้ากระเป๋าแล้วพาเดินลิ่วออกจากร้าน
“เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือเปล่า” พี่สกายถามผมหลังจากที่นั่งรถกันมานาน จนพี่สกายหาที่จอดเงียบๆ ได้
“ผม..”
“พูดเพราะโดนเพื่อนพี่กดดันหรือเปล่า”
“ผม..”
“เจ้าครับ”
“เปล่าครับ”
“อะไรเปล่า เปล่าคือพูดไม่จริง หรือเปล่าไม่ได้โดนกดดัน”
“อื้อ พี่สกายรู้อยู่แล้ว” ผมโบ้ยใบ้ไป ไม่อยากพูดซ้ำใหม่
“พี่ไม่รู้ อยากได้ยินเจ้าบอกพี่เอง ได้ไหมครับ”
“ผมอ้วน” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าเรื่องนี้ได้ยังไง
“หือ? ไม่อ้วน”
“อ้วน”
“แค่อวบๆ เอ้า”
“ผมเตี้ย”
“ดีแล้ว พี่ไม่ชอบแฟนสูง”
“ผมไม่หล่อ”
“เจ้าน่ารัก ไม่รู้เหรอว่าแก้มยุ้ยๆ นี่น่ารักแค่ไหน” พี่สกายเอามือมาบีบแก้มผมสองข้างเบาๆ
“ผมหงิมๆ”
“มายังไง?”
“ผมไม่ใช่สเปคพี่สกาย”
“สเปคกับชอบไม่ชอบ รักไม่รักไม่เกี่ยวกัน”
“พี่สกายสูงหล่อ ผมอ้วนเตี้ย เดินด้วยกันแล้วน่าเกลียด”
“วนกลับมาอีกแล้ว มานี่เลย” พี่สกายเลื่อนเบาะออกก่อนลากผมให้ข้ามไปเบาะที่ตัวเองนั่ง
“อ้วนตรงไหน” พี่สกายอ้อมมือไปรอบเอวผม
“เห็นไหม กอดได้สบายเหลือเฟือ”
“ห้ามคิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าพี่เห็นแล้วไม่ชอบไม่ถูกใจก็คงไม่เข้ามาตามจีบ
ถ้าพี่จีบก็แปลว่าพี่ชอบแบบที่เจ้าเป็นนี่แหละ ถูกไหม”
“ทีนี้ก็ตอบพี่มาว่าเมื่อกี้พูดจริงหรือเปล่า เจ้าชอบพี่จริงใช่ไหม”
ผมเลือกที่จะซุกหน้าลงกับอกหนา ก่อนพยักหน้าสองสามที
“ยอมรับแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะ ไม่ใช่พรุ่งนี้ทำเป็นลืม พี่เอาตายนะบอกไว้ก่อน”
“ขู่จริง”
“กับคนปากแข็งก็ต้องขู่แบบนี้แหละ”
“เจ้าไม่ได้ปากแข็ง....”
“อืม ไม่แข็งจริงๆ ด้วย”
ผมยกมืออุดปากแทบไม่ทัน เมื่อถูกคนที่กอดอยู่โจมตีบนริมฝีปาก ถึงจะแค่ประกบลงมาเบาๆ แล้วถอนออกก็เถอะ
“เป็นแฟนกันแล้วนะ”
“ใครว่า”
“ข้าวเจ้านั่นแหละว่า เมื่อกี้เลย”
“ไม่มี อย่ามาโมเม”
“พี่ชอบเจ้า เจ้าชอบพี่ ใม่ใช่แฟนกันแล้วจะเป็นอะไรครับ หรือจะข้ามไปเป็นผัวเมียเลย”
“ไอ้พี่สกาย” ผมรีบยันตัวออก ตะเกียกตะกายข้ามกลับมานั่งฝั่งตัวเอง ขยับจนชิดประตู
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่วันนี้หรอก”
“วันไหนก็ไม่ใช่” ผมรีบตอบเสียงห้วนใส่
“ก็ดูกันไป ตอนแรกยังบอกไม่รักตอนนี้ยังรักแล้วเลย” ไอ้พี่บ้าเอามาล้อเลียนผม
“ผม..ผมบอกว่าชอบไม่ได้บอกว่ารัก ยังไม่ได้รัก”
“ครับครับ แค่ชอบก็ได้ครับ ยังไม่รักครับ ยังไม่ใช่ผัวเมียครับ แค่แฟน”
“..................”
ผมไม่โต้ตอบด้วยหรอก พูดไปก็มีแต่จะเข้าตัว
“เจ้า”
“......................”
“ดูโน้นสิ พระจันทร์เต็มดวง สวยเชียวเห็นหรือเปล่า”
“....................”
เจ้าเหมือนพระจันทร์นะรู้ไหม อบอุ่น เย็นตา มองแล้วสบายใจ มองได้ไม่รู้เบื่อ”
“......................”
“กลับกันนะครับ”
พี่สกายสตาร์ทรถขับออกไป ไม่กวนผมอีก ปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆ มองพระจันทร์นอกหน้าต่าง
เดี๋ยวนะ
ผมหันขวับไปหาคนขับ ตาเขียวปั้ด
“นี่ว่าผมกลมใช่ไหม ว่าผมกลมใช่ไหม!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
กำลังไล่แก้คำผิดนะคะ ^^
Darin ♥ FANPAGE