#พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016  (อ่าน 133875 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2


* * * * * * *

ร่องรอยเวทมนตร์ที่ถูกทิ้งไว้ นำพาผมมายังโกดังร้างแห่งหนึ่งในซอยเปลี่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของผมมากนัก

ปัง!

โดยไม่รอช้า ผมระเบิดประตูจนแหลกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะรีบรุดเข้าไปด้านในเพื่อหวังจะได้เจอวาฬและคนที่จับตัววาฬมา

แต่มันกลับมืดมาก ไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด จนกระทั่ง..

ปัง!

..ผมได้ยินเสียงประตูที่ตัวเองระเบิดไปแล้ว..ปิดดังไล่หลังอีกครั้ง ทุกอย่างที่อยู่ภายในโกดังร้างจึงปรากฏให้เห็นเต็มสองตา!

"สวัสดีเหล้ารัม ขอต้อนรับสู่ลานดวลเวทมนตร์อย่างเป็นทางการ : )"

"ไอ้ซองซู!" พอเห็นว่าคนที่ยืนอยู่บนลานดวลเวทคือไอ้พ่อมดตระกูลพยอน ผมก็พุ่งตัวเข้าไปหา หมายจะเค้นคอมันจนกว่าจะยอมพูดว่าตอนนี้วาฬอยู่ที่ไหนกันแน่!

"หยุดก่อน" แต่ไม่เป็นไปตามคาด เมื่อมีพ่อมดคนนึงเข้ามาขวางไว้ "นี่คือลานดวลเวทอันศักดิ์สิทธิ์ จะสู้ได้ ก็ต่อเมื่อกรรมการสั่งให้สู้!"

"ทีออน?" ตอนแรกไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนที่เข้ามาขวางไว้คือใครกันแน่ แต่พอลองพิจารณาหน้าตาดุดัน กับน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากที่มักจะเห็นตามข่าวกีฬาเวทมนตร์บ่อยๆ แล้ว ถึงได้นึกออกว่าเขาก็คือ 'ทีออน ดีเลียน' พ่อมดผู้ตัดสินการดวลเวทมนตร์ชื่อดังจากเกาะดีลอสนั่นเอง

"ใช่ ฉันเอง ส่วนนายก็คงเป็นเหล้ารัมสินะ"

พอได้ยินคำยืนยันตัวตนจากปากทีออน ผมก็สะบัดตัวเพื่อถอยออกมาอย่างไม่สนใจที่จะตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าผมมีปัญหาอะไรกับทีออนหรอกนะ แค่อยากจะคุยกับคนที่มีปัญหาให้มันถนัดๆ หน่อยก็เท่านั้นเอง

"วาฬอยู่ที่ไหนซองซู"

"ฉันจะไปรู้ได้ไง ฉันไม่ใช่แฟนของนายนั่นสักหน่อย : )"

"ฉันถามว่าวาฬอยู่ไหน!"

"อะไรกันเล่า ทำไมแค่นี้ต้องโมโหด้วยวะ ฉันก็แค่..."

"ตอบมา!!!"

เพล้งงงงง!!

ด้วยความเหลืออด ผมระเบิดอารมณ์ทั้งหมดที่มีออกไป ส่งผลให้ไฟทุกดวงในสถานที่แห่งนี้แตกกระจายไม่เหลือซาก!

จนผู้ชมบนอัฒจันทร์ต้องช่วยกันใช้เวทมนตร์เพื่อให้ไฟทุกดวงกลับมาใช้งานได้ดังเดิม และนั่นเองที่ทำให้ผมได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของพวกเค้า ไม่เว้นแม้แต่ตัวต้นเรื่องอย่างไอ้ซองซู

"โอเค ฉันยอมบอกนายก็ได้เหล้ารัม ว่าแฟนนายอยู่ที่ไหน : )"

แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังคงกลับไปยิ้มได้ ไม่ใช่เพราะว่าความกลัวที่ผมเห็นได้หายไปแล้วหรอกนะ เพียงแต่ไอ้ซองซูมันเลือกที่จะกลบเกลื่อนเอาไว้ก็เท่านั้น

"งั้นก็รีบบอกมา!"

และโดยที่ไม่ต้องให้พูดซ้ำ ไอ้ซองซูปรบมือสองที ก่อนที่ม่านแดงด้านหลังจะเปิดออก.. เผยให้เห็นตู้กระจกขนาดใหญ่ที่สูงเกือบเท่าบ้านสองชั้น และนั่น..!

"เหล้ารัม!"

"วาฬ!"

ผมตั้งท่าจะวิ่งลงจากลานดวลเวทมนตร์ทันที เมื่อเห็นว่าวาฬกำลังถูกมัดมือทั้งสองข้าง และแขวนไว้ที่ด้านบนสุดภายในตู้กระจกบ้านั่น!

"เปล่าประโยชน์น่า" แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ทีออนเข้ามาขวางไว้ จนผมเริ่มโมโหพ่อมดคนนี้เข้าให้อีกคนแล้ว

"ปล่อย!"

"ก็บอกว่าเปล่าประโยชน์ไงเล่า ซองซูมันร่าย 'คาถาผู้ชนะ' ไว้ ถ้าอยากช่วยคนของนาย ก็ต้องจัดการกับซองซูซะ เอาชนะมันให้ได้ ไม่งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้คนของนายคืนน่ะ"

"แล้วนายมายุ่งอะไรเรื่องนี้ด้วย! เป็นถึงผู้ตัดสินชื่อดัง แต่ปล่อยให้ไอ้พวกมัดมือชกมาใช้สถานที่ดวลเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธ์เนี่ยนะ!?"

วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าอารมณ์โกรธของตัวเองรุงแรงขึ้นทุกที ถึงขนาดที่สามารถผลักทีออนกระเด็นไปไกลได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ เลยด้วยซ้ำ ขณะที่ภายในใจก็ห่วงวาฬจนแทบบ้า!

"ใจเย็นก่อนเถอะ" ทีออนที่ถูกผลักออกรีบยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เหมือนกลัวว่าผมจะเล่นงานเค้าหนักกว่านี้ ก่อนจะยอมบอกในสิ่งที่ทำให้ผมอยากฆ่าไอ้ซองซูให้ตาย! "ฉันเองก็ถูกมัดมือชกไม่ต่างจากนาย เพราะตอนที่มาถึงที่นี่ ซองซูก็เสกคาถาผู้ชนะใส่คนของนายแล้ว ก่อนที่มันจะบังคับให้ฉันยอมมาเป็นผู้ตัดสินการดวล ถ้าไม่อย่างงั้นล่ะก็.. มันจะทำลายอาชีพการงานของเมียฉัน ไม่ให้เธอได้ทำในสิ่งที่ฝันอีกต่อไป ซึ่งฉันรู้ดี..ว่ามันต้องทำได้แน่!"

"อ๊ะๆ อย่าโทษกันสิทีออน นายอยากมีจุดอ่อนของนายเอง ช่วยไม่ได้ : )"

"ไอ้เลวเอ้ย!" ผมด่าซองซูทันที ถึงแม้ว่าประโยคก่อนหน้านี้มันจะพูดกับทีออนก็ตาม แต่ใครสนล่ะ ผมคิดว่าตอนนี้ให้ใครจัดการมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่ให้มันสงบปากลงได้ก็พอ!

"ขอร้องล่ะ นายอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากว่านี้เลยนะ" แต่ก็เป็นอีกครั้งที่การจู่โจมของผมล้มเหลว เมื่อทีออนยังคงเข้ามาขวางไม่เลิก แม่งเอ้ย! "รับคำท้าดวลของซองซูเถอะเหล้ารัม นี่คือทางออกเดียว นะ ฉันขอล่ะ" แถมยังก้มลงคุกเข่าขอร้องผมอีก

ให้มันได้อย่างงี้สิวะ!

"..."

ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นใจทีออนนะ ผมเข้าใจดีว่าการรับคำท้าดวลจากซองซูนั้น นอกจากจะช่วยวาฬให้ปลอดภัยแล้ว ก็ยังช่วยเหลือทีออนด้วย แต่พอคิดว่าจะต้องรับคำท้า...

'พ่อ!!!'

ภะ..ภาพความทรงจำเกี่ยวกับพ่อผม.. มันก็หวนกลับคืนมาเสียทุกครั้ง.. ทำเอาผมถึงกับเผลอวูบจนเซถอยหลังออกมา..

"เหล้ารัม!"

ก่อนที่จะได้สติอีกครั้งนึงด้วยเสียงเรียกของวาฬ ที่ถึงแม้จะอยู่ไกลกัน แต่ผมก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าสีหน้าของคนๆ นั้นแสดงความกังวลและความห่วงใยในตัวผมมากขนาดไหน

นี่วาฬคงจะดูออกซินะ.. ว่าผมกำลังไม่ปกติน่ะ..

"แกจะไม่รับคำท้าของฉันก็ได้นะวาฬ ก็แค่เดินจากไป แล้วปล่อยให้แฟนแกถูกแขวนอยู่ในตู้กระจกนี้จนกว่าเขาจะตายก็เท่านั้น ฉันว่าง่ายดีออก : )" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรกับร่างบางที่ถูกแขวนไว้ ไอ้ซองซูก็พูดขัดขึ้นซะก่อน ทำเอาผมกำมือแน่น เพราะอยากฆ่ามันให้สิ้นชื่อ!

แต่ถ้าทำแบบนั้น.. ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ในเมื่อกฎของคาถาผู้ชนะคือ หากต้องการทำลายเวทมนตร์ที่ถูกเสก จะต้องเอาชนะผู้เสกในการดวลเวทมนตร์อย่างเป็นทางการเท่านั้น

"งั้นก็ได้.. ฉัน-ขอ-รับ-คำ-ท้า!"

ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจยอมรับคำท้าดวลจากซองซู ถึงแม้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำได้มั้ย.. และจะต้อง..เจ็บปวดสักแค่ไหนกับภาพอดีตต่างๆ ที่พร้อมจะฉายชัดขึ้นมา.. แต่ถ้าให้เทียบกันแล้ว การไม่ได้ช่วยคนที่รักให้ปลอดภัย มันย่อมต้องเจ็บปวดใจมากกว่ากันแน่!

"เยส!" ไอ้ซองซูถึงกับกระโดดด้วยความดีใจ

หึ! มันคงรอมานานสินะ รอที่จะได้วัดความเป็นที่หนึ่งจากผมอย่างหน้ามืดตามัว โดยที่ไม่ได้สำนึกเลยสักนิด ว่าความสุขเหล่านั้น มันเป็นความสุขที่อยู่บนความทุกข์ของคนอื่นชัดๆ!

"เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้น ขอให้ทั้งสองฝ่ายช่วยประจำที่ของตัวเองด้วยครับ" ทีออนเองก็เป็นอีกคนที่แสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า ดูจากรอยยิ้มที่ส่งมาแล้ว เขาคงคิดว่ายังไงผมก็ต้องชนะซองซูแน่

แต่มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น... เพราะทันทีที่ผมเข้าประจำที่.. หัวใจของผมมันก็เริ่มเต้นแรงขึ้น ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นหรือความดีใจ แต่คือ..ความหวาดกลัวจากบรรยากาศโดยรอบต่างหาก...!

'พ่อ!!!'

"กฎสามข้อของการดวลเวทมนตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือหนึ่ง..ห้ามออกจากลานดวลก่อนหมดเวลา'

'สอง..ต้องใช้เวทมนตร์ที่ถูกบัญญัติไว้ว่าถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และสาม..ห้ามถึงตายโดยเด็ดขาด'

ยิ่งพอทีออนกล่าวกฎการดวลเวท ยิ่งทำให้ภาพอดีตซ้อนทับกลับคืนมา.. จนในที่สุด.. ผมก็หลุดเข้าไปในช่วงเวลานั้นจนได้...!

"ขอเตือนนะ ว่าอย่ายุ่งกับครอบครัวของฉันเด็ดขาด!" ตอนนั้นผมยังเด็ก ครอบครัวของเราวางแผนไปเที่ยวกันในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของผมกับพี่วิสกี้

"ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับครอบครัวของแก ถ้าหากแกยอมรับคำท้าดวลเวทมนตร์จากฉัน" เรามีความสุขกันมากที่บ้านพักตากอากาศที่ทะเลสาบเงือก จนกระทั่ง 'การ์ดิ เจเจอร์' เดินเข้ามา..

การ์ดิเป็นหนึ่งในพ่อมดฝ่ายมืดที่ต้องการจะล้มล้างราชวงศ์ของโลกเวทมนตร์ให้สิ้นซาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจะทำมักล้มเหลวทุกครั้ง เพราะถูกขัดขวางโดยพ่อของผม 'ฤทธิ์ ฤทธิ์ชาติ อัครวรกุลพิชิต' ผู้เป็นราชองครักษ์ของพระราชา

"แกเนี่ยนะท้าดวลฉัน?" ผมเชื่อว่าเราทั้งครอบครัวคิดเหมือนกันในตอนนั้น ว่าการ์ดิต้องมีแผนชั่วซ่อนอยู่แน่ ไม่อย่างงั้นพ่อมดร้ายอย่างเค้าจะมาขอท้าดวลเวทมนตร์กับพ่อผมให้เสียเวลาทำไม สู้แอบจัดการครอบครัวเราตอนเผลอยังจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

"ใช่ ฉันเนี่ยแหละ ขอท้าดวลกับแก"

"เพื่ออะไรการ์ดิ? อะไรทำให้แกเกิดอยากเล่นตามกติกา ทั้งๆ ที่เราสองคนก็สู้รบกันนอกสนามมาตลอด"

"ฉันเบื่อแล้ว เบื่อที่ต้องคอยมีแกขวางทางชีวิตมาตลอดหลายปี มันถึงเวลาสักทีที่เราจะต้องตัดสินกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย และครั้งนี้ ฉันก็จะขอเล่นตามกติกาอย่างแฟร์ๆ ด้วย"

"ยังไง?"

"ถ้าฉันชนะในการดวลเวทมนตร์ครั้งนี้ แกจะต้องลาออกจากการเป็นราชองครักษ์ และไม่กลับมาที่โลกเวทมนตร์นี้อีก"

"แล้วถ้าฉันชนะล่ะ?"

"ก็ถ้าแกชนะ ฉันจะยอมมอบตัว ให้ทางการจับขังคุกมืดตลอดชีวิต"

"หึ แล้วฉันจะเชื่อแกได้ยังไงการ์ดิ? แค่คำพูดจากปากแก มันไม่ได้น่าเชื่อถือเลยด้วยซ้ำ"
ใช่ แค่พูด ใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าการ์ดิจะกล้าทำเกินกว่าพูด

"ฉันขอสาบาน"

"..."

"ถ้าฉันแพ้แก ฉันจะยอมมอบตัว ให้ทางการจับฉันขังคุกตลอดชีวิต"
การ์ดิเลือกที่จะสาบาน ซึ่งผลย่อมเป็นไปตามนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ "และไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม ฉันจะไม่ยุ่งกับครอบครัวของแกโดยเด็ดขาด หากฉันทำผิดคำสาบานแม้เพียงเสี้ยวเดียว ขอให้จิตวิญญาณของฉันแตกสลายหายไป ไม่สามารถกลับมารวมกันได้อีกเลย!"

"..."

"และหากนายกลัวว่าฉันจะเล่นไม่ซื่อล่ะก็ ฉันขอเสนอให้เพื่อนของแกมาเป็นผู้ตัดสินในการดวลครั้งนี้ด้วย แกจะตกลงมั้ย?"


การกล้าสาบานของการ์ดิ ทำให้วินาทีนั้นเขาดูน่าเชื่อถือมากเสียจนพ่อของผมไม่อาจจะปฏิเสธคำท้าได้ เพราะหากพ่อชนะ ก็เท่ากับว่าเราสามารถขีดฆ่าชื่อของพ่อมดร้ายที่จ้องจะทำลายความสงบสุขของโลกเวทมนตร์ออกไปได้ถึงหนึ่งคน แถมยังเป็นระดับบอสใหญ่ซะด้วย "ตกลง ฉันขอรับคำท้าของแก"

ดังนั้น พ่อจึงขอให้แม่ช่วยติดต่อหา 'ลุงวัช'เพื่อนสนิทของพ่อ เพื่อให้ช่วยมาเป็นผู้ตัดสินในการดวล ซึ่งลุงวัชก็เดินทางมายังทะเลสาบเงือกได้อย่างรวดเร็ว จนเกือบจะเป็นการเดินทางที่เร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ..

"ทั้งสองฝ่าย โปรดจงเข้าประจำที่ของตัวเอง" ลุงวัชใช้เวทมนตร์สร้างลานประลองที่หน้าบ้านพัก มันไม่ใช่ลานประลองที่สวยงามมากนัก แต่ก็ได้มาตรฐานพอที่จะใช้จัดการดวลเวทมนตร์ได้ "กฎสามข้อของการดวลเวทมนตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หนึ่ง..ห้ามออกจากลานดวลก่อนหมดเวลา สอง..ต้องใช้เวทมนตร์ที่ถูกบัญญัติไว้ว่าถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และสาม..ห้ามถึงตายโดยเด็ดขาด"

ผมรู้ว่าคนที่กังวลกับก่รดวลเวทมนตร์มากที่สุดก็คือแม่ ท่านกอดผมกับพี่วิสกี้ไว้แน่น ราวกับต้องการให้เราสองคนเป็นที่พึ่งทางจิตใจ ตรงข้ามกับเราสองพี่น้องที่มั่นใจมากว่ายังไงซะกา์ดิก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับราชองครักษ์ผู้เก่งกาจอย่างพ่อแน่

"เอาล่ะ ถ้าพร้อมกันทั้งสองฝ่ายแล้วล่ะก็"

"..."

"เริ่มได้!"


เพราะฉะนั้นทันทีที่ลุงวัชประกาศ พี่วิสกี้กับผมจึงพากันส่งเสียงเชียร์อย่างเต็มที่ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น..

ฟึ่บ!

พ่อเป็นฝ่ายเริ่มใช้เวทมนตร์ก่อน มันเก่าแก่และรุนแรงมาก ถึงขนาดที่การ์ดิโดนซัดทีเดียวก็ลงไปนอนกองกับพื้น

หัวใจของผมพองโตกับเวทมนตร์ของพ่อ และยิ่งพองโตมากขึ้นๆ เมื่อเห็นว่าพ่อเดินตรงเข้าไปหาการ์ดิ

พ่อผมไม่ใช่คนที่ชอบอะไรยืดเยื้ออยู่แล้ว ผมรู้ว่าท่านตั้งใจจะซ้ำการ์ดิอีกครั้ง และปิดฉากการดวลครั้งนี้ซะ

"ตายซะเถอะไอ้ฤทธิ์!"แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการ์ดิไม่ยอมเล่นตามกฎของการดวล เขาใช้เวทมนตร์ผิดกฎหมายกับพ่อของผม

มันเรียกว่า 'เวทมนตร์ทำลายใจ' เมื่อผู้ใดโดนเวทมนตร์นี้ หัวใจของผู้นั้นจะแตกสลาย และตายลงในที่สุด เป็นหนึ่งในสิบเวทมนตร์ต้องห้ามของโลกเวทมนตร์ที่ผิดบาปและเลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัยได้

"เดี๋ยวฉันจัดการเองฤทธิ์" ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินอย่างลุงวิชที่จะช่วยสกัดกั้นเวทมนตร์อันไม่พึงประสงค์ออกไป

ถ้าไม่ติดว่า...!

ฟึ่บ!

"พ่อ!!!"


ถ้าไม่ติดว่า.. ลุงวิชจะกลับกลายเป็นคนที่ทำให้เวทมนตร์นั้นถึงตัวพ่อได้เร็วขึ้น!

"..."

วินาทีนั้น.. เหมือนนาฬิกาทุกเรือนบนโลกใบนี้หยุดเดิน.. ร่างของพ่อหงายหลังลงนอนแน่นิ่งกับพื้น.. ไม่แม้แต่จะหายใจอีกต่อไป..

ผมจำอะไรไม่ได้อีกเลยนับจากนั้น.. ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งที่โรงพยาบาลในอาทิตย์ต่อมา.. ผมต้องใช้เวลาในการบำบัดอยู่หนึ่งเดือนเต็ม กว่าที่จะสามารถใช้ชีวิตวัยเด็กต่อไปได้..
   
ถึงจะไม่มีพ่อแล้ว.. แต่ผมก็ยังมีแม่ มีพี่วิสกี้ให้รักและดูแลกันต่อไป และนั่นคือสิ่งที่ผมคิด โดยที่ไม่รู้เลยว่า.. ผมคิดผิดถนัด..
   
การตายของพ่อไม่ได้ส่งผลร้ายแรงถึงผมเท่านั้น.. แต่มันยังกัดกินหัวใจของแม่อย่างยากจะเยียวยาว..
   
พี่วิสกี้เล่าให้ผมฟังว่าหลังจากที่พ่อถูกฆ่าโดยศัตรูและถูกหักหลังโดยเพื่อนสนิทในการดวลเวทมนตร์ แม่ใช้เวทมนตร์ด้านมืดกำจัดทั้งลุงวัชและการ์ดิจนวิญญาณแตกสลายหายไป.. พอทางราชวงศ์รู้เรื่อง พวกเขาใช้อำนาจทั้งหมดที่มีช่วยปิดข่าวไว้ให้ บอกว่าพ่อแค่ตายด้วยอุบัติเหตุเท่านั้น เนื่องจากไม่ต้องการให้แม่กลายเป็นผู้กระทำความผิดจากการฆ่าพ่อมดสองคนนั้นไปด้วยอีกคน เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการใช้เวทมนตร์ด้านมืดเพื่อกำจัดฝ่ายชั่วร้าย แต่กฎก็คือกฎ ไม่อาจละเว้นได้ ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม และที่ทางราชวงศ์ช่วย ก็เพราะไม่อยากให้ผมกับพี่วิสกี้ต้องเสียแม่ไปอีกคน
   
โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า พวกผมได้สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ตอนที่พ่อตายแล้ว..
   
เมื่อวันนึง แม่เรียกผมกับพี่วิสกี้เข้าไปในห้องนอนของท่าน ที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมตั้งแต่ก่อนที่พ่อจะจากเราไป..
   
“ลูกสองคนเคยได้ยินเรื่องราว ‘รักแท้ของนกเงือก’ มั้ยจ๊ะ? อะไรกัน ไม่เคยได้ยินหรอ งั้นเดี๋ยวแม่จะเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะ” ก่อนจะเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของนกเงือกให้เราสองพี่น้องได้ฟัง “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกเงือกตัวผู้อยู่ตัวนึง คอยออกบินตามหารักแท้ที่เฝ้าฝันหา จนกระทั่งในที่สุด มันก็ได้พบกับเจ้านกเงือกตัวเมียที่หวังว่าจะเป็นรักแท้ของมัน”
   
“…”
   
“เจ้านกเงือกตัวผู้คอยหาอาหารหลากหลายชนิดมาให้กับตัวเมีย เพื่อหวังว่าจะได้ครองใจของอีกฝ่าย”
   
“…”
   
“เจ้าตัวผู้หมั่นทำแบบนั้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้าย ความพยายามของมันก็เป็นผล เมื่อเจ้านกเงือกตัวเมียตกลงปลงใจที่จะเป็นรักแท้ของมัน”
   
“…”
   
“ก่อนที่ทั้งคู่จะให้กำเนิดลูกน้อยในรังรักที่พวกมันร่วมกันสร้างขึ้น”
   
“…”
   
“ทุกอย่างดูจะเป็นสุขดี ถ้าไม่ติดว่าวันนึง.. วันที่เจ้านกเงือกตัวผู้ออกไปหาอาหารให้เมียและลูก..”
   
“…”
   
“มันกลับถูกคนใจร้ายใช้ปืนยิงตาย.. โดยที่ไม่รู้เลยสักนิด ว่าการที่เขาได้ฆ่าเจ้านกเงือกตัวผู้จนตายนั้น กลับกลายเป็นการฆ่าเจ้านกเงือกตัวเมียทั้งเป็น..”
   
“…”
   
“ด้วยความที่นกเงือกเป็นสัตว์ที่มีพฤติกรรมรักเดียวใจเดียว และมีรักที่มั่นคงยาวนาน เจ้านกเงือกตัวเมียจึงได้แต่เฝ้ารอคอยการกลับของสามีวันแล้ววันเล่า”
   
“…”
   
“จนถึงวันที่ได้รู้ความจริงว่าสามีของมันตายจากไปแล้ว ก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่อาจที่จะมีใจรักใครได้อีก.. ฮึก..”
   
“แม่..”
   
“วิสกี้ เหล้ารัม แม่รู้ว่าตอนนี้ลูกทั้งสองยังเด็ก แต่เมื่อวันใดที่เราทั้งคู่ได้พบเจอกับคนที่ลูกรัก จงจำเรื่องที่แม่เล่าในวันนี้เอาไว้ให้ดี”
   
“…”
   
“ว่าจงเป็นให้ได้อย่างนกเงือก”
   
“…”
   
“เข้าใจมั้ยลูก?”
   
“ครับ/ค่ะ”

   
ผมไม่รู้หรอกว่าพี่วิสกี้จะยังจดจำสิ่งที่แม่บอกกับพวกเราในวันนั้นได้มั้ย แต่สำหรับผม.. ผมไม่มีวันลืมไปจากใจ และยังคงยึดถือเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ และนั่น..ทำให้ผมได้โบยบินจนมาเจอกับวาฬ..
   
“ดีมากจ้ะ” แม่ยิ้มให้ผมกับพี่วิสกี้เมื่อได้ฟังคำตอบรับจากเราทั้งคู่ มันเป็นยิ้มที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากแม่ ก่อนที่ท่านจะขอตัวไปนอนกลางวัน.. และ..ไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย..

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

เหล้ารัม ระวัง!"

ผมที่กำลังจมลึกลงไปในอดีตของตัวเอง ได้สติกลับคืนมาอีกครั้งเพราะเสียงร้องเตือนของวาฬ

ถึงได้เห็นว่าเวทมนตร์ของซองซูกำลังตรงมาทางผม และนั่นทำให้ผมสามารถเอี้ยวตัวหลบได้อย่างทันท้วงที โดยที่ปล่อยให้มันเฉียดผ่านหูไปได้เพียงแค่ไม่กี่เซ็น

..เกือบไปแล้ว

"แกมัวแต่เหม่ออะไรอยู่เหล้ารัม ไม่ได้ยินที่ทีออนสั่งเริ่มหรือไง : )"

"..." ใช่ ผมไม่ได้ยินตอนทีออนสั่งเริ่มการดวลจริงๆ เพราะมัวแต่นึกถึงอดีตอยู่.. นี่ถ้าไม่ได้วาฬล่ะก็ ผมคงกระเด็นไปไกลแล้ว เพราะไอ้ซองซูมันใช้เวทมนตร์แบบไม่ยั้งมือเลยจริงๆ

"ถ้าอยากช่วยแฟนแก ก็จริงจังหน่อยสิ : )"

ฟึ่บ!

"..."

ฟึ่บ!

"..."

ฟึ่บ!

ไอ้ซองซูซัดเวทมนตร์ใส่ผมอีกครั้งและอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมมีสติพอที่จะไม่ต้องให้ใครเตือน และหายตัวไปยังด้านหลังของไอ้พ่อมดเกาหลี เพื่อให้ได้อยู่ใกล้กับวาฬมากขึ้น

"คุณไหวมั้ยวาฬ?"

"ผมไม่เป็นไรครับ แต่คุณน่ะ..ระวัง!"

ฟึ่บ!

"นี่สรุปว่าแกจะสู้กับฉันมั้ยเนี่ย!?"

ซองซูเริ่มโมโห มันหันมองผมตาขวางเลยตอนที่ผมสามารถหลบเวทมนตร์ของมันได้อีกครั้งเพราะคำเตือนของวาฬ

"..." ผมรู้ว่าผมกำลังลีลา.. ผมรู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องจัดการซองซูซะ แต่ใจผมมันสั่นไปหมด.. ผมเหมือนพวกขี้ขลาดที่อยากจะหนีไปเรื่อยๆ เพื่อหวังว่าจะไม่ต้องต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ควรจะต้องเผชิญ

ฟึ่บ!

"จะหลบอะไรนักหนาวะ! สู้สิ!"

"..."

ฟึ่บ!

"ฉันบอกให้แกสู้!"

'พ่อ!!!'

ฟึ่บ!


"สู้สิโว้ยยยยยยยยยย!!

ฟึ่บ!

'พ่อ!!!'


ไอ้ซองซูซัดเวทมนตร์ใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง สายตาของคนที่ดูอยู่ตอนนี้คงไม่พ้นมองว่าผมเหมือนเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเมื่อมีภัย โดยที่พวกเขาไม่รู้หรอก.. ว่าที่ผมเอาแต่หลบหลีก.. ก็เพราะว่าผมไม่สามารถดวลเวทมนตร์กับซองซูได้

'พ่อ!!!'

ผมรู้ว่าผมรับคำท้ามันแล้ว และผมก็ต้องเอาชนะสถานเดียว แต่ว่า.. ผม.. ผมทำไม่ได้! บรรยากาศของการดวล รวมถึงเวทมนตร์ที่สาดซัดเข้ามา มันทำให้ผมคิดถึงพ่อ.. พ่อ..ที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่ในลานประลองที่ทะเลสาบเงือก!

"เหล้ารัม คุณฟังผมให้ดีนะ" ภะ..ภาพในหัวมันโจมตีผมจนไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากยืนเป็นไอ้ขี้แพ้ที่เอาแต่หลบเวทมนตร์ของซองซู.. และพยายามรวบรวมสติเท่าที่มีเพื่อฟังในสิ่งที่วาฬกำลังจะพูด "ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นอะไร"

"..."

"แต่มันคงจะเกี่ยวกับเหตุผลที่คุณปฏิเสธการดวลกับซองซูมาโดยตลอด"

"..."

"เพราะฉะนั้นไปซะ"

"..."

"ถ้าไม่อยากดวล ก็จงไปจากที่นี่ คุณน่ะ..อย่าฝืนใจตัวเองเพียงเพราะต้องการจะช่วยผมอีกเลยนะ.."

"..."

"ฮึก..ขอร้องล่ะ.."

"วาฬ..."

"ไปซะ!!!"

"หนวกหูโว้ยยยยยยยย!!!"

ฟึ่บ!

ผมแทบล้มทั้งยืน เมื่อเห็นว่าไอ้ซองซัดพลังใส่ตู้กระจกที่มีวาฬอยู่ข้างใน ภายหลังจากที่มันตวาดเสียงขัดสิ่งที่วาฬกำลังพูด

"..." เพราะผมคิดว่ามันตั้งใจจะทำร้ายคนที่ผมรัก.. แต่ที่ไหนได้ มันแค่ใช้เวทมนตร์เพื่อให้เสียงพูดของวาฬหายไปเท่านั้น

"ที่นี้ก็โฟกัสที่ฉันไอ้เหล้ารัม"

"..."

"ฉันบอกว่าให้แกมองที่ฉันไง!"

"..."

"ฉันจะไม่ทนกับแกอีกแล้วนะ ถ้าไม่สู้ ก็อย่าหลบ และจงยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!"

"..." จริงของซองซู.. ถ้าผมไม่สู้ ก็คงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ซะ เพื่อให้ทั้งโลกได้รู้ว่าซองซูต่างหาก ที่สมควรจะเป็นนักดวลเวทอันดับหนึ่งอย่างที่มันต้องการ ไม่ใช่ผม ในเมื่อ.. ให้สู้.. ผมก็สู้ไม่ได้ บทจะให้หนีไปแล้วทิ้งวาฬไว้.. ผมก็ว่าผมยอมตายซะดีกว่า!

เพราะฉะนั้น.. "ซองซู"

"คุกเข่าทำไม ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!"

"ฉันขอยอมแพ้ ฉันสู้กับแกในลานประลองไม่ได้จริงๆ" มันคงเป็นทางเดียว "แกสามารถจัดการฉันได้เต็มที่ แต่ขออย่างเดียว ปล่อยวาฬไปเถอะนะ ฉันขอร้อง" ทางเดียวที่จะช่วยวาฬได้

"ไม่!" แต่ซองซูไม่ยอม มันเดินเข้ามากระชากคอเสื้อผมให้ลุกขึ้น จนทีออนต้องเข้ามาห้ามตามกฎการดวล แต่ไอ้พ่อมดเกาหลีไม่สน แถมยังผลักผู้ตัดสินอย่างทีออนให้พ้นทาง "แกจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้! ถ้าแกยอมแพ้ ฉันก็จะปล่อยแฟนแกให้ห้อยอยู่แบบนั้น จนกว่าแกจะดวลชนะ!"

"แต่ว่า.." ผมอยากที่จะขอร้องซองซูต่อ อยากอธิบายให้มันรู้ถึงเหตุผลที่ผมไม่สามารถดวลกับมันได้ ถ้าไม่ติดว่า..ผมดันบังเอิญสังเกตเห็นความผิดปกติของเชือกที่มัดข้อมือวาฬเข้าซะก่อน! "เชือก!"

"อะไร?"

"ไอ้ซองซู เชือกกำลังจะขาด!"

"แกไม่ต้องมาโกหกฉัน ฉันไม่หลงกลแกหรอก"

"ฉันไม่ได้โกหก แกหันไปดูสิ!" ผมพยายามจะจับตัวไอ้บ้าซองซูให้หันไปดูเชือกที่กำลังจะขาด แต่มันกลับขืนตัวไว้สุดกำลัง

"ฉันบอกว่าฉันไม่หลงกลแกไงเล่า!"

"งั้นแกก็ปล่อยฉัน ฉันจะไป.. วาฬ!!!"

ผมตั้งใจจะบอกซองซูว่าผมจะไปช่วยวาฬ แต่มันไม่ทันแล้ว... เมื่อเชือกเส้นบางไม่สามารถรับน้ำหนักของวาฬได้อีกต่อไป!

วินาทีนั้นเหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งและไร้เสียง.. ผมวิ่งสุดกำลังไปยังตู้กระจก ตั้งใจจะเข้าไปรับร่างของแฟนผมเอาไว้

แต่ผลคือ.. ผมไม่สามารถทะลุตู้กระจกเข้าไปได้ คาถาผู้ชนะทำให้ผมชนเข้ากับกระจกอย่างแรง จนหงายหลังล้มลง ก่อนที่จะพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง ในจังหวะที่..

ปึก!

..ร่างบางของวาฬตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง!


"..." ผะ..ผมหายใจไม่ออก.. พูดก็ไม่ออก.. ได้แต่มองร่างของแฟนตัวเองที่กำลังนอนคว่ำหน้ากับพื้น พร้อมกับ..เลือด..ที่ไหลนองออกมา..

วาฬนอนนิ่ง.. ไม่ขยับเลยแม้แต่นิด..

"ซะ..ซองซู.." ผมรู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้แล้ว เลยได้แต่หันหาซองซูเพื่อหวังว่าจะให้มันช่วย ถึงได้เห็นว่ามันเองก็ช็อกไม่ต่างกัน

แต่ก็เพียงไม่นานนัก.. สีหน้าตกตะลึงของซองซูก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นราบเรียบ "ถ้าแกไม่เอาชนะฉันให้ได้ แม้แต่ศพของวาฬ แกก็จะไม่ได้เอากลับไปไอ้เหล้ารัม" ก่อนจะพูดออกมาราวกับพวกเลือดเย็น!

"ไอ้ซองซู! มันจะมากเกินไปแล้วนะเว่ย!"

ใช่.. ถูกของทีออน.. ไอ้ซองซูมันทำเกินไปจริงๆ..

"หุบปากทีออน!"


"แกนี่มัน.."


"ก็บอกให้หุบปากไงเล่า!!"


..และผมก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!!!


ฟึ่บ!

ผมตัดใจจากวาฬเพื่อหายตัวกลับขึ้นมายังบนลานประลองอีกครั้ง ทั้งที่น้ำตายังคงนองหน้า.. "มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ฉันไม่รับคำท้าของแกซองซู และหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นก็คือ.. ต่อให้ถึงวันที่แกตาย แกก็ก็ไม่มีวันได้คู่ควรกับการเป็นคู่แข่งของฉัน!!!"

"จัดมาเลยไอ้เหล้ารัม ฉัน...!!!"

ตู้มมมมมมมมมมมมมม!!!

โดยไม่ต้องรอให้ไอ้ซองซูพล่ามจนจบ ผมจัดการซัดเวทมนตร์ที่รุนแรงที่สุดใส่มันด้วยความคับแค้นใจ ให้สาสมกับที่มันทำให้วาฬต้องเป็นแบบนี้!!

"..."

และในทันทีที่ทุกอย่างสงบลง ควันจากการระเบิดรุนแรงก็จางหายไป.. เหลือทิ้งไว้เพียงร่างของซองซูที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ กำลังนอนปากบิดเบี้ยวเป็นอัมพาตชั่วคราวอยู่ที่พื้น โดยมีเพียงแค่ตาเท่านั้นที่ยังคงกลอกไปมาได้

ทีออนเป็นแรกที่วิ่งเข้าไปดูอาการของซองซู ถึงแม้ว่าสีหน้าของคนเป็นผู้ตัดสินดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ทีออนก็เป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี

ต่างจากผม.. เพราะผมไม่สนใจใครอีกแล้ว ไม่สนด้วยว่าผลของการดวลเป็นยังไง.. หรือว่าคนที่นั่งดูอยู่จะมองว่าผมเป็นคนแบบไหน.. ในเมื่อสิ่งที่ผมต้องการที่สุดตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว และนั่นคือการที่ตู้กระจกหายลับไป..

"วาฬ.." ผมพยายามเรียกอีกฝ่ายในขณะที่จับเขาให้หงายขึ้น "คุณได้ยินผมมั้ย?" แต่วาฬยังคงนิ่ง.. มีเลือดจากหน้าผากที่แตกอาบทั่วใบหน้า..

"หะ..ให้ฉันตามคนมาช่วยมั้ยเหล้ารัม?"

"..." ผมไม่ได้ตอบกลับทีออนที่วิ่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าลำบากใจในทันที เพราะตั้งใจว่าจะช้อนตัววาฬขึ้นมาอุ้มไว้ให้สำเร็จซะก่อน "ไม่เป็นไร ฉันจัดการเองได้ ลาก่อน" จนกระทั่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยดีแล้ว ผมถึงได้กล่าวคำปฏิเสธทีออนและบอกลา..

..ก่อนจะพาร่างไร้ลมหายใจของวาฬออกไปจากนี่ เพื่อไปยังที่ที่มีแต่เราสองคน..


จบตอนที่ 15

ตอนที่เขียนบทนี้จบลง
รู้สึกเลยว่า.. ความตายมันอยู่ใกล้ตัวเรามากจริงๆ
จนกว่าที่จะรู้ตัวว่ายังไม่ได้ทำนั่นทำนี่ให้กับคนที่เรารัก
มันก็สายไปเสียแล้ว

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :sad4:

ไม่นะ มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

โลกเวทมนตร์ไม่มีหมอเทวดาเลยเหรอคะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มันไม่ควรจะจบแบบนี้นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :serius2:

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้ยยย ไม่น้า เศร้าไปแล้ว จากขนมหวานมา มาม่าชามโตนี่ไม่ไหวนะ...  :z3: :hao5:

ออฟไลน์ Khan_htt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เกลียดซองซูมากกกกกกก อะไรทำให้เป็นครใจบาปขนาดนี้วะะ

ออฟไลน์ Praykanok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
นังซองซู!!!! โอ้ยยยย วาฬอดทนนะะะะะ

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อะไรดลใจให้อีซ่องสารเลวขนาดนี้ แม่ไม่รักเหรอออ ขอให้มันทรมานแบบไม่มีวันตาย
โอ้ยยยย สงสารเหล้ากะวาฬ ทำไมมันบีบใจขนาดนี้ :katai1: :katai1: :katai1: วาฬต้องฟื้นนะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ซองซูเป็นพ่อมดชั่วร้ายใช่มั้ย ถึงได้เลวขนาดนี้!!! อะไรทำให้ซองซูบ้าการประลองขนาดนี้ เพราะความอิจฉาเหรอ หรือ ต้องการ ทำลายเหล้ารัมกันนะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ไม่นะ วาฬจะตายไม่ได้นะ  :sad4: :sad4:
ไอ้พ่อมดซองซูงี่เง่ามาก บ้าการประลองจนไม่คิดถึงเลยว่าคนอื่นจะเดือดร้อนจะต้องทุกข์มากแค่ไหน ขอให้มันได้รับผลกรรมหนักๆไปเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มาต่อเร็วๆน้าาา :hao7:

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
เห้ย ตายจริงดิ

ออฟไลน์ KoiKa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
โอ๊ยยยยยยยย ปวดใจ ฮืออออออออออ
เกลียดซองซู เกลียดๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
อ้าว ตามอ่านตั้งนาน ทำไมบทล่าสุดทำร้ายจิตใจผมมากเลยครับ โอ๊ยยย โอ๊ยยยย  :ling3:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 16
{ วิสกี้ }


ผมยังจำวินาทีที่ตกลงสู่พื้นได้..

มันเหมือนว่าตอนนั้น..ความตายตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังมาก.. จนสิ่งต่างๆ มากมายวิ่งวนในหัวอย่างรวดเร็วราวกับหนังที่ถูกกดให้ skip ไปข้างหน้า.. กระทั่งเสี้ยววินาทีที่บอกกับตัวเองด้วยความกลัวว่า ‘ยังไม่อยากตาย’ ร่างกายส่วนหน้าก็กระแทกลงกับพื้นอย่างแรงแล้ว.. เกิดเป็นความเจ็บในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับไป..
   
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมานอนใส่เฝือกทั้งตัวในบ้านไม้สวยงามหลังนี้ได้ยังไง คืออันที่จริง..ผมยังสับสนอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่าง ‘ความเป็น’ กับ ‘ความตาย’ อยู่เลย ว่าอันไหนคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆ กันแน่?
   
แต่ในเมื่อยังมีลมหายใจ.. ก็คงได้แต่สรุปว่า ‘ยังไม่ตาย’ ไปก่อนน่ะนะ
   
“อะแฮ่ม”
   
แล้วในขณะที่ผมกำลังนอนมองเพดานนิ่งๆ เพื่อปล่อยให้ความคิดไหลไปอยู่นั้น.. เสียงกระแอมไอจากทางด้านขวาก็เรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง..
   
“คุณ..เป็นใครครับ?” ผมเผลอขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยทันที ก่อนที่จะรีบคลายมันออกจากกัน เมื่อรู้สึกถึงความตึงบริเวณหน้าผาก คล้ายว่าน่าจะมีแผลอยู่ตรงบริเวณนั้น
   
และถึงแม้ว่าเฝือกที่ดามคออยู่จะทำให้ผมหันมองคนแปลกหน้าได้อย่างยากลำบาก จนต้องใช้วิธีการชำเลืองตามองเข้าช่วยก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็ทำให้ผมได้เห็น ว่าเธอคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างเตียงในขณะนี้นั้น ช่างเป็นแม่มดที่สวยเสียจนคนมองจำต้องลืมหายใจ..
   
เจ้าหล่อนเป็นหญิงสาวหุ่นสวยในชุดเดรสสีดำสั้นสุดเซ็กซี่ ไว้ผมสั้นประบ่าสีดำประกายม่วงที่แม็ทช์กับหมวกปานามาปีกกว้างที่เธอสวมใส่อยู่ ทว่าสีของเส้นผมนั้นกลับตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับผิวขาวจัดปราศจากรอยตำหนิของเธอที่แค่มองดูด้วยตาก็รู้แล้วว่าเนียนละเอียดเพียงใด
   
หากแต่เรื่องของผิวพรรณอันดีนั้นก็ยังถือว่าเป็นจุดแข็งที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับใบหน้าสวยสมบูรณ์แบบที่ยากจะละสายตา.. เธอมีหน้าตาที่ค่อนไปทางเอเชียซะส่วนมาก คือคิ้วเข้มเรียงเส้นสวยราวกับใช้พู่กันวาดขึ้นใหม่ ก่อนที่จะไล่ลงมาเป็นจมูกโด่งปลายเชิด และจบลงที่ปากทรงกระจับสีแดงระเรื่อชวนมอง ในขณะที่ช่วงตากลมโตเบ้าลึกนั้นกลับสวนทางไปยังโซนตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นการผสมผสานที่เปี่ยมเสน่ห์และลงตัวในแบบที่ผมต้องขอยกนิ้วให้เลย ถ้าหากว่าไม่ได้กำลังเข้าเฝือกทั้งตัวแบบนี้
   
ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด คนล่าสุดที่ผมเห็นว่ามีหน้าตาที่ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออกได้อย่างงดงามและไร้ที่ติเช่นนี้ ก็เห็นจะเป็น..นายพ่อมดเหล้าแฟนของผมนั่นเอง
   
ใช่.. หน้าตาสไตล์นี้เป็นสไตล์เดียวกันกับเหล้ารัมไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายของเจ้าหล่อนที่กำลังมองมา.. ยิ่งชวนให้ผมคิดถึงนายพ่อมดเหล้าเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจะเป็นสีม่วงในเฉดที่เข้มกว่าก็ตาม
   
น่ะ..นี่อย่าบอกนะว่า..ผู้หญิงคนนี้คือ..!?
   
“ฉัน..วิสกี้ พี่สาวของเหล้ารัม” น่ะ..นั่นไงเล่า! เป็นอย่างที่คิดไว้ในใจจริงๆ ด้วย มะ..แม่มดวิสกี้ตัวจริงเสียงจริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว! “ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ..วาฬ” แถมเจ้าหล่อนยังรู้ชื่อของผมอีกต่างหาก!
   
เล่นเอาผมนี่เสียวสันหลังวาบเลย เมื่อคิดว่าเธออาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าผมเป็นใคร มาจากตระกูลอะไร และอาจจะลามไปถึงเรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองระหว่างผมกับเหล้ารัมด้วย “ครับ” แต่เพื่อความชัวร์ ว่าจะไม่เป็นการปล่อยโป๊ะตัวเองในกรณีที่พี่วิสกี้อาจจะยังไม่รู้เรื่อง ผมจึงเลือกประหยัดคำพูดไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนผลสุดท้ายก็ได้แค่คำว่า ‘ครับ’ ออกจากปากไปเพียงแค่คำเดียว ซึ่งมันดู..ซื่อบื้อโคตรๆ!
   
แล้วพอเห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไรต่อ พี่วิสกี้ที่นั่งไขว่ห้างหลังตรงเปรี๊ยะก็แค่นหัวเราะออกมา “อะไรกันยะ” และในตอนนั้นเอง..ที่ผมได้เห็นว่านัยน์ตาที่เคยเป็นสีม่วงเข้มของเธอนั้น กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำทะเลยามค่ำคืนแทน “ฉันพูดออกยาว นายตอบได้แค่นี้เองหรือไง”
   
เอ่อ.. ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกมั้ยนะ แต่ไรเกอร์เคยเล่าให้ผมฟังว่า พ่อมดแม่มดต่อให้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปไกลแค่ไหนก็ตาม ทว่าสิ่งที่จะไม่มีทางเปลี่ยนได้ก็คือสีของตาที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ เพราะฉะนั้นสองทางที่สีตาจะเปลี่ยนเป็นอื่นได้ คือหนึ่ง..ใส่คอนแทคเลนส์สีๆ ของมนุษย์ และสอง..จะต้องเป็นพ่อมดแม่มดขั้นสูงกว่าขั้นสุดยอด ถึงจะเปลี่ยนสีตาไปตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้
   
ซึ่งผมคิดว่าในกรณีของพี่วิสกี้นั้น คงเป็นการเปลี่ยนสีตาในกรณีหลังอย่างแน่นอน
   
ว่าแต่... แล้วนี่ผมควรตอบกลับพี่วิสกี้ยังไงดีล่ะเนี่ย!?
   
“เอ่อ.. ขอโทษครับ” โอเค.. แบบเนี้ยแหละ เริ่มจากขอโทษก่อน แล้วค่อยอธิบายอีกนิด  น่าจะเป็นอะไรที่เข้าท่า “คือ.. ผมแค่..ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดีน่ะครับ”
   
ทว่า.. “ถ้าไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร งั้นก็ไม่ต้องพูด” สะ..สิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาแบบทันท่วงที เล่นเอาผมถึงกับชาไปทั่วทั้งหน้า!
   
“...”
   
แล้วที่ร้ายกว่านั้นคือ พี่วิสกี้ดูจะไม่สนใจความรู้สึกคนฟังอย่างผมเลยสักนิด ตรงกันข้าม เธอเชิดหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะใช้ช่วงตาตะวันตกมองต่ำลงมาอย่างไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก
   
จนผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่าตัวเองเคยไปทำอะไรให้พี่สาวของเหล้ารัมคนนี้ไม่พอใจมาก่อนรึเปล่า?
   
แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้ข้องใจกับการแสดงออกของพี่วิสกี้ยังไง ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปอยู่ดี “ให้ฉันเป็นฝ่ายพูดเองก็แล้วกัน” ยิ่งพี่เค้าพูดเสียงดังฟังชัดซะขนาดนี้ ผมก็คงจะตอบกลับไปได้แค่..
   
“คะ..ครับ” ..เท่านั้นเอง
   
ว่าแต่นายเหล้ารัมเถอะ หายไปไหนของเค้ากันนะ ทั้งที่ถ้าเขาอยู่ จะต้องเป็นคนที่ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่ แล้วไอ้บทจะถามพี่วิสกี้ว่าน้องชายเธอหายไปไหนก็ไม่ได้อีก ฮืออออออ~
   
“ก่อนอื่น ฉันต้องขอแสดงความยินดีด้วย ที่นายยังไม่ตาย : )”
   
“...” อา.. โอเคครับ ผมยังไม่ตาย
   
“และก็ขอบอกตามตรง ว่าเสี้ยวนึงในใจฉันค่อนข้าง ‘ผิดหวัง’ เพราะนั่นเท่ากับว่าความยุ่งยากยังคงอยู่ให้ฉันต้องคอยจัดการต่อไป ซึ่งนั่นหมายถึง..นายกับฉันคงต้องได้เจอกันอีกยาว”
   
“...”
   
“ฉันรู้ว่านายอาจคิดว่าฉันเป็นแม่มดจิตใจโหดร้ายที่คิดว่าการตายของนายจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ซึ่งถ้านายคิดแบบนั้นล่ะก็ บอกได้เลยว่านายคิดถูกต้องที่สุดแล้ว : )”
   
“...”
   
“เพราะว่าฉันน่ะ อยากกำจัดนายให้หายไปจากชีวิตของน้องชายฉันตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าเหล้ารัมมีคู่ควงเป็นมนุษย์แล้ว แถมนายก็ดันเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ชายอีก มันช่าง..เป็นอะไรที่เกินจะรับไหวจริงๆ”
   
“...”
   
“เพราะหนึ่ง ฉันเกลียดมนุษย์มาก และสอง ฉันต้องการให้น้องชายเป็นผู้สืบสกุลอัครวรกุลพิชิตต่อไป ซึ่งเห็นชัดอยู่แล้วว่านายน่ะ..ท้องไม่ได้!”
   
“...”
   
ไม่พูดเปล่า พี่วิสกี้ไล่สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ใบหน้าสวยจะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผมเข้าใจดี.. ในเมื่อเหล้ารัมเป็นผู้ชาย พี่สาวก็ย่อมต้องหวังให้เขามีลูกมีหลานสืบสกุลต่อไปอยู่แล้ว แต่นี่ดันมาคู่กับผมเข้า ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้จำต้องกลายเป็นศูนย์ไปเลย
   
ก็..เป็นอะไรที่น่าลำบากใจเหมือนกันน่ะนะ..
   
เพราะถึงแม้ว่าพี่วิสกี้จะไม่ได้สร้างความประทับใจแรกพบให้กับผม แต่ความจริงก็คือความจริง และความจริงที่ว่าก็คือเราไม่สามารถคบกับใครสักคนโดยที่ไม่แคร์คนรอบข้างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคนรอบข้างที่ว่านั่นเป็นคนในครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น ในเมื่อผมกำลังคบหาดูใจอยู่กับเหล้ารัม ผมก็อยากให้พี่สาวของเค้าโอเคกับผมด้วย ผมถึงจะรู้สึกสบายใจ
   
แต่ดูท่าแล้ว.. งานนี้คงยากแฮะ..
   
“เท่านั้นยังไม่พอนะ เป็นมนุษย์ที่ท้องลูกของเหล้ารัมไม่ได้ก็ว่าแย่แล้ว ยังเป็นมนุษย์ต้องสาปอีกต่างหาก หึ!”
   
..เพราะผมก็ดันมีคุณสมบัติหลายข้อที่ไม่เป็นที่ต้องการเสียด้วย
   
“...”
   
“นี่ถ้าเกิดว่านายซองซูไม่พยายามทู่ซี้จัดการดวลบ้าๆ บอๆ แล้วลากนายออกมาในที่แจ้งจนสื่อทุกสำนักช่วยกันขุดคุ้ยข้อมูลล่ะก็ ป่านนี้เหล้ารัมก็คงปิดบังฉันอีกนาน ทั้งเรื่องที่นายเป็นทายาทของตระกูลอลิชา รวมถึงเรื่องที่นายกำลังจะตายเพราะขาดคู่พันธะสัญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ด้วย”
   
“...”
   
“นายนี่มัน...ครบสูตรของความสิ้นหวังโดยแท้!”
   
“…”
   
โอเค... ผมยอมรับว่าผมรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน.. แต่ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ ผมไม่มีสิทธ์ที่จะโกรธเคืองพี่วิสกี้เลยด้วยซ้ำ ในเมื่อ.. พอลองคิดตามสิ่งที่เธอพูด ก็เห็นจริงตามนั้นแทบจะทุกประการ
   
ถึงแม้ว่าพี่วิสกี้น่าจะยังไม่รู้เรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สอง ที่จะทำให้ผมรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์ต้องสาปก็เถอะ แต่นั่นก็เป็นเพราะได้เหล้ารัมเข้ามาช่วยไว้ ถึงได้มีความหวังอย่างทุกวันนี้.. มันก็เลยไม่ใช่สิ่งที่น่าจะหยิบยกขึ้นมาคัดค้านอะไรได้
   
ดังนั้น งานนี้ก็เลยเท่ากับว่าลำพังแค่ตัวผมคนเดียว.. ก็คงจะเหมาะสมดีแล้วกับคำว่า ‘สิ้นหวัง’ อย่างที่พี่วิสกี้เลือกใช้ เพราะนอกจากจะเป็นคนที่เหล้ารัมเลือกแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เห็นว่าจะมีดีอะไรให้คู่ควรกับผู้ชายอย่างนายพ่อมดเหล้าเลยสักอย่าง..
   
ขอโทษนะ..เหล้ารัม
   
ขอโทษที่ไม่ดีไปกว่านี้
   
ขอโทษจริงๆ
   
“พี่วิสกี้ครับ” แล้วก็ไม่ใช่แค่เหล้ารัมนะที่ผมอยากจะขอโทษ แต่กับคนที่นั่งมองผมอยู่ตอนนี้ ผมก็อยากที่จะขอโทษเธอด้วยเช่นกัน “ผมขอ..”
   
ทว่า..
   
“เดี๋ยว ฉันยังพูดไม่จบ!!” ..คำขอโทษของผมกลับถูกพี่วิสกี้ขัดขึ้นซะเสียงดังลั่น เล่นเอาผมถึงกับสะดุ้งจนเฝือกขยับ เพราะตกใจกับอีกฝ่ายที่แผดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ออกมา
   
“...”
   
“จริงอยู่ที่ฉันบอกว่าอยากจะกำจัดนายให้พ้นทาง แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะหลังจากที่ฉันได้เห็นว่าเหล้ารัมทำอะไรเพื่อนายบ้าง”
   
“…”
   
“การดวลเวทมนต์น่ะ.. เป็นเรื่องยากสำหรับน้องฉันมากเลยรู้มั้ย”
   
“…”
   
“ถึงแม้ว่าเหล้ารัมจะเก่งในหลายๆ เรื่อง แต่ก็ยังมีเรื่องนึง.. ที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกนั้นไปได้”
   
“…”
   
“ความรู้สึกที่.. ต้องมาเห็นพ่อถูกฆ่าตายในลานประลองแบบนั้น..”
   
“…”
   
เดี๋ยว.. อะ..อะไรนะ? นี่พ่อของเหล้ารัมกับพี่วิสกี้ถูกฆ่าตายในลานประลองอย่างงั้นหรอ!?
   
เพราะแบบนี้เองสินะ.. ที่ทำให้เหล้ารัมของผมถึงได้มีอาการแปลกไปซะทุกครั้ง เวลาที่ซองซูพูดถึงเรื่องการดวลเวท รวมถึงอาการหลุดๆ ตอนที่ดวลกับซองซูด้วย
   
พอได้รู้แบบนี้แล้ว.. ผมอยากกอดเค้าจัง..
   
“บาดแผลจากอดีตทำให้น้องชายของฉันปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอด และไม่ว่าใครจะพูดยังไง เหล้ารัมก็ไม่คิดที่จะแตะการดวลเด็ดขาด”
   
“…”
   
“แต่เพราะนาย.. แค่เขาเห็นว่านายถูกจับเป็นตัวประกัน น้องชายฉันถึงกับยอมก้าวขึ้นสู่ลานประลอง และทำในสิ่งที่ฉันไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้เพื่อใคร”
   
“…”
   
“นั่นเลยทำให้ฉันได้รู้ ว่านายคือคนสำคัญสำหรับเค้ามาก แบบที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับคนนอกครอบครัวมากขนาดนี้มาก่อน”
   
“…”
   
“และมันก็มากซะจน... ฉันสับสนไปหมดแล้ว ว่าควรจะจัดการกับนายยังไงดี!”
   
“...” อย่าว่าแต่พี่วิสกี้เลยครับ ผมเองก็สับสนเหมือนกัน ว่าสรุปแล้ว..พี่วิสกี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่?
   
แล้ว.. ผมควรที่จะต้องตอบโต้อะไรเธอกลับไปมั้ย? หรือว่า..ควรจะอยู่เงียบๆ เพื่อไม่ให้โดนดุอีกดี?
   
แกร๊ก!
   
แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น.. “พี่วิสกี้!?” จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก พร้อมกับคนคุ้นเคยอย่างเหล้ารัมที่ส่งเสียงเรียกชื่อพี่สาวของตัวเอง ทำให้ทั้งผมและพี่วิสกี้รีบหันไปมองคนมาใหม่อย่างพร้อมเพรียง ถึงได้เห็นว่าตอนนี้สีหน้าของนายพ่อมดเหล้านั้น เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
   
แล้วก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่านะ แต่ผมว่า..การแต่งตัวของเหล้ารัมวันนี้ มันทำให้เค้าดูดีขึ้นกว่าเก่าอีกแฮะ
   
เริ่มตั้งแต่การสวมหมวกปานามาสีดำที่ดูยังไง๊ยังไงก็เป็นคู่แฝดกับหมวกของพี่วิสกี้ชัดๆ ต่างกันก็แค่ตรงที่ใบของพี่สาวนั้นมีปีกหมวกที่กว้างกว่าก็เท่านั้นเอง
   
ส่วนเสื้อผ้าท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีส้มแปลกตา สวมทับด้วยสูทเข้ารูปสีดำเข้ม ในขณะที่ท่อนล่างเป็นจ็อกเกอร์แพ้นท์ขายาวสีเดียวกับสูท ก่อนจะปิดท้ายด้วยรองเท้าหนังสีดำอีกเช่นกัน
   
ดูแล้ว...หล่อจนน่าดึงเข้ามากอดเลยนะเนี่ย : )
   
“อ้าว กลับมาแล้วหรอเหล้ารัม : )”
   
“พี่มาทำอะไรที่นี่?”
   
“พี่ก็...”
   
“วาฬ!”
   
“…” ผมถึงกับเบิกตาโตทันที เมื่อเห็นว่าพี่วิสกี้ยังไม่ทันจะตอบกลับเหล้ารัมเป็นประโยคเลยด้วยซ้ำ แต่พอนายพ่อมดเหล้าหันมาเห็นผมปุ๊บ เขาก็ร้องเรียกซะเสียงดังลั่น ทำเอาพี่วิสกี้ถึงกับหน้าเจื่อนไปเลย ที่ถูกน้องชายตัวเองเมินแบบนั้น
   
“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ ผมไม่ได้อยู่ไกลจากคุณสักหน่อย : )” แต่บทจะบอกให้เขาหยุดสาวเท้าเข้ามาหาผม แล้วหันกลับไปฟังพี่วิสกี้พูดให้จบ มันก็ดูจะเป็นอะไรที่เกินความควบคุมมากไปหน่อย เพราะฉะนั้นก็คงต้องเลยตามเลย แล้วปล่อยให้เหล้ารัมทำในสิ่งที่ใจของเค้าต้องการ
   
“ฮึก..” ตะ..แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะเห็นพ่อมดอย่างเหล้ารัมร้องไห้ออกมาหรอกนะ!? “ผม.. ฮึก.. ผมขอโทษ..”
   
“...”
   
ผมถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น.. เมื่อรู้สึกว่าคำขอโทษที่แสนจะสั่นเครือของเหล้ารัม..กำลังจะทำให้ผมร้องไห้ตาม..
   
“ผมพยายามใช้เวทมนตร์ทุกอย่างที่ผมรู้ ฉุดรั้งดวงวิญญาณของคุณเอาไว้ ไม่ให้หลุดลอยไปก่อนที่การรักษาจะพ้นขีดอันตราย”
   
“...”
   
“ผมพยายามทำทุกอย่างแล้ว.. แต่คุณ.. ฮึก.. คุณก็ยังไม่ฟื้น แถมยัง..หยุดหายใจไปตั้งครึ่งชั่วโมงกับอีกสิบสามวินาที.. จนผมคิดว่า.. ฮึก.. ผมคิดว่า.. คิดว่าคุณจะตายจากผมไปแล้ว!”

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
“...”
   
ยิ่งได้ฟังสิ่งที่เหล้ารัมพูด รวมถึงได้เห็นน้ำตาของเขาที่ไหลอาบสองข้างแก้ม.. ผมก็ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป..
   
ยอมรับว่ารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยเหมือนกันที่ร่างกายดันมาเข้าเฝือกทั้งตัวแบบนี้ เพราะถ้าไม่อย่างงั้น ผมคงคว้าเหล้ารัมมากอดไว้แน่นๆ ได้อย่างที่ใจคิด..
   
แต่เอาเถอะ กอดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงซะปากผมก็ยังว่าง ก็ควรที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์มากกว่าการพูดจาทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายน่ะนะ “ผมก็ฟื้นขึ้นมาแล้วไง” นั่นก็คือการปลอบโยนเพื่อให้เหล้ารัมรู้สึกดีขึ้น “แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณด้วย อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
   
“แต่ว่าผม...”
   
“ไหน ยิ้มให้ผมดูหน่อยซิ”
   
“วาฬ...”
   
“เร็วสิ ยิ้มกว้างๆ แบบนี้เลย : )” มันอาจจะดูตลกนะ ที่แม้แต่คนบอกให้ยิ้ม..ก็ยังร้องไห้ แต่เชื่อผมเถอะ ว่าวิธีนี้น่ะ เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะเรียกบรรยากาศดีๆ ระหว่างเราสองคนให้ย้อนคืนกลับมา เพราะถ้าผมไม่พยายามขัดในสิ่งที่เหล้ารัมอยากจะพูด เขาก็จะยังคงวนเวียนอยู่กับความคิดด้านลบในหัวไม่จบสิ้น ซึ่งผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะผมรู้ดี..ว่าตอนที่ผมยังไม่ฟื้น เหล้ารัมก็คงจะเจ็บปวดกับช่วงเวลานั้นมากเกินพอแล้ว
   
จึงสมควรแก่เวลา ที่เราสองคนจะเดินหน้ากันต่อไปเสียที
   
“...” แต่ถึงผมจะพยายามยิ้มโชว์เป็นตัวอย่างยังไง เหล้ารัมก็ยังไม่ยอมยิ้มออกมาง่ายๆ เขาทำเพียงแค่ช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้ผม แล้วนั่งนิ่งๆ ไปเท่านั้น
   
ผมเลยต้องตัดสินใจงัดไม้เด็ดออกมาใช้ “นี่สรุปว่าคุณจะไม่ยอมยิ้มให้ผมดูจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย”
   
“...”
   
“โอเค งั้นผมก็คงต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน : )”
   
“อะไรครับ?” นั่นไงล่ะ ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะสนใจขึ้นมาแล้วสินะ หันมาขมวดคิ้วซะมุ่นเชียว : )
   
“ก็.. ถ้าเกิดว่าคุณยอมยิ้มให้ผมดูนะ ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่นอนกับเจ้าพวกปิกาจูแล้ว”
   
“...”
   
“แต่ว่า.. จะย้ายไปนอนเตียงเดียวกับคุณแทน ตกลงมั้ย : )”
   
แล้วทันใดนั้นเอง สิ่งที่ผมรอคอยก็เกิดขึ้น เมื่อเหล้ารัมหลุดยิ้มออกมาอย่างที่ผมต้องการ : )
   
มันไม่ใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หรือว่ารอยยิ้มแสนสุขกับสิ่งตอบแทนที่เขาจะได้รับ แต่มันคือรอยยิ้มเหลือเชื่อของนายพ่อมดเหล้าที่คงไม่คิดว่าผมจะยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมา นั่นเลยทำให้นอกจากที่เหล้ารัมจะยิ้มแล้ว เขายังหัวเราะพ่วงไปด้วย
   
ส่งผลให้ความเศร้าใจก่อนหน้านี้หายไป และหลงเหลือเพียงแค่เสียงหัวเราะของเราสองคนแทน
   
ก็นะ ถ้าเขามีความสุข ผมก็มีความสุขเหมือนกันนั่นแหละ : )
   
“อะแฮ่ม!” แต่ในขณะที่ความสุขกำลังกระจายตัวไปทั่วทั้งห้องอยู่นั้น เสียงกระแอมไอจากใครอีกคนในห้องก็ดันขัดขึ้นมาซะก่อน เลยทำให้ผมถึงได้นึกขึ้นได้ ว่าพี่วิสกี้ก็อยู่ในห้องด้วยตอนนี้ แต่ผมดันลืมไปซะสนิทเลย “ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะนะ แต่ฉันคิดว่าฉันมีเรื่องที่อยากจะบอกกับพวกนายทั้งคู่”
   
“...” แถมพอได้ยินพี่วิสกี้พูดแบบนั้น ทั้งผมและเหล้ารัมก็เป็นอันต้องหุบยิ้มลง ก่อนจะหันมองหน้ากัน แล้วหันไปรอคำพูดของอีกฝ่าย
   
“คือ.. ฉันจะกลับแล้ว ขอให้พวกนายสองคนโชคดี”
   
แต่สิ่งที่พี่วิสกี้พูดออกมาทำเอาผมงงไปเลย อะไรกัน? มาพูดกับผมซะยืดยาว แต่พอเหล้ารัมมา ดันลากลับง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ!?
   
“เดี๋ยวก่อนพี่วิสกี้ ผมว่าผมงงไปหมดแล้ว” ซึ่งเหล้ารัมเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากผมหรอก ถึงได้รั้งพี่สาวของเขาเอาไว้ “นี่พี่จะกลับ โดยที่แค่พูดอวยพรเราสองคนแค่นี้เนี่ยนะ?”
   
“แล้วจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ” ในขณะที่พี่วิสกี้หันกลับมาหาเราสองคนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก ไม่สิ.. จะว่าไป เธอมีสีหน้าที่พึงพอใจรึเปล่า ผมยังไม่แน่ใจเลย? “ให้บอกนายว่าจงเลิกยุ่งกับวาฬซะ แล้วนายก็จะยอมทำตามที่พี่ต้องการอย่างงั้นน่ะหรอ!?”
   
“ไม่อยู่แล้ว ผมไม่ยอมเลิกยุ่งกับวาฬเด็ดแน่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม!” ไม่พูดเปล่า เหล้ารัมขยับตัวมาบังผมไว้นิดนึง เหมือนเป็นภาษากายที่ต้องการจะบอกพี่วิสกี้ว่า..ห้ามเธอยุ่งกับผมด้วย
   
นั่นเลยทำให้แม่มดสาวแค่นหัวเราะออกมาเสียงดังฟังชัด เพราะเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่าน้องชายของตัวเองจะต้องตอบแบบนี้แน่ “คิดไว้แล้วว่านายต้องตอบแบบนี้ แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันจะปล่อยพวกนายสองคนไปก่อน แต่ขอบอกเอาไว้เลยนะ ว่าเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ แน่ : )” พูดจบแค่นั้น พี่วิสกี้ก็ตั้งท่าจะเดินจากไป
   
ทว่า.. “เดี๋ยวก่อนพี่” เหล้ารัมเร็วกว่า เขารีบหายตัวไปขวางหน้าพี่วิสกี้ไว้ หน้าตาเหมือนมีเรื่องที่อยากจะพูดต่อ
   
“อะไร หรือนายอยากจะเปลี่ยนใจ แล้วยอมทำตามที่พี่ต้องการ : )”
   
“ก็ถ้าสิ่งที่พี่ต้องการคือให้ผมเลิกยุ่งกับวาฬ ผมก็คงจะไม่เปลี่ยนใจ”
   
“แล้วนายมาขวางพี่ไว้ทำไม ถ้านายปฏิเสธ มันก็เท่ากับว่าหมดเรื่องคุยแล้วนี่”
   
“ผมแค่.. แค่อยากขอร้อง”
   
“ขอร้อง?”
   
“ใช่ ผมอยากขอร้องพี่ ให้ช่วยปล่อยผ่านเรื่องของผมกับวาฬได้มั้ย นะ ขอร้องล่ะพี่วิสกี้ พี่ก็รู้ว่าพ่อมดแม่มดอย่างพวกเรา กว่าจะเจอใครสักคนที่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องง่าย”
   
“ก็ถูกของนาย แต่ว่า.. ก็มีพ่อมดแม่มดอีกหลายราย ที่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เหมือนกัน”
   
“แต่ผมไม่ต้องการเริ่มใหม่กับใครแล้ว ผมเจอคนที่ผมอยากอยู่ด้วยแล้ว พี่ไม่เข้าใจหรอ”
   
“ฉันเข้าใจดี”
   
“แล้วทำไมพี่ถึง..”
   
“เพราะคนที่นายรักกำลังจะตายไงเล่า!!”
   
“...”
   
วินาทีนั้น.. เกิดความเงียบเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องทันทีที่พี่วิสกี้แผดเสียงออกมา.. และเป็นอีกครั้งที่ผมเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อรู้สึกถึงใจที่สั่นไหวกับการที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางการโต้เถียงกันระหว่างพี่น้องแบบนี้
   
“ฉันไม่อยากให้นายต้องเจ็บปวดอีกแล้วเหล้ารัม อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้”
   
“แต่ผมช่วยวาฬได้”
   
“ยังไง? โดยการไปเข้าร่วมกลุ่มตามหาตัวนายพ่อมดที่เป็นอดีตคู่พันธะสัญญาของคนรักของนายน่ะหรอ!?”
   
“...” เดี๋ยว.. เมื่อกี้พี่วิสกี้ว่าไงนะ!?
   
นี่.. เหล้ารัมกำลังเข้าร่วมกลุ่มตามหาตัวเอียนอยู่อย่างงั้นหรอ ก็ไหนเขาบอกว่าให้ผมเลิกสนใจเอียนไง ไหนว่าแค่มีเค้าก็พอแล้วไม่ใช่หรอ!?
   
“...” แล้วนั่นอะไรกัน? เหล้ารัมหันหน้ามาทางผมเหมือนอยากจะอธิบายอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากลง.. แล้วหันไปต่อบทสนทนากับพี่วิสกี้แทน บะ..แบบนี้ก็ได้หรือไง!?
   
“เอาเป็นว่าผมจัดการเรื่องนี้ได้ ขอแค่พี่อย่ามายุ่งกับเรื่องของเราสองคนก็พอ”
   
ความสับสนกับสิ่งที่ได้ยินเรื่องที่เหล้ารัมไปเข้าร่วมกลุ่มตามหาตัวเอียนลับหลังผม ทำให้ผมหันเหสายตาจากทั้งคู่ กลับมานอนมองเพดานเหมือนตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแทน
   
แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังรู้สึกได้ ว่าคนที่พูดจบประโยคแล้วอย่างนายพ่อมดเหล้ากำลังจะเดินมา
   
“เดี๋ยว” ทว่าครั้งนี้เป็นวิสกี้ที่เรียกความสนใจจากเหล้ารัมบ้าง “เรื่องเลิกยุ่งน่ะคงจะไม่ได้ แต่ฉันมีข้อเสนอ : )” โดยที่แม้แต่ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเธอ
   
“ข้อเสนอ?”
   
“ใช่ ข้อเสนอ ก็.. ถ้านายยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแทนฉัน ฉันจะยอมรับเรื่องของนายกับวาฬ แล้วก็จะช่วยพลิกแผ่นดินตามหานายพ่อมดนั่นให้ด้วย สนใจมั้ยล่ะ : )”
   
“...” เหล้ารัมไม่ได้ตอบรับอะไรกลับไปในทันที เขานิ่งไปสักพักเลยด้วย ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดในเวลาต่อมา “นี่พี่จะมัดมือชกผมอย่างงั้นหรอ?”
   
“ก็ประมาณนั้น : )”
   
“แล้ว.. ผมจะเชื่อได้ยังไง ว่าพี่จะทำตามที่พูด”
   
พอเจอคำถามนี้ของเหล้ารัมเข้าไป นัยน์ตาของพี่วิสกี้ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่เจ้าหล่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตำหนิน้องชายตัวเอง “ให้เกียรติฉันหน่อยเหล้ารัม ฉันอาจเป็นแม่มดที่ชั่วร้าย แต่ฉันไม่เคยผิดคำสัญญากับคนที่ฉันเรียกว่าครอบครัว จำไว้!”
   
“...”
   
สิ้นเสียงคำพูดคำสุดท้าย พี่วิสกี้ก็สะบัดหน้าหนีจากเหล้ารัม พลางก้าวยาวๆ ตรงไปยังกระจกบานใหญ่กรอบทองที่ตั้งอยู่ข้างตู้ ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในกระจกบานนั้น
   
เหลือไว้เพียงความเงียบระหว่างผมกับเหล้ารัม ที่ไม่รู้ว่า.. ใครจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนดี..


* * * * * * *

   
จริงๆ ผมมีเรื่องมากมายเลยนะ ที่อยากจะถามหาคำตอบจากเหล้ารัม ยกตัวอย่างเช่น ที่ที่ผมอยู่ตอนนี้มันคือที่ไหนแน่? หรือไม่ก็..เฝือกตั้งแต่คอจนถึงปลายเท้าของผมตอนนี้นั้น จะสามารถเอาออกได้เมื่อไหร่กัน?
   
แต่กลับกลายเป็นว่า คำถามที่ผมเลือกถามออกไปเป็นคำถามแรก เพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราสองคนก็คือ.. “ไหนคุณบอกว่าไม่ให้ผมคิดถึงเอียนอีก แล้วทำไมคุณถึงไปตามหาเขาลับหลังผมล่ะ?” ซึ่งออกจะไปในทางหาเรื่องเสียมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเกิดว่าเหล้ารัมหาคำอธิบายดีๆ ที่ฟังขึ้นไม่ได้ อย่ามาหาว่าผมงี่เง่าก็แล้วกัน : (
   
“คุณโกรธผมหรอ?”
   
“...” ก็ไม่เชิงหรอก ออกแนวเคืองๆ ผสมน้อยใจมากกว่า เลยไม่อยากจะพูดหรือตอบคำถามอะไรอีกแล้ว
   
“วาฬ ผมขอโทษ”
   
“...”
   
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณนะ แต่แค่บอกคุณไม่ทันเท่านั้นเอง”
   
“…” แต่ถึงจะไม่อยากพูดอะไรแล้ว พออีกฝ่ายพูดออกมาแบบนี้ ก็สามารถทำให้ผมยอมหันกลับไปมองเค้า..เพื่อส่งคำถามผ่านทางสายตาว่า ‘ทำไม?’ นั่นเลยทำให้ได้เห็นว่าเหล้ารัมเองกำลังมีสีหน้าที่จริงจังมาก.. โดยที่เขานั่งโน้มหน้าลงมาหาผม ด้วยการประสานมือทั้งสองข้าง พลางเท้าศอกเอาไว้ที่หน้าขา
   
“เพราะว่าตอนที่ผมไปเข้ารวมกลุ่มตามหาเอียน ก็คือวันเดียวกันกับที่คุณถูกไอ้ซองซูมันลักพาตัวไปที่ลานประลอง แล้ว.. คุณก็ตกลงมา.. ผมเลยยังไม่ได้มีโอกาสคุยกับคุณเรื่องนี้ไง”
   
“…” อ๋อ~ แบบนี้นี่เอง... อ๊ะ! ตะ..แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอหรอกนะ! เขาต้องตอบผมมากกว่านี้ ต้องอธิบายให้ผมเข้าใจมากกว่านี้อีก ผมถึงจะยอมคุยด้วย : (
   
“ผมรู้ว่าผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าไม่ต้องไปสนใจเอียนอีก และผมก็ต้องการแบบนั้นจริงๆ เพียงแต่.. ผมจำเป็นวาฬ จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมกลุ่มตามหาเอียนกับพวกพ่อมดแม่มดคู่พันธะสัญญาของคนในครอบครัวคุณ เพราะถ้าไม่อย่างงั้น พวกเขาต้องสงสัยแน่ ว่าทำไมผมถึงได้กล้าปฏิเสธ ทั้งที่เป็นคนบอกเอง ว่าอยากจะช่วยชีวิตคุณ”
   
“…”
   
“อย่าลืมสิ ว่านอกจากพ่อกับแม่คุณแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองของเราสองคนนะ ถ้าเกิดผมไม่เข้าร่วมตามคำชวนของคุณปู่ นอกจากที่จะโดนท่านสงสัยแล้ว หนำซ้ำ..พี่วิสกี้เองก็คงจะเดาเรื่องพันธะสัญญาออกเข้าสักวัน”
   
“…”
   
“ผมถึงได้ตัดสินใจเลือกวิธีนี้ เพราะนอกจากที่จะทำให้คุณปู่ของคุณไว้ใจแล้ว ก็ยังช่วยตบตาพี่วิสกี้เรื่องพันธะสัญญาได้ด้วย เท่ากับว่า..ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเลย คุณ..เข้าใจผมใช่มั้ยวาฬ”
   
“…”
   
โอเค.. หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมแล้ว ผมก็เริ่มจะเข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงได้ทำการเข้ากลุ่มตามหาเอียนลับหลังผมแบบนั้น ในเมื่อ..มันก็เป็นเหตุผลที่ค่อนข้างจะฟังขึ้น เพราะอย่างตอนที่พี่วิสกี้อยู่ เธอก็ดูจะปักใจเชื่อเลยจริงๆ ว่าน้องชายของเธอนั้นกำลังหาทางตามตัวเอียนเพื่อช่วยชีวิตผมอยู่ โดยที่ไม่แสดงทีท่าว่าระแคะระคายเรื่องพันธะสัญญาเลยสักนิด ก็.. ถือว่าแผนตบตาของเหล้ารัมนั้นได้ผลไม่น้อยน่ะนะ
   
แต่ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ.. ก็ไม่ได้อยากจะทำตัวเยอะหรือว่าเรื่องมากอะไรนักหรอกนะ แต่ว่า.. มันคงจะดีกว่านี้.. ถ้าเกิดว่าเหล้ารัมจะยอมขอโทษผมเรื่องนี้อีกสักครั้ง แล้วผมสัญญาเลย ว่าจะเลิกปิดปากเงียบ ยอมกลับมาคุยกับเขาให้เป็นปกติสุขเหมือนเดิม..
   
“น้า~ อย่าโกรธผมเลยนะวาฬ ผมขอโทษจริงๆ ครับ” แล้วก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจผมออก เพราะหลังจากที่ผมคิดในใจเรื่องอยากให้เขาขอโทษผมอีกสักครั้ง เหล้ารัมก็ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเริ่มกล่าวคำที่ใจของผมต้องการ
   
“โอเคครับ ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่า ผมก็คงไม่มีอะไรต้องโกรธอีก” นั่นเลยทำให้ยอมแพ้ในที่สุด
   
ในขณะที่เหล้ารัมเองก็ยิ้มออกเลย เมื่อเห็นว่าผมยอมพูดด้วย “ขอบคุณนะครับ ที่เข้าใจ : )” ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาจุ๊บที่แก้มผมซะอย่างงั้น แบบไม่ให้ผมตั้งตัวเลยสัดนิด
   
แล้วจะยังไงล่ะ.. กะ..ก็เขินสิครับ!!
   
นี่ถ้าเกิดว่าไม่ได้ใส่เฝือกอยู่นะ ผมคงลงมือตีเขาสักทีสองทีแล้ว! แต่นี่อย่าว่าแต่ตีเลย แค่หายใจยังลำบากเป็นบ้า ก็เลยได้แต่เม้มริมฝีปากแก้เขิน พลางมองนั่นมองนี่เพื่อหลบตาอีกฝ่ายไปเรื่อยเท่านั้น
   
จนกระทั่งได้ยินเหล้ารัมส่งเสียงหัวเราะชอบใจนั่นแหละ ผมถึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องไปถามอย่างอื่นบ้าง ถึงได้ทำให้ผมได้รู้ว่า สถานที่ที่ผมกำลังนอนเข้าเฝือกอยู่ในขณะนี้ คือบ้านพักตากอากาศของตระกูลอัครวรกุลพิชิต ซึ่งตั้งติดกับทะเลสาปเงือก ที่เดียวกับที่พ่อของเหล้ารัม..ตาย
   
แต่ถึงจะเป็นสถานที่แห่งการสูญเสียของเหล้ารัมและพี่วิสกี้ แต่พอเลยจุดที่พูดถึงเรื่องราวของความเศร้าไปได้ นายพ่อมดเหล้าก็พยายามพรรณนาความสวยงามของธรรมชาติด้านนอกให้ผมฟัง ทำเอาผมนี่จินตนาการภาพในหัวซะใหญ่โต ถึงขนาดที่อยากจะลุกออกไปชื่นชมด้วยตาของตัวเองซะเดี๋ยวนี้ แต่แน่ล่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะคงต้องรอให้ร่างกายหายดีซะก่อนน่ะนะ เฮ้ออออ~
   
ซึ่งในส่วนของสภาพร่างกายเนี่ย เหล้ารัมบอกว่าคงต้องใช้เวลาในการเยียวยาประมาณสองอาทิตย์ ถึงจะสามารถกลับมาเดินเหินได้เป็นปกติเหมือนเดิม ทำเอาผมนี่เกือบสติแตกเลย เพราะทั้งกังวล ทั้งห่วงนั่นห่วงนี่ไม่จบสิ้น
   
จนมาหยุดทุกอย่างลงที่คำพูดของเหล้ารัม ว่า.. “ผมจัดการทุกอย่างได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ” นั่นล่ะ ที่ทำให้ผมวางความหนักทั้งหมดที่แบกไว้ลง แล้วปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการ
   
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปทำกับข้าวให้คุณกินก่อนก็แล้วกัน” ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของการทำอาหารที่ผมเองก็ไม่เคยลิ้มลองฝีมือของนายพ่อมดเหล้ามาก่อนเลยสักครั้ง แต่ก็คิดว่าคงจะไม่แย่นักหรอก เขาเป็นพ่อมดนะ ล้วนเสกสรรปั้นแต่งให้ทุกอย่างออกมาดีได้อยู่แล้ว
   
ทว่า..
   
“ข้าวต้มปลาฝีมือผมพร้อมเสิร์ฟแล้วคร้าบบบ~”
   
..ผมอาจจะคิดผิด
   
เพราะในทันที่ที่เหล้ารัมยกชามข้าวต้มมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างเตียง ผมก็ได้กลิ่นของน้ำปลาลอยหึ่งมาเลย แสดงว่างานนี้มีเค็มแหง
   
ไม่เพียงเท่านั้นนะ “ดูสิ น่ากินใช่มั้ยล่ะ : )” ตอนที่เขาลดระดับชามเพื่อหมายจะโชว์งานอาหารของตัวเอง ผมก็สังเกตได้ว่าเป็นข้าวต้มปลาที่น้ำนองมาก จนจินตนาการไม่ออกแล้วว่ารสชาติจะเป็นยังไง
   
“มาๆ เดี๋ยวผมป้อนน้า” แต่ของแบบนี้จะมาตัดสินกันที่แค่กลิ่นหรือรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้หรอกนะ เพราะมีหลายครั้งเหมือนกันที่พี่ฟ้าทำกับข้าวหน้าตาแย่มากให้ผมกิน แต่กลับอร่อยขึ้นมาซะอย่างงั้น ก็.. อาจจะเกิดขึ้นอีกในกรณีของเหล้ารัมนี่ก็ได้ เนอะ (รู้สึกเหมือนกำลังพูดปลอบใจตัวเอง)
   
“ขอบคุณครับ” พอผมกล่าวขอบคุณเสร็จ เหล้ารัมก็วางชามข้าวต้มลง ก่อนจะเสกหมอนเพื่อหนุนช่วงคอและหลังของผมให้สูงขึ้น จะได้สามารถกินอาหารได้อย่างถนัดกว่าการนอนราบ
   
ผมรู้สึกลุ้นระทึกมากทีเดียว เมื่อเห็นว่าเหล้ารัมยกชามกลับขึ้นมาอีกครั้ง พลางใช้ช้อนตักข้าวต้มปลาหนึ่งคำขึ้นเป่าไล่ความร้อนให้ ก่อนจะจบลงที่เจ้าช้อนนั่นมารอจ่ออยู่ที่ปากผม ซึ่ง..ทำให้ได้กลิ่นของความเค็มโชยแรงยิ่งกว่าเดิม..
   
แต่เอาวะ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้
   
ลองดูสักคำก่อน ค่อยตัดสินเนื้องานก็แล้วกัน
   
“อา...” คิดได้ดังนั้น ผมก็ยอมเปิดปาก แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเคลื่อนช้อนเข้ามา ก่อนที่ผมจะงับ แล้วส่งต่อหน้าที่ให้เหล้ารัมเคลื่อนช้อนออกไป
   
ทำให้ในเวลานี้... ข้ามต้มปลาฝีมือคุณแฟนมาอยู่ในปากของผมเรียบแล้ว และมัน.. คะ..เค็มมากจริงๆ ด้วย!
   
ฮืออออออ ทะ..ทำไงดีครับ จะกลืนก็ไม่เข้า จะคลายก็ไม่ออก ทั้งเค็มทั้งไม่กลมกล่อมแบบนี้ ผมล่ะอยากจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าต่อตาเขาเลย
   
“เป็นไงครับ อร่อยมั้ย : )” แต่ดูสิ ดูหน้าของเหล้ารัมตอนนี้.. ถึงแม้ว่าเขาจะถามคำถามด้วยรอยยิ้มก็เถอะนะ แต่ผมก็มองออกอยู่ดี ว่าเขามีความกังวลกับรสมือของตัวเองอยู่เหมือนกัน
   
เพราะฉะนั้นผมคงไม่มีทางเลือก.. “อึก.. อร่อยครับ : )” จำต้องกลืนข้าวต้มปลาลงคอ ก่อนต่อด้วยคำโกหกที่เคลือบด้วยรอยยิ้ม
   
โอเค.. ผมรู้นะว่าการโกหกเป็นสิ่งผิด แต่นี่ไม่ใช่คำโกหกเพื่อการหลอกลวง แต่เพื่อ ‘ความสบายใจ’ ของคนที่ดีต่อผมมาโดยตลอด..
   
แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด “อร่อยจริงหรอวาฬ นี่ผมยังกังวลอยู่เลยนะว่ามามันอาจจะเค็มเกินไป” เมื่อได้ยินคำกล่าวชมจากปากผม เหล้ารัมก็ดูจะคลายความกังวลลง เหลือเพียงรอยยิ้มเปี่ยมสุขที่ดูจะกว้างขึ้นกว่าตอนก่อนหน้า นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกมีความสุขไปกับเขาด้วย
   
“ป้อนต่อสิ ผมรออยู่นะ : )” และก็ไม่สนใจอีกแล้วว่าไอ้เจ้าข้าวต้มปลาชามนั้นจะรสชาติเป็นยังไง เพราะถ้าการที่ผมกินมันแล้วทำให้เหล้ารัมมีความสุข ผมก็จะยอมกินจนกว่ามันจะหมดชาม
   
แต่ในระหว่างที่กำลังป้อนไปกินไปอยู่นั้น ผมก็ดันคิดถึงเรื่องที่พี่วิสกี้พูด เลยทำการยกมือขึ้น เพื่อหยุดข้าวต้มปลาคำต่อไป
   
“มีอะไรหรอ?” เหล้ารัมดึงช้อนกลับด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย จนผมต้องรีบส่ายมือเพื่อไม่ให้เขาคิดมาก
   
“ผมแค่มีเรื่องอยากจะถามน่ะ ว่า..คุณคิดยังไงบ้าง กับข้อเสนอของพี่วิสกี้?”
   
“...” แต่พอคำถามออกจากปากผมไป เหล้ารัมก็ดูจะหมองลงทันที.. เขาถอนหายใจด้วย ก่อนที่จะเทข้าวต้มปลาในช้อนกลับลงชาม แล้วทำการก้มหน้าก้มตาเขี่ยสิ่งที่อยู่ในชามไปมา เหมือนต้องการเลี่ยงที่จะสบตากับผม
   
“นี่” ซึ่งปกติผมก็จะปล่อยผ่านไปเรื่องอื่นไง แต่กับคราวนี้.. ผมคิดว่าผมอยากจะคุยให้มันได้เรื่อง.. “ผมออกตัวก่อนเลยนะ ว่าผมไม่ได้สนใจเรื่องที่พี่วิสกี้จะช่วยตามหาเอียน แต่ที่ผมสนใจก็คือ ถ้าคุณยอมรับข้อเสนอ พี่วิสกี้ก็จะยอมรับเรื่องของเราสองคน ซึ่งมันฟังดูดีมาก และคงจะทำให้อะไรง่ายขึ้นอีกเยอะ”
   
“ก็จริง” เหล้ารัมพยักหน้าเล็กน้อย “ข้อเสนอของพี่วิสวิสกี้ฟังดูดีมาก แต่ว่า...” แต่เขาก็ยังหม่นแสงอยู่แบบนั้น อย่างไม่มีท่าทีว่าจะดีขี้น
   
“แต่อะไรหรอ?”
   
“แต่ผมกลัว.. กลัวว่าถ้าผมยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูล และได้กลับไปอยู่กับที่บ้านมากขึ้น พี่วิสกี้อาจจะรู้ความจริงเรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองก็ได้ และนั่น..ผลลัพธ์คงออกมาไม่สวยแน่”
   
ผมเม้มริมฝีปากแน่นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นความกลัวของเหล้ารัมที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาสีม่วงอ่อนหรอกนะ แต่เป็นเพราะ..ผมยังอดสงสัยเบื้องลึกเบื้องหลังของพันธะสัญญาครั้งที่สองอะไรนี่ไม่ได้จริงๆ “นี่เหล้ารัม ผมถามจริงนะ ว่าไอ้พันธะสัญญาครั้งที่สองเนี่ย มันมีอะไรกันแน่หรอ ทำไมถึงต้องคอยปิดบังไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย” จนในที่สุดก็เผลอหลุดปากถามออกไป ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าเขาคงจะไม่ยอมบอกผมแน่
   
“วาฬครับ” นั่นไงล่ะ ลองเริ่มด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนี้ ผมคงจะไม่ได้รู้เรื่องอีกตามเคย “ผมขอโทษ ที่ยังไม่สามารถบอกอะไรคุณได้ตอนนี้”
   
“...”
   
“แต่ผมสัญญานะ ว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม คุณจะได้รู้ทั้งหมดที่คุณอยากรู้ และผมก็จะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับคุณด้วยตัวของผมเอง”
   
“...”
   
แล้วไอ้ ‘เวลาที่เหมาะสม’ นี่มันคือเมื่อไหร่กันล่ะ?
   
“นะครับ”
   
“…”
   
“น้า~”
   
เฮ้ออออออ~ ใจจริงก็อยากจะชวนเหล้ารัมทะเลาะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ ว่าผมเป็นถึงแฟนของเค้าแล้ว ยังจะต้องปิดบังอะไรกันอีก : (
   
แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อคนเค้าไม่อยากบอก ต่อให้ทะเลาะกันให้ตายยังไง ก็คงจะไม่ได้อะไรแน่ นอกจากความรู้สึกแย่ๆ ที่ขึ้นเสียงใส่กัน
   
เพราะฉะนั้น “ครับ” ผมจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
   
“ขอบคุณนะครับ งั้นก็..กินข้าวต้มกันต่อดีกว่า : )” ในขณะที่เหล้ารัมก็ดูจะสบายตัวขึ้น
   
โดยที่เขาไม่รู้เลยหรือไงนะ ว่ายิ่งปิดบังมากเท่าไหร่ ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ผมมากขึ้นเท่านั้นนั่นล่ะ : (


จบตอนที่ 16

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling1:

ืทำไมพันธะถึงบอกรายละเอียดยังไม่ได้ เป็นเพราะเหล้ารัมมีพันธะอันแรกอยู่ด้วยหรือเปล่า? แบบวาฬ

แอบดีใจที่วาฬหายดีแล้ว แต่ว่าการรักษาคนเนี่ย พ่อมดแม่มดที่เชี่ยวชาญในการรักษาไม่มีเลยรึ? ต้องนอนพักตั้งสองสัปดาห์ ><

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:


คิดถึงน้าค้าาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ความเค็มของข้าวต้มยังแพ้ความหวานของสองคนนี้อีกนะ 555555

มีเค้าความเครียด หวังว่าจะไม่ดราม่านะคะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ดีจังที่วาฬปลอดภัย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
มาต่อแล้ววว คิดถึงมากมาย
 เหลือเวลาอีกแค่ไหนเนี่ย
แล้วพันธะนั่นต้องมีอะไรแน่ๆ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ก็ในเมื่อพี่วิสกี้รู้อยู่แล้วว่า ทั้งสองคนรักกัน ทำไม เหล้ารัมต้องปิดเรื่องพันธสัญญาอีก เพราะยังไง เรื่องมันต้องมาถึงจุดที่ต้องทำพันธสัญญากันอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำ วาฬจะตายนะ แล้วอีกอย่างคือ ทำไม เหล้ารัมต้องทำทีเป็นตามหาเอียนด้วย ครอบครัววาฬน่าจะรู้นี่ ว่า เหล้ารัมจะทำพันธสัญญากับวาฬ จริงๆ ตั้งแต่ ที่เหล้ารัมบอกกับตรอบครัววาฬแล้วว่า จะทำพันธสัญญา ทุกคนก็น่าจะเลิกตามหาเอียนได้แล้ว...

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
ก็ในเมื่อพี่วิสกี้รู้อยู่แล้วว่า ทั้งสองคนรักกัน ทำไม เหล้ารัมต้องปิดเรื่องพันธสัญญาอีก เพราะยังไง เรื่องมันต้องมาถึงจุดที่ต้องทำพันธสัญญากันอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำ วาฬจะตายนะ แล้วอีกอย่างคือ ทำไม เหล้ารัมต้องทำทีเป็นตามหาเอียนด้วย ครอบครัววาฬน่าจะรู้นี่ ว่า เหล้ารัมจะทำพันธสัญญากับวาฬ จริงๆ ตั้งแต่ ที่เหล้ารัมบอกกับตรอบครัววาฬแล้วว่า จะทำพันธสัญญา ทุกคนก็น่าจะเลิกตามหาเอียนได้แล้ว...

ขออนุญาตตอบนะครับ

คนที่รู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่ 2 มีแค่พ่อกับแม่ของวาฬนะครับ
นอกนั้นคนในตระกูลคิดว่าเหล้ารัมแค่เข้ามาในชีวิตของวาฬเฉยๆ เท่านั้น
ในขณะที่วิสกี้เองก็คิดว่าเหล้ารัมคงจะพยายามตามหาตัวเอียนเพื่อช่วยชีวิตวาฬ
ก็เลยเท่ากับว่าตอนนี้ นอกจาก วาฬ เหล้ารัม แล้วก็พ่อกับแม่ของวาฬ ทุกคนยังไม่รู้เรื่องของพัธะสัญญาครั้งที่สองครับ

และเหตุที่เหล้ารัมยังคงปิดบังเรื่องนี้ไว้ ก็น่าจะเพราะว่ามันมีอะไรนั่นแหละครับ
ซึ่งผมเขียนเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าเหล้ารัมไม่ยอมบอกผมครับ ฮ่าๆๆๆๆ

(ขำๆ นะครับ)

ขอบคุณที่อ่านนะครับ

รวมถึงคุณทุกคนด้วยครับ : )


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
นึกว่ามาต่อ ฮืออออออออออ

 :ling3:

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 17
{ เมื่อด้ายแห่งพันธะสัญญาปรากฏ }



สองอาทิตย์ต่อมา
   
ผมยอมรับเลยนะว่า นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ก็มีเหล้ารัมเนี่ยแหละที่ดูแลผมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา
   
เพราะนอกจากที่เขาจะบำรุงผมสารพัดด้วยทั้งยาภายในและภายนอกแล้ว เหล้ารัมก็ยังคอยหาเรื่องสนุกๆ มาเติมเต็มเป็นอาหารใจให้ผมไม่รู้สึกเบื่ออีกด้วย จนจากตอนแรกที่แอบเซ็งๆ ว่าต้องนอนอยู่บนเตียงยาวเกือบสองอาทิตย์ เลยกลายเป็นว่าผมกลับมีความสุขแทบจะทุกวัน เรียกว่าจิตดีตั้งแต่ตื่นยันหลับกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลจากความพยายามของเหล้ารัมแทบทั้งสิ้น ที่ตั้งใจทำให้ผมยังคงแฮปปี้อยู่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่สามารถลุกจากเตียงไปไหนมาไหนได้เลย
   
ผมนี่.. โชคดีจังเลยเนอะ : )
   
อ๊ะๆ แต่ว่าตอนนี้น่ะ ผมไม่จำเป็นต้องให้เหล้ารัมคอยเฝ้าทั้งวันทั้งคืนเหมือนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วนะครับ ต่อแต่นี้เขาสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าไอ้การใส่เฝือกนั้นมันได้กลายเป็นอดีตสำหรับผมไปแล้ว ทำให้ไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางการลุกออกจากเตียงของผมได้อีก และที่สำคัญกว่านั้นคือ..ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้ผมกลับมาเป็นคนทำอาหารด้วย
   
ลาก่อน..อาหารฝีมือเหล้ารัม
   
ถือว่าเราทำบุญร่วมกันมาแค่นี้ก็แล้วกันนะ ฮ่าๆๆ~ : D
   
อ้อ แต่ถึงผมจะหายดีจนแทบจะไม่เหลือรอยแผลแล้ว คุณแฟนผมเขาก็ยังไม่ยอมพากลับไปอยู่คอนโดนะ แต่กลับขอให้ผมอยู่พักสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ต่ออีกสักสองวันแทน แล้วถึงค่อยกลับไปเรียนตามปกติเหมือนที่ผ่านมา ซึ่ง..ผมก็โอเคแหละ แต่แค่..แอบมีความตั้งหน้าตั้งตารอให้สองวันที่ว่านี้ผ่านไปไวๆ ก็เท่านั้นเอง
   
คือ.. ไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ที่นี่หรอกนะ เพราะถึงยังไงก็มีเหล้ารัมอยู่ เขาอยู่ไหน ผมก็ตามไปอยู่ด้วยได้ทุกที่อยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องที่หมา'ลัยเนี่ยสิ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอดห่วงไม่ได้จริงๆ ในเมื่อ..ตลอดช่วงเวลาที่ผมรักษาตัวอยู่นี่ เหล้ารัมได้ทำการเสก 'หุ่นตัวแทน' ของผมขึ้นมา เพื่อให้ไปทำหน้าที่ทุกอย่างแทนผมในโลกมนุษย์ ซึ่งมันก็สามารถจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่มีงานต้องส่งเนี่ย เจ้าหุ่นตัวแทนก็จะนำรายละเอียดของงานมาบอกให้ พอผมสั่งว่าให้ไปทำแบบนี้ๆ มันก็จะกลับมาพร้อมกับชิ้นงานที่โคตรจะยอดเยี่ยม ชนิดที่ว่าเนี้ยบแบบที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ ต้องเป็นจำพวกหุ่นยนต์หรือไม่ก็เวทมนตร์เท่านั้น
   
ซึ่งมันก็ออกจะฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ แต่ว่าในความดูดีนั้น มันก็มีข้อเสียของมันอยู่แหละ นั่นก็คือ..มนุษยสัมพันธ์ของเจ้าหุ่นตัวแทนน่ะเลวร้ายมาก! ถึงขั้นติดลบร้อยหลอดแดงเถือกๆ แบบในเกมเดอะซิมส์เลยด้วยซ้ำ
   
จนผมแทบจะไม่อยากจินตนาการเลยสักนิด ว่าพอถึงเวลาที่ต้องกลับไปเรียนจริงๆ ในอีกสองวันข้างหน้า ผมจะต้องกลับไปสะสางอะไรกับสิ่งที่เจ้าหุ่นตัวแทนทำไว้บ้าง เพราะขนาดว่าเปิดประเด็นนี้กับเหล้ารัม เขายังตอบกลับมาแค่ว่า "คุณคงต้องทำใจแล้วล่ะครับวาฬ" เลย ฮืออออออ~
   
"ชงชาอยู่หรอครับวาฬ"
   
อ๊ะ! นะ..นายพ่อมดเหล้านี่อายุยืนดีแท้!
   
เพิ่งจะคิดถึงอยู่ในใจแหม็บๆ ก็โผล่เข้ามาในครัวเสียแล้ว เล่นเอาผมนี่ถึงกับสะดุ้งโหยงเลย กับการมาที่ไม่ให้ซุ่มให้เสียงของเค้าแบบนี้
   
"ใช่ครับ"
   
"ก็ว่าอยู่ กลิ่นอะไรหอมจัง : )" แถมเท่านั้นยังไม่พอนะครับ เหล้ารัมยังมีการสวมกอดผมจากทางด้านหลัง พลางเอาค้างมาเกยตรงไหล่ขวาของผมด้วย ก่อนที่เขาจะทำทีเป็นชมเชยกลิ่นชาที่ผมชง ทั้งๆ ที่หน้าของนายพ่อมดเหล้ากำลังหันจมูกเข้าหาข้างแก้มของผมอยู่ชัดๆ
   
ระ..ร้าย!
   
"เอาด้วยมั้ยครับ เดี๋ยวผมชงให้อีกถ้วยนึง" และเพื่อไม่เป็นการให้อีกฝ่ายได้ใจมากเกินไป ผมเลยแกล้งซื่อใส่ซะเลย โดยการหยิบถุงชาที่ครบกำหนดเวลาออกทิ้ง แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมาหาเหล้ารัมแบบเนียนๆ ก่อนที่จะยกถ้วยชาร้อนๆ ขึ้นมาสร้างระยะห่างระหว่างผมกับเขาเอาไว้ เพราะถ้าไม่อย่างงั้นล่ะก็ มีหวังนายพ่อมดเหล้าได้เข้ามาประชิดส่วนหน้ากับผมต่อแน่
   
คะ..แค่คิด..ก็รู้สึกว่าร้อนหน้าไปหมดแล้วเนี่ย!
   
"ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดี" แต่พอได้ยินคำตอบจากปากเหล้ารัมแล้ว ความเขินอายที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในใจ..ก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัยแทน..
   
และนั่นทำให้ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เหล้ารัมแต่งตัวจัดเต็มมาก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมดูเนี้ยบและเป็นทางการไปซะหมด จนเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มย้วยๆ ที่ผมกำลังใส่อยู่ตอนนี้ ช่างดูน่าอายเสียจนสมควรถอดเผาทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ
   
"แต่งหล่อไปไหนครับเนี่ย?" จะว่าไปตลาดก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าเมื่อเช้านี้เขาก็ไปซื้อของตามใบสั่งของผมมาหมดแล้ว แถมเมื่อเช้าก็ไม่ได้แต่งตัวเนี้ยบแบบนี้ด้วย
   
แล้วแทนที่เหล้ารัมจะรีบตอบกลับมา เขาก็ดันทำเป็นยิ้มกริ่ม ยืนลอยหน้าลอยตาเพื่อท่วงเวลาซะอย่างงั้น ราวกับตั้งใจจะแกล้งให้ผมอยากรู้อยากเห็นจนจุกอกตาย เดี๋ยวเถอะ ลีลามากนัก ผมดีดหน้าผากให้ไม่รู้ด้วย :(
   
"นี่ อย่าลีลาได้มั้ย ผมรอคำตอบอยู่นะ"
   
"ใครว่า ผมไม่ได้ลีลาสักหน่อย : )"
   
"งั้นก็ตอบมาสิครับ"
   
"อืม.. ถ้าผมตอบ คุณต้องให้ผมจุ๊บแก้มนะ ตกลงมั้ย : )"
   
"เหล้ารัม!"
   
อะ..อะไรของเหล้ารัมเนี่ย!?
   
ทำไมวันนี้ถึงได้รุกหนักจัง แถมยังดูอารมณ์ดีผิดปกติด้วย น่าสงสัยแฮะ?
   
"ว่าไงล่ะครับ ให้จุ๊บหรือไม่จุ๊บ แต่ถ้าไม่ให้จุ๊บ ผมไม่บอกจริงๆ.. โอ๊ย! จะ..เจ็บนะวาฬ!"
   
นี่ไงล่ะ จุ๊บไม่จุ๊บ หึ! เจอผมดีดหน้าผากเข้าให้ "ก็คุณอยากลีลาทำไมเล่า" ถ้าอยากลีลานัก งั้นผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้ เชอะ!
   
คิดได้ดังนั้น ผมก็พาถ้วยชาเดินหนีออกมาจากห้องครัว โดยที่มีนายพ่อมดเหล้าจอมลีลาก้าวขายาวๆ ตามมาติดๆ
   
"โอ๋ๆ อย่างอนสิครับวาฬ ผมยอมบอกแล้วก็ได้" ซึ่งพอมาถึงมุมดื่มชาข้างหน้าต่างในห้องนั่งเล่น เหล้ารัมก็รีบยึดแก้วชาของผมไว้ ก่อนจะวางมันลงที่โต๊ะ แล้วจับผมให้หันไปสบตากับเขาแทน
   
"กะ..ก็บอกมาสิ" จริงๆ ก็อยากจะงอนต่ออีกหน่อยน่ะนะ แต่ทำไงได้ ในเมื่อสายตาของอีกฝ่ายส่องประกายมาให้ซะขนาดนี้ ผมจะไปต้านทานไหวได้ยังไง..
   
"ผมกำลังจะไปหาพี่วิสกี้ครับ"
   
"พี่วิสกี้?" ผมถึงกับเบิกตาโตขึ้นเลย เมื่อได้ยินชื่อของพี่สาวเหล้ารัมที่ไม่ได้ยินมาตลอดสองอาทิตย์..ตั้งแต่ครั้งที่ผมถามเขาเรื่องข้อเสนอของพี่วิสกี้ตอนถูกนายพ่อมดเหล้าป้อนข้าวต้มปลา
   
คือ..ก็ไม่ได้ตื่นตะลึงอะไรมากมายนักหรอกนะ ผมว่ามันออกจะไปในแนว..ประหลาดใจเสียมากกว่า เพราะในบรรดาเรื่องต่างๆ ที่เหล้ารัมจะหายออกไปทำเนี่ย 'การไปพบพี่วิสกี้' เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดไม่ถึงที่สุดแล้ว
   
ก็ดูอย่างตอนที่พี่วิสกี้ส่งจดหมายมาเรียกตัวเขาสิ เขายังเผาทิ้งเลย แล้วจะไม่ให้ผมประหลาดใจได้ไง จริงมั้ย?
   
"ใช่ครับ ผมจะไปหาพี่วิสกี้ เพราะผมตัดสินใจแล้ว ว่าผมจะรับข้อเสนอของเธอ : )"
   
"..." แต่ความประหลาดใจก่อนหน้าก็ยังไม่เท่ากับคำบอกเล่านี้ มะ..มันทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง.. เพราะแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
   
เหล้ารัมเนี่ยนะตัดสินใจจะรับข้อเสนอของพี่วิสกี้!?
   
ขะ..เขาไปตัดสินใจมาตอนไหนกัน? ทำไมถึงไม่เคยเห็นจะพูดให้ผมฟังบ้างเลย นี่สรุปว่าผมเป็นแฟนหรือว่าเป็นคนอื่นกันแน่วะเนี่ย!?
   
"คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ผมตัดสินใจรับข้อเสนอของพี่วิสกี้แล้วจริงๆ"
   
"ทำไมล่ะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณยังกังวลกลัวว่าพี่สาวคุณจะรู้เรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองอยู่เลย แล้ว..ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจล่ะ?"
   
"อืม.. มันก็ไม่เชิงว่าจู่ๆ ผมจะเปลี่ยนใจกะทันหันหรอกนะ เพราะว่าผมเองก็คิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้วเหมือนกัน แล้วที่ผมเปลี่ยนใจเนี่ย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคุณด้วยนั่นแหละ : )"
   
"เพราะผม?" ยังไงกันล่ะเนี่ย คราวก่อนที่ผมพูด เขายังไม่มีทีท่าว่าจะรับข้อเสนอเลย แล้วผมจะไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเขาได้ยังไงกัน?
   
"ก็ตอนนั้นไง ที่คุณบอกกับผมว่า ถ้าหากผมรับข้อเสนอของพี่วิสกี้ พี่วิสกี้ก็จะยอมรับเรื่องของเราสองคน และอะไรๆ มันก็คงจะง่ายขึ้นอีกเยอะ"
   
"อ่าฮะ"
   
"ซึ่งผมว่าผมเห็นด้วย เพราะว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยทำตามในสิ่งที่พี่วิสกี้ต้องการเลยสักครั้ง แม้แต่พบกันครึ่งทาง ผมก็ยังไม่ยอมให้เกิดขึ้น มันก็เลย..เหมือนทำให้เราทั้งคู่ไม่ลงรอยกันในวิธีการของอีกฝ่าย จนกลายมาเป็นอคติที่แก้ไม่หายอย่างทุกวันนี้" ออกแนวว่าเป็นพี่น้องที่รักกัน แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจกันอย่างงั้นสินะ "เพราะฉะนั้น การที่ผมยอมรับข้อเสนอของพี่วิสกี้ หันกลับมาแท็กทีมครอบครัวกับสาวของผมอีกครั้ง ไม่แน่นะ มันอาจจะส่งผลดีเกินกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้ก็ได้ : )"
   
รอยยิ้มและสิ่งที่เหล้ารัมพูดทำให้ผมเผลอยิ้มตามเขาเป็นอันดับแรก.. ก่อนที่ใจมันจะรู้สึก 'ดีเหลือเกิน' ที่นายพ่อมดแฟนผมสามารถคิดได้ : )
   
คือ..ต้องบอกก่อนเลยนะว่าไอ้เรื่องแบบนี้เนี่ยมันไม่เกี่ยวกับ 'โง่' หรือว่า 'ฉลาด' นะครับ แต่มันเป็นเรื่องของการที่เหล้ารัมยอมที่จะถอยหนึ่งก้าวเพื่อลดทิฐิของตัวเองให้กับคนที่เรียกว่า 'ครอบครัว' อย่างพี่วิสกี้ ภายหลังจากที่ก็คงจะอวดดื้อถือดีกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมาก ถึงแม้ว่าปกติผมจะชอบทำตามใจตัวเองอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไงซะ 'การร่วมมือกัน' ก็คือสิ่งที่ผมเห็นด้วยและพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่
   
เพียงแต่.. "เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับเหล้ารัม แต่ว่า..มันคือความต้องการของคุณจริงๆ ใช่มั้ย? ไม่ใช่ว่า..ฝืนใจทำเพื่อผมเพียงอย่างเดียวหรอกนะ” ..ผมเองก็อยากจะขอถามเพื่อความแน่ใจ ว่าทั้งหมดที่เหล้าพูดมา มันคือความต้องการของจริงๆ ไม่ใช่ฝืนใจทำเพื่อแค่ต้องการจะช่วยผม เพราะถ้าไม่อย่างงั้น..ผมเองก็คงจะไม่มีความสุขกับเรื่องนี้นักหรอกนะ..
   
“นี่” เหล้ารัมวางมือลงบนหัวผม ก่อนจะโยกไปมาเล็กน้อย แล้วเริ่มตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ดูจะกว้างขึ้นกว่าเดิม “เรื่องของคุณกับเรื่องของผม มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละ ผมไม่ฝืนใจหรอก แล้วอีกอย่างนะ จะว่าไปการรับตำแหน่งผู้นำตระกูลมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ผมเองก็เป็นผู้ชาย โตมากพอที่จะขึ้นกุมบังเหียนของตระกูลแล้วด้วย มันก็สมควรแก่เวลาที่จะปล่อยให้พี่วิสกี้เธอได้พักเสียที : )”
   
“แน่นะ” ผมถามย้ำ
   
“แน่สิครับ : )”
   
“โอเค” มองจากตาเหล้ารัมแล้วก็ดูจะไม่มีพิรุธอะไร เขาน่าจะพูดความจริงนั่นแหละ “งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งหน้าบ้านก็แล้วกันนะครับ”
   
“โอเคครับ”
   
พอสรุปจบแค่นั้น ผมกับเหล้ารัมก็พากันเดินออกมาที่หน้าบ้าน เพื่อไปยังจุดที่เหล้ารัมใช้หายตัวเป็นประจำ เวลาที่เขาต้องการจะไปไหนมาไหน เนื่องจากว่าบ้านทั้งหลังถูกเวทมนตร์คุ้มครองไว้ เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถหายตัวเข้าหรือออกภายในบ้านได้ ต้องเป็นพื้นที่บริเวณรอบๆ ตัวบ้านเท่านั้น
   
ทว่า..
   
“วาฬ”
   
ยังไม่ทันจะเดินออกมาไกลจากประตูบ้าน ใครอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาเราทั้งคู่ ก่อนจะทักทายผมด้วยรอยยิ้มแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน
   
“ไรเกอร์?” จริงๆ ก็ดีใจนะ ที่ได้เห็นเพื่อนคนอื่นนอกจากเหล้ารัมบ้าง แต่มันก็อดประหลาดใจไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงได้มาที่นี่ได้
   
“เป็นไง เดินทางลำบากมั้ยไรเกอร์”
   
“ก็ได้ร่องรอยที่นายทิ้งไว้ให้เมื่อเช้านั่นแหละ เลยไม่ลำบากเท่าไหร่”
   
จนกระทั่งได้ฟังบทสนทนาของเหล้ารัมกับไรเกอร์ ก็เลยเริ่มพอจะปะติดปะต่อนั่นนี่ขึ้นมาในหัวได้บ้างน่ะนะ
   
“ดีแล้วล่ะ” เหล้ารัมพยักหน้ารับคำบอกเล่าจากไรเกอร์ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะเป็นมิตร ก่อนที่เขาจะหันมาอธิบายให้ผมฟังเพิ่มเติม “พอดีเมื่อเช้าผมเจอไรเกอร์ที่ตลาด เห็นว่าเขาอยากมาเยี่ยมคุณ ผมก็เลยทิ้งร่องรอยไว้ให้”
   
“อ๋อ โอเคครับ” แบบนี้นี่เอง ก็ว่าอยู่ ทำไมจู่ๆ ไรเกอร์ถึงมาโผล่ที่นี่ได้
   
“งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะไรเกอร์ พอดีมีธุระน่ะ”
   
“โอเค ไว้เจอกัน”
   
“ได้ ไว้เจอกัน”
   
พอต่างฝ่ายต่างลากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็อาศัยจังหวะที่เหล้ารัมกำลังจะหายตัวไป ยกมือขึ้นโบกให้เขาบ้าง แต่แทนที่ว่าเขาจะหายไปอย่างที่ผมคิด กลับกลายเป็นว่านายพ่อมดเหล้า..!
   
“อ๊ะ!” ดะ..ดันจู่โจ่มเข้ามาจุ๊บแก้มผมซะอย่างงั้น!
   
“ไปแล้วนะคร้าบบบ~ : )”
   
 โอ๊ยยยยย~ จะไปเฉยๆ ก็ไม่ได้ ยังมีการมาทำให้เขินก่อนไปอีก บ้าที่สุดเลยเหล้ารัมเนี่ย!
   
“เอ่อ..”
   
“คู่นายนี่น่ารักดีเนอะ : )”
   
เท่านั้นยังไม่พอนะ แทนที่เหล้ารัมไปแล้วจะทำให้ความเขินของผมลดระดับลง กลับกลายเป็นว่าหนีเสือปะจระเข้..หันมาเจอคำแซวของนายไรเกอร์ซะอย่างงั้น
   
ทำเอาตอนนี้หน้าผมมันร้อนจนไหม้ไปหมดแล้ว!
   
“ปะ..ไปที่ริมทะเลสาบกันเถอะ!” และเพื่อเป็นการเอาตัวรอด (จากความเขินอาย) ผมเลยทำการชวนนายพ่อมดอังกฤษเปลี่ยนที่คุย โดยอาศัยจังหวะที่กำลังเดินนำ..ทำการข่มจิตข่มใจตัวเอง เพื่อไม่ให้ไรเกอร์สามารถแกล้งผมด้วยประเด็นนี้ได้อีก
      
“เป็นไงบ้าง หายดีแล้วใช่มั้ย?” ซึ่งก็ต้องขอบคุณไรเกอร์น่ะนะที่ยอมเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะว่าจนถึงตอนนี้ที่เราสองคนเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบเงือก ผมก็ยังไม่สามารถปรับจูนเข้าสู่โหมดปกติได้อยู่ดี
   
“อ่าฮะ อีกสองวันคงกลับไปอยู่ที่โลกมนุษย์แล้วล่ะ”
   
“แต่ที่นี่สวยมากนะ ไม่คิดจะอยู่ต่อหรือไง”
   
ทันทีที่ฟังคำถามจบ ผมถึงกับหันมองหน้าไรเกอร์.. แล้วก็พบว่าเขากำลังใช้สองมือล้วงกระเป๋า พลางมองออกไปยังทะเลสาบน้ำเค็มอันแสนจะกว้างใหญ่และไหลออกสู่ทะเลด้วยสายตาเป็นประกาย.. ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งที่นายพ่อมดอังกฤษถามออกมานั้นไม่ใช่แค่ต้องการจะหยอกล้อ แต่เป็นคำถามจริงจังของพ่อมดที่กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของสถานที่อย่างแท้จริง..
   
ซึ่งผมเข้าใจไรเกอร์ดี เพราะถึงแม้ว่าที่นี่จะค่อนข้างเงียบสงบเสียจนเกือบจะกลายเป็นเงียบเหงาก็ตาม แต่ยังไงซะที่นี่ก็ยังคงเป็นบ้านพักตากอากาศท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่งดงามเกินกว่าจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้.. ทั้งด้านหลังที่เป็นภูเขาและผืนป่า กับส่วนด้านหน้าที่เป็นพื้นน้ำร่มเย็น มันไม่มีอะไรที่จะผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและ ‘ชวนฝัน’ เท่านี้อีกแล้ว
   
“ใช่ ที่นี่สวยมากอย่างที่นายว่า แล้วการได้อยู่ที่นี่ก็ทำให้ฉันมีความสุขมากจริงๆ แต่ก็นะ นายน่าจะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉัน แต่เป็นเหล้ารัมต่างหาก”
   
“งั้นก็แสดงว่าถ้าหากเหล้ารัมขอให้อยู่กับเขาที่นี่ นายก็จะไม่กลับไปที่โลกมนุษย์งั้นสิ?”
   
“ก็...ประมาณนั้นแหละ” ผมพยักหน้ายอมรับอย่างจำใจ ด้วยความรู้สึกที่ว่า..ถ้าเป็นคนอื่นนะ ผมคงจะพูดจาเฉไฉไปทางอื่นแล้ว แต่นายนี่คือไรเกอร์ไงครับ ต่อให้ผมเลือกที่จะไม่พูดความจริง เขาก็รู้ทันผมอยู่ดี เพราะถ้าหากว่าเอกคือเพื่อนสนิทฝ่ายมนุษย์ นายพ่อมดอังกฤษนี่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทฝ่ายโลกเวทมนตร์ของผมนั่นแหละ
   
“ออกแนวว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่กับเหล้ารัมสินะ ฮ่าๆๆ~” แต่ถึงจะสนิทกันแค่ไหน ไรเกอร์ก็ไม่ควรที่จะพูดแซวผมแบบนี้นะ เพราะว่ามันจะทำให้ผมรู้สึก...ขะ..เขินมาก!
   
“เงียบน่า!” เขินแบบที่ว่าไม่สามารถควบคุมใบหน้าให้เป็นปกได้.. ซึ่งมันเป็นอะไรที่ไม่โอเคเลยสักนิดที่จะต้องมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าต่อหน้าคนอื่นด้วยอาการขวยเขินเนี่ย!
   
“โอเค ไม่แซวแล้วก็ได้” หลังจากหัวเราะจนหนำใจแล้ว ไรเกอร์ก็ยกมือยอมแพ้ให้กับสายตาดุๆ จากผม (ที่แทบจะไม่ได้ผลกับเขาเลยสักนิด) ก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะปรับเข้าสู่โหมดจริงจังแบบกะทันหัน จนผมเกือบที่จะตั้งรับเอาไว้ไม่ทัน “แต่นี่จริงจังนะ ฉันว่า..ตั้งแต่นายมีเหล้ารัมเข้ามาในชีวิตเนี่ย นายดูมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนเยอะเลย”
   
“ยะ..ยังไงหรอ?”
   
“ก็ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่อให้นายจะแสดงออกยังไง ตานายมันก็จะฟ้องว่าที่จริงแล้วนายน่ะเศร้า แต่พอมีเหล้ารัมอยู่ในชีวิตของนาย ต่อให้นายไม่ต้องแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ฉันยังเห็นชัดเลย ว่าตานายน่ะกำลังยิ้ม : )”
   
“จะ..จริงดิ?” นี่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย เพราะนอกจากเหล้ารัมจะไม่เคยบอกแล้ว ผมเองก็ไม่เคยสังเกตตัวเองเหมือนกัน ในเมื่อเวลาอยู่กับนายพ่อมดเหล้า..ผมก็จะโฟกัสทุกอย่างอยู่ที่เขา ไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลย
   
“ก็จริงน่ะสิ” แล้วไรเกอร์ก็ทำการผลักหัวผมแบบไม่จริงจังนัก คงจะหมั่นไส้ที่ผมเอาแต่ตอบกลับด้วยคำถามสินะ “จะบอกให้นะวาฬ นายจะหาว่าฉันเว่อก็ได้ แต่ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าเหล้ารัมน่ะ เหมือนเป็นพ่อมดที่เข้ามามอบชีวิตใหม่ให้กับนายเลย” ก่อนจะเพิ่มเติมต่อในสิ่งที่ทำเอาหัวใจผมถึงกับเต้นผิดจังหวะในทันที..
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
ก็ใช่น่ะสิ มันต้องเป็นอย่างที่ไรเกอ์พูดอยู่แล้ว ในเมื่อ..เหล้ารัมไม่ได้แค่เป็นผู้ชายที่ส่งมอบความรู้สึกดีๆ มาให้ผมเท่านั้นนะ แต่ยังเป็นถึงพ่อมดที่ทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับผมด้วย แล้วแบบนี้ถ้าไม่ให้เรียกว่า ‘ให้ชีวิตใหม่’ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ จริงมั้ย?
   
แต่จะว่าไป.. พอนึกถึงเรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองขึ้นมาแบบนี้แล้ว.. ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมันดลใจให้ผมเกิดคิดทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำ.. “นี่ไรเกอร์ ถ้าฉันถามอะไรนายสักเรื่อง นายสัญญาได้มั้ย ว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับระหว่างเรา” ผมรู้นะว่ามันเป็นเรื่องต้องห้าม ในเมื่อเหล้ารัมก็บอกแล้วว่าจะให้ใครรู้อีกไม่ได้ และผมเองก็ยึดถือข้อนี้มาโดยตลอด แต่กับครั้งนี้.. ผมคิดว่าผมทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่ะ

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
“ได้สิ นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว” ใช่ ก็เพราะว่าเป็นนายนั่นแหละไรเกอร์ ฉันถึงได้ไว้ใจที่จะถามคำถามนี้..
   
“คือ.. ฉันกับเหล้ารัมเราตกลงทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกัน ฉันก็แค่อยากรู้ว่า..”
   
“อะไรนะ!!?”
   
แต่ยังไม่ทันจะถามจบ.. อีกฝ่ายก็ทำหน้าตกใจแบบสุดขีด ถึงขั้นถอยหลังไปสองก้าว ราวกับว่าเขาช็อกกับสิ่งที่ผมพูด
   
“...” ผมที่ไม่รู้ว่าควรจะทำไงต่อดี เลยได้แต่เงียบไป โดยที่ภายในใจก็เริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาแล้ว ว่าความจริงพันธะสัญญาครั้งที่สองอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างที่เหล้ารัมพูดก็ได้ ไม่งั้นไรเกอร์จะตกใจขนาดนี้ทำไม จริงมั้ย?
   
“ละ..เหล้ารัมทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับนายอย่างงั้นหรอวาฬ!?”
   
“ใช่ เราทำพันธะสัญญาครั้งที่สองด้วยกัน”
   
แล้วพอได้ยินผมย้ำให้ฟังอีกครั้ง นายพ่อมดอังกฤษก็ถึงกับสบถออกมา ขะ..เขาดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด.. ดูหายใจหอบถี่เหมือนคนหายใจไม่ทัน แถมยังเริ่มยีหัวตัวเองราวกับคนเสียสติด้วย
   
“คือฉันแค่อยากรู้ ว่านอกจากเรื่องที่ต้องทำให้ด้ายแห่งพันธะสัญญาทั้งเส้นกลายเป็นสีแดงแล้ว มันยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย ที่จะส่งผลถึงผู้ทำพันธะสัญญา อย่างเช่น..การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำต้องเสียสละอะไรสักอย่างอะไรแบบนั้น?” ทว่าถึงแม้ว่าไรเกอร์จะไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะตอบคำถามก็เถอะ แต่ผมคงจะปล่อยเงียบไม่ได้อีกต่อไป เพราะยังไงซะเขาก็ได้รู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้แล้ว ผมก็ควรจะได้รู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้เสียที
   
“แล้วเหล้ารัมบอกอะไรกับนายบ้าง?” นั่นเลยทำให้อีกฝ่ายถามคำถามกลับมา ก่อนจะพยายามสูดหายใจเข้าออกให้ลึก เหมือนต้องการควบคุมให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
   
ซึ่งผมก็โอเคกับการที่จะให้เวลาไรเกอร์.. “เขาก็บอกแค่ว่าพันธะสัญญาครั้งที่สองจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทั้งฉันและเขามีความรักให้แก่กัน และนั่นก็จะทำให้คำสาปไม่สามารถเอาชีวิตของฉันไปได้” ก็เลยเป็นฝ่ายตอบคำถามก่อน “ซึ่งฉันรู้สึกจริงๆ ว่ามันยังไม่จบง่ายๆ แค่นั้น มันยังต้องมีอย่างอื่นอีกที่ฉันยังไม่รู้ ก็เลยตัดสินใจถามเหล้ารัมออกไปตรงๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดันบอกว่ายังไม่ถึงเวลาซะอย่างงั้น ซึ่งมันไม่แฟร์เลยสักนิดไรเกอร์ ทั้งที่ฉันกับเขาต่างฝ่ายต่างก็ทำพันธะสัญญากันทั้งคู่ แล้วทำไมเหล้ารัมถึงได้เป็นฝ่ายที่รู้มากกว่าล่ะ?” ..เพื่อหวังว่าจะได้รับคำตอบในส่วนของเขากลับมาเช่นกัน
   
“เอ่อ..” แต่ในทันทีที่ฟังผมพูดจนจบ ความตกใจของไรเกอร์ก็ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าของความลำบากใจ ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
   
“ขอร้องล่ะนะไรเกอร์ นายช่วยบอกฉันทีเถอะ อย่าปล่อยให้ฉันทนอยู่กับความสงสัยอีกต่อไปเลย” ผมเลยต้องขอร้องจากใจ เพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนมากขึ้น
   
ทว่า.. “ขอโทษนะวาฬ แต่ฉันบอกนายไม่ได้ เรื่องนี้น่ะ เหล้ารัมจะต้องเป็นคนบอกนายด้วยตัวของเขาเอง” คำตอบที่ได้รับ กลับไม่ใช่อะไรที่ผมหวังไว้
   
“ทำไมล่ะไรเกอร์ ทำไมนายถึงบอกฉันไม่ได้ นี่เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ”
   
“ใช่วาฬ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่นายก็ต้องเข้าใจนะ ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายเรื่องของใครทั้งนั้น ถ้านายอยากรู้ นายก็ต้องถามเขา จะมาแอบถามฉันแบบนี้ไม่ได้”
   
“ก็ฉันถามเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอมตอบนี่ จะให้ฉันทำยังไงเล่า”
   
“ก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ เพราะการที่เขาไม่ยอมบอก ก็แสดงว่าเขายังไม่อยากให้รู้ มันก็คือแค่นั้น”
   
“โอ๊ยยยย! แต่ฉันอยากรู้นี่ไรเกอร์ ได้ยินมั้ย ฉันอยากรู้!” ผมถึงขั้นทึ้งหัวตัวเองต่อหน้าไรเกอร์ เมื่อรู้สึกว่าคำตอบของเขามันช่างขัดใจผมเหลือเกิน “ฮึก.. มันอึดอัดนะไรเกอร์ ที่ฉันไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่เขาอาจจะกำลังเสียสละอะไรเพื่อฉันอยู่ก็ได้ ฮึก.. และยิ่งฉันคิด.. มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น.. ทั้งที่เรื่องจริงแล้ว มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลยก็ได้ ฮึก.. นายเข้าใจฉันมั้ย?” ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกที่อกของผมด้วย.. ถึงจะแค่น้ำตาคลอๆ ก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ใจผมแกว่งไปเลยเหมือนกันนะ..
   
“นี่วาฬ” ขณะที่ไรเกอร์เองก็ดูจะเสียงอ่อนลงเมื่อผมเป็นแบบนี้.. ก่อนที่เขาจะค่อยๆ คว้ามือทั้งสองข้างที่ผมใช้ทึ้งหัวตัวเองอยู่ออก แล้วพูดต่อ “ฉันเข้าใจนายนะ แต่นายเองก็ต้องเข้าใจคนของนายด้วย ว่าเหล้ารัมก็คงจะมีเหตุผลบางอย่างที่ยังไม่อยากให้นายรู้เรื่องนี้ในตอนนี้”
   
“แต่ว่า..”
   
“และเท่าที่ฉันเห็น เหล้ารัมเองก็ทำเพื่อนายหลายต่อหลายอย่าง เปิดศึกกับคนทั้งตระกูลอลิชาเพื่อนายก็เคยมาแล้ว แล้วกับการที่แค่อดทนรอเพื่อให้ถึงวันที่เขาพร้อมจะบอกนายแค่เนี้ย นายทำเพื่อเขาไม่ได้หรือไงกัน?”
   
“...”
   
นั่นสิ... ผมถึงกับสะอึกไปเลยเมื่อเจอไรเกอร์พูดแบบนี้...
   
ถึงแม้ว่าจริงอยู่ที่ผมสมควรจะได้รู้รายละเอียดของพันธะสัญญาครั้งที่สอง อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง แต่ในบางครั้ง..กับเรื่องบางเรื่อง ก็จำจะต้องให้เวลากับมัน.. ซึ่งเหล้ารัมเองก็คงจะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าควรจะบอกผมตอนไหนดี เพราะว่าเขาก็ไม่ได้มีเจตนาตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ตลอดไป เพียงแต่ขอให้ถึง ‘เวลาที่เหมาะสม’ เท่านั้น
   
เฮ้ออออ แต่ว่าผมเนี่ยสิ กลับขาดสติ.. ปล่อยอารมณ์และความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำ จนก่อเกิดเป็นความทุกข์แบบนี้ ทั้งที่ก็เคยได้ยินคนเขาพูดกัน ว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก แล้วผมก็เคยเห็นจริงตามนั้นด้วย แล้วนี่อะไร? พอไม่ได้อย่างที่หวังก็โวยวาย ทึ้งหัวตัวเองยังกับคนบ้า แถมยังทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างไรเกอร์ต้องมาร่วมลำบากใจในเรื่องนี้อีก
   
แล้วที่แย่ที่สุดคือ ตั้งแต่รู้จักกับเหล้ารัมมา เขาเคยเรียกร้องอะไรผมบ้าง? ก็มีแต่แค่ขอให้ปิดเรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองไว้ แล้วก็อดทนรอจนกว่าวันที่เขาจะพูดเรื่องนี้ได้ แต่กับผม..คนที่ได้รับทุกอย่างจากนายพ่อมดเหล้า โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอ ทำไมถึงได้..ยอมผิดสัจจะวาจาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นแบบนี้..
   
ผมนี่มัน..ทำตัวแย่ๆ อีกแล้ว..
   
นี่ดีนะว่าอย่างน้อยก็ยังมีหัวคิด เลือกคนถามได้ถูกคน ถึงได้มาเจอกับคนไว้ใจได้อย่างไรเกอร์ที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แถมยังพูดจาเตือนสติให้คิดได้ด้วย ไม่อย่างงั้นล่ะก็..อาจจะไม่เหลืออะไรดีเลยก็ได้..
   
“ถูกของนาย” ผมเริ่มใจเย็นลง รู้สึกว่าตัวเองมีสติมากขึ้น “ฉันนี่มัน.. งี่เง่าจริงๆ เลยเนอะ” แต่ก็ยังไม่วายกล่าวโทษตัวเองด้วยน่ะนะ
   
“ไม่หรอกน่า คนเรามันก็ต้องมีโมเมนต์แบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นนั่นแหละ ขอแค่เพียงนายเข้าใจมัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น : )” ไรเกอร์เลยปลอบใจผมด้วยรอยยิ้มและสีหน้าแบบที่ ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจผมจริงๆ
   
ผมเลยส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้เขา แทนคำขอบคุณในสิ่งดีๆ ที่ไรเกอร์พูดออกมา
   
แล้วหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ายึดพื้นที่.. เมื่อทั้งผมและไรเกอร์ต่างพากันมองออกไปยังทะเลสาบเบื้องหน้า โดยที่ตัวผมนั้นเลือกจับจุดโฟกัสอยู่ตรงเส้นตัดขอบของผืนน้ำและผืนฟ้า ที่ไม่น่าเชื่อว่า..จะมีจุดที่ทั้งสองสิ่งสามารถมาบรรจบกันได้อย่างสวยงามเช่นนี้
   
แต่ถึงแม้ภาพตรงหน้าจะสวยงามชวนฝันสักแค่ไหน ถ้าพอคนมันมีเรื่องที่รู้สึกไม่สบายใจมากๆ มันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอถามไรเกอร์อีกสักครั้ง เพื่อหวังว่าอย่างน้อยที่สุด..คำตอบของอีกฝ่ายจะช่วยชะล้างสิ่งที่อยู่ในใจผมให้เบาบางลงได้..
   
“นี่ไรเกอร์” ผมหันหาเขา ก่อนที่เขาจะหันมา “ฉันรู้นะว่านายไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว แต่ฉันขอถามอะไรนายอีกสักอย่าง เพื่อความสบายใจของฉันจะได้มั้ย?”
   
“...” ไรเกอร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาในทันที แต่เขาเลือกที่จะถอนหายใจออกมาเสียยืดยาวเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะยอมตอบกลับมา “ว่ามาสิ แต่ฉันไม่รับปากนะ ว่าจะสามารถตอบได้”
   
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเริ่มถาม “มันเลวร้ายมากรึเปล่าไรเกอร์? เรื่องที่เหล้ารัมยังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับพันธะสัญญาครั้งที่สองน่ะ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากมั้ย?”
   
ผมรู้นะว่าสิ่งที่ผมถามออกไปก็ไม่ต่างอะไรจากการวนเทปเพื่อฟังซ้ำ แต่ผมก็ยังอยากจะรู้อยู่ดีว่า ‘เรื่องนั้น’ ที่เหล้ารัมขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะบอก มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากหรือไม่? เพื่อที่อย่างว่าน้อยๆ..ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับมันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วจริงๆ
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
“...” แต่แล้วหัวใจของผมก็เป็นอันต้องกระตุกวูบ เมื่อไรเกอร์ไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธออกมาอย่างที่คาด “มันไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่นายคิดหรอกวาฬ” ก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อส่ายหน้า โดยที่มุมปากยังคงหยักยิ้มอ่อนโยน “พันธะสัญญาครั้งที่สองน่ะ มีชื่อเรื่องอีกอย่างว่า ‘พันธะสัญญาหัวใจ’ จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยความรักจากทั้งสองฝ่ายเป็นตัวทำสัญญาเท่านั้น แล้วในเมื่อมันเกิดขึ้นจากความรัก มันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปได้ยังไง จริงมั้ย?”
   
จริงด้วย.. ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรัก แล้วมันจะเป็นเรื่องไม่ดีไปได้ยังไงกัน?
   
“จริงด้วย : )” ซึ่งพอได้ยินแบบนี้แล้ว ผมก็กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้นกับคำตอบของไรเกอร์
   
ก็เลยทำให้ภายหลังจากนั้น หัวข้อสนทนาที่เคยตึงเครียดก็เปลี่ยนแปลงไปในทางสัพเพเหระมากขึ้น ก่อนที่ผมจะเริ่มเป็นฝ่ายชวนไรเกอร์เดินกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าแสงแดดยามบ่ายรุนแรงเกินกว่าที่จะยืนกันอยู่ตรงริมทะเลสาบได้อีกต่อไป
   
เอาจริงๆ ผมตั้งใจว่าจะชวนไรเกอร์อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันวันนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า..
   
“ก็อยากอยู่กินฝีมือนายนะ แต่คงจะไม่ได้ พอดีเย็นนี้ฉันนัดกับเบลไว้น่ะ นี่ก็ว่าจะกลับละ”
   
..ไรเกอร์ดันมีนัดอยู่แล้ว แล้วนัดที่ว่านั่นก็ทำเอาผมเผลอแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า จนอีกฝ่ายที่คงจะเข้าใจอาการของผมดี ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
   
“ฮ่าๆๆ~ อะไรกัน อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
   
“โทษที ฉันก็แค่..ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยังทนอยู่กับคนนิสัยเสียอย่างพี่เบลได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเองก็พ้นคำสาปไปตั้งนานแล้ว”
   
“...” ยอมรับเลยว่าคำว่า ‘รัก’ ของไรเกอร์ที่มีต่อพี่เบลทำให้ผมประหลาดใจ
   
แต่นายพ่อมดอังกฤษเองก็ดูจะไม่ถือสากับอาการนั้น “ฉันรู้นะ ว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ว่า..ฉันก็รักผู้หญิงนิสัยไม่ดีคนนั้นจริงๆ นั่นแหละ” เพราะขนาดเขาเองก็ยังยอมรับเลยว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ
   
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?” ผมก็เลยอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติม
   
“อือ.. คงเพราะ.. ความผูกพันที่เราสองคนอยู่ด้วยกันมานานมั้ง แล้วก็.. ถึงแม้ว่าเบลเค้าอาจจะร้ายกับใครหลายคน โดยเฉพาะนาย” ใช่ ร้ายถึงร้ายมากที่สุด “แต่กับเวลาที่เธออยู่กับฉัน เบลกลับดีที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนนึงจะดีได้ ซึ่งฉันชอบแบบนี้วาฬ เพราะฉันไม่ต้องการคนที่ดีกับทุกคนบนโลก แค่ต้องการคนที่ดีกับฉันคนเดียวก็พอ : )”
   
นั่นสินะ.. เราจะต้องการคนที่ดีกับคนทั้งโลกไปทำไมกัน ถ้าสุดท้ายแล้ว..เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเราต่างไปจากที่ให้กับคนอื่นเลย?
   
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ” ผมยิ้ม
   
“จริงดิ?” แต่ไรเกอร์ทำหน้าประหลาดใจ
   
นี่เขาคงไม่คิดซินะว่าผมจะเข้าใจกับอะไรที่มี ‘พี่เบล’เข้ามาเกี่ยวข้องได้ง่ายแบบนี้น่ะ
   
แต่ก็นั่นแหละ “บอกว่าเข้าใจก็คือเข้าใจไง” ผมคิดว่าผมเข้าใจตามที่ได้พูดออกไปจริงๆ
   
“โอเค” ซึ่งพอไรเกอร์เห็นว่าผมไม่พูดอะไรต่อแล้ว ก็ถึงนาทีที่ต้องบอกลา “งั้นฉันกลับก่อนนะ” เมื่อเราเดินกันมาจนถึงหน้าบ้านตามที่ตั้งใจไว้
   
“ได้ ไว้เจอกันที่บ้านนะ” ผมเลยโบกมือลาอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่ายังไงเดี๋ยวเราก็คงจะได้เจอกันอีกในไม่ช้านี้
   
แต่แทนที่ไรเกอร์จะโบกมือลาตอบกลับมาอย่างที่ผมคิด เขากลับก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่า.. “นี่วาฬ ฉันไม่รู้นะว่านายจะรับรู้ความรู้สึกนี้มั้ย แต่ฉันบอกได้เลย ว่าเหล้ารัมน่ะเขารักนายมากนะ เพราะฉะนั้น..ถ้าวันนึงนายได้รู้ความจริงถึงสิ่งที่นายอยากรู้ จงอย่าต่อต้านเขา แต่จงทำความเข้าใจกับมันให้เร็วที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ ตกลงนะ?” ละ..แล้วหายตัวไปต่อหน้าต่อตา!
   
“...” ไรเกอร์ทำผมอึ้ง.. ยืนอึ้งอยู่พักใหญ่เลยด้วยซ้ำ กว่าที่สติจะเริ่มกลับคืนมา และส่งผลให้สมองมันประมวลผลในสิ่งที่นายพ่อมดอังกฤษพูด
   
ทำให้วินาทีต่อจากนั้น ผมถึงกับสถบถ้อยคำหยาบคายใส่ดินใส่ฟ้า อยากจะตามไปลากคอนายไรเกอร์กลับมาเพื่อถามทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดแจ้ง
   
เพราะไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าทำไมหมอนั่น ถึงได้ต้องมาพูดให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ด้วย!!?


* * * * * * *

   
- Rum’s Part -
   
ทันทีที่ผมเดินทางมาถึงบ้าน ห้องแรกที่ผมตรงขึ้นไปหาอย่างรวดเร็วก็คือห้องทำงานของพี่วิสกี้
   
แอ๊ดดดดด~
   
แต่ยังไม่ทันที่จะลงมือเคาะ เจ้าประตูห้องก็เปิดออกเองอัตโนมัติ เผยให้เห็นพี่วิสกี้ที่กำลังง่วงอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน
   
จนกระทั่งผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั่นแหละ อีกฝ่ายถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมา..
   
“ลมอะไรหอบนายมาไม่ทราบ?” ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก
   
ซึ่งไม่ใช่การเริ่มต้นในแบบที่ผมต้องการ เพราะอยากที่จะมาคุยดีๆ กับพี่สาวในวันนี้ ก็เลย..
   
ฟุ่บ!
   
..เสกธงขาวขึ้นมาโบกไว้เหนือหัวด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจให้เหมือนกับตอนเด็กๆ เวลาที่เราสองคนทะเลาะกัน แล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ ว่าคนๆ นั้นขอยอมแพ้ และขอคุยด้วยอย่างสันติ
   
“หึ” ซึ่งมันก็ได้ผลดีทีเดียว เพราะทันทีที่เห็นแบบนั้น พี่สาวผมก็หลุดหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา ถึงแม้ว่าจะแค่เล็กน้อย ไม่เหมือนกับเวลาที่คนอื่นหัวเราะชอบใจก็เถอะ แต่สำหรับพี่วิสกี้..แบบนี้ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่เลวแล้ว : )
   
“ผมขอโทษนะพี่ ขอโทษที่พูดจาไม่ดี ขอโทษที่พูดโดยไม่คิดถึงจิตใจของพี่ให้ดีก่อน” ผมเลยเริ่มประโยคแรกด้วยสิ่งที่ยังคงรู้สึกติดค้าง ที่กล้าถามออกไปโดยไม่คิด ว่าจะเชื่อใจพี่วิสกี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เธอก็คือคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่แท้ๆ
   
และเพราะคำขอโทษจากปากผมนั่นเอง ที่ทำให้พี่วิสกี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินอ้อมมายังหน้าโต๊ะทำงานเพื่อยืนเท้ามันเอาไว้แทน ผมถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าวันนี้พี่สาวของผมนั้นอยู่ในเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางขาเอวสูงขาสั้นที่เผยช่วงขายาว อันเป็นลักษณะเด่นของคนในครอบครัว
   
“เอาเถอะ พี่ยกโทษให้” ก่อนเจ้าหล่อนจะยักไหล่อย่างไม่ถือสาอะไร
   
“ขอบคุณนะครับพี่” เลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างมากกับความรู้สึกผิดที่ติดค้างในใจมานานเกือบสองอาทิตย์
   
“ว่าแต่นายเถอะ หวังว่าคงจะไม่ได้แค่มาขอโทษพี่ แล้วก็กลับไปหาคนรักของนายทันทีหรอกนะ”
   
คราวนี้ก็เลยกลายเป็นฝ่ายผมที่หลุดหัวเราะออกมาบ้าง เพราะถึงแม้พี่สาวผมจะวางหน้านิ่ง แต่ผมเองก็จับได้จากในน้ำเสียงนะ ว่าพี่วิสกี้มีความน้อยใจอยู่ไม่น้อย เรื่องที่ผมให้ความสำคัญกับวาฬมากกว่าน่ะ : )
   
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับพี่ ผมก็ต้องมีเรื่องอื่นมาคุยกับพี่นอกจากเรื่องขอโทษอยู่แล้ว” ผมเสกธงให้หายไป ก่อนจะผายมือไปยังโต๊ะมุมข้างหน้าต่าง.. “แต่ว่าก่อนอื่น ผมว่านั่งกันก่อนดีกว่ามั้ยครับ เผื่อว่าจะต้องคุยกันยาว : )” ..เพื่อชักชวนให้พี่วิสกี้นั่ง
   
“ก็ได้ เอาสิ” ซึ่งพี่วิสกี้ก็เห็นด้วย เราสองคนพี่น้องก็เลยพากันไปนั่งยังจุดที่ตกลงกันไว้
   
อือ.. จะว่าไปแล้ว บรรยากาศในห้องนี้ก็ยังคงความเก่าแก่ไม่ต่างจากสมัยรุ่นพ่อเลยนะ เพียงแต่ว่าพอมันตกมาอยู่ในมือของพี่วิสกี้แล้ว ก็ดูจะเพิ่มความสวยงามและกลิ่นอายของความเป็นสตรีชั้นสูงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าของห้องจะใส่แค่เสื้อคอเต่ากับกางเกงเอวสูงก็ตาม
   
“ว่าไงล่ะ นายมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ พี่รอฟังอยู่” พอต่างฝ่ายต่างนั่งลงคนละฝั่งเป็นที่เรียบร้อนแล้ว พี่วิสกี้ก็เริ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
   
ผมก็เลยไม่รอช้า “ผมตัดสินใจรับข้อเสนอของพี่ครับ” ยิงตรงเข้าประเด็นทันที
   
จนพี่วิสกี้ที่จากตอนแรกกำลังกอดอกเพื่อรอฟังนิ่งๆ ถึงกับแสดงอาการตกใจออกมาให้ผมได้เห็นเป็นบุญตา แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น.. ก่อนที่พี่สาวผมจะกลับมาว่างหน้านิ่ง โดยที่เธอคงจะไม่รู้ตัวเลยว่า ว่างหน้านิ่งไปก็เท่านั้น ในเมื่อตาสีม่วงเข้มส่องประกายความดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
   
“เพราะวาฬสินะ ถึงทำให้นายยอมรับข้อเสนอได้ง่ายขนาดนี้เนี่ย”
   
“ก็มีส่วนครับ แต่เอาเข้าจริง หลายวันมานี้ผมก็คิดนะ ว่าถึงเวลาที่ควรจะแบ่งเบาภาระให้พี่ได้แล้ว”
   
ประกายตาของพี่วิสกี้ดูจะมีความสุขขึ้นกว่าตอนแรก “เพิ่งจะคิดได้หรอยะ” แต่ก็ยังไม่วายเหน็บแนมเข้าให้
   
ผมเลยต้องรีบงัดสิ่งที่เคยพูดในอดีตออกมา ไม่อย่างงั้นอาจจะโดนเหน็บต่ออีกชุดใหญ่ก็เป็นได้ “ก็ผมเคยบอกพี่เมื่อนานมาแล้วไง ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ผมได้พบเจอคนที่ผมรัก ผมก็จะกลับช่วยพี่ ซึ่งนี่ก็ถือว่าผมทำตามสัญญา : )”
   
แต่แทนที่ผมจะได้เห็นประกายความสุขในตาของพี่วิสกี้ต่อ กลับกลายเป็นว่านัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีดำเวิ้งว้าง..คล้ายจักรวาลที่ไร้ซึ่งหมู่ดาว.. ก่อนที่จะเริ่มพูด..
   
“เอาจริงๆ พี่ดีใจนะเหล้ารัม ที่นายยอมตัดสินใจมารับตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อจากพี่ แต่บอกตรงๆ เลย ว่าพี่เอง..ก็กำลังกังวลใจเรื่องคนรักของนายมากเหมือนกัน..”
   
“ทำไมล่ะพี่?” ผมขมวดคิ้วมุ่น เพราะนึกว่าเรื่องวาฬจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว หากผมยอมรับข้อเสนอของพี่วิสกี้ “เพราะว่าวาฬเป็นมนุษย์อย่างงั้นหรอ? หรือเพราะว่าวาฬเป็นผู้ชาย?”
   
“อันที่จริงเรื่องที่นายพูดมาก็มีส่วนนะ แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นประเด็นที่น่ากังวลเท่าไหร่นัก”
   
“แล้วมันคืออะไรล่ะ สิ่งที่พี่กำลังกังวลน่ะ?”
   
“ก็เรื่องที่..คนรักของนายกำลังจะตายไง”
   
“...”
   
ผมถึงกับกลายเป็นพ่อมดใบ้.. เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตาย’ จากปากของพี่วิสกี้ ในเมื่อ..ผมลืมไปซะสนิทเลย ว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้รู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองอย่างพี่สาวผม ก็ต้องกังวลกับเรื่องการตายของคนที่ผมรักมาเป็นอันดับต้นๆ อยู่แล้ว
   
โดยที่พี่วิสกี้ไม่ได้รู้เลยสักนิด ว่าผมได้ทำอะไรลงไปเพื่อช่วยให้วาฬรอด
   
ผมถึงได้ไม่มีความคิดเรื่อง ‘วาฬตาย’ อยู่ในหัวตอนนี้เลยไง
   
“ไอ้เรื่องที่จะให้พี่ยอมรับความสัมพันธ์ของนายกับวาฬ พี่ยังพอจะทำใจได้ เพราะถึงจะเป็นมนุษย์ที่พี่เกลียดแสนเกลียด แต่เท่าที่พี่เฝ้าสืบประวัติมา คนรักของนายก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถือว่าเป็นมนุษย์ที่ดีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพี่คิดว่าน่าจะอยู่ร่วมกันได้ ส่วนเรื่องที่หมอนั่นเป็นผู้ชาย เดี๋ยวนี้พ่อมดเกย์ก็มีออกเยอะแยะ ไว้แต่งงานกันเมื่อไหร่ ค่อยคิดเรื่องหาวิธีทำลูกก็ยังไม่สาย แต่กับเรื่องของคำสาป.. มันเป็นอะไรที่ต่างออกไปมาก ในเมื่อพี่เองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจะสามารถหาตัวคู่พันธะสัญญาคนแรกของวาฬได้มั้ย คือ..ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เก่งนะ แต่นายเองก็คงจะรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมานานมากแล้ว นายพ่อมดนั่นอาจจะตาย หรือไม่ก็คงจะหนีไปโลกอื่นแล้วด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้..เราจะช่วยให้คนรักของนายไม่ตายได้ยังไง พี่ยังคิดวิธีที่ดีไม่ออกเลยจริงๆ โดยที่ไม่ต้องให้นายไปเสียสละทำพันธะสัญญาครั้งที่สองกับวาฬน่ะ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่พี่ไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่”
   
“...” แล้วพี่วิสกี้ก็ทำให้ผมถึงกับสะอึกจนแทบจะพูดไม่ออกอีกแล้ว.. ทั้งที่ใจนึงมันก็รู้สึกดีใจมากนะ ที่พี่วิสกี้ไม่ได้ต่อต้านเรื่องผมกับวาฬ แถมยังพยายามคิดหาหนทางเพื่อให้คนที่ผมรักมีชีวิตรอด
   
แต่ไอ้ความรู้สึกผิดเนี่ยสิ ที่มันจุกอกผมซะแน่น.. ในเมื่อผมเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าได้ลงมือทำในสิ่งที่พี่วิสกี้จะไม่มีวันยอมให้ทำไปแล้ว..
   
นี่ถ้าพี่วิสกี้รู้ความจริงเข้าล่ะก็ ผมกับเธอคงมองหน้ากันไม่ติดไปอีกนาน
   
“เอ่อ..” แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อผมเองก็วางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้ว เพราะถ้าไม่มีพันธะสัญญาครั้งที่สองล่ะก็..คงต่อยอดไปสู่ความหวังสูงสุดของผมไม่ได้แน่.. “แต่ผมคิดว่ามันยังมีทางอื่นอีกนะพี่ ขึ้นอยู่กับว่า..พี่จะยอมช่วยผมมั้ย”
   
“ยังไง?” คราวนี้พี่วิสกี้เป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันบ้าง แต่ก็เพียงไม่นานนัก เธอก็เบิกตาโตเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ แล้วรีบปฏิเสธออกมาทันควัน “ไม่มีทางทาง!” ก่อนจะลุกหนีผมไปหยุดยืนอยู่ที่กลางห้อง
   
ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยสักนิดที่พี่วิสกี้จะปฏิเสธออกมาแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ตามคาดอยู่แล้ว จึงรีบลุกตามไปโน้มน้าวต่ออย่างที่ตั้งใจเอาไว้
   
“ทำไมล่ะพี่ ถ้าเกิดว่าเราใช้วิธีนี้ นอกจากวาฬจะไม่ตายแล้ว เขาเองก็จะมีอายุไขยืนยาวเหมือนกับพ่อมดแม่มดด้วย พี่ว่ามันไม่ดีหรือไง?”
   
“ไอ้ดีน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่า...”
   
“มีอะไรหรอพี่?” ผมมองตามสายตาของพี่สาวตัวเองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าจู่ๆ พี่วิสกี้ก็ก้มลงมองที่มือขวาของผมแล้วหยุดชะงักไป..
   
ถึงได้เห็นว่า.. ด้ายแห่งพันธะสัญญากำลังปรากฏขึ้น!!?
   
“นี่มันอะไรกันเหล้ารัม?”
   
“พี่วิสกี้.. คือ..”
   
“เดี๋ยว.. นี่อย่าบอกนะว่า.. นายทำพันธะสัญญาคนรั้งที่สองกับนายมนุษย์นั่นน่ะ!!?”
   
“พี่วิสกี้ พี่ฟังผมก่อนนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมบอกตามตรงว่าผมเตรียมถอยแล้ว เพราะว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงที่แค่การคุยกันดีๆ อย่างแน่นอน
   
“ไม่! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แต่นายต้องถอนพันธะสัญญาเดี๋ยวนี้เหล้ารัม นายก็รู้ผลของมันดีนี่!”
   
“ใจเย็นก่อนพี่ ฟังผมอธิบาย...”
   
เพล้งงงง!
   
ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยคดี พี่วิสกี้ก็ซัดพลังเวทใส่ผมแล้ว นี่ดีนะที่ผมมีสติพอที่จะตั้งรับไว้ได้ เลยโยนออกไปทางหน้าต่าง จนกระจกแตกออกเป็นชิ้นๆ.. เพราะถ้าหากตั้งรับเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ พี่วิสกี้คงจับตัวผมเอาไว้ได้แล้ว!
   
“ฉันบอกให้ถอนพันธะสัญญาเดี๋ยวนี้!”
   
“พี่วิสกี้..”
   
แล้วบทจะหายตัวออกไปจากห้องนี้ก็ไม่ได้ด้วย เพราะคฤหาสน์ทั้งหลังถูกปกป้องด้วยเวทมนตร์อันเก่าแก่ ดังนั้นทางที่จะไปจากที่นี่ได้ก็ดีที่สุดคงจะเป็น..
   
ปึ้ง!
   
“อย่าแม้แต่จะคิด!”
   
“…” ผมอึ้งเลยที่พี่วิสกี้อ่านเกมออกว่าผมจะหนีออกไปทางหน้าต่างที่แตกแล้ว เธอก็เลยเสกแผ่นเหล็กมาปิดทับเอาไว้ ทำให้ตอนนี้คงจะเหลืออยู่แค่ทางเดียวเท่านั้น..
   
..นั่นคือประตู!
   
ตู้มมมมม!
   
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเหล้ารัม!”
   
ยอมรับว่าพี่วิสกี้เดาทางผมได้เก่งมาก เพราะพอผมคิดถึงประตู พี่สาวผมก็เสกเวทมนตร์ตรงไปยังประตูแล้ว
   
แต่นับว่าครั้งนี้โชคดีที่ผมไวกว่า เสกคาถานำหน้าไประเบิดประตูออกเป็นชิ้นๆ ได้ ถึงได้มีโอกาสกลายร่างเป็นกระทิงคลั่ง แล้ววิ่งหนีด้วยความเร็วออกจากห้องทำงานมา
   
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเหล้ารัม! นี่ ใครก็ได้ จับน้องชายฉันไว้!!”
   
ซึ่งสาเหตุที่ผมตัดสินใจกลายร่างเป็นกระทิงก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าพี่วิสกี้จะต้องสั่งลูกน้องให้มาสกัดเอาไว้แน่ ผมก็เลย..
   
“หยุดก่อนครับคุณเหล้า.. อ๊ากกกก!”
   
“อย่านะครับคุณเหล้ารัม.. อ๊ากกกก!”
   
“คุณ.. อ๊ากกกกกก!”
   
..ขวิดแม่งให้หมดเลย!!
   
สมน้ำหน้า อยากขวางดีนัก ไม่รู้หรือไงว่าคนกำลังรีบออกจากที่นี่ด้วยความร้อนใจมากแค่ไหน เพราะถ้าลองด้ายแห่งพันธะสัญญาปรากฏขึ้นแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนใช้เวทมนตร์กับวาฬแน่!
   
“แม่งเอ๊ย!!!” ความคิดเรื่องวาฬกำลังตกอยู่ในอันตราย เผลอทำให้สบถออกมาอย่างลืมตัว จนกระทั่งพบเจอกับประตูทางออกที่ถูกยืนกั้นด้วยสมุนของพี่วิสกี้
   
ดี! แบบนี้จะได้เร่งฝีเท้าให้มากขึ้น และ..
   
ตู้มมมมมมมมม!!
   
“อ๊ากกกกกกกกกก!!!”
   
..ขวิดชนคนจนสามารถทะลุประตูออกมาจากคฤหาสน์ได้เป็นผลสำเร็จ เยส!
   
ทว่า.. ในขณะที่คืนร่างและกำลังจะหายตัวอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของพี่วิสกี้ดังไล่หลังมา..
   
“ฉันจะไม่ยอมให้พวกนายทำพันธสัญญาสำเร็จแน่!!!”
   
ฟังคล้ายกับว่า.. ต้องการจะประกาศศึกกับผมอย่างเป็นทางการ!

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
- Wan’s Part –
   
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า

   
ผมใช้ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจากไรเกอร์ไปลงกับการทำมื้อเย็นเพื่อรอให้เหล้ารัมกลับบ้าน ซึ่งมันก็ค่อนข้างช่วยได้มาก อย่างตอนแร่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ หรือไม่ก็ตอนที่ทุบเนื้อให้นุ่มอะไรแบบนั้น
   
แต่ถึงจะชะล้างไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ก็ยังมีส่วนที่รู้สึกว่ายังคงตกค้างอยู่ในใจน่ะนะ แล้วทีนี้ทำไงล่ะ อาหารก็ทำเสร็จหมดแล้ว อืม? งั้นเอางี้.. ไปรดน้ำแปลงผักข้างบ้านดีกว่า เผื่อว่าธรรมชาติชะช่วยบำบัดทุกอย่างให้ดีขึ้นได้บ้าง
   
คิดได้ดังนั้น ผมก็เดินไปเปิดประตูเพื่อที่จะออกจากบ้าน ทว่า..
   
“สวัสดี”
   
“ซองซู!”
   
ดันเปิดไปเจอนายซองซูกำลังยืนอยู่หน้าบ้านซะอย่างงั้น!
   
แล้วทีนี้ทำไงล่ะ ก็หนีสิครับ!
   
ไวเท่าความคิด ผมก้าวถอยหลังเข้าตัวบ้านอย่างรวดเร็ว รู้นะว่าประตูไม้แค่นี้คงกีดขวางทางของเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ เวทมนตร์ที่คุ้มกันบ้านหลังนี้อยู่ คงจะพอช่วยประวิงเวลาได้บ้าง
   
“เดี๋ยว ฉันมาดีนะวาฬ”
   
แต่ยังไม่ทันที่ประตูจะปิดสนิทดี น้ำเสียงที่เจือความรู้สึกผิดของอีกฝ่ายก็ดังลอดเข้ามา ทำเอาผมถึงกับชะงัก.. เพราะว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้จากนายพ่อมดเกาหลีมาก่อนเลย
   
“นายว่าไงนะ?” แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองประมาทเกินไปมั้ย? ถึงได้ยอมเปิดประตูกลับออกไปอีกครั้ง เพื่อที่จะคุยกับนายซองซูให้ถนัดขึ้น
   
“ฉันบอกว่าฉันมาดี” แล้วในตอนนั้นเอง.. ที่ผมเพิ่งจะสังเกตเห็น ว่าซองซูอยู่ในสภาพที่สิ้นฤทธิ์มากแค่ไหน..
   
ถึงแม้ว่าจะใส่เฝือกแค่แขนซ้าย ไม่ได้ต้องนอนเข้าเฝือกทั้งตัวเหมือนกับที่ผมโดน แต่ก็เต็มไปด้วยแผลฟกช้ำดำเขียวตามใบหน้าและตามเนื้อตัวในส่วนที่โผล่พ้นออกมานอกร่มผ้า และที่สำคัญที่สุดคือ ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเองก็ไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว แต่กลับเหลือเพียงความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายในดวงตาคู่นั้นของเขาแทน..
   
เฮ้ออออ เรียกว่าไม่เหลือคราบของนายพ่อมดร้ายที่ผมเคยรู้จักเลยจริงๆ
   
“เข้าบ้านก่อนสิ” และเพราะความใจอ่อน ผมเลยตัดสินใจเปิดประตูให้กว้างขึ้น เพื่อต้อนรับคนอย่างซองซูเข้าบ้าน
   
“ขอบคุณนะ” ซึ่งนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าที่ดีขึ้น
   
แต่ช้าก่อน ถึงผมจะยอมใจอ่อนให้ซองซูเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะประมาทนะ อย่างน้อยๆ ถ้าหากว่าเขาคิดไม่ดี คิดว่าตั้งใจจะลักพาตัวผมไปอีกอย่างที่ผ่านมา การชวนเข้าบ้านก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะทำให้ซองซูลักพาตัวผมได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างที่ได้บอกไปแล้ว ว่าบ้านหลังนี้มีเวทมนตร์คุ้มกันไว้ ทำให้ไม่มีพ่อมดแม่มดคนไหนหายตัวเข้าหรือออกภายในตัวบ้านได้ ถ้าหากนายพ่อมดเกาหลีคิดจะลักพาตัวผมอีกทีจริง งานนี้ก็คงต้องมีเหนื่อยหน่อย เพราะคงจะต้องหาทางลากผมออกไปนอกบ้านให้ได้เท่านั้น
   
แล้วลองซองซูเข้าเฝือกแขนอยู่แบบนี้ คงเพิ่มความลำบากเข้าไปอีกหลายเท่าน่ะนะ
   
“ตามสบายนะ” พอเดินมาถึงมุมโซฟา ซึ่งเป็นมุมสำหรับนั่งเล่นและรับแขก ผมก็เลือกนั่งลงที่โซฟาตัวประจำของผมกับเหล้ารัม ก่อนจะผายมือให้ซองซูเลือกนั่งได้ตามชอบใจ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ แล้วเลือกนั่งลงบนเก้าอี้นวมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโซฟาที่ผมนั่งอยู่
   
“ขอบคุณนะ” แถมยังมีการขอบคุณผมด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่..โคตรจะไม่ชินเลยสักนิด “ว่าแต่เหล้ารัมล่ะ ไม่อยู่หรอ?”
   
“คือ..” เอ่อ.. ยอมรับว่าคำถามของซองซูทำให้ผมมีแอบสะดุดไปเหมือนกัน เพราะว่าเกือบจะตอบออกไปตามความเป็นจริงแล้ว แต่ดันฉุกคิดขึ้นมาได้ซะก่อน.. “เขาไปหาวัตถุดิบในการทำอาหารให้ฉันแถวๆ ทะเลสาบน่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ” ก็เลยตัดสินใจพูดคำโกหกออกไป เพื่อจะได้ไม่เป็นการชี้ช่องทางให้เขาคิดทำเรื่องไม่ดีกับผม
   
แต่เอาจริงๆ เขาก็ดูจะไม่มีพิรุธอะไรนะ เพราะพอผมบอกออกไปแบบนั้น ซองซูก็พยักหน้ารับ ไม่ได้แสดงความยินดียินร้ายอะไรออกมา เหมือนแค่ว่า..แสดงความรับรู้ไปเฉยๆ แค่นั้นเอง
   
ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้าเขาไม่ได้มาร้ายอย่างที่พูดจริง ผมก็พร้อมที่จะคุยดีด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยากญาติดีอะไรกับเขามากมายนักก็ตาม
   
“ว่าแต่นายเถอะ มาที่นี่วันนี้ ต้องการอะไรอย่างงั้นหรอ?” แล้วพอเห็นว่าเขายังคงเงียบ มองนั่นมองนี่ไม่ยอมพูดอะไรสักที ผมก็เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะว่าซองซูไม่เหมือนไรเกอร์หรือเอก ที่ผมจะมานั่งอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ต้องสนใจอีกฝ่ายได้
   
“เอ่อ..” ซึ่งเขาเองก็เหมือนว่าจะรู้ตัวนะ ว่านั่งเงียบนานเกินไปแล้ว เลยหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม ก่อนจะเริ่มพูด “คือ.. ฉันอยากจะมาขอโทษนายน่ะ”
   
“...” ทำเอาผมนี่แอบอึ้งไปเลย
   
คือก็พอจะเห็นแววสำนึกผิดในตาของเขานะ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าเขาจะพูด ‘คำขอโทษ’ ออกมาแบบนี้ มันดู..ไม่ใช่ซองซูในแบบที่ผมรู้จักเลยจริงๆ
   
“ฉันรู้ว่าที่ผ่านมา ฉันทำตัวแย่มาก ไม่สมควรที่จะได้รับการให้อภัยจากนายหรือว่าเหล้ารัมเลยด้วยซ้ำ แต่ที่ฉันมาวันนี้ ก็เพื่อที่จะมาบอกว่า.. ฉันเสียใจจริงๆ กับทุกๆ สิ่งที่ทำลงไป”
   
“...” ยอมรับนะว่าพอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ซองซูทำ.. มันก็ยากเกินกว่าที่ผมจะให้อภัยได้จริงๆ เพราะว่านอกจากที่แผนของเขาจะทำเอาผมเกือบตายแล้ว ยังทำให้เหล้ารัมต้องมาฝืนใจทำในเรื่องที่ไม่อยากทำด้วย แต่ว่า.. “เอาเถอะ ยังไงซะเรื่องมันก็แล้วไปแล้ว ฉัน..ขอยกโทษให้นายก็แล้วกัน”
   
“...” คราวนี้เลยทำให้ซองซูเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง
   
ซึ่งก็สมควรอึ้งแล้ว เพราะถ้าคนอื่นเขาได้เจออย่างที่ผมเจอ ก็คงไม่มีใครเขาอยากจะยกโทษให้นายซองซูหรอก แต่ว่า.. เจ็บแค้นต่อไปแล้วได้อะไรอะ? มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด รังแต่จะกลายเป็นความทุกข์ที่กัดกินใจกันต่อไปก็เท่านั้น
   
เพราะฉะนั้น ผมขออโหสิกรรมให้ไรเกอร์ตรงนี้เลยก็แล้วกัน
   
หากว่าถ้าชาติหน้ามีจริง จะได้ไปต้องมาตามจองเวรกันต่อไป
   
เพราะลำพังแค่ชาตินี้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องสาป ก็คงจะมีกรรมหนักหนาตามติดจากชาติก่อนมามากพออยู่แล้ว ฉะนั้นก็อย่าได้ผูกเวรสร้างกรรมให้ยาวลามไปถึงชาติหน้าอีกเลย
   
“...”
   
“...”
   
ผมตัดสินใจส่งยิ้มให้ซองซู เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เขาเห็นว่า ‘ผมยกโทษให้เขาแล้วจริงๆ’ ต่อจากนี้ไปก็จงเลิกกังวลเรื่องนี้ซะ อีกฝ่ายก็เลยกล่าวขอบคุณผมด้วยสีหน้าที่ดูจะปลื้มใจกับการให้อภัยของผมมาก ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปอีกครั้ง..
   
“...”
   
“...”
   
ซึ่งครั้งนี้มันเงียบมาก ถึงขนาดที่ว่าผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง.. เลยหาเรื่องเลี่ยงออกไปจากความเงียบอันน่าอึดอัดนี้..
   
“เอ่อ.. เดี๋ยวฉันไปหยิบน้ำให้นะ” โดยการขอตัวไปหยิบน้ำมาให้ซองซู
   
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ค่อยอยากดื่มน้ำเท่าไหร่” แต่เขากลับปฏิเสธ
   
“...”
   
“...”
   
ก็เลยทำให้ผมยังไม่สามารถพ้นไปจากจุดนี้ได้ จนต้องทำทีเป็นมองนั่นมองนี้ไปเรื่อย กระทั่ง.. สายตาเจ้ากรรมก็ดันมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ถึงได้เห็นว่าเขากำลังมองมา.. ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม..
   
นี่ที่เขาเอาแต่นั่งเงียบ เพราะว่ามีเรื่องที่อยากถามแต่ไม่กล้าถามอยู่หรือเปล่านะ?
   
แล้วทำไงดีล่ะ บทจะให้ให้ผมถามเขาออกไปว่า ‘มีอะไรจะถามมั้ย?’ มันก็ดูจะแปลกๆ อยู่
   
“...”
   
“...”
   
ก็เลยได้แต่จ้องตาเขากลับไป เป็นการส่งสัญญาณทางสายตาว่าถ้ามีอะไรก็จงถามออกมาเลย
   
“...”
   
“...”
   
แต่ดูท่าแล้ว อีกฝ่ายจะไม่เข้าใจสายตาของผมแฮะ? เฮ้อออออ เอาวะ ถามออกไปเองเลยก็ได้ ไม่งั้นคงได้นั่งจ้องตากันยันเหล้ารัมกลับมาแน่
   
“นี่ นายมีอะไรจะถามฉันก็ถามมาเถอะ อย่ามัวแต่นั่งเงียบอยู่เลย”
   
ซึ่งการพูดตรงๆ เป็นอะไรที่ได้ผลดีมาก เพราะมันทำให้ซองซูยิ้มแหยออกมา ราวกับคนที่โดนจับได้ว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่ยังไงยังงั้น
   
“คือ.. จริงๆ ฉันรู้ก่อนหน้าการดวลแล้ว ว่านายน่ะเป็นคนจากตระกูลต้องสาป”
   
“อ่าฮะ แล้ว?”
   
“แต่ฉันเพิ่งจะรู้จากข่าวไม่นานนี้เอง ว่านอกจากที่นายจะมาจากตระกูลต้องสาปแล้ว นายยัง..”
   
“กำลังจะตาย” ผมตัดสินใจเติมประโยคให้ เมื่อเห็นว่าเขาดูลำบากใจที่จะพูด
   
อีกฝ่ายก็เลยสามารถไปต่อได้อย่างที่ตั้งใจ “ฉันก็เลยไม่รู้ว่ามันจริงมั้ย ที่เขาว่านายคือคนที่ถูกคู่พันธะสัญญาหนีหายไปเมื่อหลายปีก่อนน่ะ?”
   
“จริงสิ” ผมพยักหน้ารับด้วยความประหลาดใจนิดๆ ที่คิดว่าซองซูจะถามอะไรที่ตอบยากกว่านี้ “เขาหนีไปในคืนวันเกิดปีที่สิบสองของฉัน และปล่อยให้ฉันอยู่กับคำสาปที่กำลังจะมาเอาชีวิตฉันในอีกไม่ช้า”
   
“...” แล้วก็เพราะคำตอบของผมนั่นเอง ที่ทำให้สีหน้าของซองซูเปลี่ยนไป เหมือนว่าเขากำลังรู้สึกเสียใจกับชะตากรรมในอนาคตอันใกล้ที่ผมจะต้องพบเจอ
   
“แต่เรื่องนั้นน่ะไม่เป็นไรหรอก เพราะว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันอีกต่อไปแล้วล่ะ” ผมเลยพูดเพื่อให้ซองซูรับรู้ว่าผมยังโอเค
   
โดยที่ลืมนึกไปเลยว่า..
   
“ทำไมกัน?”
   
..ผมได้เผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว!
   
จริงอยู่ที่สิ่งที่ผมพูด อาจจะตีความไปในเชิงของการที่ว่า ‘ผมไม่แคร์อีกแล้วว่าจะเป็นหรือว่าตาย’ แต่สายตาของซองซูที่ถามกลับมามันไม่ได้แสดงออกว่าเขากำลังคิดแบบนี้..
   
“คือ..” แต่มันกลับเป็นประกายขึ้นมา คล้ายกับว่าสิ่งที่ผมพูด มันไปสะกิดความคาดเดาบางอย่างในใจเขา ซึ่งนั่นอาจจะเป็น..เรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองก็ได้ “เอ่อ.. ฉันว่าฉัน..ไปเอาน้ำให้ได้ดีกว่านะ”
   
ผมรีบลุกหนีทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองแสดงพิรุธออกไปอย่างเต็มที่ จนไม่อาจที่จะปกปิดความน่าสงสัยนี้ได้อีกต่อไป
   
ทว่า..!
   
ปึก!
   
“อ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ผมจะเดินออกไปได้ไกล ร่างกายของผมก็ล้มลงนอนกับพื้น เพราะเชือกที่พันตั้งแต่แต่ไหล่ลงไปจนถึงข้อเท้า! “นี่มันอะไรกันซองซู ไหนนายบอกว่านายมาดีไง แล้วนายมาจับฉันไว้ทำไมเนี่ย!?”
   
“ขอโทษนะวาฬ” ซองซูผงกหัวแทนคำขอโทษ “ฉันไม่ได้จะทำร้ายนายนะ แต่ฉันแค่สงสัยบางเรื่อง และอยากที่จะพิสูจน์ให้แน่ใจ” ก่อนจะก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้
   
ทำเอาใจผมเต้นแรงด้วยความกลัว เพราะเริ่มจะเดาออกแล้วว่านายซองซูต้องการที่จะพิสูจน์เรื่องอะไรกันแน่
   
ฟึ่บ!
   
“วะ..เวรแล้วไง!” แล้วก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด.. ซองซูสะบัดมือใส่ผมหนึ่งครั้ง ก่อนที่..ด้ายแห่งพันธะสัญญาจะปรากฏออกมา!
   
“...” ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรกับนายพ่อมดเกาหลีดี เพราะลำพังแค่ตัวเขาเอง ก็คงจะมีสติไม่มากพอให้อยู่นิ่งได้แล้ว
   
“ฉะ..ฉันควรไงดี!? ควรบอกพี่วิสกี้? ใช่.. ฉันต้องไปบอกพี่วิสกี้ ไปบอกว่าเหล้ารัมได้ทำเรื่องบ้าๆ ลงไปแล้ว!” นายซองซูดูตื่นตูมมาก เขาพูดเองเออเอง ก่อนที่จะสรุป แล้วผลักประตูเดินออกจากบ้านไปเลย โดยยังทิ้งผมไว้กับเชือกบ้าๆ นี่!
   
“แม่งเอ๊ย!” ผมถึงกับสบถออกมาด้วยความเจ็บใจ
   
นี่ผมหาเรื่องให้เหล้ารัมอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย!
   
แล้วอยู่ในสภาพแบบนี้จะไปทำอะไรได้กันล่ะ นอกจากพยายามกระดึ๊บๆ ให้ไปอยู่ในจุดที่เหล้ารัมเห็นได้ง่ายเมื่อกลับมา ซึ่งก็คือหน้าประตูนั่นเอง
   
ปัง!
   
แล้วไม่นานนัก ประตูบ้านที่ซองซูปิดทิ้งไว้ก่อนไปก็ถูกระชากเปิดออก เผยให้เห็นเหล้ารัมในสภาพที่ยุ่งเหยิงกว่าตอนขาไปมาก จึงอนุมานได้ว่า..ผลจากการที่ด้ายพันธะสัญญาปรากฏขึ้นมา คงทำให้เกิดเรื่องกับเขาแน่
   
“ใครทำอะไรคุณวาฬ!?” แต่เหล้ารัมก็คือเหล้ารัมน่ะนะ ถึงจะอยู่ในสภาพยับเยินแค่ไหน ยังไงสำหรับเขา ผมก็คือสิ่งต้องมาก่อนเสมอ.. ซึ่งนั่นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นตัวสร้างปัญญาให้กับเขาอีกแล้ว..
   
“ผมผิดเองครับวาฬ” ผมรีบสารภาพออกไปในทันที ภายหลังจากที่เหล้ารัมกล่อมผมให้เป็นอิสระจากเชือกของซองซูแล้ว “ผมเป็นคนปล่อยให้ซองซูเข้ามาในบ้าน เพราะคิดว่าเขาสำนึกผิดแล้ว แต่กลายเป็นว่าเขาสงสัยเรื่องพันธะสัญญาของเรา เลยเผยเส้นด้ายออกมาแบบนี้”
   
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”
   
“กำลังไปหาพี่วิสกี้ครับ เขาบอกว่าเขาจะต้องไปบอกเรื่องนี้กับพี่วิสกี้”
   
“ไอ้ลูกหมาเอ้ย!” เหล้ารัมสบถออกมาอย่างเหลืออด ไม่เหลือภาพของคนที่ชอบยิ้มให้ผมเลยแม้แต่นิดเดียว.. “ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้พี่วิสกี้ก็รู้เรื่องแล้ว และเธอกำลังจะตามล่าตัวพวกเราที่นี่ในอีกไม่ช้า”
   
“ละ..แล้วเราควรทำยังไงกันดีครับ!?”
   
“ตอนนี้ผมใช้เวทมนตร์บังตาที่นี่เอาไว้แล้ว คงจะพอมีเวลาให้หนีอยู่บ้างก่อนที่พี่วิสกี้จะหาเจอ เพราะฉะนั้นเรารีบไปกันเถอะ”
   
“...”
   
ทว่า..
   
“วาฬ?”
   
ยะ..อย่าว่าแต่เหล้ารัมเลย.. ผมเองก็ตกใจเหมือนกันนั่นแหละ ที่จู่ๆ ร่างกายมันก็สั่งการให้เบี่ยงตัวหลบเขาแบบอัตโนมัติ จนอีกฝ่ายที่ตั้งใจจะคว้าข้อมือผม กลับคว้าได้เพียงแค่อากาศธาตุ..
   
“ผะ..ผมขอโทษ แต่ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   
“ทำไมล่ะวาฬ?”
   
“ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะบอกผม ว่าพันธะสัญญาครั้งที่สองนี่มันมีอะไรกันแน่!?”
   
ใช่.. ผมพูดออกไปแล้ว.. พูดในสิ่งที่ใจคิด และไม่อาจจะปกปิดความสงสัยนี้ได้อีกต่อไป..
   
“วาฬ ผมขอล่ะ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ได้มั้ย”
   
“ไม่” จริงอยู่ที่ใจผมรู้สึกผิดที่สร้างปัญหาหาให้กับเหล้ารัม แต่ร่างกายมันกลับต่อต้าน เลยทำให้การพยายามคว้าข้อมือผมของเหล้ารัมล้มเหลวอีกครั้ง “ถ้าคุณไม่ยอมบอกผม ผมจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น แต่จะอยู่ที่นี่ แล้วรอถามพี่สาวของคุณด้วยตัวของผมเอง!”
   
“วาฬ..”
   
ผมรู้นะว่าเวลานี้มันเป็นอะไรที่หน้าสิ่วหน้าขวานมาก และการมาของพี่วิสกี้ก็อาจจะรุนแรงกว่าที่ผมคิด แต่ผมก็ยังเลือกที่จะดื้อ เพราะผมคาใจ.. ตั้งแต่ตอนที่บอกเรื่องนี้กับไรเกอร์ เขาก็ตกใจจนดูไม่เป็นตัวของตัวเอง พอถึงตาของซองซู รายนั้นก็ถึงกับร้อนรนวิ่งออกไปเลย แล้วไหนจะสภาพยับเยินของเหล้ารัมจากการที่พี่วิสกี้รู้เรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองอีก น่ะ..นี่มันอะไรกันแน่!?
   
“ขอร้องล่ะเหล้ารัม บอกผม แล้วผมจะไปกับคุณทันที”
   
“วาฬ..”
   
สีหน้าของเหล้ารัมดูลำบากใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ภายในตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความสับสนจนยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ
   
“ได้โปรดเถอะ”
   
“แต่.. เราไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนี้นะ”
   
“งั้นก็สัญญากับผมสิ”
   
“...”
   
“สัญญาว่าเมื่อถึงที่ที่ปลอดภัย คุณจะบอกความจริงกับผม”
   
“...”
   
“แล้วผมจะยอมไปกับคุณทุกที่ที่คุณอยากไป ขอแค่คุณสัญญาว่าจะบอกผมเท่านั้น”
   
“...”
   
“นะเหล้ารัม ผมขอร้อง”
   
“...”
   
“...”
   
ทั้งผมและเหล้ารัมต่างจ้องมองกันในความเงียบ ราวกับว่านี่คือเกมที่จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างถึงจะเดินหน้าต่อไปได้
   
จนกระทั่ง.. “ฉันรู้นะว่านายอยู่แถวนี้เหล้ารัม รอเวทมนตร์บังตาของนายเสื่อมเมื่อไหร่ ฉันแยกนายกับคนรักนายออกจากกันแน่!!” เสียงของพี่วิสกี้ดังขึ้นเหนือหัวเรานั่นแหละ เหล้ารัมถึงได้หลับตาลง.. สูดหายใจเข้าลึกๆ.. ก่อนที่เขาจะลืมตาอีกครั้ง เพื่อพูดในสิ่งที่ผมต้องการ..
   
“ก็ได้ ผมสัญญา ผมจะบอกคุณทุกเรื่องที่คุญอยากรู้ ตกลงมั้ย?”
   
“โอเค งั้นเราก็ไปจากที่นี่กัน”
   
และเพียงเท่านั้น ผมก็ยอมให้เหล้ารัมคว้าข้อมือวิ่งออกไปจากบ้าน โดยไม่สนใจอีกแล้วว่าเขาจะพาผมไปไหน ในเมื่อเขาให้คำสัญญากับผมแล้ว ผมเองก็จะทำตามสัญญาของผมเช่นกัน
   
ที่ว่าจะยอมไปกับเขาในทุกๆ ที่ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟผมก็ยอม!


จบตอนที่ 17

ขอโทษที่ช่วงนี้ผีเข้าผีออก เดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายนะครับ

คือที่ผ่านมานี่แฮมสเตอร์แอบไปปั่นนิยายเรื่องนี้ให้จบมาครับ

และผลก็คือ ตอนนี้แต่งจบแล้วววววว

ยังไงเดี๋ยวกลับจากไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด จะกกลับมาทยอยลงให้นะครับ : )

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

 :hao7:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
นึกว่าวาฬจะทำตัวเหมือนนางเอกหนังไทยซะอีก เกือบไปแล้ว

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ยิ่งนานไป ตอนยิ่งหดลง มันจะเป็นนิยายรายเดือนแล้วค้าาาา T T

เดาว่า ถ้าาพันธะครัังที่สองล้มเหลว คนที่มาเป็นคู่พันธะจะต้องใช้ชีวิตค้ำประกัน ล้มเหลวก็ตาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2016 16:53:05 โดย BlueCherries »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด