#พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016  (อ่าน 133797 ครั้ง)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
อิพี่เบลอะไรนี่น่ารำคาญชิบ
อิจฉาแบบที่เหล้ารัมพูดละสิ

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
พอเห็นนิสัยเบล แล้ว ก็เข้าใจเลย วาฬกับเบล สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ตอนนี้ทุกคนน่าจะเลิกตามหาเอียนได้แล้วมั้ง ถ้าจะเชื่อใจเหล้ารัมน่ะ  หรือวาฬยังรักเอียนอยู่

ช่วยให้อภัยวาฬด้วยนะครับ
 :mew6:

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เบลนี่เยอะจริงๆ วาฬสู้ๆ

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
ชื่อเรื่องดึงดูว่าเอ๊ะมันจะเป็นยังไง   มีเรื่องน่าสนใจมาให้ติดตามอ่านอีกแล้ว  คนเขียนสู้ๆนะคะมาอัพบ่อย ^^

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 13
{ แ ฟ น }


ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า..คนส่วนใหญ่เขาจะรู้ตัวว่า ‘ชอบ’ ใครสักคนแบบจริงๆ จังๆ ได้ตอนไหนบ้าง?

แต่สำหรับผม.. มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้าวินาทีที่แล้วนี่เอง..

ตึกตัก.. ตึกตัก..

เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยเหมือนกันว่าการนอนหลับฝันจะทำให้รู้ใจตัวเองได้ดีขนาดนี้ ยิ่งเป็นความฝันที่มีไดอาล็อกแปลกๆ ด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่..

“ผมจะตายไปพร้อมกับคุณนะครับวาฬ : )”

นั่นล่ะครับ.. ไดอาล็อกแปลกๆ ที่ว่า.. และคนที่พูดประโยคด้านบนขึ้นมาก็คือเหล้ารัมในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ปล่อยชายทับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม

ใบหน้าเปื้อนยิ้มเปี่ยมสุขของเขาทำให้ผมแทบจะไม่ติดใจอะไรสักนิดกับคำว่า ‘ตาย’ ที่ถูกพูดออกมา ตรงกันข้าม ผมกลับตอบรับกลับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขไม่ต่างกัน

“ตกลงครับ : )”

จากนั้นเหล้ารัมก็เริ่มคว้าเอวผมด้วยมือทั้งสองข้าง พลางกระชับวงกอดให้แน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนผมที่เป็นฝ่ายถูกโอบเอวต้องรีบดันแผงอกกว้างเพื่อหยุดยั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะถ้าไม่ทำอย่างงั้น มีหวังทั้งเขาและผมคงไม่เหลือที่ว่างให้หายใจแน่

“...”

“...”


..ความเงียบขยายตัวเข้าปกคลุมราวกับกลุ่มเมฆที่พยายามบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์.. มีเพียงสายตาของผมกับเหล้ารัมเท่านั้นที่ยังคงส่งผ่านความรู้สึกถึงกัน..

ตึกตัก.. ตึกตัก..

ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะรู้สึกยังไง หมายถึง..ถ้านี่คือความจริงไม่ใช่ความฝัน สายตาของผมจะส่งผลอะไรกับเขามั้ย? แต่สำหรับผมแล้ว การที่เขามองมาแบบนี้มันทำให้ผม..เขินนะ ถึงขนาดที่พอถึงจุดนึง ผมต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาเขาเลยด้วยซ้ำ.. แต่คนตัวสูงกว่ากลับไม่ยอมง่ายๆ เขาคลายมืออีกข้างนึงออกจากเอว..พร้อมกับช้อนปลายค้างให้ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง..

ทั้งสัมผัส.. ทั้งการจับจ้อง.. ราวกับต้องการจะหลอมละลายผมทั้งเป็น!

“เหล้ารัม...”

ผมพยายามจะเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อพูดอะไรสักอย่างกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าทุกถ้อยคำกลับจางหายไปแทบจะในทันทีที่เหล้ารัมโน้มใบหน้าลงมา..

“...”

“...”

ตึกตัก.. ตึกตัก..


ใช่.. ผมรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร และผมก็โอเคที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้น (แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม) แต่รู้อะไรมั้ย มันน่าอายเหมือนกันนะที่เห็นว่าตัวเองช่วยอีกฝ่ายโดยการโอบรั้งรอบคอเค้าแบบนั้น แถมยังเงยหน้าขึ้นเพื่อให้องศาปากของเราทั้งคู่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถลงมาบรรจบกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะอีกต่างหาก

เรียกว่ารู้ถึงไหน แรดถึงนั่น!

“อ๊ะ!”

แต่ยังไม่ทันที่จะได้แรด เอ้ย! มะ..หมายถึง..ยังไม่ทันที่ผมกับเหล้ารัมจะได้จูบกันด้วยซ้ำ ผมก็ดัน...ตื่นขึ้นมาซะได้!

บ้าเอ้ยยยยยย! ทำไมตื่นอะ ทำไมวะ ทำม๊ายยยย~ ทั้งที่ในเมื่อก็ไม่ได้มีอะไรมาทำให้สะดุ้งจนตื่นเลยสักนิด!?

เหมือนแค่อยากตื่นก็ลืมตาขึ้นมาแบบนี้เนี่ยนะ!? โอ๊ยยยยยย~ เสียดายอะ! กำลังจะจูบกันอยู่แล้วแท้ๆ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ประมาณครึ่งคืบเอง แต่ทำไมจู่ๆ ผมถึง... เฮ้ยเดี๋ยว..!? นี่ผมเป็นอะไรไปวะ?

หงุดหงิดที่..ตัวเองไม่ได้จูบกับเหล้ารัม (ในฝัน) เนี่ยนะ!?

บะ..บ้าไปกันใหญ่แล้ว!

ตึกตัก.. ตึกตัก..

แล้วนี่อะไรอีกล่ะ ไอ้หัวใจบ้า! จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาเฉยเลยเนี่ยนะ!? โอ๊ยยยย ตายๆ ให้เกียรติกันบ้างเซ่!

ตึกตัก.. ตึกตัก..

ยัง ยังไม่หยุดเต้นแรงอีก! พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล้ารัมทีไร แกจะต้องเต้นผิดจังหวะให้ได้ทุกครั้งเลยใช่มั้ย!?

ตึกตัก.. ตึกตัก..

เอาเลย เอาให้เต็มที่ ใครจะไปห้ามแกได้ล่ะ ยังไงกับเหล้ารัมน่ะ แกก็เต้นผิดจังหวะมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่!

ตึกตัก.. ตึกตัก..

“...”

เอ่อ.. นั่นสินะ จะว่าไป.. ผมเองก็ใจเต้นแรงกับเหล้ารัมมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วนี่?

อย่างตอนที่เขาเดินเข้ามาหาตอนนั้น.. แค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเขา ก็ทำเอาหัวใจผมเต้นผิดจังหวะแล้ว

แล้วไหนจะตอนที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ (ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ) เพื่อย้ำในสิ่งที่ตัวเองพูดอีก..

“ผมชอบคุณนะครับวาฬ : )”

ตึกตัก.. ตึกตัก..


..มันยิ่งทำเอาผมใจเต้นแรงเข้าไปใหญ่เลย!

ทั้งที่จริงๆ ตอนนั้นผมเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใจเต้นแรงเลยสักนิด ก็แค่..พ่อมดแปลกหน้าหนึ่งคนที่เดินเข้ามาบอกว่าชอบ ตามสัญชาตญาณมนุษย์แล้วควรจะระแวงด้วยซ้ำ แต่นี่อะไร? พออีกฝ่ายบอกชอบปุ๊บ หัวใจก็เต้นแรงปั๊บ

ราวกับว่า.. เขาคือคนที่เกิดมาเพื่อทำให้ผมใจเต้นผิดจังหวะยังไงยังงั้น!

ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็ไม่มีใครอื่นแล้วที่ทำให้ผมหัวใจเต้นผิดจังหวะได้มากมายเท่าเขา ถึงขนาดที่ว่า..แค่คิดถึงเขาอยู่ในขณะนี้...

ตึกตัก.. ตึกตัก..

...หัวใจเจ้ากรรมที่กำลังตั้งท่าจะลดระดับความเร็วแรงลง ก็เริ่มทำงานผิดเพี้ยนขึ้นมาอีกแล้ว..

ตึกตัก.. ตึกตัก..

จนกระทั่งในช่วงจังหวะนึง... “เดี๋ยวนะ..” จังหวะที่ความรู้สึกและการรับรู้บางสิ่งบางอย่างแล่นตรงเข้าสู่หัวใจแบบฉับพลัน..! ผมที่เอาแต่นอนมองเพดานและเวิ่นเว้ออยู่กับตัวเองก็ถึงกับต้องลุกขึ้นนั่งในความมืด เพราะรู้สึกว่าไม่สามารถนอนนิ่งๆ ได้อีกต่อไป พลางคว้าเจ้าปิกาจูตัวที่อยู่ใกล้สุดมากอดไว้แน่น..เพื่อลดทอนผลกระทบของสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในหัวใจ.. มะ..มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ งั้นหรอ? นี่ผม.. “นี่เราชอบเหล้ารัมขึ้นมาจริงๆ แล้วหรอเนี่ย?”

ถึงแม้ว่าคำถามที่หลุดออกจากปากจะไม่ได้เสียงดังอะไรมากมายนัก แต่แค่ความเงียบของเวลากลางคืนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมได้ยินเสียงของตัวเองอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น.. จนภาพฝันช่วงก่อนหน้าไดอาล็อกแปลกๆ จะหวนคืนกลับมา..

“คุณชอบผมรึเปล่าวาฬ : )”

ใช่.. ผมยอมรับผิดที่เล่าข้ามไป.. เพราะจริงๆ แล้วไอ้เจ้าความฝันที่ว่าน่ะมันเริ่มต้นขึ้นจากคำถามนี้ พร้อมกับภาพตรงหน้าที่งดงามเสียจนผมบอกกับตัวเองอยู่ในใจว่า งานนี้คงไม่มีทางลืมได้ลงแน่..

เพราะว่ามันคือภาพของเหล้ารัมที่กำลังหยักยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ (ภายหลังจากที่ถามคำถามด้านบนแล้ว) ในขณะที่ฉากหลังของเขานั้นเป็นท้องฟ้าที่กำลังไล่ละดับสีสวยงามตามการจากลาของดวงอาทิตย์ พร้อมทั้งสาดส่องแสงสีส้มไปทั่วทุ่งดอกหญ้าที่รายล้อมอยู่รอบกาย..

ผมรู้นะว่าคำถามของคนตรงหน้าไม่ต่างจากคำถามที่คุณปู่ถามในห้องประชุมตระกูลเลยสักนิด ซึ่งก็น่าจะเป็นผลพวงจากการเก็บเอามาฝันอีกที แต่คำตอบกลับต่างกันลิบลับ เพราะว่าในฝันน่ะ..

“ชอบครับ : )” ..มันทั้งสั้นและชัดเจนกว่ากันมาก

จนผมเพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนี้เอง ว่าสิ่งที่ตอบคุณปู่ไปด้วยความไม่มั่นใจนั้น มันก็คือคำว่า ‘ชอบ’ ไม่ผิดแน่!

กึก..

ทันทีที่รู้ใจของตัวเอง ผมก็รีบหันไปควานหาไอโฟนบนหัวเตียงด้วยหัวใจที่กำลังพองโต จนเผลอปัดนั่นโดนนี่ล้มระเนระนาดไปหมด แต่ไม่เป็นไร ไว้ค่อยเก็บก็แล้วกัน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คือผมอยากจะโทรหาใครสักคนเพื่อบอกความรู้สึกที่มีในใจ เมื่อรู้สึกว่ามันมากมายจนล้นทะลักออกมาแบบนี้ ก็คงจะไม่สามารถเก็บเอาไว้แค่คนเดียวอีกต่อไปได้

และตัวเลือกแรกสำหรับผมก็คือ ‘แม่’ ถึงแม้ว่าอาจจะแปลกๆ หน่อยที่ต้องโทรไปพูดให้แม่ฟังว่าผมกำลังชอบเหล้ารัม แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมตระกูล พ่อกับแม่ก็เริ่มจับเข่าคุยกับผมและเหล้ารัมแบบจริงๆ จังๆ ซึ่งประเด็นหลักที่ท่านย้ำเกือบสิบรอบก็คือ ’ถ้าต่างฝ่ายต่างชอบกันจริงๆ พ่อแม่ก็จะสนับสนุนเต็มที่’ เพราะนอกจากจะเป็นผลดีต่อตัวผมมาตั้งแต่เริ่มต้นพันธะสัญญาแล้ว พ่อกับแม่เองก็เริ่มชอบเหล้ารัมขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ก็นะ คนดีอย่างเขา จะไม่ให้ชอบได้ไงกันล่ะ จริงมั้ย? ดังนั้นหากคำสาปสิ้นสุดลง แล้วอยากจะอยู่ด้วยกันต่อไปหรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านทั้งสองพร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่

แต่พอแสงของหน้าจอสว่างขึ้น ความคิดเรื่องโทรหาแม่ก็เป็นอันต้องพับเก็บไปในทันที เพราะว่าตอนนี้หน้าจอกำลังโชว์ว่าเป็นเวลาตีหนึ่งสิบสามนาที ซึ่งป่านนี้แม่คงหลับไปนานแล้วแหละ

อืม.. งั้นคงต้องเปลี่ยนเป็นตัวเลือกที่สองสินะ..

(โทรมาดึกขนาดนี้ ไม่คิดว่ากูจะนอนแล้วบ้างหรอวะวาฬ)

ไอ้เอกนั่นเองที่เป็นตัวเลือกที่สองสำหรับผม แต่ดูท่าว่า..ผมจะโทรมาผิดเวลาแฮะ

“อ้าว มึงนอนแล้วหรอ โทษทีว่ะ งั้น..เดี๋ยวพรุ่งนี้กูค่อยโทรมาใหม่ ฝันดีนะ”

(ฝันดีอะไร กูยังไม่ได้นอนเลย)

“อ้าว” สอง ‘อ้าว’ ละนะ นี่สรุปว่าตอนที่รับสายนี่คือมันถามผมไปอย่างงั้นเองใช่มั้ยเนี่ย?

แล้วเล่นถามมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามสไตล์ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เห็นหน้ากันแบบนี้ ต่อให้สนิทแค่ไหนก็แยกแยะไม่ออกเหมือนกันนะครับไอ้คุณเพื่อน

(จะอ้าวอะไรนักหนา มีอะไรก็พูดมาสิ)

“เอ่อ..” นี่ผมเลือกคนโทรหาถูกคนหรือเปล่าวะเนี่ย? “มึงทำไรอยู่” แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ก็โทรมาแล้ว ลองคุยดูก่อนคงไม่เสียหายอะไร ยังไงถ้าหลุดจากมันไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะโทรหาใครแล้วแหละ

(ชักว่าว)

“เชี่ย!”

(ตกใจอะไรขนาดนั้นวะ กูล้อเล่นเว่ย ใครจะรับสายเพื่อนตอนกำลังว่าววะ) แล้วไอ้เอกก็หัวเราะลั่น จนผมต้องถามย้ำอีกครั้ง เพื่อให้ข้ามเรื่องใต้สะดื้อนี้ไป

“แล้วนี่ตกลงมึงทำไร”

(อืม.. ถ้าก่อนหน้าจะรับสายมึงก็คุยกันแฟนว่ะ พอดีปรับความเข้าใจกันแล้ว เลยสวีทกันทางโทรศัพท์หน่อย)

“อ๋อ ดีแล้ว ว่าแต่..นี่กูไม่ได้โทรมากวนมึงกับแป้งนะ?”

(กวนเหี้ยไร เพื่อนสำคัญกว่าแฟนเสมอครับ) เออดี คิดแบบนี้ได้ก็ดี แต่มึงอย่าไปเผลอพูดให้แป้งได้ยินล่ะ ไม่งั้นคงได้ทะเลาะกันอีก รายนั้นยิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย (ว่าแต่มึงเถอะ โทรมาดึกดื่นขนาดนี้ มีอะไรวะ)

“คือ...” ตอนก่อนโทรมาก็กะพูดเต็มที่เลยนะ แต่ไหงพอคุยกับไอ้เอกจริงๆ แล้วมันพูดไม่ออกก็ไม่รู้

(คืออะไร?)

แต่ผมก็ไม่มีทางเรื่องมากน่ะนะ ขืนยังลีลา อึกอักๆ ไม่เลิก มีหวังไอ้เอกได้ระเบิดใส่แน่ “คือ.. กูมีเรื่องอยากระบายว่ะ”

(เรื่องไอ้เหล้ารัมหรอ?)

“เชี่ยยย มะ..มึงรู้ได้ไง!?”

(กูใครครับ กูเอกเพื่อนสนิทมึงนะ มีอะไรบ้างที่กูไม่รู้)

เอ่อ.. อย่างน้อยๆ มึงก็ไม่รู้ว่าครอบครัวกูเกี่ยวข้องกับพ่อมดแม่มด และกูก็กำลังจะตายน่ะนะ

แต่ก็เอาเถอะ ยังไงซะ สำหรับคนเป็นเพื่อน ไอ้เอกก็คือคนที่รู้เรื่องของผมดีที่สุดจริงๆ นั่นแหละ “คือ...กูคิดว่า...กูชอบเหล้ารัมว่ะ” เพราะฉะนั้น มันก็ควรที่จะได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย

(อะไรนะ?) แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไม่ชัดแฮะ

“กูบอกว่า..กู-ชอบ-เหล้า-รัม” ผมเลยต้องพูดเสียงให้ดังขึ้น โดยเน้นแบบพยางค์ต่อพยางค์ ก่อนที่..ริมฝีปากจะเผลอยิ้มออกมาเองแบบอัตโนมัติเมื่อประโยคจบลง : )

ซึ่งผลก็คือ.. (อะไร นี่มึงเพิ่งจะรู้ตัวหรอวะวาฬ คนอื่นเขามองออกกันเป็นชาติแล้วนะ) ไอ้เอกหาได้มีความประหลาดใจไม่ ตรงกันข้าม มันกลับเป็นฝ่ายที่ทำให้ผมประหลาดใจเสียเอง

“จริงดิ!?” นี่สรุปว่าผมรู้ตัวช้าหรอวะเนี่ย!?

(เออ กู หลิว ไอ้บอยสังเกตกันมาตั้งนานละ ตอนแรกพวกกูก็คิดว่าไอ้เหล้ามันจีบมึงชอบมึงอยู่ฝ่ายเดียว แต่พอผ่านมาสักพัก กูก็เริ่มเห็นได้ชัดว่ามึงเองก็ชอบมันเหมือนกัน)

“ยังไงวะ?”

(คืออย่างแรกเลยนะ เวลาที่มึงอยู่กับมัน เคยสังเกตมั้ย ว่านอกจากที่มันจะไม่เคยละสายตาจากมึงแล้ว มึงเองก็แทบจะไม่ละสายตาจากมันเหมือนกัน) ผมเริ่มคิดตามในสิ่งที่เอกพูด.. แล้วก็พบว่ามันคือเรื่องจริง! เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงผมจะชอบพูดว่าเหล้ารัมมักจะมองผมอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกัน ผมจะรู้ได้ไงว่าเขามองมาตลอด ถ้าผมไม่ได้มองอีกฝ่ายเหมือนกัน ถูกมั้ย?


"เอ่อ...จริงว่ะ"

(นั่นไง แล้วอีกอย่างนะ ปกติคนอย่างมึงร้อยวันพันปีเคยให้ใครเข้ามาในชีวิตบ้าง? จำพี่เจ๋งเมื่อปีก่อนได้มั้ย ที่ตอนนั้นเขาทำดีกับมึงแทบจะทุกอย่าง หาทางมาคอยตามจีบสารพัด แต่แล้วสุดท้ายเป็นไง จนพี่เค้าเรียนจบก็ยังไม่มีโอกาสได้จับมือมึงเลยสักครั้ง โหดสัสมั้ยล่ะ)

"ก็กูไม่ชอบพี่เขานี่หว่า" แต่นึกแล้วก็อดสงสารไม่ได้ จะว่าไปกับพี่เจ๋งนี่ผมก็ใจแข็งมากเลยนะ เรียกว่าไอ้ทฤษฎี 'ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก' ไม่สามารถนำมาใช้กับผมได้เลยในตอนนั้น แถมผมยังบอกชัดเจนเลยด้วยว่า.. "พี่เจ๋งครับ ผมว่าพี่..อย่าพยายามอีกเลยนะ" ก็เลยทำให้อดีตเดือนวิศวะที่ทั้งหล่อและนิสัยอย่างพี่เจ๋งต้องยอมแพ้ไปในที่สุด..

พร้อมกับสเตตัสเฟซบุ๊คสุดพีคแห่งปี ที่ทำเอาผมโดนสาปแช่งด้วยถ้อยคำหยาบคายจากสาวๆ ค่อนมหา'ลัย..

Jeng Pawit
วาฬบอกว่า 'อย่าพยายาม' แม้พี่จะพยายามเท่าไหร่.. ทุกอย่างนั้นคือความฝันที่พี่ฝันไป สุดท้ายวาฬมองไม่เห็นค่าพี่เลย.. #ยกธงขาว #ลาก่อนความรัก


นั่นล่ะครับความดราม่า.. แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ น่ะนะ ในเมื่อหัวใจผมมันบอกว่าพี่เจ๋งไม่ใช่คนที่ใช่ แล้วจะไปฝืนมันได้ยังไงกัน

(ไหนจะไอ้น้องตุ่นสมัยมอปลายอีก) โห นี่เล่นย้อนไปซะสมัยกางเกงนักเรียนขาสั้นเลยหรอวะเนี่ย (น้องเค้าแม่งคอยโทรปลุกมึง ส่งน้ำเต้าหู้สื่อรักให้มึงทุกเช้า แล้วสุดท้ายมึงบอกเขาไปว่าไงจำได้มะ)

"เอ่อ.. พี่ชอบน้ำเต้าหู้นะ แต่พี่ไม่ได้ชอบน้องว่ะ" แต่ถึงจะผ่านมานานหลายปี ผมก็ยังคงจำในสิ่งที่ตัวเองพูดได้เสมอน่ะนะ

แล้วก็เพราะน้องตุ่นเนี่ยแหละที่ทำให้ผมตัดสินใจบอกพี่เจ๋งว่าเลิกพยายามซะ เพราะก่อนหน้านี้ผมพลาดเองที่ปล่อยให้ตุ่นทำนั่นทำนี่ให้โดยไม่ว่าอะไรสักคำ จนสุดท้ายกลายเป็นว่าอีกฝ่ายคิดว่าผมไปให้ความหวังน้องเค้า เกิดเป็นดราม่าไปอีกกว่าจะจบเรื่องจบราวกันได้ (ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นก็มีคนสาปส่งผมเยอะเลยเหมือนกัน) ดังนั้นตอนเคสพี่เจ๋งก็เลยต้องรีบเอาบทเรียนที่ได้จากตุ่นมาใช้ จะได้แบบว่าเจ็บทีเดียวแต่ตัดจบกันไปเลย..

(นั่นไง สวยเลือกได้ไปอีก นี่ถ้าเกิดว่ามึงเป็นผู้หญิงแล้วลองเล่นตัวมากๆ แบบนี้นะ มีหวังคงโดนผู้ชายสายโหดดักฉุดไปปล้ำแหง เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนี้..ผู้ชายแม่งก็ถูกปล้ำได้แล้วนี่หว่า?)

"พอเลยๆ อย่ามาลากกูลงเรื่องใต้สะดือครับ"

(จ้ะ ไอ้คนใส ไอ้คนบริสุทธิ์) ไอ้เอกมีการกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงปกติดังเดิม (แต่ก็นั่นแหละ ที่กูจะพูดก็คือ ไม่ว่าใครต่อใครจะพากันเข้ามาในชีวิตมึงกี่คนต่อกี่คน ก็โดนปฏิเสธหมดทุกราย จนกูคิดว่ามึงแม่ง..เป็นคนที่ไม่ได้มีหัวใจไว้รักใครชัวร์)

"..."

(แล้วนี่อะไรวะ พอเป็นไอ้เหล้าเท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกทีพวกมึงก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว จะด้วยเหตุผลอะไรกูก็ไม่รู้หรอกนะ แต่จากที่กูเห็น เหล้ารัมคือคนที่มาได้ไกลที่สุด ไม่สิ เรียกว่าไม่มีเคยมีใครก้าวมาในทางเดียวกับมันได้เลยด้วยซ้ำ แถมมึงก็ดูจะเต็มใจและก็มีความสุขดี แบบนี้ไม่เรียกว่าชอบก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว)

"..."  จะว่าไป.. ประเด็นนี้เป็นอะไรที่ต้องขอเวลาคิดนานกว่าประเด็นแรกนะ ในเมื่อ.. สิ่งที่เอกยังไม่รู้และคงจะไม่มีวันได้รู้ก็คือ..ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเหล้ารัมมันไม่ใช่อะไรที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรก.. แต่เป็นเพราะว่าเราสองคนต้องมาทำพันธะสัญญากัน ถึงได้ทำให้อีกฝ่ายสามารถเข้ามาในชีวิตผมได้มากขนาดนี้

ซึ่งคำถามคือ..แล้วถ้าไม่มีเรื่องของพันธะสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องล่ะ เหล้ารัมจะยังเป็นคนที่มาไกลที่สุดแบบนี้มั้ย?

(เงียบเลย คิดอะไรอยู่วะ)

"กำลังคิดหาเหตุผลว่ะ ว่าทำไมกูถึงได้ชอบเหล้ารัม และปล่อยให้เขาเดินมาได้ไกลขนาดนี้) มันเป็นเพราะว่ากูชอบเขาจริงๆ หรือเป็นเพราะผลประโยชน์ระหว่างเรากันแน่?

แต่ในทันทีที่ฟังผมพูดจนจบ ปลายสายก็แค่นหัวเราะกลับมา ก่อนจะเริ่มพูด (ถ้าให้กูแนะนำมึงนะวาฬ กูว่าเรื่องแบบนี้แม่งต้องตัดเหตุผลทิ้งไปว่ะ)

"ตัดเหตุผลทิ้ง?" งั้นหรอ?

(ใช่ มึงต้องตัดเหตุผลทุกอย่างทิ้งไปซะ เพราะว่าไอ้เรื่องของความรู้สึกเนี่ย ถ้ามึงอยากจะรู้ให้ชัดเจนล่ะก็ คงต้องใช้แค่ใจล้วนๆ เลยว่ะ)

"..."

ใจล้วนๆ.. อย่างงั้นหรอ?

โอเค.. ในเมื่อก็ไม่ได้เสียหายอะไร งั้นผมจะลองใช้วิธีของไอ้เอกดู นั่นคือผมจะทำการตัดทุกเหตุผลที่ทำให้ได้มีโอกาสมาอยู่ใกล้ชิดกับเหล้ารัมอย่างทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคำสาป เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สอง รวมถึง..เรื่องที่ผมจะได้มีชีวิตอิสระจากพ่อและแม่เมื่อได้ย้ายมาอยู่กับเขาด้วย ผมจะตัดทุกอย่างที่ว่ามานี้ทิ้งไปเลย แล้วมาดูกันซิ ว่าผมจะเหลืออะไรบ้าง…

ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..


/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
เชี่ย!!

ขะ..ขอโทษนะครับที่ต้องหยาบคาย ผมแค่..ไม่คิดว่าพอตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหตุและผลออกไปหมดแล้ว จะทำให้เหลือเพียง 'สิ่งที่ทำให้ผมใจเต้นแรงฉับพลัน' แบบนี้!

(นี่มึงหลับคาสาย หรือว่ากำลังคิดตามที่กูพูดอยู่วะเนี่ย?)

"ยังๆ กูยังไม่หลับ แต่กูกำลังใช้วิธีที่มึงบอก และแม่งได้ผลมาก!" ซึ่งไอ้เอกก็น่าจะเชื่อเลยแหละว่าได้ผลจริง เพราะจากน้ำเสียงนอยด์ๆ ของผมก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นน้ำเสียงตื่นเต้นแบบที่ไม่สามารถจะควบคุมได้!

จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาเหล้ารัมเป็นผู้ชายที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงบ่อยมาก จนใครหลายคนอาจจะรู้สึกว่า..ก็เป็นเรื่องปกตินี่ แต่ไม่ครับ มันไม่ปกติ ผมบอกได้เลยว่าครั้งนี้มันต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ มาก เพราะนี่เป็น 'ครั้งแรก' ที่ผมได้รู้แล้ว ว่าการเต้นแรงนั้นไม่ใช่แค่การหวั่นไหวทั่วไป แต่มันเกิดจากความรู้สึกภายในของเจ้าของหัวใจ ที่ได้รู้ว่าตัวเองนั้น 'ชอบ' ผู้ชายที่ชื่อเหล้ารัมอย่างไร้ข้อกังขาแล้วจริงๆ : )

(งั้นหรอ กูดีใจด้วยแล้วกันนะ)

"โอเค ขอบคุณมากนะเอก มึงช่วยกูได้เยอะจริงๆ งั้น..กูไม่กวนละ ไว้คุยกัน" พอได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเรียบร้อยแล้ว (แถมยังได้ไอ้เอกช่วยบอกวิธีการดีๆ อีก) ผมก็ตักสินใจตัดบทสนทนาเพียงเท่านี้ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะรบกวนมันแล้ว

(เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ) แต่ปลายสายกลับห้ามไว้ เหมือนว่ามีเรื่องอยากจะพูดต่อ (นี่มึงโทรมาเพื่อจะบอกกูแค่นี้เนี่ยนะ?)

"เอ่อ.. ใช่ แค่เนี้ยแหละ" ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองทำถูกหรือเปล่า?

(แล้วมึงมาบอกกูทำไม?)

ผมถึงกับขมวดคิ้วเลยเมื่อได้ยินคำถามจากเอกที่ราบเรียบเสียจนเดาอารมณ์ไม่ถูก "ทำไมวะ ก็มึงเป็นเพื่อนกู กูก็อยากบอกความรู้สึกพวกนี้ให้มึงรู้ไง หรือว่า..ไม่ได้วะ?"

(ไอ้ได้น่ะได้ แต่แค่อยากจะให้มึงรู้ไว้ ว่าการที่มึงเอาเรื่องนี้มาบอกกู มันไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอกนะ โน่น ไอ้เหล้าต่างหากคือคนที่มึงควรจะไปบอกความรู้สึกให้มันรู้)

"..."

(แค่นี้ล่ะ)

"อะ..โอเค"

พอได้ยินคำตอบรับจากผม เอกก็วางสายไปทันที ทิ้งให้ผมอยู่กับเสียงหัวใจตัวเองที่ยังคงเต้นแรง ในขณะที่สองข้างแก้มก็ร้อนผ่าวเสียจนต้องคว้าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมากอดไว้..

นี่แค่เรื่องที่ทำให้รู้ใจตัวเองก็เขินจะแย่แล้วนะ ถ้าขืนเอาไปบอกเหล้ารัมอีก..มีหวังผมเขินจนตัวแตกแน่!

"ปิกาจู~ พี่ควรบอกเขาดีมั้ย หรือไม่ควรดี?"

ด้วยความสับสนที่ก่อกวนใจ ผมเลือกถามเจ้าปิกาจูตัวที่กำลังเอามากอดไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา นอกจากใบหน้ายิ้มแย้มของมัน

"..."

ก็นะ มันเป็นตุ๊กตานี่ จะมาตอบอะไรผมได้ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ควรจะตอบตัวเอง ว่าควรจะเอายังไงกันแน่?

อืม... นั่นสิ เอาไงดีนะ?

อืม... อืม... อืม... โอ๊ยยยยยย พอเถอะ คิดไปตอนนี้ก็คิดไม่ออกหรอก ผมว่าผมไปหาน้ำเย็นๆ ดื่มเพื่อดับความร้อนในใจดีกว่า!

แอ๊ดดดด~

คิดได้ดังนั้น ผมก็ตัดสินใจลุกออกจากห้องนอนทันที โดยมีจุดมุ่งหมายก็คือโซนครัวของห้อง

พรึบ!

ทว่า.. ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปถึงครัวด้วยซ้ำ สายลมแรงที่พัดจนผ้าม่านปลิวก็ดึงดูความสนใจของผมเอาไว้ซะก่อน..

แล้วพอหันไป ก็พบว่าประตูระเบียงซึ่งเป็นกระจกบานเลื่อนกำลังเปิดกว้างอยู่ เผยให้เห็นแผ่นหลังของเหล้ารัมที่กำลังยืนเท้าแขนอยู่ตรงขอบระเบียบ

มันเลยทำให้ผมเกิดคำถามขึ้นมาในใจอีกแล้วว่า..ควรเดินไปกินน้ำ หรือว่าควรจะเดินไปหาเขาก่อนดี?

ในเมื่อตอนนี้แค่เห็นแผ่นหลังเขาก็ทำเอาเลือดในกายผมสูบฉีดไปหมดแล้ว เลยไม่แน่ใจว่า..ถ้าเดินเข้าไปคุยตอนนี้ จะเผลอหลุดเขินต่อหน้าอีกฝ่ายหรือเปล่า?

"เหล้ารัม" ทว่าสุดท้าย ปากมันก็หลุดเรียกชื่อเขาออกไปจนได้ ส่งผลให้ร่างสูงหันกลับมาหาด้วยความตกใจนิดนึง ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา..

"ยังไม่นอนหรอครับ" เหล้ารัมเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามเมื่อผมเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆ

"นอนแล้วครับ แต่พอดี.. เอ่อ.. ผมหิวน้ำ ก็เลยลุกขึ้นมากินน่ะครับ"

"อ๋อ แล้วนี้ได้กินน้ำหรือยังครับ"

"กินแล้วครับ" แน่ล่ะว่าผมโกหก แต่ทำไงได้ ขืนบอกไปว่ายังไม่ได้กิน เดี๋ยวอีกฝ่ายก็เป็นเดือดเป็นร้อนอีก

"งั้นก็ดีครับ : )"

"แล้วคุณล่ะครับ ทำไมถึงยังไม่นอน?"

"ผมนอนไม่หลับน่ะครับ พอดีว่า..คำตอบขอบคุณมันรบกวนจิตใจผมเหลือเกิน" ทันที่ได้ยินประโยคนี้ของเหล้ารัม ผมที่กำลังมองวิวด้านล่างอยู่ ก็ถึงกับต้องหันไปมองหน้าคนข้างๆ

ซึ่งปกติเขาจะต้องหันมายิ้มให้ผมแล้ว แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะเหล้ารัมยังคงมองลงไปที่วิวด้านล่าง..

"คำตอบของผม? ตอนไหนกันครับ?" แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสามารถเก็บความสงสัยเอาไว้ได้หรอกนะ

"ก็ตอนที่.." เหล้ารัมเว้นจังหวะนิดนึงเพื่อหันมา.. สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย จนคนที่กำลังมองอยู่อย่างผมอดที่จะใจสั่นไม่ได้.. "คุณปู่ถามคุณว่าชอบผมมั้ย แล้วคุณก็ตอบว่า.. 'ผมยังไม่แน่ใจครับปู่ แต่ผมดีใจมากที่มีเขาเข้ามาในชีวิต จนผมไม่อยากให้เขาหายไปไหนเลย' ไง : )"

ผมอึ้ง.. ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาเก็บคำตอบนั้นของผมมาคิดจนนอนไม่หลับนะ แต่เป็นเพราะ..เขายกสิ่งที่ผมพูดมาได้แบบเป๊ะๆ เลยต่างหาก!

“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันที ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้เหล้ารัมแล้วหันกลับมามองวิวของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลตรงหน้า.. ปลดปล่อยใจไปกับสายลมอยู่สักพัก ถึงได้ยอมเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกไป... “จริงๆ แล้ว.. ผมเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

“...”

“แล้วมันก็เป็นเพราะคุณด้วย”

“อะไรนะ เพราะผมงั้นหรอ!?” แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคงจะตกใจมาก

“ใช่ครับ เพราะคุณ”
   
“ทำไมล่ะครับ ผมไปทำอะไรให้คุณไม่สบายใจรึเปล่า? ละ...แล้วทำไมคุณยิ้มแบบนั้นล่ะ!?”

ก็จะไม่ให้ยิ้มได้ไงล่ะ ดูเหล้ารัมสิ เอะอะอะไรก็โทษตัวเองก่อนตลอดเลย ถึงจะดูเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อย แต่ผมว่าบางที..ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ : )

“คุณไม่ได้ทำอะไรให้ผมไม่สบายใจหรอกครับ” ผมเลือกที่จะข้ามเรื่องรอยยิ้ม แล้วหันไปมองหน้านายพ่อมดเหล้าตรงๆ เพราะอยากที่จะเห็นสีหน้าของเขาชัดๆ กับสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ “ผมแค่นอนไม่หลับ เพราะดันรู้ตัวว่า...ชอบคุณเข้าจริงๆ ซะแล้ว : )”

“คะ.. คะ.. คะ..คุณว่าไงนะ!!?”

แล้วก็เป็นอย่างที่คาด.. เหล้ารัมเบิกตาโตซะจนผมสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีม่วงอ่อนของเขาได้อย่างชัดเจน ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะทำหน้าตาประหลาดๆ แบบที่ไม่รู้ว่าจะยิ้มดีใจหรือขมวดคิ้วด้วยความสงสัยกันแน่ ทำเอาผมที่ยืนมองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

“คุณทำหน้าตลกจัง ฮ่าๆๆๆ~”

“กะ..ก็ดูคุณพูดสิ นี่คุณล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย!?”

ผมส่ายหน้า “ของแบบนี้เขาล้อเล่นกันได้ที่ไหนเล่า” ก่อนตั้งท่าจะหันกลับไปมองวิวด้านล่างต่อ

“เดี๋ยวสิครับ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน” แต่เหล้ารัมไม่ยอมง่ายๆ เขาดึงผมเข้าไปหา ก่อนจะเริ่มมองมาด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าเดิม “นี่คุณไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ ใช่มั้ย?”

“คุณถามผมสองรอบแล้วนะเหล้ารัม แล้วผมก็บอกไปแล้ว ว่าผมน่ะไม่ได้ล้อเล่น” ผมก็เลยต้องจริงจังเหมือนกัน ในเมื่อสิ่งที่พูดไปมันคือเรื่องจริงนี่หน่า

“ละ...แล้วมันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่กัน?”

“เอ่อ.. ผมเองก็ไม่แน่ใจครับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันแน่” เพราะเรื่องของความรู้สึกนี่มันเป็นอะไรที่ตอบยากเหมือนกันนะ ไม่ว่าในกรณีที่มันเกิดขึ้น หรือในกรณีที่มันจบลงก็ตาม “แต่ผมมั่นใจนะ ว่าคำว่า ‘ชอบ’ ที่ผมพูดออกไป เป็นเรื่องจริงไม่ผิดแน่”

พอมาถึงตรงนี้ สิ่งที่ได้รับรู้ตอนคุยกับเอกก็วกกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง จนเกิดเป็นอาการเขินที่ยากจะสบสายตากับเหล้ารัมอีกต่อไปได้ ผมเลยต้องรีบผละตัวออกมาทำเป็นมองวิวข้างหน้าแทน ทั้งๆ ที่ภายในใจก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อเหล้ารัมเหมือนเดิม

แต่เหล้ารัมไม่ยอมปล่อยให้ผมเงียบไปเฉยๆ แบบนี้ เขารีบเคลื่อนตัวเข้ามาหา ก่อนจะเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเขา ซึ่งเป็นกลิ่นแบบเดิมจากครั้งแรกที่เราเจอกัน.. “ทำไมคุณดูมั่นใจจัง อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น?” แล้วถามต่อ

ซึ่งถือว่าถามได้ดี เพราะผมเองก็อยากที่จะบอกเรื่องนี้กับเขาเป็นคนแรกเหมือนกัน “จริงๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้แน่ใจขนาดนี้หรอก จนกระทั่งโทรไปปรึกษาคนๆ นึงมา ก็เลยทำให้ได้รู้อะไรชัดเจนขึ้น”

“เอกหรอครับ?”

“คะ..คุณรู้!?” ผมรีบหันหาเหล้ารัมทันทีที่ได้ยินชื่อของเอกจากปากเขา ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมาก เพราะพอผมโทรหาเอก เอกก็รู้ว่าผมจะปรึกษาเรื่องเหล้ารัม แล้วพอมาบอกเหล้ารัมว่าโทรไปปรึกษาคนๆ นึง เหล้ารัมก็ดันรู้ว่าเป็นเอกอีก ยังกับว่าเตี๊ยมกันมาก่อนเลย

“ก็เอกเป็นเพื่อนสนิทคุณนี่ ถ้าไม่ให้ปรึกษาเอกแล้วคุณจะปรึกษาใคร จริงมั้ย?”

ผมพยักหน้า เพราะมันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ เพียงแต่.. คุยกันแค่นี้.. จำเป็นต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ขนาดนี้เลยหรอ?

..เขินนะ

“แล้วไงครับ โทรไปปรึกษาเอกแล้วได้ความว่าไงบ้าง : )”

“คือ... ตอนแรกผมตั้งใจจะโทรไประบายให้ไอ้เอกฟัง ว่าผมเกิดชอบคุณขึ้นมาแล้วจริงๆ”

“…”

“แต่กลายเป็นว่า พอคุยกันไปสักพัก ผมก็เกิดความไม่แน่ใจ..ว่าผมน่ะชอบคุณจริงๆ รึเปล่า”

“…”

“เพราะว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาในชีวิตมากขนาดนี้ คุณคือคนเดียวและคนแรกที่สามารถมาไกลขนาดนี้ได้”

“…”

“ซึ่งผมก็โอเคกับการที่มีคุณเข้ามานะ เพียงแต่...มันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน ว่าสรุปแล้ว..การที่คุณมาได้ไกลกว่าคนอื่น เป็นเพราะว่าผมโอเคกับคุณจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าเราสองคนมีพันธะสัญญาต่อกันกันแน่”

“แล้วคุณได้คำตอบมั้ย?” เป็นอีกครั้งที่ผมพยักหน้า แล้วก็ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมยังหันไปยิ้มให้เค้าด้วย ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้แค่ไหนก็ตาม

“เอกมันบอกให้ผมลองตัดเรื่องของเหตุผลทั้งหมดออกไป แล้วใช้แค่หัวใจอย่างเดียวแทน”

“…”

“ผมก็เลยลองคิดดู ว่าถ้าไม่มีเรื่องของคำสาป เรื่องของพันธะสัญญา รวมถึงเรื่องที่ผมจะได้มีชีวิตอิสระจากพ่อและแม่เมื่อย้ายมาอยู่กับคุณ ผมจะยังยอมให้คุณเข้ามาในชีวิต จนเกิดเป็นความรู้สึก ‘ชอบ’ แบบที่เป็นมั้ย?”

“แล้วคำตอบก็คือ?”

“ผมก็ยังชอบคุณอยู่ดี”

“...”

ถึงจะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงแค่มองหน้าผมด้วยรอยยิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก แต่ผมก็ดูออกนะว่าเขาน่ะมีความสุขมากแค่ไหน.. และที่ผมรู้ได้ก็เพราะว่านัยน์ตาสีม่วงอ่อนคู่นั้นมันไม่เคยเก็บซ่อนความรู้สึกต่างๆ ที่เกี่ยวกับผมได้เลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน : )

แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดหรอกนะ “เพราะว่าคุณไม่เหมือนใครเหล้ารัม.. มีผู้ชายหลายคนที่เดินเข้ามาในชีวิตผมด้วยความจริงใจของพวกเขา แต่ให้ตายยังไง ให้พยายามแค่ไหน ผมก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ผมกำลังตามหา.. แล้วความตลกร้ายก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังตามหาใคร หรือว่าคนแบบไหน? รู้เพียงแค่ว่าต้องรอจนกว่าจะเจอคนที่รู้สึกว่า ‘ใช่’ เท่านั้น จะกระทั่งได้เจอกับคุณ.. หัวใจผมกลับเต้นแรกตั้งแต่ครั้งแรกที่เราสองคนเจอกัน.. ซึ่งมันมีความหมายมาก เพราะผมไม่เคยใจเต้นแรงกับใครมาก่อนเลย.. ถึงแม้จะงงๆ กับการรุกหนักของคุณ รวมถึงเรื่องที่ไม่เคยเจอพ่อมดที่เป็นเกย์มาก่อนก็เถอะ แต่พอลองมองย้อนกลับไปตอนนั้น..ผมถึงได้รู้..ว่าคุณไม่เหมือนใคร.. คุณคือคนที่ต่างออกจากไปผู้ชายทุกคนที่ผมเคยเจอมา..  ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไม แต่พอบทจะใช่ มันก็ใช่ขึ้นมาซะอย่างงั้น แล้วจากทั้งหมดที่พูดมาเนี่ย.. มันเลยทำให้ผมมั่นใจมาก ว่าถ้าวันนั้น ผมไม่ใช่มนุษย์ต้องสาป และคุณแค่เดินเข้ามาจีบผมโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไร ยังไงซะ ผมก็จะตอบรับคุณ แล้วก็ยอมให้คุณเข้ามาในชีวิตเหมือนกับทุกวันนี้อยู่ดี ผมมั่นใจ : )” เพราะว่านี่ต่างหาก คือทั้งหมดที่ผมอยากให้เหล้ารัมได้รับรู้

ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..


แล้วจะยังไงต่อล่ะ หัวใจผมมันก็เต้นรัวเลยน่ะสิครับ! เพราะถึงแม้ว่าอาการภายนอกกับน้ำเสียงที่พูดออกไปจะดูเหมือนว่าผมเป็นปกติดี แต่อันที่จริงแล้วผมตื่นเต้นมากนะ ตื่นเต้นแบบว่า ‘ตื่นเต้นโคตร’ เลย กับไอ้การสารภาพความในใจกับคนที่ชอบเนี่ยยย~

“..อ๊ะ!” แต่ทันใดนั้น สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อจู่ๆ นายพ่อมดเหล้าก็คว้าผมเข้าไปกอดไว้!

ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..


ความสูงของเหล้ารัมทำให้ใบหน้าของผมที่กำลังร้อนผ่าวๆ ด้วยความเขินอาย..ฝังจมอยู่กับแผงอกของเค้า.. นั่นเลยทำให้ผมได้รู้ความจริงหนึ่งข้อ ว่าไม่ได้มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่ใจเต้นแรงผิดจังหวะไป ทว่า..หัวใจของนายพ่อมดเองก็เต้นแรงผิดจังหวะไม่ต่างกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า..สิ่งที่ผมพูด มันทำให้เหล้ารัมรู้สึกได้เหมือนกันสินะ..

..ดีจังแฮะ : )

“จำเป็นต้องกอดแน่นขนาดนี้มั้ยเนี่ย?” ผมปล่อยให้เราสองคนกอดกันอยู่ในความเงียบเกือบจะพักใหญ่ๆ เลย ก่อนที่จะตัดสินใจพูดติดตลกขึ้นมา เพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าควรหยุดการกอดลงแค่นี้ คือ.. ไม่ใช่ว่าผมไม่โอเคกับการที่เราสองคนกอดกันหรอกนะ ตรงกันข้าม ผมรู้สึกดีมากเลยด้วยกับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ เพียงแต่..ถ้าไม่ทำแบบนี้ มีหวังเหล้ารัมคงได้กอดผมยันเช้าแน่ ฮ่าๆๆๆ~   

ซึ่งนายพ่อมดเหล้าเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัว เพราะว่าพอได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ก่อนจะยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากอ้อมกอดของเขาจนได้

“ก็ผมดีใจนี่ ที่ในที่สุดเราสองคนก็ใจตรงกันสักที : )” ไม่พูดเปล่า เหล้ารัมยังมีการเอามือมาขยี้หัวผมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่มิติใหม่มาก เพราะก็อย่างที่รู้กันว่าเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

“…” แม้จะทำให้ผมเสียทรงแบบที่ต้องใช้นิ้วสางเพื่อจัดทรงใหม่ แต่พอเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่ปล่อยให้ทำไปจนกว่าเค้าจะพอใจ ทว่า.. “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” ในขณะที่ผมกำลังมองประกายความสุขจากเหล้ารัมอยู่นั้น จู่ๆ นัยน์ที่ม่วงอ่อนที่เคยส่องประกาย..กลับหม่นแสงลงในพริบตา.. พร้อมทั้งรอยยิ้มเองก็จางหายตามไปด้วย..

เกิดอะไรขึ้น?

“คือ..” คนถูกถามดูมีสีหน้าลำบากในครั้งแรก ทว่าสุดท้ายก็ยอมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ผมดีใจมากเลยนะที่คุณชอบผม แต่รู้ใช่มั้ย ว่าถ้าจะให้พันธะสัญญาสำเร็จ เราต้องรู้สึกต่อกันมากกว่าแค่ชอบน่ะ”

“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” ซึ่งพอได้ฟังสาเหตุที่รอยยิ้มของเหล้ารัมหายไป ผมก็ถึงกับต้องส่ายหน้า เมื่อรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสักนิด “ผมรู้ครับ แต่ว่าเรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องของอนาคต ผมว่านะ เราสองคนมาโฟกัสอยู่กับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ดีกว่า : )” ก่อนที่หลังจากนั้น ผมจะช่วยปัดยุงที่บินมาเกาะค้างแก้มของเหล้ารัมออกให้ ทว่าเหล้ารัมกลับใช้จังหวะนั้นคว้ามือผมเอาไว้แบบที่ไม่ทันให้ตั้งตัว

"..."

"..."

วินาทีต่อมาคือเราทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ.. เราสองคนสบตากัน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในที่ที่สว่างนัก แต่ผมก็สามารถเห็นทุกอย่างจากเหล้ารัมได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะความต้องการบางอย่างที่สะท้อนออกมาจากช่วงตาเอเชียของเขา..

"..."

"..."

เลยทำให้...เกิดเป็นเสมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่กำลังถูกดึงดูดเข้าหากัน...

ซึ่งทุกอย่างเกือบจะดำเนินไปได้อย่างไหลลื่นแล้ว ถ้าไม่ติดว่า.. "จูบได้มั้ย?" เหล้ารัมดันถามผมออกมาตรงๆ ด้วยแววตาใสซื่อซะอย่างงั้น ทั้งๆ ที่อีกแค่นิดเดียวก็จะจูบกันอยู่แล้วเนี่ย!

"จิ๊!" ผมจิ๊ปากแรงมากด้วยความขัดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มตอบกลับด้วยความหมั่นเขี้ยวชนิดที่ว่าสามารถงับคอนายผมบลอนด์ได้เลย! "จูบสิครับ จะรออะไร"

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ผมก็ได้เรียนรู้ว่าความใสซื่อของนายพ่อมดเหล้าน่ะมันไม่ได้มีอยู่จริง! "แน่ใจ? เพราะว่าถ้าจูบแล้ว.. คุณต้องเป็นแฟนผมเลยนะ ยังจะจูบอยู่รึเปล่า : )" ที่ถามว่า 'จูบได้มั้ย' ก็เพราะว่าต้องการจะตบเข้ามุกนี้สินะ ระ..ร้ายมาก!

แล้วแบบนี้ผมควรจะตอบเหล้ารัมยังไงดีล่ะ? ในเมื่อก็ชอบเขามากขนาดนี้แล้ว อืม... งั้นผมตอบแบบนี้ก็แล้วกัน "แล้วทำไมจะไม่จูบล่ะครับ : )"

สิ้นสุดคำตอบ ร่างสูงกว่ายักยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับพึงพอใจมากกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ทำเอาผมชักเริ่มจะหวั่นๆ ใจในคำตอบของตัวเองขึ้นมาซะแล้ว ว่านี่อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้สัตว์ร้ายสามารถจัดการกับผมได้อย่างอิสระหรือเปล่านะ!?

แต่ทำไงได้ล่ะ จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว... เมื่อเหล้ารัมยกฝ่ามือใหญ่ๆ ของเค้าขึ้นมาประคองสองข้างแก้มของผมไว้.. ก่อนจะโน้มใบหน้าหล่อเหลาของเขาลงมาเพื่อประทับจูบแผ่วเบา..

ทว่า..ลุ่มลึกและรู้สึกไปถึงหัวใจ...

ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..


/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

* * * * * * *

ตอนแรกผมเองก็ไม่แน่ใจว่าการเป็น ‘แฟน’ กันของผมกับเหล้ารัมจะทำ.อะไรเปลี่ยนไปยังไงบ้าง เพราะว่าที่ผ่านมา ผมเองก็อยู่ในสถานะของคนโสดมาโดยตลอด เลยทำให้ภาพในหัวของการเป็นแฟนนั้นค่อนข้างเลือนลางเสียจนไม่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยในการจินตนาการได้
   
แต่พอหลังจากที่ได้ลองมาอยู่ในสถานะของ ‘คนไม่โสด’ เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ผมก็ได้ค้นพบแล้วว่า..มันมีสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมจริงๆ : )
   
อย่างแรกที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยนไปเลยก็คือ ‘ความชัดเจน’ ของเราสองคน
   
มันไม่ได้เริ่มต้นจากการพูดคุยกันจริงๆ จังๆ หรอกนะ ว่าเราจะเก็บเรื่องนี้ไว้หรือเปิดเผยออกไป เพราะสองคนก็แค่ทำตัวตามปกติ แต่ก็นะ ถึงจะพยายามให้มันดูปกติยังไง แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่มันมีมากขึ้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่บางทีความเป็นแฟนมันก็เผยออกมาสู่สายตาคนนอก จนเกิดเป็นความสงสัยของใครหลายคน
   
เริ่มจากพ่อกับแม่ผมก่อนเลย แรกๆ ท่านก็แค่มองๆ นะ แต่พอเราสองคนไปกินข้าวเย็นที่บ้านบ่อยขึ้น และเริ่มเทคแคร์ดูแลกันให้เห็นชนิดที่ว่าต่างไปจากตอนแรกๆ มาก พวกท่านก็เลยเอ่ยปากถามออกมา “นี่.. พวกลูกเป็นแฟนกันแล้วหรือเปล่าเนี่ย?” แน่นอนว่าตัวเปิดประเด็นเลยก็คือแม่ ในขณะที่พ่อเริ่มกอดอกเพื่อรอคำตอบ แล้วจะยังไงล่ะ นายพ่อมดเหล้าก็ไม่รอช้า รีบตอบออกไปอย่างหน้าชื่นตาบานทันทีว่า..
   
“ใช่ครับ เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว”
   
ออกตัวแรงไปอี๊ก~
   
แล้วหลังจากพ่อกับแม่ มันก็เริ่มลามมาสู่กลุ่มเพื่อน ซึ่งผมเองก็คิดว่ายังไงก็คงจะปิดไม่มิดแน่ เพราะทุกครั้งที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน ไอ้เอกเพื่อนรักที่รู้เรื่องของผมดีกว่าใครก็จะเอ่ยปากแซวตลอด ยกตัวอย่างเช่น “โอ๊ยยยยยย หวานขนาดนี้ มดขึ้นหมดแล้วมั้ง” ไม่ก็ “หลิว บอย กูอิจฉาคนแถวนี้ว่ะ หวานกันไม่เกรงใจใครเลย” ซึ่งพอหนักๆ เข้า ไอ้บอยก็เลยตัดสินใจถามออกมาตรงๆ
   
“ถามจริงนะ พวกมึงสองคนนี่ยังไงวะ คู่จิ้นหรือว่าคู่จริง ช่วยบอกกูให้หายข้องใจที” แน่นอนว่าหลิวกับเอกนี่คือถอนหายใจมองบนเลย ที่เห็นว่าไอ้บอยยังถามแบบนี้อยู่ได้ ทั้งๆ ที่มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
   
แล้วก็เหมือนเดิม “คู่จริงสิ จะเป็นคู่จิ้นได้ไง” คุณพ่อมดเหล้าออกตัวแรงอีกครั้ง และนั่นก็คือการเปิดตัวว่าคบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับกลุ่มเพื่อน
   
ซึ่งความกวนตีนของไอ้เอกก็คือ มันมีการถามความเห็นจากเพื่อนๆ ด้วยนะ ว่า.. “อะ ถ้าเปิดตัวกันจริงจังแบบนี้ งั้นพวกเราก็ต้องมาโหวตกันแล้วล่ะ ว่าไอ้เหล้าน่ะผ่านไม่ผ่าน”
   
“งั้นมึงก็เริ่มก่อนสิเอก”
ไอ้บอยว่า
   
“อืม... กูให้ผ่านว่ะ กลัวเพื่อนขึ้นคาน” เลว!
   
“หลิวก็ให้ผ่านนะ เพราะแอบเชียร์คู่นี้มานานแล้ว” เออ แบบนี้สิถึงจะน่ารัก
   
“งั้นก็สามผ่านไปเลยคร้าบบบบบบบ~” ก่อนจะปิดการโหวตด้วยบอยอีกที
   
เป็นอันว่าผ่านการเห็นชอบจากเพื่อนทุกคน ขอบคุณนะ ขอบคุณมากจริงๆ ถุ้ย! (ผมประชดโว๊ยยยยยย!)
   
แต่ยังครับ ยังไม่หมดแค่นั้นกับความชัดเจนในการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเหล้ารัม เพราะนอกจากกลุ่มเพื่อนสนิทแล้ว ก็ยังมีเพื่อนร่วมรุ่น พี่น้องร่วมเมเจอร์ พี่น้องร่วมคณะ ไปจนถึงพี่น้องร่วมมหา’ลัยที่มักจะส่งสายตาสงสัยมาเสมอ ซึ่งถ้าแค่มองผ่านๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ถ้ามองแบบมองแล้วมองอีก คุณเหล้ารัมเขาก็จะหันไปพูดทันทีเลยว่า “เราสองคนเป็นแฟนกันครับ : )” ทำเอาพวกขี้สงสัยพากันอึ้งไปถ้วนหน้า
   
แล้วที่พีคสุดก็คือ..อาจารย์ครับ
   
คือ..มีอาจารย์ท่านนึงที่ไม่ได้สนิทกับนักศึกษาเท่าไหร่นัก แต่พวกเราก็รู้กันว่าท่านเป็นพวก ‘อยากรู้อยากเห็น’ ค่อนข้างมาก ถึงขนาดว่าบ้างทีเห็นผมกับเหล้ารัมตัวติดกัน หรือมักจะทำอะไรด้วยกัน ก็จะมองแบบไม่วางตาเลย ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัวหรอก จนหลิวมากระซิบว่า “ดูอาจารย์ยุ้ยสิ มองวาฬกับเหล้ารัมไม่วางตาเลย สงสัยจะอยากรู้ว่าสองคนนี้เป็นอะไรกันแหง” นับจากนั้นผมก็เลยเริ่มสังเกตมาตลอด แล้วก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
   
แต่ก็นะ ถึงท่านจะดูอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเพื่อนร่วมมหา’ลัยของผมขนาดไหนก็ตาม แต่สิ่งที่ผมทำได้มากสุดก็คือปล่อยให้ท่านมองไปแบบนั้น เพราะยังไงก็เป็นถึงอาจารย์ จะให้ไปป่าวประกาศว่า “พวกผมเป็นแฟนกันครับ” มันก็ดูจะยังไงๆ อยู่น่ะนะ
   
ทว่า..นั่นก็เป็นแค่ความเห็นในส่วนของผมไง ไม่ใช่ของเหล้ารัม เพราะว่าในทันทีที่นายพ่อมดเหล้ารู้ว่าเราสองคนกำลังเป็นที่สนใจของอาจารย์ยุ้ย เขาก็ถึงกับยกมือขึ้นในระหว่างคาบ
   
“มะ..มีอะไรจ้ะเหล้ารัม?”
   
“ขอโทษนะครับ ผมเห็นอาจารย์ชอบมองผมกับอรรณพ (ชื่อจริงผมเอง) ไม่ทราบว่า..อาจารย์มีเรื่องอะไรอยากจะถามหรือเปล่าครับ : )”

   
บอกตรงๆ ว่าวินาทีนั้นผมอยากบีบคอเหล้ารัมมาก ที่กล้าถามอาจารย์ออกไปแบบนั้น กะ..กล้าเกินไปแล้ว!
   
“เอ่อ..”
   
“อาจารย์ถามได้ครับ ผมยินดีตอบทุกเรื่องเลย : )”
   
“คือ... อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ครูสงสัยมาหลายวันละ ว่าพักนี้ดูเธอกับอรรณพสนิทสนมกันแปลกๆ ไม่ทราบว่า..พวกเธอสองคน..”
   
“เป็นแฟนกับครับ”
   
“...”
อาจารย์ยุ้ยยังไม่ทันจะพูดจบ เหล้ารัมก็ทำการเติมคำให้ทันที ทำเอาแกนี่ถึงกับอึ้งไปเลย ก่อนที่หลังจากนั้นจะเริ่มหน้าแดง และพูดในสิ่งที่ทำเอานักเรียนทั้งห้องพากันหัวเราะกันอย่างบ้าคลั่ง “วี๊ดดดดดดดดดด ดีใจอะ รู้มั้ยว่าอาจารย์น่ะเป็นสาววายนะ แอบจิ้นคู่เธอสองคนมาตั้งหลายคาบแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นคู่จริง วี๊ดดดดดดดด~”
   
นั่นล่ะครับ กลายเป็นว่าตอนนี้คู่ของผมกับเหล้ารัมก็เลยได้แฟนคลับกิตติมศักดิ์มาหนึ่งคน แบบที่ไม่ว่าเจอกันกี่ครั้งก็จะเอ่ยปากแซวเสียทุกครั้ง แต่ผมกับเหล้ารัมก็โอเคนะ เพราะว่าอาจารย์ยุ้ยแกจะแซวแบบน่ารักๆ ไม่มากไป เน้นเอาแบบพอหอมปากหอมคอมากกว่า เลยเหมือนได้อาจารย์ที่สนิทมาเพิ่มอีกคน ก็ถือว่าเป็นอะไรที่แฮปปี้ดีน่ะนะ : )
   
ซึ่งนอกจากเรื่องความชัดเจนในการเปิดเผยความสัมพันธ์ของเหล้ารัมแล้ว อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเลยก็คือ ‘การแสดงความเป็นเจ้าของ’ ของเหล้ารัมที่แสบมาก!
   
คือ..ถ้าจะให้เปรียบกับเรื่องแรก อันนั้นจะดูเหมือนเด็กน้อยเห่อแฟน อยากพูด อยากบอกคนไปทั่วว่าผมน่ะเป็นแฟนเค้า ซึ่งในสายตาผมก็เป็นอะไรที่น่ารักดี ดูเป็นมุมเด็กๆ ที่ออกจะแฮปปี้มากของเขา แต่กับเรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของนี่ถือว่าเป็นการโตขึ้นมาอีกขั้น แถมยังเป็นการโตที่มีความแสบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
   
เพราะเชื่อมั้ย ว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้เลยนะว่ามีผู้ชายในมหา’ลัยสนใจผมมากขนาดนี้ จนกระทั่งได้มาคบกับเหล้ารัมเนี่ยแหละ ถึงได้เป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ว่าจะมีใครแสดงว่าสนใจผมกี่คนต่อกี่คนก็ตาม เหล้ารัมก็จะทั้งออกอาการทั้งส่งสายตาข่มขู่แสดงความเป็นเจ้าของ (ในตัวผม) ใส่ทุกคนให้ผมได้เห็นอย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้นนะ เขายังทำเรื่องแสบมากเลยด้วย คือถ้าเป็นมนุษย์ขี้หึงขี้หวงคนอื่นๆ ก็คงโวยวายหาเรื่องจนต่อยกันไปข้างนึงแล้ว แต่แฟนผมครับ (แหม เรียกเต็มปากเลยนะ! : คนเขียน) เขาไม่มีการมึงมาพาโวยอะไรทั้งนั้น กระชากคอเสื้อมาถามเหมือนในนิยายที่แบบ "เฮ้ย! มองอะไรแฟนกูวะ!?” ก็ไม่มี

แล้วเหล้ารัมทำไงรู้มั้ย?

เขาใช้เวทมนตร์ครับ ใช้เวทมนตร์จัดการกับผู้ชายพวกนั้นทันที ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะไม่แฟร์เลยสักนิด จนหลายครั้งผมถึงกับต้องออกปากว่าเขาเลยด้วยซ้ำว่า "คุณรู้ตัวมั้ย ว่าคุณกำลังใช้เวลามนตร์ในทางที่ผิดน่ะเหล้ารัม" แล้วก็ไม่ได้แค่พูดอย่างเดียวนะ มีการฟาดแขนแถมให้ด้วย

แล้วถามว่าเขาฟังมั้ย.. ไม่! เขาไม่ฟังผมครับ ไม่ฟังไม่พอ เถียงอีกต่างหาก "ผิดตรงไหน นี่น่ะ เป็นการใช้เวทมนตร์ที่ถูกต้องที่สุดแล้ว"

"ยังไง?" ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเอามาใช้เล่นงานมนุษย์โดยไม่ให้พวกเขารู้ตัวเนี่ย ถึงจะไม่ได้ร้ายแรงก็เถอะนะ

"ก็พวกนั้นมันชอบมาส่งสายตาเจ้าชู้ใส่แฟนผมนี่ เจอเวทมนตร์ลงโทษคนละทีสองทีก็ถือว่าถูกต้องแล้ว : )"

ก็นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม หนึ่งในเหตุผลของคนหล่อ (แต่ร้าย!) ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเถียงชนะได้เลยสักครั้ง ก็เลยต้องผันตัวเองมาเป็นตาแก่ขี้บ่นแทน แล้วจะยังไงล่ะ ก็เหมือนเดิมครับ พอฟังผมบ่นจบปุ๊บ เหล้ารัมก็จะยิ้มรับ ทำเป็นยกมือยอมแพ้ แต่พอผมเผลอเมื่อไหร่ เขาก็จะแอบเสกเวทมนตร์ใส่ผู้ชายพวกนั้นทันที จนผมนี่คือขี้เกียจจะห้ามแล้ว!

อ๊ะๆ แต่อย่าเพิ่งมองเหล้ารัมในแง่ร้ายสุดหรืออะไรแบบนั้นนะครับ (มีความปกป้อง) เพราะถึงแม้ว่านายพ่อมดจะทำไม่ถูกก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในลิมิตที่โอเค อย่างเสกให้จามติดๆ กันจนเลิกมอง ไม่ก็คันนั่นคันนี่บ้าง (แต่ว่าไม่นานก็หายนะ) หรือบางทีก็มีสะดุดนั่นชนนี่ ซึ่งความหนักเบาก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อย่างถ้าแค่มองเฉยๆ ก็จะโดนน้อยหน่อย แต่ถ้าถึงขั้นยิ้มให้ (ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ก็จะโดน 'ลงโทษ' ในเลเวลที่สูงขึ้น ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็รับประกันแทนเขาได้เลยว่าไม่มีการบาดเจ็บหรือเลือดตกอย่างออกแต่อย่างใด เพราะว่าเจตนาในการใช้เวทมนตร์ของเหล้ารัมเองก็เพื่อต้องการให้เลิกมองเท่านั้น ก็เลยทำให้ช่วงนี้ผู้ชายมหา'ลัยผมหลายคนพากันเกิดเหตุซุ่มซ่ามค่อนข้างถี่หน่อย โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ระแคะระคายเลยสักนิด ว่าสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ มาจากนายพ่อมดหวงแฟนคนนี้นี่เอง #ชี้ไปที่เหล้ารัม

แต่เอาจริงๆ ที่พูดไปนี่ถือว่ายังจิ๊บๆ นะ เพราะว่ามันมีอยู่รายนึงที่เจอพีคกว่าใครเพื่อน ชนิดที่ว่าเละเทะไปหมด และผู้ชายคนนั้นก็คือ 'พี่ปูน' เจ้าเก่ารายเดิมนั่นเอง

คืองี้ครับ เหตุการณ์ความพีคที่ว่าเนี่ย มันเกิดขึ้นเพราะว่าผมดันไปเห็นสเตตัสเฟซบุ๊คของรุ่นน้องคณะวิศวะคนนึงที่ชื่อว่า 'พลอยสวย' ซึ่งเราสองคนสนิทกัน เพราะพลอยสวยน่ะเป็นรุ่นน้องสายวิทย์-คณิตมาตั้งแต่โรงเรียนเก่าแล้ว และสเตตัสนั้นมีใจความว่า...

Ploy Suay Naruethai
พ่อพลอยสวยให้พลอยสวยช่วยหาคนมาแปลบทความวิชาการด้านการแพทย์เพื่อตีพิมพ์กับวารสารชื่อดังของทางญี่ปุ่นค่ะ ใครที่มีความสามารถในการใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างดี และสนใจจะรับงาน ติดต่อพลอยสวยได้เลยนะคะ : )
ป.ล. ค่าจ้างงามมาก นี่ถ้าพลอยสวยเก่งญี่ปุ่น พลอยสวยรับงานคุณพ่อเองแล้วค่ะ อิอิ

ซึ่งพอผมอ่านจบปุ๊บ ความคิดอยากลองมันก็ผุดขึ้นมาปั๊บ เพราะว่าเคยจุ๊บแลกภาษาญี่ปุ่นกับเหล้ารัมมาแล้ว ยังไงงานนี้ก็หมูสำหรับผมอย่างแน่นอน

แต่ตอนติดต่อไปนี่น้องพลอยสวยก็ตกใจนะ เพราะเจ้าหล่อนจำได้ว่าผมเป็นคนที่สกิลภาษาต่างประเทศอ่อนมาก แต่พอผมยืนยันหนักแน่นว่าสามารถทำได้ชัวร์ น้องพลอยสวยเลยทำการนัดเจอกันที่โรงอาหารวิศวะช่วงพักเที่ยงของวันถัดมา เพื่อทำการทดสอบสกิลการแปลภาษาของผมก่อนรับงาน ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา สบายมาก เรียกว่าทำเสร็จเร็วจนพลอยสวยอึ้งไปเลย ก็เลยเป็นอันสรุปว่าได้งานมาตามที่ใจต้องการ

ดูเหมือนว่าเรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่ครับ.. เพราะผมดันตัดสินใจว่าไหนๆ ก็มาถึงโรงอาหารวิศวะแล้ว งั้นก็กินข้าวเที่ยงที่นี่ให้จบๆ ไปเลย

"เหล้ารัมครับ คุณกินข้าวไปได้เลยนะ ไม่ต้องรอผม" คิดได้ดังนั้น ผมก็โทรหาเหล้ารัมเพื่อบอกเขา เพราะว่าเขาไม่ได้ตามมาด้วย เนื่องจากเห็นว่าพลอยสวยเป็นรุ่นน้องผู้หญิงก็เลยไว้ใจ

แต่นายพ่อมดเหล้าคงลืมอะไรไปอย่าง ว่าโรงอาหารของคณะที่ผมมาเนี่ย เรียกว่าเป็นคณะที่รวบรวมทั้งแฮนด์ซั่มบอย คีวท์บอย ไปจนถึงเซ็กซี่บอย เรียกว่ายังไงก็ต้องมีมนุษย์เพศชายให้ความสนใจในตัวผมแน่

พลาดนะครับคุณแฟน : )

(อ้าว ทำไมล่ะครับ)

"พอดีเพิ่งได้งานจากน้องน่ะครับ ก็เลยว่าจะกินข้าวที่นี่ไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา"

(อ๋อ งั้นเอางี้ครับ เดี๋ยวผมไปหา ขอเดินไปบอกพวกเพื่อนๆ คุณแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวเจอกัน)

"งั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมรอนะ"

(โอเคครับ ไม่เกินห้านาที)


พูดจบแค่นั้น เหล้ารัมก็วางสายไป ผมที่บอกไปแล้วว่าจะรอก็เลยได้แต่นั่งรอไปต่อไปเงียบๆ เพราะว่าพลอยสวยเองพอให้งานผมเสร็จ เจ้าหล่อนก็ไปรวมกลุ่มกินข้าวกับเพื่อนๆ ของเธอแล้ว

ทว่า.. "สวัสดีครับน้องวาฬ : )" ในขณะที่กำลังนั่งมองนั่นมองนี่อยู่นั้น จู่ๆ พี่ปูนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ กลับโผล่มาทำลายความเงียบซะอย่างงั้น แถมยังนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตอีก เยี่ยม!

"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้อย่างขอไปที ขณะที่ในใจก็รู้สึกว่าอยากให้เหล้ารัมหายตัวมาเดี๋ยวนี้เลย จะได้หาทางหนีพี่ปูนซะ

"แหม เย็นชาจัง วันนั้นเรายังแลกลิ้นกันอยู่เลยนะ : )"

เชี่ยยย.. ผมไม่รู้หรอกนะว่าไอ้พี่ปูนมันอยากจะลำลึกความหลังหรือต้องการจะยั่วโมโหผมกันแน่ แต่เอาเป็นว่าถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็ บอกเลยนะว่าพี่เขาแม่งมาถูกทางมาก!

ขณะเดียวกัน.. นอกจากความโมโหแล้ว ใจผมเองก็รู้สึกแย่ตามไปด้วย.. นี่ถ้าวันนั้นผมรู้ลิมิตของตัวเอง และไม่ปล่อยให้เมาจนขาดสติแบบนั้น ก็คงไม่กลายมาเป็นตราบาปติดตัวแบบนี้หรอก แม่ง!

"วันนั้นผมเมามาก ก็เลยจูบกับคนอื่นไปทั่ว" แต่ด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่อง ผมก็เลยต้องอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่จำเป็นก็ตาม "ยังไงก็ขอโทษพี่ปูนด้วยแล้วกันนะครับ"

แล้วดูสิ่งที่ไอ้พี่ปูนตอบกลับมาสิ "ไม่ต้องขอโทษหรอกครับน้องวาฬ พี่ไม่ถือ ได้จูบปากกับน้องวาฬน่ะดีจะตาย : )" ทำเอาผมนี่หมดคำจะพูดเลยจริงๆ

"วาฬ" แต่ก็ถือว่าโชคดีนะที่หลังจากนั้นไม่นานนัก ประมาณห้าวิเห็นจะได้ เหล้ารัมก็มาปรากฏตัวจนได้ ผมเลยรีบอาศัยจังหวะนั้น ลุกออกจากโต๊ะเพื่อมายืนข้างเขาทันที "มันทำอะไรคุณรึเปล่า?"

"เปล่าครับ" ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่อง "ผมว่าเราไปหาอะไรกินกันเถอะครับ อย่าไปสนใจเลย"

"อ้าว มึงนี่เอง"

"ใช่ กูเอง มีปัญหาหรือไง"


แต่สายไปเสียแล้ว เพราะยังไม่ทันจะพาเหล้ารัมออกไปให้พ้นจากไอ้พี่ปูน ไอ้คนหาเรื่องมันก็ดันหาเรื่องขึ้นมาซะก่อน แล้วยิ่งไปกว่านั้นคือคนของเราก็ดันเล่นด้วยอีก เยี่ยม!

"ทำไมพอเจอน้องวาฬแล้วต้องเจอมึงด้วยวะ ไหนว่าไม่ได้เป็นแฟนกันไง"

"ตอนนั้นไม่ได้เป็น แต่ตอนนี้เป็นแล้ว เพราะฉะนั้นก็จำไว้ ว่าอย่ามายุ่ง!"
ไม่พูดเปล่า เหล้ารัมแสดงความเป็นเจ้าของอีกครั้ง ทำเอาผมนี่ตัวชาเลย เพราะรู้สึกไม่ชินที่โดนโอบไหล่ในต่างถิ่นแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน.. ก็รู้สึกกังวลใจกับยิ้มร้ายของพี่ปูนด้วย

คือ.. ไม่ใช่กลัวว่าพี่ปูนจะทำร้ายเหล้ารัมหรอกนะ แต่ผมกลัวว่าพี่แกจะพูดยั่วจนเหล้ารัมระเบิดเวทมนตร์ขั้นรุนแรงใส่เสียมากกว่า

แล้วก็ยังไม่ทันจะคิดจนจบดี.. "โอเค งั้นฉันจะรอจูบกับแฟนแกอีกทีตอนเมาก็แล้วกันนะ : )" พี่ปูนก็พูดออกมาแบบนี้จนได้

ใจนึงผมก็อยากหาอะไรฟาดปากพี่ปูนนะ หรือไม่ก็เชียร์ให้เหล้ารัมจัดการให้หนักๆ ไปเลย แต่มาคิดดูอีกที.. ทำไปก็ตายเปล่า เพราะฉะนั้นผมก็เลยเลือกที่จะคว้าเอวเหล้ารัมไว้ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณห้าม

แล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเหล้ารัมไม่โวยวายใส่พี่ปูนเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม กลับหันมาส่งยิ้มหวานให้ผมด้วย จนผม.. อดที่จะกังวลขึ้นมาอีกไม่ได้ ว่าบางทีนายพ่อมดเหล้าอาจจะมีอะไรที่รอเซอร์ไพรส์อยู่!?

"เหล้ารัม!" ละ..แล้วก็เป็นอันต้องใจหายวาบ! เมื่อจู่ๆ เหล้ารัมที่ยิ้มอยู่ดีๆ ก็หันไปคว้าคอเสื้อของพี่ปูนไว้ ทำเอากลุ่มนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นยืนกันทั้งโต๊ะ ก็เลยเริ่มจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ ในโรงอาหารแห่งนี้

เอ? ถ้าผมจำไม่ผิด.. ดูเหมือนว่ากลุ่มนักศึกษาชายที่ว่าจะมีเพื่อนของพี่ปูนอยู่ด้วยนะ งั้นก็แสดงว่ากลุ่มนี้เตรียมจะเข้ามาช่วยพี่ปูนงั้นสิ?

"เอาเลย ต่อยสิ : )" แล้วดูไอ้พี่ปูน มีการพูดท้าทายด้วย คงเห็นว่านี่เป็นถิ่นตัวเองสินะถึงได้กล้าขนาดนี้น่ะ

"ไม่ล่ะ ต่อยไปก็ตายเปล่า" แต่คราวนี้เหล้ารัมไม่เล่นด้วย "เพราะเดี๋ยวยังไงมึงก็ต้องเละเทะอยู่ดี : )"

ผมไม่แน่ใจกับสิ่งเหล้ารัมพูดนัก แต่พอเห็นว่าเขายอมปล่อยมือจากปกเสื้อของพี่ปูนก็รู้สึกสบายใจขึ้น คิดว่างานนี้คงจะหมดเรื่องแล้ว เพราะหลังจากนั้นเหล้ารัมก็เดินมาจับมือผมไว้ พร้อมกับพากันเดินออกไป

"เหี้ยยยยย!" แต่ยังไม่ทันที่เราสองคนจะก้าวไปไหนไกลเลยด้วยซ้ำ เสียงสบถหยาบคายของพี่ปูนก็ฉุดดึงความสนใจของผมให้หันกลับไปหาอีกครั้ง

แล้วสิ่งที่พบ.. ก็ช่วยไขข้อสงสัยจากสิ่งที่เหล้ารัมพูดไว้ได้อย่างชัดเจน!

ที่ว่า 'เละเทะ' คืออย่างนี้เองสินะ เมื่อเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ คณะวิศวะที่กำลังเดินถือจานข้าวผ่านพี่ปูนอยู่นั้น ต่างก็พากันทำอาหารต่างๆ ในภาชนะหกใส่พี่ปูนอย่างต่อเนื่อง ถ้าเผินๆ ก็จะดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุจากความซุ่มซ่ามทั่วไป แต่ถ้าลองมองดูให้ดีแล้ว..คุณจะเห็นพ่อมดรายหนึ่งกำลังยืนยิ้มอยู่ข้างกายผม และนั่นล่ะครับ ตัวต้นเหตุของเรื่องนี้เลย

"หยุดโว๊ยยยยยย!" พี่ปูนเริ่มเปลี่ยนเป็นอาละวาด เมื่อใครคนหนึ่งทำชามก๋วยเตี๋ยวคว่ำใส่หัวพี่แกจนนองหน้า

ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่ พลางฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนที่ยืนอยู่แถวนั้น จนคนอื่นๆ พร้อมใจกันเปิดทางให้ แต่ยังครับ ความเละเทะในครั้งนี้ยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อเหล้ารัมยกมือขึ้นสะบัดแรงๆ หนึ่งที..พี่ปูนก็เกิดการไถลลื่นเป็นทางยาว จนไปชนกับถังขยะ ก่อนที่หัวของพี่เขาจะทิ่มลงไปอย่างกับในหนังตลกอะไรแบบนั้น!

จริงๆ ก็แอบเห็นใจนะ แต่พอคิดถึงความปากเสียของพี่เขาแล้ว ผมก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ~ ดูท่าว่างานนี้คงจะเละน่าดูเลยล่ะ เพราะว่าไอ้ถังขยะที่ตกไปน่ะมันไม่ใช่ถังขยะธรรมดา แต่เป็นถังทิ้งเศษอาหารที่ตั้งอยู่ตรงที่เก็บจานต่างหาก

"ครั้งนี้ผมให้คุณสิบคะแนนเต็มเลยครับเหล้ารัม : )"

แล้วจะยังไงต่อล่ะ ผมก็ต้องชื่นชมเหล้ารัมสิครับที่สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้

เหล้ารัมเองก็ยิ้มสะใจเต็มที่ ก่อนที่เราจะไฮไฟฟ์กันแบบที่ไม่มีใครนัดหมายใครมาก่อน แต่จังหวะนี่คือลงตัวเป๊ะ

และนั่นล่ะครับ ความพีคสุดของการแสดงความเป็นเจ้าของที่เหล้ารัมได้ทำการสร้างวีรกรรมไว้ (โดยที่ไม่มีใครรู้) แล้วหลังจากนั้น พี่ปูนก็ไม่เคยมายุ่งกับผมอีกเลย เอ? ได้ข่าวว่าตอนที่ตกไปนี่ปากไปกระแทกกับก้นถังด้วยนะ เห็นว่าตอนนี้ยังไม่หายบวมเลยด้วย สงสัยพี่ปูนคงจะอดปากดีกับคนอื่นไปพักใหญ่ๆ เลยล่ะ : )

/ ต่อด้านล่าง /


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
โอเค หมดเรื่องความแสบของเหล้ารัมไปแล้ว ทีนี้ผมจะขอเล่าอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างจริงจังขึ้นมาบ้าง นั่นก็คือ..การพูดคุยทำความเข้าใจ

จริงๆ อย่าว่าแต่แฟนเลยนะครับ เพื่อนกันเนี่ย พอช่วงที่เริ่มคบกันใหม่ๆ ต่างก็ต้องผ่านจุดที่พูดคุยทำความเข้าใจซึ่งกันและกันแทบทั้งนั้น เพียงแต่หัวข้อที่คุยกันก็จะแตกต่างกันไปตามสถานะของคนทั้งคู่ก็เท่านั้นเอง

อย่างผมกับเหล้ารัมเนี่ย ก็จะมีประเด็นใหญ่ๆ อยู่ประมาณ..สองเรื่อง ที่ผมค่อนข้างจะจำได้แม่นยำ เพราะอันนึงเป็นการพูดคุยแบบที่ไม่ได้ผลอะไรเลย ส่วนอีกเรื่องเป็นอะไรที่จัดว่าได้ผมดีเกินคาด

เริ่มจากเรื่องที่ไม่ได้ผลก่อน นั่นก็คือ 'การหาคำเรียกกัน' เพื่อให้เราสองคนดูเป็นแฟนกันมากขึ้น เนื่องจากว่าวันนึงไอ้บอยก็เกิดตั้งกระทู้ขึ้นมากลางวงว่า "ทำไมพวกมึงใช้คำเรียกกันแปลกจังวะ คุณๆ ผมๆ โคตรจะทางการ ดูไม่สนิทสนมเหมือนคนเป็นแฟนกันเลย?" แล้วผลก็คือ..เราทั้งคู่เก็บเอาคำพูดของไอ้บอยมาคิด จนผมกับเหล้ารัมตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า จะต้องหาคำเรียกใหม่ที่ดูสนิทสนมกว่านี้ให้ได้

แล้วสารพัดคำเรียกก็เริ่มต้นขึ้น "ตัวเอง เดี๋ยวเค้าลงไปซื้อของก่อนนะ ตัวเองจะเอาอะไรเปล่า" นั่นล่ะครับ คำเรียกแรกที่ถูกใช้ ซึ่งเกิดขึ้นโดยผมเอง ทำเอาเหล้ารัมนี่คือเผลอทำหน้าเหยเกใส่ผมเป็นทั้งแรก เท่ากับว่า..ไม่ผ่าน!

ต่อมา "อ้วนแต่งตัวเสร็จยัง ผมเสร็จแล้วนะ" เป็นความคิดของเหล้ารัม ซึ่งผมรับไม่ได้อย่างมาก คือ..ผมไม่ได้มีปัญหากับคนอ้วน แต่คำว่าอ้วนมันดูเป็นผมตรงไหนไม่ทราบ!? เพราะฉะนั้น..ไม่ผ่าน!

แล้วก็ต่อมา "ตัวเล็กกกก ไปดูหนังกัน" เป็นความคิดของเหล้ารัมอีกครั้ง คงเห็นว่าตัวเองสูงกว่าสินะ โอเค ทนๆ ไปก็ได้ แต่ไหงพอเรียกกลับบ้างว่า "โอเคตัวใหญ่ เราไปดูหนังกันเถอะ" นายพ่อมดเหล้าก็พับโครงการนี้ทันที สรุป..ไม่ผ่านอีกแล้ว!

แล้วก็ต่อมาของต่อมา ซึ่งอันนี้พีคมาก “ที่รักครับ เย็นนี้เราไปกินข้าวบ้านผมกันนะ แม่บอกว่าทำอาหารที่ที่รักชอบไว้เพียบเลย” เรียกว่าเกือบจะผ่านการอนุมัติอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าไอ้เอกเพื่อนรักผมดันพูดขึ้นมาว่า "เชี่ยยย กูจะอ้วกว่ะ เรียกกันแบบนี้ดูไม่ใช่พวกมึงเลย ดูเฟคอะ เลิกเหอะ กูไหว้ล่ะ" พร้อมกับยกมือไหว้ตามที่ว่าจริงๆ

ซึ่งผมกับเหล้ารัมก็เห็นด้วย สุดท้าย.. ก็เลยกลับมาใช้คำว่า 'คุณ' กับ 'ผม' กันอีกครั้ง

แล้วไอ้บอยเจ้าเดิมก็พูดขึ้นมาว่า.. "เออ พูดกันคุณๆ ผมๆ แบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกันเนอะ"

จ้ะ ไอ้คุณเพื่อนบอย ทำไมมึงไม่พูดแบบนี้แต่แรกล่ะ เขาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกันแบบนี้! #มองแรงอย่างเป็นมิตร

เรื่องแรกผ่านไป ทีนี้เรามาต่อกันกับอีกเรื่องที่พูดคุยแล้วได้ผลเกินคาดกันบ้าง อืม.. ก็อย่างที่รู้กันนะครับ ว่าที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เหล้ารัมมักจะโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองไปเสียทุกครั้ง แล้วก็มักจะทำตัวเหมือนทาสที่ตกอยู่ใต้อาณัติอะไรแบบนั้น สามารถให้ผมชี้เป็นชี้ใต้ได้ทุกเรื่อง ซึ่งผมว่าแบบนี้มันไม่ใช่

ไม่รู้นะว่าคนอื่นคิดยังไง บางคนอาจจะชอบก็ได้ที่มีแฟนที่คอยทำตามใจทุกเรื่องโดยไม่เคยมองว่าคุณผิดเลยแม้แต่นิดเดียวแบบนี้ แต่สำหรับผม..หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เมาจนทำร้ายจิตใจเหล้ารัมมาแล้วครั้งนึง ผมก็ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ ว่าถ้าเราสองคนจะคบกันให้มันดีล่ะก็ นายพ่อมดเหล้าจะต้องเป็นมากกว่าทาส แต่จะต้องเป็นคนที่สามารถว่ากล่าวตักเตือนผมในสิ่งที่ผิดได้ และหากไม่ชอบใจอะไร ก็ขอให้บอกออกมาตรงๆ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เกิดการเถียงกันก็เถอะ แต่ผมมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า ถ้าสุดท้ายเราสามารถถกเถียงกันจนหา 'ตรงกลาง' ระหว่างเราสองคนในเรื่องนั้นๆ ได้ ปัญหาเหล่านั้นก็จะไม่วกกลับมาทำร้ายความสัมพันธ์ของเราอีก อีกทั้ง การพูดกันให้รู้เรื่องไปเลย ย่อมดีกว่าการเก็บไว้ เพราะมันจะช่วยให้เราเรียกรู้และเข้าใจกันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าเหล้ารัมเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าช่วงสองวันแรกจะยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดออกมาตรงๆ ก็เถอะ แต่พอเริ่มเข้าวันที่สามสี่ห้า เหล้ารัมก็เริ่มกล้าที่จะพูดมากขึ้น แล้วมันก็ทำให้เราทั้งคู่ได้เรียนรู้อะไรดีๆ อีกเยอะเลยครับ : )

แต่ทว่า การเปลี่ยนแปลงของสถานะแฟนก็ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ ยังมีเรื่องนี้ด้วย เรื่องของ 'การแสดงความรัก' ที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

เพราะจากเมื่อก่อนที่เหล้ารัมจะเป็นคนรุกหนักผมอยู่ฝ่ายเดียว (เอ่อ... หมายถึง 'รุก' ในเชิงแสดงความรักนะครับ ไม่ใช่ 'รุก' อีกอย่าง) กลับกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างรุกกันไปมาแทน อย่างบางทีผมมองหน้าเหล้ารัมตอนดูทีวี แล้วรู้สึกว่าเขาน่ารัก ผมก็จะจุ๊บแก้มเขาเลย แบบไม่มีการอายอะไรทั้งนั้น ก็นะ คนมันรู้ตัวว่าชอบแล้วอะ แถมยังเป็นแฟนกันแล้วด้วย ยังจะต้องมามัวอายอะไรกันอีก จริงมั้ย?

หรือว่าบางทีผมกำลังยืนทำกับข้าวอยู่ดีๆ เหล้ารัมก็แอบเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ส่งผ่านความอุ่นจากร่างกายของเขามาให้ พร้อมกับขโมยจุ๊บแก้มไปด้วยก็มี ทำเอามื้อนั้น ผักที่ผมหันหน้าตาคือแย่มาก เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เรียกว่ากลายเป็นงานหยาบสุดๆ ไปเลย แต่ก็..กลายเป็นเรื่องขำขันของเราทั้งคู่น่ะนะ ฮ่าๆๆๆ~

แต่ที่ผมชอบที่สุดเลยก็คือ การแสดงความรักในที่สาธารณะเนี่ยแหละ คือ..อย่างการจุ๊บกันในห้องสมุดนี่ถือว่าเป็นอะไรที่ผิดพลาดมากนะ จนพอมานึกย้อนดู เหล้ารัมก็ถึงกับออกปากเองเลยว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้น เพราะฉะนั้นหลังจากที่นายพ่อมดสำนึกได้ เวลาที่เราออกไปไหนมาไหนกันก็ตาม เขาก็จะไม่จุ๊บแก้มหรือจูบปากผมในที่สาธารณะเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีหลายช่วงเลยที่ผมรู้สึกว่านายผมบลอนด์อยากทำก็ตาม แต่เขาเองก็รู้ลิมิตเหมือนกัน ว่าการอยู่สังคมภายนอกแล้วมาแสดงความรักต่อกันมากเกินไป มันก็ออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเวลาที่เขาต้องการแสดงความรักในที่แจ้ง เขาก็จะทำมากสุดเพียงจับมือแบบประสานกันไว้ แล้วยกมันขึ้นมาจุ๊บที่หลังมือของผมแค่นั้น ซึ่งน่ารักดี ดูไม่มากเกินไปด้วย จนผมเองต้องแอบขอยืมวิธีการนี้มาใช้กับเค้าบ้างเหมือนกัน : )

แต่ถึงแม้ว่าภาษากายในการแสดงความรักของผมกับเหล้ารัมจะพัฒนาไปไกลกว่าก่อนหน้าที่ผมจะรู้ตัวว่าชอบเหล้ารัมแล้วก็ตาม แต่คำว่า 'เซ็กส์' ก็ยังไม่ใช่อะไรที่เราสองคนไปถึงนะ

คือ.. จริงๆ แล้วตอนแรกผมก็แอบหวั่นใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชาย และไม่มีอะไรให้เสียก็เถอะ แต่ไม่รู้สิ พอคิดว่าเหล้ารัมอาจจะใช้สิทธิ์ของคำว่าแฟนมาอ้างเพื่อเรียกร้องเอาเรื่องนี้จากผม มันก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทุกที คือ..ผมว่าผมยังไม่พร้อม ของแบบนี้มันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาจริงๆ

ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ยังคงเงียบ ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเลย ทำเพียงแค่ลวนลามผมบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น มันเลยทำให้ผมเหมือนเด็กเก็บกดที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจัดการตัวเองเมื่อไหร่ จนต้องตัดสินใจถามออกไปตรงๆ "คุณครับ ผมถามคุณจริงๆ นะ ว่าคุณ.. เอ่อ.. อยากมีเซ็กส์กับผมรึเปล่า?"

แน่นอนว่าเหล้ารัมดูตกใจมาก แต่เขาเองก็คงจะจับความหวาดหวั่นของผมได้ เลยเริ่มแปรเปลี่ยนจากความตกใจเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนแทน พร้อมกับตอบคำถามออกมาได้หล่อที่สุดในโลก! "เรื่องนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม แต่ว่ามันขึ้นอยู่กับคุณต่างหากครับ : )"

"ขะ..ขึ้นอยู่กับผมอย่างงั้นหรอ?"

"ใช่ครับ เพราะว่าผมเคยหน้ามืดเกือบทำลายคุณมาแล้วครั้งนึง เพราะฉะนั้นมันเลยกลายมาเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ผมรู้ว่าของแบบนี้มันบังคับขืนใจกันไม่ได้ ยิ่งเป็นแฟนด้วยแล้ว ยิ่งต้องแคร์ความรู้สึกใหญ่เลย : )"


อา... หล่ออะ โคตรหล่อเลย!

แล้วก็ไม่ได้ดีแต่พูดนะครับ เพราะพอผมบอกว่ายังไม่พร้อม เหล้ารัมก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลยกับผมแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดว่านอนก็ยังนอนแยกห้องกันเหมือนเดิม ไม่เคยขอมานอนร่วมห้องกันเหมือนอย่างที่ผมแอบคิดไว้ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมประทับใจในตัวแฟนผมคนนี้มากขึ้นไปอีก เพราะเขาให้เกียรติกับผมมาก รู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่ยอมตกลงเป็นแฟนกับเขาแบบนี้ : )

แล้วก็เพราะว่าความเป็นสุภาพบุรุษของเหล้ารัมเนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมตัดสินใจตกปากรับคำมาตั้งเต็นท์นอนดูฝนดาวตกกับเขาแบบสองต่อสองในคืนนี้

ซึ่งที่ที่เราสองคนเดินทางมาก็คือบ้านพักตากอากาศของตระกูลเกรวินเกอร์ที่ตั้งอยู่ในป่าสนทางตอนเหนือของโลกเวทมนตร์ อากาศค่อนข้างดีมาก จนคุณพ่อมดเหล้าเกิดไอเดียว่า แทนที่เราจะนอนกันในบ้านพักอย่างอบอุ่นและแสนสุขสบาย ควรเปลี่ยนบรรยากาศมาดื่มด่ำกับธรรมชาติ โดยการโผล่เอากลางป่าเพื่อกางเต็นท์แทน

บอกตรงๆ ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าเป็นความคิดที่ดีมั้ย เพราะป่าตอนกลางคืนไม่ใช่อะไรที่น่ารักสำหรับผมนัก แต่พอเหล้ารัมสะบัดมือสองสามที เกิดเป็นเต็นท์หลังใหญ่หนึ่งหลัง กองไฟให้แสงอบอุ่นหนึ่งกอง พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มันก็ทำให้พื้นที่กลางป่าที่เราอยู่กันขณะนี้ดูจรรโลงใจขึ้นมาเลย

"วาฬครับ ใกล้เวลาที่จะเกิดฝนดาวตกแล้วนะครับ ผมว่าคุณมานอนตรงนี้กับผมดีกว่า" แล้วพอเวลาผ่านไปสักพัก จากตอนแรกที่เห็นว่าเหล้ารัมกำลังจัดข้าวจัดของอยู่ข้างๆ เต็นท์ พอรู้ตัวอีกที เขาก็ปูผ้านอนมองฟ้าอยู่บริเวณแถวๆ หน้าเต็นท์แล้ว

ผมที่นั่งเติมฟืนอยู่หน้ากองไฟ ก็เลยลุกไปล้มตัวลงนอนข้างๆ เหล้ารัม โดยไม่ลืมที่จะคว้าชามใส่มาร์ชเมลโล่ย่างไปแบ่งให้นายพ่อมดเหล้าได้กินด้วย

"อร่อยมั้ยครับ?"

"อร่อยสิ ก็คุณเป็นคนย่างนี่หน่า : )"

แน่ะ ปากหวาน

"ว่าแต่.. แล้วคุณรู้ได้ไงครับว่าคืนนี้จะมีฝนดาวตก" พอดีว่าตอนชวนกันมานี่เป็นอะไรที่ฉุกเฉินมาก ผมก็เลยยังไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรจากเขา

"อ๋อ ผมอ่านข่าวมาน่ะครับ"

"แล้วทำไมถึงไม่ชวนเพื่อนๆ คุณมาด้วยล่ะ เห็นว่านานๆ จะมีฝนดาวตกไม่ใช่หรอ?"

"โอ๊ย พวกนั้นมันไม่ว่างหรอกครับ คนนึงก็เจ้าชายรัชทายาท อีกคนก็ผู้นำตระกูล งานล้นมือจะตาย มีแต่ผมเนี่ยแหละที่มีเวลาว่างให้ทำนู่นทำนี่ แล้วอีกอย่างนะ ผมอยากมากับคุณแค่สองคนด้วย : )" พูดจบ เหล้ารัมก็โยนมาร์ชเมลโล่ย่างชิ้นใหม่ใส่ปาก ดูมีความสุขเหมือนเด็กๆ เลย

จนผมอดไม่ได้ที่จะถามต่อ "แล้วคุณไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบบ้างหรือไง"

"มีสิ ก็คุณไง คนที่ผมจะต้องรับผิดชอบ : )"

อะ.. มะ..ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย! "ผมหมายถึงว่า หน้าที่การงานอะไรแบบนั้นน่ะครับ" เก่งจริ๊ง เรื่องทำให้ผมเขินเนี่ย!

แต่เหล้ารัมก็ส่ายหน้า "จนกว่าคุณจะพ้นจากคำสาปไปได้ ผมจะไม่ยอมทำงานเด็ดขาด"

"แล้ว... แบบนี้มันจะไม่เป็นปัญหาหรอครับ"

"ก็เป็นปัญหาอยู่นะ แต่เอาเป็นว่าผมรับมือได้ก็แล้วกัน : )" แล้วเหล้ารัมก็โยนมาร์ชเมลโช่ย่างใส่ปากด้วยท่าทางสบายๆ อีกครั้ง แถมคราวนี้ยังหยิบอีกชิ้นมาป้อนใส่ปากผมด้วย

โอเค.. เอาเป็นว่าถ้าเขาไม่เดือดร้อน ผมก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องโฟกัสก็แล้วกันนะ

"..."

"..."

แต่ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างเคี้ยวมาร์ชเมลโล่ย่างตุ้ยๆ จนเกิดเป็นจังหวะเงียบของเราทั้งคู่อยู่นั้น จู่ๆ ผมก็ดันนึงถึงเรื่องความฝันประหลาดๆ ของตัวเองขึ้นมาได้ ก็เลยทำการผลิกตัวหันไปหาเหล้ารัม เพื่อตั้งใจจะเล่า

"นี่คุณ ผมมีเรื่องนึงอย่างเล่าให้คุณฟังจัง"

"เรื่องอะไรครับ?" เหล้ารัมถามกลับ ในขณะที่ตายังคงจับจ้องอยู่กับท้องฟ้า ราวกับกลัวว่าตัวเองจะพลาดวินาทีที่ฝนดาวตกปรากฏตัวเป็นครั้งแรกยังไงยังงั้น

"คืนที่ผมสารภาพว่าผมชอบคุณ ผมฝันครับ"

"ฝัน?"

"ใช่ครับ ผมฝัน"

"คุณฝันว่าอะไรล่ะ?"

"ผมฝันว่าเราสองคนยืนกันอยู่ในทุ่งดอกหญ้า ช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน"

"เอ.. ฟังดูดีแฮะ ไว้วันหลังผมพาคุณไปในที่แบบนั้นบ้างก็แล้วกันนะ : )"

"แต่มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ คุณที่อยู่ในฝันดันพูดกับผมว่า 'ผมจะตายไปพร้อมกับคุณนะครับวาฬ : )' ซึ่งมันแปลกมาก คุณว่าเรื่องนี้มันจะเป็นลางร้ายอะไรึเปล่า?"

"..."

จริงๆ ตอนแรกผมตั้งใจแค่ว่าจะเล่าถึงความประหลาดของสิ่งที่เหล้ารัมพูดในฝันนะ แต่ไม่รู้ทำไม.. พอพูดออกไปแล้ว ดันเผลอคิดไปในด้านลบซะอย่างงั้น

"..."

"..."

แถมพอฟังผมพูดจบ เหล้ารัมก็ดันหันมาสบตากับผมนิ่งๆ.. โดยไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว จนผมชักจะเริ่มหวั่นใจขึ้นมาแล้ว..

"..."

"..."

แต่พอนิ่งกันอยู่ได้สักพัก เหล้ารัมก็หลุดยิ้มออกมาในที่สุด ทำเอาผมนี่งงไปหมด ว่าสรุปเขาจะเอายังไงกันแน่?

"คุณนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันเนอะ : )"

"อะ..อะไรนะ?" แล้วก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก เมื่อจู่ๆ เหล้ารัมก็ดันเอ่ยปากชมผมซะอย่างงั้น!?

"ก็ดูสิ เก็บเอาผมไปฝันด้วย : )"

"อา..."

อะไรกันเนี่ยยยย~ ตอนแรกผมยังกังวลกลัวว่าความฝันของตัวเองจะเป็นลางร้ายอยู่เลย แล้วไหงเหล้ารัมดันพลิกกลับมาทำให้ผมเขินได้ล่ะ!?

ระ..ร้าย!

"นั่น ฝนดาวตก!" แต่ในขณะที่ผมไม่รู้ว่าจะตอบเหล้ารัมกลับไปยังไงดี หางตาก็เหลือบไปเห็นฝนดาวตกที่กระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้าขึ้นมาซะก่อน ก็เลยถือโอกาสนั้นดึงความสนใจนายพ่อมดเหล้าไปยังสิ่งที่เราตั้งใจจะมาดูด้วยกันในวันนี้..

สวยจังแฮะ.. ยิ่งท้องฟ้ามืดสนิท ไร้เมฆ ไร้ดวงจันทร์ ผมก็ยิ่งเห็นฝนดาวตกได้ชัดเจนมากขึ้น นี่ถ้าเป็นเมืองหลวงที่ผมอยู่นะ อย่าว่าแต่ฝนดาวตกเลย เอาแค่ดวงดาวธรรมดาๆ ทั่วไป ยังแทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ

คงต้องขอบคุณเหล้ารัมน่ะนะ ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นอะไรดีๆ แบบนี้ได้เนี่ย : )

"วาฬครับ คุณไม่อธิษฐานหรอ เขาว่าถ้าอธิษฐานกับฝนดาวตก คำอธิษฐานจะเป็นจริงนะครับ"

"อ๊ะ จริงด้วย" นี่ผมลืมไปได้ยังไงกันนะ

คิดได้ดังนั้น ผมก็รีบกุมมือทั้งสองข้างไว้ พลางหลับตา.. เพื่อทำการอธิษฐานสิ่งที่ปรารถนาในใจ..

"ขอให้เหล้ารัมมีชีวิตที่ดีตลอดไป ถึงแม้ว่า..จะไม่มีผมอยู่ตรงนี้ก็ตาม"
[/i]

โอเค ผมรู้นะว่ามันอาจจะฟังดูดราม่าไปหน่อย แต่ผมก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดีหรือร้ายล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จริงอยู่ที่ตอนนี้เราทั้งคู่อาจจะได้มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ทั้งนั้น ว่าพันธะสัญญาครั้งที่สองของเราจะสำเร็จก่อนที่เวลาของคำสาปจะมาถึงมั้ย?

เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าวันนึงผมเกิดต้องตายจากไปจริงๆ ผมก็อยากให้เขาอยู่ต่อไปให้ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผมอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วก็ตาม

"นี่" แล้วตอนที่ผมลืมตาขึ้น ก็เป็นจังหวะเดียวกับกับที่เหล้ารัมสะกิดผมพอดี "คุณอธิษฐานว่าอะไรหรอวาฬ?"

"ไม่บอก"

"อ้าว"

"คุณเองก็ห้ามบอกผมเหมือนกันนะ เดี๋ยวมันจะไม่เป็นจริง : )"

"โอเค" ก่อนที่เหล้ารัมจะยกมือยอมแพ้  ซึ่งดีแล้ว เพราะถึงให้เค้นให้ตายยังไง ผมก็จะไม่มีทางบอกออกไปเด็ดขาด

ในเมื่อ.. ผมอยากให้สิ่งที่ผมอธิษฐานมันเกิดขึ้นจริงนี่ : )



จบตอนที่ 13

ขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไม่ได้อัพให้อ่านกัน

คือแฮมสเตอร์เล็งเห็นว่า เมื่อเทียบจากตอนแรกๆ แล้ว ช่วงหลังๆ นี่คนอ่านหายกันไปเยอะมาก

ก็เลยลองย้อนกลับไปอ่านบทแรกๆ ดู

แล้วก็พบว่า อาจจะเป็นเพราะช่วงหลังๆ แฮมสเตอร์ค่อนข้างเขียนดร็อปลงไปจากช่วงแรกมาก

เพราะฉะนั้น ก็เลยตัดสินใจลองปรับแก้ช่วงท้ายๆ ใหม่ดู เพื่อให้ออกมาดีขึ้น

จะได้สมกับที่มีคนคอยตามอ่านกันนะครับ

ยังไงก็ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างเลยนะครับ : )

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เหล้ารัมเป็นพ่อมดที่เพียบพร้อม แย่หน่อยนะ มาเจอ คนอย่างวาฬ กว่าจะรู้ใจตัวเองก็คงตายซะก่อน หรือไม่ก็ ทำเหล้ารัมเสียใจอีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ยาวมากกกกกกกกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คิดว่าเหล้ารัมเองก็คงอธิษฐานว่าถ้าช่วยไม่ได้ก็ขอตายไปพร้อมกัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาแล้วววววว เรายังรอคอยอยู่นะคะะ >< สู้ๆค่าาา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นแฟนกันแล้ววว กว่าวาฬจะรู้ตัวนะ ลุ้นตั้งนาน

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
คือช่วงอวดแฟนใช่ม่ะ วาฬ... :m12: :m12:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 14
{ ปวดใจ }


ช่วงนี้เป็นฤดูกาลสอบกลางภาคครับ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราชาว’ถาปัตย์เลยสักนิด เพราะถ้าให้เทียบกับกองงานขนาดเท่าภูเขาเลากาแล้ว การสอบนี่ถือว่าอีซี่โคตร!

แล้วก็เพราะว่าไอ้เจ้าพวกงานกองใหญ่ที่เหล่าอาจารย์รุมกันโยนใส่นักศึกษาเนี่ยแหละ ที่ทำให้ผมกับกลุ่มเพื่อนต้องมานอนกองกันที่บ้านหลิวตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว โดยมีเหล้ารัมตามมาแอ๊บทำงานด้วย ซึ่งก็ถือว่าวิเศษมาก เพราะไม่ว่าใครจะติดปัญหาในการทำงานใดๆ ก็แล้วแต่ นายพ่อมดเหล้าของเราก็สามารถแอบช่วยจัดการให้ได้หมดทุกคน จนผมแอบคิดเล่นๆ ว่า.. ไอ้เอก หลิว แล้วก็ไอ้บอยนี่ต้องขอบคุณผมนะเนี่ย ที่มีแฟนเป็นพ่อมดที่เก่งแบบนี้ ไม่งั้นมีหวังงานไม่คืบหน้าแน่ อิอิ : )

ว่าแต่.. แสงแดดแยงตากันขนาดนี้แล้ว จะมีแค่ผมคนเดียวที่ตื่นจริงๆ หรอเนี่ย?

“...” คือตอนนี้พวกเราทั้งหมดนอนกองกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น (ที่เนรมิตให้กลายเป็นห้องทำงาน) ครับ โดยมีหลิวที่นอนหลับอย่างเรียบร้อยอยู่บนโซฟาเหนือหัวผม ในขณะที่ไอ้เอกกับไอ้บอยนอนเอาหัวชนกันอย่างหมดสภาพ ส่วนผมกับเหล้ารัม.. เอ่อ.. กำลังนอนหันหน้าเข้าหากันอยู่..

“...” จริงๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ที่ผมกับนายพ่อมดเหล้าได้นอนใกล้ๆ กันแบบนี้ เพราะว่าเราสองคนเคยนอนด้วยกันแล้วตั้งแต่ตอนที่ไปตั้งเต็นท์ดูฝนดาวตกเมื่อสองวันก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม..หัวใจมันถึงได้รู้สึกวูบวาบนัก..

หรืออาจจะเพราะว่าตอนนั้น..เหล้ารัมตื่นนอนก่อน เลยทำให้ผมไม่มีโอกาสได้มานอนมองหน้าเขาตอนหลับแบบครั้งนี้ก็เป็นได้ : )

ดูสิ คนอะไรก็ไม่รู้ ทำไมถึงได้หน้าตาดีแม้กระทั่งตอนกำลังหลับแบบนี้นะ ถึงแม้ว่าจะหัวยุ่งจนไม่เป็นทรง แถมบริเวณทีโซนก็ออกจะมีความมันนิดๆ แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่หลับได้ดูดีอยู่ดี เหมือนเวลาตอนตื่นก็อย่างนึง แต่พอนอนหลับก็จะดูเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีที่สิ้นฤทธิ์ไปอีกอย่างนึงอะไรแบบนั้น

ตึกตัก ตึกตัก

เฮ้ออออ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งวูบวาบอะ นี่สรุปว่าเค้าจะมีพลังทำลายล้างสูงแม้กระทั่งยามหลับเลยใช่มั้ยเนี่ย!

ทว่า.. “นี่คุณ” ในขณะที่ผมกำลังนอนมองหน้าเหล้ารัมอยู่เพลินๆ นั้น “นอนมองผมซะขนาดนี้ ไม่จูบผมเลยล่ะครับ” จู่ๆ เขาก็ดันพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่เลย!

“บ้า!” ด้วยความตกใจระคนเขินอาย ผมเลยเผลอฟาดแขนเขาซะเต็มแรง ทำเอาเหล้ารัมถึงกับลืมตาตื่นขึ้นมาร้องโอดโอยในทันที น่ะ..นี่สรุปว่าแกล้งหลับหรอเนี่ย!?

“โอ๊ย! เจ็บนะครับวาฬ”

แล้วก็ไม่ใช่แค่เหล้ารัมที่ตื่นไง เพราะพอเราทั้งคู่ทำเสียงดัง ก็เป็นผลให้คนอื่นๆ ตื่นตามไปด้วย เริ่มจากหลิวที่ลุกขึ้นนั่งด้วยหน้าตางัวเงีย พร้อมกับพูดว่า “อ้าว ตื่นกันแล้วหรอ งั้นเดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาคิดกันว่าจะกินอะไรดี” ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินลากคาขึ้นไปบนบ้าน

“...” ต่อมาก็ไอ้เอกครับ รายนี้มันก็ตื่นแล้วเช่นกัน แต่เป็นการตื่นขึ้นมามองผมสองคนด้วยแววตาหงุดหงิดนะ.. ราวกับว่าต้องการจะต่อว่าทางสายตาใส่ผมกับเหล้ารัมเรื่องที่ทำเสียงดังจนมันสะดุ้งตื่นอะไรประมาณนั้น ก่อนที่สุดท้าย..ไอ้เอกเพื่อนรักของผมมันจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง อย่างหมดสภาพ..

เอ่อ... กูขอโทษที่รบกวนก็แล้วกันนะมึง

ส่วนบอย รายนี้ตายครับ ไม่มีการขยับเขยื้อนอะไรทั้งนั้น เข้าใจแล้วว่าคำว่าหลับเป็นตายน่ะมันเป็นยังไง ขนาดว่าผมกับเหล้ารัมส่งเสียงดังกันซะขนาดนี้ มันยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวเลยสักนิด นี่ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเชิญอะไรขึ้นมา เพื่อนผมมันจะตื่นมั้ยวะเนี่ย?

“อ๊ะ!” พอสำรวจเพื่อนแบบคร่าวๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับมาหาเหล้ารัมอีกครั้ง ละ..แล้วก็เป็นอันต้องสะดุ้งเข้าให้! เพราะดูเหมือนว่านายพ่อมดเหล้าจะขยับเอาหน้าเข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม แถมยังส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาอีก จนผมนี่ถึงกับต้องรีบถามออกไปทันที ว่าไอ้ยิ้มแบบนี้น่ะมันยังไงกันแน่? “ยะ..ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงครับ?”

“เปล๊าาา : )”

“บอกว่าเปล่า แต่เสียงสูงเลยเนี่ยนะ!?” แบบนี้ใครมันจะไปเชื่อกันว่าเขาไม่ได้มีอะไรน่ะ!?

“อะไร ไม่ได้เสียงสูงสักหน่อย : )”

“...” ยัง ยังไม่ยอมตอบใช่มั้ย ได้! งั้นผมจะไม่ถามต่อแล้ว

แต่ทำการหรี่ตามองเพื่อกดดันเขาแทนก็แล้วกัน!

แต่ถึงอย่างงั้นเหล้ารัมก็เอาแต่ปิดปากยิ้มอยู่เกือบนาทีเลยนะ จนในที่สุด... “โอเค ยอมก็ได้ ผมก็แค่..อยากจะรอถามคุณเฉยๆ ว่ายังอยากจะจูบผมอยู่รึเปล่า : )” ..เขาก็ตอบออกมา

แล้วดูสิ่งที่เขาตอบสิ อะเราก็นึกว่าอะไร ที่แท้ก็ตั้งใจจะแกล้งกันชัดๆ!

“คนบ้า!”

งานนี้ผมก็เลยได้ฟาดคนเข้าให้อีกหนึ่งที เพราะที่แท้เหล้ารัมก็แค่อยากจะแกล้งผมต่อจากตอนที่นอนมองหน้าเขาเท่านั้นเอง ระ..ร้ายมาก!

“โอ๊ยยย ตีที่เดิมแบบนี้มันเจ็บนะวาฬ”

“ผมว่าผมไปอาบน้ำดีกว่า” และโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงบ่นเจ็บของอีกฝ่าย ผมก็รีบลุกขึ้นไปยังกระเป๋าเป้.. หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กับอุปกรณ์ในการอาบน้ำที่เตรียมมา แล้วรีบเดินหนีเหล้ารัมเข้าไปในห้องน้ำชั้นล่างทันที

เพราะถ้าไม่อย่างงั้น.. ถ้าขืนยังนอนหันหน้ามองเค้าอยู่ต่อไปล่ะก็ มีหวังนายพ่อมดเหล้าคงจะได้เห็นแน่ ว่าผมน่ะ เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหยุดเลยเนี่ยยยย~



* * * * * * *



หลังจากที่ผม หลิว และเหล้ารัมอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยทั้งสามคนแล้ว การประชุมขนาดย่อมเรื่องเมนูอาหารก็เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่คนคิดจะหนักมาทางผมกับหลิว ในขณะที่เหล้ารัม (ผู้ซึ่งไม่สันทัดด้านการทำอาหาร) มีหน้าที่เพียงแค่ยืนจดสิ่งของต่างๆ ที่ต้องออกไปซื้อเท่านั้น

“ขอหมึกผัดไข่เค็มด้วยได้มั้ย” เว้นเสียแต่เมนูสุดท้ายเนี่ยแหละที่จู่ๆ คุณแฟนของผมก็ดันรีเควสขึ้นมา ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนที่ทำเมนูนี้ให้เขากินเป็นครั้งแรก..

“หืมมม หอมจัง อะไรเนี่ย”

“นี่คุณ ปล่อยก่อนครับ ผมผัดไม่ถนัดเลย”
จำได้ว่าตอนนั้นผมพยายามอย่างมากที่จะผัดหมึกผัดไข่เค็มในกะทะให้ออกมาดีที่สุด ในขณะที่ช่วงเอวก็จะต้องโดนนายพ่อมดเหล้าที่ตัวสูงกว่าล้อมกอดจากด้านหลังไปด้วย

“โอเค ผมจะยอมปล่อยก็ได้ แต่คุณต้องบอกมาก่อนนะว่าที่อยู่ในกะทะเนี่ย เขาเรียกว่าอะไรกันแน่”

“หมึกผัดไข่เค็มครับ”

“หมึกผัดไข่เค็ม?”

“ใช่ครับ ผมเพิ่งลองทำเป็นครั้งแรก พอดีเมื่อคืนเปิดเจอในยูทูป ยังไม่รู้เลยว่าจะอร่อยมั้ย”

“งั้นไหน มาให้ผมลองชิมซิ”
เหล้ารัมยอมปล่อยผมเป็นอิสระในวินาทีนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบช้อนมาชิมหมึกผัดไข่เค็มฝีมือผมอย่างที่ว่า

“เป็นไงครับ?” ผมถามอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นว่าเหล้ารัมดูจะนิ่งไปเลย ทั้งที่ปกติเวลาชิมอาหารที่ผมทำทีไร ก็จะออกอาการชมอย่างโอเวอร์เสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้..

“อืม... ขอลองชิมอีกที” นายพ่อมดเหล้ากลับตักชิมอีกครั้ง ตอนแรกก็ชิมน้ำผัดที่ผสมไข่เค็ม ต่อมาก็ชิมเนื้อปลาหมึก

“เป็นไงครับ โอเคมั้ย”

แต่ก็เหมือนเดิม ”คือ... ขอชิมอีกทีแล้วกันนะครับ” เหล้ารัมยังคงไม่แสดงอาการอะไรออกมา ทำเพียงแค่ขอชิมอีกครั้ง จนผมต้องเบาไฟ แล้วขยับตัวออกมาทางซ้าย เพื่อให้เหล้ารัมสามารถชิมได้ถนัดขึ้น

ตอนแรกน้ำ ต่อมาก็เนื้อปลามึก แล้วก็วนกลับไปน้ำ ต่อด้วยเนื้อปลาหมึก แล้วทีนี้ก็เริ่มตักทั้งเนื้อทั้งน้ำ ตามด้วยผัก เรียกมาเป็นการชิมอย่างต่อเนื่องจนผมต้องรีบร้องห้าม

“เหล้ารัม คุณชิมเยอะไปแล้วนะ ยังสรุปไม่ได้อีกหรอว่าโอเคมั้ย?”

“...”

“นี่คุณ ฟังผมอยู่รึเปล่าเนี่ย?”

“...”

“เหล้ารัม หยุดชิมเดี๋ยวนี้ จะหมดกะทะแล้วนะ!”

“...”

“เหล้ารัม! หยุด!”

“...”


นายพ่อมดเหล้าถึงกับสะดุ้ง ดูยังไงก็เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ยังไงยังงั้น ขณะที่ช้อนก็ยังคาปากอยู่เลย

“คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ย?”

“ผมรักมัน”

“หะ..หา!?”

“ผมรักหมึกผัดไข่เค็มฝีมือคุณ”

“...”

“มันอร่อยมาก”

“...”

“ได้ยินมั้ยวาฬ มันอร่อยมาก!”

“ดะ..ได้ยินแล้วครับ”

“ทำให้ผมกินอีกชามนะ”

“แต่ว่าในนะกะนี่ก็ยัง..”

“ได้โปรดดดดด~”



สรุปว่าวันนั้น เหล้ารัมฟาดหมึกผัดไข่เค็มคนเดียวสองกะทะรวด! เขายอมรับสารภาพเลยว่าตอนที่กินเป็นอะไรที่หน้ามืดตามัวมาก เหมือนโดนสะกดจิตอะไรแบบนั้น ซึ่งผมก็เชื่อ เพราะกลายเป็นว่ามื้อนั้นไม่เหลือซากอะไรให้ผมกินเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนสุดท้ายต้องไปเจียวไข่เงียบๆ อยู่ในครัว โดยมีเหล้ารัม (ที่ฟาดหมึกผัดไข่เค็มไปหมดแล้ว) มายืนทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ ทั้งที่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไร ออกจะดีใจด้วยซ้ำ

แค่ต้องบันทึกเอาไว้ให้ขึ้นใจเท่านั้นเองว่า.. ‘หมึกผัดไข่เค็ม = เมนูอันตราย’ เพราะจะเปลี่ยนจากนายพ่อมดเหล้า ให้กลายเป็นปีศาจจอมเขมือบน่ะสิ!

เพราะฉะนั้น “คุณแน่ใจนะ?” ผมเลยต้องถามย้ำเพื่อความในใจแบบที่รู้กันสองคนว่า..ถ้าทำให้กินแล้ว เขาจะสามารถควบคุมสติตัวเองได้?

แล้วผลก็คือ “เอ่อ.. งั้นขอเป็นไข่น้ำแทนก็แล้วกันครับ” หลังจากที่นิ่งคิดไปนานเกือบนาที เหล้ารัมก็ตัดสินเปลี่ยนเมนูจนได้

แบบนี้แสดงว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ไม่ได้สินะ?

เหอะ เชื่อเขาเลย ให้ตายสิ : )

“งั้นก็ต้องซื้อไข่ด้วย เพราะที่บ้านเหลือสองฟองเอง เรามีกันตั้งห้า ไม่น่าจะพอกินหรอก” แม้จะยังดูงงๆ กับการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันของเหล้ารัม แต่หลิวก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา ทำเพียงแค่เตือนให้ซื้อไข่มาเพิ่มเท่านั้น

“โอเค น่าจะมีแค่นี้เนอะ” ก่อนที่ผมจะขอกระดาษที่จดจากเหล้ารัมเพื่อตรวจเช็คความถูกต้องอีกที “ถ้างั้นเรารีบไปซื้อของกันเถอะ”

พูดจบแค่นั้น ผมก็เป็นฝ่ายนำทีมเหล้ารัมกับหลิวออกจากบ้าน ทว่า..

“เดี๋ยวก่อนวาฬ” หลิวกลับร้องห้ามผมไว้

“มีอะไรหรอหลิว?”

“คือ.. จะเป็นไรมั้ย ถ้าให้วาฬไปกับเหล้ารัมแค่สองคนน่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมหันมองหน้านายพ่อมดเหล้าอย่างงงๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะหันกลับไปรอฟังคำตอบจากหลิว

“งานหลิวยังไม่เสร็จดีน่ะ เลยอยากจะขอทำต่อก่อน ได้มั้ย?”

“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” ผมยิ้มอย่างเห็นใจหลิวในทันที เมื่อสีหน้าของอีกฝ่ายดูแสดงความเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด “สบายมาก หลิวทำงานเถอะ ซื้อของแค่นี้เอง สองคนก็เกินพอแล้ว ไว้เดี๋ยวกลับมา เราค่อยมาช่วยกันเตรียมอาหารก็แล้วกัน : )”

พอได้ยินผมพูดแบบนั้น หลิวก็ดูจะยิ้มได้อย่างสบายใจขึ้น ก่อนที่หลังจากนั้นผมกับเหล้ารัมจะรีบพากันขับรถออกมา เพราะถ้าขืนมัวแต่ชักช้ากันอยู่ล่ะก็ เกิดไอ้เอกกับไอ้บอยฟื้นคืนชีพขึ้นมา คงจะทำไม่ทันกินแน่

“มา เดี๋ยวผมเข็นให้” แล้วพอมาถึงที่ห้างฯ เหล้ารัมก็แสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยการแย่งรถเข็นไปเข็นเอง ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายเดินตัวปลิวหยิบของต่างๆ ใส่รถเข็นแทน

“ขอบคุณนะครับ”

จะว่าไป ห้างฯ ที่เราสองคนมาในวันนี้เป็นห้างฯ ที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ เคยมาเดินสองสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยประทับใจกับการจัดวางสินค้าของที่นี่สักที ถ้าไม่ติดว่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของหลิวล่ะก็ ผมไม่มีทางยอมมาเด็ดขาด

แต่ถึงจะเป็นห้างที่ผมไม่โปรดปรานนัก การจับจ่ายสิ้นค้าของผมกับเหล้ารัมก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอย่างไร้ปัญหา จนกระทั่ง.. ”คุณครับ คุณว่าเราควรซื้อยี่ห้อไหนดี?” ..มาสะดุดเอาที่ผงหมักทอดกรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลิวต้องการ

“...” ทว่า.. แทนที่เหล้ารัมจะตอบอะไรกลับมาในทันทีเหมือนที่ชอบทำ แต่ในวินาทีนั้น.. นัยน์ตาสีม่วงอ่อนคู่สวยของเขาที่มองมา..กลับสั่นไหวรุนแรงเสียจนผมทนเก็บความสงสัยเอาไว้อีกไม่ได้

“เหล้ารัม.. เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“เอ่อ..” ซึ่งพอโดนทักเข้า ความสั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลมก็พลันสลายหายไป “ผมแค่..คิดถึงแม่ของผมน่ะครับ” ก่อนที่เค้าจะยอมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกมา..

วินาทีนั้นผมไม่สนใจอีกแล้วว่าจะต้องเป็นผงหมักทอดกรอบของยี่ห้อไหน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความรู้สึกของร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก

“คุณโอเคนะ” ผมโยนทั้งสองซองในมือใส่รถเข็น ก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนเขาอย่างปลอบโยน

“ผมโอเคครับวาฬ แต่แค่เมื่อกี้.. ตอนที่คุณหันมาถามผมว่าควรจะซื้อยี่ห้อไหนดี มันทำให้ผม..อดคิดถึงตอนที่มาเดินซื้อของกับแม่สมัยเด็กๆ ไม่ได้ เพราะว่าท่านเอง ก็เป็นคนที่ชอบถามผมแบบนี้เหมือนกัน”

พอได้ฟังแบบนั้น ผมก็เริ่มยิ้มได้ เพราะถึงแม้ว่าสิ่งที่เล่ามาจะชวนให้รู้สึกเศร้า ทว่านัยน์ตาคู่นั้นของเค้า..กลับเป็นประกาย

แสดงว่าภาพความทรงจำในหัวของเหล้ารัมตอนนี้.. คงจะต้องสวยงามมากแน่ๆ : )

“...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เลือกที่จะรวบกอดนายพ่อมดเหล้าเอาไว้แน่นๆ แทน โดยที่ไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

“...” ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นเดียวกัน..

จนกระทั่งผมผละกอดออกจากเขานั่นล่ะ ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีน่ะนะ : )

“งั้นเราไปซื้อของสดกันเถอะครับ จะได้รรบกลับไปทำกับข้าวกินกัน : )”

“โอเคครับ : )”

พูดจบแค่นั้น เราสองคนก็เดินไปยังโซนของสดที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของซุปเปอร์ฯ ผมเลือกนั้นหยิบนี่อย่างดีที่สุดตามที่ได้เรียนรู้มาจากทั้งแม่และพี่ฟ้า จนหลายๆ ครั้งก็ทำเอาเหล้ารัมอึ้งไปเลยที่ได้รู้ว่าผมเป็นคนที่พิถีพิถันกับเรื่องอาหารการกินมากขนาดนี้

ไม่ได้หรอก นี่มันของกินนะ เป็นของที่เราต้องนำเอาใส่ปากเข้าไป ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันมีผลกับร่างกายของเราโดยตรง เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกแต่ของดีๆ สุขภาพของเราก็จะดีตามไปด้วย แต่ถ้าเราหลับหูหลับตาเลือกแต่ของเสียๆ เข้าไปล่ะก็ ผลลัพธ์อาจเลวร้ายกว่าที่พวกคุณคิดก็ได้

“ต่อไปก็ปลากะพงครับ อย่างสุดท้ายแล้ว” เหล้ารัมอ่านสิ่งสุดท้ายในลิสต์ที่เราเขียนกันมา จังหวะเดี๋ยวกันกับที่ผมเพิ่งจะหยิบเนื้อวัวสามแพ็คใส่ลงไป

เราทั้งคู่ก็เลยเดินไปยังโซนขายปลานานาชนิด จนได้พบกับปลากะพงที่เราต้องการ

“เดี๋ยวครับ” แต่ในขณะที่ผมกำลังจะทำการเลือก เหล้ารัมก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ “ครั้งนี้ผมของลองเลือกดูนะครับ”

อ๋อ อย่างงี้นี่เอง งั้นก็.. “เอาเลยครับ เชิญเลือกตามสบาย”

พอผมตกลง นายผมบลอนด์หน้าหล่อก็ยืนกอดอกเพื่อพิจารณาปลากะพงสดอย่างจริงจัง จนผมอดยิ้มกับท่าทางแบบนั้นของเค้าไม่ได้ เพราะว่ามันดู..เท่เป็นบ้า!

“ผมว่าตัวนี้ชัวร์” ซึ่งหลังจากที่ยืนพิจารณาอยู่นานนับนาที เหล้ารัมก็หยิบถุงมือพลาสติกที่ทางห้างฯ เตรียมไว้ให้ขึ้นมาใส่ ก่อนจะเลือกหยิบปลาตัวที่..

“ใช้ไม่ได้ครับ”

“หา!?” เหล้ารัมถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เพราะดูเขาจะมั่นใจมากจริงๆ ว่าปลากะพงตัวที่เลือกต้องเป็นของดีแน่

แต่ผิดครับ “คุณดูนี่สิ” ผมชี้ให้ดูตากับเกล็ดของปลาตัวที่เหล้ารัมเลือก “ตากับเกล็ดปลาขุ่นมาก ใช้ไม่ได้เลย แล้วลองดูตัวนั้น” ก่อนจะชี้ไปที่ปลาอีกตัว “เห็นมั้ย เหงือกสีแดงสด ตาใส เกล็ดกับหนังไม่ขุ่น ทีนี้คุณลองกดที่ตัวมันดู”

“กดลงไปเลยหรอครับ”

“ใช่ครับ ลองกดดู แต่อย่าแรงมากนะ ขอแบบพอดีๆ”

“โอเคครับ”

พอผมยืนยันว่าให้เขาลองกดดูที่ตัวปลาอีกครั้ง เหล้ารัมก็วางเจ้าปลาตัวที่เขาเลือกลง ก่อนจะเริ่มทำตามที่ผมบอก

แล้วผลปรากฏก็คือ “นั่นไงครับ พอคุณกดลงไปแล้ว เนื้อมันไม่บุ๋มตามรอยนิ้ว แสดงว่าเนื้อแน่น ใช้ได้ครับ”

“แบบนี้นี่เอง คุณเก่งจังเลยครับวาฬ : )”

“เอ่อ.. ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมเองก็จำๆ ที่แม่สอนมาอีกที”

“รับอะไรดีครับ” แล้วในขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ค่อยถูกกับขำชมของเหล้ารัมอยู่นั้น พนักงานขายที่หายไปไหนมาก็ไม่รู้ก็ดันโผล่มาซะก่อน ผมก็เลยพยักหน้าเป็นเชิงบอกเหล้ารัมให้ส่งปลากะพงตัวที่ดีให้พนักงานซะ

“เอาตัวนี้ครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายจะเอาปลาไปทำอะไรครับ”

“ทอดครับ”

“งั้นได้เลยครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” พูดจบ คุณพนักงานก็รับปลาจากมือเหล้ารัมไปจัดการต่อเองตามความต้องการของลูกค้า ก่อนที่จะส่งกลับมาเป็นถุงซิปล็อคอย่างดีที่ภายในบรรจุปลากับน้ำแข็งเอาไว้

“วาฬครับ คุณรู้วิธีการเลือกของทุกอย่างเลยหรือเปล่า” แล้วในขณะที่เราเดินกันต่อเพื่อไปยังจุดชำระเงิน เหล้ารัมก็ถามขึ้น

“ไม่หรอกครับ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น” ผมเลยตอบกลับไปตามความเป็นจริง เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนหนึ่งคนจะรู้ไปซะทุกอย่างน่ะ

“แล้วถ้า.. คุณอยากจะเลือกแฟนที่ดีสักคนล่ะ ต้องเลือกแบบไหนกัน : )”

เดี๋ยวนะ! นี่ผมถึงกับหยุดเดินเลยเมื่อเจอเขาถามแบบนั้น ในขณะที่ตัวคนถามก็หยุดเดินด้วย ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ ระ..ร้าย!

ซึ่งถ้าเป็นปกติ ผมก็คงแกล้งทำเป็นโวยวายแก้เขิน หรือไม่ก็ก้มหน้าก้มตาทำเป็นเงียบๆ ไปซะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กับคราวนี้ ผมถึงอยากต่อปากต่อคำก็ไม่รู้

“รู้สิครับ”

“อ้าว รู้ด้วยหรอ งั้นไหนบอกผมมาทีว่าถ้าจะเลือกแฟนที่ดีต้องเลือกยังไง : )”

“ง่ายมากครับ ก็แค่.. เลือกคนที่ชื่อเหล้ารัมก็พอ : )”

แต่แทนที่เหล้ารัมจะหงายเงิบกับหมัดสุดท้ายที่ผมตัดสินใจปล่อยตรงออกไป

กลับกลายเป็นว่าเขาดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้.. “งั้นคุณก็เลือกได้ถูกต้องแล้วล่ะครับ : )” ..แล้วจัดการผมด้วยหมัดสุดท้ายของเขาแทน!!

“..,”

เมื่อเหล้ารัมพูดจบ เขาก็เข็นรถเข็นต่อไปเพื่อนำสินค้าไปชำระเงินตามความตั้งใจแรก โดยไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด.. ว่าเค้าได้ทิ้งแฟนของตัวเองให้หยุดยืนอยู่กับที่.. ด้วยความร้อนจากความเขินอายที่แผดเผาไปทั่วทั้งร่างกาย...

ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ตึกตัก.. ตึกตัก..


หะ..ให้มันอย่างงี้เซ่!!!

/ ต่อด้านล่าง /


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2016 21:42:26 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2


* * * * * * *

“หลิว เราขอจานใบนึงสิ”

“ได้จ้ะ”

ตอนนี้ผมกับเหล้ารัมกลับมาถึงบ้านแล้วครับ โดยที่หลิวกับผมกำลังแบ่งกันทำอาหารกันอยู่สองคนในครัว ซึ่งเสร็จไปแล้วหนึ่งเมนู อันได้แก่ผัดผักบุ้งไฟแดงฝีมือหลิว

“ขอบคุณนะ” ผมรีบกล่าวขอบคุณทันทีเมื่อหลิวส่งจานเปล่ามาให้ตามคำขอ ก่อนที่จะรับมาและวางไว้ข้างตัว

ผมโรยพริกไทยเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับอาหารที่กำลังผัดอยู่ ทำเอาหลิวนี่จามเสียยกใหญ่เลย แต่แปลกนะ ไอ้ผัดกะเพราเนี่ย ทำไมคนที่ผัดกลับไม่ฉุนก็ไม่รู้?

“โห~ น่ากินจัง : )”

แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตักผัดกะเพราเนื้อฝีมือตัวเองใส่จานอยู่นั้น เสียงร้องจากทางด้านหลังก็เรียกความสนใจจากหลิวกับผมขึ้นมาเสียก่อน

“นั่นผัดผักบุ้งฝีมือหลิวเอง เหล้ารัมลองชิมดูได้นะ ช้อนอยู่ในลิ้นชักขวามือจ้ะ” แล้วจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เหล้ารัมที่รีบพุ่งตัวไปหยิบช้อนตามคำบอกของหลิว

พอเห็นแบบนั้นผมก็ยอมน้อยหน้าไม่ได้ รีบตักกะเพราเนื้อให้เสร็จ แล้วเอาไปวางไว้คู่กัน “ส่วนนี่ฝีมือผม ถ้าอยากชิมก็ชิมได้นะครับ” อิอิ : )

ก่อนที่ผมจะเดินกลับมาปรุงรสไข่น้ำที่ทำควบคู่ไปกับตอนที่ผัดกะเพราะต่อ ในขณะที่หลิวเองก็กลับมาง้วนอยู่กับปลากะพงทอดน้ำปลาของเธอเช่นกัน

ทำให้วินาทีนั้นเราทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าเหล้ารัมทำอะไรกับเมนูอาหารสองจานนั้นบ้าง จนกระทั่ง..

“ผมชิมทั้งสองจานแล้วนะครับ” นายพ่อมดเหล้าพูดขึ้นนั่นแหละ ถึงได้เรียกความสนใจจากผมกับหลิวอีกครั้ง “ผัดผักบุ้งของหลิวอร่อยจัง”

“ขอบคุณนะ” พอได้รับคำชมแล้ว เจ้าของผัดผักบุ้งก็หันกลับไปจัดการกับปลาทอดในกะทะต่อ

เลยเหลือเพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงสบตากับเหล้ารัม เพื่อรอคอมเม้นท์จากปากเค้า ซึ่งผลก็คือ..

“แต่สู้ของแฟนผมไม่ได้นะ เพราะว่ากะเพราเนื้อฝีมือแฟนผมเนี่ย อร่อยที่สุดในโลกแล้ว : )”

วะ..วินาทีนั้น..เหมือนผมสามารถควบคุมใบหน้าของตัวเองได้อย่างยากลำบากมาก! เพราะปากมันอยากจะยิ้มออกมาเสียกว้างๆ ทว่าความร้อนที่แผ่ซ่านบริเวณสองข้างแก้มกลับเป็นสัญญาณช่วยเตือนที่บอกให้ผมควบคุมไว้ เพราะถ้าไม่อย่างงั้น ผมได้ยิ้มเขินเหมือนคนบ้าต่อหน้านายพ่อมดเหล้าแน่!

คือ.. ไอ้เสียฟอร์มน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่กลัวว่าเค้าจะเก็บเอาเรื่องนี้มาทำให้ผมเขินอีกเรื่อยๆ ต่างหาก โอ๊ยยยย~

ซะ..ซึ่งมันต้องได้ผลอีกแน่!

“บะ..บ้า!” เพราะฉะนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือทำเสียงดังเข้าไว้ จะได้ช่วยลดอาการเขินให้ตัวเอง “คุณน่ะ ไปปลุกบอยกับเอกเลยไป ไว้ทำเสร็จเมื่อไหร เดี๋ยวผมเรียก” ก่อนจะไล่นายพ่อมดผมบลอนด์ที่ยิ้มสดใสอยู่ในตอนนี้ให้ออกไปจากครัวซะ

ซึ่งเขาก็ว่าง่ายนะ รีบยกมือยอมแพ้ แล้วตั้งท่าจะเดินออกจากครัวทันที “โอเคครับ เดี๋ยวผมไปปลุกเอกกับบอยให้ เพราะถ้าขืนอยู่ต่อ คงมีคนเขินตายแน่ : )” ทว่าก็ยังไม่วายแซวปิดท้ายน่ะนะ!

“ไม่ได้เขินสักหน่อย!”

“โอเค ไม่เขินก็ไม่เขิน ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยนี่ : )”

“บะ..บอกให้ไปปลุกบอยกับเอกไงเล่า!”

“ฮ่าๆๆๆ~ คร้าบบบบ : )”

เฮ้อออออ ผมรู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่านายพ่อมดเหล้าพารอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาออกไปจากครัวแล้ว ทำให้สามารถกลับมาปรุงไข่น้ำได้ต่อ แม้ว่า..จะมีความคิดที่อยากเอาหัวมุดหม้อต้มไข่น้ำด้วยความเขินอายก็ตาม!

“หลิวล่ะอยากมีแฟนมาทำให้เขินบ้างจัง : )” แต่แล้วใครจะคิด ว่าในเวลาต่อมา คนที่โจมตีผมต่อจากนายพ่อมดเหล้าจะกลายเป็นคุณหนูหลิวที่กำลังลงเรือลำเดียวกัน (ในการทำอาหาร) ไปซะได้!

“พะ..พอเลยหลิว ถ้ายังอยากเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อย่าเพิ่งมาแซวกันตอนนี้” มันเขินเข้าใจมั้ย มันเขินนนนน

“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ถึงกับจะต้องตัดเพื่อนกันเลยหรอ งั้นก็แสดงว่าเขินที่เหล้ารัมแซวมากจริงๆ สินะ : )”

“ไม่เอาแล้วหลิว เราเลิกพูดเรื่องนี้แล้วทำอาหารกันต่อเถอะ ขอร้องงง~”

“นี่ ไม่เห็นจะต้องอายเลยวาฬ เขินก็แสดงออกมาเถอะ ไม่มีใครเค้าว่าหรอก โดยเฉพาะต่อหน้าแฟนที่ทั้งหล่อและดียังเหล้ารัมเนี่ย ปล่อยเขินให้เต็มที่ไปเลย : )”

ยัง ยังไม่ยอมหยุดใช่มั้ย ได้! ถ้าจะเล่นแบบนี้ล่ะก็ งั้นก็ถึงตาผมเอาคืนบ้างล่ะ!

“ก็ได้ หลิวบอกว่าหลิวอยากมีแฟนมาทำให้เขินบ้างใช่มั้ย งั้นก็..คบกับไอ้บอยเลยสิ ชอบมันอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรอ : )”

“บะ..บ้า! อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะวาฬ”

“อะไรกัน เขินหรอ ถ้าเขินก็บอกบอยสิ มันจีบหลิวอยู่นะ : )”

“กะ..ก็จีบอยู่ แต่ว่า..” หลิวปิดแก๊สมือสั่นเลยตอนที่ผมพูดถึงเรื่องที่ไอ้บอยมันกำลังตามจีบเจ้าหล่อนอยู่ หึ! ทีนี้เข้าใจยังครับ ว่าเวลาโดนแซวให้เขินมากๆ เนี่ย ความรู้สึกมันเป็นยังไง “บอยไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดเจนสักทีนี่หน่า”

“ถ้างั้นหลิวก็บอกความรู้สึกกับมันก่อนเลยสิ ไม่เห็นจะยาก : )”

“ได้ที่ไหนกันเล่า! หลิวเป็นผู้หญิงนะวาฬ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เดี๋ยวนี้เพศชายเพศหญิงเท่าเทียมกันแล้ว ใครจะบอกก่อนก็เหมือนกันนั้นแหละ นี่นะ หลิวก็แค่เดินไปบอกว่า..บอย หลิวชอบบอยนะ เป็นแฟนกันเถอะ จุ๊บๆ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”

“มะ..ไม่จงไม่จุ๊บอะไรทั้งนั้นแหละ! วาฬบ้า แกล้งหลิว บ้าๆๆ!!”

“ฮ่าๆๆๆๆ~” ผมระเบิดหัวเราะออกมาเลย เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ผมพูดทำเอาหลิวหน้าแดงไปถึงใบหู แถมจะทำอะไรต่อก็ดูเงอะๆ งะๆไปหมด จนชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าวันนี้ผมกับคนอื่นที่เหลือจะได้กินปลากะพงทอดน้ำปลาฝีมือหลิวมั้ย เพราะบางที แม่ครัวของเรา อาจจะเป๋ไปแล้วก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ~

รู้สึกเหมือนเป็นการหัวเราะทีหลังแล้วมันดังกว่าจริงๆ วะฮะฮ่า! : )

“เอาล่ะ น่าจะเรียบร้อยละ” หลังจากศึกการแซวสงบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแยก ผมก็หันกลับมาปรุงไข่น้ำต่อเป็นครั้งสุดท้าย จนกระทั่งรสชาติได้ที่ ก็เลยหันไปฝากหลิวไว้ “หลิว ถ้าเกิดว่าเดือดเมื่อไหร่ ฝากปิดแก๊สด้วยนะ เราขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”

“โอเค ได้เลย” ก่อนที่หลิวจะตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ อันเป็นสัญญาณว่าเธอคงหายเขินจากการโดนแซวแล้ว

แล้วพอได้ยินการรับปากจากหลิวแบบนั้น ผมก็เดินออกจากครัวเพื่อไปห้องน้ำตามที่ว่า แต่ปรากฏว่าไอ้เอกกำลังใช้ห้องน้ำชั้นล่างอยู่ ผมก็เลยเดินขึ้นไปใช้ห้องน้ำชั้นบนแทน

“อ๊ะ..”

แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ อาการจี๊ดที่หัวใจก็พลันเกิดขึ้น.. ก่อนที่ความเจ็บปวดจะค่อยๆ ก่อตัวอย่างรวดเร็วจนผมถึงกับร้องออกมาไม่ได้!

ตุบๆ ตุบๆ

เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตรงเข้าบีบหัวใจของผมไว้แน่นจนสุดกำลัง..จนผมที่ยกมือขึ้นกุมหน้าอกไว้ถึงกับทรุดตัวลงนอนกับพื้น พลางเกร็งจนขดฃอตัวช่วงเข่ากับช่วงอกเข้าหากัน

อึก.. อะ..อาการแบบนี้.. อาการแบบนี้นี่มัน..!?

“พ่อครับ คำสาปของบ้านเรา มันจะส่งผลยังไงหรอครับ”

“ทำไมลูกถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“ผมแค่อยากรู้น่ะครับ อยากรู้ว่ามันจะทำให้พวกเราตายได้ยังไง ถ้าเกิดว่าไม่มีการทำพันธะสัญญากับพวกพ่อมดแม่มด”

“ลูกแน่ใจนะว่าอยากฟัง”

“ครับ ผมแน่ใจ”

“งั้นก็ได้ คืออย่างงี้.. คำสาปของพ่อมดร้าย เป็นคำสามปร้ายแรงที่ส่งผลโดยตรงกับหัวใจ”

“...”

“หากไม่มีการทำพันธะสัญญาไว้ เมื่อใกล้ถึงเวลาของคำสาป ผู้ต้องสาปก็จะเจ็บปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง”

“...”

“ถือเป็นการส่งสัญญาณของความตายให้บุคคลนั้นๆ ได้รับรู้”

“...”

“แล้วเมื่อถึงวันเวลาของคำสาป ในวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ด ผู้ต้องสาปจะมีอาการปวดเพิ่มขึ้นจากการส่งสัญญาณในช่วงแรกๆ เป็นร้อยเท่า ก่อนที่...”

“...”

“หัวใจของผู้ต้องสาปนั้น จะแตกสลาย”

“...”

“และตายในที่สุด”

“...”


อึก.. ใช่ ต้องใช่แน่ๆ..

นี่น่ะ.. คือการส่งสัญญาณของความตายไม่ผิดแน่!!!


จบตอนที่ 14

ขอโทษอีกครั้งที่อัพเลยวันเสาร์อีกแล้ว

พอดีเมื่อไม่ว่างเลยครับ กว่าจะกลับบ้านก็ตีสาม เลยต้องขออนุญาตเปลี่ยนมาลงวันนี้แทน

จริงๆ บทที่ 14 นี่ ตั้งแต่ตอนที่ร่างพล๊อต

แฮมสเตอร์วางแพลนเอาไว้ว่า อยากให้เป็นเหมือน deleted scene ของซีรี่ย์ที่ไม่มีผลกับเส้นเรื่องมากนัก

เพื่อเอามาเพิ่มลดทอนความหนักของบทที่ผ่านๆ มา

แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอีท่าไหน ถึงตัดจบบทเอาแบบนี้ซะได้

ก็เลยกลายเป็นบทที่ไม่สามารถตัดออกจากนิยายได้อีกต่อไป

หวังว่าจะชอบกันนะครับ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า น้า : )

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

 :hao4:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :hao4:

หื้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ไหงวาฬเกิดอาการได้คะนี่ คือพันธะสลายไป หรือยังไง หรือว่าวาฬเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นมานี่หนา??  :ruready

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ม่ายยยยน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หมายความว่าไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นี่สรุปว่าต้องรอเอียนกลับมาเอย่างเดียวเลยเหรอ พันธสัญญากับเหล้ารัมใช้ไม่ได้เหรอ :hao5:

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
โอ๊ยยยยยยยย ไม่นะวาฬฬฬฬฬ ฮรือออออออ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ในที่สุดก็รู้สึกว่า เวลาของวาฬมันมีที่สิ้นสุดจริงๆ ทุกครั้งจะสงสัยว่า วาฬรู้ร้อนรู้หนาวกับความตายของตัวเองมั่งมั้ย ทีนี้วาฬก็กระตือรือล้นได้แล้วนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เป็นเพราะพันธะที่ทำกับเหล้ารัมยังไม่สมบูรณ์วาฬเลยมีอาการเตือนของคำสาปหรอ

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ในที่สุดก็เป็นแฟนกัน เหลือเวลาอีกแค่ไหน อาการปวดหัวใจมาแล้ว สู้ๆนะ

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

บทที่ 15
{ ด ว ล }


หลายวันต่อมา.. ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็น ‘ผู้รอดชีวิต’ จากการโดนพายุร้ายเข้าพัดถล่มบ้านเรือนแบบถอนรากถอนโคนยังไงยังงั้น เพราะว่าในที่สุด ช่วงมรสุมแห่งการสอบและการพรีเซ้นท์งานก็ผ่านพ้นไปจนได้ เยส!

เพราะฉะนั้นวันนี้ผมก็เลยตั้งใจว่าจะให้รางวัลกับตัวเอง โดยการโบกแท็กซี่ไปห้างฯ เพื่อกินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อทุกอย่างที่อยากซื้อ ไม่ว่าจะต้องใช้เงินหมดไปเท่าไหร่ก็ตาม
   
แต่เสียดายอย่าง ที่วันนี้เหล้ารัมไม่ได้มาด้วย เขาแคนเซิลนัดผมแบบกะทันหันมาก เนื่องจากติดธุระที่โลกเวทมนตร์แบบที่เจ้าตัวบอกว่า “ธุระครั้งนี้สำคัญมาก ผมไม่ไปไม่ได้ๆ จริง คุณเข้าใจผมนะครับวาฬ” ซึ่งผมก็เข้าใจ ไม่ถือโทษหรือโกรธเคืองอะไรเขาทั้งนั้น เพราะการเป็นแฟนกันใช่ว่าต้องตัวติดกันตลอดเวลาซะเมื่อไหร่ จริงมั้ย? กะอีแค่เที่ยวห้างแล้วใช้เงินเล่น ผมทำคนเดียวได้หรอกน่า
   
อ๊ะๆ แต่ไหนๆ ก็พูดถึงนายพ่อมดเหล้ากันแล้ว งั้นผมขออัพเดทเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนให้ทุกคนได้รับรู้เลยก็แล้วกันนะครับ : )
   
คืองี้ เมื่อสองวันก่อน ผมได้พบเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากเรื่องนึงครับ นั่นก็คือ.. ด้ายแห่งพันธะสัญญาฝั่งของผมกลายเป็นสีแดงอ่อนแล้ว! ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก เพราะครั้งล่าสุดที่ผมเห็นมัน (ในเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะเป็นความทรงจำที่ดีนัก) ฝั่งผมยังเป็นเพียงแค่สีขาวอยู่เลย..
   
เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันนะว่าจะมีวันนี้ เพราะตอนที่เราสองคนเริ่มทำพันธะสัญญากัน ผมยังไม่เคยคิดภาพเลยด้วยซ้ำว่ามันจะสำเร็จได้.. แต่ตัดภาพมาตอนนี้ อะไรๆ ก็ดูจะดีขึ้นไปหมด ตั้งแต่เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเหล้ารัม รวมถึงการทำพันธะสัญญาครั้งที่สองนี้ด้วย
   
จนมีอยู่ครั้งนึงผมยังแอบคิดอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก ว่าบางที..ผมอาจจะได้มีโอกาสรอดพ้นจากคำสาป และได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเหล้ารัมไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ก็ได้..
   
เพราะแม้แต่เหล้ารัมก็ยังบอกเองเลยว่า “อีกไม่นานหรอก พันธะสัญญาของเราสองคนต้องสำเร็จแน่ : )” ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
   
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ไปผมจะโฟกัสอยู่แต่กับเรื่องของพันธะสัญญาเพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะจริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ของเรามันเริ่มต้นจากตรงนี้ก็จริง แต่การที่เรื่องนี้จะสำเร็จลงได้ มันไม่ใช่เพียงเพราะความเพียรพยายามหรือการเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันคือเรื่องของ ‘หัวใจ’ ที่ใครก็ไม่อาจจะมาบังคับได้ หากต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกต่อกันจากใจจริงๆ ด้ายแห่งพันธะสัญญาก็ไม่อาจช่วยเปลี่ยนสีเพื่อโกหกแทนเราสองคนได้อยู่ดี
   
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือ.. ต่างฝ่ายต่างเติมความรู้สึกดีๆ แก่กัน แล้วก็ ‘ปล่อย’ ให้มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น นั่นล่ะ คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว : )
   
แต่จะว่าไป.. พอพูดถึงเรื่องพันธะสัญญาแล้ว ก็อดนึกถึงเรื่องที่บ้านหลิววันนั้นไม่ได้... การส่งสัญญาณของความตายทำเอาผมกลัวจริงๆ ที่จะกลับไปรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง.. เพราะมันช่าง..เจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสเหลือเกิน... แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือผมไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเหล้ารัมได้ ไม่ใช่ว่าอยากวางฟอร์มหรือว่าปากหนักอะไรหรอกนะ ผมแค่..ไม่อยากให้เหล้ารัมไม่สบายใจ เพราะเขาต้องเครียดมากแน่ๆ ถ้าได้รู้ว่าผมเจ็บปวดหัวใจมากขนาดนั้น
   
ดังนั้น แทนที่จะบอกนายพ่อมดเหล้า ผมเลยเลือกที่จะปรับมุมมองของตัวเองแทน ว่าไม่เป็นไร.. ยังไงซะ ถ้ายังไม่ถึงวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ดล่ะก็ ต่อให้ต้องทนเจ็บปวดมากแค่ไหน ยังไงก็ยังไม่ตายอยู่ดี : )
   
“น้องครับ เส้นนี้ลดติดมากเลย พี่ว่าเราเลี้ยวเข้าซอยหน้า แล้วไปออกทางลัดดีกว่ามั้ยครับ?” แล้วในขณะที่ผมกำลังนั่งคิดนั่นคิดนี่ในใจอยู่เพลินๆ นั้น คำพูดของพี่คนขับก็ทำให้ผมละสายตาจากริมถนนฝั่งซ้าย เพื่อหันไปมองยังถนนด้านหน้าแทน
   
โอ้โห~ รถติดจริงๆ ด้วยแฮะ สงสัยงานนี้คงต้องเป็นไปตามคำแนะนำของพี่คนขับเค้าแล้วล่ะ
   
“ดีครับ ไม่งั้นคงได้ติดแหง็กอยู่ตรงนี้อีกนานแน่”
   
“โอเคครับ”
   
พอสรุปจบดังนั้น พี่แท็กซี่ก็หักซ้ายเข้าซอยลัดทันที
   
ทว่า..!
   
“อื้ออออออออออออออ!!!”
   
ทันทีที่รถเลี้ยวเข้ามาในซอยปุ๊บ สิ่งปกติที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นปั๊บ! เมื่อจู่ๆ มือและเท้าที่เคยเป็นอิสระกลับถูกเชือกมัดไว้จนแน่น ในขณะที่ปากก็ถูกเทปกาวแปะไว้จนไม่สามารถพูดได้!
   
มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงเกิดขึ้นได้ภายในพริบตาแบบนี้ ราวกับว่ามีเวทมนตร์ยังไงยังงั้น!?
   
เอ๊ะ! หรือว่า...!?
   
“สวัสดี : )”
   
“อองอู!” (ซองซู!)
   
แชะ~!
   
“ขอถ่ายรูปนายส่งไปให้ไอ้เหล้ารัมหน่อยนะ”
   
“ไอ้! อุดเอี๋ยวอี๋!” (ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้!)
   
แชะ~!
   
“ทำไมล่ะ ไอ้เหล้ารัมจะได้รู้ไง ว่าจุดอ่อนของมัน อยู่ในมือฉันแล้ว : )”

“...”
   
ปะ..เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย..
   
ผมโดนนายซองซูลักพาตัวอีกแล้ว!!


/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

- Rum's Part -

พลังเวทขั้นสูงพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วมือของฟีฟี่ โซซิมอส ก่อนซัดใส่ประตูของกระท่อมไม้กลางป่าจนมันระเบิดออกเป็นชิ้นๆ

ผมได้แต่ยืนมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึก 'เฉยๆ' อย่างที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เพราะการที่ตัดสินใจมาร่วมกลุ่มออกล่าตัว 'เอียน โจนส์' ในวันนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะใช้เป็นเครื่องมือตบตาวิสกี้ไม่ให้รู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองของผมกับวาฬก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องเจอไม่เจอไอ้เอียนอะไรนั่น ผมไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก ก็แค่.. คงจะดีใจมากกว่า ถ้าพบว่ามันได้ตายไปจากโลกใบนี้แล้ว : )

"ไม่มีกับดักอะไร เข้ามาเถอะ" หลังจากโบกมือไปมาประมาณห้าครั้งเพื่อตรวจสอบกับดักเวทมนตร์ของตัวกระท่อม คนพังประตูก็หันมาเรียกคนที่เหลือ ก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก

ผมยอมรับว่าในบรรดาคนที่มาด้วยกันทั้งหมด แม่มดฟีฟี่คืออันดับหนึ่งของคนที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจ

เธอทั้งเก่ง ทั้งกล้าหาญ แม้เกิดเป็นหญิงแต่กลับพร้อมเสมอที่จะเดินนำหน้าอย่างไม่คิดกลัวเกรง เรื่องสวยก็ไม่เป็นสองรองใคร สวยจนผมจินตนาการไม่ออกอีกแล้วว่าจะหาแม่มดวัยผู้ใหญ่คนไหนในโลกเวทมนตร์แห่งนี้ที่จะสามารถซอยผมสั้นชี้และใส่ชุดทะมัดทะแมงพร้อมรบได้ออกมาดูดีเท่าเธอ เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ผมคิดว่าคงจะต้องจดจำแม่มดคนนี้ไปอีกนานแสนนาน

"เล็กยังกะรังหนู ฝุ่นก็เยอะแยะ ดูไม่น่าเข้าไปเลย" ต่างจากแดน อาซาเอลที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้ผมเลยแม้แต่นิด

แดนเป็นพ่อมดวัยผู้ใหญ่ ผิวแทน รูปร่างสันทัด หน้าตาดุดันไว้หนวดไว้เคราราวกับพวกโจรป่า แต่กลับชอบบ่นนั่นบนนี่เป็นหมีกินผึ้ง นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา ไม่มีอะไรถูกใจเขาสักอย่าง ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะยอมทำตามก็เถอะ แต่ใครจะไปประทับใจคนที่เอาแต่บ่นๆๆ อยู่ตลอดเวลาล่ะ จริงมั้ยครับ?

 "เข้ามาเถอะ เรามาหาคนร้ายนะ ไม่ได้มาเช็คอินเข้าพักสักหน่อย"

"ก็ได้ เข้าก็เข้า" นี่ดีนะที่เขายังยอมฟังคำของฟีฟี่ ไม่อย่างงั้นผมคงไม่สามารถอยู่ร่วมงานด้วยได้อีกต่อไป

"เหล้ารัม พี่ไม่เข้าไปข้างในหรอ" นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคนสุดท้ายที่เดินตามหลังผมมา เธอคือ 'ฟาเรเนีย เกรวินเกอร์' ลูกพี่ลูกน้องของไอ้วินเซนต์เพื่อนผมเอง

ฟาเรเนียเป็นลูกผสมระหว่างพ่อมดกับมนุษย์ ไม่ใช่อะไรแบบที่พบได้บ่อยนักในตระกูลเก่าแก่อย่างเกรวินเกอร์ แต่กลับได้รับการยอมรับอย่างดีเยี่ยมจากความสามารถอันน่าทึ้งในฐานะแม่มดของเธอ จนเป็นที่รู้จักในฉายา Black Crow ตั้งแต่อายุยังน้อย

ผมยาวตรงดำขลับถึงเอวกับใบหน้าเรียบนิ่ง คือภาพจำที่ดีที่สุดของฟาเรเนีย พอๆ กับเจ้ากาที่มักจะเกาะไหล่ของเธอเสมอ ไม่ว่าจะพบเจอกันที่ใดก็ตาม

ก๊า~

จนคนส่วนใหญ่มักร่ำลือกันว่าฟาเรเนียสามารถควบคุมจิตใจของสัตว์ได้ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นจริงมั้ย เพราะสำหรับเรื่องราวของแม่มดรุ่นน้องคนนี้ยังมีอะไรที่เป็น 'ปริศนา' อีกมาก แต่เท่าที่ผมสังเกตเห็นก็คือ เจ้ากาตัวนั้นมักโจมตีก่อนเสมอ ก่อนที่ฟาเรเนียจะได้เอ่ยปากท่องมนตร์ด้วยซ้ำ

"เธอเข้าก่อนเลย"

ก๊า~

พอได้ยินผมพูดออกไปแบบนั้น เจ้ากาก็ส่งเสียงร้อง เอียงคอราวกับมนุษย์ที่กำลังเกิดความสงสัย ทั้งที่เจ้าของของมันยังวางหน้านิ่ง

ผมเลยทำได้เพียงแค่ขยับตัวออกให้พ้นทางเท่านั้น เพราะหากตอบสิ่งใดกลับไป ก็ดูจะเป็นการตอบคำถามของเจ้ากาเสียมากกว่า

"ฟาเรเนีย เธอช่วยส่งเจ้ากาไปตรวจสอบบริเวณโดยรอบที เผื่อจะเจออะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง"

"ค่ะ"

ก๊า~

หลังจากที่สามคนเดินเข้าไปในกระท่อมแล้ว ผมก็เดินตามไปเอาหลังพิงขอบประตูที่ถูกทำลายไว้ เลยทันได้เห็นฟีฟี่ออกคำสั่งกับฟาเรเนีย ก่อนที่เจ้ากาตัวนั้นจะร้องตอบรับไล่หลังเจ้านาย แล้วกางปีกบินออกจากกระท่อมไป

จริงๆ แล้ววันนี้ผมมีนัดกับวาฬนะ แต่จำต้องขอยกเลิก เพราะได้รับจดหมายเชิญแบบลับๆ ให้มาร่วมภารกิจตามล่าหาตัวเอียนกับพ่อมดแม่มดทั้งสาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคู่พันธะสัญญาของคนในตระกูลอลิชาทั้งนั้น อย่างฟีฟี่ก็เป็นคู่พันธะสัญญาของคุณปู่ ในขณะที่แดนก็เป็นคู่พันธะสัญญาของป้ามีน (ป้าของวาฬ) ส่วนฟาเรเนียนั้น ก็เป็นคู่พันธะสัญญาของนายมะม่วง (ลูกชายป้ามีน และลูกพี่ลูกน้องของวาฬ) นั่นเอง

แต่ดูท่าว่าวันนี้ภารกิจคงจะล้มเหลวเสียแล้ว เพราะนอกจากเราทั้งสี่ ก็ไม่มีใครอื่นอีกที่เป็นเจ้าของกระท่อมอย่างที่พวกเราได้เบาะแสมา

"ดูท่าว่าเราจะมาช้าไป" แดนเป็นคนแรกที่พูด นั่นเลยเหมือนเป็นการยืนยันความล้มเหลวอย่างเป็นทางการ

ในขณะที่ฟีฟี่สะบัดมือกลางอากาศหนึ่งครั้ง แบบที่มองดูก็รู้ว่าต้องการเผยร่องรอยของมนตราที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเราได้ แต่ก็อย่างที่พวกเราทั้งสี่เห็นนั่นแหละ ว่าไม่มีสิ่งของชิ้นใดขยับเขยื้อนเลย ทุกอย่างยังคงนิ่ง บ่งบอกชัดเจนว่าไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ทั้งนั้น

"ใช่ ดูเหมือนว่าเราจะมาช้าเกินไป" ฟีฟี่ถึงได้ยอมรับความล้มเหลวต่อจากแดน

ก๊า~

แล้วในจังหวะนั้น เจ้ากาที่หายไปไม่นานก็โฉบกลับลงมาเกาะที่ไหล่ของฟาเรเนียอีกครั้ง ก่อนมันจะยื่นปากเข้าไปใกล้ๆ ราวกับต้องการ 'กระซิบ' บางอย่างที่ข้างหูของฟาราเนีย แล้วผลคือ..

"ไม่พบสิ่งผิดปกติค่ะ" เธอสามารถบอกข้อมูลของสิ่งที่เจ้ากาตัวนั้นออกไปสำรวจ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า ภารกิจครั้งนี้ ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ จนผมถึงกับต้องเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง

"มันน่าแปลกนะ ที่ไม่ว่าจะตามหานายเอียนอะไรนี่ยังไง ก็มักจะพลาดไปได้เสียทุกครั้ง ยังกับว่าพวกเรา..ถูกหลอกให้หลงทาง"

"ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้น" แดนรีบพยักหน้า "เหมือนทุกเบาะแสที่เราได้รับ เป็นเพียงข่าวลวงที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น"

"หรือจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน" ฟีฟี่เริ่มกอดอก "ว่าเอียนถูกช่วยเหลือโดยตระกูลใหญ่ของโลกเวทมนตร์ ทำให้ไม่สามารถตามหาตัวเค้าได้"

"ผมเองก็คิดแบบนั้น แต่.."

เมี๊ยวววว~

แต่ในขณะที่ผมกำลังจะแสดงความคิดเห็นออกไป เสียงร้องของแมวก็ดึงความสนใจจากเราทั้งสี่ไว้

"แมวส่งสารงั้นหรอ?" แดนเป็นคนแรกที่ร้องทัก เมื่อเห็นแมวสายพันธุ์วิเชียรมาศนั่งคาบบางอย่างอยู่ไม่ไกลจากผมนัก

"ดูเหมือนว่ามันต้องการส่งบางอย่างให้พี่นะเหล้ารัม" ซึ่งผมเองก็มีความคิดไม่ต่างกัน เลยย่อตัวลงเล็กน้อย ทำให้เจ้าแมวส่งสารวางของในปากลง แล้ววิ่งหายไป

ทิ้งความสงสัยให้กับผมที่หยิบ 'เจ้าสิ่งนั้น' ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่า..

"วาฬ!" มันคือรูปของวาฬที่ถูกมัดมือมัดเท้า พร้อมกับใช้เทปกาวปิดปากไว้!

"นี่มันวาฬนี่" แดนคือคนแรกที่วิ่งเข้ามาดู ก่อนจะตามมาด้วยฟีฟี่ และฟาเรเนียที่ดูจะไม่รีบร้อนนัก

ต่างจากใจผมที่มันร้อนเป็นไฟ!

"ขอหนูดูหน่อย" โดยไม่รอให้ผมอนุญาต ฟาเรเนียดึงรูปของวาฬจากมือผม ก่อนที่มันจะเริ่มสั่นอย่างรุนแรง จนผมต้องรีบคว้ามันกลับคืนมา

ลองสั่นแรงแบบนี้ แสดงว่าคนส่งมาต้องจงใจทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่

ได้! ผมจะตามร่องรอยนี้ไป แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!

"เดี๋ยว นั่นนายจะไปไหนน่ะ" แต่แค่เพียงขยับตัวตั้งท่า แดนก็คว้าข้อมือผมไว้ สีหน้าของเค้าดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

"ผมจะตามร่องรอยเวทมนตร์ของรูปนี้ไป ช่วยปล่อยด้วยครับ"

"ตะ..แต่มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้นะ ฉันว่านาย.."

"ผมไม่สน"

"แต่.."

"ปล่อย!"

"..."

พอเจอผมตะหวาดใส่เข้าให้ แดนก็รีบปล่อยมือออกจากแขนผมทันที ในขณะที่ฟีฟี่กับฟาเรเนียบยังคงเงียบ ซึ่งดีแล้ว เพราะต่อให้ห้ามหรือพูดอะไรก็เสียเวลาเปล่า

เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าเพื่อช่วยวาฬ ต่อให้ต้องตาย ผมก็ยอม!

/ ต่อด้านล่าง /

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด