#พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016  (อ่าน 133901 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เกือบมีปัญหากันเพราะเรื่องเอียนซะแล้ว :เฮ้อ: :เฮ้อ:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อยากให้วาฬเลิกเก็กซะที มันดูไม่จริงใจไงไม่รุ :hao4:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
จะว่าวาฬพูดตรงๆหรือไม่คิดถึงใจคนที่ชอบวาฬดี รู้สึกแปลกๆ
เรื่องที่ควรพูดไม่พูดนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
วาฬ นี่ใจโลเลจัง เห็นแก่ตัว เมื่อ เอียนหนีไป แล้ว ก็ต้องปล่อยดิ ตอนนี้ตัวเองอยู่กับเหล้ารัมอ่ะ ยังคิดแบบนี้ได้อีกเนาะ อยากมีชีวิตรอดแบบที่ตัวเองปลอดภัยสินะ ไม่ชอบคนเห็นแก่ตัวแบบวาฬ แต่ ชอบเหล้ารัม นางดูนิ่ง มึน ซึน กวนๆดี 

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
อยากโดนจุ๊บ หลายๆ ที  :hao7:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หืมมม มีคำพูดอะไรที่วาฬจะบอกเอียนอ่ะ
แอบเสียใจอ่ะที่วาฬอยากกลับไปทำพันธะกับเอียน

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
แหมมมมม่ จุ๊บแลกภาษา เหล้ารัมเจ้าเล่~
เอียนอย่ามาเลยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
มีเหล้ารัมอยู่แล้วทั้งคน ยังจะคิดถึงเอียนอีก น่าตีจริงๆ

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 11
{ จุ ด อ่ อ น }


โอเค ถ้าเกิดว่าพวกคุณอยากจะให้ผมบอกเล่าความรู้สึกถึงประสบการณ์การดูหนังครั้งแรกในโรงภาพยนตร์กับผู้ชายที่ไม่ใช่ทั้งพ่อและเพื่อนล่ะก็ ผมบอกได้เลยนะว่าผมน่ะ.. ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย!
   
ย้ำ
   
ดู-ไม่-รู้-เรื่อง-เลย!!
   
คืองี้.. ไม่ใช่เพราะว่าหนังที่เลือกดูมันเป็นหนังรางวัลแบบที่ดูยากดูเย็นหรอกนะ หรือต่อให้มันเป็นระบบซาวด์แทร็กก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะว่าตอนนี้ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษไปแล้ว (ก็เพราะไอ้การจุ๊บแลกภาษานั่นแหละ!) แต่สาเหตุหลักทั้งหมดทั้งมวลมันมาจาก..นายพ่อมดเหล้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมต่างหาก!
   
มันเริ่มจาก..การจับมือ
   
ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนเราถึงจะต้องจับมือกันไว้ในขณะที่นั่งดูหนังด้วย? แต่ในเมื่อเหล้ารัมเลือกที่จะคว้ามือผมไปจับไว้.. ผมก็ไม่ได้ห้ามอะไรนะ เพียงแต่.. พอได้จับกันแล้ว.. มันก็เหมือนว่าความสนใจของผมไปโฟกัสที่จุดๆ นั้นเพียงจุดเดียว แบบว่า.. มือผมจะสากไปจนเขารู้สึกได้มั้ย? หรือถ้าจับกันไปนานกว่านี้เหงื่อที่มือผมจะออกจนมือเขาเปียกหรือเปล่า? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง..เขาจะไม่รังเกียจความชื้นที่มือผมหรอ?
   
คำถามมากมายในใจมันรบกวนผมมาก จนผมต้องคอยกะเวลาคร่าวๆ ในใจ พอรู้สึกว่าจับกันนานไปแล้ว ผมก็จะทำทีเป็นปล่อยออกมามาหยิบป๊อบคอร์นใส่ปากบ้างอะไรบ้าง ก่อนจะหาจังหวะเช็ดมือกับเสื้อแบบที่ไม่ให้นายพ่อมดเหล้าเห็น แล้วก็กลับไปจับกันต่ออะไรแบบนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีนะ เพียงแต่..มันทำให้ผมดูหนังไม่รู้เรื่องไง..
   
ต่อมาก็คือ..การป้อนของกิน
   
จริงอยู่ที่ผมอาศัยจังหวะช่วงเอามือมาเช็ดเหงื่อหยิบนู่นหยิบนี่กินบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ได้บ่อยนัก เพราะฉะนั้นคนที่มือขวาว่างอย่างเหล้ารัม (เพราะเขานั่งอยู่ฝั่งขวาของผม) ก็เลยทำหน้าที่หยิบนั่นหยิบนี่มาป้อนให้ ซึ่งผมก็เกิดคำถามขึ้นใจอีกว่า..ผมอ้าปากกว้างไปมั้ย? แล้วต้องกะจังหวะยังไงไม่ให้ผมเผลองับมือเขาเข้าหรือทำให้นิ้วของเขาเปื้อนน้ำลายอะไรแบบนั้น เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเกิดกรณีที่น้ำลายไปเปื้อนมือเขาขึ้นมา เขาจะรังเกียจผมหรือเปล่า? ไม่เพียงเท่านั้นนะ พอเขาป้อนมา ผมจะเป็นแค่ฝ่ายกินอย่างเดียวก็ใช่ที่ ก็ต้องคอยป้อนกลับไปด้วย เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวป๊อบคอร์น สุดท้าย..ผมก็ดูหนังไม่รู้เรื่องอีกตามเคย..
   
แล้วพอของกินหมด ก็ตามมาด้วย..การซบไหล่
   
อันนี้ล่ะปัญหาหนักสุดสำหรับผมเลย เพราะพอหนังดำเนินไปได้เกือบชั่วโมง เหล้ารัมก็เริ่มเกิดอาการเลื้อยเป็นงูขึ้นมาซะอย่างงั้น ทำให้จากที่นั่งตรงๆ ก็เริ่มไหลลดระดับลงไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะเอาหัวมาอิงไหล่ของผมไว้..
   
คือ.. หัวเขามันก็ไม่ได้หนักหรอกนะ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าหน้าร้อน.. ทั้งๆ ที่แอร์ของโรงหนังก็เย็นสะใจดี แต่คือหน้าผมร้อนเหมือนมีคนเอาไฟมาจี้เลยครับ พะ..เพราะว่านี่คือครั้งแรกที่เขาทำกับผมแบบนี้ไง! แถมเหล้ารัมเองก็ใช่ว่าจะเอาหัวมาพิงแล้วนอนนิ่งๆ เสียเมื่อไหร่ บางทีก็ยุกยิก บางทีก็เหมือนจะไถหัวกับไหล่ผมเบาๆ ด้วย จนสมาธิในการดูหนังของผมมันแตกซ่านไปหมด แถมบางทีผมของเขาก็มาโดนต้นของผมอีก ขนนี่ลุกไปหมดเลย แล้วก็อีหรอบเดิมครับ..คือผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
   
แต่.. นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบนะ ถึงแม้จะดูหนังไม่รู้เรื่องเลยก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกดีที่มีเหล้ารัมนั่งอยู่ข้างๆ คอยจับมือกัน ป้อนน้ำป้อนป๊อบคอร์น แถมยังเอาหัวมาพิงไหล่ด้วย จนบางที..ผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน.. ว่าถ้าสักวันนึงผมต้องตายไป..มันจะมีโลกหลังความตายที่ทำให้ผมได้นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้มั้ย หรือไม่ก็..ถ้าว่านึงที่เหล้ารัมหายไปล่ะ ผมจะกลับไปอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนที่แล้วมาหรือเปล่า?
   
นั่นไง.. ผมเริ่มคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยอีกแล้ว..
   
ทำไมช่วงนี้ถึงได้อ่อนไหวจังวะวาฬ?
   
“วาฬครับ เอาน้ำอีกมั้ย?” แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่ไปไกล จู่ๆ เหล้ารัมที่อิงไหล่ผมอยู่ในตอนแรก ก็เงยหน้าขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผม พร้อมกับเขย่าแก้วโค้กในมือให้ดูว่ายังมีเหลืออยู่หากผมต้องการ
   
ทว่าผมเลือกจะปฏิเสธ “ไม่ครับ คุณกินเถอะ” เพราะรู้สึกว่าตัวเองกินน้ำเยอะเกินไปแล้ว
   
ยิ่งอากาศเย็นๆ แบบนี้ด้วย ยิ่ง... โอ๊ะ! นั่นไง ผมว่าสิ่งที่ผมกังวลมันเริ่มทำงานละ ฮือออออออ~
   
“เดี๋ยวนะ ทำไมคุยตัวสั่นแบบนี้ล่ะวาฬ”
   
“เอ่อ... ผมปวดฉี่อ่ะ”
   
“เฮ้ย จริงดิ ทำไงอะ หนังน่าจะยังอีกนานเลยนะกว่าจะจบ”
   
ใช่ ผมเองก็คิดว่าอีกนานเลยกว่าจะจบ เผลอๆ ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่อาการปวดฉี่ฉับพลันของผมน่ะมันไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้นคงทนอั้นต่อไปอีกไม่ไหว
   
“งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
   
“ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย”
   
“ไม่เป็นไรครับ” ห่างๆ กันบ้างก็ได้ แค่นี้ก็จะรวมเป็นร่างเดียวอยู่แล้ว “เดี๋ยวผมรีบไปรีบมา”
   
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมดูแทนให้ กลับมาไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง : )”
   
พอได้ยินเหล้ารัมพูดแบบนั้น ผมก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขา ทั้งๆ ที่ในใจนี่คืออยากจะบอกว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด ต่อให้เขาเล่าส่วนที่ขาดหายไป ผมก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะว่าผมน่ะดูไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่แรกแล้ว ฮ่าๆๆๆ~
   
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปนะ ทำแค่รีบลุกออกจากโรงฯ ไปห้องน้ำเท่านั้น เพราะขืนพูดออกไปอย่างใจคิด มีหวังได้อธิบายกันยาวจนฉี่แตกในแน่
   
ซึ่งพอกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงห้องน้ำชาย ผมก็รีบผลักประตูเข้าไปอย่างคนปวดมาก
   
ทว่า..
   
“สวัสดี”
   
“นะ..นาย!”
   
..ใครจะไปคิดกันว่าในห้องน้ำนั้นจะมีนายซองซูยืนส่งยิ้มร้ายมาให้!
   
“ในที่สุดฉันก็ได้เห็นหน้านายชัดๆ สักทีนะ : )”
   
วินาทีนั้นผมรู้เลยว่าเขาไม่ได้แค่มาทักทายแล้วเดินจากไปเฉยๆ แน่
   
แต่ก่อนจะทำอะไร ผะ..ผมขอฉี่ก่อนได้มั้ยเนี่ย!?


* * * * * * *


   
เอาจริงๆ นะ จะหาว่าผมีคิดนั่นคิดนี่แบบไม่ดูเวล่ำเวลาก็ได้ แต่ช่วงนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองค่อนข้างจะได้รับประสบการณ์ที่เป็น ‘ครั้งแรก’ ถี่มาก ไม่ว่าจะเป็น..ประสบการณ์การเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำสวมหน้ากากครั้งแรก การได้ดูหนังกับชายอื่นที่ไม่ใช่พ่อและเพื่อนเป็นครั้งแรก รวมถึง..การถูกลักพาตัวครั้งแรกด้วย!
   
“ดื่มชามั้ย นี่ชากุหลาบนะ ของดีมาก รับรองเลยว่านายต้องชอบ” แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ ไอ้การถูกนายซองซูลักพาตัวมาน่ะ เพราะนอกจากเขาจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงแล้ว เขาก็ยังปฏิบัติกับผมอย่างดี แถมยังอนุญาตให้เข้าไปฉี่ก่อนพาหายตัวมาที่นี่ด้วย ผมก็เลยให้คะแนนความเกลียดชังในตัวไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการเจอกันครั้งแรกที่งานของเกรวินเกอร์น่ะนะ
   
“ไม่ล่ะ”
   
“ทำไม กลัวฉันใส่ยาพิษให้นายกินหรือไง : )”
   
ก็ใช่น่ะสิ ถามได้ ถึงจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับผมก็เถอะ แต่กับคนที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตลอดเวลาเหมือนนายพ่อมดเกาหลีคนนี้เนี่ย ใครมันจะไปไว้ใจได้! “รู้แล้วยังจะมาถามอีก”
   
“โอเค ตามใจนะ ไม่กินก็ไม่กิน” พูดจบ ซองซูก็เลื่อนกาจากที่จะรินใส่แก้วผม ย้ายไปรินใส่แก้วของตัวเองแทน ซึ่ง..กลิ่นของมันหอมมาก หอมขนาดที่ว่าผมต้องลอบกลืนน้ำลายเลยล่ะ
   
แต่ไม่ได้นะวาฬ ยังไงก็ต้องอดใจไว้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าไม่ใช่การมานั่งดื่มชา แต่เป็นการรู้ถึงสาเหตุที่เขาลักพาตัวผมมาต่างหาก “นี่ ว่าแต่นายเถอะ จะตอบได้หรือยังว่าลักพาตัวฉันมาทำไมกันแน่” ถึงแม้จะรู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องความบาดหมางของเขากับเหล้ารัม แต่ผมก็อยากจะถามเพื่อความแน่ใจ เผื่อว่าบางทีอาจจะเป็นกรณีอื่นก็ได้
   
“อะไรกัน ทีฉันถามชื่อนายนายยังไม่ตอบเลย แต่ตัวเองกลับมาเค้นหาเหตุผลจากฉันเนี่ยนะ ไม่แฟร์เลยสักนิด”
   
“งั้นก็ตามใจนายเถอะ” ผมสะบัดหน้าหนีอย่างคนไม่ง้อ
   
เรื่องอะไรผมจะบอกชื่อของตัวเองให้ซองซูได้รู้จักล่ะ แค่เห็นหน้าก็มากเกินพอแล้ว เกิดเขารู้ชื่อสกุลของผมขึ้นมา ก็รู้หมดน่ะสิว่าผมเป็นใคร มีคำสาปอะไรติดตัวมา แล้วเดี๋ยวก็จะต่อยอดไปหาเหตุผลที่เหล้ารัมมาใกล้ชิดกับผมจนรู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองอีก
   
เฮ้อออออออ~ เกิดในตระกูลต้องสาปนี่มันลำบากจริงๆ เลยให้ตายสิ!
   
ด้วยความเบื่อหน่ายจากชีวิตที่แสนจะยุ่งยาก ผมเลยเปลี่ยนจากการคิดนั่นคิดนี่เป็นการหันไปสำรวจที่ที่เราอยู่แทน อืม.. ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาวงกตแฮะ เพราะทั้งสี่ด้านนั้นเป็นกำแพงต้นไม้ลักษณะสี่เหลี่ยมที่สูงมาก มีทางออกเพียงหนึ่งทาง แต่ผมช่างใจกับตัวเองแล้วว่ายังไงก็จะไม่บ้าวิ่งหนีออกไปเด็ดขาด เพราะหากว่าที่นี่คือเขาวงกตจริง มันคงไม่ใช่แค่เดินไปหลงไปหรอกนะ แต่คงมีลูกเล่นอะไรที่อันตรายรอผมอยู่แน่ อย่าลืมสิว่าคนที่พาผมมาน่ะเป็นพ่อมดนะ ผมว่าผมไม่เสี่ยงจะดีกว่า
   
ส่วนพื้นที่ส่วนกลางของกำแพงทั้งสี่ด้านนั้น ดูเหมือนจะเป็นสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อยใจ มีน้ำพุอยู่กึ่งกลาง มีหินโรย มีไม้ประดับ และมีมุมดื่มชาที่ผมกับซองซูกำลังนั่งอยู่ในตอนนี้ ซึ่งถ้าให้เดานะ ผมว่าจุดนี้ต้องเป็นใจกลางของเขาวงกตแน่ แล้วไอ้เขาวงกตนี่ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ของบ้านหรือคฤหาสน์ของนายพ่อมดเกาหลีนี่ด้วย
   
“โอเค ฉันยอมแพ้นายก็ได้” ซึ่งความตลกก็คือ พอผมเลือกที่จะไม่สนใจซองซู เขากลับบอกผมว่าขอยอมแพ้ซะอย่างงั้น อะไรของเขาเนี่ย? “ยังไงซะ สักวันนึงฉันก็ต้องได้รู้ชื่อของนายอยู่ดี เพราะฉะนั้นฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าทำไมฉันถึงพานายมาที่นี่ : )”
   
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย ทำเพียงแค่หันไปรอฟัง และพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองขำกับการพูดเองเออเองของเขา เดี๋ยวจะเสียเรื่องซะก่อน
   
คนอะไรวะ พออยากรู้ไม่บอก พอไม่อยากรู้ก็บอกเองซะงั้น บ้าเปล่า?
   
“นายรู้อะไรมั้ย ว่าตลอดเวลาที่ฉันรู้จักกับไอ้เหล้ารัมมา นอกจากพี่สาวแสนสวยของมันแล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นมันพาใครไปออกงานหรือพาไปเที่ยวเหมือนนายมาก่อนเลย”
   
“…”
   
“แสดงว่านายเองก็คงจะสำคัญสำหรับมันมากทีเดียว”
   
“…”
   
“แต่ก็นะ ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังอยากจะขอพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองอยู่ดี ก็เลยพาตัวนายมาที่นี่ยังไงล่ะ : )”
   
“แล้วไง?”
   
“อะไรคือแล้วไง?”
   
เฮ้ออออออออ~ ผมว่าผมจะไม่พูดอะไรแล้วนะ แต่พอมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่านายซองซูนี่ไร้สาระชะมัด และคงจะว่างมากด้วยที่จับผมมาเพื่อพิสูจน์ความสำคัญอะไรนั่น ในเมื่อ... “ก็ถ้านายรู้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ มันจะส่งผลดีอะไรกับนายไม่ทราบ นอกจากจะยั่วให้เขารำคาญใจน่ะ”
   
“หึ แบบนั้นก็ดีสิ ให้มันรำคาญใจมากๆ โมโหจนอยากจะฆ่าฉันเลยยิ่งดี ฉันกับมันจะได้มีโอกาสดวลเวทกัน แล้วคนทั้งโลกเวทมนตร์จะได้รู้สักทีว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่า!”
   
 อินเนอร์ของซองซูแรงมาก มันส่องสะท้อนออกมาจากภายในตา..จนผมรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเปลวไฟได้ ก็คงจะแผดเผาทุกอณูของที่ที่เราอยู่ตอนนี้ รวมถึงตัวผมและตัวเขาเองด้วย..
   
อะไรจะโหยหาการดวลเวทมนตร์ขนาดนั้นนะ?
   
“นี่ อย่าหาว่าผมสอดเลยนะ แต่ทำไมคุณถึงได้โหยหาการดวลกับเหล้ารัมนัก ทั้งที่เหล้ารัมเองก็ดูจะไม่ได้สนใจเรื่องใครเก่งกว่าใครเลยสักนิด”
   
“หึ! มนุษย์ต่ำต้อยอย่างนายจะไปเข้าใจอะไรกับคนอย่างฉันที่พยายามฝ่าฟันขึ้นมาจนเป็นที่หนึ่งของนักดวลเวทมนตร์ แต่ทุกคนกลับบอกว่าถ้าเหล้ารัมร่วมดวลด้วย ฉันก็คงไม่มีวันขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ คิดแล้วมัน...เจ็บใจนัก!”
   
“…” ที่แท้เรื่องมันก็เป็นแบบนี้นี่เอง... เฮ้อออออ~ จริงอยู่ที่ผมนั้นต่ำต้อยและคงจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ซองซูเป็น แต่รู้อะไรมั้ย ผมอยากพูดอะไรกับเขาสักอย่างสองอย่างนะ
   
คืออย่างแรก..เขาน่ะโชคดีแค่ไหนแล้วที่ทุกวันนี้ยังมีลมหายใจให้ฝ่าฟันขึ้นไปได้สูงขนาดนั้น ในขณะที่ผมมีเส้นตายของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และอย่างที่สองคือ..เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเหล้ารัมเลยสักนิด ผิดที่เขานั่นแหละที่ฟังคำของคนอื่นมากไปน่ะ
   
แต่คิดๆ ดูแล้ว พูดไปก็เท่านั้น นายพ่อมดเกาหลีนี่คงไม่ฟังผมหรอก ป่วยการว่ะ
   
“แล้วฉันทำผิดตรงไหนกัน ในเมื่อทุกคนพูดแบบนั้น ฉันก็จัดการท้าดวลไอ้เหล้ารัมอย่างเป็นทางการ ไม่เคยนอกกฎกติกาเลยแม้แต่ครั้งเดี๋ยว แต่มันกลับไม่เคยรับคำท้าฉันเลยสักครั้ง แถมยังหลบหน้าฉันด้วย แล้วผลคือไงรู้มั้ย? ทุกคนกลับยังพูดเหมือนเดิมว่าถ้าเหล้ารัมรับคำท้ายังไงก็ชนะแน่ แม่งเอ้ย! แล้วทำไมถึงไม่มีใครไปด่าไอ้เหล้ารัมว่ามันปอดแหกหดหัวอยู่แต่ในกระดองบ้างวะ!?”
   
“โอเคซองซู จริงๆ ฉันก็ไม่อยากจะแสดงความเห็นอะไรหรอกนะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เพราะจากที่ฟังมา มันเป็นความผิดของนายต่างหากที่ฟังคำพูดของคนอื่นมากเกินไป ต่อให้นายชนะเหล้ารัมได้จริง คนมันจะพูดมันก็หาเรื่องพูดได้อยู่ดี อีกอย่างนะ มันไม่ใช่ความผิดของเหล้ารัมเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเขามีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือปฏิเสธนายก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ใจเขาต้องการ เพราะนี่คือสิทธิส่วนบุคคลของเขา และคุณเองก็ต้องเคารพมันด้วย”
   
“ช่างหัวสิทธิส่วนบุคคลสิวะ!”
   
เพล้ง!
   
“…”
   
เยี่ยมเลย.. ดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะทำให้ซองซูหัวเสียซะแล้ว เพราะเขากระแทกแก้วชาในมือลงกับโต๊ะอย่างแรง จนแตกออกเป็นชิ้นๆ ผมก็เลยรีบยกมือยอมแพ้ทันที
   
ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แต่ลองเขาพูดออกมาแบบนี้ ผมว่าต่อให้ยกเหตุผลมาหมดโลก นายพ่อมดเกาหลีนี่ก็หาข้อมาหักล้างได้อยู่ดี เผลอๆ ตั้งแต่เกิดจนโตคงจะไม่เคยรู้จักคำว่า ‘ยอมแพ้’ เลยมั้ง!
   
“หึ! จริงอยู่ที่ไอ้เหล้ารัมมันมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธฉัน แต่เชื่อเถอะว่า ต่อจากนี้ไป มันคงจะต้องตอบรับสถานเดียวแน่ : )” แต่ในขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบลงแค่แก้วแตก นายซองซูกลับยังคงต่อความไม่เลิก แถมยังยิ้มเหมือนว่าในหัวมีแต่สิ่งชั่วร้ายอีก จนผมอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป
   
“หมายความว่าไง?”
   
“ก็หมายความว่า.. ฉันไม่เคยสามารถใช้อะไรต่อรองกับไอ้เหล้ารัมได้เลย จนกระทั่ง..มีนายเข้ามาน่ะสิ : )”
   
“…” แล้วคำตอบของซองซูก็ทำเอาผมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ.. น่ะ..นี่สรุปว่าเขาจะใช้ผมเป็นเครื่องมือในการต่อรองให้เหล้ารัมดวลกับเขาหรอเนี่ย!?
   
“เป็นไง อึ้งกับความฉลาดของฉันสินะ : )
   
ใครว่าล่ะ อึ้งกับความร้ายกาจของนายต่างหาก!
   
แต่ขืนพูดไปแบบนั้นก็คงตายเพราะปากเป็นแน่ เพราะฉะนั้นผมคงจะต้องทำดีสู้เสือเอาไว้ แล้วหาอะไรที่น่าพูดมากกว่านี้ อย่างเช่น.. “แล้วนายจะมั่นใจได้ไงว่าเขาจะยอม จริงอยู่ที่เหล้ารัมอาจจะพาฉันไปไหนมาไหนด้วย แต่นั่นก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าฉันมีค่ามากพอถึงขนาดที่เขาต้องยอมตอบรับคำท้าดวลที่เฝ้าอุตส่าห์ปฏิเสธมาอย่างยาวนานหรอกนะ”
   
โอเค ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ใจผมน่ะมันสวนไปอีกทางเลยนะ เพราะรู้ดีว่าสำหรับเหล้ารัมแล้ว ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับผม เขายอมทำได้หมดนั่นแหละ รวมถึงการรับคำท้าดวลของซองซูด้วย..
   
แล้วดูสิ่งที่นายซองซูตอบกลับมาสิ..
   “ก็เพราะคำว่า ‘อาจจะ’ ไง ฉันถึงได้พานายมาที่นี่ จะได้พิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองว่าสำหรับไอ้เหล้ารัมแล้ว นายมันก็แค่มนุษย์ธรรมดาๆ คนนึง หรือว่าเป็น ‘จุดอ่อนสำคัญ’ ของมันกันแน่ : )”
   
..จำเป็นต้องร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือไง!?
   
ฟู่วววววววววววววววววววววววว~
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรนายพ่อมดซองซูกลับไป... จู่ๆ สายลมดุจดั่งพายุโหมก็พัดกระหน่ำเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ถึงขั้นที่ว่าผมกับซองซูนั่งกันไม่ติด ต้องรีบลุกขึ้นยืน เพราะรับรู้ได้เลยว่า..สายลมที่แสนจะบ้าคลั่งนั้นกำลังจะพัดพาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ให้หลุดลอยไป!
   
“นี่มันลมบ้าอะไรกันวะเนี่ย!?” ส่วนเสียงโวยวายนี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นายซองซูนั่นแหละ
   
ทว่า..!
   
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
   
“เฮ้ยยยยยย!”
   
ก่อนจะเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นในเวลาต่อมา ทำเอาซองซูร้องลั่นด้วยความตกใจ ในขณะที่ผมรีบยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง เพราะเสียงที่ว่านั่นดังมากเสียงจนมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมเกินจะรับไหว
   
แล้วทันใดนั้น.. กำแพงต้นไม้ทั้งสี่ด้านก็กระจายตัวออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่มันจะสลายหายไปในพริบตา!
   
ทำให้ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นได้แล้วว่าสถานที่ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นั้นเป็นลานขนาดกว้างบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ก็คงจะเคยเป็นเขาวงกตมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่ามันได้ถูกทำลายลงเรียบร้อยแล้ว ด้วยฝีมือของ…
   
“ส่งหัวใจของฉันคืนมา ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!!”
   
..เหล้ารัม!
   
ใช่... เป็นเขาไม่ผิดแน่ ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกลก็เถอะ แต่ผมบลอนด์กับความสูงโดดเด่นแบบนั้นรับรองว่าเป็นเหล้ารัมตัวจริงเสียงจริงแน่ เพียงแต่ว่า.. ในเวลานี้..เขาอาจจะไม่ใช่พ่อมดแสนดีอย่างที่ผมคุ้นเคยก็เป็นได้...
   
เพราะยิ่งเดินเข้ามาใกล้ ผมยิ่งรับรู้ได้ถึงกระแสแห่งมนตราที่ทั้งอัดแน่นและรุนแรงเสียจนน่าหวาดหวั่นใจ.. หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ..เหล้ารัมในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคลื่นยักษ์ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ชายฝั่งและเตรียมกวาดล้างให้แบบไม่เหลือซาก!
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
แต่รู้อะไรมั้ย.. ผมกลับใจเต้นแรงเฉยเลยว่ะ.. ไม่ใช่เพราะว่าความกลัวหรอกนะ แต่เป็นเพราะ..ผมดีใจมากกว่า (ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ผมดีใจจริงๆ) แบบว่า..รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจนหัวใจมันเต้นผิดจังหวะอะไรแบบนั้น.. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้มีโอกาสเห็นพลังความโกรธที่ปะทุออกมาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเสียงคำรามจากเหล้ารัมที่บอกว่า..ผมคือหัวใจของเขาที่ซองซูขโมยมา.. คะ..ใครไม่รู้สึกอะไรเลยก็บ้าแล้ว!
   
แต่ทว่า.. “ใจจริงก็อยากจะลองดีไม่สนคำเตือนของนายดูสักตั้งนะ แต่ว่า..วันนี้จะยอมคืนให้แบบง่ายๆ ก็แล้วกัน” ..แทนที่นายพ่อมดเกาหลีจะรู้สึกกลัว เขากลับโต้ตอบเหล้ารัมกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูจะมีความสุขไม่น้อย ทำเอาผมที่กำลังปลื้มกับเหล้ารัมอยู่ต้องรีบหันไปมองด้วยความสงสัย ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายพ่อมดซองซูหันรอยยิ้มมาทางผมพอดี แล้วพูดต่อ “ไปสิ แฟนนายมารับแล้วนี่ : )”
   
“...”
   
ใจจริงผมอยากจะร้องค้านเรื่องคำว่า ‘แฟน’ ที่ซองซูพูด แต่พอเห็นแววตาของเขา..ผมกลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว แถมความตื่นเต้นที่เคยมีในใจก็จางหายไปในพริบตา..
   
เพราะถ้าผมเดาไม่ผิด ทั้งรอยยิ้มและตาเป็นประกายที่กำลังส่งข้อความมามันน่าจะหมายความว่า..นายพ่อมดเกาหลีได้เห็นถึงความสำคัญของผมที่มีต่อเหล้ารัมด้วยตาของตัวเขาเองแล้ว..
   
ในขณะที่เหล้ารัมเองที่เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ก็ดูจะงงๆ ไปเหมือนกันที่ซองซูยอมส่งผมคืนโดยที่ไม่ต่อรองอะไรทั้งสิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะลบล้างความโกรธภายในแววตาของนายพ่อมดเหล้าไปได้หรอกนะ
   
“มันทำอะไรคุณหรือเปล่า?” แต่ก็เพียงไม่นานนักหรอกนะที่เหล้ารัมให้ความสนใจกับซองซูน่ะ เพราะพอผมขยับตัวไปใกล้เขา ความโกรธก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงในทันที ราวกับว่าพ่อมดที่มาพร้อมคลื่นยักษ์คนนั้นได้ลดระดับเหลือเพียงแค่หยาดฝนที่หล่นรดลงมาเพื่อชโลมจิตใจเท่านั้น
   
แล้วก็ไม่ใช่แค่การถามลอยๆ ด้วยนะ แต่นายพ่อมดหน้าฝรั่งยังมีการจับผมหมุนตัวดูเพื่อสำรวจร่างกายด้วย ผมที่รู้ตัวดีว่าไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นจึงรีบยกมือขึ้นห้าม
   
“ผมโอเคครับเหล้ารัม นายซองซูไม่ได้ทำอะไรผมเลย เขาแค่..จับผมมาเพราะอยากจะกวนประสาทคุณเท่านั้น” แน่ล่ะว่าผมโกหก ในเมื่อนายพ่อมดเกาหลีจับผมมาด้วยจุดประสงค์อะไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่..ผมคิดดีแล้วว่าตัวเองไม่ควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไปเลย เพราะไม่อยากให้เหล้ารัมต้องมาคอยเอาแต่ห่วงผมมากขึ้น จนกลายเป็นว่าไปเข้าล็อคกับสิ่งที่ซองซูต้องการ “แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วย ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมซะแล้ว” ก่อนจะพยายามพูดติดตลกให้คนตรงหน้าลดความตึงเครียดลง แต่กลายเป็นว่า..
   
“ไม่มีทางครับ ผมไม่มีทางทิ้งคุณแน่” ..เหล้ารัมดันซีเรียสขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า ทำเอาผมนี่ถึงกับเงิบไปเลยที่อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้น “เพราะฉะนั้น คุณห้ามคิดแบบนั้นอีกนะครับ”
   
“เอ่อ..” ที่เขาว่ากันว่า..พ่อมดแม่มดเมื่อรู้สึกพิเศษกับใครไปแล้ว ความเข้มข้นของความรู้สึกก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วนี่..มันคือแบบนี้เองสินะ.. “โอเคครับ ผมจะไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว”
   
เพราะฉะนั้นพอพูดจบ ผมจึงรีบพยักหน้าตอบรับตามไปด้วยอย่างกลัวว่าแค่คำพูดอาจจะไม่มากพอ พร้อมทั้งเสริมทัพด้วยรอยยิ้ม โดยหวังเพียงว่าเหล้ารัมเองก็จะเลิกทำหน้าเครียดแล้วส่งยิ้มคืนกลับมาให้ผมเช่นกัน
   
แต่ดูท่าว่างานนี้คงจะเรียกรอยยิ้มของนายพ่อมดเหล้าออกมายากหน่อยแฮะ เพราะพอผมตอบรับปุ๊บ เขาก็หันไปส่งสายตาดุร้ายใส่ซองซูปั๊บ ก่อนจะเริ่มแสดงพลังออกมาทางคำพูดให้อีกฝ่ายได้รู้ตัว “ส่วนแก อย่าได้คิดมายุ่งกับคนของฉันอีก ถ้าสันดานก่อกวนของแกมันแก้ไม่หาย ก็มากวนฉันนี่ ไม่งั้น..อย่างว่าแต่การประลองเลยซองซู แค่ซากของแก..ตระกูลพยอนก็จะไม่มีวันได้รับคืน!”
   
“...”
   
คำขู่ของเหล้ารัมดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำขู่เลยสักนิด.. มันเหมือน..เป็นสิ่งที่เขาจะทำจริงแน่ หากซองซูยังไม่เลิกยุ่งกับผมน่ะนะ ในขณะที่พ่อมดเกาหลีเองแม้ว่าจะยังทำเป็นยืนยิ้มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงชิลๆ อยู่ได้ แต่แวบนึง..ผมที่ขยับมายืนข้างๆ เหล้ารัมก็แอบเห็นความสั่นไหวภายในแววตาของซองซูเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นการสั่นไหวที่เกิดขึ้นในวินาทีสั้นๆ แต่นั่นก็บอกให้รู้ว่าสิ่งที่เหล้ารัมพูดมีผลต่อเขาเช่นกัน
   
จนตอนนั้น..ผมเองที่อยู่ใกล้ชิดกับเหล้ารัมมาหลายวันก็ได้คิด ว่าบางที..การที่ได้อยู่ใกล้เกินไป อาจทำให้ผมลืมนึกไปว่าเขานั้น..น่ากลัวมากแค่ไหน..
   
อย่าลืมที่ไรเกอร์บอกสิ นี่น่ะ หนึ่งในห้าพ่อมดที่เก่งกาจที่สุดในทศวรรษนี้เชียวนะ
   
“ไปกันเถอะ”
   
เหล้ารัมเลิกสนใจซองซูในวินาทีต่อมา ก่อนที่เขาจะจับมือผมไว้ แล้วพาเดินออกไปให้ไกลจากตัวป่วนอย่างนายซองซู
   
ทว่า..
   
“...”
   
..แต่ก่อนที่เราสองคนจะพากันหายตัวกลับมายังโลกมนุษย์ ผมหันกลับไปมองนายพ่อมดเกาหลีอีกครั้ง และได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงความพึงพอใจส่งมาให้ ซึ่งเพียงแค่เห็นด้วยตาก็รู้แล้วว่า..เขาพึงพอใจกับข้อพิสูจน์ในวันนี้เป็นอย่างมาก...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2


* * * * * * *

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ซองซูลักพาตัวผมจะผ่านมาได้สองวันแล้ว ทว่าเหล้ารัมยังคงตามติดผมไปแทบจะทุกที่ราวกับกลัวว่าหากผมพ้นสายตาของเขาไปเมื่อไหร่ นายพ่อมดเกาหลีก็จะขโมยผมไปเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นบางทีแค่เข้าห้องน้ำ นายพ่อมดเหล้าก็ยังต้องมาคอยนั่งเฝ้า จนผมรู้สึกอึดอัดบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากจริงๆ เพียงแต่..ผมก็เข้าใจเหล้ารัมนะ ไม่รู้สึกว่าต้องไปเอ่ยปากห้ามหรืออะไรทั้งนั้น เพราะถ้าการที่เขาเห็นผมอยู่ในสายตาแล้วมันทำให้เขาอุ่นใจหรือหมดความกังวล ผมก็ยินดี
   
อย่างวันนี้ก็เช่นกัน จริงๆ แล้วเหล้ารัมแทบจะไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปทำงานบ้านหลิวกับผมเลยสักนิด เพราะแค่เขาดีดนิ้วเป๊าะเดียวก็มีงานส่งแล้ว แต่พอผมยืนยันว่าอยากจะไปรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนบ้าง เหล้ารัมก็รีบพยักหน้าสองสามที ก่อนจะขอหลิวตามมาทำงานที่บ้านด้วย และแน่นอนว่าทุกคนโอเค เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเพื่อนๆ จะปักใจเชื่อกันไปแล้วว่าผมกับเหล้ารัมนั้นต้องเป็นแฟนกันอย่างแน่นอน ดังนั้น ‘แฟนเพื่อน’ ก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนนั่นแหละ ถึงแม้ว่าความจริงจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม
   
“คิดงานไม่ออกโว้ยยยยยยยยย!”
   
ซึ่งเอาเข้าจริงผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องมารวมกลุ่มทำงานที่บ้านหลิวเลยด้วยซ้ำ เพราะว่างานชิ้นนี้ผมทำใกล้เสร็จแล้ว เหลือแค่เช็คความเรียบร้อยและลงสีอีกนิดก็เป็นอันว่าเสร็จสมบูรณ์ แต่ที่มานี่ก็เพราะว่าไอ้เอกนั่นแหละ มันมาชวนกึ่งขอร้องให้ผมมาช่วย เพราะเดดไลน์ก็อีกไม่ไกลแล้ว แต่ไอเดียของมันกลับยังไม่ผุดออกมาเลยแม้แต่กระผีกเดียว
   
“เฮ้ยใจเย็น” แล้วก็ไม่เพียงแค่ช่วยปลุกไอเดียให้มันเพียงอย่างเดียวนะ แต่ต้องคอยห้ามไม่ให้มันคว้าอะไรใส่ปากมั่วๆ เพียงเพราะความเครียดด้วย อย่างตอนนี้ที่มันกำลังจะหยิบกระดาษเอสี่ขึ้นเคี้ยวเนี่ย!
   
“นั่นสิ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็คิดออก” โดยมีเหล้ารีมช่วยเสริมกำลังใจอีกแรง
   
แต่คนกำลังบ้าก็คือคนกำลังบ้า เพราะแค่ผมเผลอปล่อยมือออกจากกระดาษแผ่นนั้นแค่แป๊บเดียว ไอ้เพื่อนตัวดีก็ขยำมันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยัดก้อนกระดาษก้อนนั้นเข้าปากจนได้
   
เออ ดี อยากกินก็กินเข้าไปเลย ไอ้บ้า!
   
ด้วยความที่ดูท่าแล้วเอกไม่น่าจะคลายความเครียดลงและคิดงานด้วยสมองที่ปลอดโปร่งต่อได้ ผมเลยอาศัยจังหวะที่หลิวกับบอยช่วยกันง้างปากให้คนบ้าคลายกระดาษออกมา..รีบลากเหล้ารัมไปยังมุมสงบ เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาทันที
   
“เหล้ารัม คุณพอจะช่วยให้ไอ้เอกมันคิดงานออกหน่อยได้มั้ยครับ เพราะขืนยังเป็นแบบนี้ ต่อให้ใช้เวลาจนถึงเช้าวันถัดไปมันก็คิดงานไม่ออกแน่”
   
“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร ได้สิครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”
   
ผมขยับปากขอบคุณเหล้ารัมทันทีที่เขายอมตอบรับคำขออย่างง่ายดาย ก่อนที่ร่างสูงจะพึมพำกับตัวเองอยู่สักพัก จนเกิดเป็นเม็ดกลมๆ ขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา หน้าตาคล้ายกับพวก..ยาลูกกลอนที่เห็นตามซีรี่ส์จีนอะไรแบบนั้น
   
โดยที่ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมฟังเพิ่มเติม เหล้ารัมก็รีบเดินตรงไปหาไอ้เอกที่เพิ่งจะยอมคลายกระดาษออกมา ก่อนที่เขาจะเอาก้อนกลมๆ เม็ดนั้นโยนใส่ปากเพื่อนผม แล้วใช้มือปิดปากมันไว้ราวกับต้องการบังคับให้กลืนลงคอไปซะ
   
แน่นอนว่าไอ้เอกดิ้นสุดชีวิต แต่มีหรอที่มันจะหลุดพ้นไปจากพ่อมดเหล้าได้ เพราะเพียงไม่นาน มันก็หยุดดิ้น พร้อมกับเหล้ารัมที่ปล่อยมือออกมา ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าไอ้เจ้าสิ่งที่น่าจะเป็น ‘ยา’ เม็ดนั้น คงไหลลงคอเพื่อนบ้าของผมไปเรียบร้อยแล้ว
   
“เชี่ย! มึงเอาอะไรใส่ปาก...” แล้วพอได้ปากคืน ไอ้เอกก็หันมาโวยเหล้ารัมทันทีที่ตอนนี้กำลังทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับสิ่งใดทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันจะจบประโยคเลยครับ คนถูกยัดของใส่ปากก็เป็นอันต้องชะงักไป พร้อมกับเบิกตาโตขึ้นคล้ายเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
   
“เป็นไรวะเอก” บอยรีบถามทันทีเมื่อเห็นอาการของเอกเป็นแบบนั้น แต่คนถูกถามกลับไม่ตอบ ทำเพียงแค่รีบดึงแม็คบุ๊คของตัวเองเข้ามาใกล้ แล้วเริ่มพิมพ์นั่นคลิกนี่คล้ายจะหาข้อมูลบางอย่าง
   
“นี่..คิดงานออกแล้วหรอเอก?” ในขณะที่หลิวที่นั่งใกล้เอกมากกว่าบอยชะโงกหน้าไปดูสิ่งที่ไอ้เอกกำลังทำ แล้วเธอก็ถามขึ้นมา
ด้วยความประหลาดใจ
   
“ใช่ คิดงานออกละ ขอทำก่อนนะ” ซึ่งพอได้ยินไอ้เอกตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนั้น ผมก็แอบหันกลับมายกนิ้วโป้งให้เหล้ารัมอย่างรู้กัน เพราะเห็นชัดอยู่แล้วว่าการได้ไอเดียแบบฉับพลันในครั้งนี้ยังไงก็คงไม่พ้นผลจากไอ้เจ้าเม็ดกลมๆ เม็ดนั้นแน่
   
แล้วพอเสียงโวยวายของเอกหายไป ทุกคนก็เริ่มกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอีกครั้ง (แบบที่ไม่มีใครถามถึงสิ่งที่เหล้ารัมยัดใส่ปากเอกเลยแม้แต่คนเดียว คงเพราะ..เวทมนตร์อีกเช่นกันน่ะนะ) โดยมีนายพ่อมดเหล้านั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ เพราะเขาอ้างกับทุกคนว่าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
   
“เฮ้อออ~ เสร็จสักที” แล้วก็แน่นอน ผมเป็นคนแรกของกลุ่มที่ทำงานเสร็จ (ถ้าไม่นับเหล้ารัมน่ะนะ) เพราะอย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่างานของผมตอนก่อนที่จะมาถึงบ้านหลิวนั้นถูกทำไปเกือบเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้ว
   
“เสร็จเหมือนกันเลย ดีจายยยย~” ก่อนจะตามมาด้วยหลิวที่ทำหน้าเหมือนว่าเธออยากจะร้องไห้ออกมาเลยที่งานชิ้นนี้เสร็จลงได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมก็เข้าใจหลิวดี เพราะขนาดผมเป็นคนที่มักจะได้ไอเดียก่อนคนอื่นๆ เสมอ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากว่าจะปั้นงานออกมาจนสำเร็จได้ ก็ถือว่าเล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็นออกมาเลยเหมือนกัน
   
ตอนนี้เลยเหลือแค่คอยส่งกำลังใจให้บอยกับเอกปั่นงานจนเสร็จเท่านั้น ซึ่งเอาจริงๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนะ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาปาดสีให้งานมันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเอง.. “หิวแฮะ”
   
“หิวหรอ งั้นเดี๋ยวผมออกไปหาซื้ออะไรมาให้กินก็แล้วกัน ว่าแต่..คุณอยากกินอะไรล่ะ?” ซึ่งพอได้ยินในสิ่งที่ผมเผลอหลุดปากบอกความรู้สึกออกไป เหล้ารัมก็รีบวางหนังสือในมือลง ก่อนจะหันมาถามหาคำตอบอย่างจริงจังโดยที่ไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว
   
“ไม่ต้องหรอกเหล้ารัม หลิวตั้งใจว่าถ้างานเสร็จทำกับข้าวให้ทุกคนกิน เพราะฉะนั้นเหล้ารัมไม่ต้องออกไปซื้อหรอก” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป หลิวที่เพิ่งจะปิดแม็คบุ๊คเสร็จก็ขัดขึ้น ผมเองที่พอจะมีฝีมือการทำอาหารอยู่บ้างเลยเสนอตัวช่วยหลิวเช่นกัน
   
“งั้นเดี๋ยวเราช่วยหลิวเอง”
   
“ได้เลย แต่เดี๋ยวหลิวขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
   
“โอเค”
   
พอผมตอบรับเสร็จปุ๊บ หลิวก็ลุกเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ซึ่งจุดมุ่งหมายน่าจะเป็นห้องนอนของเธอเอง ในขณะที่เหล้ารัมกับผมหันมายิ้มให้กัน เพราะว่าสามารถหาข้อสรุปให้กับความหิวของผมได้แล้ว
   
ฟึ่บ!
   
ทว่า.. ในขณะที่ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เหล้ารัมเพื่อรอให้หลิวเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาอยู่นั้น จู่ๆ เสียงเหมือนคนโยนปึกกระดาษลงบนโต๊ะก็ดังขึ้น พร้อมกับซองจดหมายที่เขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนว่า... ‘Whiskey’ จะปรากฏขึ้นบนตักของเหล้ารัม
   
“พี่วิสกี้..” แน่นอนว่านายพ่อมดเหล้าคือคนแรกที่มีปฏิกิริยาต่อจดหมายฉบับนั้น พร้อมกับเอ่ยบางอย่างออกมาที่ทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
   
พี่วิสกี้..งั้นหรอ?
   
“ใครกันครับ” ด้วยความสงสัย ผมจึงกระซิบถาม เพราะกลัวว่าเอกกับบอยที่ตั้งใจทำงานอยู่จะหันมาสนใจเข้าซะก่อน
   
แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ.. “พี่สาวของผมเอง”
   
“…”
   
วินาทีนั้นผมเหมือนคนใบ้ไปชั่วขณะ.. ไม่ใช่ตกใจเรื่องที่เหล้ารัมมีพี่สาวหรอกนะ เพราะเคยได้รู้ข้อมูลนี้จากเขาตอนที่เราสองคนเดทกันแล้ว เพียงแต่..พอเหล้ารัมตอบคำถามผมเสร็จ เขาก็หยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้น แล้วเดินออกจากบ้านไปเลย จนสมองผมมันคิดไม่ทันว่าควรที่จะอยู่ตรงนี้เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับเขา หรือว่าควรที่จะเดินตามออกไปด้วยกันแน่?
   
“เสร็จแล้ววาฬ มาเข้าครัวกันเถอะ : )” ประจวบเหมาะกับที่หลิวลงมาข้างล่างพอดี ผมเลยยิ่งอึกอักเข้าไปใหญ่
   
เอาไงดีวะวาฬ ตามหรือไม่ตามดี?
   
“เอ่อ.. หลิวเข้าครัวก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราตามไป ขอเวลาแป๊บ” แล้วผลสรุปก็คือ ผมเลือกที่จะตามเหล้ารัมออกไปข้างนอก โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการอะไรจากสิ่งที่ทำกันแน่..
   
พรึบ!
   
แต่หลังจากที่เดินตามออกมาได้ไม่นานนัก เสียงหนึ่งก็เรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง ก่อนจะพบว่ามันคือเสียงของ ‘เปลวไฟ’ ที่ลุกโชนขึ้น อันเป็นผลมาจากสิ่งที่เหล้ารัมกำลังทำอยู่
   
“…” ซึ่งบอกตรงๆ ว่าใจผมนี่คืออยากจะเรียกให้เขาหันมามองนะ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายใช้ไฟเผาจดหมายในมือด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่ากำลังกังวลใจ ผมก็ทำเพียงแค่..เดินเข้าไปหาอย่างเงียบๆ เท่านั้น..
   
“...” ในขณะที่เหล้ารัมพอรู้ตัวว่าผมเดินตามออกมาก็หันมามองผมนิดนึง ก่อนจะหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่มือต่อโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน
   
เราสองคนจึงตกอยู่ในความเงียบเกือบพักใหญ่ จนกระทั่งผมเห็นว่าจดหมายในมือถูกเผาจนไม่เหลือซากแล้ว จึงตัดสินใจเปิดการสนทนาเองโดยที่ไม่รอเขาอีกต่อไป..
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
   
พรึบ!
   
สิ้นเสียงคำถามจากผม นายพ่อมดเหล้าสะบัดมือหนึ่งครั้ง ก่อนที่ไฟในมือจะดับลง ส่งผลให้ตัวผมเป็นสิ่งที่เขาหันมาจับจ้องเป็นสิ่งต่อไปแทน “ก็.. ไม่รู้สิ ผมยังไม่ได้เปิดมันอ่านน่ะ ก็เลยไม่รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรกันแน่”
   
“อ้าว แล้วคุณเผามันทิ้งทำไม นั่นมาจากพี่สาวของคุณไม่ใช่หรอ”
   
“ใช่ครับ แต่ว่า..” แล้วตอนนั้นเองที่เหล้ารัมเริ่มทำสีหน้าอ่านยาก ก่อนจะเว้นจังหวะเพื่อถอนหายใจยาวเหยียดเสียจนผมรู้สึกกังวลกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ว่าจริงๆ แล้วเหล้ารัมกำลังรู้ยังไงอยู่กันแน่?
   
“เอ่อ.. ถ้าคุณไม่สะดวกใจที่จะเล่าก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมโอเค” แต่ถึงผมจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ทว่ายังไงเรื่องความสบายใจของเหล้ารัมก็ต้องมาเป็นที่หนึ่งน่ะนะ เพราะฉะนั้นถ้าเขาไม่อยากเล่า ผมก็จะไม่บังคับอะไรทั้งนั้น
   
และนั่นก็ทำให้นายพ่อมดเหล้ารีบส่ายหน้า “ไม่หรอกครับ ผมสะดวกใจอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อกี้นี้..ผมแค่รู้สึกเหนื่อยใจและกังวลใจน่ะ เมื่อคิดว่าข้อความที่อยู่ในจดหมายจะต้องเป็นอะไรที่ทำให้ผมเกิดความลำบากใจแน่”
   
“...” เพราะแบบนี้เองสินะ ผมถึงได้เห็นความกังวลฉายชัดบนใบหน้าเหล้ารัมตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินออกมา
   
ว่าแต่ว่า..แล้วทำพี่สาวถึงต้องทำให้น้องชายลำบากใจด้วยล่ะ?
   
“คือ.. จริงๆ แล้วพี่วิสกี้ก็เป็นพี่สาวที่ดีนะ แต่ว่าบางทีเธอก็ชอบคิดว่าตัวเองสมควรจะต้องจัดการทุกเรื่องด้วยตัวของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม แล้วถามหน่อย แบบนี้ใครมันจะไปยอมกัน จริงมั้ย?” แล้วก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจผมออก เมื่อเหล้ารัมอธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะถามเหมือนขอความเห็นในช่วงท้าย
   
ทว่าผมไม่มีคำตอบให้หรอกนะ “แล้วเรื่องของคุณที่ว่านั่น เกี่ยวกับผมรึเปล่าครับ” เพราะผมเองก็ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่เหมือนกัน
   
“...” นั่นทำให้เหล้ารัมเงียบ.. เขาดูมีสีหน้าลำบากใจมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะถามออกไป
   
“บอกมาเถอะ ผมโอเค” แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังไม่ลดละ ไม่ใช่ว่าอยากจะตื๊อเอาคำตอบอะไรจากเขาหรอกนะ เพียงแต่..ผมแค่อยากให้เหล้ารัมรู้ว่าต่อให้เป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม เขาสามารถบอกผมได้ทุกๆ เรื่องตามที่ใจต้องการ
   
“เป็นอย่างที่คุณคิด พี่วิสกี้กำลังกังวลเรื่องของเราสองคน และคงอยากที่จะจัดการให้เรียบร้อย” จนในที่สุดเหล้ารัมก็ยอมพูดออกมาจนได้
   
ซึ่งบอกเลยว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากเหล้ารัมไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจอะไรเท่าไหร่นัก ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการที่ผมตัดสินใจมาอยู่ร่วมทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับนายพ่อมด เพราะฉะนั้นต่อให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมเองก็ต้องรับให้ได้ อย่าลืมสิว่าผมน่ะกำลังจะตายนะ มันไม่มีเรื่องไหนที่น่ากังวลใจไปมากกว่าเรื่องนั้นแล้วแหละ จริงมั้ย?
   
“พี่สาวคุณกำลังกังวลเรื่องที่เราทำพันธะสัญญากันน่ะหรอครับ” ผมถามต่อ
   
แต่เหล้ารัมส่ายหน้าจนผมสีบลอนด์ของเขาสะบัดตัวเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ไมใช่ครับ เพราะพี่วิสกี้ยังไม่รู้เรื่องพันธะสัญญา และผมก็จะไม่มีทางบอกเธอเรื่องนี้ด้วย แต่ที่เธอกำลังกังวลใจน่ะ คงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนมากกว่า คือเธอ..”
   
เมี๊ยววววว~
   
แต่ยังไม่ทันที่เหล้ารัมจะได้พูดจนจบประโยค เสียงร้องของแมวก็หยุดทุกอย่างไว้.. ก่อนที่เราสองคนจะหันไปยังต้นทางของเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วก็พบกับ..
   
“แมวส่งสาร?”
   
..แมววิเชียรมาศที่กำลังจ้องมองมาด้วยตาสีฟ้าใสของมัน โดยที่ตรงคอมีปลอกคอสีแดงเข้มที่ห้อยจี้รูป..ซองจดหมายเอาไว้
   
เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ เหล้ารัมถึงได้เรียกมันว่าแมวส่งสารน่ะ?
   
“สวัสดีเหล้า” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากนายพ่อมดเหล้า ผมก็เป็นอันต้องอึ้ง เมื่อจู่ๆ เจ้าแมวก็พูดออกมาด้วยเสียงของผู้หญิงแบบนั้น!? “เหตุที่ฉันส่งแมวส่งสารมา ก็เพราะรู้ว่านายจะต้องเผาจดหมายฉันทิ้งอีกฉบับแน่! ซึ่งนั่นหมายความว่านายรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่ต้องการคุยด้วยเรื่องคู่ควงของนายที่งานเลี้ยงเต้นรำบ้านวินเซนต์ ว่าคนๆ นั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แล้วทำไมนายถึงได้ไปใกล้ชิดกับมนุษย์ขนาดนั้น ทั้งๆ ก็รู้ว่าพี่เกลียดมนุษย์มากแค่ไหนน่ะ!!”
   
“...”
   
“แล้วเป็นมนุษย์ไม่พอ ยังไม่ใช่ผู้หญิงอีก บอกตรงๆ เลยนะว่ามันทำให้พี่สับสนเรื่องของนายมาก เพราะฉะนั้น เลิกหลบหน้าพี่ แล้วก็มาคุยมาเคลียร์กันให้รู้เรื่องซะ ไม่อย่างงั้นพี่จะออกตามล่านายมนุษย์คนนั้นด้วยตัวเอง จำไว้!”
   
“...”
   
“ปอลอ ทำไมนายไม่เคยบอกพี่ว่านายเป็นเกย์!?”
   
เมี๊ยวววว~
   
แล้วแมวตัวนั้นก็กระโดดหายไป.. เป็นสิ่งที่บอกให้ผมกับเหล้ารัมได้รู้ว่าข้อความที่วิสกี้พี่สาวของเขาต้องการส่งมานั้นได้จบสิ้นลงแล้ว..
   
“...” และแน่ล่ะว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาในทันที เราสองคนทำเพียงแค่หันมองหน้ากันเงียบๆ กับสิ่งที่ได้ยินจากเจ้าแมววิเชียรมาศตัวนั้น
   
เหมือนกับว่า..ต่อให้ไม่ต้องพูดอะไรต่อ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกสรุปอยู่ในสารที่วิสกี้ส่งมาทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรอีก
   
เพียงแต่ว่า.. ที่ผมบอกไปว่าไม่กังวลเรื่องของพี่สาวเหล้ารัมน่ะ ผมขอกลับคำนะ เพราะผมว่า..ผมชักจะเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมานิดนึงแล้วล่ะ
   
ก็ดูสิ่งที่แมวตัวนั้นพูดออกมาสิ มันชัดเจนเลยนะว่าพี่วิสกี้เป็นแม่มดที่เกลียดมนุษย์มาก แล้วก็ดูรับไม่ได้เรื่องที่เหล้ารัมเป็นเกย์ด้วย แถมยังออกปากว่าจะตามล่าหาตัวผมอีก แบบนี้จะไม่ให้กังวลได้ยังไงกัน
   
“วาฬครับ” แล้วก็ดูเหมือนว่าเหล้าจะสังเกตเห็นความกังวลใจของผมได้ เพราะทันทีที่ผมบอกตัวเองในใจว่าเรื่องนี้มันก็น่ากังวลไม่ใช่น้อย เหล้ารัมก็สืบเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะจับมือผมไปกุมไว้แน่น “ไม่ต้องกลัวพี่สาวผมนะ ผมรับมือกับเรื่องนี้ได้ ขอแค่คุณเชื่อใจผม รับรองว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่”
   
แต่ดูเหมือนว่านายพ่อมดเหล้าจะเข้าใจผิด เพราะผมน่ะ.. “ผมไม่ได้กลัวพี่สาวคุณหรอกครับ แค่คิดว่าควรจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงดีก็เท่านั้นเอง”
   
พอพูดจบ ผมก็ยักไหล่น้อยๆ ให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมโอเคกับสิ่งที่ได้รับรู้ มันก็แค่เป็นความกังวลทั่วไปเท่านั้น ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีสมอง มันก็อดที่จะคิดนั่นคิดนี่ไม่ได้น่ะนะ ทว่า.. จู่ๆ หนึ่งในความคิดที่วิ่งวนอยู่ในสมองผมมันก็ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา..
   
“ทำไมถึงหัวเราะล่ะครับ?” ทำเอาเหล้ารัมขมวดคิ้วมุ่น เพราะการหัวเราะของผมมันช่างไม่เข้ากับบรรยากาศก่อนหน้านี้เลยสักนิด
   
“ผมแค่มีความคิดบ้าๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะครับ”
   
“ยังไงกัน”
   
“คือ.. ผมว่าเรื่องของเรานี่มันก็เหมือนละครหลังข่าวดีนะ แบบว่า..ทั้งๆ ที่พระเอกเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนแท้ๆ แต่พี่สาวพระเอกกลับจ้องจะล่าตัวผมซะงั้น เพราะไม่สามารถจัดการน้องตัวเองได้ ฮ่าๆๆๆ.. น่ะ..นี่คุณ ทำอะไรเนี่ย!?”
   
ผมร้องเสียงหลงเลยเมื่อจู่ๆ เหล้ารัมก็เปลี่ยนจากกุมมือเป็นโอบเอวผมแล้วดึงตัวให้เข้าไปใกล้กับเขาแทน แถมคิ้วที่เคยขมวดกันก็คลายออกเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียง..สายตากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ซะอย่างงั้น!?
   
ทะ..ทำบ้าอะไรของเขาฟะ!!?
   
“งั้นถ้าผมเป็นพระเอก คุณก็ต้องเป็นนางเอก.. เอ๊ะ ไม่สิๆ ไม่ใช่นางเอก ถ้าเป็นนิยายชายรักชายของมนุษย์เขาจะเรียกว่าอะไรนะ? อืม.. อ๋อ~ นายเอก ใช่แล้วๆ คุณต้องเป็นนายเอกของผม :)
   
“...”
   
แล้วใครจะคิด.. ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมาจากปากขอบตัวเองจะย้อนกลับมาเล่นงานผมซะอย่างงั้น!?
   
แถมนายพ่อมดเจ้าเล่ห์ยังมีการกระชับวงแขนที่โอบอยู่ให้ผมเข้าใกล้ตัวเขามากขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ จะ..จนหน้าเราสองคนจะแนบกันอยู่แล้วเนี่ย!

   
~You are my starlight 내 맘을 비춰 함께 있으면 온종일 꿈꾸는 기분~ ♪

   
แต่ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกร้อนเป็นไฟตั้งแต่สองข้างแก้มจรดปลายเท้าอยู่นั้น เสียงไอโฟนที่กรีดร้องขึ้นก็เหมือนจะช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้ซะก่อน ทำเอานายเหล้ารัมที่พยายามจะรุกล้ำเข้ามาเป็นอันต้องทำหน้าเซ็งอีกครั้ง ไม่ต่างจากตอนที่ถูกนายซองซูขัดจังหวะเลยสักนิด
   
สะ..สมน้ำหน้า!
   
“ฮัลโหล” ผมจึงอาศัยจังหวะที่มีคนกำลังเซ็งรีบผละตัวออกมา ก่อนจะเอาไอโฟนขึ้นมารับ โดยที่ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าปลายสายเป็นใคร
   
(กลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ!) เพราะฉะนั้นจึงตกใจมากที่อีกฝ่ายตะคอกเสียงตอบกลับมา แถมตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อจับน้ำเสียงได้ว่าคนที่โทรก็คือ..พี่เบล! (นายน่ะ ไปสร้างปัญหาอะไรเอาไว้ไม่ทราบ ถึงได้มีคนจากตระกูลเวทมนตร์อัครวรกุลพิชิตมาบุกบ้านของเราเนี่ย!)
   
“เอ่อ…”
   
(รีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้!!)
   
ตู๊ดๆๆๆๆๆ~
   
แล้วปลายสายก็ถูกตัดไป.. ทิ้งผมที่พูดได้แค่คำว่า ‘ฮัลโหล’ กับ ‘เอ่อ…’ ให้อยู่กับความงงเกือบหกวินาที ก่อนที่จะเรียกความทรงจำถึงสิ่งที่เจ้าหล่อนพูดรวดเดียวกลับคืนมาได้.. ว่ามีคนจากตระกูลเวทมนตร์บุกมาที่บ้าน ชื่อตระกูล.. “อัครวรกุลพิชิต?” เอ.. ทำไมฟังดูคุ้นจัง เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย?
   
แต่ความสงสัยนั้นก็อยู่กับผมได้ไม่นาน เมื่อคนเคยทำหน้าเซ็งหันมาหาผม ก่อนจะถามว่า.. “เมื่อกี้คุณพูดนามสกุลของผมหรอ?”
   
“จะ..จริงด้วย! นั่นมันนามสกุลของคุณนี่”
   
“ใช่ครับ อัครวรกุลพิชิตคือนามสกุลของผม”
   
“ถ้างั้นผมคงต้องรีบกลับบ้านด่วนเลย”
   
“ทำไมล่ะ?”
   
“ก็คนของตระกูลคุณบุกบ้านผมน่ะสิ!”
   
“หา!?”


จบตอนที่ 11

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :-[

เอ๊ะๆๆ พี่วิสกี้บุกบ้านแล้วรึ ทำไมไวจัง

ไหนเหล้ารัมบอกว่าสัญญามันเป็นความลับไงล่ะเหวย

 :z3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่วิสกี้ไปบุกบ้านวาฬหรอ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เห้อออ มันอารายกานนนนน เหล้ารัมเอ๊ย!!!

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
นายเหล้ารัมรุกมันได้ทุกสถานการณ์เลยนะ เผลอเป็นเนียนเอาเปรียบวาฬตลอดดด

ออฟไลน์ M.J.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้ด้ายของวาฬเป็นสีอะไรแล้วน้าาาาา

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
พี่วิสกี้หรออออ เร็วไปมั้ยยย 555555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 12
{ ในความวุ่นวาย }


ทันทีที่โทรถามข้อมูลเพิ่มเติมจากแม่ (ซึ่งพูดรู้เรื่องกว่าพี่เบลหลายร้อยเท่า) แล้วได้รู้ว่า..คุณปู่เรียกรวมตัวทุกคนในตระกูลเพื่อหารือครั้งใหญ่กับเหตุการณ์ที่มีคนของตระกูลเหล้ารัมมาบุกบ้าน ผมก็ตัดสินใจบอกลาเพื่อนๆ ก่อนจะขอให้นายพ่อมดช่วยพาผมกับแลมโบกินี่สีฟ้าของเขาหายตัวกลับมาที่รั้วของอลิชาในทันที เนื่องจาก ‘การหารือใหญ่’ ถือเป็นหนึ่งในกฎศักดิ์สิทธ์ที่พวกผู้ใหญ่ยึดถือให้เห็นมาตลอดตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มจำความได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คำว่า ‘ทุกคน’ ก็คือต้องมากันให้ครบทุกคนอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

แต่ทว่า..พอผมเดินมาถึงประตูไม้บานใหญ่ฉลุลายสวยงามที่เป็น ‘ห้องประชุมตระกูล’ ในบ้านใหญ่ของคุณปู่ ผมกลับนิ่ง.. ได้แต่หยุดยืนฟังหลายเสียงจากด้านในที่กำลังแข่งกันพูดจนไม่สามารถจับใจความอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ” ซึ่งพอเหล้ารัมเห็นว่าผมเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ยอมเปิดประตูเข้าไป เขาก็เลยทำท่าว่าจะเป็นคนเปิดให้แทน

“เดี๋ยวครับ” แต่ผมรีบคว้าข้อมือของเหล้ารัมไว้เป็นเชิงห้าม จนร่างสูงผมบลอนด์ต้องหันมาสบตาด้วยความไม่เข้าใจ “ผม.. ผมกลัว” ผมจึงตัดสินใจบอกสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ออกไปซะ..

ทั้งที่ครั้งนึง..ก่อนที่คุณย่าของผมกำลังจะสิ้นลม ท่านบีบมือของผมแน่น และสอนผมเป็นสิ่งสุดท้ายว่า.. “อย่าแสดงความอ่อนแอของหลานให้ใครเห็นนะวาฬ จงเก็บมันเอาไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าหลานกำลังหวาดกลัว เพราะไม่อย่างงั้น..พวกเขา..พวกคนที่ไม่หวังดี..อาจจะใช้มันเพื่อทำร้ายหลานรักของย่าก็ได้..” ซึ่งผมก็ยึดถือมาโดยตลอด จนกระทั่ง..ได้เจอกับเหล้ารัม.. ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เหมือนว่าเขา..เข้ามาทำลายกฎในชีวิตของผม จนบางทีผมยังแอบคิดเลยว่าเหล้ารัมน่ะเป็นพ่อมดที่ได้รับรู้ความรู้สึกของผมมากกว่าพ่อกับแม่เสียด้วยซ้ำ..

และข้อดีของการยอมบอกความรู้สึกให้เหล้ารัมรู้ก็คือ..ผมได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนจากเขา ก่อนที่เขาจะคว้ามือผมไปจับไว้.. “ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณ ไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่” แถมยังพูดปลอบใจราวกับรู้ว่าผมกำลังกลัวสิ่งใดอยู่.. ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านั้น

ซึ่งหลายคนก็อาจจะมองว่าเหล้ารัมก็เป็นแบบนี้เสมอ ไม่ได้ดีเป็นพิเศษหรือแตกต่างไปจากที่ผ่านมา แต่รู้อะไรมั้ย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะสำหรับความต้องการในใจผม.. เพราะสิ่งที่ผมกลัวที่สุดในการเดินเข้าไปในห้องประชุมนี้ก็คือการที่ตัวเองจะต้องยืนโดดเดี่ยวเพื่อถูกคนทั้งบ้านรุมยิงคำถามต่างๆ นานา (ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้ว และมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลยสักนิด) แต่พอมีใครอีกคนคอยจับมือกันไว้แบบนี้..มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน..

“ขอบคุณนะครับ” เพราะฉะนั้นผมจึงกล่าวขอบคุณเหล้ารัมด้วยรอยยิ้มอย่างที่เขาสมควรได้รับ ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเพื่อเดินเข้าไปด้วยความกล้า

ห้องประชุมของตระกูลยังคงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากทุกครั้งที่ถูกเปิดใช้ มันมีเสน่ห์และมนต์ขลังบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธ์ในทุกบทสรุปของประเด็นต่างๆ ที่ถูกนำมาหารือกัน พร้อมเสริมทัพบรรยากาศด้วยภาพวาดเก่าแก่ทุกภาพที่ยังคงเกาะติดผนังทั้งสี่ด้านมาอย่างยาวนานเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอลิชาที่ผูกพันกับเหล่าพ่อมดแม่มดตั้งแต่สมัยอดีตจวบจนยุคปัจจุบัน และคอยตอกย้ำให้ผมรู้ว่าตระกูลเราเดินทางมาไกลขนาดไหนกว่าที่จะมีวันนี้

ในขณะที่ที่นั่งสำหรับการหารือมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจากเมื่อครั้งล่าสุดที่เปิดใช้ เพราะเก้าอี้ไม้โบราณถูกแทนที่ด้วยไม้สักทองฝังมุกที่ออกแบบให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ทว่าการจัดตำแหน่งยังคงเป็นรูปตัวยูคว่ำเหมือนเดิม โดยที่ฐานของตัวยูนั้นถูกยกพื้นให้สูงขึ้นเพื่อเป็นที่นั่งให้กับประมุขของตระกูล ซึ่งก็คือคุณปู่ที่เปรียบเสมือนอำนาจสูงสุดของบ้าน ส่วนฝั่งซ้ายและขวาของตัวยูนั้นถูกแบ่งให้นั่งกันข้างละสี่ครอบครัว แต่ละครอบครัวก็จะมีจำนวนที่นั่งมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกของแต่ละครอบครัวนั่นเอง

“...”

แต่เอาเป็นว่าผมจะขอพักเรื่องหน้าตาของห้องประชุมเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่าความสวยงามก็คือทุกชีวิตในห้องประชุมแห่งนี้ต่างพากันเงียบ.. จากห้องที่เคยเสียงดังโวยวายจนลอดผ่านประตูออกไปกลับเงียบลงทันทีที่ผมกับเหล้ารัมพากันเดินจูงมือเข้ามา.. ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรนักที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ แต่ในความไม่แปลกนั้น..ผมกลับหวั่นใจอยู่ลึกๆ เมื่อรู้สึกว่าสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมา ราวกับว่า..กำลังรอคอยการมาของผมอยู่ยังไงยังงั้น..

ในขณะที่คนข้างๆ เองก็เหมือนจะรับรู้ความรู้สึกของผมได้ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าอะไรออกมาก็ตาม แต่การที่เขาจับมือผมให้แน่นขึ้นกว่าเดิม แสดงว่าเหล้ารัมเองก็คงจะอยากส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างมาให้ ซึ่งผมเดาว่าก็คงอยากจะย้ำในสิ่งที่เขาพูดนั่นแหละว่า..เขาจะอยู่ข้างๆ และไม่ทิ้งผมไปไหน.. เพราะฉะนั้นภาษากายของเขาเลยเหมือนส่งพลังงานบางอย่างให้มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมสามารถละความสนใจจากสายตาเหล่านั้น ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำร่างสูงไปหาพ่อกับแม่ทางด้านซ้ายเพื่อนั่งที่ตำแหน่งในส่วนของครอบครัวตัวเอง

ถ้าไม่ติดว่า..

“มานี่สิวาฬ”

..คุณปู่ดันเรียกผมให้เดินออกไปยังพื้นที่ว่างกลางห้อง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า..ผมคือ ‘ต้นเรื่อง’ ของการหารือในครั้งนี้..

“คุณรอนี่นะ” ผมรู้สึกใจหายวาบทันทีที่คุณปู่เอ่ยเรียก สีหน้าของท่านแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยว่ากำลังรู้สึกอย่างไร และมันก็ทำให้ผมโคตรหวั่นใจจนอยากจะหายตัวออกไปจากห้องนี้ซะ แต่มันก็ทำไม่ได้.. ในเมื่อการเผชิญหน้ากับความจริงคือสิ่งเดียวที่จะทำให้การหารือในครั้งนี้สิ้นสุดลง เพราะฉะนั้นผมเลยพยายามรวบรวมความกล้ากลับคืนมา พร้อมทั้งตั้งใจจะปล่อยมือจากเหล้ารัมเพื่อให้เขานั่งลงข้างๆ พ่อกับแม่

“ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณด้วย” แต่อีกฝ่ายไม่ยอม เพราะเหมือนว่าเขาจะเลือกแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างผม เหล้ารัมเลยกลายเป็นฝ่ายเดินนำผมไปยังพื้นที่ว่างกลางห้องแทน

ทำให้ตอนนี้ทั้งผมและเหล้ารัมกลับมาอยู่ในความสนใจของสายตาทุกคู่อีกครั้ง ยิ่งที่นั่งถูกจัดวางเป็นรูปตัวยูแบบนี้ ยิ่งเหมือนว่าผมกับนายพ่อมดเหล้าถูกสมาชิกทุกคนล้อมเอาไว้

ทว่าในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ผมสามารถมองเห็นสีหน้าของทุกคนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงกับพวกแม่มดสาว (คู่พันธะสัญญาของลูกพี่ลูกน้องผู้ชาย) ที่ต่างพากันมองเหล้ารัมด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มสลับกับการส่งสายตาไม่พอใจมาทาง..ผม!?

อะ..อะไรกันล่ะ ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิดนะ ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้พวกเธอเลย นอกจากยืนจับมือกับพ่อมดที่ดีพร้อมทั้งหน้าตาและนิสัยก็เท่านั้นเอง จำเป็นต้องมองแรงผมขนาดนี้เลยหรือไง?

“หึ! ยังจะมีหน้ามาพานายพ่อมดนี่มาด้วยอีกนะ ไม่ได้ยินที่ฉันบอกตอนโทรไปหรือไงว่าตระกูลอัครวรกุลพิชิตส่งคนมาบุกบ้านเราน่ะ!”

“...”

“นี่ดีแค่ไหนแล้วที่คุณปู่มีเส้นสายจากความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเรากับทางราชวงศ์เวทมนตร์ เลยห้ามเอาไว้ได้ ไม่งั้นมีหวังบ้านเราโดนค้นจนเละแน่!”

แต่จะว่าไป.. ก็มีอยู่คนนึงนะที่แตกต่างจากบรรดาลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะนอกจากเธอจะไม่เคลิบเคลิ้มไปกับความหล่อของเหล้ารัมแล้ว นัยน์ตาคู่นั้นยังมองเราสองคนเป็นศัตรูอีกด้วย

“ใจเย็นก่อนเถอะเบล”

“ใจยงใจเย็นอะไรกันล่ะไรเกอร์ นายก็รู้ดีว่าตัวสร้างปัญหาให้กับครอบครัวน่ะมันนายวาฬชัดๆ!”

ใช่แล้วครับ พี่เบลนั่นเองที่เป็นคนเปิดเรื่อง เธอดูโกรธมากจริงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสำหรับเจ้าหล่อนแล้ว ความผิดทั้งหมดเกิดจากตัวผมแทบทั้งสิ้น ต่อให้ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ยังไงพี่เบลก็ต้องโยงจนมาถึงผมได้อยู่ดี

แต่ก็นะ ยังไงความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ และสิ่งที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือผมจะต้องเป็นหนึ่งในสาเหตุของการที่ตระกูลเหล้ารัมมาบุกบ้านแน่ ถึงจะยังไม่รู้รายละเอียดมากนักก็ตาม “ผมขอโทษครับคุณปู่” ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะไม่โวยวายพี่เบลกลับไป เรียกว่าทำเมินเลยด้วยซ้ำ (เพราะนั่นจะเท่ากับว่าเป็นการสร้างปัญหาเพิ่ม) แล้วค่อยๆ ผละมือออกจากเหล้ารัมเพื่อยกขึ้นไหว้ขอโทษคุณปู่แทน

“แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันล่ะ ทำไมคนของตระกูลอัครวรกุลพิชิตถึงได้มาขอค้นบ้านเราแบบนี้” ซึ่งคุณปู่เองก็ดูจะเมินคำโวยวายของพี่เบลไม่ต่างจากผมเหมือนกัน เพราะฟังจากน้ำเสียงที่ถามกลับมาแล้ว เหมือนว่าท่านอยากจะฟังคำตอบจากผมเองมากกว่า

“มันเป็นเพราะว่ารูปนี้ค่ะคุณปู่” แต่พี่เบลก็ยังไม่หยุดไง รีบหันไปคว้าบางอย่างจากมือไรเกอร์เพื่อโชว์ให้ทุกคนในห้องได้ดู

มันเป็นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ชื่อดังของโลกเวทมนตร์ ‘Spell Spell News’ ที่ลงรูปของชายสองคนที่กำลังจูงมือกันวิ่งอยู่ในงานเลี้ยงเต้นรำของตระกูลเกรวินเกอร์ พร้อมกับพาดหัวด้วยคำศัพท์ภาษาพ่อมดแม่มดแบบง่ายๆ ว่า.. ‘เขาคือใคร?’ ก่อนที่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจะถูกส่งไปไว้ในมือของคุณปู่ที่เริ่มอ่านอย่างตั้งใจ

“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานว่าเกิดความวุ่นวายในงานเลี้ยงเต้นรำสวมหน้ากากของตระกูลเกรวินเกอร์ เพราะนายเหล้ารัมคนนี้มีปากเสียงกับพ่อมดพยอนซองซูเรื่องที่ไม่ยอมตอบรับคำท้าดวลกัน ทำให้พยอนซองซองซูหันมาเล่นงานคู่ควงของเหล้ารัมแทน”

“...”

“พยอนซองซูต้องการกระชากหน้ากากของมนุษย์นิรนามให้ทุกคนได้รู้ว่าคู่ควงของนายเหล้ารัมเป็นใคร แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ ทำให้นายพ่อมดคนนี้กับมนุษย์นิรนามคนนั้นพากันหลบนี้ออกจากงานไปได้ ท่ามกลางความสงสัยของทุกคนในงานว่าสรุปแล้ว ใครคือมนุษย์นิรนามคนนั้นกันแน่”

“...”

“เพราะแบบนี้ไงคะ คนของตระกูลอัครวรกุลพิชิตถึงได้ไล่ตามหาตัวมนุษย์นิรนามในข่าวไปทั่ว เพราะผู้นำตระกูลเองก็คงอยากจะรู้เหมือนกันว่าคู่ควงของน้องชายเขาในคืนนั้นเป็นใคร”

“...”

“ซึ่งหนูคงไม่ต้องบอกหรอกนะคะว่านายวาฬของพวกเราไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย หึ!”

“...”

แน่ล่ะว่าคำพูดทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของคุณปู่ แต่เป็นพี่เบลที่พยายามจะเล่ารายละเอียดของข่าวให้ทุกคนในบ้านได้รับรู้ (ถ้าจะพูดเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องให้คุณปู่อ่านหนังสือพิมพ์ก็ได้นะ) ในขณะที่ผมได้แต่ยืนเงียบ..เพื่อเสพสิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องผู้ไม่หวังดีของผมพูดออกมา ทั้งที่ใจนี่คือรู้สึกรำคาญและอยากขัดจังหวะมาก แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อผมเองก็ต้องยอมรับว่าข้อมูลจากพี่เบลเองก็เป็นประโยชน์มากทีเดียว จนตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองควรจะอธิบายให้คุณปู่เข้าใจยังไงดี

ทว่า.. “คุณปู่ครับ คือ..”

“เดี๋ยว” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดในสิ่งที่คิด พี่เบลคนเดิมก็ยกมือห้าม ก่อนจะหันไปจิกตาใส่เหล้ารัมโดยตรง “ฉันว่าก่อนที่นายจะพูดอะไรนะวาฬ ช่วยเชิญเพื่อนชายคนสนิทของนายออกไปจากห้องประชุมก่อนจะดีกว่า เพราะนอกจากนายนี่จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลของเราแล้ว เขายังเป็นคนของตระกูลที่มาบุกบ้านเราด้วย ดังนั้นฉันคิดว่าเขาไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้”

แล้วมีหรอที่เหล้ารัมจะยอม “ถ้าเกิดพวกคุณไล่ผม ผมก็จะขอพาวาฬกลับไปด้วย” เขายืนยันเสียงแข็ง พร้อมกับคว้ามือผมไปจับไว้อีกครั้ง

นี่เองสินะ..ความหมายของคำที่เหล้ารัมบอกว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหนน่ะ.. รู้สึกดีแฮะ รู้สึกว่าไม่ได้ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว.. เพราะถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีทั้งพ่อ แม่ และพี่ฟ้าคอยอยู่เคียงข้าง ทว่าหลายต่อหลายครั้ง..ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขาดหาย.. ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอกนะ ที่ผ่านมาทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ถ้าจะผิดก็ผิดที่ผมเองเนี่ยแหละที่ต้องการมากเกินไป.. ต้องการใครสักคนที่..ไม่สนกฎเกณฑ์หรือไม่แคร์สิ่งใด แล้วกล้าที่จะพาผมหนีออกไปจากทุกสิ่งที่มัน ‘ไม่โอเค’ โดยที่ผมเองก็กล้าพอที่จะหนีไปกับเขาด้วย

แล้วมันจะมีใครอีกล่ะ ถ้าหากไม่ใช่เหล้ารัมน่ะ อย่าว่าแต่เขาออกไปโดยไม่มีผมเลย ถ้าทุกคนไล่เขาไปเพื่อให้ผมอยู่ในนี้โดยไม่มีเขา ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน “ใช่ครับ ถ้าทุกคนไม่ให้เหล้ารัมอยู่ ผมก็จะไม่อยู่เหมือนกัน” ดังนั้นผมจึงเลิกเก็บมันเอาไว้ แล้วพูดออกไปอย่างที่ใจคิด พร้อมทั้งกระชับมือข้างที่จับกันอยู่ให้แน่นยิ่งขึ้น

ซึ่งก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้เหล้ารัมจะมีสีหน้าแบบไหน เพราะว่าผมกำลังเลือกที่จะจ้องตากับคุณปู่เพื่อขอความเห็นใจจากท่าน

แต่ก็หวังว่า..เหล้ารัมจะรู้สึกดีเหมือนที่เค้าทำให้ผมรู้สึกนะ : )

“นี่มันจะมากเกิน..!”

“ปู่อนุญาตให้นายพ่อมดคนนี้อยู่ต่อได้”

ผมยิ้มกว้างทันทีที่คุณปู่กล่าวคำอนุญาตเสียงดังฟังชัดขึ้นขัดกับเสียงโวยวายของพี่เบล จนคนชอบหาเรื่องถึงกับหยุดชะงักไปทันที

ในขณะที่คนอื่นๆ เองก็คงจะไม่กล้าพูดค้านอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะว่านี่เป็นบ้านของคุณปู่หรือเพราะคุณปู่เป็นพวกชอบเผด็จการหรอกนะครับ แต่เกิดจากความกลัวที่จะถูกตัดออกจากกองมรดกจนขึ้นสมองมากกว่า ทำให้ทุกครั้งที่ปู่ยืนยันหรือออกคำสั่งอะไร ความเงียบมักจะเกิดขึ้น และทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้นทันที

“ขอบคุณนะครับ”

คุณปู่พยักหน้า “ยังไงซะ การที่เขาเป็นพ่อมดของตระกูลอัครวรกุลพิชิต เราก็อาจจะต้องการความจริงจากเขาด้วยเช่นกัน”

“งั้น..ผมขอพูดบ้างนะครับคุณปู่” พอคุณปู่พยักหน้าอีกครั้งเพื่อเป็นการอนุญาต ผมเลยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพี่เบล ซึ่งพอเธอเห็นแบบนั้นก็ถลึงตาใส่ผมยังกับพวกนางร้ายในละคร ดูก็รู้ว่าคงจะพอใจในตัวผมมากเหลือเกิน (ผมประชดนะ) ก่อนที่ในที่สุดเธอจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างจำใจ “คนที่อยู่กับเหล้ารัมในรูปคือผมจริงๆ ครับ แต่ผมสาบานต่อหน้าทุกคนได้เลยว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนมาถึงตระกูลของเรา ผมแค่อยากไปร่วมงานเท่านั้น แล้วผมเองก็ระมัดระวังตัวมากด้วย เพราะแม้แต่ชื่อหรือนามสกุลผมก็ไม่เปิดเผยให้ใครรู้ครับ”

คุณปู่มองหน้าผมสลับกับหน้าหนึ่งของ Spell Spell News ก่อนจะวางมันลง แล้วหันไปถามคำถามกับเหล้ารัมบ้าง “แล้วนายล่ะ พอจะรู้เหตุผลบ้างมั้ยว่าผู้นำตระกูลของนายต้องการตามหาตัวหลานชายฉันไปเพื่ออะไร”

พอฟังคำถามของคุณปู่จบ ผมก็หันไปมองหน้าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะผมเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน

“คือ..”

“หึ! มันจะเรื่องอะไรกันล่ะคะคุณปู่ แม่มดวิสกี้ก็คงไม่พอใจเรื่องที่คู่ควงของน้องชายเธอเป็นมนุษย์ แถมยังเป็นผู้ชายอีก ก็เลยอาจจะอยากหามนุษย์นิรนามในข่าวให้พบ จะได้จัดการซะ”

แต่ก็เหมือนเดิม คนไม่มีมารยาทอย่างพี่เบลแทรกขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ผมหงุดหงิดมาก จนอยากหันไปถามเลยว่ามีใครเคยสอนเรื่องกาลเทศะให้เธอบ้างหรือเปล่า!?

“อะไรนะ วิสกี้งั้นหรอ!?”

“อย่าบอกนะว่านายพ่อมดที่อยู่กับวาฬเป็นน้องชายของวิสกี้น่ะ!?”

“จริงด้วย! ทำไมถึงเพิ่งนึกออกนะว่าวิสกี้เองก็มีน้องชาย”

“ตายๆ ถ้าเกี่ยวกับวิสกี้ล่ะก็ งานนี้เรื่องใหญ่แน่”

“ตระกูลของเราอาจโดนถล่มก็ได้ถ้ารู้ว่าคู่ควงของนายพ่อมดนี่คือตาวาฬน่ะ”

“ผมว่าเราหนีไปที่อื่นกันดีมั้ยครับพ่อ ไว้หมดเรื่องแล้วค่อยกลับมา”

“โอ๊ยยยยย คิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบๆ แล้วเชียว”

“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันไม่ช่วยนะบอกไว้ก่อน เวทมนตร์ฉันไม่แข็งแกร่งเท่ายัยวิสกี้หรอกนะ”

“ต่อไปบ้านเราคงวุ่นวายกันใหญ่แน่”

“แค่ได้ยินชื่อวิสกี้ก็สยองแล้ว!”

“ใช่ๆ ยัยแม่มดวิสกี้น่ะตัวหายนะชัดๆ!”


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ทว่า.. อารมณ์หงุดหงิดของผมเป็นอันต้องดับลง เมื่อคนอื่นๆ ในห้องประชุมเริ่มส่งเสียงกันไปมาด้วยความตระหนกตกใจ ไม่เว้นแม้แต่เหล่าพ่อมดแม่มดที่เริ่มหน้าเสียกันแทบทุกคน อะ..อะไรกัน? ทำไมพวกเขาถึงได้ทำราวกับว่า ‘กลัว’ พี่สาวของนายพ่อมดเหล้ากันหมดเลยล่ะ!?

“อะแฮ่ม” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปหาคำตอบจากคนข้างๆ ทุกเสียงในห้องก็เงียบลงทันทีที่คุณปู่กระแอมไอออกมา “ทุกคนช่วยเงียบที พอดีฉันอยากได้ยินคำตอบจากนายพ่อมดคนนี้ให้มันชัดๆ หน่อย” แม้จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนในห้องประชุมนี้คงรู้ดีว่ามีความตำหนิแฝงอยู่ในความราบเรียบนั้น

“ครับ ผมเองก็อยากตอบคำถามคุณปู่เหมือนกัน” ซึ่งพอคุณปู่เปิดทางให้แบบนั้น เหล้ารัมก็เริ่มพูดต่อ “คืออย่างงี้ครับ จริงๆ แล้ว พี่สาวของผมเธอแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่าคู่ควงของผมคือใคร ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายอย่างที่ใครว่า” อันนี้ผมว่านายพ่อมดเหล้าคงหมายถึงพี่เบล เพราะเขาหันไปมองทางเธอโดยตรง ก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องตัวร้ายของผมตั้งท่าจะเปิดปากพูดอีกครั้ง “ซึ่งผมขอสัญญากับทุกคน ว่าผมจะไม่ให้มีใครหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับผมเข้ามายุ่งวุ่นวายกับตระกูลอลิชาได้อีก และขอโทษอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วครับ”

เหล้ารัมดึงมือออกจากผมช้าๆ ก่อนที่เขาจะโค้งศรีษะลงเพื่อขอโทษในแบบของเขา ผมที่เห็นแบบนั้นเลยรีบยกมือไหว้เพื่อขอโทษในแบบของผมบ้าง “ผมเองก็ต้องขอโทษทุกคนเหมือนกันนะครับ”

“แล้วนายจะมั่นใจได้ยังไง ว่าพี่สาวของนายจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับตระกูของฉันอีก ในเมื่อนายสองคนก็ยังอยู่ด้วยกัน แถมเท่าที่ฉันรู้มา แม่มดวิสกี้ก็เก่งกว่านายตั้งหลายเท่า ถ้าหล่อนรู้ว่าวาฬเป็นคนของตระกูลอลิชา แล้วไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ ล่ะ นายคิดว่าคนที่เป็นน้องชายอย่างนายจะห้ามเธอได้อย่างงั้นหรอ” แต่พี่เบลก็คือพี่เบล เธอไม่ยอมจบง่ายๆ พอๆ กับความเกลียดชังที่ป้าสะใภ้ของผมฝังหัวเธอมาอย่างยาวนาน จนผมรู้สึกว่า..คำขอโทษจากใจที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี้นั้นมันช่างไร้ค่าเหลือเกิน..

ส่วนคนอื่นๆ ที่ตอนแรกเหมือนจะยอมจบเรื่องแล้ว กลับเริ่มมีปฏิกิริยากับสิ่งที่พี่เบลพูดขึ้นมาอีก จนผมถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองเกิดและเติบโตมาในตระกูลที่แสนจะน่าภาคภูมิใจจริงหรือเปล่า? ทำไมทุกคนถึงได้ตอบสนองไปกับทุกสิ่งที่พี่เบลพูด ทำไมถึงไม่มีใครสักคนที่แย้งขึ้นมาเลย ใครสักคน..ที่ไม่นับรวมคุณปู่กับพ่อและแม่ของผมที่ยังคงนั่งฟังนิ่งๆ น่ะ?

“เอาเป็นว่าผมมีวิธีการจัดการในแบบของผมก็แล้วกัน” เหล้ารัมแหวกเสียงทุกคนเพื่อตอบคำถามของพี่เบลกลับไป แม้จะยังคงเส้นคงวาของความสุภาพ แต่ผมที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุดสัมผัสได้นะว่าข้างในของนายพ่อมดเหล้าตอนนี้คงสวนทางกับสิ่งที่แสดงออกมาแน่ๆ เลยคว้ามือเขามาจับไว้ พลางบีบให้แน่นขึ้น เผื่อว่าจะช่วยระงับอารมณ์ของเขาได้บ้าง

ในขณะที่พี่เบลแค่นหัวเราะ ทำหน้าทำตาเหมือนอยากให้ทุกคนเห็นว่าสิ่งที่เหล้ารัมตอบออกไปนั้นมันไม่ได้ช่วยยืนยันความปลอดภัยของตระกูลอลิชาได้เลย ซึ่งมันยั่วอารมณ์โกรธผมมาก ถึงขนาดที่เกือบจะโวยออกไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าจู่ๆ แม่ของพี่เบลก็ลุกขึ้น หลังจากที่นั่ง ‘อมยิ้ม’ มาตั้งแต่เริ่ม

“พอก่อนเบล แม่ว่าลูกพูดเยอะเกินไปแล้ว : )” ป้าสะใภ้ของผมวางมือบนไหล่พี่เบลเหมือนต้องการจะเบรค ก่อนจะก้าวยาวๆ เพื่อพารอยยิ้มและชุดสีน้ำเงินเข้มแบรนด์ดังออกมายืนให้ห่างจากที่นั่งของตัวเอง “ต้องขอโทษแทนลูกสาวของฉันด้วยนะจ๊ะเหล้ารัม แต่จะเป็นการเสียมารยาทมั้ย ถ้าฉันอยากจะถามว่าทำไมเธอถึงต้องมายุ่งกับหลานชายของฉันด้วย”

คำว่า ‘หลานชายของฉัน’ จากปากของป้าสะใภ้ ทำเอาผมเกือบกลอกตามองบนเลยครับ ในเมื่อทุกคนในบ้านหลังนี้ต่างก็รู้ดีว่าสองแม่ลูกนี่ไม่ได้อยากจะนับผมเป็นญาติด้วยซ้ำ ที่ทำเป็นพูดดีก็เพราะแค่อยากจะสร้างภาพเท่านั้นแหละ!

“วาฬคือคนที่หัวใจผมเลือกครับ” แต่ผมก็สนใจความเสแสร้งของป้าสะใภ้อยู่ได้ไม่นานหรอกนะ เพราะคำตอบของเหล้ารัมดึงดูดความสนใจของผมได้มากกว่านั้นเยอะ

ตึกตัก ตึกตัก

แม้ว่าทุนคนจะส่งเสียงฮือฮากับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมไม่สนใจพวกเขาหรอก อยากจะพูดหรือรู้สึกอะไรก็ตามใจ ในเมื่อสองสิ่งที่ผมรับรู้ตอนนี้คือ..เหล้ารัมกำลังหันมายิ้มหวานให้.. และหัวใจผมมันก็เผลอเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง..

“งั้นหรอจ๊ะ เอ.. แล้วเธอรู้มั้ยว่าหลานชายของฉันกำลังจะตายในอีกไม่กี่เดือนน่ะ : )”

แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวผมก็เหมือนถูกดูดลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่ เมื่อได้ยินในสิ่งที่ป้าสะใภ้ของผมพูดออกมา..

ทำไมกัน.. ทำไมถึงสามารถยิ้มอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะพูดคำว่า ‘ตาย’ ออกมาแบบนั้น?

ทำไมถึงได้..ใจร้ายขนาดนี้!?

“รู้ครับ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม เพราะผมคิดว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้” คราวนี้เหล้ารัมเป็นฝ่ายบีบมือผมแรงๆ ทีนึงเหมือนต้องการเรียกสติ ซึ่งมันก็ได้ผลนะ แต่ไอ้น้ำตาที่คลอขึ้นมาเนี่ยสิที่ทำให้ผมต้องก้มลงมองพื้น พร้อมกับบอกตัวเองว่า..ไม่ได้นะ..ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนที่มันไม่หวังดีเด็ดขาด!

“ยังไงล่ะ เธอจะจัดการยังไง ช่วยให้หลานของฉันไม่ตายอย่างงั้นหรอ?”

“เรื่องนั้นขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับวาฬก็แล้วกันนะครับ แต่เอาเป็นว่าผมอยากจะขอพูดไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกัน ว่าผม..นายเหล้ารัม อัครวรกุลพิชิต จะขอยอมทำทุกอย่าง หากมันสามารถช่วยชีวิตของวาฬได้”

“...”

ตึกตัก ตึกตัก

ผมอยากดึงเหล้ารัมเข้ามากอดจัง... ถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ล่ะก็นะ ผมอยากจะดึงเขาเข้ามาใกล้ แล้วพร่ำบอกเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่าผมเชื่อทุกคำที่เขาพูด แล้วก็..อยากขอบคุณด้วย ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิต ขอบคุณที่หัวใจของเขาเลือกผม ฮึก.. ขอบนะคุณครับ ขอบคุณจริงๆ..

“หึ! ยอมทำทุกทางโดยไม่สนว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอย่างงั้นน่ะหรอ?” และผมก็จะจดจำเอาไว้ ว่าถ้าจะมีวันไหนที่ผมเกลียดพี่เบลและแม่ของเธอที่สุด มันคือวันนี้! “ไรเกอร์บอกให้ฉันฟังแล้วว่านายน่ะมันไม่ใช่พ่อมดธรรมดา พ่อมดแม่มดที่อยู่รอบตัวนายต่างก็เป็นระดับบิ๊กบอสทั้งนั้น หากความสัมพันธ์ของนายกับวาฬสร้างความไม่พอใจให้คนใกล้ตัวนาย แล้วพวกนั้นเกิดมาลงที่ครอบครัวของฉัน นายคิดว่าอย่างนายจะรับผิดชอบไหวอย่างงั้นหรอ หรือว่าทำได้แค่ขอโทษกันล่ะ”

“ก็ผมบอกไปแล้วไง..” เหล้ารัมตั้งท่าจะตอบ แต่พี่เบลไม่สนใจ

“อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลยนะวาฬ แต่นายเองก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเรื่องนี้น่ะมันไม่ใช่แค่เรื่องของนายสองคน ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วนี่ กะอีแค่มีมนุษย์ปริศนามายุ่งกับนายเหล้ารัมแค่คนเดียว พี่สาวเขากลับสั่งคนควานหาตัวไปทั่ว ทำเอาวุ่นวายกันไปหมด นี่ดีแค่ไหนแล้วที่แม่มดวิสกี้ยังไม่รู้ตัวตนของนายน่ะ รู้มั้ยว่าเธอเกลียดมนุษย์มากขนาดไหน ขืนรู้ว่าเป็นนายขึ้นมา ฉันว่านะ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาที่คำสาปออกฤทธิ์หรอก นายได้ตายก่อนแน่!”

“ช่วงหยุดพูดคำว่าตายสักทีได้มั้ย!?”

“ทำไมหนูจะพูดไม่ได้ล่ะคะคุณอา ยังไงอีกไม่กี่เดือนลูกชายอาก็ไม่รอดแน่ และเราทุกคนก็ควรยอมรับเรื่องนี้กันได้สักที” แม้แต่ตอนที่พ่อผมลุกขึ้นพูด พี่เบลก็ยังเถียงอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะหันมาหาผมต่อ “เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน คือนายควรเลิกยุ่งกับหมอนี่ซะ อย่าปล่อยให้แค่เรื่องความรักโง่ๆ นำพาความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวของเราเลยวาฬ ถ้านายไม่เห็นแก่คุณปู่ ก็ช่วยเห็นแก่พ่อกับแม่นายก็ได้ เพราะท่านทั้งสองคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ใช่คนที่รอวันตายอย่างนาย!”

“พอเถอะเบล พอได้แล้ว ผมขอ”

“ปล่อยฉันนะไรเกอร์!” ไรเกอร์เป็นอีกหนึ่งคนที่พยายามจะเข้ามาห้าม แต่พี่เบลสะบัดหลุดจากเขาได้ แล้วเดินไปหยุดยืนต่อหน้าคุณปู่ที่มองสิ่งต่างๆ ตรงหน้าด้วยความเงียบ “คุณปู่คะ ในฐานะที่บ้านเราอยู่กันอย่างประชาธิปไตยมาโดยตลอด หนูจะขอใช้สิทธิ์เปิดโหวตนะคะ” และโดยที่ไม่ต้องรอให้คุณปู่อนุญาต พี่เบลก็เริ่มเปิดโหวตในทันที “ใครบ้างคะ ที่เห็นด้วยกับหนูว่าสองคนนี้ควรเลิกยุ่งกัน ช่วยยกมือขึ้นทีค่ะ!”

“...”

แล้วผลก็คือ.. ยกเยอะเกินกว่าครึ่ง..

“ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ!” ซึ่งแน่นอนว่าแม่ผมต้องไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ท่านรีบเดินมาเกาะแขนผมไว้ทั้งน้ำตา.. “ถ้าไม่มีเหล้ารัม แล้วใครจะช่วยวาฬกันล่ะ!?”

“ไม่มีใครช่วยลูกอาได้หรอกค่ะ เพราะถ้ามีทางช่วยจริง ทางราชวงศ์ก็คงช่วยนานแล้ว ไม่ต้องรอจนมาถึงป่านนี้หรอก จริงมั้ยคะ”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ผลโหวตชัดเจนแล้ว ยังไงสองคนนี้ก็ต้องเลิกยุ่งกันค่ะ!”

“แต่...”

“คุณ!”

ตอนแรกผมคิดว่าแม่เถียงพี่เบลไม่ออกก็เลยเงียบไป จนกระทั่งมาได้ยินเสียงร้องของพ่อนั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วแม่ร้องไห้เสียใจจนเป็นลมไปแล้วต่างหาก!

แล้วแทนที่ผมซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดจะได้เป็นคนหันไปช่วยแม่ กลับกลายเป็นคนไกลกว่าอย่างเหล้ารัมที่สามารถเข้ามาช้อนตัวแม่ผมเอาไว้ได้เป็นคนแรกแทน จนตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่าแค่คำขอบคุณมันจะพอสำหรับความดีของเหล้ารัมมั้ย?

“ขอบคุณนะครับ” แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณก่อน เอาไว้เสร็จเรื่องวุ่นวายนี่เมื่อไหร่ ผมคงมีโอกาสได้ตอบแทนเขามากกว่านี้

“ไม่เป็นไรครับ” ในขณะที่เหล้ารัมกลับดูจะไม่อยากได้อะไรตอบแทนเลยสักนิด เหมือนเขาแค่อยากช่วยผมด้วยความเต็มใจก็เท่านั้น

“มา เดี๋ยวพ่อรับต่อเอง” ก่อนที่พ่อซึ่งวิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้ายจะเป็นคนรับแม่ต่อจากเหล้ารัมเพื่อพาไปนั่งพัก โดยที่ครอบครัวของป้ามีน (หนึ่งในครอบครับที่ไม่ยกมือเห็นด้วยกับพี่เบล) รอช่วยเหลืออยู่

“ยาดมครับพี่วาฬ” จริงๆ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะวิ่งออกไปหายาดมนะ แต่เพียงแค่คิด.. ‘มะม่วง’ ลูกชายคนเล็กของป้ามีนก็รับยาดมจากมือ ‘ฟาเรเนีย’ แม่มดคู่พันธะสัญญาของเขาส่งมาให้ ทำเอาผมรีบยกมือไหว้ขอบคุณอย่างลืมไปเลยว่ามะม่วงอายุน้อยกว่า

“นี่ครับยาดม ใจเย็นๆ นะครับ”

“วาฬ..” พอเห็นว่าแม่เริ่มปรือตาเรียกชื่อผม คนที่รุมล้อมอยู่รอบข้างก็ดูจะสบายใจขึ้น โดยเฉพาะคนเป็นลูกอย่างผมที่ทั้งดีใจและเศร้าใจจนเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

“ใจเย็นๆ นะครับแม่ สูดหายใจเข้าลึกๆ นะครับ”

“วาฬ.. วาฬลูกแม่..”

ฮึก.. ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ด้านลบให้ใครเห็นมากนัก แต่ผมเองก็รู้ว่าแม่กดดันมากขนาดไหนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ เพราะต้องคอยโดนจงเกลียดจงชังจากคนที่แม่ไม่ได้ทำอะไรให้ แถมมีลูกกับเขาหนึ่งคน..ก็กลับต้องมาอายุสั้นอีก.. เมื่อกี้ท่านคงร้องไห้ปานจะขาดใจเลยสินะ ที่เห็นว่าคนในตระกูลอลิชาเกินกว่าครึ่งลงความเห็นให้เหล้ารัมออกไปจากชีวิตผม ในเมื่อท่านเองเป็นหนึ่งในคนที่รู้ดีที่สุดว่ามีแค่นายพ่อมดเหล้าเท่านั้นที่จะสามารถช่วยชีวิตผมได้

ว่าแต่.. แล้วนี่นายผมบลอนด์อยู่ไหนกันล่ะเนี่ย นึกว่าเดินตามมาแล้วซะอีก?

“พวกคุณมันเห็นแก่ตัว!!!”

“...”

ทว่า.. ในไม่นานนัก ผมก็สามารถหาเขาเจอ.. ไม่ใช่เพราะว่าเขาโดดเด่นหรือเพราะว่าผมมีสายตาที่เยี่ยมหรอกนะ แต่เป็นเพราะ..เสียงตะโกนที่ดังขึ้นกลางห้องต่างหาก!

“ทั้งๆ ที่ผมเองก็พูดชัดเจนแล้วว่าต้องการจะช่วยชีวิตของวาฬ ไม่ว่าทางไหนผมก็ยอม โดยที่ผมไม่ได้ขอให้พวกคุณต้องออกแรงอะไรกันเลยด้วยซ้ำ แต่พวกคุณก็ยังอยากจะให้ผมออกไปจากชีวิตเขาของวาฬเพียงเพราะกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนเนี่ยนะ!? ถามจริงเถอะ ใจคอพวกคุณมันทำด้วยอะไรกัน!!?”

เหล้ารัมดูโกรธมาก.. เขากวาดสายตามองทุกคนที่เคยยกมือแบบเรียงตัว ก่อนจะหยุดลงที่พี่เบลที่ตอนนี้ยืนกอดอกอย่างคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ

“นายก็พูดได้สิ ในเมื่อนายเป็นพ่อมด มีเวทมนตร์ขั้นสูง ไม่ใช่พวกมนุษย์ที่ตายง่ายเหมือนกับพวกเรานี่!” แถมยังเถียงไม่เลิกด้วย

“ใช่ เธอมันเป็นมนุษย์เบล มนุษย์..ผู้มีสายเลือดของตระกูลอลิชา..หนึ่งในสามตระกูลผู้ไร้เวทมนตร์ที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าพ่อมดแม่มดทั่วโลกให้เป็นดั่งอัศวินผู้กล้าในทุกหน้าของประวัติศาสตร์เวทมนตร์ แล้วไอ้สิ่งนี้มันก็ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยด้วย แต่เป็นเพราะความหาญกล้าของต้นตระกูลเธอที่ยืดหยัดขึ้นต่อกรกับอำนาจมืดเพื่อช่วยเหลือคนดีให้พ้นภัย หึ! แต่ฟังจากที่เธอพูดออกเมื่อกี้นี้ สายเลือดผู้กล้าของอลิชาในตัวเธอคงเจือจางเต็มที!”

“ไอ้...!!”

งานนี้พี่เบลก็เลยถูกตอกกลับซะหน้าหงาย ถึงขั้นด่าไม่ออกเลยด้วยซ้ำ อ้อ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่เบลนะ แต่เหล่าสายเลือดอลิชาที่เคยยกมือให้ผมกับเหล้ารัมแยกจากกันเพียงเพราะหวาดกลัวแม่มดวิสกี้ต่างก็หน้าเสียไปตามๆ กัน บางคนนี่ถึงกับก้มมองพื้นไม่กล้าสู้หน้า ยกตัวอย่างเช่น..พ่อของพี่เบลเป็นต้น

ในขณะที่คุณปู่ยังคงนิ่ง..ไม่แสดงอาการอะไรออกมาทั้งนั้น..

“จริงอยู่ ที่การมีตัวตนของผมทำให้พี่วิสกี้เข้ามายุ่งวุ่นวายกับตระกูลของพวกคุณ” พอเห็นว่าทั้งห้องเงียบ เหล้ารัมเลยพูดต่อ “แต่นั่นมันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการที่ผมจะทำให้วาฬมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้น แทนที่พวกคุณจะมากีดกันเราสองคน เอาเวลาไปนั่งละอายใจดีกว่ามั้ย ที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่ทำอะไรกันเลยน่ะ!”

“ใครว่าพวกเราไม่ทำอะไร อย่ามาพูดมั่วๆ นะ!”

“ใช่! อย่ามาพูดมั่วๆ”

“นายมาที่หลังจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ!?”

“ตอนที่เอียนหายตัวไป เราทุกคนก็ขอให้พ่อมดแม่มดคู่พันธะสัญญาช่วยออกตามหากันทุกคน เนี่ยหรอที่ว่าไม่ทำอะไรน่ะ!?”

“ใช่ เลิกพูดเหมือนพวกเราเป็นคนไม่ดีสักที!”

“ทุกคนเขาก็ช่วยกันจนสุดความสามารถแล้ว แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ จะให้พวกเราทำยังไงเล่า!”

“จริงอย่างพี่พลว่า ช่วยกันหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ถึงขนาดทำเรื่องส่งไปยังโลกเวทมนตร์แบบวันเว้นวัน ว่าให้ช่วยหาพ่อมดแม่มดคนใหม่มาได้มั้ย แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป”

“ใช่ เงียบหายไปเลย จนพวกเราต้องยอมถอดใจในที่สุด”

“แล้วเรื่องแบบนี้มันถอดใจกันได้หรอครับ?”

“...”

เป็นอีกครั้งที่เหล้ารัมทำให้ทุกคนปิดปากลง.. เพราะมันก็จริงอย่างที่เขาถามนั่นแหละ ของแบบนี้มันถอดใจกันได้จริงๆ หรอ? ชีวิตคนทั้งคนเลยนะ ยอมให้จบลงง่ายๆ ได้ยังไงกัน?

“วาฬครับ ช่วยบอกผมที่ได้มั้ยว่าพวกเขาหยุดทุกอย่างลงเมื่อไหร่”

“เอ่อ..” พอถูกคำถามส่งมาหลังจากที่เงียบไปนาน ผมเลยมีความอึกอักเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พูดออกไปได้ “หนึ่งปีภายหลังจากการตามหาครั้งแรกครับ มีแค่..พ่อกับแม่ แล้วก็ครอบครัวป้ามีนที่ยังช่วยตามหาตัวเอียนอยู่จนถึงตอนนี้” ก่อนจะผายมือไปทางป้ามีนเพื่อให้เหล้ารัมได้รู้จักกับป้าผู้แสนดีของผม
   
ซึ่งเหล้ารัมก็รู้งาน เขาโค้งศรีษะให้ป้ามีนหนึ่งครั้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดซีเรียสอีกครั้งอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับไปมองญาติคนอื่นๆ “อดีตเป็นไงผมไม่สนหรอกนะ แต่ที่ผมหมายถึงคือที่ผ่านมาพวกคุณยอมถอดใจและไม่ทำอะไรเลยมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่มีคนหนึ่งคนในบ้านจะต้องจากคุณไปในเวลาที่ถูกกำหนดแบบนั้น พวกคุณนี่มัน..แย่มาก!!”

“หยุดว่าคนในครอบครัวฉันสักที!” จริงๆ ผมนึกว่าจะไม่มีคนกล้าเถียงกับเหล้ารัมอีกแล้วนะ เพราะว่าทุกคนก็ดูสลดไปกับสิ่งที่นายพ่อมดเหล้าพูด แต่ไม่คิดเลย..ว่าพี่เบลจะฟื้นคืนชีพอีกแล้ว.. “จริงอยู่ที่พวกผู้ใหญ่ยอมถอดใจเรื่องการค้นหาตัวนายเอียน แต่จะให้ทำไงได้ เพราะขนาดคนของโลกเวทมนตร์แทบจะผลิกแผ่นดินหายังไม่เจอเลย แล้วมนุษย์ธรรมดาอย่างเราจะไปทำอะไรได้” เธอเว้นจังหวะนิดนึงเพื่อแค่นหัวเราะใส่หน้าเหล้ารัม “หึ! ได้ข่าวว่าแม้แต่ตระกูลอัครวรกุลพิชิตเองก็ยังไม่สามารถหาได้เลยนี่ งั้นแบบนี้ก็ต้องให้นายวาฬโทษว่าเป็นความผิดของตระกูลนายด้วยสิ จริงมั้ย? อ้อ แล้วอีกอย่างนะ ถึงแม้ทุกคนจะช่วยตามหาตัวเอียนไม่ได้ แต่ก็ไม่มีวินาทีไหนเลยที่คนในครอบครัวฉันละเลยวาฬ ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เอียนหายไป ไม่ว่านายวาฬต้องการอะไรในชีวิต พวกผู้ใหญ่ก็จะหามาประเคนให้แทบจะทุกอย่าง อะไรๆ ก็เอาวาฬเป็นที่ตั้ง คอยดูแล คอยห่วงใย เฝ้าประคบประหงมกันทั้งบ้าน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เรียกว่าเป็นหลานที่สำคัญที่สุดในบรรดาหลานทุกคน จนคนอื่นเขากลายเป็นหลานหัวเน่ากันไปหมดแล้ว แล้วแบบนี้จะยังต้องการให้คนในบ้านทำอะไรให้นายวาฬอีกไม่ทราบ!?”

“…” จริงๆ สิ่งที่พี่เบลพูดออกมามันก็เป็นเรื่องจริงนะ แล้วมันก็เป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนพวกผู้ใหญ่ด้วย ทว่า..กลับไม่มีมีใครเฮตามพี่เบลเลยสักคน ซึ่งสาเหตุหลักก็น่าจะมาจาก ‘ความอิจฉา’ ของพี่เบลที่สะท้อนออกมาในขณะที่เธอกำลังพูด ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง มันบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่าพี่เบลยังคงอิจฉาผมเสมอ ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ผมเคยเล่าไปแล้วว่าเจ้าหล่อนถึงขั้นวีนแตกด่ากราดคนทั้งบ้านเรื่องที่ให้ความสำคัญกับเธอน้อยลง พร้อมทั้งประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเกลียดผมที่สุดในชีวิต และจะรอคอยวันที่ผมตายจากไป

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
เฮ้อออ~ ไม่เลย.. พี่เบลไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนเลยสักนิด..

“แต่ถึงจะดูแลให้ดียังไง วาฬก็ยังต้องรอวันตายอย่างที่เธอว่าไม่ใช่หรอ?” แล้วหลังจากนั้นความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยคำถามของเหล้ารัมที่แหวกขึ้นกลางอากาศ ซึ่งมันสะเทือนใจผมมาก.. เพราะตอนที่เหล้ารัมพูดคำว่า ‘ตาย’ แม้จะด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่านัยน์ตาสีม่วงอ่อนคู่นั้นกลับสั่นไหวรุนแรง.. ขนาดที่ว่าไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ยังสามารถเห็นได้ชัด..

ผิดจากสายตาของพี่เบลกับป้าสะใภ้ผมตอนพูดคำว่า ‘ตาย’ ราวฟ้ากับเหวนรก!

“…” ก่อนที่พี่เบลจะถอนหายใจยาว พลางทำหน้าเหมือนเหนื่อยมากที่ต้องมาเถียงกับเหล้ารัมแบบนี้ ในขณะที่ร่างสูงกลับดูไม่สนใจเลยสักนิด เพราะเขาอาศัยจังหวะตอนที่พี่เบลกำลังเงียบพูดต่อ..

“ถามจริงเถอะนะ ทำไมเธอถึงจะต้องคอยมาอิจฉาคนที่กำลังจะตายด้วย”
   
“วะ..ว่าไงนะ!?” แถมสิ่งที่เหล้ารัมพูดออกมา ก็ทำเอาคนที่กำลังท่าเยอะอย่างพี่เบลถึงกับทำหน้าโกรธจัดทันที
   
“ฉันถามว่าทำไมเธอต้องอิจฉาวาฬด้วย ทั้งๆ ที่สำหรับวาฬแล้ว การได้พ้นจากคำสาป เป็นสิ่งที่น่าอิจฉากว่าตั้งเยอะ”

ใช่ครับ.. เป็นสิ่งที่น่าอิจฉามากเลยจริงๆ..
   
“ฉะ..ฉันไม่ได้อิจฉา!”   

“จริงหรอ?”   

“ใช่!”
   
“แล้วไอ้อาการที่แสดงออกมาทั้งหมด พยายามหาเรื่องนั่นนี่มาพูดให้วาฬกับฉันแยกออกจากกัน โดยที่ไม่แม้แต่จะคิดเลยสักนิดว่าวาฬสามารถรอดตายได้เพราะฉันนี่มันคืออะไรกันล่ะ”

“ก็ฉันบอกไปแล้วว่าฉันห่วงครอบครัวฉัน หูหนวกหรือไง!?”

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง นึกว่าอิจฉา กลัวว่าพอวาฬไม่ตาย แล้วตัวเองจะต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าไปทั้งชีวิตซะอีก : )”

โห... นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันเลยนะเนี่ย ที่ผมได้รู้ว่าเหล้ารัมปากร้ายขนาดนี้!? ทำเอาผมล่ะอึ้งไปเลย.. เพราะส่วนใหญ่นายพ่อมดมักจะปากหวานใส่ผมเสียมากกว่า ไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้หรอก..

..แต่ผมว่าผมชอบนะ : )

“นี่มันจะมากไปแล้วนะ!” ทว่าคนที่สวนกลับมาหลังจากนั้นกลับเป็นแม่ของพี่เบล ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก ลูกใครๆ ก็รักทั้งนั้น
   
“คุณแม่ไม่ต้องยุ่งค่ะ ให้หนูจัดการไอ้พ่อมดปากเสียนี่เอง!” แต่พี่เบลก็ขยับตัวเข้ามาขวางหน้าของคุณป้าสะใภ้ไว้ ก่อนที่เธอจะทำการล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงยีนส์เอวสูงเหมือนต้องการจะหยิบบางอย่างออกมา

วินาทีนั้น..ผมรู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่พี่เบลกำลังจะทำมาก เพราะหน้าตาเธอบ่งบอกความร้ายกาจชัดเจนชนิดที่ว่าไม่สามารถจะคิดให้เป็นเรื่องดีได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

“นี่คือโทษฐานที่นายกล้าปากดีกับฉัน!”
   
“เฮ้ยยย!”

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด! เมื่อสิ่งที่พี่เบลหยิบออกมาคือเครื่องรางไร้มนตร์ที่ทำเอาเหล้ารัมร้องเสียงหลง พลางผงะถอยหลังให้ห่างจากมัน ในขณะที่พ่อมดแม่มดคนอื่นๆ ก็มีอาการไม่ต่างกันเลยสักนิด!

“หยุดเดี๋ยวนี้เบล!”

“ไม่ค่ะ! มันว่าหนู หนูจะจัดการมัน!!”

ขนาดว่าคุณปู่ที่นั่งเงียบมานานออกปากห้ามก็ยังไม่ยอมฟัง มีแต่จะยิ่งเดินเอาเครื่องร่างไร้มนตร์เข้าไปใกล้เหล้ารัมมากขึ้น ซึ่งผมเคยบอกแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับพ่อมดแม่มด ถึงขนาดที่ว่าต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน ก็ยังต้องยอมสงบให้กับเจ้าเครื่องรางชิ้นนี้

“หยุดเดี๋ยวนี้แลยนะ!” แล้วแบบนี้ผมจะไปอยู่เฉยได้ยังไง ในเมื่อนายพ่อมดกลัวจนไม่กล้าใช้เวทมนตร์ เลยมีแต่ผมที่เป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถวิ่งเข้าไปขวางไม่ให้พี่เบลทำร้ายเหล้ารัมได้ และเพื่อความชัวร์ว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ผมเลยตัดสินใช้ผลักพี่เบลเต็มแรง จนเจ้าหล่อนเสียหลักล้มลงไปนั่งกองกับพื้นแบบที่ไม่มีใครเข้ามาช่วย เพราะอย่าลืมว่าไรเกอร์เองก็กลัวเครื่องรางเหมือนกัน

ไม่มีทางหรอก.. ยังไงผมก็จะไม่ยอมให้เหล้ารัมโดนทำร้ายด้วยเครื่องรางไร้มนตร์อีกแน่!

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด! แกกล้าดียังไงมาผลักฉัน!?” พี่เบลกรี๊ดเสียงดังลั่น ทำท่าจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งเหมือนคนบ้า โดยมีคุณป้าสะใภ้ปาดเข้ามาประคอง แต่ผมไม่รอช้า รีบอาศัยจังหวะที่พี่เบลยังทรงตัวไม่ได้ ผลักหน้าเธอให้หงายหลังล้มไปอีกครั้งนึง จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน

รู้นะว่าที่ตัวเองทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ผมก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!

“เอาสิ ถ้าพี่กล้าทำร้ายเหล้ารัม เราสองคนได้เห็นดีกันแน่!” ไม่พูดเปล่า ผมกางแขนเตรียมปกป้องเหล้ารัมเต็มที่

“ทำไม! คนอย่างแกจะทำอะไรฉันได้!!?”

“ถ้าอยากรู้ก็ลองดู! แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าคนอย่างผมน่ะมันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว จะตายวันนี้หรือตอนอายุยี่สิบเอ็ดก็ไม่ต่างกันนักหรอก เพราะฉะนั้นต่อจะให้ต้องฉะกับพี่เบลจนตายกันไปข้างนึง ผมก็ไม่กลัวเว่ย!”

เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงมาก! เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมันดลใจให้ตัวเองสามารถกล้าที่จะพูดหรือว่าทำกับพี่เบลแบบนั้น ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา..ผมแม่งก็ไม่ต่างอะไรจากจากขวดน้ำอัดลมที่ถูกสองแม่ลูกคอยหาเรื่องมาเขย่ากันไม่เว้นแต่ละวัน แต่เพราะว่าผมเลือกที่จะเงียบ มันก็เลยเหมือนกับขวดที่ยังคงปิดฝาไว้ ทว่า..เต็มไปด้วยแรงดันมากมายอยู่ภายใน..

แต่พอสมองมันคิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เหล้ารัมเป็นอันตราย ร่างกายมันก็เหมือนถูกเปิดฝาขวดเองแบบอัตโนมัติ ปล่อยให้ทุกอย่างข้างในมันทะลักล้นออกมา เพื่อให้พี่เบลกับแม่ของเธอได้รู้ว่า..ผมจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว และพวกเขาก็จะมาแตะต้องคนของผมไม่ได้ด้วย!

“ฉันไม่กลัวแกหรอก!” แล้วก็เป็นไปอย่างที่ผมแอบคิดอยู่ในใจ ว่ายังไงพี่เบลก็ไม่ยอมหยุดแน่

เธอลุกขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาอาฆาตกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา เจตนาคงกะจะทำร้ายเหล้ารัมให้จงได้

ทว่า..

“ถ้าหลานยังไม่หยุด อย่าว่าแต่ตัดออกจากกองมรดกเลย แม้แต่นามสกุลอลิชาก็จะไม่มีวันได้ใช้!!!”

..คุณปู่ที่เคยห้ามพี่เบลแล้วครั้งนึง กลับมาคำรามเสียงดังเพื่อห้ามเธออีกครั้ง.. ทำเอาทุกคนในห้องประชุมรวมถึงตัวพี่เบลถึงกับสะดุ้ง เพราะถ้าลองใช้เสียงโทนนี้ แสดงว่าความโกรธของคุณปู่ไปถึงขีดสุดแล้ว..

“พอได้แล้วลูก” ร้อนถึงแม่ของพี่เบลที่คงจะแคร์สิ่งที่คุณปู่ขู่มากกว่าความถูกต้อง (ก็ถ้าแคร์ความถูกต้องจริง ป่านนี้ห้ามไปนานแล้วเหอะ) รีบกระชากลูกสาวของตัวเองกลับไป ก่อนที่จะหันไปขอความช่วยเหลือจากลุงวิน (พ่อของพี่เบล) อีกแรง “นี่คุณ มาช่วยกันหน่อยสิ มัวแต่นั่งนิ่งอยู่ได้!”

ผมรู้สึกสงสารลุงวินขึ้นมาจับใจ เพราะดูก็รู้ว่าอับอายกับการกระทำของลูกสาวและเมียตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ต้องจำใจลุกขึ้นมาดึงเครื่องรางไร้มนตร์จากพี่เบลเพื่อเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะช่วยคุณป้าสะใภ้ลากตัวคนบ้ากลับไปนั่งที่ ซึ่งถึงแม้ว่าคราวนี้จะยอมให้พ่อกับแม่ลากไปนั่งง่ายๆ ทว่าสายตาของเธอก็ยังคงความอาฆาตไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ผมไม่สนใจหรอกนะ จะโกรธจะเกลียดกันก็เชิญ เพราะยังไงซะ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะญาติดีด้วยอยู่แล้ว

“วาฬ เหล้ารัม เข้ามาหาปู่หน่อย”

คำเรียกของปู่ทำให้ผมหันไปหาใครอีกคนที่ตัวเองพยายามจะปกป้อง

“คุณโอเคมั้ย ยังกลัวอยูรึเปล่า”

“ไม่ครับ ผมโอเคแล้ว” แม้ว่าเหงื่อจะยังมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาจากบริเวณหน้าผาก แต่พอเห็นสีหน้าที่ดีขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ส่งให้ มันก็ทำให้ใจของผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

ราวกับว่า..ช่วงเวลาของพายุร้าย..ได้จางหายไปหมดแล้ว..

“งั้นไปหาคุณปู่ด้วยกันนะ”

“ครับ : )”

ผมยิ้มกว้างให้เหล้ารัมทีนึงเมื่อเห็นว่าเขาเองก็สามารถยิ้มได้กว้างขึ้นกว่าเดิมแล้ว ก่อนที่เราสองคนพากันจะจับมือเพื่อเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของคุณปู่

แล้วสิ่งที่คุณปู่ทำก็คือ.. ท่านใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของผมกับเหล้ารัมเอาไว้ พลางเงยหน้าเหมือนต้องการจะพูดกับทุกคน..

“วันนี้ฉันได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในห้องประชุมนี้ และก็เป็นอีกครั้ง ที่การกระทำมักจะแสดงผลได้มากกว่าคำพูด”

“...”

“มันน่าละอายใจนัก ที่ต้องให้เหล้ารัมซึ่งเป็นคนนอกของตระกูล มายืนด่ายืนสอนพวกแกให้รู้ซึ้งถึงความเป็นอลิชา ทั้งๆ ที่มันควรจะอยู่ในสายเลือด!”

“...”

และแม้ว่าคุณปู่จะไม่ได้พูดอะไรออกมามากมายนัก เมื่อเทียบกับเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่ผมกลับคิดว่ามันเพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครหลายคนสะอึกไปกับมันได้..

“วาฬ..” ก่อนที่คุณปู่จะก้มหน้าลงมาถามผม ด้วยคำถามที่ทำเอาผมถึงกับอึ้ง..! “หลานชอบเหล้ารัมรึเปล่า?”

“...” ดะ..ได้แต่อ้าปากค้าง มองหน้าของคุณปู่อย่างไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรจากคำตอบของผมกันแน่?

“เอ้า ว่าไงล่ะ ชอบหรือไม่ชอบ” จนกระทั่งคุณปู่ถามย้ำอีกครั้งนึงนั่นแหละ ผมถึงได้เลิกอ้าปากค้าง แล้วหันมองนายพ่อมดเหล้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่ง..เขาเองก็กำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน..

เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากมากขนาดนั้นนะ เพียงแต่.. ผมแค่ยังไม่แน่ใจ.. ว่าไอ้คำว่า ‘ชอบ’ ที่มันปรากฏขึ้นมาในใจของผมตอนนี้ มีความหมายเดียวกันกับคำว่า ‘ชอบ’ ที่คุณปู่ถามถึงรึเปล่า?

เพราะฉันนั้น.. “ผมยังไม่แน่ใจครับปู่ แต่ผมดีใจมากที่มีเขาเข้ามาในชีวิต จนผมไม่อยากให้เขาหายไปไหนเลย" คำตอบของผม จึงไม่สามารถสรุปได้ด้วยคำเพียงแค่คำเดียว

เหล้ารัมหยักยิ้มกว้างขึ้นเมื่อผมหันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง นัยน์ตาสีม่วงอ่อนส่องประกายความสุขมาให้ บ่งบอกว่าเขารับรู้ถึงสิ่งที่ผมพูดออกไป ซึ่งดีมาก เพราะผมอยากให้เขารู้จริงๆ ว่าตอนนี้..ผมไม่อยากให้เขาหายไปไหนอีกแล้ว.. เพราะฉะนั้นก็เลยขยับปากพูดแบบไร้เสียงให้อีกฝ่ายเห็นว่า.. ‘ผมพูดจริงนะ’ เพื่อเป็นการตอกย้ำสิ่งที่ตัวเองตอบออกไปอีกที ก่อนจะรีบหันกลับมาเมื่อรู้สึกได้เลยว่าคุณปู่กำลังจ้องมองการกระทำของผมอยู่..

เอ่อ... เอาจริงๆ ผมก็แอบกังวลใจและรู้สึกเกรงใจคุณปู่เหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมารสนิยมทางเพศของผมจะเป็นที่รู้กันดีในบ้านหลังนี้ และผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะปิดบัง แต่การที่ใครหลายคนเลือกที่จะไม่พูดถึง ก็เท่ากับว่ายังมีอีกหลายเสียงที่ยัง ‘ไม่ยอมรับ’ ในสิ่งที่ผมเป็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็น่าจะมีคุณปู่ของผมรวมอยู่ด้วย เพราะเคยมีหลายครั้งที่พี่เบลพยายามจะใช้เรื่องนี้โจมตีผมต่อหน้าท่าน แล้วสิ่งที่ท่านทำก็คือ..เดินจากไปโดยแม้แต่จะรับฟัง.. ซึ่งมันแย่มากนะสำหรับผม แต่ผมก็เข้าใจ ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คนรุ่นปู่จะสามารถทำใจได้ง่ายๆ..

แต่แล้วใครจะคิด.. ว่าการได้หันกลับมามองหน้าคุณปู่อีกครั้ง จะทำให้ผมได้พบกับ ‘รอยยิ้ม’ ที่ค่อยๆ เผยออกมา.. ก่อนที่คุณปู่จะยกมือขึ้นเพื่อลูบหัวผมอย่างเอ็นดู จนจากตอนแรกที่ผมไม่รู้สึกอะไร.. กลับกลายเป็นมีน้ำตาคลอขึ้นมาซะอย่างงั้น..

เพราะถึงแม้คุณปู่จะไม่ได้พูดอะไรมา แต่ผมก็รับรู้ได้ ว่ามันคือสัญญาณที่ดี

ก่อนที่คุณปู่จะหันไปหาเหล้ารัมบ้าง “ขอบคุณที่พยายามเพื่อหลานของฉันนะคุณพ่อมด ฉันรู้ว่านายต้องเสียสละมากแค่ไหน ยังไงก็..ฝากดูวาฬแทนฉันด้วย"

ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น แต่มันสะท่อนให้ผมเห็นว่า.. คุณปู่คือคนที่เข้าใจเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี เข้าใจ..มากกว่าที่ผมเข้าใจเสียด้วยซ้ำ..

“ผมจะดูแลวาฬให้ดีที่สุดครับ”

“ดี” คุณปู่ดูจะพอใจกับคำตอบของเหล้ารัมมาก  ผมเองก็เหมือนกัน เลยอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปจับมือของนายพ่อมดเหล้าเอาไว้ แทนคำขอบคุณ ในขณะที่อีกฝ่ายก็กระชับมือที่จับอยู่ให้แน่นขึ้นเช่นกัน

ต่างจากพี่เบลที่ทำเสียงดังจนทุกคนต้องหันไปมอง..

“…” เธอดูไม่พอใจมาก จ้องมองมาทางผมกับเหล้ารัมด้วยสายตาแบบเดิมอยู่เกือบสี่วิ ก่อนจะกระทืบเท้าตึงตังเดินออกจากห้องประชุมไป โดยที่มีลุงวินกับป้าสะใภ้ของผมรีบตามออกไปด้วย

เพราะแบบนั้น คุณปู่ก็เลยตัดสินใจกล่าวปิดการหารืออันแสนจะวุ่นวายในครั้งนี้ “เอาล่ะ ถือว่าหมดเรื่องแค่นี้ เชิญทุกคนแยกย้ายกันกลับได้” แต่ก่อนที่ท่านจะเดินจากไป คุณปู่ก้มลงมากระซิบในสิ่งที่ผมเองก็ไม่เคยรู้ “ถึงปู่จะยังหาทางช่วยหลานเรื่องคำสาปไม่ได้ แต่ปู่ก็อยากให้วาฬรู้ไว้ ว่าปู่ไม่เคยถอดใจ และยังขอให้ยัยแม่มดเพื่อนซี้ปู่คอยช่วยตามหานายเอียนอยู่เสมอ”

รู้ตัวอีกที.. น้ำตาผมก็ไหล..

เหมือนคำพูดของคุณปู่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกบางส่วนที่ขาดหายไป.. เพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่า..ยังมีใครอีกคน ที่รักและห่วงใยผมมาโดยตลอด

ขอบคุณนะครับ..คุณปู่



จบตอนที่ 12

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ล่ะเกลียดนังเบลจริงๆน่าเอาหากระเบนทำเป็นด้สยแล้วเอาหนามเม่นมาทำด้ายแล้วร้อยปากไว้จริงๆ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling2:

คนอ่านสยองกว่า

เมื่อไหร่ตอนต่อไปจะมาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
นังเบลนี่มันน่าสาปให้ปากห้อยย้อยลากพื้นเสียจริงๆ :z6: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โหยยยยยยยย อย่างซึ้งอ่ะ เหล้ารัมนายเท่มากๆ  o13 o13
่ำคาญนังเบลมาก ขี้อิจฉาเกิ๊นนนนนน เอานางไปทิ้งลงหลุมทีเถอะ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เบลงี่เง่ามากอ่ะ ปากก็บอกว่าทำเพื่อตระกูลๆ แต่การกระทำกลับตรงกันข้ามมาก  :z6:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
พอเห็นนิสัยเบล แล้ว ก็เข้าใจเลย วาฬกับเบล สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ตอนนี้ทุกคนน่าจะเลิกตามหาเอียนได้แล้วมั้ง ถ้าจะเชื่อใจเหล้ารัมน่ะ  หรือวาฬยังรักเอียนอยู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด