ตอนที่ 29 :หายกันแล้วนะ [ข้าวเจ้า ♥ สกาย]“หมู” เสียงหัวเราะคิกคักกับเสียงเรียกแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันหน้าไปทางอื่น ทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ
“อ้วนว่ะ”
“ในรูปว่าแย่แล้วหนักกว่าในรูปอีก”
“อยู่ดีๆ อยากโดนตบปากไหม” เสียงห้วนที่แทรกเข้ามาทำให้การนินทาหยุดลงทันที พี่ของขวัญยืนกอดอกจ้องสาววิศวะ
สี่ห้าคนที่จับกลุ่มนินทากันอยู่
“มาหาสกายหรือเปล่า มาพี่พาไป” พี่ของขวัญเข้ามาคล้องแขนกับแขนผม พาเดินออกไปจากลานหน้าคณะ
“อย่าไปใส่ใจ” เสียงปลอบบอกถึงความห่วงใยของคนพูด ผมหันไปยิ้มให้เพื่อบอกว่าผมสบายดี
แต่ในใจมันหน่วงๆ แบบที่ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“เหนือ สกายไปไหน” พี่ของขวัญถามคนเดียวที่ยังนั่งอยู่
“ห้องน้ำ เจ้ามาเอาชีทใช่ไหม”
“ครับ” ผมตอบรับ ตอนเช้าพี่สกายไปรับผมที่หอ แต่ผมดันหยิบของลงไม่ครบ
“นี่” พี่เหนือยื่นชีทส่งให้
“สกายมันรออยู่ แต่ปวดจนทนไม่ไหว เจ้าจะรอเจอมันก่อนไหม”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมกลัวกลับไปไม่ทันเข้าเรียน”
“อืม เดี๋ยวพี่บอกมันให้”
“ขอบคุณครับ”
ผมขอบคุณพี่เหนือกับพี่ของขวัญ ที่ทำท่าจะตามไปส่งผมหน้าคณะ จนผมต้องบอกว่าผมไปเองได้ไม่เป็นไร
ผมลอบเป่าปากเบาๆ รู้สึกอึดอัด รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกที่มองผม อาจจะเป็นส่วนน้อยมากเสียด้วยซ้ำ แต่พอโดนเข้าไปทีนึง
มันก็อดระแวงไม่ได้ สองสามวันนี้เหมือนเพจจะเล่นหนักขึ้น ขุดรูปผมกับโต๊ะสมัยเข้ามหาลัยใหม่ๆ มาลงเต็มไปหมด
รูปตอนรับน้อง รูปไปค่ายของคณะ เน้นรูปที่ดูแย่ๆ มันพลอยให้ผมรู้สึกแย่ตามไปด้วย
บางครั้งผมก็อิจฉาโต๊ะเอามากๆ โต๊ะดูสบายๆ ตามแบบฉบับของโต๊ะ วันแรกที่รูปเซ็ตนี้เริ่มถูกปล่อย
ผมกำลังนั่งทานข้าวเย็นกันอยู่ โต๊ะขำจนข้าวติดคอ ชี้ชวนให้พี่เหนือดู แถมเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่ เกิดอะไรขึ้น
เท่าที่พอจะนึกได้ แล้วก็พากันหัวเราะสนุกสนาน เหมือนได้รำลึกความหลัง
ผมก็อยากทำอย่างนั้นแต่เห็นรูปแล้วยอมรับว่าไปต่อไม่ถูก โดยเฉพาะรูปที่เพิ่งปล่อยเพิ่มเช้านี้
รูปผมใส่กางเกงนักศึกษาตัวเดียว มีป้ายชื่อห้อยคอ หน้าขาวไปด้วยแป้ง ที่สำคัญพุงที่โผล่ออกมา มันทำให้รู้สึกแย่
ตอนนั้นผมเพิ่งมาจากบ้านใหม่ๆ หุ่นยังอ้วนท้วนสมบูรณ์กว่านี้มาก คงเหมือนคำที่เขาบรรยายใต้ภาพ “fat pig”
ผมไม่เคยเป็นกังวลเพราะรูปร่างตัวเองมาก่อน อ้วนก็คืออ้วน ไม่ใช่ว่าในกลุ่มจะไม่เคยแซวกันเรื่องนี้
ตอนพี่สกายเริ่มเข้าหาผม ผมก็ถามตัวเองว่าเราเหมาะกันไหม ผมอ้วนเตี้ยพี่สกายสูงหล่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปมด้อย
แต่อย่างใด
แตกต่างกับเวลานี้มาก เวลาที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนที่ดูดีกว่า เวลาถูกลงรูปคู่แล้ววงตรงกลางตัวผมด้วยสีแดง
การถูกตอกย้ำบ่อยๆ ทำให้เริ่มคิดเริ่มกังวล สุดท้ายผมก็ติดอยู่กับมัน
“ไม่ต้องไปรอเจ้าเหรอ”
เสียงพี่ต่อ ทำให้ผมหยุดเดิน รู้ตัวอีกทีก็หลบอยู่ชิดผนัง มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลบทำไม
“กลับไปแล้ว เหนือไลน์มาบอก”
“งั้นไปโรงอาหารกัน หิวว่ะ”
“ได้”
“เออ พูดถึงเจ้า มึงเห็นรูปของเช้านี้ยังวะ กูเข้าไปดูมา รูปที่เจ้ามันถอดเสื้อเห็นพุง”
“เห็นแล้ว”
“กูว่าแอดมินเพจเป็นผู้หญิงว่ะ ผู้ชายไม่มาโจมตีกันเรื่องความอ้วนแบบนี้หรอก”
“กูก็คิดแบบนั้น”
“แต่กูว่ารูปน่ารักดี เจ้าเหมือนพรีเซนเตอร์เด็กสมบูรณ์ ขาวๆ อวบๆ ไม่เห็นจะน่าเกลียด มึงว่าไงน่ารักดีใช่ไหม”
“กูไม่ชอบ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนจะรีบเดินย้อนกลับไปทางเดิม ไม่สามารถยืนฟังต่อได้อีกแม้แต่คำเดียว
ไม่ควรคิดจะเดินตามไปห้องน้ำเลย ตัดสินใจผิดจริงๆ
“เป็นอะไรมึง”
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“จะให้กูเชื่อมึงก็หยิบโทรศัพท์มาดูก่อนไหม เสียงเตือนเข้าถี่ขนาดนี้ มึงหยิบดูทีเดียวแล้วไม่หยิบอีกเลย จะให้กูแปลว่ายังไง”
“ทะเลาะกับพี่สกายเหรอเจ้า” โต๊ะชะโงกหน้ามาถาม
“เปล่า”
“ชัดขนาดนี้ยังบอกเปล่าอีกเหรอคะ มึงเคยทำแบบนี้ที่ไหน มีแต่รีบอ่านรีบตอบ” เดซี่คว้าโทรศัพท์ของผมไปดู
“พี่สกายถามว่าจะให้มารับที่คณะกี่โมง”
“มากูตอบให้”
“เดี๋ยว!!” ผมรีบร้องห้ามเมื่อเห็นเดซี่เริ่มจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอ
“ทีนี้จะเล่าได้หรือยัง” ส้มจ้องตาผมนิ่งๆ มองรูปการณ์แล้วคงปิดต่อไปอีกไม่ได้
“กูเข้าใจทั้งสองฝ่ายนะ มันผิดที่มึงไปได้ยินแค่นั้นเอง”
“ทำไมไม่ฟังต่อให้จบว้า ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ มันอาจไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้”
“เท้ามันเดินออกมาเอง” ผมพูดไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าสมองหรือหัวใจที่สั่งให้เท้าก้าวออกมา
“มันก็ไม่ได้ร้ายแรงเปล่าวะ กูก็พูดออกบ่อยว่ามึงน่าจะลดน้ำหนัก กูไม่ชอบให้มึงอ้วน”
“มันไม่เหมือนกัน” ผมก็บอกไม่ถูกแต่มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย
“ก็ตอนนั้นมึงอ้วนกว่านี้เยอะ พี่มันไม่ชอบตอนนั้นก็ไม่ผิดนี่หว่า”
“แล้วถ้าอีกหน่อยเจ้ากลับไปอ้วนเยอะอีก พี่สกายก็จะไม่ชอบใช่ไหม”
“ถามให้โลกแตกก็ไม่รู้คำตอบหรอก โต๊ะว่าเจ้าไปถามพี่สกายเลย ถ้าพี่มันตอบว่าไม่ชอบ ก็ค่อยกลับมาตัดสินใจ
มีสองทางให้เลือก หนึ่งเลิกกับพี่มันซะ กับสองรักษาหุ่นอย่าให้อ้วนกว่านี้ จบ”
“เห็นด้วย” ส้มพยักหน้า
“ไปเถอะ ดีกว่ามานั่งทุกข์ใจ หน้าซีดเป็นผีอยู่นี่”
“อะ กูบอกพี่สกายให้แล้ว ว่ามึงจะไปหาให้ลงมารอ” เดซี่ยื่นโทรศัพท์คืนผม
“เดซี่!!” ผมมัวแต่คุยกับส้มกับโต๊ะ เผลอนิดเดียว เดซี่ส่งข้อความไปเสียแล้ว
“เอาน่า ไปเคลียร์ซะให้จบๆ”
“ตอนเย็นก็ได้ พี่สกายเรียนอยู่”
“โดดสักวันจะเป็นอะไร ไปๆ เดี๋ยวพวกกูรออยู่นี่แหล่ะ ไม่ไปไหนหรอก”
“อืม ก็ได้” ผมยอมเก็บของ สะพายกระเป๋าขึ้นบ่า
“เดี๋ยวโต๊ะเดินไปส่ง” โต๊ะลุกตามผม โอบมือมารอบบ่าก่อนผลักเบาๆ ให้ออกเดิน
“เจ้าเครียดเรื่องเพจแอนตี้นั่นใช่ไหม ไม่ต้องพยายามทำเป็นโอเคหรอก”
“อืม เจ้าอิจฉาโต๊ะ อยากไม่สนใจแบบนั้นได้บ้าง”
“เจ้า” โต๊ะหยุดเดิน หันมามองหน้าผม
เห็นโต๊ะเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าโต๊ะไม่รู้สึกนะ วูบแรกมันต้องโกรธอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่ทำยังไงไม่ให้มันอยู่กับเรา”
“แล้วโต๊ะทำยังไง”
“โต๊ะใช้หนึ่งคาถา ได้ผลชะงัดนัก” โต๊ะออกเดินอีกครั้ง มือยังโอบอยู่รอบบ่า
“หือ? มีด้วยเหรอ ขอมั้งสิ”
“ได้ กำลังจะบอกอยู่นี่ไง คาถานั้นก็คือ หายกันแล้วนะ”
“หายกันแล้วนะ?”
“ใช่ วิธีคิดที่ง่ายที่สุด เรายังนินทาเขาแล้วทำไมเขาจะนินทาเราบ้างไม่ได้ ใช่ว่าเราจะไม่เคยพูดถึงเขาเสียเมื่อไหร่
จะพูดแรงเหมือนกันไหม แสดงออกเท่ากันหรือเปล่า สุดท้ายมันก็คือนินทาอยู่ดี พอตาเราได้ยินบ้างก็แค่คิดว่า
ฉันก็เคยพูดถึงแกเหมือนกันล่ะวะ แล้วก็บอกตัวเองว่า หายกันแล้วนะ แค่นี้ก็ยิ้มออกแล้ว”
“เรื่องนี้มันอาจไม่ตรงเป๊ะ แต่คิดแบบนี้เอาไว้ มันทำให้สบายใจดี คิดเสียว่า เราก็คงเคยนินทาไอ้คนทำเพจมันมั้งละวะ
หรือคิดอีกอย่าง เราก็เคยนินทาคนอื่นแบบนี้ โดนบ้างจะเป็นไร เหมือนเวลาเราไปดูประกวดดาวเดือนคณะ
เรายังนั่งนินทากันเลย ว่าคนนั้นขาโก่ง คนนี้นมใหญ่ ทำไมเราพูดได้แต่ไม่ยอมให้คนอื่นพูดล่ะ จริงไหม”
“จริง” ย้อนกลับไปคิดดู ถึงผมไม่ใช่คนชอบนินทา แต่เรื่องคุยกันในกลุ่มเพื่อนแบบนี้มีอยู่เสมอ
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก พอได้ยินปุ๊บ โกรธปุ๊บ รีบคิดเลย กูก็เคยนินทามึงว่ะหายกัน ดีไหม”
“ฮ่าๆ ดีๆ “ ไม่รู้ตัวเลยว่าผมเริ่มยิ้มออกตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็หัวเราะได้แล้ว
“ทีนี้ก็เหลือเรื่องเดียว เป็นเรื่องที่เจ้าต้องจัดการเอง โต๊ะมาส่งแล้วจะรอรับกลับ ถ้าได้กลับนะ มีอะไรไลน์มาตกลงไหม”
“ตกลง”
“นี่” ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้โต๊ะ
“อะไร”
“เจ้าต้องเซบ่อยๆ ใช่ไหม โต๊ะจะได้ดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนคนอื่น” ผมแซวโต๊ะขำๆ เพราะเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะ
เวลาที่ผมเสียศูนย์และโต๊ะพยายามเข้ามาประคอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเห็นโต๊ะโหมดนี้
“ไม่ต้องก็ได้ โต๊ะไม่อยากแก่ เป็นเด็กดีแล้ว”
“ฮ่าๆ ได้ เจ้าก็จะเป็นผู้ใหญ่เยอะๆ โต๊ะจะได้เป็นคนพึ่งพิงเหมือนเดิม”
“ดีมาก”
“แต่ตอนนี้ไปจัดการปัญหาเถอะ โน้น สงสัยลนจนรอไม่ไหว มารอถึงนี่”
ผมมองตามสายตาโต๊ะ เห็นพี่สกายเดินวนไปมาอยู่ลานหน้าคณะ
“โต๊ะไปรอที่โรงอาหารวิศวะนะ ถ้าเจ้าไม่ตามจะดีมาก”
“ขอบใจ” ผมมองจนโต๊ะเดินไปไกลแล้ว ถึงเดินตรงไปหาคนที่รออยู่
“เจ้า”
“ไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันดีกว่าครับ”
“ไปร้าน little bit ไหม” ร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่หน้ามหาลัย
“ก็ดีครับ”
“ทำไมพี่ส่งไลน์ไปไม่ตอบ” พอสั่งเครื่องดื่มเสร็จ พี่สกายก็เข้าประเด็นทันที
“ตอนนั้นผมยังไม่อยากคุย”
“ทำไมล่ะครับ โกรธอะไรพี่หรือเปล่า ตอนพี่ไปส่งก็ปกติดีนี่นา” คนถามทำหน้าเหมือนกำลังถามตัวเองอยู่มากกว่า
“หรือโกรธที่ไม่รอตอนมาเอาชีท”
“ผมไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นสักหน่อย”
“งั้นโกรธอะไรพี่ครับ” คนนั่งฝั่งตรงข้ามคว้ามือไปจับหน้าตาเฉย ผมต้องรีบมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครมองมา
ถึงโล่งใจ
“ผมนัดออกมาเพราะมีเรื่องอยากจะถาม”
“หือ?” พี่สกายขมวดคิ้ว
“นี่มันชักไม่เข้าท่า ถ้าเป็นเรื่องดีๆ เจ้าคงรอถามพี่ตอนเย็นมากกว่า ถ้าเป็นเรื่องไม่ใหญ่มากคงไลน์หรือโทรถามพี่แล้ว
แต่ขอให้ออกมาระหว่างเรียนแบบนี้ อย่าบอกว่า...”
“ไม่” เสียงห้วน มือที่จับมือผมอยู่บีบแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ
“ไม่อะไรครับ”
“พี่ไม่เลิก ถ้าคิดจะมาบอกเลิกกันก็อย่าหวัง”
“ผมบอกว่ามีอะไรจะถาม นี่ไม่ใช่คำถามเสียหน่อย”
“งั้นเจ้าจะถามอะไรครับ”
ผมยังไม่ทันตอบก็ต้องรีบดึงมือออกเมื่อพนักงานเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มและเค้ก
“ว่าไงครับ” คนใจร้อนถามซ้ำทันทีเมื่อพนักงานเดินออกไปแล้ว
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดหน้าเพจและไปที่รูปต้นเหตุ ก่อนส่งมันให้กับพี่สกาย
“หือ? อ๋อ รูปนี้พี่เห็นแล้วครับ”
“พี่สกายเห็นรูปนี้แล้วคิดยังไงครับ” ผมถามตรงๆ เหมือนที่โต๊ะแนะนำมา
“คิดยังไงเหรอ ก็น่ารักดี สมัยพี่ก็มีรูปแบบนี้เยอะแยะ รับน้องใครไม่มอมบ้าง”
ผมรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที ที่พี่สกายไม่พูดความจริงกับผม ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวคงอยากถนอมน้ำใจผมก็ตาม
“รูปนี้ผมอ้วนมาก”
“ไม่นะ กลมๆ แบบนี้น่ารักดี”
“ทำไมพี่สกายไม่พูดตรงๆ กับผมล่ะครับ” ผมตัดสินใจพูดออกไป ไม่อย่างนั้นที่นัดกันออกมาก็เปล่าประโยชน์
“หมายความว่ายังไงครับ?” ผมอยากจะคิดว่าพี่สกายไม่เข้าใจความหมายคำพูดของผมจริงๆ ถ้าผมไม่บังเอิญไปได้ยิน
พี่สกายพูดเสียก่อน
“พี่สกายไม่ชอบที่ผมอ้วนแบบนั้น”
“หือ? ไปเอามาจากไหน”
“ผมได้ยิน”
“ได้ยิน?”
“ครับ ตอนผมไปเอาชีท ผมเดินไปหาพี่สกายด้วย แต่ไม่ได้ทักเพราะได้ยินที่คุยกับพี่ต่อเสียก่อน”
“ที่คุยกับต่อ?” พี่สกายดูยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ เหมือนนึกสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ออก
“ใช่ครับ พี่ต่อถามว่า รูปนี้ผมน่ารักไหม พี่สกายตอบว่า กูไม่ชอบ” ผมทวนคำที่ได้ยิน
“ผมอาจจะผอมกว่าตอนนั้นลงมาบ้าง แต่ก็มีสิทธิจะกลับไปอ้วนมากเหมือนเก่า ถ้าพี่สกายไม่ขอบ..”
“เจ้า” พี่สกายทอดเสียงเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยน ก่อนย้ายที่นั่งมาฝั่งเดียวกัน
“เจ้าไม่ได้อยู่ฟังให้จบใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“แล้วก็เอาไปคิดเองเป็นตุเป็นตะ ที่พี่ไม่ชอบคือพี่ไม่ชอบที่เอารูปเจ้าเปลือยอกไปลง เรียกว่าโกรธเลยล่ะ
ของแบบนี้พี่ควรเห็นได้คนเดียวหรือเปล่า”
“ผมเป็นผู้ชาย” ผมเริ่มเข้าใจความหมายที่พี่สกายพูด ตอนนี้หน้าหูเลยแดงไปหมด
“แล้วยังไง เจ้าเป็นแฟนพี่ มีสิทธิอะไรเอารูปนั้นมาลง อกขาวๆ พุงขาวๆ สมควรให้ใครมองไหม”
“พี่สกายบ้าไปแล้ว ผู้ชายที่ไหนก็ถอดเสื้อ”
“พูดอย่างนี้แปลว่าจะถอดให้คนอื่นดูอีกใช่ไหม” ตาคมหรี่มองมา ผมว่าคนตัวโตชักหลงประเด็น เลยต้องรีบเบรคไว้ก่อน
“มันใช่เรื่องนี้ที่ไหน”
“ใช่ เรื่องนี้แหละ ก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอครับว่าพี่ไม่ชอบอะไร พี่ก็ตอบอยู่นี่ไง”
“อืม รู้แล้วครับ” ตอนนี้รู้สึกว่าหน้ามันเห่อขึ้นมาทั้งหน้า
“พี่จะตอบให้เคลียร์อีกทีนะ สำหรับคำถามที่เจ้าถามพี่ รูปนั้นน่ารัก คนในรูปก็น่าฟัด เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว
ไม่ได้รู้สึกว่าอ้วนหรือดูไม่ดีอะไรเลย”
“ตอบดีๆ ก็ได้ ตอบอะไรก็ไม่รู้”
“อ้าว!! ฮ่าๆ แล้วพี่ตอบไม่ดีตรงไหน ตรงบอกว่าน่าฟัดเหรอครับ”
ผมต้องรีบเอามือยันหน้าคนที่แกล้งทำเป็นจะฟัดลงมาจริงๆ เผลอเป็นไม่ได้เลย
“พี่สกาย”
ผมหันไปตามเสียงเรียก เห็นน้องพีทยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะ
“ครับ?”
“มาทานเหมือนกันเหรอคะ พีทนั่งด้วยนะ” ยังไม่มีคำตอบรับใดๆ แต่น้องพีทก็นั่งลงทันที
“น้องพีทมากับเพื่อนไม่ใช่เหรอครับ เห็นชะเง้อมองมาแล้ว” ผมอยากจะคิดว่านี่คือคำไล่อย่างสุภาพของพี่สกาย
“ไม่เป็นไรค่ะ พีทนั่งนี่ก็ได้”
“ว่าแต่รู้กันหรือยังคะ ว่ามีเพจแอนตี้พี่เจ้ากับพี่โต๊ะด้วย พีทเพิ่งเห็น รูปดูไม่จืดเลย นี่ไงคะ”
น้องพีทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพจส่งให้พี่สกาย
“ไม่รู้ไปหารูปมาจากไหนกันนะคะ ตล้กตลก”
“พี่เห็นแล้ว รูปอื่นพี่เฉยๆ นะ แต่รูปที่ไม่ใส่เสื้อนี่ไม่ไหว”
“นั่นสิคะ เห็นพุงหราเลย” เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ โดยไม่สนใจสักนิดว่าผมก็นั่งหัวโด่อยู่
“ไม่ใช่ครับ น้องพีทเข้าใจผิดแล้ว ที่พี่บอกว่าไม่ไหว คือคนทำเพจนี่นิสัยไม่ไหว เอารูปแบบนี้ของเจ้าไปลง
ไม่รู้เลยหรือไงว่าแฟนเขาขี้หวง”
“พี่สกาย”
“ใช่ พี่นี่แหละ เห็นแล้วอยากตามไปกระทืบเจ้าของเพจ จะได้รู้ว่าของใครเป็นของใคร คิดจะแตะของๆ พี่ คงไม่อยากตายดี”
“โอ๊ะ” ผมต้องรีบหยิกเข้าที่สีข้าง เตือนเบาๆ ก็ได้ นี่เขาเรียกว่าขู่ทำร้ายร่างกาย
“แหม พี่สกาย คนทำอาจเป็นผู้หญิงก็ได้นะคะ ไม่เล่นแรงไปเหรอ” น้องพีทพูดออกมาหลังจากกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
“อาจจะดูไม่มีเกียรติ แต่ก็ไม่มีกฎห้ามกระทืบผู้หญิงนี่ครับ” รอยยิ้มเย็นๆ ที่ส่งไปทำเอาน้องพีทนั่งไม่ติด
“พี่ว่าจะส่งข้อความไปหาแอดมินเพจอยู่ ว่าให้เลิกแล้วลบเพจทิ้งซะ กะว่าจะให้ทางเลือกสักสองทาง
ลบหรือโรงพยาบาล น้องพีทว่าเข้าท่าไหม เผื่อแอดมินเป็นผู้หญิงจริง พี่จะได้ไม่ต้องตามไปกระทืบให้เสียเกียรติ”
“ดะ..ดีค่ะ พี่ส่งไปก็ดีค่ะ”
“น้องพีทว่าเจ้าของเพจจะยอมลบไหม หรือพี่ควรจะให้เลือกระหว่างลบหรือโลงดี”
“พี่สกาย!! เอ่อ..มุกใช่ไหมคะ คือ..พีทว่าแค่ส่งไปบอกก็คงยอมลบแล้ว”
“มุกสิครับ ใครจะไปฆ่าคนจริงๆ ถ้ากระทืบก็ว่าไปอย่าง”
“ฮะ ฮะ พี่สกายตลกจัง พีท เอ่อ ขอกลับโต๊ะก่อนนะคะ ปล่อยเพื่อนนั่งคนเดียวนานแล้ว”
“เชิญเลยครับ” พี่สกายส่งยิ้มราวกับมองไม่เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
“บายค่ะ” น้องพีทลุกขึ้นได้รีบเผ่นกลับโต๊ะตัวเองแทบไม่ทัน
“เล่นแรงไปแล้วนะครับ ใช่น้องพีทหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ถ้าไม่ใช่ยิ่งไม่เป็นไร เพราะเท่ากับไม่เกี่ยวกับเขา”
“แต่ถ้าไม่ใช่ น้องพีทจะมองพี่สกายไม่ดีนะครับ เดี๋ยวจะนึกว่าชอบทำร้ายผู้หญิง”
“ไม่ดีเหรอครับ จะได้เลิกสนใจพี่เสียที” แววตากรุ้มกริ่มที่เข้ามาใกล้ทำให้คิดได้ว่าควรห่วงสวัสดิภาพตัวเอง
มากกว่าสวัสดิภาพของน้องพีท
“เราเข้าใจกันแล้วนะครับ”
“ครับ” ผมเสไปให้ความสนใจกับกาแฟแก้วโต รีบยกดื่มเพื่อกั้นไม่ให้หน้าของอีกฝ่ายเข้าใกล้กว่านี้
“กลับกันเถอะ ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ไปดูหนังกัน”
“ได้ครับ”
พี่สกายเรียกพนักงานมาคิดเงิน ผมมองไปรอบๆ สายตาไปสบเข้ากับน้องพีท เจ้าตัวสะดุ้งหยุดคุยทันที
“เสียดายน้องพีทไม่น่าใส่แต่กางเกงสั้นๆ มันดูไม่ค่อยดี มาออกค่ายแบบนี้ไม่เหมาะสมสักนิด”
ผมนึกถึงคำพูดของตัวเองที่เคยพูดไว้ตอนไปออกค่ายกับคณะวิศวะ
“หายกันแล้วนะ”
“หือ?” พี่สกายหันมามองหน้าผม เมื่อผมพูดอะไรแปลกๆ ออกไป
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรครับ แค่คิดอะไรขึ้นมาได้ เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ ไปกันเถอะ”
“ไปครับ” พี่สกายยื่นกระเป๋าที่วางอยู่ให้ผม ก่อนลุกออกไปยืนรอ
ผมลุกตามทีหลังเพราะนั่งด้านใน มองคนที่ยืนส่งยิ้มมาให้แล้วอดยิ้มตามไม่ได้
ขอหน่อยแล้วกันนะ ผมยื่นมือออกไปจับมือของคนตัวสูง เจ้าตัวดูแปลกใจมาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่ม
กระชับมือเข้ากับมือของผม หน้าบานจนนึกหมั่นไส้
“มีเพจแอนตี้ก็ดีเหมือนกัน”
เฮ้อ ไม่น่าเลยข้าวเจ้า อยากให้คนที่นั่งอยู่เห็น ดันไปเข้าทางคนข้างๆ แทน
ที่คิดจะจับแค่พ้นประตูร้าน คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
“พี่สกาย มีไลน์เข้าครับ” ผมได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนคอนโซลรถ
“อ่านให้พี่ที” คนขับรถไม่ยอมหยิบเอง ผมเลยต้องหยิบมาดูให้
“ว่าไงครับ” พี่สกายถามเมื่อเห็นผมมองโทรศัพท์แล้วเงียบไป
“พี่เหนือบอกให้เอาทรัมไดรฟ์โปรเจ็คไปให้พรุ่งนี้ด้วยครับ”
“โอเค”
“พี่สกาย” ผมหันข้างไปแทบจะเต็มตัว ยกโทรศัพท์ในมือให้เจ้าของดู
“นี่อะไรครับ”
“ไหน?” พี่สกายหันมามองแว้บนึง ก่อนหันไปมองถนน เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ
“พี่สกาย!!”
“ก็บอกแล้วว่ามันน่ารักดี”
หน้าจอโทรศัพท์พี่สกายเป็นรูปที่ผมเปลือยอก แถมคร็อปเสียใกล้
“ลบเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมจะกระทืบเจ้าของโทรศัพท์ให้ดู” ผมทั้งโกรธทั้งเขิน เอามาตั้งได้ยังไง ใครเห็นอายเขาตาย
“ฮ่าๆ เลียนแบบพี่เหรอ แต่พี่ไม่กลัวนะ ถ้าเป็นเจ้ายอมให้กระทืบ ขออย่างเดียว”
“อะไรครับ”
“ไปกระทืบที่คอนโดพี่ได้ไหม”
“พี่สกายยยยย!!”
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>TBC<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
Darin ♥ FANPAGE