#พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #พ่อมดเหล้า ★ จบแล้ว + Special Story of Rum || อัพเดท : 12/21/2016  (อ่าน 133806 ครั้ง)

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
อยากรู้ผลของพันธะสัญญาครั้งที่ 2 ใจจะขาด

มาต่อเร็วๆนะ

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ทำไมเราต้องมาเริ่มอ่านตอนมันค้างด้วยเนี่ยยยยยยยย โหดร้ายที่สุด!!!!!!

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 18
{ ด้ายแดง }


และที่ที่เหล้ารัมพาผมมา ก็ไม่ต้องไปบุกน้ำลุยไฟอะไรที่ไหนไกล เพราะมันก็คือคอนโดของเขานั่งเอง..

"ผมใช้เวทมนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ผมรู้ซ่อนที่นี่เอาไว้แล้ว แต่เราเองก็จะอยู่ที่นี่กันได้อีกแค่คืนเดียวเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ เพราะว่าแถวนี้น่ะมีร่องรอยเวทมนตร์ของผมมากเกินไป ยังไงพี่วิสกี้ก็ต้องหาเจอภายในไม่เกินสองวันแน่"

พอพูดจบ เหล้ารัมก็หยุดยืนหันหลังให้ผมอยู่กลางห้อง.. ซึ่งผมก็เข้าใจดี ว่าทำไมเขาถึงได้ยืนเงียบอยู่เฉยๆ แบบนั้น

เพราะว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องรักษาสัญญา

"..." ผมเดินตรงไปหาเหล้ารัมด้วยความเงียบ.. ก่อนที่จะค่อยๆ จับเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง

ถึงได้เห็นว่า.. นัยน์ตาสีม่วงอ่อนของเขาคู่นั้นที่สะท้อนเงาของผม..สั่นไหวรุนแรงราวกับเปลวเทียนต้องลม.. ฉายแววความกังวลระคนขลาดออกมาอย่างชัดเจน..

แล้วถามว่าผมสบายใจที่เขาเป็นแบบนี้มั้ย? ..ก็ไม่ แต่เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะปิดบังผมอีกต่อไปและเพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ผมจึงตัดสินใจที่จะช่วยเหล้ารัม โดยการยกมือขึ้นสัมผัสที่แก้มทั้งสองข้างของเขา เพื่อส่งต่อความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่าไม่ว่า 'ความจริงนั้น' จะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมจะยังอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางหนีหายไปไหนแน่

"..." และโดยที่ไม่ต้องรอให้ผมพูดอะไรออกไป เหล้ารัมยกมือขึ้นเพื่อจับข้อมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้ พร้อมทั้งหลับตาลง พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ คล้ายต้องการจะรวบรวมความกล้า.. แล้วหลังจากนั้นไม่นานนัก แฟนของผมก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนที่จะเริ่มพูด.. "สิ่งที่คุณอยากรู้ คือนอกจากการที่เราสองคนจะต้องรักกันเพื่อให้พันธะสัญญาสำเร็จแล้ว มันยังมีเงื่อนไขอะไรที่คุณยังไม่รู้อยู่อีกรึเปล่า ใช่มั้ย?"

"..." ผมพยักหน้า

"โอเค.. ผมจะบอกคุณให้ก็ได้วาฬ ว่ามันยังมีอีกหนึ่งเงื่อนไข ที่ทำให้ผมต้องคอยเก็บเรื่องพันธะสัญญาครั้งที่สองเอาไว้เป็นความลับ"

"..."

"นั่นก็คือ.. ทันทีที่ด้ายแห่งพันธะสัญญาทั้งเส้นกลายเป็นสีแดง หัวใจของเราสองคนจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้คุณที่ถูกคำสาปกัดกินจนมีจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ สามารถมีชีวิตต่อไปได้ แต่ในอีกทางหนึ่ง.. เราสองคนก็จะมีเวลาชีวิตที่เท่ากัน"

"..."

"จึงเท่ากับว่า.. เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็จะตายตามไปด้วย ซึ่ง..คุณต้องตายก่อนผมแน่ เพราะอายุไขของมนุษย์สั้นกว่าพ่อมดมาก.."

"..."

"และเพราะแบบนี้ไงวาฬ พี่วิสกี้ถึงอยากให้เราถอนพันธะสัญญาออกจากกัน"

"..." วินาทีนั้น.. เหมือนหูผมมันอื้อไปหมดแล้ว.. รับรู้เพียงแค่เหล้ารัมยังคงมีสีหน้าแบบเดิม แต่เพิ่มเติมโดยการส่งสายตาอ้อนวอนมาให้..

ยอมรับว่าผมแทบจะไม่เข้าใจอะไรเลย มันว่างเปล่ามาก.. เหมือนกลายเป็นคนโง่ไปชั่วขณะ..

กระทั่ง..

“ผมจะตายไปพร้อมกับคุณนะครับวาฬ : )”

..ภาพฝันอันแสนประหลาดย้อนคืนกลับมา

ถึงได้กระตุ้นให้สมองผมทำงานอีกครั้ง และถึงได้เข้าใจ..ว่าทำไมทุกคนที่ได้รู้เรื่องของพันธะสัญญาครั้งที่สองในวันนี้ ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงนัก

เพราะแบบนี้เองสินะ.. ฮึก.. เพราะแบบนี้เอง..

"ไม่เหล้ารัม.. ไม่.." ใจของผมมันสั่นไหวรุนแรงมาก รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทัน.. จนเริ่มพูดไม่เป็นภาษา..

นี่คงจะอาการเดียวกับตอนที่ไรเกอร์รู้เรื่องสินะ.. เพราะว่าเขาคงจะรู้ดี ว่าการทำพันธะสัญญานี้ ฮึก.. ก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตที่แสนยาวนานมาทิ้งกับมนุษย์อย่างผม!

และเพราะความคิดนี้เอง ที่ทำให้ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายหันหลังให้เหล้ารัมบ้าง..

ผมไม่ได้ต้องการจะหนีนะ แต่แค่..ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องนี้ยังไงดี.. เพราะลำพังแค่น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ฮึก.. ก็เกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้แล้ว..

"เพราะแบบนี้ไงวาฬ.." เหล้ารัมเดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง.. น่าแปลกที่ร่างกายของผมกลับไม่ต่อต่อต้าน.. มันเหมือนกับว่า..ภายในผมกำลังสับสนเรื่องของเราอย่างรุนแรง แต่ในทางตรงกันข้าม ร่างกายและหัวใจกลับอยากได้สัมผัสจากเขา.. "ผมถึงเลือกที่จะปิดบังคุณเรื่องนี้ เพราะถ้าขืนบอกความจริงไป.. คุณคงไม่ยอมทำพันธะสัญญากับผมแน่"

"ใช่.. ถ้าผมรู้ ผมไม่มีวันยอมให้คุณทำแบบนี้แน่.." ผมเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันหน้าหาเขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกมากมายที่มันว่ายวนอยู่ภายในใจ.. "ผมไม่ได้รังเกียจสิ่งที่คุณทำให้ผมนะเหล้ารัม.. ฮึก.. ผมดีใจมาก.. ฮึก.. ดีใจมากจริงๆ ที่ชีวิตนี้ผมได้มาเจอกับคนดีๆ อย่างคุณ.. เพียงแต่.. ฮึก.. มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เกินไป.. เกินกว่าที่ผมจะรับเอาไว้ได้จริงๆ ฮึก.. คุณเข้าใจผมใช่มั้ยเหล้ารัม.."

"ผมเข้าใจวาฬ.." เหล้ารัมเว้นจังหวะเล็กน้อย เหมือนต้องการจะควบคุมเสียงที่สั่นเครือของตัวเอง.. "แต่ผมขอถามคุณแค่คำถามเดียวนะ

"..."

"ว่าถ้าคุณรู้สึกกับผมเหมือนที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้.. แล้วผมกำลังจะตาย.."

"..."

"คุณจะยอมช่วยผม เหมือนกับที่ผมยอมช่วยคุณมั้ย?"

"..." โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อพยายามสะกดกั้นอารมณ์ของตัวเอง ก่อนที่สุดท้ายจะพยักหน้าตอบรับทั้งน้ำตา

จริงอยู่ที่ตอนนั้นเราสองคนอาจจะเพิ่งเคยพบกัน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ระดับความรู้สึกของเราในตอนนั้นต่างกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่เขาจะตัดสินใจทำเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ในเวลานั้น

อีกอย่างนะ.. ต่อให้พูดอะไรไปตอนนี้ ก็คงจะสายไปเสียแล้ว เพราะว่าเหล้ารัมที่ผมรู้จักน่ะ ฮึก.. ไม่มีวันยอมถอนพันธะสัญญาจากผมเหมือนกับคนที่ผ่านมาแน่..

"นั่นไงล่ะ แล้วแบบนี้ผมจะไม่ยอมช่วยคุณได้ยังไง จริงมั้ยครับ"

"ตะ..แต่.. นั่นเท่ากับว่าคุณต้องเอาชีวิตยืนยาวของพ่อมดมาทิ้งกับมนุษย์อย่างผมนะเหล้ารัม"

"แล้วผมจะมีชีวิตยืนยาวไปทำไมกัน หากต้องปราศจากคนที่ผมรักน่ะ : )"

ตึกตัก ตักตัก

เขานี่มัน..

"..." พอหมดคำจะเถียง ผมก็ดึงเหล้ารัมเข้ามาจูบทั้งน้ำตา..

มันไม่ใช่การจูบที่ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนไออุ่นแก่กัน แต่มันคือ..การที่ผมประทับความรู้สึกทั้งหมดในใจที่ยากเกินจะบรรยายลงไปบนริมฝีปากของเขา.. ก่อนจะผละออก แล้วเปลี่ยนเป็นสวมกอดเขาเอาไว้แน่นๆ แทน..

"ขอบคุณนะเหล้ารัม ฮึก.. ขอบคุณมากจริงๆ"

"ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกันนะวาฬ ที่เข้าใจผม"

"ฮึก.. แล้วผมก็ต้องขอโทษคุณด้วย.. ที่ทำให้คุณต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้.."

"ไม่หรอก มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยวาฬ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเลย"

"..."

"ตรงกันข้าม ผมกลับดีใจด้วยซ้ำ ที่ได้ทำแบบนี้เพื่อคนที่ผมรัก"

"..."

"แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นนะ ผมยังทำเพื่อตัวของผมเองด้วย เพื่อที่ว่า..ผมจะได้มีโอกาสรักคุณต่อไปอีกในหลายๆ ปีข้างหน้าไงวาฬ : )"

"ฮึก.." ทะ..ทำไมเหล้ารัมถึงได้ดีขนาดนี้นะ.. "แต่ถ้าไม่ใช่เพราะผมที่ไร้คู่พันธะสัญญา.. ฮึก.. คุณเองก็คงไม่ต้องมาเสียสละมากมายเพื่อผมแบบนี้.."

"งั้นมันก็เป็นความผิดของเอียน ไม่ใช่ของคุณสักหน่อย" เหล้ารัมกอดผมให้แน่นขึ้น เหมือนต้องการจะปลอบโยนผมให้หนักขึ้นกว่าเดิม
   
"ไม่หรอก.." แต่ผมกลับเลือกที่จะค่อยๆ ผละออกมา "มันไม่ใช่ความผิดของเอียน.. เรื่องคืนนั้นน่ะ.. ฮึก.. มันผิดที่ผมเอง.."
   
ทันทีที่ผมพูดจบ เหล้ารัมเหมือนจะชะงักไปนิดนึง ก่อนที่เขาจะเริ่มถาม "ยังไงกันวาฬ? มันเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นกันแน่?" ไม่มีความกังวลหรือว่าความกลัวหลงเหลือบนใบหน้าของเหล้ารัมอีกต่อไปแล้ว แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความสงสัยแทน จนเหมือนมีอะไรมาบีบรัดหัวใจผมไว้แน่นตอนที่ผมได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย..
   
เพราะว่าผมเอง.. ก็มีความลับที่ปิดบังทุกคนเอาไว้เช่นกัน..
   
"คือเรื่องคืนนั้นน่ะ..."

* * * * * * *

   
ในคืนวันเกิดปีที่สิบสอง...
   
ผมได้ทำสิ่งผิดพลาดครั้งใหญ่เอาไว้
   
และมัน... เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปตลอดกาล...
   
“ห้ามแอบดูนะนายตัวเล็ก ไม่งั้นฉันโกรธนายจริงๆ ด้วย”
   
‘นายตัวเล็ก’ คือชื่อที่เอียนมักจะใช้เรียกแทนตัวผม สมัยที่เราสองคนยังตัวติดกันเมื่อในวันวาน..
   
“ไม่แอบดูหรอกน่า ฉันมันคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
   
และเหตุที่เขามักจะเรียกผมว่านายตัวเล็ก ไม่ใช่เพราะว่าผมมีขนาดตัวที่เล็กต่ำกว่าระดับมาตรฐานของเด็กในช่วงวัยเดียวกันหรอกนะ แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ตัวใหญ่กว่าเด็กทั่วไป ก็นะ เขาเป็นพ่อมดนี่ ก็ต้องโตไวกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว
   
แล้วก็เพราะว่าไอ้ความตัวใหญ่กว่าของเอียนนี่เอง เลยทำให้เขาตั้งตนเป็นพี่ชายของผมไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมเกิดก่อนเขาตั้งหนึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ
   
แต่ก็เอาเถอะ เป็นน้องก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเขาเป็นฝ่ายดูแลไง : )
   
“เดินตรงไปอีกนิด ใกล้ถึงแล้ว” ไม่ใช่แค่เรื่องดูแลอย่างเดียวนะ แต่ในเวลาที่เป็นโอกาสพิเศษ ผมก็มักจะได้รับเซอร์ไพรส์จากเขาเสมอ อย่างในวันเกิดปีที่สิบสองของผมนี่ไง เขาก็ได้ทำการเตรียมเซอร์ไพรส์ให้ผมอีกแล้ว
   
“ลืมตาได้ยังเนี่ย?” พอเห็นว่าเขายังดันหลังผมให้เดินไม่เลิก ผมเลยแกล้งถามเขาเหมือนกับว่ารอไม่ไหวอีกต่อไป
   
“โอเคๆ ลืมตาได้” ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เอียนพาผมมายังที่หมายพอดิบพอดี
   
ปัง!
   
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภายหลังจากที่ได้ยินเสียงประตูปิดลง.. และภาพที่ได้เห็นตรงหน้านั้น ก็ทำเอาผมถึงกับน้ำตาคลอออกมา.. เพราะว่ามันคือห้องนอนที่เราสองคนนอนด้วยกันแทบจะทุกวัน แต่กลับต่างออกไป เพราะว่าตอนนี้.. มีแสงจากดวงดาวนับล้านกำลังส่องสว่างอย่างสวยงามในความมือ.. และยิ่งไปกว่านั้น บนผ้าม่านที่ปิดสนิท มีข้อความจากหมู่ดาวที่เขียนถึงผมว่า..
   
‘Happy Birthday My Little Wan’
   
   
“เป็นไงนายตัวเล็ก ชอบของขวัญวันเกิดของฉันมั้ย?”
   
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันที แต่เลือกที่จะคว้าเอียนเข้ามากอดไว้ ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมา..ซึมลงไปบนเสื้อของเขา.. แทนคำขอบคุณในสิ่งที่เขาลงทุนทำให้..
   
“นี่ อย่าขี้แยน่า” และหลังจากที่เราสองคนกอดกันอยู่ในความเงียบเกือบนาที เอียนก็เป็นฝ่ายผละออก ก่อนที่เขาจะโยกหัวผมไปมา เหมือนกับในทุกๆ ครั้งที่เขาอยากให้ผมหยุดร้องไห้ ซึ่งมันก็ได้ผลแทบจะทุกครั้งราวกับมีเวทมนตร์
   
“ก็ได้ ฉันไม่ร้องแล้ว” ผมปาดน้ำตาหยดสุดท้าย ก่อนจะเริ่มยิ้ม “ขอบคุณนะเอียน นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดในปีนี้เลย” นี่ผมพูดจริงนะ แม้แต่เครื่องเล่นเกมราคาแพงของพ่อ ก็ยังไม่อาจจะสู้ดาวนับล้านของเอียนได้
   
“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้อยู่แล้วน่า : )”
   
เขาโยกหัวผมต่ออีกสักพัก ก่อนที่ผมกับเขาจะชวนกันนอนหลับไปบนเตียงของเรา ท่ามกลางหมู่ดาวที่ยังคงส่องสว่างไม่จางไป..
   
ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดีแล้ว ถ้าไม่ติดว่า.. ผมดันลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ..
   
และสิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งแรก ก็คือใบหน้าของเอียน.. ที่กำลังนอนหันหน้าเข้าหากัน..
   
เขาเหมือนเด็กมากเลยนะ เวลาที่เขาหลับน่ะ จนเกือบจะไม่เหลือคราบของเด็กขี้กวนที่คอยทำดีกับผมสารพัดเลยด้วยซ้ำ
   
“…” สิบสองปีแล้วสินะ ที่เราสองคนทำพันธะสัญญาด้วยกันน่ะ
   
มันเป็นเวลานานมากจริงๆ ที่เราอยู่ด้วยกันมา เพราะตั้งแต่จำความได้ ผมก็มีเขาอยู่ในชีวิตแล้ว เรียกว่า..เราทั้งคู่เกิดมาเพื่อรู้จักกับโลกใบนี้ไปพร้อมกันจริงๆ
   
และเมื่อยิ่งโตขึ้น เขาก็ยิ่งทำนั่นทำนี่เพื่อผมมากมาย ทั้งคอยดูแลและคอยปกป้องผมจากทุกสิ่งที่เขาคาดว่าจะก่อให้เกิดอันตราย
   
ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้าผมเป็นแค่เด็กผู้ชายทั่วไป เด็กผู้ชายที่..ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันเองแบบนี้..
   
เพราะเมื่อมันเป็นแบบนั้น แทนที่ผมจะมองเขาเป็นแค่เพื่อนหรือพี่ชายที่แสนดี ผมกลับสับสน.. และไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง..
   
“…”
   
เราไม่เคยสัมผัสกันมากกว่าการกอด.. ทำให้หลายๆ ครั้งที่เอียนทำให้ผมรู้สึกดี ผมมักจะจินตนาการว่า..ถ้าผมจูบเขา มันจะเป็นยังไงนะ?
   
ผมจะรู้สึกดีกว่านี้มั้ย ถ้าเราสองคนได้จูบกันขึ้นมาจริงๆ?
   
แม้กระทั่งตอนนี้.. ตอนที่หน้าของผมกับเอียนห่างกันเพียงคืบ.. ผมก็ยังคิดถึงจูบที่ผมเฝ้าสงสัยถึงตลอดมา..
   
ถึงแม้อีกใจนึงจะบอกว่าไม่อยากจูบ แต่อีกใจ..ก็ยังอยากที่จะลองทำมัน.. เพื่อคลายความสงสัยในใจตัวเองอยู่ดี..
   
“…” แล้วในวินาทีนั้น.. วินาทีที่จังหวะหายใจสม่ำเสมอของเขาทำให้มันเกิดความกล้า..
   
ผมค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไปหาเอียน ใกล้..ถึงขนาดที่ช่วงปากของผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่นของเขา..
   
ก่อนที่ผม..จะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากนั้น..
   
“…”
   
ซึ่งผลคือ..หัวใจของผมกลับนิ่ง..
   
มันไม่ได้เต้นแรงอย่างที่ผมเคยจินตนาการไว้ และในทางตรงกันข้าม.. ผมได้รู้แล้ว ว่าจูบของเอียนไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
   
ความสับสนที่ผ่านมาได้รับข้อสรุปในวินาทีนั้น ว่าสำหรับความรู้สึกที่มีต่อเอียนแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่พี่ชายที่แสนดี หาใช่ความรู้สึกว่ารักว่าชอบเหมือนที่ผมเคยเฝ้าสงสัยในตัวเองไม่
   
“…” ผมจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเงียบงัน หวังเพียงให้มันเป็นบททดสอบเล็กๆ ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้
   
ทว่า..
   
“วาฬ..นายทำอะไร?” คนที่ผมคิดว่ากำลังหลับสนิทอยู่ กลับลืมตาตื่นขึ้นมาเสียอย่างงั้น..
   
“อะ..เอียน.. มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ ฉัน..”
   
“แล้วมันยังไงล่ะ!”
   
โดยที่ไม่ทันให้ผมได้อธิบาย เขากระโดนลงจากเตียงในวินาทีต่อจากนั้น ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้อง..ซึ่งไกลออกไป...
   
“ฟะ..ฟังฉันก่อน..” ด้วยความตกใจที่ไม่เคยโดนอีกฝ่ายตวาดใส่ มันเลยทำให้ผมกลั่นกรองคำพูดในหัวออกมาได้ยากมาก ต่างจากน้ำตาที่ไหลออกมาได้อย่างง่ายดาย แบบที่ผมไม่จำเป็นต้องสั่งการ..
   
“หยุด! อย่าเข้ามานะ” ผมก็เลยเลือกที่จะก้าวเข้าไปหาเขา หมายจะยึดตัวไว้ แต่เอียนกลับร้องห้าม.. ไม่เหลือสายตาแห่งความอ่อนโยนที่เคยมีให้ ‘นายตัวเล็ก’ อีกต่อไปแล้ว..
   
“เอียน..”
   
“เสียงแรง ที่ฉันอุตส่าห์รักนายเหมือนน้องแท้ๆ!”
   
เพล้งงง!
   
“เอียน! อย่าไปนะ ฮึก.. กลับมาก่อน!!”
   
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากหลังจากนั้น... เมื่อทันทีที่เอียนฝากข้อความสุดท้ายไว้พร้อมกับความผิดหวังที่ฉายชัดภายในดวงตา... เขาก็ระเบิดหน้าต่างจนแตกละเอียดก่อนจะกลายร่างเป็นนกอินทรียักษ์ แล้วโผบินจากไป...
   
“ฮึก... เอียนนนนน!!”
   
ปล่อยผมทิ้งไว้กับหมู่ดาวนับล้าน..ที่ค่อยๆ ดับแสงลง..[/i]

/ ต่อด้านล่าง /
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2016 16:48:12 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

* * * * * * *
   
"เพราะแบบนี้เอง เอียนถึงได้ถอนพันธะสัญญาจากคุณในคืนนั้น"
   
"ฮึก.. ใช่ครับ ทั้งหมดมันเกิดจากความผิดของผมเอง.. ฮึก.. ถ้าเกิดว่าผมไม่ทำแบบนั้นลงไปล่ะก็.. เราสองคนคงได้เจอกันในบริบทที่ดีกว่านี้..." ยิ่งคิดถึงเรื่องคืนนั้นก็ยิ่งรู้สึกแย่.. เพียงเพราะแค่ความชั่ววูบสั้นๆ ในวัยเด็กเท่านั้น กลับส่งผลเสียยาวนานมาจนถึงปัจจุบันขนาดนี้..
   
แล้วผมเองก็ไม่เคยคิดที่จะเล่าสาเหตุที่แท้จริงของการที่เอียนจากไปให้ใครได้ฟังเลยแม้แต่คนเดียว เพราะว่า..มันน่าละอายเกินกว่าที่ผมจะกล้าพูด.. แต่แล้วทำไมผมถึงตัดสินใจเล่าให้เหล้ารัมฟังน่ะหรอ? คำตอบง่ายมาก.. ก็เพราะว่าเขาสมควรที่จะรู้น่ะสิ ว่าได้เสียสละชีวิตยืนยาวของตัวเองไปกับอะไร
   
ฮึก.. ผมยอมรับนะว่าผมคาดหวังว่าจะได้เห็นความโกรธหรือความไม่พอใจจากแฟนของผมบ้าง แบบว่า..ต่อว่าผมแรงๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องมาเสียสละเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ที่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แถมยังคอยสร้างแต่เรื่อง จนเราสองคนต้องมาหลบหนีกันแบบนี้
   
แต่ผลกลับไม่ออกมาเป็นอย่างงั้น.. "วาฬครับ.." เพราะเหล้ารัมเลือกที่จะช่วยปาดน้ำตาออกให้ ก่อนจะเริ่มลงความเห็นถึงสิ่งที่ผมเล่าไปด้วยสายตาอ่อนโยน.. "คุณอาจจะคิดว่าถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นในคืนนั้น ผมก็คงไม่ต้องมาลงทุนทำอะไรเพื่อคุณแบบนี้ ถูกต้องมั้ย?"
   
"..." ผมพยักหน้ารับ
   
"แต่สำหรับผม ผมกลับมองว่ามันคือโชคชะตานะ : )"
   
"..." รู้สึกว่าตัวเองตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายพูดเป็นอย่างมาก
   
"เพราะถ้าเกิดว่าเอียนไม่ถอนพันธะสัญญาแล้วหนีหายไป อย่าว่าแต่คุณจะได้เจอกับผมในบริบทอื่นเลย บางที..เราสองคนอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันเลยก็ได้"
   
"..."
   
"แล้วผมก็ยังคงยืนยันคำเดิมนะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยวาฬ หรือต่อให้ผิดจริง มันก็แค่ความผิดพลาดของเด็กในช่วงวัยที่กำลังสับสนเท่านั้น แต่เป็นนายเอียนต่างหากที่งี่เง่า อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งนาน ปากก็บอกว่ารักคุณเหมือนน้องชาย แต่กลับไม่ฟังคำอธิบายของคุณเลยด้วยซ้ำ แถมยังถึงขั้นถอนพันธะสัญญาโดยไม่สนเรื่องความเป็นความตายของคนๆ นึงอีก แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน จริงมั้ย?"
   
"ตะ..แต่ว่า.. ถึงยังไงผมก็ยังเป็นคนที่ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นนะครับ" ผมแย้ง
   
"แล้วยังไงล่ะ? คุณหวังว่าผมจะมองคุณในด้านลบ แล้วถอนพันธะสัญญาอย่างงั้นน่ะหรอ?"
   
"ก็..."
   
"ไม่มีทางหรอกวาฬ ผมไม่ยอมถอนพันธะสัญญาจากคุณเพียงเพราะความผิดพลาดในอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้วหรอกนะ"
   
"..."
   
"ตรงกันข้าม พอได้ฟังสาเหตุที่แท้จริงแบบนี้แล้ว กลับยิ่งดีต่อใจของผมเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าผมได้รู้เสียที ว่าคุณน่ะไม่ได้มีใจให้กับมันเลยแม้แต่น้อย : )"
   
"..." จังหวะนั้นผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ทั้งที่คราบน้ำตายังคงอาบสองข้างแก้ม
   
กะ..ก็จะไม่ให้หัวเราะได้ไงเล่า! คนอะไรกัน แทนที่จะห่วงเรื่องที่จะมีอายุไขสั้นลง แต่กลับมาโฟกัสไอ้เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ!?
   
เขานี่มัน.. เกินจะหาคำใดมาพูดจริงๆ!
   
"นั่นไง คุณยิ้มแล้ว : )"
   
"..." ด้วยความที่รู้สึกเขินนิดๆ ที่ถูกทำให้ทั้งหลุดหัวเราะและยิ้มออกมาในสถานะการณ์ที่กำลังคุยกันเรื่องซีเรียสขนาดนี้ ผมเลยทำการดันอกเขาแรงๆ หนึ่งที ก่อนที่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้หมดไป
   
"วาฬครับ" แล้วในจังหวะนั้นเอง จู่ๆ เหล้ารัมก็คว้าเอวของผมเข้าไปโอบไว้ ก่อนที่เขาจะมองมาด้วยสีหน้าและสายตาที่จริงจังมากขึ้นกว่าเดิม จนผมรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญที่อีกฝ่ายอยากจะพูดเป็นแน่
   
"ครับ?"
   
"ผมรู้นะ ว่าคุณคงจะไม่ชอบผลที่ตามมาของพันธะสัญญาครั้งที่สอง" ใช่ ผมไม่ชอบมันอย่างมาก เพียงแต่แค่ทำอะไรไม่ได้ก็เท่านั้น ก็ดูเขาสิ พูดอะไรไปก็ยกนั้นยกนี่มาขวางไว้ได้หมด แล้วแบบนี้ผมจะไปทำอะไรได้กันเล่า "แต่ผมขอให้คุณหายห่วงได้เลย เพราะว่าเรื่องนี้น่ะ ผมได้เตรียมแผนการเอาไว้ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแผนนี้ก็จะทำให้คุณมีอายุไขเท่ากับพ่อมดอย่างผมด้วย : )"
   
"ยะ..ยังไงหรอครับ?" ผมถามออกไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกว่าพูดเร็วจนลิ้นมันรัวไปหมดแล้ว
   
อะ..อายุไขเท่ากับพ่อมดเนี่ยนะ!?
   
"ก็..."
   
"อ๊ะ..!!"
   
"วาฬ!"
   
ตุบๆ ตุบๆ
   
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคำตอบจากเหล้ารัม.. ผมก็ทรุดลงกองกับพื้นด้วยอาการที่เปรียบเสมือนฝันร้าย..
   
อะ..อาการปวดหัวใจ!
   
"อ๊ากกกกกกกกกก!" ผมยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตัวไว้แน่น ก่อนจะร้องออกมาอย่างสุดเสียง เมื่อรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา!
   
"วาฬ! คุณเป็นอะไร!?" เหล้ารัมพยายามช่วยพลิกตัวผมให้นอนราบกับพื้น ทว่าความเจ็บปวดราวกับมีคนเอามีดมากรีดย้ำๆ ลงบนหัวใจมันก็ทำให้ผมกลับมาขดตัวง้ออีกครั้งอย่างทรมาน
   
ตุบๆ ตุบๆ
   
"อ๊ากกกกกกกกกกกกก!"
   
เจ็บ.. เจ็บมาก.. เจ็บจนน้ำตาไหล!
   
ผมไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้นักหนา! ทำไมชีวิตผมถึงต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วย!?
   
"วาฬ! คุณทำใจดีๆ ไว้นะ!"
   
"ผม..เจ็บ.."
   
"คุณจบตรงไหน? หน้าอกหรอ!?"
   
"หะ..หัว.. อึก.. หัวใจ!"
   
ตุบๆ ตุบๆ
   
"อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะรักษาคุณเอง" สิ้นสุดคำพูดนั้น เหล้ารัมก็ช้อนตัวผมขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างทุลักทุเลมาก เพราะว่าผมเอาแต่ดิ้นพล่านด้วยอย่างทรมานอยู่ในวงแขนของเขา
   
"คะ..คำสาป.. อึก.. คำสาป..กำลังส่งสัญญาณความตาย.. อ๊ากกกกกกกกกกกกก!" แต่ถึงจะเจ็บปวดเจียนตายขนาดไหน ผมก็ยังพยายามที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ โดยการบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงให้กับเขา
   
"แบบนี้นี่เอง" เหล้ารัมถึงได้พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะวางผมลงบนเตียงนอนแปลกตา..
   
ตุบๆ ตุบๆ
   
อึก.. นี่มัน..ห้องนอนของเหล้ารัมนี่?
   
ทั้งผ้าม่าน ทั้งสีของห้อง ล้วนเป็นสีโทนดำ-กรมท่า เลยทำให้ห้องค่อนข้างมืดกว่าด้านนอก ทว่าในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับน่าค้นหาไปในตัว..
   
ตุบๆ ตุบๆ
   
"อ๊ากกกกกกกกกก!!" แต่ผมก็สำรวจห้องของแฟนผมได้เพียงเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าอาการปวดใจในครั้งนี้จะไม่ยอมทุเลาลงง่ายๆ!
   
"มองตาผมไว้วาฬ มองตาผมไว้นะ" เหล้ารัมใช้ความพยายามในการพลิกตัวผมให้นอนราบอีกครั้ง ก่อนที่คราวนี้จะใช้แขนทั้งสองข้างล็อกข้อมือผมไว้
   
"ฮึก.. เหล้ารัม.. ผมเจ็บ.. เจ็บเหลือเกิน.." แม้ว่าร่างกายจะดิ้นทุรนทุรายไปมา แต่ผมก็ยังคงเชื่อฟังเหล้ารัม โดยการมองเข้าไปภายในดวงตาคู่นั้น..
   
ดวงตาที่สะท้อนกลับมาว่า..เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน..
   
"อยู่นิ่งๆ นะ ผมจะทำให้คุณหายเจ็บเอง ผมสัญญา"
   
"..."
   
พอเห็นว่าอยู่ในช่วงที่ผมนิ่งขึ้น เหล้ารัมก็ปล่อยแขนซ้ายของผมให้เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ..ล้วงมือขวาของเขาเข้ามาภายใต้เสื้อของผม.. ไล่ตั้งแต่ช่วงหน้าท้องจนมาหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางระว่างอก ซึ่งเป็นจุดที่ผมกำลังเจ็บปวดอย่างทรมาน..
   
สัมผัสของเขาทำเอาผมชาวาบไปทั่วทั้งตัว.. ก่อนที่หลังจากนั้นผมจะรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเหล้ารัมที่ค่อยๆ ซึมลึกลงสู่กลางใจ..
   
และราวกับมีเวทมนตร์.. อาการเจ็บปวดที่เคยมีกลับหายเป็นปลิดทิ้ง พร้อมกับกล้ามเนื้อที่เคยหดเกร็ง ก็ค่อยๆ คลายตัว จนตอนนี้..ร่างกายของผมสามารถกลับมานอนราบเป็นปกติได้ดังเดิม..
   
"เป็นไงครับ หายเจ็บมั้ย?" เหล้ารัมเอ่ยถามอาการผมอีกครั้งเมื่อเขาเลื่อนมือออกจากเสื้อผมไปแล้ว
   
"..." แต่ผมไม่ตอบ ได้แต่มองตาเขาด้วยความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นภายในใจ
   
"..." ในขณะที่เขาเองก็ดูจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าผมมองแบบนั้น
   
เพราะผมไม่ได้เพียงแค่มองตาเขา.. แต่ยังมองขึ้นไปที่เส้นผมสีบลอนด์สว่างจ้า ไล่ลงมายังหน้าผากเรียบเนียนและจมูกโด่งเป็นสัน ก่อนที่จะมาหยุดลงตรงริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปสวยของเขา..
   
"..."
   
"..."
   
เราทั้งคู่ต่างเงียบงันกันไปในวินาทีนั้น วินาทีที่ร่างกายของผมรู้สึกร้อนจากภายใน ราวกับต้องการสัมผัสจากชายที่กำลังคร่อมตัวผมอยู่
   
"..."
   
"..."
   
ซึ่งผมเองก็รู้ว่าเขารู้.. ว่ามีบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน คล้ายกับ..แม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากันอย่างรุนแรง จนมันยากจะต้านทาน..
   
ดังนั้น.. ผมจึงอดไม่ไหวที่จะเป็นฝ่ายเริ่ม!
      
“อื้อ...” เสียงครางในลำคอของเหล้ารัมดังขึ้นทันทีที่ผมโน้มหน้าเขาเข้ามาจูบอย่างดูดดื่มและรุนแรง.. ก่อนที่อารมณ์ทั้งหมดที่แผ่ความร้อนอยู่ภายในร่างกายมันจะผลักดันให้ผมตอบรับความรู้สึกจากริมฝีปากของเขาที่ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงลำคอ..
   
“ละ..เหล้ารัม.. ผมยังไม่เคย.. ผะ..ผมยังไม่พร้อม..” แล้วในวินาทีนั้น.. วินาทีที่ลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายรินรดซอกคอของผมทั้งซ้ายและขวา ผมถึงรู้สึกตัวว่า..ได้ไปจุดไฟในสิ่งที่ตัวเองยังไม่พร้อมจะรับมือเข้าเสียแล้ว.. จึงเริ่มงอแงเป็นเด็กๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เหล้ารัมรู้ว่าผมกลัวเกินกว่าจะไปต่อได้..
   
ทว่า..
   
“ผมเองก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่คิดว่ามันไม่น่าจะยาก” ..แทนที่เหล้ารัมจะหยุด เขากลับเลื่อนใบหน้าขึ้นมากระซิบข้างหูผม..ด้วยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ายังไงงานนี้นายพ่อมดเหล้าก็ไม่มีทางยอมปล่อยผมไปง่ายๆ แน่
   
“อา.. เหล้ารัม..” ซึ่งก็แปลกนะ ทั้งที่ผมก็บอกอยู่ว่ายังไม่พร้อม แต่ในทันทีที่เหล้ารัมดึงเสื้อผมขึ้น พะ..เพื่อโลมเลียร่างส่วนหน้าขึ้นมาจากสะดือ ผมกลับไร้การขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น ตรงกันข้าม ผมกลับช่วยเขาถอดเสื้อของตัวเองที่กั้นขวางอยู่ออกไปให้พ้นทางด้วย แล้วปล่อยให้นายพ่อมดได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ..
   
ผมเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อถูกเหล้ารัมไล่ลิ้นขึ้นมาวนรอบอกผมอย่างหยอกล้อสลับกับรุนแรง จนความซาบซ่านจากการถูกกระทำแบบนั้น..มันทำให้ผมยกมือขึ้นกอดรัดร่างที่อยู่บนตัวแน่น ก่อนที่จะเริ่มปลดปล่อยเสียงร้องแสดงอารมณ์ของตัวเองอย่างไร้ความละอาย
   
“วาฬ..” ผมเกือบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ถ้าเหล้ารัมไม่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผมเสียก่อน “ผมไม่ไหวแล้ว..” แต่ดูจากสีหน้าของคนพูด ผมคงได้ขาดใจตายจริงๆ หลังจากนี้แน่
   
ฟึ่บ!
   
“เหล้ารัม!” ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบนะ เพราะหน้าตอนที่เหล้ารัมบอกว่า ‘ไม่ไหวแล้ว’ มันได้อารมณ์เสียจนผมอยากที่จะแนบกายส่วนหน้าเข้ากับเขาแบบให้แนบสนิทชิดกัน ตะ..แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความตกใจ! เมื่อเหล้ารัมใช้เวทมนตร์โดยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว เสื้อผ้าของเราทั้งคู่ก็หายไปในพริบตา! เหลือเพียงความเขินอายของผมที่ต้องพยายามใช้มือปิดบังส่วนที่ไม่ควรที่จะเปิดเผยกับใครง่ายๆ
   
“เอามือออก” แต่ดูท่าว่าการทำแบบนี้จะทำให้เหล้ารัมไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก จนถึงขนาดที่เขาต้องเริ่มออกคำสั่งใส่ผมราวกับผู้คุมเกม
   
“...” ผมรู้สึกสั่นเล็กน้อย ที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากคลายมือออกจากตัวเองเพื่อเผยทุกสิ่งอย่างออกมา..
   
ซะ..ซึ่งมันทำให้หน้าผมร้อนเหมือนถูกไฟกองใหญ่เผาไหม้ เมื่อนายพ่อมดเหล้าค่อยๆ ไล่มองกายเปลือยเปล่าของผมทุกสัดส่วนด้วยรอยยิ้มพึงใจ..
   
หะ..เห็นเวลาปกติสุภาพๆ แต่ทำไมทีเวลาแบบนี้ถึงได้ร้ายกาจนักก็ไม่รู้!
   
“อื้อ...”
   
และยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดว่าควรที่จะทำอะไรต่อไปดี เหล้ารัมก็ก้มลงมาประจูบ พร้อมกับ..จับขาทั้งสองข้างของผมแยกออกจากกัน..
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
ใจผมยิ่งเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสของช่วงล่างของเหล้ารัมที่แทรกตัวเข้ามาใกล้ ละ..ลองอยู่ในท่าทางแบบนี้.. ผมเองก็คงจะรอดยากแล้วล่ะ!
   
“ผมสัญญา ว่าจะไม่ทำให้คุณเจ็บ”
   
แล้วครั้งแรกของผมมันก็เกิดขึ้นในเวลาต่อจากนั้น.. เมื่อเหล้ารัมยกตัวขึ้นนั่ง ก่อนที่จะเริ่มตั้งหน้าตั้งตากับการ..สอดใส่..ที่ทำเอาร่างกายของผมมันถึงกับชาวาบไปทั้งตัว..
   
ผะ..ผมอายนะ แต่ก็..ยอมรับว่าอยากเห็นขั้นตอนการสอดใส่ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะว่านี่คือครั้งแรกของผม มันก็เลยย่อมที่จะอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
   
คิดได้ดังนั้น ผมจึงเงยหัวขึ้นมอง..อันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายพ่อมดเหล้ากำลังใช้มือช่วยดัน..ของเขาเข้ามาในตัวผม.. ละ..แล้วมันก็ทำเอาผมถึงกับหายใจติดขัด..กับขนาดของสิ่งที่ผมได้เห็นเต็มสองตา..!
   
และเพราะแบบนั้น ผมจึงได้รีบทิ้งหัวลงนอนตามเดิม เพราะรู้สึกกลัวว่าถ้าไซส์..ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้นผ่านเข้ามา อะ..อาจจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดก็ได้!
   
แต่ผลคือ.. “ขะ..เข้าไปแล้วหรอ?”
   
“ใช่ เข้าไปแล้ว : )” ..มันกลับเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ไม่เจ็บ.. ไม่ปวด.. ไม่ทรมาน.. มีเพียงสัมผัสอุ่นร้อนอึดอัดเท่านั้นที่ผมรับรู้ได้.. สงสัยงานนี้เหล้ารัมคงต้องใช้เวทมนตร์เข้ามาเป็นตัวช่วยอย่างแน่นอน
   
“อ๊ะ!” แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรในหัวอยู่นั้น ผลจาก ‘แรงกระแทก’ ของเหล้ารัมก็ทำเอาผมไม่สามารถคิดสิ่งใดได้อีก..
   
เมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นจากการดึงตัวออกของเหล้ารัมในระยะที่ค่อนข้างห่างกัน..ก่อนที่จะส่งแรงดันกายแกร่งของเขาเข้ามาหนักๆ ประมาณสามถึงสี่ครั้ง ก่อนที่หลังจากนั้น..จังหวะการเคลื่อนตัวเข้าออกจะเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ ทว่าหนักหน่วงเสียจนผมไม่อาจที่จะกักเก็บเสียงของตัวเองเอาไว้ได้เลย
   
“อา.. วาฬ..” ขณะที่เหล้ารัมเองก็ครางเสียดังในลำคอเหมือนกัน ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะเร้าความรู้สึกเหลือเกิน!
   
หลังจากนั้นเราทั้งคู่ต่างรับส่งอารมณ์กันไปมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนถึงช่วงเวลานึง.. การเสียดสีกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง..ของผม กับช่วงบริเวณหน้าท้องของเหล้ารัม..เวลาที่อีกฝ่ายแนบกายลงมา ทำเอาผมเริ่มบีบไหล่นายพ่อมดไว้แน่น เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่ใกล้จะถูกปลดปล่อยเต็มที.. ทั้งที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากเหล้ารัมเลยด้วยซ้ำ..
   
“เหล้ารัม.. ผม.. ผม..”
   
“ปล่อยออกมาวาฬ.. ไม่ต้องฝืน..” โดยที่เหล้ารัมเองก็คงจะรู้ดี ว่าผมคงจะทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงช่วยแนบจังหวะการเสียดสีเพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาตอบสนองให้เร็วขึ้น จนในที่สุด..
   
“อื้อออออออออ!” ..มันก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนเต็มหน้าท้องของตัวผมเอง
   
ซึ่งเมื่อเห็นว่าผมนำหน้าไปก่อนแล้ว เหล้ารัมก็ดูเหมือนจะยิ่งเร่งจังหวะมากขึ้น จนผมแทบจะส่งเสียงร้องไม่ออกแล้ว เพราะถูกแทนที่ด้วยการหอบหายใจถี่จากจังหวะที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นแทน
   
“อา...” แล้วไม่นานนัก เหล้ารัมก็โน้มหน้าลงมาจูบผมอีกครั้ง ก่อนที่จังหวะการเคลื่อนไหวเร็วแรงถึงขีดสุด..จะทำให้ผมรับรู้ถึงมวลอารมณ์ของอีกฝ่ายที่คงจะถูกปลดปล่อยในอีกไม่ช้านี้เช่นกัน
   
“เหล้ารัม.. บะ..เบาหน่อยครับ..”
   
“ไม่ได้วาฬ.. ผมใกล้แล้ว..”
   
แล้วก็เป็นไปตามที่ผมคิด เมื่อเหล้ารัมคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้แนบแน่น..จนเราสองคนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างระหว่างกันและกันเลยสักนิด..นอกจากส่วนล่างที่ขยับรับส่งกันอย่างรุนแรงขึ้นทุกที
   
จนในที่สุด..
   
“เหล้ารัม..”
   
“วาฬฬฬฬฬฬ!!” ..เหล้ารัมก็คำรามชื่อของผมเสียงดังลั่น ก่อนที่..ผมจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์อันอุ่นร้อนที่เหล้ารัมปล่อยผ่านเข้ามาในร่างกาย จนหัวใจผมมันท้วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะเกินบรรยายเสียแล้ว..
   
แต่ใครจะคิด..
   
“ดูนี่สิวาฬ”
   
..ว่าหลังจากนั้นเหล้ารัมจะยกตัวขึ้น ก่อนที่จะเผยด้ายแห่งพันธะสัญญาออกมา
   
เอาจริงๆ ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าทำไมจู่ๆ นายพ่อมดเหล้าถึงจะต้องมาชวนดูเส้นดายอะไรตอนนี้ด้วย ทั้งๆ ที่การกระทำของเขา ทำเอาผมหมดกำลังกายเกินกว่าที่จะลืมตาต่อได้ อีกอย่าง..ไอ้นั่นก็ยังคาอยู่เลย..
   
“อ๊ะ!?”
   
แต่พอได้เห็นว่ามีสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ผมก็รวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย..โฟกัสความสนใจไปยังด้ายแห่งพันธะสัญญานั่น จึงได้ทันเห็นว่า..เจ้าเส้นด้ายบริเวณนิ้วของเราทั้งคู่กำลังเรืองแสงสีแดงสดท่ามกลางบรรยากาศของห้องที่ค่อนข้างมืด..ก่อนที่แสงสีแดงนั้นจะค่อยๆ วิ่งเข้าหากัน จนมันกลายเป็นสีแดงเรืองแสงแบบนั้นทั้งเส้น!
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
หัวใจของผมที่กำลังเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นว่าในที่สุด.. พันธะสัญญาครั้งที่สองก็เป็นอันสำเร็จลงได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อันเกิดจาก..ความรักของผมกับเหล้ารัมที่เรามีให้แก่กัน
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
ซึ่งเหล้ารัมเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะตอนที่เขาก้มลงมาจูบผมอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง.. ผมก็สัมผัสได้ถึงการเต้นแรงของหัวใจของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ก่อนที่หลังจากนั้น เหล้ารัมจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า พลางกระซิบที่ข้างหูผมว่า.. “ยินดีด้วยนะ คุณเป็นอิสระจากคำสาปแล้ววาฬ : )”
   
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะทำให้ผมผลอยหลับไป..



จบตอนที่ 18

นี่เป็น NC แรกในชีวิตที่แฮมสเตอร์เคยเขียนเลยครับ
เป็นอะไรที่ยากและช่างอ่อนหัดมาก
จนบางทีคิดว่าถ้าวางพล๊อตใหม่ได้ ก็จะตัดฉากนี้ออกไปเลย
แต่ในเมื่อมันวางมาแบบนี้แล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเขียน
ยังไงก็ ฝากติชมกันด้วยนะครับ

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

 :hao5:


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
รอฟังแผนของเหล้ารัม

ถ้าเหล้ารัมไม่เก่งขนาดนี้ ป่านนี้วาฬน่าจะตายเพราะคำสาปนานแล้วนะเนี่ย

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
อย่างลึกซึ้งจริงๆ เหล้ารัมสุดยอดมากกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เหล้ารัมจะทำให้วาฬอายุไขเท่ากะบพ่อมดยังไงเนี่ย
จะรออ่านนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
แล้วเหล้ารัมจะทำยังไงให้วาฬมีอายุเท่ากับพ่อมด???  ตอนนี้เหล้ารัมกลายเป็นมีอายุเท่ากับมนุษย์แล้วนี่นา ...

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
โอ้วววว รัมนี่พระเอกจริงๆ หล่อที่สุดเลยค่ะะะะ  :mew1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 19
{ เซฟเฮ้าส์ }


เช้าวันต่อมา...
   
ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่แปลกใหม่กว่าเคย.. เมื่อมีท่อนแขนของเหล้ารัมพาดทับ และไออุ่นจากกายเปลือยเปล่าที่เบียดชิดเข้ามา..
   
มันทั้ง...รู้สึกดี แล้วก็รู้สึกเขินแปลกๆ ไปพร้อมกัน
   
ยิ่งหันมองหน้าตอนที่กำลังหลับของอีกฝ่ายแบบนี้ ความรู้สึกภายมากมายในใจยิ่งถาโถมเข้ามาราวกับมวลคลื่นสาดซัดเม็ดทราย..
   
“…” การได้เห็นเส้นดายแห่งพันธะสัญญากลายเป็นสีแดงสดตลอดทั้งเส้น กลายเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธความรู้สึกที่สองเรามีให้แก่กันได้..
   
ผมรักเขา เรารักกัน และนั่นล่ะคือความจริง
   
“ผมรักคุณนะเหล้ารัม” ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ในสิ่งที่ผมพูดมั้ย แต่ในทันทีที่ผมจูบลงไปบนริมฝีปากของเขา เหล้ารัมก็จูบตอบกลับมานานนับนาที ก่อนที่เขาจะเริ่มนิ่งไป คล้ายกับว่าไม่สามารถเอาชนะความง่วงได้
   
ต่างจากผมที่ลุกขึ้นจากเตียงด้วยรอยยิ้ม ตรงไปอาบน้ำ ก่อนจะเปิดม่านในห้องนั่งเล่นเพื่อรับแสงแดดของเช้าวันใหม่ที่กำลังสาดส่องเข้ามา
   
ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแน่ ที่ทำให้เช้าวันนี้ดูงดงามมากกว่าทุกเช้าที่ผ่านมา
   
อาจจะเพราะ..ผมได้รู้ว่ารักคนที่ควรรัก หรือไม่ก็..อาจะเป็นเพราะว่าผมได้ชีวิตใหม่จากการทำพันธะสัญญาที่สมบูรณ์ก็ได้
   
แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม ผมขอสาบานกับตัวเองเลยว่า ทั้งเมื่อคืนนี้ และเช้านี้ จะเป็นสิ่งที่ผมจดจำไปอีกนานแสนนาน
   
“หอมจัง” แล้วในขณะที่ผมกำลังจัดวางอาหารเช้าที่ทำเสร็จแล้วลงบนโต๊ะกินข้าว คุณแฟนผมก็เปิดประตูออกมาจากห้องนอนด้วยเสื้อผ้าใหม่แบบครบชิ้น แสดงว่านี่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วสินะ
   
“วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษนะครับ ผมทำเท่าที่ของในตู้เย็นจะอำนวย เพราะไม่กล้าออกไปซื้อของข้างล่าง”
   
“นี่ขนาดไม่ค่อยมีอะไรพิเศษนะเนี่ย” เหล้ารัมตาลุกวาวเมื่อเดินเข้ามามองดูอาหารสามอย่างที่ผมทำใกล้ๆ ก่อนจะกล่าวชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเด็กน้อยว่า.. “เมียใครก็ไม่รู้ ทำกับข้าวเก๊งเก่ง.. โอ๊ยยย! เจ็บนะวาฬ!”
   
กะ..ก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว ก็ผมตีให้เจ็บนี่!
   
“แล้วคุณอยากพูดอะไรแบบนั้นทำไมกันเล่า!”
   
“ผมพูดอะไร? คำว่า ‘เมีย’ น่ะหรอ?”
   
“น่ะ..นั่นแหละ อยากพูดทำไมเล่า!”
   
“อ้าว ก็เราสองคนมีอะไรกันแล้ว ให้ผมเรียกแฟนเฉยๆ ได้ที่ไหนกัน”
   
“มะ..ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นแหละ! สรุปว่ากินมั้ยข้าวเนี่ย ไม่กินผมเก็บนะ” ผมทำทีเป็นคว้าจานกับข้าวขึ้นมาสองอย่างเพื่อที่จะเอาไปเก็บในครัว ทั้งๆ ที่สองข้างแก้วกำลังร้อนผ่าวๆ ราวกับไฟไหม้!
   
“โอ๋ๆ กินครับกิน” เหล้ารัมเลยรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคว้าจานอาหารในมือผมกลับไป ก่อนที่เขาจะทำหน้าทำตาเหมือน ‘ยอมแล้ว’ และจะไม่พูดถึงคำว่า ‘เมีย’ขึ้นมาอีก ซะ..ซึ่งนั่นดีมาก!
   
“วาฬ ผมว่านะ ทางเดียวที่เราจะหาที่พักใหม่ได้ คือเราจะต้องหาทางติดต่อเจ้าชายโดยที่ไม่ทำให้พี่วิสกี้ล่วงรู้ เพราะว่าไอ้เพื่อนผมคนนี้เนี่ย มันน่าที่จะมีที่ปลอดภัยเยอะที่สุดแล้ว” แล้วพอหลังจากที่ทุกอย่างสงบลง จนเราสองคนได้ลงมือกินมื้อเช้า เหล้ารัมก็พูดในสิ่งที่คิดออกมา และนั่นเริ่มทำให้ผมจินตนาการถึงภาพในหัวว่าเราจะทำการติดต่อเจ้าชายเบเนดิกต์ได้อย่างไร
   
“ผมว่าผมมีวิธีที่จะติดต่อเจ้าชายได้โดยที่พี่วิสกี้ไม่รู้นะ” ซึ่งไม่นานนัก ผมก็ได้ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้
   
เพราะฉะนั้น ทันทีที่กินข้าวเสร็จ ผมก็ไม่รอช้า เริ่มดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ทันที
   
ซึ่งในความคิดผมนะ เราควรจะต้องเริ่มจากคนที่น่าสงสัยน้อยที่สุดก่อน และนั่นก็คือ...
   
“แม่ครับ” แม่ของผมนั่นเอง
   
(วาฬหรอลูก! เป็นยังไงบ้าง นี่พ่อกับแม่เป็นห่วงเรามากเลยนะ เห็นพวกพ่อมดแม่มดพูดกันว่าลูกได้รับบาดเจ็บ เป็นอะไรมากมั้ยลูก แล้วตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนเนี่ย!?) ผมถึงกับเออไปชั่วขณะ เมื่อเจอปลายสายแผดเสียงใส่แบบรัวๆ ก่อนที่ผมจะเริ่มตั้งสติได้ และลงมือเบรคทุกความสงสัยของแม่เอาไว้ก่อน
   
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนนะครับแม่”
   
(แต่ว่า..)
   
“เพราะถ้าแม่ไม่ฟังผม แล้วไม่รีบช่วยผมตอนนี้ ผมอาจจะโดนแม่มดวิสกี้ฆ่าตายก็ได้!”
   
พอได้ยินผมพูดแบบนั้น แม่ก็ถึงกับหยุดทุกอย่าง และยอมฟังในสิ่งที่ผมต้องการ
   
นั้นคือ ผมต้องการให้แม่ไปบอกไรเกอร์ (แบบที่ไม่ให้พี่เบลรู้) ว่าให้เขาไปบอกคุณวินเซนต์ ว่าให้คุณวินเซนต์หาถ้าไปบอกเจ้าชายไปเบเนดิกต์โดยตรง ว่าเหล้ารัมต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วน โดยที่การส่งต่อคำขอความช่วยเหลือนี้จะต้องรวดเร็วและเป็นความลับอย่างมาก ห้ามให้ใครรู้ นอกจากรายชื่อที่ได้บอกไปเท่านั้น
   
(ได้เลยลูก เดี๋ยวแม่จัดให้) ซึ่งมาผมก็รับปากแข็งขัน ก่อนท่านจะวางสายไป
   
ก๊อกๆๆ!
   
แล้วใครจะคิด ว่าเพียงแค่สี่สิยห้านาที (โดยประมาณ) ประตูคอนโดก็ถูกเคาะโดยใครบางคนเสียแล้ว
   
“เหล้ารัม นี่ฉันเบเนดิกต์เองนะ แล้วก็มีวินเซนต์มาด้วยคน”
   
“เออ ฉันก็มาด้วย”
   
ผมกับเหล้ารัมหันมองหน้ากันเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าคนข้างนอกจะแนะนำตัวออกมาแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ร้อนเปอร์เซ็นต์หรอกนะ
   
เพราะฉะนั้น ตอนที่เราสองคนเดินไปถึงที่ประตู.. “ไหน ขอรหัสลับของกลุ่มหน่อยซิ” เหล้ารัมเลยส่งสัญญาณให้ผมหลบอยู่หลังเขา ก่อนที่จะเอ่ยปากขอรหัสลับจากคนข้างนอก
   
“อะไรวะ ทำไมต้องใช้รหัสผ่านด้วย นี่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย?” ถ้าผมจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นเสียงของคุณวินเซนต์นะ เพราะถ้าเป็นเจ้าชาย เสียงพระองค์จะเข้มกว่านี้
   
“เรื่องใหญ่น่ะสิวะ ถ้าเกิดไม่บอก ฉันไม่ให้เข้าเด็ดขาด”
   
“โอเคๆ” คราวนี้เป็นเสียงตอบกลับจากเจ้าชาย “รหัสลับคือ..ไอ้เหล้ารัมไม่เคยได้ฟันใคร”
   
รหัสผ่านที่ถูกกล่าวมาทำเอาผมรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ก่อนที่มันจะร้อนขึ้นกว่าเดิมเมื่อนายพ่อหมดเหล้าหันมาส่งสายตาเจ้าเล่ห์ พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้กับผม คล้ายกับว่าอีกฝ่ายต้องการใช้รหัสผ่านนั้นเพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเองในช่วงก่อนที่จะมีอะไรกับผมเมื่อคืนนี้ยังไงยังงั้น
   
ผมที่ทำตัวไม่ถูก เลยได้แต่ผลักหลังเขาแก้เก้อ ทำเอาเหล้ารัมหัวเราะชอบใจใหญ่ ก่อนจะหันไปสนใจคนที่อยู่ข้างนอกต่อ
   
“ถูกต้อง”
   
“ถ้าถูกก็รีบเปิดประตูสิวะ จะรอให้ใครมาเพิ่มอีกหรือไง” สิ้นเสียงโวยของคุณวินเซนต์ เหล้ารัมก็เปิดประตูให้เพื่อนเราสองคนของเขาเข้ามา
   
“สวัสดีครับเจ้าชาย สวัสดีครับคุณวินเซนต์”
   
ผมเริ่มกล่าวคำทักทายก่อนเป็นคนแรก ซึ่งคิดว่าน่าจะถูกนะ ถึงแม้ว่าคราวก่อนพวกเขาทั้งคู่จะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่ก็ตาม
   
ก็คือ.. หนุ่มผิวแทนร่างใหญ่ มีนัยน์ตาสีฟ้าใสกับผมจัดทรงเท่ห์สีน้ำตาลเข้ม คนนี้คือเจ้าชายเบ้นดิกต์
   
ส่วน.. หนุ่มร่างสูงที่มาพร้อมผิวขาวจัดและนัยน์ตาสีแอมเบอร์คนนี้ ก็ต้องเป็นคุณวินเซนต์ไม่ผิดแน่
   
“สวัสดีครับวาฬ ในที่สุดผมก็ได้รู้จักคุณอย่างเป็นทางการสักทีนะ” เอ่อ.. เจ้าชายเบเนดิกต์คงจะหมายถึงเรื่องชื่อที่ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเมื่อคราวก่อนซินะ แต่ว่าตอนนี้คงไม่ต้องบอกแล้วแหละ เพราะเหมือนว่าพระองค์จะรู้ด้วยตัวเองแล้ว
   
“สวัสดีเช่นกันครับวาฬ ตัวจริงดูดีกว่ารูปในหนังสือพิมพ์อีกนะ” ก่อนจะตามมาด้วยคำทักของคุณวินเซนต์ที่ทำเอาผมถึงกับยิ้มแหย เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรกลับไปดี
   
“โอเค ไหนว่ามาซิเหล้ารัม ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ซึ่งก็ต้องขอบคุณเจ้าชายน่ะนะ ที่พอคุณวินเซนต์ทักผมเสร็จ พระองค์ก็หันไปถามเขาเรื่องกับเราเหล้ารัมต่อเลย ทำให้ผมไม่ต้องคิดหาคำพูดอะไรอีก
   
งานนี้เหล้ารัมก็เลยต้องเล่าทุกอย่างออกมาซะหมดเปลือก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เราสองคนทำพันธะสัญญากัน ยันเรื่องที่กำลังถูกพี่วิสกี้ตามล่า
   
“ว่าแล้วมั้ยล่ะ! ว่าทำไมแกถึงรักคุณวาฬได้โดยที่ไม่สนใจว่าเขากำลังจะตาย ที่แท้ก็เพราะว่าทำพันธะสัญญาครั้งที่สองด้วยกันแล้วนี่เอง” เจ้าชายเป็นคนแรกที่เริ่มพูดภายหลังจากที่เหล้ารัมอธิบายเรื่องทั้งหมดแล้ว
   
“ฉันล่ะนับถือแกจริงๆ ไอ้เหล้ารัม ยอมเสียสละเพื่อคนที่รักได้ขนาดนี้ ทำเอาฉันอยากเจอใครสักคนที่จะยอมตายไปพร้อมๆ กัน เหมือนกับแกเลยว่ะ” ก่อนจะตามด้วยคุณวินเซนต์ที่ถึงกับยกนิ้วโป้งให้เพื่อนของตัวเอง โดยที่คงจะไม่รู้ตัวเลยว่า..
   
“งั้นแกก็เลิกฟันมั่ว แล้วเริ่มมองหารักแท้จริงๆ สักทีสิวะ” ..จะโดนเพื่อนพูดกลับแบบนี้
   
“อะ..ไอ้เหล้ารัม! มันใช่เวลาที่แกจะมาหลอกด่าฉันมั้ยเนี่ย!?”
   
“ใครหลอกด่ากัน ฉันแค่แนะนำแกเฉย ๆก็เท่านั้นเอง : )”
   
“งั้นแกก็ต้องแนะนำไอ้เจ้าชายด้วย มันก็ฟันมั่วเหมือนกันนั่นแหละ!”
   
“อ้าว! ไหงเอาฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยวะ!?”
   
“ก็มันจริงนี่ แกเองก็ฟันมั่วเหมือนกันนี่หว่า”
   
“ใครว่า ฉันเป็นเจ้าชายนะ วางตัวดีอยู่แล้ว ไม่มีมาฟันมั่วแบบแกหรอกไอ้วินเซนต์”
   
“หึ! น้อยไปสิแกน่ะ”
   
แล้วสงครามน้ำลายขนาดย่อมก็ถือกำเนิดขึ้น ในขณะที่ผมได้แต่หัวเราะน้อยๆ กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะว่าพวกเขาทำตัวอย่างกับเด็กตีกันเลย ทั้งๆ ที่ก็หนุ่มก็แน่น แถมยังหล่อกันขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆๆๆ~ น่าขำจริงๆ :D
   
ซึ่งภายหลังจากที่สงครามน้ำลายดำเนินต่อไปอีกสักพัก เจ้าชายที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ก็เริ่มร้องห้าม ก่อนจะวกกลับเข้าประเด็นในสิ่งที่ทุกคนมารวมตัวกัน..
   
“สรุปว่าแกต้องการเซฟเฮ้าส์สินะ”
   
“ใช่” เหล้ารัมพยักหน้า เริ่มเข้าสู่โหมดซีเรียส “ฉันอยากได้ที่ที่พี่วิสกี้จะหาฉันกับวาฬไม่เจอ หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะพ้นวันเกิดของวาฬ”
   
ใจจริงผมอยากจะขัดจังหวะการสนทนาเหมือนกันนะ เพราะว่าถ้าต้องซ่อนตัวหลายวันขนาดนั้น แล้วผมจะเอายังไงกับเรื่องการเรียนดี?
   
แต่พอลองคิดดูอีกที.. ระหว่างเรื่องเรียนกับเรื่องหนีพี่วิสกี้ ผมว่าผมให้ความสำคัญกับอย่างหลังน่าจะดีกว่า
   
“อืม.. งั้นก็มีอยู่ที่นึง ทางตอนใต้ของโลกเวทมนตร์รับรองว่าวิสกี้หาไม่เจอแน่ งั้นยังไงเดี๋ยวฉันจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปจัดเตรียมสถานที่ก่อนเลยก็แล้วกัน”
   
พูดจบแค่นั้น เจ้าชายเบเนดิกต์ก็โทรหาคนที่ไว้ใจได้ตามที่พระองค์ว่า ก่อนที่ผมกับเหล้ารัมจะเริ่มแยกย้ายกันไปเก็บของที่จำเป็น โดยมีคุณวินเซนต์ตามไปช่วยผมเก็บด้วย เพราะแค่พ่อมดจากตระกูลเกรวินเกอร์โบกมือแค่ทีเดียว ของทุกอย่างก็ลอยลงมาอยู่ในกระเป๋าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
   
“รีบไปกันเถอะ ก่อนที่วิสกี้จะหาที่นี่เจอ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ รับรองว่าเราได้ซวยกันหมดแน่” พอหลังจากที่ทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เจ้าชายเบเนดิกต์ก็สั่งเคลื่อนพลทันที เพราะดูท่าแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าชายเองก็ยังไม่กล้ามีเรื่องกับพี่วิสกี้เลยนะ
   
พี่วิสกี้นี่.. คงจะใช้แค่คำว่า ‘น่ากลัว’ ไม่ได้แล้ว..
   
“เดี๋ยวก่อน” แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพากันเดินออกจากห้องไป จู่ๆ เหล้ารัมก็ร้องห้ามไว้ จนทั้งผม เจ้าชาย และคุณวินเซนต์ ต้องหันมองเขาเป็นตาเดียว
   
“มีอะไรหรอเหล้ารัม?” ผมถาม
   
“ผมเพิ่งคิดขึ้นมาได้ ว่าสงสัยกลุ่มของผมกับเพื่อนๆ คงจะต้องเปลี่ยนรหัสลับใหม่แล้ว : )”
   
“ทำไมวะ?” เจ้าชายเบเนดิกต์กับคุณวินเซนต์ขมวดคิ้วถามออกมาพร้อมกัน
   
นะ..ในขณะที่ผมหน้าไหม้ไปหมดแล้ว! เพราะว่าดันเข้าใจในสิ่งที่เหล้ารัมต้องการจะสื่อเป็นคนแรก!
   
“เดี๋ยวนะ” ก่อนที่ไม่นานนัก คุณวินเซนต์จะทำท่าเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ พลางมองผมกับเหล้ารัมสลับกันไปมา และ.. “เชี่ยยย จริงดิ!?”
   
“นี่แก..จัดการวาฬแล้วหรอวะ!?” แล้วก็ไม่ใช่แค่คุณวินเซนคนเดียวนะ เพราะว่าตอนนี้เจ้าชายเบเนดิกต์ก็เก็ทกับสิ่งที่เหล้ารัมต้องการจะสื่อแล้วเหมือนกัน ถะ..แถมยังพูดตรงยิ่งกว่าคุณวินเซนต์ด้วย!
   
และที่หนักสุดเลยก็คือเหล้ารัมครับ คนอะไรจะพยักหน้ารับกับเรื่องแบบนี้ด้วยความภาคภูมิใจได้ขนาดนั้น ยังกับว่าได้ทำเรื่องที่มันประสบความสำเร็จในชีวิตก็ไม่ปาน! “ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เลย พันธะสัญญาครั้งที่สองถึงได้สำเร็จไง : )”
   
“เจ๋งไปเลยว่ะเพื่อน!” (คุณวินเซนต์)
   
“เออ ดีใจด้วยว่ะ ได้เสียเวอร์จิ้นกับเขาสักที” (เจ้าชายเบเนดิกต์)
   
“ถ้างั้นก็มาตีมือกันหน่อยมา : )” (เหล้ารัม)
   
สิ้นเสียงคำชวนของนายพ่อมดเหล้า เพื่อนซี้ทั้งสามคนก็สลับไฮไฟว์กันไปมา อย่างสนุกสนาน
   
“...” ดะ..โดยที่ไม่ได้มีความเกรงใจ ‘คนถูกจัดการ’ อย่างผมที่โคตรของโคตรอายเลยสักนิด
   
อะ..ไอ้พวกบ้า!


/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

* * * * * * *

เราทั้งสี่ใช้เวลานานมากกว่าจะถึงเซฟเฮ้าส์ของเจ้าชายเบเนดิกต์ เนื่องจากว่าถ้าใช้การหายตัวในการเดินทาง มันจะทิ้งร่องรอยเวทมนตร์ที่สามารถทำให้พี่วิสกี้ตามหาพวกเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น เลยต้องเริ่มกันตั้งแต่การนั่งแท็กซี่ไปลงที่วัดพระแก้ว ซึ่งผมก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่ามุมหนึ่งของกำแพงวัดพระแก้ว มีประตูลับที่พวกพ่อมดแม่มดสามารถใช้ผ่านทางมายังโลกเวทมนตร์ได้ โดยที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเวทมนต์ไว้ คล้ายกับประตูบ้านที่คอยเปิดต้อนรับด้วยความยินดีอะไรแบบนั้น
   
แล้วพอข้ามผ่านประตูมาได้ พวกเราทั้งสี่คนก็ยังต้องไปหารคันเก่าๆ ที่ดูจะไม่เป็นที่น่าสนใจในโลกเวทมนตร์ เพื่อขับมายังตอนใต้อันเป็นที่ตั้งของเซฟเฮ้าส์ของเจ้าชาย ซึ่งด้วยความที่สมรรถนะรถมันก็ไม่ได้ดีไงครับ การเดินทางก็เลยเป็นไปแบบเต่าคลาน ทำให้กว่าพวกเราจะมาถึง ก็ปาเข้าไปเกือบช่วงพระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้ว
   
“สวยจัง” แต่ผมก็ชอบนะ เมื่อลงจากรถมาแล้วได้เห็นภาพของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน เพราะว่ามันสวยมาก เนื่องจากเซฟเฮ้าส์ที่ว่าตั้งอยู่บนเนินเขาสูงที่มีวิสทะเลอยู่เบื้องล่าง ทำให้ได้เห็นทั้งท้องฟ้าและน้ำทะเลที่ไล่ระดับสีสันสวยงามตามการลาลัยของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะจากไป
   
ก็ถือว่า.. เป็นการต้อนรับการมาถึงของธรรมชาติที่แสนจะสวยงามมากทีเดียวเชียว : )
   
“วาฬ เข้าบ้านกันเถอะ” แต่ก็ชื่นชมอยู่ได้เพียงไม่นานนักหรอกนะ เพราะหลังจากนั้นก็ถูกเหล้ารัมเรียกเข้าบ้านแล้ว
   
“ทำไมเงียบจังวะ คนของแกไปไหนเนี่ยไอ้เจ้าชาย?”
   
“นั่นสิ?” ก่อนที่จะได้ยินคุณวินเซนต์กับเจ้าชายเบเนดิกต์ที่กำลังเดินนำหน้า..เริ่มแสดงความสงสัยเกี่ยวกับตัวบ้านที่ดูจะเงียบสนิทเกินไป
   
แต่กว่าที่เราทั้งหมดจะรู้ตัว..
   
“สวัสดี : )”
   
..ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!
   
“พี่วิสกี้!?”
   
“ใช่ ฉันเอง ตกใจหรือไงที่เห็นฉันอยู่ที่นี่ได้น่ะ : )”
   
กะ..ก็สมควรที่พวกเราทั้งหมดจะตกใจอยู่แล้ว ที่พอเดินผ่านโถงทางเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก็เจอเข้ากับพี่วิสกี้ที่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิงไฟอย่างสง่างาม คล้ายกับว่าเธอคือราชินีผู้ยึกครองบ้านหลังนี้เอาไว้ทั้งหมดแล้ว!
   
ฟึ่บ!!
   
“เฮ้ยยย!”
   
“คิดว่าฉันจะยอมปล่อยพวกนายไปง่ายๆ อย่างงั้นน่ะหรอ ฝันไปเถอะ : )”
   
คุณวินเซนต์ถึงกับร้องเสียงหลงเลย ไม่เห็นว่าทางออกที่เขากำลังจะแอบเนียนหนีออกไป กลับถูกปิดตายกลายเป็นกำแพงด้วยฝีมือของพี่วิสกี้
   
“เยี่ยม นี่สรุปว่าพวกเราหนีมาตั้งไกล เพื่อมาติดกับของเธออย่างงั้นเหรอเนี่ย!?” ถูกอย่างที่เจ้าชายเบเนดิกต์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไปในวันนี้ มันช่างสูญเปล่าจริงๆ
   
“ใครอยากให้นายใช้คนโง่ทำงานกันล่ะ : )” พูดจบ พี่วิสกี้ก็ดีดนิ้วหนึ่งที ก่อนที่เก้าอี้นวมตัวใกล้ๆ จะเลื่อนออก เผยให้เห็นชายคนหนึ่งนอนแน่กับพื้น โดยที่ถูกปิดปากและมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ดูท่าว่าจะเป็นคนที่เจ้าชายใช้ให้มาจัดเตรียมเซฟเฮ้าส์สินะ
   
“เธอนี่มัน..”
   
“หุบปาก!” แล้วพี่วิสกี้ก็แผดเสียงดังลั่น เมื่อเห็นว่าเจ้าชายกำลังจะต่อว่าเธอ
   
“อย่ามายุ่งกับเรื่อง ถ้านายไม่อยากเดือดร้อนเบเนดิกต์”
   
แต่ดูท่าว่าเจ้าชายเบเนดิกต์จะไม่ยอมจบง่ายๆ เพราะพระองค์ตั้งท่าจะเปิดปากต่อว่าพี่วิสกี้ต่อ ทว่า..เหล้ารัมกลับยื่นมือเข้ามาห้ามไว้ แล้วเริ่มคุยกับพี่สาวของเขาต่อเอง
   
“ปล่อยพวกผมไปเถอะพี่ ถือว่าผมขอร้องล่ะ”
   
ผมรู้สึกว่าใจแกร่งเลยไม่ได้ยินน้ำเสียงที่แฟนของผมใช้ขอร้องพี่วิสกี้ แต่กลับไม่ได้รับความเห็นใจจากเธอเลยสักนิด “ไม่! เรื่องนี้มันมากเกินไป พี่ไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด!”
   
“แต่มันคือชีวิตของผมนะพี่ ผมมีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง โดยที่พี่ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้”
   
“หึ! ใช่ มันคือชีวิตของนาย แต่ยังไงซะฉันก็เป็นพี่ และฉันควรหยุดในสิ่งที่น้องชายกำลังจะตัดสินใจผิดพลาด!”
   
“พี่วิสกี้!”
   
ตู้มมมมมมมมม!
   
ผมถูกเหล้ารัมคว้าเข้ามากอดไว้แน่น เมื่อพี่วิสกี้สาดเวทมนตร์มาทางที่ผมยืนอยู่ ทำให้แทนที่เวทมนตร์นั้นจะโดนผม มันเลยเลยไประเบิดรูปภาพที่ผนังด้านหลังแทน
   
กะ..เกือบไปแล้ว!
   
“พี่ขอพูดกับนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าจงถอนพันธะสัญญาจากวาฬซะ ไม่งั้น พวกนายสองคนจะไม่มีวันได้เจอกันอีกเลย!”
   
“พอเถอะวิสกี้ เธอ..”
   
“ฉันบอกว่าให้หุบปากไงเล่า!!”
   
ตู้มมมมมมมมมม!
   
อย่างที่โบราณว่าไว้ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง แต่เพราะว่าเจ้าชายเบเนดิกต์เป็นพ่อมด อาจจะทำให้ไม่รู้จักสำนวนสุภาษิตนี้ เลยทำให้พี่วิสกี้ที่เปรียบเสมือนน้ำเชี่ยว สาดซัดเวทมนตร์ใส่พระองค์ จนพระองค์ถึงกับลอยไปกระแทกแปะติดกับกำแพง กะ..ก่อนที่..ร่างกายของเจ้าชายเบเนดิกต์จะค่อยๆ กลายสภาพเป็นปูนแบบเดียวกับกำแพงนั้น!
   
“เบเนดิกต์!” คุณวินเซนต์ที่เห็นแบบนั้นตั้งท่าจะตรงเข้าไปช่วย แต่กลับต้องหยุดชะงัก.. เมื่อเจอคำขู่ของแม่หมดเพียงหนึ่งเดียวในห้องๆ นี้
   
“ทำไมหรอวินเซนต์ หรือว่านายอยากจะโดนอีกคน : )”
   
ซึ่งแน่นอนว่าคุณวินเซนต์ต้องถอยอยู่แล้ว เพราะขนาดเจ้าชายทั้งคนยังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วเขาจะไปกล้าต่อกรกับพี่วิสกี้ได้ยังไง
   
“พะ..พี่วิสกี้ใจเย็นก่อนนะครับ” คราวนี้ก็เลยถึงตาผมที่ยืนเงียบมานานเป็นฝ่ายพูดบ้าง “เดี๋ยวผมจะพูดกับเหล้ารัมเอง”
   
พอได้ยินว่าคนที่ผมอยากจะคุยด้วยคือเหล้ารัมไม่ใช่เธอ พี่วิสกี้ก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ไม่ต่างอะไรจากเหล้ารัมที่ค่อยๆ ผละอ้อมกอดออกจากผมด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน
   
“อะไรกันวาฬ?”
   
“เหล้ารัมครับ ผมรู้นะว่าทั้งหมดที่คุณทำไปก็เพราะว่าคุณรักผม แต่ว่า..ผมเองก็ไม่อยากให้คุณกับพี่สาวคุณต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ เพราะฉะนั้น ผมเลยคิดว่า.. ถ้าเรามาหาทางออกอื่นที่ดีกว่าการทำพันธะสัญญาครั้งที่สองได้..”
   
“ไม่วาฬ!” ผมถึงกับสะดุ้ง เมื่อเจอเหล้ารัมตวาดลั่น “ผมจะไม่ถอนพันธะสัญญาจากคุณเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่า..”
   
“...”
   
“คุณจะเลิกรักผมนั่นแหละ ผมถึงจะยอม”
   
“...” แล้วแบบนี้ผมจะไปพูดอะไรได้อีก เพราะใจจริงผมก็ไม่อยากให้เราสองคนจบลงด้วยการถอนพันธะสัญญาอยู่แล้ว ยิ่งให้เลิกรักนี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
   
และเมื่อห้ามไม่ได้ ผมก็เลยตัดสินใจคว้ามือเขาเข้ามาจับไว้ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าผมจะยืนหยัดอยู่ข้างเขาตรงนี้ ต่อให้ต้องเจอพี่วิสกี้จัดการขั้นเด็ดขาดขนาดไหนก็ตาม
   
“เหล้ารัม พี่ไม่ได้ขอให้นายกับวาฬเลิกรักกันนะ พี่แค่ขอให้ถอนพันธะสัญญาออกจากกัน เพื่อที่นายจะได้ไม่ต้องตายไปพร้อมกับคนที่นายรักก็เท่านั้น นานไม่เข้าใจหรือไง?” พี่วิสกี้ดูจะพยายามที่จะใจเย็นลง และพูดความต้องการของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
   
“ผมเข้าใจ แต่ถ้าทำแบบนั้น พอถึงวันเกิดของวาฬ เขาก็จะต้องตายนะพี่”
   
“วาฬมันไม่ตายหรอกน่า!” แต่เพราะเหล้ารัมเถียง พี่วิสกี้ก็เลยกลับมาระเบิดอีกครั้ง คล้ายหงุดหงิดน้องชายตัวเองเต็มที “ซองซู พามันเข้ามา!” ก่อนที่เธอจะออกคำสั่งกับอากาศ จนผมกับเหล้ารัมต้องหันมองหน้ากันอย่างงๆ ว่าไหนซองซู? แล้ว ‘มัน’ ที่ว่านี่คือใครกันแน่?
   
แต่เพียงไม่นานนัก ความสงสัยก็ได้รับการไขให้กระจ่าง เมื่อนายเดินผ่านเปลวไฟออกมาจากเตาผิงด้านหลังพี่วิสกี้ พร้อมกับลากตัวชายคนหนึ่งออกมาตรงหน้าผมกับเหล้ารัม
   
ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก ว่าคนที่ถูกใส่กุญแจมือและมีสภาพยับเยินราวกับนักโทษนั่นคือใคร จนกระทั่ง.. เขาเงยหน้าขึ้นมา.. ถึงได้ทำให้ผมเห็นนัยน์ตาสีเขียวขุ่นของผู้ชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน..!
   
“เอียน!”
   
ผมตัวแข็งทื่อ.. รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเลยจริงๆ ที่ได้กลับมาเจอเอียนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพแบบนี้..
   
“พะ..พี่หามันเจออย่างงั้นหรอ!?” เหล้ารัมเองก็ดูจะตกใจไม่น้อย ที่ได้รู้ว่าคนที่ซองซูลากมากคือใคร ถึงได้ร้องถามพี่วิสกี้เสียงหลง จนคนถูกถามต้องยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
   
“ไม่ใช่ฉันหรอกที่เจอ แต่เป็นนายซองซูต่างหาก ที่เพิ่งจะรู้ว่าในเอียนอะไรนี่ อยู่ใต้จมูกของเขานี่เอง : )”
   
“ใช่แล้ว” ซองซูที่เหมือนจะรู้ว่าถึงบทของตัวเองเริ่มอธิบาย “หมอนี่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณปู่ของฉันเมื่อหลายปี เพราะว่าท่านเป็นพ่อมดที่ไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องเห็นเหล่าพ่อมดแม่มดมาช่วยเหลือพวกมนุษย์” เพราะแบบนี้เองสินะ ถึงไม่เคยมีพ่อมดแม่มดจากตระกูลเกาหลีอย่าง ‘พยอน’ ถูกส่งมาทำพันธะสัญญากับคนในตระกูลของผมเลยสักคน “ซึ่งจริงๆ ฉันเองก็รู้ดี แต่ไม่เคยสนใจ จนได้มาเห็นข่าวเรื่องที่วาฬถูกคู่พันธะสัญญาหนีไปนั่นแหละ ถึงได้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ว่าที่แท้นายเอียนก็คือคู่พันธะสัญญาของวาฬ”
   
“แล้วไง?” ตอนแรกซองซูดูจะอธิบายทุกอย่างออกมาอย่างมีความสุขมาก เหมือนว่าสุดท้ายแล้วเขาคือผู้ที่ค้นหาชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายเจอ แต่กลับกลายเป็นว่า..ดันเจอเหล้ารัมสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาซะอย่างงั้น ทำเอานายพ่อมดเกาหลีถึงกับหน้าเสียไปเลย
   
ก็นะ นายซองซูเองก็ทำเรื่องไว้เยอะ จะให้เหล้ารัมมาพูดดีๆ กับเขาได้ยังไง
   
“ฉะ..ฉันก็เลยอยากลากคอมันมาให้พวกนายไง เพื่อเป็นการไถ่โทษกับทุกสิ่งที่ฉันได้ทำไม่ดีเอาไว้ วาฬกับนายเอียนก็จะได้..”
   
“เงียบนะ! แกอย่าได้พูดถึงเรื่องพันธะสัญญาของวาฬกับไอ้พ่อมดนั่นเด็ดขาด เพราะว่าตอนนี้ฉันกับวาฬเราได้พันธะสัญญากันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนเห็นแก่ตัวอย่างนายเอียนอีก จำไว้!”
   
คำประกาศของเหล้ารัม ทำเอาซองซูถึงกับอ้าปากค้าง จังหวะเดียวกันกับที่เอียนและผมสบตากัน..
   
“...” สิ่งที่ผมเห็น มีเพียงความเกลียดชังที่ส่งผ่านมาให้..
   
ลองแบบนี้..คงจะไม่มีวันที่เขาจะกลับมาเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมอีกแล้วสินะ..
   
“นายเสียสติไปแล้วหรือไงเหล้ารัม!” แล้วในจังหวะที่ทุกคนเหมือนจะเงียบไป พี่วิสกี้กับแผดเสียงส่งอำนาจของเธอขึ้นมาอีกครั้ง ต่างกันที่คราวนี้เธอไม่ได้นั่งอีกต่อไปแล้ว “นี่มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว นายยังจะต้องการอะไรอีก!”
   
“ก็ผมเคยบอกพี่แล้วไงวิสกี้ ว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพี่ มันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมรู้ว่าคนอื่นก็ได้”
   
“แล้ววิธีนี้มันไม่ดีตรงไหน ไหนนายบอกพี่มาซิ!”
   
“ก็ไอ้เลวนี่มันไว้ใจไม่ได้! มันเคยถอนพันธะสัญญาไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วพี่จะเอาอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะไม่ทำอีก เกิดมันแกล้งถอนพันธะสัญญาในวันเกิดของวาฬขึ้นมา แล้ววาฬตาย.. ผมจะทำยังไงล่ะ!”
   
“แต่เรื่องที่ฉันถอนพันธะสัญญา มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะ! แต่เป็นเพราะ..อื้อออ!”
   
“หุบปาก!” พี่วิสกี้สะบัดมือไปทางเอียนเมื่อเขาเริ่มพูด ทำให้มีเทปกาวมาปิดปากของเขาเอาไว้แน่น “สถานะอย่างแก มีสิทธิ์อะไรมาขึ้นเสียงใส่น้องชายฉัน!”
   
“...” ทุกคนเงียบ.. ราวกับคำสั่งของพี่วิสกี้ที่แผดเสียงใส่เอียน..มีผลต่อคนอื่นด้วย..
   
“เหล้ารัม ทำไมนายถึงได้ดื้อแบบนี้ พี่รู้นะว่านายรักวาฬมาก แต่นายจะให้ความรักมาตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่ได้! นายวาฬน่ะ มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่แปดปีเท่านั้น ทั้งอ่อนแอ เปราะบาง และตายง่าย ต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง ทว่านายกลับยอมตายไปพร้อมกันคนรัก แล้วปล่องพี่ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในอีกสี่ร้อยถึงห้าร้อยปีอย่างงั้นน่ะหรอ!?”
   
“...” เหล้ารัมถึงกับชะงักไปเลยเมื่อพี่วิสกี้พูดแบบนี้ ในขณะที่ผมเองก็รู้สึกใจหายกับสิ่งที่ได้ยิน..
   
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำห้องนานนับนาที ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้น เหล้ารัมจะเริ่มเป็นฝ่ายกลับมาเปิดบทสนทนา
   
“ผมไม่อยากใครทำอะไรพี่วิสกี้ ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือว่าวาฬก็ตาม เพราะฉะนั้นผมถึงได้บอกตอนที่ไปหาพี่ที่บ้านไง ว่ามันยังมีอีกหนึ่งวิธี ที่พี่จะสามารถช่วยให้มันเกิดขึ้นได้”
   
“...”
   
“...”
   
ประโยคของเหล้ารัมก่อให้เกิดการจ้องตากันระหว่างคู่พี่น้องที่ไม่มีใครยอมใคร
   
ผมได้แต่มองพี่วิสกี้และเหล้ารัมสลับกันไปมา จนกระทั่ง..มาหยุดอยู่กับพี่วิสกี้.. ที่ตอนนี้ในตาสีม่วงของเธอกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีดำขลับไร้แววตา..
   
ราวกับว่า.. เธอไม่หลงเหลือความรู้สึกใดอีกต่อไปแล้ว..
   
“ไม่ มันไม่มีทางอื่นอีกแล้วเหล้ารัม มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น” แหละนั่นคือคำตอบจากเธอ
   
“ไม่จริง พี่ก็รู้ว่ามีทางอื่นอีก พี่รู้ดี” แต่ถึงเหล้ารัมจะเถียงแบบนั้น แต่พี่วิสกี้ก็ไม่สนใจแล้ว เพราะเธอหันไปออกคำสั่งกับคุณวินเซนต์แทน
   
“จับเหล้ารัมไว้!”
   
“ครับ”
   
แล้วก็เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อคุณวินเซนต์ล็อคตัวเหล้ารัมจากทางด้านหลัง ก่อนที่จะดึงเขาห่างออกไปจนมือที่จับอยู่ของเราสองคนหลุดออกจากกัน
   
แล้วในตอนนั้นเอง ที่ผมได้สังเกตุเห็นว่าภายในตาสีแอมเบอร์ของคุณวินเซนต์ ดูเหม่อลอยราวกับถูกใครสะกดจิตใจไว้
   
ฝะ..ฝีมือพี่วิสกี้อย่างงั้นหรอ!?
   
“ปล่อยฉันนะวินเซนต์ นานเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!?” เหล้ารัมพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้น คุณวินเซนต์ก็ยิ่งรัดแขนเขาให้แน่นมากขึ้น จนช่วงตัวด้านบนของแฟนผมไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
   
“ส่วนนาย มาหาฉัน” ก่อนที่หลังจากนั้นพี่วิสกี้จะกระดิกนิ้วเรียกผม
   
“อ๊ะ!!” ซึ่งมันไม่ใช่แค่การส่งสัญญาณให้เดินไป แต่คือการร่ายเวทมนตร์ที่ทำให้ตัวผมลอยเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว
   
“ล็อคตัวไว้” แล้วหันไปสั่งให้ซองซูล็อคตัวผม
   
“ปล่อยฉันเถอะซองซู ฉันขอร้อง” ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะขอร้องดีๆ แล้วนะ แต่ว่า..
   
“ขอโทษนะวาฬ แต่ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งพี่วิสกี้หรอก”
   
“...” ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกเลย
   
ไม่เพียงแค่จัดการล็อคผมกับเหล้ารัมเอาไว้ แต่พี่วิสกี้ยังเผยด้ายแห่งพันธะสัญญาขึ้นมาต่อหน้าทุกคน และ..
   
“ในเมื่อไม่ยอมถอนดีๆ งั้นฉันจะเป็นคนทำลายมันเอง!”
   
ตู้มมมมมมมมมมมมม!!
   
พี่วิสกี้จู่โจมเวทมนตร์ใส่ครึ่งกลางเส้นด้ายอย่างรุนแรง ทว่า..มันกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“ดูเหมือนว่าสายใยของสองคนนี้จะเหนียวแน่นกว่าที่พวกเราคิดนะครับ” ซองซูที่กำลังล็อคตัวผมอยู่เลยแสดงความคิดเห็นออกมา แต่กลับถูกสายตาดุดันของพี่วิสกี้มองเข้าให้ ทำเอาเขานี่เงียบปากไปเลย
   
ตู้มมมมมมมมม!!
   
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม!!
   
ตู้มมมมมมมมมมมมม!!
   
ตู้มมมมมมมมมม!!
   
พี่วิสกี้งัดเวทมนตร์บทแล้วบทเล่าออกมาใช้ แต่ด้ายแดงของผมกับเหล้ารัมก็ยังคงปลอดภัยดีเหมือนเดิม ก่อนที่นายพ่อมดเหล้าจะหัวเราะซะเสียงดังลั่นในเวลาต่อมา
   
“หัวเราะอะไรของนายไม่ทราบ!” พี่วิสกี้ถามเสียงหงุดหงิด
   
“ผมจะบอกให้ก็ได้พี่วิสกี้ ว่ามันมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถทำลายพันธะสัญญาของเราได้”
   
“อะไร?”
   
“ควักหัวใจผมสิ รับรองว่า...”
   
เพี้ยะ!
   
“เหล้ารัม!”
   
ยังไม่ทันที่เหล้ารัมจะพูดจบ พี่วิสกี้ก็ตรงเข้าไปตบเขาจนหน้าหัน จนผมที่เห็นแบบนั้นถึงกับร้องเรียกชื่อเหล้ารัมด้วยความตกใจ
   
“ถ้าพ่อแม่ยังอยู่ พวกท่านผิดหวังในตัวนายแน่!”
   
“หึ.. แต่พ่อแม่จะต้องเข้าใจ ว่าผมไม่สามารถฝืนใจของตัวเองได้!”
   
พี่วิสกี้ตั้งท่าจะตบเหล้ารัมอีกครั้ง แต่แล้วก็ชะงักไป.. ก่อนที่เธอจะเสกจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ แล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อสูทของคุณวินเซนต์แทน
   
“นี่พี่จะทำอะไร?” สีหน้าของเหล้ารัมเริ่มฉายแววความกังวล
   
“วินเซนต์ พาเหล้ารัมกับจดหมายส่งตัวฉบับนี้ไปส่งที่คุกต้องห้าม”
   
แล้วพอได้ยินคำว่า ‘คุกต้องห้าม’ เหล้ารัมก็.. “มะ..ไม่นะ พี่จะทำแบบนี้กับผมไม่ได้!”
   
“พาตัวไป!”
   
“ครับ” ทันทีที่พี่วิสกี้ออกคำสั่งอีกครั้ง คุณวินเซนต์ก็ตกปากรับคำ ก่อนจะลากเหล้ารัมออกไปยังประตูที่ปรากฏกลับคืนมา
   
“ไม่นะพี่วิสกี้ อย่าทำแบบนี้ แล้ววาฬล่ะ!? วาฬ! วาฬฬฬฬฬฬฬฬ~!!”
   
“...” พอสิ้นเสียงร้องของเหล้ารัม พี่วิสกี้ก็หันกลับมาหาผมที่กำลังยืนน้ำตาน้องหน้า..
   
ใจจริงผมก็อยากจะร้องเรียกนายพ่อมดเหล้ากลับไปเหมือนกัน ทว่า..ผมหาเสียงของตัวเองไม่เจอเลย เมื่อสายตาหวาดกลัวของเขา..กรีดลึกความเจ็บปวดภายในใจของผมอย่างรุนแรง..
   
“ทีนี้ก็ตานาย”
   
“...”
   
“ถึงเวลาที่นายต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่เสียที”
   
“...”
   
มาถึงตอนนี้.. ผมไม่พูดหรือดิ้นรนอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะในตอนที่พี่วิสกี้เสกเชือกมามัดตัวผมไว้ แล้วลากห้องจากห้อง หรือว่าจะเป็นตอนที่เธอหันไปสั่งให้ซองซูลากเอียนตามมา
   
เธออยากจะพาผมไปไหนก็เชิญเลย เพราะถึงยังไงมนุษย์ธรรมดาๆ อย่างผมก็สู้อะไรพี่วิสกี้ไม่ได้..
   
แต่คงจะพาไปได้แค่ตัวเท่านั้นนะ เพราะว่าหัวใจของผมน่ะ มันฝากเอาไว้ที่เหล้ารัมจนหมดแล้ว..


จบตอนที่ 19

บทที่ 20 จะอัพวันพฤหัสที่ 15 ก.ย. 2016 นะครับ

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

 :mew6:


ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ดูเหมือนแม่มดอย่างวิสกี้นี่ไม่ค่อยมีเหตุผลนะ การที่เอาแต่บอกว่าให้แยกๆๆๆๆ มันไม่ใช่อ่ะ แล้วเอาเอียนมาทำไม ในเมื่อไม่มีประโยชน์จริงๆ

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
พี่วิสกี้รักน้อง หวงน้องแบบสุดลิมิตเลยสินะ

ทำตามคำสั่งแบบตรงเป๊ะๆเลย

จะว่าแย่ก็ไม่เชิง แต่พี่วิสกี้น่าจะปล่อยเด็กไปน้อ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมชอบคาแรกเตอร์วิสกี้นะครับ คาแรกเตอร์ที่ทรงอำนาจถึงขั้นชี้นกเป็นนกชี้ฟ้าเป็นฟ้า ทลายภูเขาเผากระท่อมได้เพียงปลายนิ้ว และมันก็เข้ากันกับบุคลิกความหยิ่งผยอง ไม่ฟังใคร เก่งกาจจนคิดว่าตัวเองเผด็จการได้

ถ้ามองจริงๆ วิสกี้เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถสูงมากนะครับ ข้อเสียเดียวคือ เธอขาดวิสัยทัศน์ไปหน่อย สิ่งที่ทำให้เธอขาดวิสัยทัศน์ก็เป็นเพราะความใจร้อน หยิ่งผยอง และมั่นอกมั่นใจเกินไปของเธอ นิสัยแบบนี้เป็นบุคลิกประเภทที่ผมถูกโฉลกในการรับมือครับ

การจะทำให้คนแบบนี้ยอมรับ ต้องมีความเก่งกาจในระดับเดียวกันกับเธอ แต่เช่นเดียวกัน ต้องมีความใจเย็นและบุคลิกที่แสดงออกภายนอกตรงกันข้ามกับเธอ คนประเภทวิสกี้เปลี่ยนแปลงไปสู่บุคลิกได้สองแบบ หนึ่งคือเป็นนางมารร้าย ถ้าตัววิสกี้เองถูกอัตตาบดบังจนมองไม่เห็นวิสัยทัศน์ที่คนเก่งกว่าชี้ให้เห็น เธอจะดิ่งลงสู่ความเป็นเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่ยอมฟังใคร

แต่ถ้าเธอสามารถเอาชนะความหยิ่งผยองในตัวเอง เอาชนะความมั่นอกมั่นใจได้ และยอมเสียสละมันเพื่อประโยชน์ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เช่นสังคมส่วนรวมหรือประเทศชาติ เธอจะสามารถมองเห็นวิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้น และเธอก็จะพัฒนาฝีมือตัวเองได้อีก และเก่งขึ้นได้มากกว่านี้ อำนาจของเธอจะยั่งยืนและพัฒนาขึ้นครับ

ซึ่งกลับมาที่สถานการณ์ตอนนี้ ด้วยคาแรกเตอร์ของเธอ ถ้าผมเป็นวิสกี้ นี่ผมออมมือแล้วนะที่ไม่ฆ่าวาฬทิ้งซะ 55555 คือด้วยระบบการคิดแบบวิสกี้ เธอคงจะคิดว่าสั่งขังแยกเหล้ารัมออกไป เพราะหมอนี่เป็นตัวแปรที่ทำให้เธอควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จากนั้นเธอก็จะจัดการเรื่องวาฬให้มันจบๆไปซะ ด้วยการข่มขู่หรืออะไรก็ตามให้ปัญหาของการตายของวาฬมันหายไป จากนั้นถ้าทั้งสองคนจะแอบคบกันลับๆหรือทำอะไรไม่ประเจิดประเจ้อ วิสกี้ก็คงจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ นี่คงเป็นความคิดของเธอ

ประเด็นคือเราจะสังเกตได้ว่าคนแบบวิสกี้ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นครับ เพราะเธอคิดว่าคนอื่นใช้แต่ความรู้สึกจนทำให้จัดการปัญหาไม่ได้และมองภาพรวมไม่เห็น วิสกี้ยังขาดวิสัยทัศน์ที่ว่า ความรู้สึกบางทีมันใช้สร้างประโยชน์ได้ และการเรียนรู้ที่จะใช้งานประโยชน์จากความรู้สึกนั้น เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนกว่าการ 'จัดการปัญหาให้จบๆไปด้วยอำนาจ' (แต่ความรู้สึกที่ไม่จำเป็น มันก็ทำให้ปัญหาเรื้อรังเกินเหตุจริงๆนั่นล่ะ)

อีกอย่างนึงคือวิสกี้เป็นคนตรงไปตรงมากับความรู้สึกตัวเอง คิดยังไงก็ทำยังงั้น มันเลยจะทำให้ยิ่งเธอพยายามยัดเยียดทางแก้ปัญหาของเธอให้กับคู่ที่พยายามดิ้นรนแบบไร้สาระและสร้างผลเสีย(ในมุมมองของเธอ) วาฬกับเหล้ารัมจะยิ่งต่อต้านในระยะยาว ซึ่งสร้างปัญหาต่อให้วิสกี้แน่ๆครับ แต่มามองจริงๆ ผมก็ว่าการแก้ปัญหาของเหล้ารัมกับวาฬมันก็สุ่มเสี่ยงลุ่มๆดอนๆจริงๆละนะ

เป็นผม ถ้าผมเก่งระดับเดียวกับวิสกี้ กรณีที่พันธะสัญญามันสำเร็จไปแล้ว ผมคงลองเสี่ยงหาเวทมนตร์ยืดอายุดู แต่ถ้าพันธะสัญญายังไม่สำเร็จตั้งแต่ก่อนหน้า ผมอาจลองเรื่องการเปลี่ยนภาชนะสวมวิญญาณครับ เพราะในกรณีที่มันเป็นคำสาปที่ผูกติดกับวิญญาณ ทำลายที่ร่างกายไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนร่างหรือย้ายภาชนะ กระแสเวทมนตร์จากผู้ที่เก่งๆน่าจะช่วยกันชำระคำสาประหว่างการถ่ายวิญญาณได้ หรือถ้าคำสาปมันผูกติดกับร่างกาย การย้ายร่างก็เป็นเรื่องที่ได้ผลบวกเห็นๆ

อย่างไรก็ดี ถ้าอิงตามมาตรฐานจริยธรรมของโลกเวทมนตร์ เวทมนตร์พวกนี้ (ศาสตร์แบบ Necromancy, Soulcraft, Shadowcraft, Bloodcraft) คงจะมีข้อกฏบังคับใช้อย่างเคร่งครัดล่ะครับ ดีไม่ดีอาจจะไม่มีคนเก่งพอที่จะเชี่ยวชาญเวทมนตร์ประเภทนี้ด้วย ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่เก่ง ไม่มีสติดีพอจริงๆก็จะถูกความเย้ายวนของตัวศาสตร์มืดดึงให้ดำดิ่ง i.e. Merlin ซึ่งตามตำนาน เมอร์ลินก็เชี่ยวชาญเวทมนตร์มืดพอๆกับมอร์กาน่านะครับ เพียงแต่สามารถควบคุมและรู้ว่าเวลาไหนควรใช้เวลาไหนไม่ควรใช้ ตอนเดียวที่สติหลุด ก็คือตอนที่ไปหลงรักนางไม้จนยอมบอกเวทมนตร์ดำที่ใช้ในการปิดผนึกตัวเอง และก็โดนหักหลัง หรือมอร์กาน่า ที่พอกษัตริย์อาเธอร์สิ้นพระชนม์ แล้วตัวเธอหลุดจากความเคียดแค้นได้ เธอก็ครองตัวเป็น Witch of the apple isle คอยดูแลนักเดินทางหรือให้ความช่วยเหลือบ้างบางครั้ง(ตามอารมณ์)

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
เป็นคนไม่น่าคบมากอ่ะ เจ๊วิสกี้เนี่ย

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ทั้งๆที่ทำพันธะสัญญาเสร็จแล้วแท้ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ryu7801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai5:วิสกี้ใจร้าย

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เข้าใจว่าพี่วิสกี้ห่วงน้องนะ แต่แบบนี้มันก็เกินไปอ่ะ
ทำไมไม่ลองเปลี่ยนความคิดและหาวิธีแกแบบอื่นดูล่ะ ทำแบบนี้มันไม่แฟร์เลย

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
บทที่ 20
{ ว า ฬ }


หลายวันต่อมา
   
และที่ที่วิสกี้คิดว่าผมควรอยู่.. ก็คือบ้านของผมเอง..
   
ยอมรับว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่วันที่พี่วิสกี้พาผมกับเอียนมาส่งที่บ้าน พร้อมทั้งประจานสิ่งที่เธอคิดว่าผมผิดให้คนทั้งอลิชาได้รับรู้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว การทำพันธะสัญญาครั้งที่สอง มันไม่ควรจะเรียกว่า 'ความผิด' ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ถูกต้อง..ก็เพราะว่ามันไม่ถูกใจพี่วิสกี้เท่านั้นเอง..
   
แน่นอนว่าคนที่สะใจที่สุดกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ก็คือพี่เบลกับคุณป้าสะใภ้ที่เอาแต่พล่ามๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าพวกเธอคิดอยู่แล้วว่ายังไงซะวันนี้ก็ต้องมาถึงแน่ แต่ผมไม่สนใจหรอก ใครอยากพูดอะไรก็พูดไปเลย พูดให้เยอะๆ ผมจะได้ไม่ต้องพูดอะไรอีก!
   
"ขอผมคุยกับไรเกอร์หน่อยได้มั้ย?" แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดในวันที่พี่วิสกี้พาตัวผมมาส่งเหมือนกับพวกนักโทษแล้วหายตัวจากไปก็คือ..
   
"ก็ได้ แต่ต้องให้ไรเกอร์เลือก ว่าถ้าเขาคุยกับนาย ก็อย่ามาคุยกับฉันอีกเลย!" พี่เบลพยายามกีดกันผมไม่ให้คุยกับไรเกอร์ ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต่อให้ผมกับนายพ่อมดอังกฤษจะสนิทกันยังไง เขาก็จำต้องเลือกพี่เบลอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
   
ซึ่งผมเข้าใจ.. แต่มันก็น่าเจ็บใจอยู่ดี..
   
"มะม่วง พี่ขอคุยกับฟาเรเนียหน่อยได้มั้ย?" เพราะฉะนั้นผมเลยหันเหความสนใจไปที่แม่มดคู่พันธะสัญญาของลูกพี่ลูกน้องผมอีกคน
   
เอาจริงๆ นะ อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งนาน ผมเพิ่งจะสังเกตในวันนั้นเอง ว่านามสกุลของฟาเรเนียคือ 'เกรวินเกอร์' และได้รู้เอาในวันนั้นอีกเช่นกัน ว่าเธอคือลูกพี่ลูกน้องของคุณวินเซนต์ที่ผมเพิ่งจะไปเผชิญชะตากรรมด้วยกันมา
   
ก๊าาา!
   
"..." ฟาเรเนียแทบจะไม่พูดอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำตอนที่มะม่วงพาผมมาเจอกับเธอ มีแต่เจ้าอีกาที่เกาะอยู่บนไหล่ฟาเรเนียเสมอนั่นแหละที่ร้องเสียงดังราวกับคำทักทาย
   
แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ฟาเรเนียจะทักทายหรือไม่ทักทายก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เพราะว่าสิ่งเดียวที่ผมอยากรู้ก็คือ..
   
"คุกต้องห้ามคืออะไรหรอ?"
   
ซึ่งความน่าหวาดหวั่นใจของการรอคำตอบจากฟาราเนียก็คือ ทันทีที่ได้ยินชื่อของคุกต้องห้าม แม้แต่แม่มดที่แทบจะนิ่งมาตลอดอย่างฟาเรเนียก็แสดงความสั่นไหวออกมาจากภายในตา
   
"มันคือคุกที่ใช้สำหรับคุมขังนักโทษพิเศษ พ่อมดแม่มดที่ถูกขังอยู่ที่นั่นล้วนเป็นบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์แทบจะทั้งสิ้น  ตั้งแต่แม่มดที่ก่อให้เกิดสงครามโลกเวทมนตร์ครั้งที่สอง ไปจนถึงพ่อมดที่เคยทำการสังหารหมู่มนุษย์เกือบทั้งราชวงศ์ และที่ผู้คนพากันเรียกว่าคุกต้องห้าม ก็เพราะว่าถ้าเมื่อใดที่ได้เข้าไปติดแล้ว จะต้องติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล เนื่องจากที่นั่นไม่มีระบบการปล่อยตัว ถ้าอยากออก ก็ต้องฝ่าด่านความปลอดภัยออกมาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่พ่อมดแม่มดที่คิดจะหลบหนี ถ้าไม่ถูกจับกลับไป ก็คือ..ตาย.." ยิ่งผมได้ฟังคำตอบแบบนั้น ผมยิ่งไม่อาจกักเก็บน้ำตาของตัวเองไว้ได้..
   
วันนั้นผมเดินกลับบ้านของตัวเองด้วยน้ำตานองหน้า.. ตั้งใจว่าอยากที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ ทว่าสุดท้าย.. ผมก็เดินหนีขึ้นห้องไป ทำได้เพียงแค่นอนร้องไห้คิดถึงเหล้ารัมจนหลับก็เท่านั้น..
   
"วาฬ" ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยการปลุกจากพ่อ รู้สึกเหมือนว่าช่วงหลังมานี้เราสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลย "เป็นไงบ้างลูก หิวมั้ย อยากกินอะไรหรือเปล่า?"
   
แต่ในทันทีที่ได้ฟังในสิ่งที่พ่อถาม ผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างยากที่จะเก็บไว้..
   
"พ่อ.. ผมผิดเอง.. มันเป็นความผิดของผมเองครับพ่อ.." ก่อนที่ผมจะเริ่มเล่าทุกอย่างให้พ่อฟัง
   
"มานี่มา" แล้วพ่อก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้ เหมือนกับตอนเด็กๆ.. "จำได้มั้ยวาฬ ว่าตอนเด็กๆ ลูกน่ะกลัวเข็มฉีดยามากแค่ไหน"
   
"..."
   
"ทุกครั้งที่ลูกรู้ว่าลูกจะต้องฉีดยา ลูกจะร้องไห้เสียงดังๆ จิกแขนพ่อจนเป็นรอยเล็บไปหมด แล้วร้องตะโกนบอกพ่อว่า ลูกกลัว ลูกไม่อยากฉีดยาเลย"
   
"..."
   
"แล้วจำได้มั้ย ว่าพ่อมักจะบอกวาฬว่าอะไร?"
   
"ฮึก.. พะ..พ่อ.. ฮึก.. พ่อจะบอกว่า.. ถ้าพ่อฉีดแทนวาฬได้ พ่อฉีดแทนวาฬไปแล้ว.."
   
"ใช่.. เหมือนกับตอนนี้นั่นแหละ ถ้าพ่อเจ็บปวดแทนวาฬได้ พ่อก็คงเจ็บปวดแทนวาฬไปแล้วเหมือนกัน.."

   
น้ำตาผมไหลออกมาหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินในสิ่งที่พ่อพูด เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คำบอกว่า 'รัก' บอกว่า 'ห่วง' ที่เอ่ยออกมาตรงๆ แต่มันกลับสื่อความหมายของคำเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เผลอๆ จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ..
   
เพราะถึงแม้ว่าที่ผ่านมา ผมจะได้รับอิสระจากการไปย้ายไปอยู่ที่คอนโดกับเหล้ารัม แต่ผมก็รู้ดีว่าพ่อกับแม่เองก็เป็นห่วงผมเสมอ และคงอยากกางปีกปกป้องผมเหมือนกับในทุกๆ ครั้งก่อนหน้านี้ เพียงแต่..พวกท่านก็เลือกไม่ได้ เพราะการย้ายไปอยู่กับเหล้ารัม คือทางออกเดียวที่พวกท่านรู้ดีมาตลอด ว่ามันจะสามารถช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
   
ในขณะที่ผมกลับหลงลืมทุกอย่าง เพราะโหยหาสิ่งที่เรียกว่า 'อิสระก่อนตาย' มาตลอด และดีใจเหลือเกินที่ได้ย้ายออกไป
   
แต่ในวันนี้.. ผมได้รู้แล้วว่า.. ไม่ว่าผมจะเจอเรื่องที่เลวร้ายแค่ไหนในชีวิต.. สิ่งที่ผมพยายามจะหนีไปให้ไกล กลับกลายเป็นสิ่งที่พร้อมจะซึบซับความเศร้าของผมให้จางหายไปเสมอ..
   
สิ่งที่เรียกว่า.. พ่อกับแม่
   
"ฮึก.. ผมรักเขาครับพ่อ.. ผมรักเหล้ารัม.. ฮึก.. ผมอยากให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ฮึก.. แต่ว่า.. มันแทบจะไม่มีทางออกเลย.. ฮึก.. ไม่มีทางเลยครับพ่อ.."
และเพราะแบบนั้น ผมจึงกล้าพอที่จะพูดความต้องการของตัวเองให้พ่อได้รับรู้ ว่ามันคือเรื่องของหัวใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับพันธะสัญญาอีกต่อไปแล้ว..
   
"พ่อรู้ลูก ว่าตอนนี้อะไรๆ มันก็มืดแปดด้านไปหมด แต่พ่อก็เชื่อนะ ว่าสุดท้ายแล้ว ลูกจะต้องหาทางออกของเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน เชื่อพ่อสิ" ซึ่งคำตอบที่ผมได้รับจากพ่อ คือสิ่งที่ผมจำได้ดีที่สุดแล้ว ในช่วงตลอดหลายวันที่ผ่านมา...
   
ซึ่งนอกจากเรื่องที่ได้คุยกับพ่อแล้ว อีกเรื่องที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ..เรื่องของเอียน..
   
เพราะตั้งแต่วันที่เขาได้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เอียนก็แทบจะไม่คุยกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผมซึ่งอยู่ห้องติดกัน
   
เอียนเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของเขา และแสดงให้พวกเราเห็นว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ โดยการเปิดประตูออกมารับอาหารแต่ละมือจากพี่ฟ้า
   
ซึ่งก็มีอยู่หลายครั้งนะ ที่ผมอยากจะขอเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันเกิดปีที่สิบสอง แต่พอเห็นว่าเป็นผมที่ไปเคาะห้อง.. สองสิ่งที่เขาทำก็คือ.. ส่งสายตาเกลียดชังมาให้ ก่อนที่จะปิดประตูใส่หน้า.. ซึ่งยอมรับว่าผมเองก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจกับการกระทำของเขานักหรอก เพียงแต่..ผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะไปอ้อนวอนขอความเห็นใจจากเขาเหมือนกัน ลำพังแค่ความคิดถึงเหล้ารัม.. ก็ทำเอาผมไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว..
   
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกเห็นใจเขาอยู่ดีนั่นแหละ เพราะเอียนเองก็ถูกพี่วิสกี้ทำไว้เจ็บแสบมากเหมือนกัน..
   
"กูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วโว้ย!" เพราะมีหลายครั้งที่เอียนพยายามจะหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ ทว่า.. "อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!" เมื่อใดที่เขาก้าวพ้นประตูบ้าน ผลจากเวทมนตร์เก่าแก่ที่วิสกี้เสกไว้ จะทำให้เอียนถูกซัดจนลอยละลิ่วกลับเข้าไปในห้องนอนเสียทุกครั้ง ไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ได้เลย จนกว่าที่คนเสกอย่างพี่วิสกี้จะกลับมาเป็นผู้ถอนเอง
   
ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้..
   
"คุณหนูครับ ให้ผมส่งตรงนี้ หรือว่าไปส่งที่หน้าคณะดีครับ?" แล้วในขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดในหัวถึงเหตุการณ์ในหลายวันที่ผ่านมาอยู่นั้น คำถามของลุงช้าง (คนขับรถ) ก็ดึงผมให้หลุดจากภวังค์..
   
"จอดตรงนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง"
   
"โอเคครับ" พูดจบแค่นั้น ลุงช้างแกก็จอดส่งตรงจุดที่ผมต้องการ "แล้วเย็นนี้จะให้ผมมารับมั้ยครับ"
   
"อืม.. ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมกลับเอง"
   
เมื่อบอกความต้องการของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็ปิดประตูรถ.. หันกลับมามองป้ายชื่อมหา'ลัย.. ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา..
   
นี่เป็นวันที่สี่แล้วที่ผมกลับมาเรียนตามปกติ แต่ผมแทบจะหาความสุขจากที่นี่ไม่ได้เลย เพราะว่า..
   
"เพื่อนในสาขาเรามีคนชื่อเหล้ารัมด้วยหรอวะ?"
   
..คำถามจากทุกคน ที่ดูเหมือนว่าจะไม่หลงเหลือความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ผมรักอีกแล้ว
   
จำได้เลยว่าวินาทีแรกที่ถูกถามคำถามนี้ มันออกมาจากปากของไอ้เอก ตอนที่ผมเปรยกับมันในชั่วโมงเรียนว่า.. "คิดถึงเหล้ารัมจัง”
   
แล้วมันก็ทำหน้าราวกับว่าไม่เคยรู้จักคนที่ผมพูดถึงมาก่อน ซึ่งมันแย่มาก.. มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเสียจนผมร้องไห้ออกมากลางห้องเรียน ถึงขนาดที่อาจารย์ต้องให้คนพาผมออกไปสงบสติอารมณ์นอกห้อง
   
ทุกคนเอาแต่ถามว่าผมเป็นอะไร?
   
แต่ยิ่งผมพูด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่.. เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำความคิดถึงที่มีต่อเหล้ารัม โดยที่ไม่มีใครจดจำได้อีกต่อไป..
   
มันเหมือนกับ.. ผมได้สูญเสียความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเหล้ารัมที่เคยมีต่อกลุ่มเพื่อนรวมถึงที่เคยมีต่อสถานที่แห่งนี้ไปแล้วยังไงยังงั้น..
   
ปี๊นๆ!
   
"อ๊ะ!" เป็นอีกครั้งที่ผมถูกดึงออกจากห้วงความคิด.. ซึ่งครั้งนี้มันไม่ใช่คำถามของลุงช้าง แต่เป็นเสียงแตรจากรถที่คุ้นตา..
   
"ไปไหนครับน้องสาว ให้พี่ไปส่งมั้ย : )" ไอ้เอกนั่นเองที่ชะลอรถเพื่อแซวผม ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถมันแบบที่ไม่ขออนุญาต
   
"มึง โดดเรียนกัน" แถมยังชวนมันทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อนเลย
   
"เฮ้ย อารมณ์ไหนของมึงวะเนี่ย"
   
"เอาน่า ยังไงวันนี้ก็ไม่มีส่งงานอะไรอยู่แล้ว โดดเหอะ"
   
"แล้วมึงจะไปไหนล่ะ ถ้าจะโดดจริงๆ?"
   
"ที่ไหนก็ได้ แล้วแต่.." คำพูดของผมสะดุดไปนิดนึงเมื่อภาพของเหล้ารัมลอยเข้ามาในหัวอย่างที่ไม่ทันให้ตั้งตัว ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ.. "..แล้วแต่มึงเลย" พร้อมกับม่านน้ำตามที่ทำเอาภาพของไอ้เอกพล่ามัว..
   
"อะ..โอเค" และแม้ไอ้เอกจะยังดูตกใจกับอาการของผม แต่สุดท้ายมันก็ยอมวนรถ แล้วพอผมขับออกมาจากมหา'ลัย..

/ ต่อด้านล่าง /

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

* * * * * * *

ไอ้เอกพาผมมาที่คอนโดของมัน โดยที่ก่อนมามันแวะซื้อเบียร์มาด้วยสองกระป๋อง ซึ่งก็คงจะเอามาจิบในระหว่างที่อยู่ด้วยกันสองคนในห้องนั่นแหละ
   
"ห้องรกหน่อยนะมึง" ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสา เพราะเท่าที่ดูแล้ว มันก็ไม่ได้รกอะไรอย่างที่เจ้าของห้องว่า
   
แต่ที่ผมถือสาก็คือ.. "ไม่ต้องเปิดม่านได้มั้ย กูอยากอยู่มืดๆ ว่ะ"
   
"โอเค.." เอกมองผมด้วยสายตาแปลกใจอีกครั้ง ซึ่งก็สมควรแหละ เพราะทุกครั้งที่ผมมาห้องมัน ผมจะเป็นคนเดินไปเปิดม่านเองเลย
   
แต่กับวันนี้..ผมอยากอยู่ในบรรยากาศแบบนี้.. ไม่อยากให้มันสว่างไสวเกินกว่าใจผมเลย..
   
ติ๊ด!
   
พอผมบอกไม่ให้มันเปิดม่าน ไอ้เอกเลยเปลี่ยนไปเปิดแอร์แทน ก่อนที่มันจะดึงเสื้อออกนอกกางเกง แล้วเราสองคนก็นั่งลงกับพื้น โดยเอาหลังพิงโซฟาไว้ เหมือนที่เราชอบทำกัน..
   
"เอามั้ยมึง?" ไอ้เอกยื่นเบียให้ แต่ผมปฏิเสธ
   
"ไม่ดีกว่า"
   
"ทำไมวะ กลัวเมาแล้วจูบกูหรือไง" มันเลยแกล้งแซว ก่อนจะกระดกเบียร์กระป๋องนั้นเอง
   
โดยที่ไม่รู้เลยว่า.. "ฮึก.." คำพูดของมัน.. ทำให้ผมนึกถึงวันที่เคยทำตัวแย่ๆ..
   
"วาฬ นี่มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย" พอหันมาเห็นว่าผมร้องไห้ เอกก็ยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะจับให้ผมหันหน้าไปมองมันอย่างจริงจัง
   
"กู.. ฮึก.. กูคิดถึงใครบางคนว่ะ"
   
"ใครวะ?"
   
"ฮึก.. กูเคยบอกมึงแล้ว.. ฮึก.. แต่มึงจำเขาไม่ได้.." ทั้งๆ ที่เขาก็เคยนอนกองที่บ้านหลิวกับมึงตอนปั่นงานแท้ๆ..
   
"ไอ้ที่มึงบอกว่าชื่อเหล้ารัมอะไรนั่นใช่มั้ย?" เอกขมวดคิ้ว หน้าตาดูหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม "เอาจริงๆ นะมึง กูก็รู้สึกคุ้นๆ เหมือนกัน เพียงแต่.. พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก นี่มึงแน่ใจใช่มั้ยว่ากูรู้จักมันจริงๆ?"
   
"..." ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้เอกหงุดหงิดมากขึ้น แต่ผมเคยพยายามแล้ว.. พยายามที่จะดึงความทรงจำต่างๆ ของเพื่อนๆ กลับมา แต่มันไม่ได้ผลเลยสักนิด และผมก็ไม่อยากได้ยินคำถามที่ว่า 'ใครวะเหล้ารัม?' จากปากของใครอีกแล้ว
   
เพราะมันน่าเศร้าเหลือเกิน.. ฮึก.. ที่คนดีๆ แบบนั้นกำลังถูกลืม ในขณะที่คนอย่างผมกลับถูกจดจำแบบนี้..
   
"..."
   
"..."
   
และเพราะแบบนั้นก็เลยทำให้เราทั้งคู่เงียบไปสักพัก ก่อนที่หลังจากนั้นไอ้เอกจะยกเบียร์ขึ้นกระดกอึกๆ ก่อนจะวางกระป๋องเปล่าลง แล้วชวนผมคุยเรื่องของเหล้ารัมต่ออีกครั้ง
   
"เอางี้นะวาฬ กูอาจจะจำไอ้เหล้ารัมอะไรนั่นไม่ได้ แต่ดูจากอาการของมึงแล้ว มันคงจะเป็นคนที่สำคัญกับมึงมาก"
   
"..."
   
"ในขณะที่กูเองก็ไม่อยากเห็นมึงเศร้าแบบนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น มึงช่วยบอกกูทีได้มั้ย ว่าปัญหาของมึงกับมันคืออะไรกันแน่ มันทิ้งมึงหรอ? หรือมันไปไหน? ถึงได้ทำให้มึงไปหามันไม่ได้ ทั้งๆ ที่มึงคิดถึงมันมากขนาดนี้"
   
"..." ความห่วงใยในความดุดันของเอก..ทำให้ผมรู้สึกว่าคงจะเงียบอีกต่อไปไม่ได้.. "คืองี้.." เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามที่จะรวบรวมสติ แล้วเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในหัวให้อยู่ขอบเขตที่ผมจะสามารถพูดออกมาได้
   
"..."
   
"กูกับเขาถูกแยกออกจากกัน.. โดยพี่สาวของเขา"
   
"ทำไมวะ พี่สาวเขาไม่ชอบมึงหรอ หรือเกลียดเกย์?"
   
"ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่.. พี่เค้าไม่ชอบวิธีการที่กูกับเหล้ารัมจะอยู่ด้วยกันมากกว่า"
   
"แล้ว.. มันไม่มีวิธีการอื่นอีกหรอวะ ที่มึงกับไอ้เหล้ารัมอะไรนั่นจะอยู่ด้วยกันได้ โดยที่พี่สาวมันก็โอเคด้วยน่ะ"
   
"มี.." ผมพยักหน้าทั้งน้ำตา "แต่มันก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่ ตรงกันข้าม..มันอาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม.." ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการที่ผมตาย.. เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกเอียนถอนพันธะสัญญาในคืนวันเกิดที่ใกล้จะถึงนี้ หากผมได้กลับไปทำพันธะสัญญากับเขาอีกครั้งอย่างที่พี่วิสกี้ต้องการ
   
"งั้นก็เท่ากับว่า.. ทางที่หนึ่ง..พี่สาวไอ้เหล้ารัมไม่ชอบ ส่วนทางที่สองที่พี่สาวชอบ..ไอ้เหล้ากลับไม่ชอบ ถูกมั้ย?"
   
"..." ผมพยักหน้าอีกครั้ง
   
"แล้วทางที่สามล่ะ?"
   
"..." ก่อนที่จะนิ่งไป.. เมื่อไอ้เอกเริ่มถามถึงสิ่งที่ผมกับเหล้ารัมไม่มี..
   
"ไม่มีงั้นหรอ?" ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าเอกต้องการคำตอบจากสิ่งที่ถามมั้ย หรือว่าก็แค่ถามไปงั้นๆ จนกระทั่ง.. "บางทีนะมึง เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาว่ะ ตอนนี้พวกมึงสองคนอาจจะคิดว่ามีแค่ทางขวากับทางซ้ายให้เลือกเดิน แต่มันไม่จริงเลยมึง มันยังมีทางอื่นอีก แต่แค่ต้องรอให้ถึงเวลาที่หนทางใหม่ๆ จะเผยออกมาก็เท่านั้น ขอแค่มึงสองคนยังมั่นคงในหัวใจที่มีให้แก่กันนะ ไม่ว่าอุปสรรค์จะยากเย็นจนไม่มีทางออกเลยสักทาง กูก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วมึงกับไอ้เหล้ารัมก็จะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน" ..มันเริ่มอธิบายให้ผมฟังอย่างใจเย็นนั่นแหละ ถึงได้ทำให้ผมรู้ ว่ามันไม่ได้หวังว่าจะให้ผมมี 'ทางออกที่สาม' ในตอนนี้ เพียงแต่มันกำลังต้องการจะชี้ให้ผมเริ่มมองหาทางออกนั้น ทางออก..ที่ผมยังไม่เคยแม้แต่จะคิดถึง..
   
"..."
   
"แล้วที่กูพูดเนี่ย ก็ไม่ใช่แค่ว่าพูดเพื่อปลอบใจมึงไปผ่านๆ เท่านั้นนะ แต่เป็นเพราะว่ากูเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว กูถึงได้พูดได้"
   
"..."
   
"มึงดูอย่างกูกับแป้งดิ เราสองคนเคยเดินมาถึงจุดที่เป็นทางแยกแล้วนะ ทางนึงดีสำหรับกูมาก แต่ไม่ใช่สำหรับแป้ง ในขณะที่อีกทางแม่งทางของแป้ง แต่กูกลับรู้สึกว่าแม่งไม่ใช่ทางที่กูจะยอมได้จริงๆ"
   
"แล้ว..มึงทำไงวะ?" ผมถามกลับบ้าง เมื่อรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มแห้งลง..
   
"ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่หยุดเดิน ไม่เลือกว่าจะเอาทางไหนทั้งนั้น แต่ปล่อยเวลาให้ต่างฝ่ายได้คิด ว่าเราควรจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี แล้วผลก็คือ..จู่ๆ วันนึงมันก็มีอีกทางที่โผล่ขึ้นมาในหัวของแป้ง ทางที่แม่งโคตรดีกับทุกฝ่าย จนกูกับแป้งนี่กอดคอกันร้องไห้เลย เพราะดีใจว่าตอนนั้นเราไม่ด่วนตัดสินใจกันไปซะก่อน"
   
แล้วจังหวะนั้น..หัวใจของผมมันก็ค่อยๆ พองโตขึ้น เมื่อเห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนักจากเอก คล้ายกับว่าสิ่งที่มันพูด..ทำให้ผมมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากที่เอาแต่เดินวนอยู่กับที่มาหลายวัน..
   
"ดีจัง.."
   
"ใช่ มันดีมาก และเชื่อกูสิ มันจะต้องเกิดขึ้นกับมึงเช่นกัน"
   
"ขอบคุณมากนะมึง ฮึก.. ขอบคุณจริงๆ ฮึก.. กูก็หวังให้มันเป็นแบบนั้นเหมือนกัน.."
   
แล้วผมก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้..เป็นการร้องไห้ที่รู้สึกดีกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา..

* * * * * * *

   
เวลายังคงดำเนินต่อไป..
   
ชีวิตผมยังคงไม่ต่างจากช่วงที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก จะเพิ่มเติมก็แค่ว่าช่วงนี้มีขาประจำแวะเวียนมาหาผมบ่อยมากๆ ซึ่งเธอก็คือ...
   
"พี่วิสกี้"
   
"ใช่ ฉันเอง มีปัญหาหรือไง?"
   
"เปล่าครับ" เธอมักจะชอบแวะเวียนมาหาผมหลังสามทุ่ม ส่วนใหญ่ก็จะมาอาทิตย์ละประมาณสามถึงสี่ครั้ง "ว่าแต่พี่วิสกี้จะรับอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมให้แม่บ้านไปเตรียมให้"
   
"ไม่ต้องหรอกย่ะ เสียเวลา!" ซึ่งที่มานี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะเจอผมหรอกนะครับ แต่ว่ามาเพื่อหาทางทำลายด้ายแห่งพันธะสัญญาต่างหาก
   
ฟึ่บ!
   
แล้วเหตุการณ์ก็จะเหมือนกันแทบจะทุกครั้งในเวลาที่พี่วิสกี้มาหา นั่นคือผมมักจะทักเธอก่อน ในขณะที่เธอจะตอบโต้กลับมาตามแต่อารมณ์ในช่วงนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่คือจะ 'ไม่สบอารมณ์' ซะส่วนมาก ก่อนที่จะเผยด้ายแห่งพันธะสัญญา พลางเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด
   
"ฮึก.." ซึ่งจังหวะที่เธอกำลังเดินไปเดินมาเหมือนกำลังนึกถึงเวทมนตร์ที่จะใช้ทำลายเส้นด้ายในแต่ละครั้งนั้น ผมก็จะร้องไห้.. ผมมักจะนั่งอยู่บนเตียงนอน แล้วมองเส้นด้ายสีแดงสดที่ถอดยาวผ่านประตูออกไป
   
มันทั้งสุขและเศร้าใจ.. ที่ได้รู้ว่าสุดปลายทางของเส้นด้ายเส้นนี้.. มีคนที่ผมรักรอคอยอยู่ เพียงแต่..ผมแค่ยังไม่มีโอกาสได้เจอกับเขาเท่านั้น..
   
"จะร้องอะไรกันนักหนา จะร้องให้ได้ทุกครั้งที่ฉันมาเลยหรือไง!?" พอพี่วิสกี้หันมาเห็นว่าผมร้องไห้เหมือนกันทุกรอบ เธอก็จะแผดเสียงลั่น ก่อนที่จะเริ่มโจมตีเส้นด้ายซ้ำแล้วซ้ำเหล้า ทว่า..ก็ยังไม่เคยทำลายได้สำเร็จเลยสักครั้ง
   
กระทั่งใช้เวทมนตร์จนเหนื่อยหอบนั่นแหละ พี่วิสกี้ถึงจะยอมแพ้ และตั้งท่าจะจากไปโดยไม่กล่าวคำลา
   
"พี่วิสกี้ครับ เหล้ารัม..สบายดีมั้ยครับ?" แต่ก่อนที่เธอจะจาก ผมก็ไม่วายถามด้วยคำถามแบบเดิมๆ เหมือนกันแทบจะทุกครั้ง
   
"..." ทั้งที่..ไม่เคยได้รับคำตอบอะไรจากพี่วิสกี้กลับมาเลย หรืออย่างมากสุดก็คงจะมีแค่เธอหันมามอง..แล้วก็เดินจากไปเท่านั้น..
   
แล้วพอเธอจากไป ผมก็จะเริ่มวิ่ง.. วิ่งเหมือนคนโง่.. เพื่อวิ่งไปตามทางที่เส้นด้ายทอดยาวออกไป ถึงแม้จะรู้ว่าระยะทางของอีกคนนั้นมันช่างห่างไกลเหลือเกิน.. ฮึก.. แต่ผมก็ยังวิ่ง.. วิ่งไปด้วยใจที่โหยหาคนที่ผมรัก..
   
แต่ก็วิ่งได้เพียงไม่นานนักหรอก เพราะภายหลังจากนั้น เส้นด้ายก็จะค่อยๆ จางหายไป ปล่อยให้ผมล้มลงร้องไห้ในระหว่างทาง..
   
"สวัสดี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะวาฬ"
   
"จะ..เจ้าชาย!?"
   
จนกระทั่งเข้าสู่สัปดาห์ที่สามที่พี่วิสกี้หมั่นมาหาผม ชีวิตที่เคยเหี่ยวแห้งก็กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง เมื่อได้พบว่าเจ้าชายเบเนดิกต์มาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน พะ..พร้อมกับ..
   
"รับไปสิ จดหมายนี้เขียนถึงคุณนะ"
   
...จะหมายของเหล้ารัม!

   
จดหมายฉบับที่หนึ่ง..ถึงวาฬ
   
ผมรู้นะว่าคุณกำลังร้องไห้ ไม่รู้ว่าเพราะคิดถึงผม หรือสงสารที่ผมไม่ได้มีโอกาสไปเดินเล่นห้างฯ ในโลกมนุษย์กันแน่ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างหลังล่ะก็ ผมบอกได้เลยว่าคุณคงไม่ต้องห่วงผมแล้ว เพราะความเป็นอยู่ที่นี่ของผมค่อนข้างดีมาก วีไอพีระดับโรงแรมห้าดาวเห็นจะได้ ไม่ได้มืดและหนูเยอะเหมือนที่คุณกำลังจินตนาการหรอก
   
แต่ก็ใช่ว่ามันจะดีจนผมอยากจะอยู่ไปตลอดหรอกนะ ผมยังพยายามหนีออกจากที่นี่เสมอ เพราะถึงแม้ว่าความเป็นอยู่ของผมจะดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ยังมีอยู่สองอย่างที่ผมหาจากที่นี่ไม่ได้
   
คือหนึ่ง..อาหารฝีมือคุณ
   
และสอง..ตัวคุณ
   
เพราะฉะนั้น คุณช่วยร้องไห้ให้น้อยลงหน่อยนะ เพราะว่าถ้าผมรู้ว่าคุณร้องไห้น้อยลงแล้ว ผมก็จะได้มีกำลังใจในการแหกคุกมากขึ้นไง โอเคมั้ย : )
   
ป.ล. คิดถึงหมึกผัดไข่เค็มฝีมือคุณจัง


รักคุณทุกวัน
และยังคิดถึงอยู่เสมอ
ลงชื่อ.. เหล้ารัม

   
ผมอ่านมันทั้งน้ำตา ทั้งๆ ที่เขาก็บอกอยู่ว่าอยากให้ผมช่วยร้องไห้ให้น้อยลงกว่านี้ แต่มันยากนะ.. มันอยากจริงๆ ที่ผมจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวข้อกับเหล้ารัม
   
เพราะว่าผมคิดถึงเขามาก.. คิดถึงเขามากจริงๆ..
   
"ขอบคุณนะครับเจ้าชาย" ผมปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ก่อนที่จะยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าชายเบเนดิกต์จากใจจริง เพราะรู้ดีว่าพระองค์คงเหน็ดเหนื่อยมากกว่าที่จะนำเจ้าสิ่งนี้มาให้ผมได้ ถึงแม้ว่าจดหมายจะถูกแกะอ่านก่อนหน้าแล้ว (ซึ่งคงจะไม่พ้นมือผู้คุมขัง) แต่เท่านี้ก็มากพอเหลือเกิน ที่จะช่วยต่อลมหายใจของผมให้อยู่อย่างมีความหวังต่อไป
   
หวังที่จะอดทนรอ จนกว่าจะได้เจอ 'ทางที่สาม' อย่างที่ไอ้เอกมันว่า
   
"ด้วยความยินดี เอาเป็นว่าถ้าอยากส่งจดหมายหาไอ้เหล้ารัม ก็ฝากฟาเรเนียไปก็แล้วกันนะ รายนั้นรู้ดีว่าจะจัดการยังไง อ้อ แล้วถ้าเกิดว่ามีจดหมายใหม่มาอีก ผมจะเป็นคนนำมาให้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเป็นห่วง"
   
"ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ"
   
สิ้นสุดคำขอบคุณจากผม เจ้าชายเบเนดิกต์ก็ขอตัวลา แล้วนับจากนั้น การเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างผมกับเหล้ารัมจึงเริ่มต้นขึ้น..

   
จดหมายฉบับที่สอง..ถึงวาฬ
   
หมึกผัดไข่เค็มอร่อยมาก! (ผมขอขึ้นต้นแบบนี้เลยก็แล้วกันนะ)
   
ได้ข่าวว่าช่วงนี้คุณใกล้สอบไฟนอลแล้ว งานคงเยอะมากแน่ๆ แล้วไอ้เอกกับไอ้บอยก็คงจะดราม่าเพราะคิดงานกันไม่ออกเหมือนเคย (คราวนี้ผมคงอยู่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว) แต่คุณไม่จำเป็นต้องอิจฉาผมนะ ที่ผมขาดเรียนจนหมดสิทธิ์ส่งงานรวมถึงหมดสิทธิ์สอบแล้ว เพราะว่าการอยู่ที่นี่น่ะ ผมเจอหนักยิ่งกว่างานที่อาจารย์คณะคุณสั่งซะอีก คุกบ้าอะไรก็ไม่รู้แหกยากชิบ! แต่ถึงอย่างงั้นผมว่าผมก็เก่งนะ เพราะว่ายิ่งแหกก็ยิ่งหนีไปได้ไกลขึ้น เสียแต่ว่ายังไม่ใกล้คุณสักทีเนี่ยสิ ไม่งั้นปานนี้คงไปขโมยจุ๊บแก้มคุณแล้ว
   
แต่ไม่เป็นไรนะ ถึงจะยังไม่ได้เจอกันตอนนี้ก็อย่างเพิ่งเศร้าไป ขอให้อดใจรอผมอีกหน่อย รับรองว่ายังไงผมก็จะต้องไปหาคุณให้ได้
   
ป.ล. คุณพาเพื่อนไปปั่นงานกับอ่านหนังสือที่คอนโดผมได้นะ คอนโดผมก็เหมือนคอนโดคุณนั่นแหละ คุณมีกุญแกอยู่แล้วนี่ : )


ลืมคุณคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ
ลงชื่อ.. เหล้ารัม

   
ซึ่งภายหลังจากที่ผมได้ทำการส่งหมึกผัดไข่เข้มไปพร้อมกับจดหมายตอบกลับของจดหมายฉบับแรก เหล้ารัมก็ได้ส่งจดหมายฉบับที่สองมาให้ผมอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นจดหมายที่ค่อนข้างจะดีเลย์ และมาในช่วงที่ผมกำลังอยู่ในช่วงมรสุมก่อนสอบไฟนอลอันหนักหน่วงก็ตาม แต่มันกลับทำให้ผมยิ้มจนแก้มปริทั้งน้ำตาได้เลย.. ที่รู้ว่าหมึกผัดไข่เค็มฝีมือผมยังคงถูกใจเขา..
   
แต่ในขณะเดียวกัน ผมเองก็เป็นห่วงเหล้ารัมเรื่องแหกคุกด้วย เพราะว่าไอ้การ 'แหกคุกไม่สำเร็จ' ที่อีกฝ่ายเขียนมา มันอาจจะหมายถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บก็ได้ เพียงแต่นายพ่อมดเหล้าแค่ไม่อยากให้ผมกังวล ก็เลยไม่เขียนมา
   
แต่ก็นะ ในเมื่อเหล้ารัมพยายามจะไม่ทำให้การสนทนาผ่านจดหมายของเราดราม่า งั้นผมก็จะตอบกลับไปแบบขำๆ เหมือนกับที่เขาส่งมาก็แล้วกัน
   
เพราะว่าถ้าเขาเห็นว่าผมไม่ดราม่า เหล้ารัมก็จะได้ไม่ดราม่าไปด้วยไง : )
   
"วาฬ เหล้ารัมฝากส่งให้คุณน่ะ" ในขณะที่จดหมายฉบับที่สามนี้ถูกส่งมาค่อนข้างห่างจากฉบับที่สองมาก จากที่คราวก่อนผมยังอยู่ในช่วงหัวปั่นกับไฟนอลอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้ผมเข้าสู่ช่วงปิดเทอมแล้วล่ะ
   
"อ้าว ทำไมเป็นคุณมาส่งจดหมายล่ะครับ?" แถมคราวนี้คนที่มาส่งจดหมายก็เป็นคุญวินเซนต์ด้วย ทำเอาผมรู้สึกกังวลใจไม่น้อยเหมือนกัน ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?
   
"ไอ้เจ้าชายมันไม่ว่างมาน่ะ แล้วเห็นว่าจดหมายนี่ก็ดองไว้อาทิตย์นึงแล้ว เลยให้ผมมาส่งให้แทน"
   
"อ๋อ แบบนี้นี่เอง ขอบคุณนะครับ"
   
"ไม่เป็นไป ผมไปล่ะ"
   
"ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ" ผมตั้งท่าจะเดินไปส่ง แต่คุณวินเซนต์ยกมือห้าม ผมก็เลยเปลี่ยนทิศทางเดินกลับมานั่งอ่านจดหมายบนเตียงแทน

   
จดหมายฉบับที่สาม..ถึงวาฬ
   
จบหมายฉบับนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่พอดีนอนๆ อยู่ แล้วผมก็ดันคิดถึงเพลงของมนุษย์ที่เคยฟังขึ้นมา.. มันเป็นเพลงเก่าแล้วแหละ แต่ว่ามันตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจผมจริงๆ

   
I love you
   
I have loved you all along
   
And I miss you
   
Been far away for far too long
   
I keep dreaming you'll be with me
   
and you'll never go
   
Stop breathing if
   
I don't see you anymore
   
--Far Away : Nickelback

   
นี่เราห่างกันนานขนาดไหนแล้วนะ? ทำไมผมถึงได้โหยหาคุณขนาดนี้?
   
ป.ล. รูปคราวก่อนที่วาดมานี่ระดับมาสเตอร์พีซเลยนะ : )


อยากกินคุณอีก
อยากทำมากว่ากอดคุณจัง
ลงชื่อ.. เหล้ารัม

   
คราวนี้ผมรู้สึกใจหายแฮะ.. รู้สึกว่าฉบับที่สามนี้ค่อนข้างคนละอารมณ์กับสองฉบับแรก เพราะไม่ค่อยจะไปในเชิงขำขันสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าตรง ป.ล. กับตรงก่อนลงชื่อจะมีการแอบแกล้งผมเล็กๆ น้อยๆ ก็เถอะ แต่โดยรวมแล้วก็ดูจริงจังมากทีเดียวน่ะนะ
   
จนจากตอนแรกที่ผมทำเป็นลืมๆ ไปแล้วว่ากำลังห่างไกลจากเหล้ารัม พอได้อ่านจดหมายฉบับนี้.. มันเลยทำให้ผมกลับมาคิดถึงเขาอย่างนักอีกครั้ง.. ถึงขนาดที่ว่าต้องไปเปิดหาเพลงเพื่อแทนความรู้สึกของผมในตอนนี้ให้เขาบ้าง..

/ ต่อด้านล่าง /
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2016 23:17:22 โดย Hamzholic »

ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2

* * * * * * *

การส่งจดหมายของผมกับเหล้ารัมยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พี่วิสกี้เองก็ยังคงหาทางทำลายด้ายแห่งพันธะสัญญาไม่เลิกเช่นกัน
   
ซึ่งยอมรับนะว่าหลังๆ มานี้ ผมแทบจะไม่ไม่มีน้ำตาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาจจะเพราะว่าหนึ่ง..จดหมายของแฟนผมถูกตอบกลับมาเร็วขึ้น ในขณะที่สองคือ..ผมว่าผม 'ชิน' กับชีวิตแบบนี้ไปเสียแล้ว
   
คือแบบ..จะอธิบายยังไงดีล่ะ.. ก็..ไม่ใช่ว่าไม่โหยหาคนที่ผมรักหรอกนะ.. เพียงแต่ว่าด้วยความที่ผมต้องอยู่ต่อไปให้ได้โดยที่ไม่ทำตัวเป็นคนบ้าระเบิดร้องไห้ออกมาต่อหน้าพ่อหน้าแม่อย่างยากจะควบคุม มันก็มีเพียงแค่ต้องทำใจให้ชินกับการไม่มีเค้า แล้วก็เฝ้ารออย่างใจเย็นก็เท่านั้น
   
นอกจากนี้ เวลาว่างของการปิดเทอม ผมก็เลือกที่จะเอาไปโฟกัสกับการช่วยงานพ่อที่บริษัทหมด มันก็เลยเหมือนกับว่าผมทำตัวให้ตัวเองยุ่งๆ จนลืมวันลืมคืนไปโดยปริยาย
   
กระทั่ง..
   
ติ๊ง!

‘ขอให้วันเกิดปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดที่มึงเคยเจอมา และขอให้มึงกับไอ้เหล้ารัมเจอ 'ทางออกที่สาม' ได้ในเร็วๆ นี้ มึงจะได้กลับมาเป็นเพื่อนที่มีแต่ความสุขของกูสักที –เอก’

   
..ผมได้รับข้อความจากไอ้เอกในเวลานี้
   
ถึงได้รู้ว่า.. ผมมีอายุยี่สิบเอ็ดปีเต็มเสียแล้ว..
   
"..." ผมนั่งอ่านข้อความของเอกซ้ำอีกสามถึงสี่รอบ.. แล้วส่งข้อความขอบคุณตอบกลับมันไป
   
ก่อนที่หลังจากนั้นผมจะนอนมองเพดานนิ่ง.. คิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา..
   
แล้วผมก็ได้พบว่า.. มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่ผมสามารถกลายมาเป็นผมอย่างในทุกวันนี้ได้.. จากคนๆ นึงที่คิดว่ายังไงซะก็คงจะต้องตายแน่ แต่กลับมี 'พ่อมดที่โคตรดี' เข้ามาในชีวิต และมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้  ซึ่งสิ่งที่ว่านั้นก็คือ 'ความรักที่ยิ่งใหญ่' จากเขา
   
ถึงขนาดที่ผมต้องบอกกับตัวเองเลยว่า..ผมนี่ช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ชีวิตนี้เกิดมาครั้งเดียว นอกจากจะมีพ่อแม่และเพื่อนที่แสนดีแล้ว ผมยัง..ได้ถูกรักโดยคนรักที่พร้อมจะเสียสละเพื่อผมอย่างเหล้ารัมด้วย.. ซึ่งมันหายากแล้วในยุคแบบนี้
   
จะเหลือก็แต่... ค้นพบทางออกที่จะทำให้เราได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขก็เท่านั้นนั่นแหละ...
   
'3:24’
   
ใจจริงผมอยากนอนพักจนกว่าจะถึงตีสี่นะ แล้วถึงจะค่อยลงไปช่วยงานในครัว เพราะรู้ดีว่าวันนี้ทุกคนจะต้องวุ่นๆ กันแน่ แต่เพราะคืนนี้มีสิ่งที่วิ่งวนอยู่ในหัวมากจนเกินไป.. มันจึงทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับลงได้เลย
   
ผมพลิกตัวไปมาอยู่นานมาก จนสุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาดูนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง ก่อนจะพบว่า..เป็นเวลาที่ไม่เร็วไปนัก หากจะลงไปทำอาหารสำหรับใส่บาตรในครัวตอนนี้
   
"ตื่นมาทำอะไรตอนนี้คะคุณวาฬ?" แต่แทนที่ครัวจะว่างเปล่า กลับกลายเป็นว่าในเวลานี้มีพี่ฟ้าตื่นมาเตรียมหุงข้าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ดี มีเพื่อนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ผมจะได้ไม่เหงา
   
"ก็วันนี้วันเกิดผมนี่ครับ จะไม่ให้ลงมาช่วยได้ยังไงกัน : )"
   
พอได้ยินผมพูดแบบนั้น พี่ฟ้าก็ยิ้มรับ ก่อนที่จะส่งลิสต์รายการอาหารที่แม่ของผมสั่งไว้ให้พี่ฟ้าทำสำหรับใส่บาตรในเช้านี้มาให้ ดู โดยเกือบทั้งหมดเป็นเมนูที่ผมชอบ เพราะมาจากความเชื่อของแม่ผมที่ว่า.. "เราควรใส่บาตรของกินที่เราชอบในวันเกิดของเราเอง พอชาติหน้าเกิดมาเราจะได้กินแต่ของที่เราชอบไงจ๊ะ" ซึ่งผมมองว่า มันก็เป็นความคิดของแม่ที่น่ารักดีเหมือนกัน : )
   
เมื่อรู้ลิสต์ของอาหารแล้ว พี่ฟ้ากับผมก็ช่วยกันลงมือทำอย่างขะมักเขม้น ก่อนที่จะมีแม่บ้านอีกสองสามคนมาช่วยตักของใส่ถุงแบ่งเป็นชุดๆ ให้
   
หลังจากที่หยิบนั่นจับนี่กันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อกับแม่ผมก็ลงมาข้างล่างตอนประมาณตีห้าครึ่ง ซึ่งดูพวกท่านจะประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกล่าวคำอวยพรให้ ก่อนที่เราทั้งหมดจะยกพลกันไปที่วัด เพื่อดักรอใส่บาตรพระกันตั้งแต่หน้าประตู
   
จนภารกิจช่วงเช้าเสร็จสิ้นและกลับมาถึงที่บ้าน ผมสั่งให้ลุงช้างพาพี่ฟ้าไปซื้อวัตถุดิบในการทำเค้กจำนวนมากมาให้ เนื่องจากทำเนียมในวันเกิดของผมตั้งแต่อายุสิบสามเป็นต้นมา คือผมเลิกจัดการวันเกิดอีกตลอดไปแล้ว เพราะนั่นเท่ากับว่าจะเป็นการฉลองที่ตัวเองได้เข้าใกล้ความตายเร็วขึ้นอีกปี (ก็ตอนนั้นยังไม่เจอเหล้ารัมนี่หน่า) แต่เลือกที่จะทำเค้กส่งไปให้แต่ละบ้านในรั้วของอลิชาแทน
   
ผมง้วนอยู่กับการทำเค้กปอนด์ใหญ่ๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน จนพ่อเอ่ยแซวว่าผมควรเปิดร้านเบเกอรี่เพื่อหารายได้พิเศษให้กับครอบครัว ในขณะที่แม่พูดว่า "นี่มันโรงงานนรกชัดๆ!" ซึ่งแม่พูดถูกจริง เพราะกว่าที่ทุกอย่างจะเสร็จสิ้นตามจำนวนที่ตั้งใจไว้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายแล้ว ไหนจะเดินแจกจ่ายตามบ้านอีก เท่ากับว่าวันนี้ทั้งวันผมก็ไม่ต่างอะไรจากการอยู่ในโรงงานเค้กนรกอย่างที่แม่ว่านั่นล่ะ ฮ่าๆๆ~
   
"คุณวาฬคะ เค้กสองอันนี้ทำเกินหรือเปล่าคะเนี่ย?"
   
"ไหนครับพี่ฟ้า" ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เมื่อได้ยินพี่ฟ้าถามถึงเรื่องเค้กที่เกินจำนวนมา ถึงได้เห็นว่า.. "อ๋อ สองอันนี้สำหรับคนพิเศษครับ : )" ..มันคือเค้กต่างรสชาติอย่างละครึ่งปอนด์ที่ผมทำเตรียมไว้สำหรับคืนนี้นั่นเอง

* * * * * * *

      
วันเกิดของผมปีนี้ตรงกับคืนวันศุกร์.. ซึ่งนั่นหมายความว่าพี่วิสกี้จะต้องมาหาผมเพื่อทำลายด้ายแห่งพันธะสัญญาอย่างแน่นอน เนื่องจากว่าคืนวันศุกร์จะเป็นคืนที่เธอไม่เคยขาดเลยตั้งแต่ช่วงที่เริ่มมา
   
แล้วโดยปกติแล้วเนี่ย ผมมักจะรอให้ใกล้ถึงเวลาสามทุ่มก่อน ถึงจะมานั่งรอให้ห้องนอนของตัวเองเพื่อให้พี่วิสกี้ได้มาเจอกันแบบพอดิบพอดี แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้.. ที่ผมนั่งรอพี่สาวของเหล้ารัมอย่างใจจดใจจ่อตั้งแต่สองทุ่ม เพราะมีสองเรื่องใหญ่ๆ ที่อยากจะคุยกับเธอ
   
ก๊อกๆๆ!
   
ซึ่งพอถึงสามทุ่มปุ๊บ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นปั๊บแบบตรงตามเวลาเป๊ะ
   
"เข้ามาเลยครับ" ก่อนที่ผู้มาเยือนจะเดินทะลุประตูเข้ามาอย่างที่ชอบทำเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากผมแล้ว
   
"สวัสดี"
   
"สะ..สวัสดีครับ" ผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่สีหน้าของพี่วิสกี้ดูอ่อนแรงลงจากช่วงที่เราเจอกันแรกๆ.. จนผมแทบอยากจะถามเธอว่าอยากดื่มอะไรก่อนมั้ย แต่อีกใจก็คิดว่าถามไปก็คงจะโดนดุกลับมาตามเดิม เพราะฉะนั้นผมว่าผมปล่อยเลยตามเลยจะดีกว่า
   
"มาเริ่มกันเลยเถอะ"
   
ทว่า.. "เดี๋ยวครับ" ทันทีที่เห็นว่าพี่วิสกี้กำลังจะเผยด้ายแดงของผมกับเหล้ารัมออกมา ผมก็รีบร้องห้ามอย่างสุภาพ เรียกความสนใจแบบ 'ตาขวาง' จากพี่วิสกี้ได้แบบฉับพลัน "เอ่อ.. คือผมมีเรื่องอยากจะขอร้องน่ะครับ" แต่ผมชินเสียแล้วกับความดุดันของพี่วิสกี้ในโหมดนี้ ก็เลยกล้าพอที่จะพูดเรื่องแรกที่อยู่ในใจออกไป ถึงแม้ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายจะดูไปค่อยสบอารมณ์ก็ตาม
   
"อะไร?"
   
"คือ.. วันนี้เป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ดของผมครับ ผมก็เลย..อยากจะขอให้พี่วิสกี้ค่อยมาทำลายเส้นด้ายพรุ่งนี้ได้มั้ย เพราะ..ถ้าเกิดว่าพี่เกิดทำลายได้สำเร็จวันนี้ ผมก็..จะต้องตายทันทีครับ"
   
"..." พอได้ยินแบบนั้น พี่วิสกี้ก็ดูจะนิ่งไปนิดนึง.. ก่อนที่จะถอนหอยใจออกมาเสียยืดยาว พร้อมกับคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของคนอย่างพี่วิสกี้ "วันนี้วันเกิดนายอย่างงั้นหรอ?" ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการถามทวนในสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วก็ตาม
   
"ครับ"
   
"เฮ้ออออออ โอเค ฉันจะยอมให้นายวันนึงก็ได้ เพราะเดี๋ยวเกิดนายตายไป น้องชายฉันคงไม่มองหน้าฉันอีกเลย" พูดจบแค่นั้น พี่วิสกี้ก็ยินยอมตามคำขออย่างง่ายๆ
   
ซึ่ง...เป็นอะไรที่ผมก็ไม่ค่อยจะแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าช่วงหลังๆ มานี้ นอกจากผมที่จะเริ่มชินกับชีวิตมากขึ้น ผมว่าผมเองก็สังเกตนะว่าพี่วิสกี้เองก็มีความอ่อนลงกว่าตอนแรกๆ เหมือนกัน
   
อย่างครั้งนึง ผมเคยถามออกไปว่า.. "พี่วิสกี้ครับ ผมขอถามอะไรอย่างนึงได้มั้ยครับ?"
   
"อะไร?"
   
"มันไม่มีทางออกอื่นแล้วหรอครับ ที่จะทำให้เราทั้งสองฝ่ายสามารถพบกันครึ่งทางได้ อย่างเช่น.. ไม่ต้องถอนพันธะสัญญา แต่ทำให้ผมกลายเป็นภูตผีปีศาจเพื่อที่จะได้มีอายุขัยยืนยาวเหมือนกับเหล้ารัมอะไรแบบนั้น"
ซึ่งก้อนความคิดนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมมโนขึ้นมาเองนะ แต่มันมาจากครั้งนึงที่เหล้ารัมเคยบอกว่าเขามีทางที่จะทำให้ผมอายุยืนยาวแบบพ่อมดได้ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น..อาการเจ็บปวดใจก็กำเริบขึ้นมาซะก่อน เลยทำให้ยังไม่ได้รู้ความ
   
"..." แล้วผลก็คือ.. พี่วิสกี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้น ทว่า..นัยน์ตาสีม่วงเข้มภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งกลับสั่นไหวรุนแรง.. ก่อนที่เธอจะรีบกลับหลังหันเหมือนรู้สึกตัวว่าได้แสดงมุมอ่อนแอออกมา.. แล้วเดินจากไปอย่างเชื่องช้าและเงียบงันไม่ต่างจากตอนนี้เลย..
   
"เดี๋ยวก่อนครับพี่วิสกี้" แต่กับคราวนี้ผมยังไม่ยอมปล่อยให้พี่วิสกี้จากไปง่ายๆ หรอกนะครับ เพราะผมยังมีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้อง
   
"อะไรอีก?" ทำเอาพี่วิสกี้ต้องหันกลับมาถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ
   
"คือ.. ผมขอฝากเค้กไปให้เหล้ารัมหน่อยจะได้มั้ยครับ?" ผมจึงรีบก้าวยาวๆ ไปหยิบถุงเค้กสองถุงที่วางเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดกว่านี้จนไม่สามารถคุยได้ "ผมทำเตรียมไว้แต่เช้าแล้ว ถุงนี้เป็นรสเค้กรสนมของเหล้ารัม ส่วนถุงนี้..ผมทำเอาไว้ให้พี่วิสกี้ครับ เป็นรสช็อกโกแลต เพราะจำได้ว่าเหล้ารัมเคยบอกว่าพี่วิสกี้ชอบ"
   
"..."
   
ตึกตัก ตึกตัก
   
ผมรู้สึกว่าใจของตัวเองเต้นแรงขึ้น เมื่อพี่วิสกี้นิ่งไปนิดนึง.. ก่อนที่เธอจะก้มลงมองถุงเค้กสองถุงสลับไปมา แล้วเงยหน้ามาหยุดสายตาอยู่ที่หน้าผมอีกครั้ง...
   
"..." พอเห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองเข้ามาในตา.. ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจ้องตากลับไปด้วยสายตาอ้อนวอน
   
ก็เลยกลายเป็นว่าเราสองคนยื่นนิ่งกันอยู่ในความเงียบนานนับนาที ก่อนที่ไหล่ของพี่วิสกี้จะห่อลงเล็กน้อย แล้วผลที่ตามมาก็คือ..
   
"ก็ได้" ..พะ..พี่วิสกี้รับเค้กสองถุงจากไปถือไว้..ยะ..อย่างที่ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง!
   
"ฮึก.." ม่านน้ำตาบดบังการมองเห็นของผมทันทีที่รับรู้ได้ว่าพี่วิสกี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..
   
"สุขสันต์วันเกิดนะ..วาฬ" ..เมื่อเธอกล่าวคำอวยพรผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว
   
"ขอบคุณนะครับพี่วิสกี้.. ฮึก.. ขอบคุณมากจริงๆ ครับ"
   
ก่อนที่หลังจากนั้นพี่วิสกี้จะเดินจากไป.. แล้วปล่อยให้ผมพร่ำบอกคำขอบคุณไล่หลังเธอทั้งน้ำตา..


จบตอนที่ 20

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ

มายเพจ : #แฮมสเตอร์

 :hao5:


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
พี่วิสกี้ทำไมยังต้องขัดขวาง เหล้ารัมบอกว่ามีทางแก้อีกนี่นา

ว่าแต่ ฝ่ายวาฬที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถทำอะไรพ่อมดแม่มดได้เลยงั้นเหรอ? ดูเหมือนชีวิตนางเอกหลังข่าวจริง

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เอียนกลายเป็นคนที่น่าทุเรศได้ยังไง ความเอ็นดูที่เคยมีให้วาฬอย่างน้อยที่สุดก็ในฐานะน้องชายน่ะ ไม่เหลือเลยเหรอ... คนอะไร น่ารังเกียจขนาดนี้ วิสกี้ใจอ่อนเร็วๆก็ดีนะ สงสารเหล้ารัม

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :sad4:พี่วิกกี้ใจอ่อนแล้ว สู้ๆนะวาฬ

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
เอาเอียนมาทำไม...
อ่านแล้วร้องไห้เลย สงสาร

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด