ก็บอกว่าไม่ชอบเด็กไง
ตอนที่ 9
' คำถามสุดท้าย '
ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่อีกคนพาผมมาเป็นร้านที่ไม่ได้หรูมากมายแต่ก็มีบริการดีแถมรสชาติอาหารยังอร่อย คนข้างๆบอกผมแบบนั้น ร้านที่เสิร์ฟไวน์คู่กับอาหารรสเลิศ แค่เรื่องอาหารก็ทำให้ลืมความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องรับปรึกษาอะไรหรอก โต๊ะที่มองเห็นวิววนอกระเบียงเป็นโต๊ะตัวที่พนักงานเดินนำเราไป ผมนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะถอนหายใจมาพลางมองไปรอบๆ
“ อาหารที่นี้อร่อยมากเลยนะ โดยเฉพาะสเต๊กแล้วก็พวกสปาเก็ตตี้ "
“ เหรอครับ " ผมพยักหน้ารับตอนที่รับเมนูจากพนักงานมาอ่านชื่อเมนูต่างๆ ราคาอาหารก็ไม่แพงมากถือว่าเหมาะสมกับบรรยากาศแต่ไม่รู้รสชาติจะสมรึเปล่าเพราะยังไม่เลยได้ลอง " งั้นของผมขอเป็นสเต็กเนื้อแล้วกันครับ " ปิดเมนูสั่งไปแค่นั้น ก็อยากจะกินนะสปาเก็ตตี้แต่ให้กินต่อหน้าผู้ชายนี่ไม่ไหววะ ฉากสูดเส้นเข้าปากคงไม่น่าดูชมเท่าไหร่
“ คุณลิป ทานไวน์มั้ย "
“ ก็ทานนะครับ " ผมตอบอีกคนก็สั่งไวน์แดงมาขวดนึง เป็นมื้อที่หรูหราดีจริงๆ " ว่าแต่ เลี้ยงจริงๆใช่มั้ยครับ "
“ จริงๆสิครับ เป็นการขอโทษที่ทางผมทั้งสายแล้วก็ไม่ได้บุคคลตามที่คุณต้องการด้วย "
“ จริงๆก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น " ส่ายหน้าไปมาก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ เรื่องที่ไม่สบายใจพูดยากนะครับ กว่าคุณจะตัดสินใจเลือกใครสักคนก็คิดแล้วคิดอีก ถึงจะบอกไม่ซีเรียสแต่คุณก็คงใช้เวลาเลือกอยู่นานนะ กว่าจะเจอคนที่คุณถูกใจที่อยากจะเปิดใจปรึกษาเค้าได้ "
“ ก็จริงครับ " ผมยิ้มยอมรับกับสิ่งที่อีกคนพูด " แล้วปกติ คนที่จ้างคุณเค้าจ้างคุณไปทำอะไรเหรอครับ "
“ ก็ส่วนใหญ่ก็มีหลายแบบครับ บางคนก็ชอบชวนผมไปซื้อเสื้อผ้า ผมเก่งเรื่องการแต่งตัวน่ะครับเค้าก็เลยชอบชวนไปเลือกเสื้อผ้าเพื่อใช้ในการเดท บางทีก็ซ้อมไปเดทบ้างก็มี หรือว่าปรึกษาเรื่องความรัก "
“ ผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี " ก้มหน้าลงยิ้มๆให้อีกคนที่ก็ยิ้มกว้างออกมา
“ ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆเล่าออกมาก็ได้ "
“ ผมเพิ่งอกหักน่ะ จากผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผม " เริ่มพูดออกไปแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา " ผมชอบคนอายุน้อยกว่าตลอดมาตั้งแต่มีความรักก็มักจะชอบคนอายุน้อยกว่า ผมเป็นนะครับ " หัวเราะฝืนๆกับอีกคนที่ก็พยักหน้ารับแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจอะไร " ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมถึงชอบเด็กผู้ชายนัก อาจเพราะเค้าช่างเอาใจแล้วก็คอยอ้อนอยู่ตลอดมั้ง ทั้งๆที่เจ็บมากี่ครั้งก็ไม่เคยจำสักที ทั้งๆที่ก็บอกกับตัวเองว่า อย่าไปจริงใจกับคนพวกนี้แต่ก็ยังจริงจังกับคนพวกนี้ทุกที " ขอบตาของผมเริ่มร้อนผ่าว ผมก้มหน้าลงต่ำพลางงอไหล่ตัวเองไว้ สองมือที่บีบเข้าหากัน " แล้วเมื่อสองวันก่อนผมก็เพิ่งอกหักมา ทั้งๆที่บอกกับตัวเองว่า คนนี้จะไม่จริงจัง แต่สุดท้ายก็นอนร้องไห้ตั้งสองวัน น่าตลกชะมัด "
“ บอกผมได้มั้ยว่าทำไมคุณถึงเลิกกับเค้าละ "
“ เพราะว่า ผมไปเจอเค้าโดยบังเอิญกับผู้หญิงคนนึงน่ะ ระหว่างที่กำลังกลับบ้านไปหาเค้าพร้อมกับหนังหลายเรื่องที่ของยืมเพื่อนเพื่อที่เราจะได้ใช้ช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน ผมเจอเค้ายืนกอดจูบอยู่กับผู้หญิงคนอื่น หนำซ้ำเค้ายังพูดถึงผม เป็นประโยคที่ฟังแล้วก็รู้สึกเลยว่าผมน่ะ มันโง่จริงๆ เค้าบอกว่าผมกับเค้า ก็เหมือนคนที่แลกเปลี่ยนความต้องการกัน เค้าบอกว่าคนอย่างผมอยากจะได้แค่เซ็กส์เท่านั้น พูดว่า คนแบบนี้อยากจะได้แค่เซ็กส์เท่านั้นแหละ ทั้งๆที่ตลอดมา สิ่งที่อยากได้คือความจริงจังจากเค้าตังหาก และไม่เคยคิดเลยว่าของต่างๆที่ซื้อให้จะเป็นการแลกเปลี่ยนอะไร ผมแค่ซื้อเพราะผมอยากให้และเค้าอยากได้ มันก็เท่านั้น แต่คงเพราะความรู้สึกของเรามันไม่เท่ากัน แล้วความรักของเรามันไม่เหมือนกัน ทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้ มองดูเพื่อนตัวเองที่ชอบคนอายุมากกว่าแต่กลับได้แฟนเด็กที่ทั้งน่ารักแล้วเอาใจ ก็รู้สึกเจ็บอยู่เหมือนกัน คนเรามันต้องเป็นแบบนี้สินะ เราต้องได้ของที่เราไม่ชอบ คนเรามันเป็นแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่าก็รู้นะครับ "
“ ไม่ทุกคนหรอกครับ " คนตรงหน้าของผมบอก " คุณแค่ไม่เจอของที่ชอบจนสามารถลืมสิ่งที่ไม่ชอบในตัวเค้าได้มันก็เท่านั้น อย่าเอาใครสักคนมาทำให้เราต้องจมปรักกับตัวเอง ว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนั้น ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ถ้าเค้าไม่รัก ถ้าเค้าไม่เห็นค่า เราก็อย่าไปให้ค่าเค้าเลยครับ แล้วก็อย่าเอาชีวิตของตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะถ้าวันไหนวันนึงคุณไปเป็นเค้า คุณอาจจะไม่อยากเป็น แล้วอยากจะกลับมาเป็นตัวคุณที่ตอนแรก คุณมองว่ามันไม่ดีก็ได้ " รอยยิ้มที่ยิ้มให้ผม เค้าหยิบทิชชูที่ตั่งอยู่บนโต๊ะยื่นให้ " เช็คน้ำตาเถอะครับ คนน่ารักแบบคุณ ไม่เหมาะกับคราบน้ำตาพวกนั้นหรอก ยิ้มดีกว่านะ "
“ ผมอยากจะหยุดความเสียใจได้ง่ายๆ เหมือนพอคุณพูดเสร็จแล้วผมก็หายเศร้า อยากทำแบบนั้นได้จังเลยครับ " แต่เพราะในความจริงแม้จะโดนปลอบดีแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไง ความเศร้าก็ยังคงอยู่ เหมือนกับเราที่ถูกลูบหัวแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย แต่ใจในมันไม่ใช่อย่างงั้น เหมือนความเศร้าถูกพักทิ้งไว้สักพัก แล้วพออยู่คนเดียวมันก็ค่อยๆ กลับมาอีก กลับมาทำให้ร้องไห้อีก
“ ถ้าความเศร้ามันถูกทำให้หายไปง่ายๆได้ มันไม่ถูกเรียกว่า อกหักหรอก มันคงถูกเรียกว่าความเจ็บปวดทั่วไป แต่เพราะมันไม่ได้่หายไปง่ายขนาดนั้น มันเลยมีคำเฉพาะที่บอกให้เรารู้ว่า เราเจ็บจริงๆ เจ็บจากใครคนอื่น แล้วมันก็ยิ่งกว่าคำว่าเสียใจธรรมดา "
“ นั่นสินะครับ " น้ำตาที่ไหลออกมามากมายหลังจากฟังประโยคนั้นไม่รู้ทำไมแต่อยู่ๆก็อยากจะร้องไห้ออกมาให้หมด ก็คงจะจริงอย่างที่เค้าพูด ถ้าความเศร้าหนนี้มันหายไปง่ายๆมันคงไม่ถูกเรียกว่าอกหักหรอก " แต่ผมไม่อยากจะร้องไห้ให้คนแบบนั้นเลย ทั้งๆที่บอกกับตัวเองไปแล้ว จะร้องไห้แค่สองวันเท่าไหร่ แล้วจะไม่ร้องแล้วดูสิ ตอนนี้ผมก็ต้องมานั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ ตลกชะมัดเลย แล้วพอยิ่งห้าม น้ำตาก็ยิ่งไหล จะหยุดก็ไม่ได้ แย่ชะมัดเลย ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้จะห้ามมันยังไงเหมือนกัน "
“ ไม่เป็นไรครับ เพราะถ้าการร้องไห้ทำให้คุณสบายใจขึ้น คุณก็ร้องออกมาเถอะ " คนตรงหน้ายื่นทิชชูให้ผมอีก ในตอนนั้นสเต๊กที่ดูท่าทางน่าอร่อยก็ถูกวางตรงหน้า มันที่ทั้งน่าอร่อยแล้วก็น่ากิน
“ อาหารน่าอร่อยขนาดนี้แล้วผมมาร้องไห้อะไรแบบนี้อยู่ คิดแล้วตลกนะครับ ก่อนอื่นต้องสูดน้ำมูกก่อน เช็ดน้ำตาแล้วก็เริ่มกินได้ "
“ ใช่ครับ " เค้ามองหน้าผมยิ้มๆ คงตลกในสิ่งที่ผมพูดอยู่เหมือนกัน " สเต๊กเนื้อที่นี่อร่อยนะครับ ลองดู "
“ แล้วคุณเมษสั่งอะไรไปเหรอครับ "
“ สเต๊กเนื้อแกะครับ " เค้าตอบ ก่อนวินาทีถัดมาสเต๊กหน้าตาน่ากินของเค้าจะถูกจัดเสิร์ฟ ผมก้มลงกินสเต๊กของตัวเอง เช็ดน้ำตาไปกินไป อร่อยมากครับแต่เสียดายที่ต้องมากินในความรู้สึกแบบนี้ จิบไวน์อย่างดีที่ถูกในแก้วไม่มีอาหารอะไรจะเฟอร์เฟ็คไปมากกว่านี้อีกแล้ว สเต๊กอร่อยๆกับไวน์แดง ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปถามอีกคนที่มองหน้าผมอยู่ " มาคุยเรื่องทั่วไปคลายความเครียดกันมั้ยครับ "
“ ได้สิครับ " ผมพยักหน้ารับ " แล้วปกติคุณเมษทำงานอะไรเหรอครับ "
“ ผมเป็น ช่างถ่ายภาพของนิตรสารนะครับ "
“ งั้นคุณก็ต้องถ่ายรูปเก่งนะสิครับ " พอบอกแบบนั้นอีกคนก็ส่ายหน้าถ่มตัวเอง
“ ไม่หรอกครับ ธรรมดาๆน่ะ แล้วคุณลิปละครับ "
“ ฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทแห่งนึงครับ " ตอบเค้าไปยิ้มๆ อีกคนก็พยักหน้ารับ
“ ผมเคยได้ยินว่ามันเป็นบริษัทที่ดังมากเลยนะ คนที่ทำงานที่นั่นก็มีแต่คนเก่งๆ "
“ เหรอครับ งั้นเค้าคงไม่นับผมเข้าไปละมั้ง ฮ่าๆๆ " พูดติดหัวเราะอีกคนก็แซว
“ ถ่มตัวเองเหมือนกันนะครับ "
“ แล้วทำไม คุณถึงเลือกจะเปิดโอสแบบนี้ละ เอ่อ ผมไม่ได้มองว่ามันไม่ดีนะ แต่ผมมองว่าความคิดคุณน่ะ เจ๋งชะมัด มันไม่เหมือนใคร ทำไมคุณถึงคิดทำมันละครับ "
“ เหมือนกำลังให้สัมภาษณ์รายการทีวีเลยนะครับ " ผมหัวเราะออกมาตอนที่อีกคนพูดแบบนั้น " แล้วคุณล่ะ คิดว่ามันเป็นยังไง "
“ ให้ตอบตามตรงมั้ยครับ "
“ ตามสบายครับ "
“ ตอนแรกที่เพื่อนผมแนะนำมา ก็แปลกใจเหมือนกันว่ามันมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ แต่พอคิดว่า คนเราน่ะมักมีเรื่องที่บางเรื่องบอกใครไม่ได้โฮสของคุณตรงนี้ก็เหมือนตอบสนองในจุดนั้นอะ เราไม่รู้จักกัน ไม่รู้จักคนที่ผมพูดถึง พูดอะไรไปคุณแนะนำในสิ่งที่คิดในมุมมองของคนอื่นที่เตือนสติเราได้ ในมุมมองของเพื่อน ก็ดีนะ ผมคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี "
“ นานๆทีจะได้ฟังทัศนคติที่ดีในสิ่งที่ผมทำนะ "
“ อย่างงั้นเหรอครับ " เค้าพยักหน้า
“ เวลาถามคำถามนี้ ลูกค้าหลายๆคนก็เหมือนคุณที่ชวนผมคุณแล้วก็หลุดคำถามแบบนี้ออกมาทุกครั้ง แต่ว่าคำตอบก็ต่างกันออกไป สารภาพครับว่าเพิ่งได้ฟังคำตอบดีๆแบบนี้ก็วันนี้แหละ "
“ ผมไม่ได้พูดเอาใจนะ พูดตามสิ่งที่คิด "
“ ผมทราบครับ " เค้ายิ้ม เราก้มกินอาหารตรงหน้าจนหมด รสชาติอาหารอร่อยจบลงแล้วผมเช็คปากของตัวเอง จิบไวน์จนหมดแก้วอีกคนก็ถาม " จะเช็คบิลเลยมั้ยครับ "
“ ก็ได้ครับ " บอกแบบนั้น มือที่ยกขึ้นเรียกบริกรให้มาเก็บเงิน เค้าก็บอก
" เหลือเวลาอีกนิดหน่อย ไปเดินเล่นกันมั้ยครับ ข้างๆร้านตรงนี้เดินไปไม่ไกลมีสวนเล็กๆอยู่ สวนที่ติดกับรถไฟนะครับ "
“ ก็ได้ครับ " ผมพยักหน้ารับ เราที่เดินออกจากร้านอาหาร ลมเย็นๆที่พัดมาผมสูดอากาศเข้าปอดก่อนที่อีกคนจะหันมามอง
“ รู้สึกดีขึ้นรึยังครับ "
“ ตอนนี้มีคุณเมษชวนพูดอยู่ ผมไม่รู้สึกอะไรหรอกครับ เหมือนมีเพื่อนชวนคุย เรื่องแบบนี้มันมักเศร้าตอนที่อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ "
“ งั้นผมไปอยู่ด้วยตลอดเป็นไง คุณจะได้ไม่เศร้า "
“ ค่าเช่าโฮสของคุณแพงขนาดนั้น ไม่ดีกว่าครับ ผมจนพอดี " หันไปยิ้มให้เค้า อีกคนที่เลือกนั่งลงตรงเก้าอี้ในสวนตัวที่ว่าง ผมมองนาฬิกาข้อมือตัวเองเหมือนอีกแค่ สามสิบนาทีก็จะหมดเวลาแล้ว " วันนี้ขอบคุณนะครับ ที่รับฟังปัญหาของผม "
“ เหลือเวลาอีก สามสิบนาที อย่าเพิ่งรีบลากันสิครับ เบื่อผมแล้วเหรอ "
“ เปล่าสักหน่อย " อีกคนที่ยิ้มให้ สายตาที่มองมานั้นผมเผลอหลบตากับท่าทางที่ชวนให้ใจสั่นแบบนั้น " คุณเป็นโฮสรับฟังปัญหานะ ทำให้ลูกค้าใจเต้นแรงแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ "
“ แล้วใจเต้นแรงเหรอครับ " เค้าที่หันมาถาม ผมก็ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พยักหน้ารับอะไร " ผมแค่อยากจะให้คุณยิ้มได้นะครับ "
“ ขอบคุณนะครับ แต่ผมก็คงไม่เป็นไรแล้วละ เดี๋ยวทุกอย่างก็กลายเป็นความทรงจำ "
“ ขอให้มันกลายเป็นความทรงจำที่ดีของคุณนะ " เค้ายิ้มก่อนจะมองออกไปข้างหน้า " ผมหมายถึงว่าเวลาที่คุณย้อนกลับมามองมัน มันจะกลายเป็นความทรงจำที่จะทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นถ้าเกิดว่าต้องอกหักอีก "
“ อยากจะให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ " ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้งเหลือเวลาอีกแค่ห้านาทีแล้ว " ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ อาหารก็อร่อยแถมยังได้ข้อคิดด้วย "
“ ผมว่าผมไม่ค่อยให้ข้อคิดคุณเท่าไหร่เลยนะ "
“ คนอกหักน่ะ เค้าไม่ต้องการอะไรมากครับ แค่คนที่คอยรับฟังสิ่งที่กำลังเสียใจแล้วก็เป็นทุกข์มากกว่า ขอบคุณที่วันนี้รับฟังผมนะ "
“ ยินดีครับ " เค้าที่พูดแบบนั้น เสียงนาฬิกาข้อมือของเค้ามันก็ดังขึ้นผมมองนาฬิกาตัวเองหมดเวลาแล้ว ได้เวลาจากกันแล้ว เปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองผมยื่นซองสีขาวที่เตรียมเงินใส่ไว้ในนั้นเรียบร้อยแล้ว
“ ขอบคุณอีกครั้งครับ " เค้าที่รับเงินไปใส่ลงในกระเป๋า " ผมกลับก่อนนะครับ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก ไว้ถ้าผมอกหักอีกผมจะโทรไปนะ คราวนี้จะนัดกับคุณเลย "
“ ค่าตัวผมแพงนะครับ "
“ ฮ่าๆ เรื่องนั้นผมไม่กลัวหรอก " พูดหยอกเหย้าอีกคนแบบนั้น ผมก้มหน้าลาเค้าก่อนจะหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถไฟสายที่อยู่ใกล้ๆแต่ทว่าเค้ากลับทักผมขึ้นมาก่อน
“ ผมเองก็กลับบ้านด้วยรถไฟเหมือนกัน เดินกลับด้วยกันมั้ยครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน " เค้าอมยิ้มนิดๆตอนที่เดินเข้ามาใกล้ " เพราะยังไงตอนนี้ก็เลิกงานแล้ว ผมก็เป็นแค่คนธรรมดา เดินไปที่สถานีรถไฟด้วยกันมั้ยครับ " พยักหน้ารับคำขอนั้น เราเดินข้างกันไปเรื่อยๆด้วยรอยยิ้มอย่างที่ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน จนผมเองเป็นฝ่ายที่พูดขึ้น
“ ปกติคุณเมษ กลับบ้านกับลูกค้าเหรอครับ "
“ หมายความว่ายังไงครับ คำถามแบบนั้น " เค้าหันมามองหน้าผมยิ้มๆ สายตาที่เหมือนกำลังเข้าใจว่าผมคิดอะไร เกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าอยู่ใช่มั้ย
“ ไม่ใช่แบบนั้น คุณคิดอะไรของคุณเนี้ย ผมไม่ได้หมายว่าคุณไปนอนกับเค้า หมายถึงกลับบ้านทางเดียวกันตังหาก "
“ จะว่าไปผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยนะ " เค้าหันมาบอกผมที่ก็หยุดเดินก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ คุณแกล้งกันนิ เดี๋ยวเถอะ!”
“ จะทำอะไรผมดีละครับ " ใบหน้าคมที่ก้มลงมาถาม อาจเพราะขนาดความสูงของเราที่ต่างกัน ผมเอียงหน้าก่อนยิ้ม
“ แสดงว่าก่อนหน้านี้ คุณคีฟลุคอบอุ่นนี่น่า จริงๆคุณไม่ใช่คนแบบนั้นใช่มั้ย "
“ แล้วคุณว่าผมเป็นคนแบบไหน " คำถามที่ชวนให้คิด เอียงหน้าซ้ายขวามองอีกคนก็่อนจะหลุดยิ้มออกมา " ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงอะ "
“ จริงๆ ผมว่าคุณเป็นกวนตีนนะ "
“ ใช้คำว่ากวนตีนเลยเหรอ " มือหนายื่นมือหมายจะตีผม เอียงตัวหลบเล็ดน้อยอีกคนก้ยกยิ้มพลางเปลี่ยนทิศทางมาบิดแก้มกันแบบนั้น แก้มกลมๆที่ถูกดึง ผมขมวดคิ้วอีกคนก็หัวเราะ " หน้าคุณตลกจัง "
“ เจ็บนะคุณ ดึงมาได้ เนื้อคนนะเว้ย " รอยยิ้มชอบใจแม้จะโดนผมทำหน้าไม่พอใจใส่ก็ตาม " ถามจริงเถอะ คุณเป็นแบบนี้กับลูกค้าของทุกคนรึเปล่า "
“ ยังไงครับ "
“ แบบที่ว่า พอหมดเวลางานแล้วก็ชอบพูดคุยกวนตีนกับเค้านะ "
“ ก็ไม่นะครับ เพิ่งมีคุณนี่แหละ เป็นคนแรก " คำพูดธรรมดาแต่น่าแปลกหัวใจกลับเต้นแรงชะมัด อย่าลืมไปสิวะลิป เค้าเป็นโฮสนะเว้ยแน่นอนว่าต้องเก่งเรื่องพูดเอาใจอยู่แล้ว " ปกติผมก็เจอพูดคุยแล้วก็แยกกลับไปคนละทาง "
“ แม้จะต้องเดินกลับไปขึ้นรถไฟทางเดียวกับเค้าแบบผมนะเหรอ "
“ ครับ ผมจะกลับหลังจากที่เธอกลับไปหนึ่งชั่วโมง " เค้าบอกผมก็พยักหน้ารับ
“ แล้วก่อนหน้าจะมาทำงานแบบนี้ คุณเคยทำงานอะไรพวกนี้มาก่อนรึเปล่าครับ "
“ หมายถึงพวกโฮสนะเหรอ "
“ อื้ม " พยักหน้ารับอีกคนก็ยิ้ม
“ สมัยม.ปลายถึงมหาลัย ผมเคยเป็นโฮสมาก่อนด้วยละ "
“ หมายถึงโฮสแบบทั่วไป พวกโฮสบาร์นะเหรอ " ผมทวนความมั่นใจอีกคนก็พยักหน้า " ความเป็นโฮสยาวนานฝังในสายเลือดมากเลยนะคุณ "
“ ฮ่าๆ ผมว่ามันเป็นงานที่ดีนะ "
“ หมายถึงเงินดีรึเปล่า " เค้าก้มหน้าลงยิ้มตอนที่ผมบอก " คุณคงหมายถึงว่ามันช่วนบรรเทาความต้องการของใครบางคนได้ใช่มั้ย อย่างเช่น ผมที่อยากจะให้ใครสักคนรับฟังปัญหาของตัวเอง "
“ เมื่อก่อนตอนที่ทำงานแรกๆ ผมก็แค่อยากได้เงินเท่านั้นแหละ พอดี บ้านผมจนน่ะ " เค้าพูดพลางหัวเราะ " จนวันนึงเจอกับผู้หญิงคนนึงเป็นผู้หญิงอายุมากแล้วละ สามีเอาแต่ทำงานแต่เพราะวันเกิดในปีนั้นเค้าจะมีงานฉลองวันเกิดกัน ก็เลยมาจ้างโฮสแบบผมไปช่วยเลือกซื้อของขวัญให้สามี ตอนแรกผมคิดว่าอายุขนาดนี้แล้วมาชวนโฮสไปช่วยเลือกให้มันใช่เหรอ ข้ออ้างเปล่าวะ แต่ว่าทุกอย่างมันคือเรื่องจริง ที่เค้ามาชวนผมเพราะเป็นตัวแทนลูกชายที่เพิ่งเสียไปน่ะ ตั้งแต่นั้นเลยคิดว่า อาชีพนี้มันมีหลายมุมมองเหมือนกันนะ เหมือนค้นพบชีวิตว่าการที่เราทำให้คนอื่นมีความสุขแม้จะช่วงสั้นๆนั้นก็ดีแล้ว เพราะบางคนอาจจะเศร้ามามากแล้วก็ได้ "
“ แบบนั้นก็เลยมีความคิดที่จะเปิดโฮสคนวัยทำงานเพื่อปรึกษาปัญหาต่างๆสินะ "
“ จะพูดแบบนั้น มันก็ไม่ผิดหรอก " ผมที่ยิ้มออกมา รู้สึกว่าใครคนนี้อบอุ่นจัง มีความคิดที่อบอุ่นแม้จะทำงานในอาชีพแบบนั้น แบบที่ผมเคยมองว่ามันไม่ดีเหมือนแค่หลอกเงินไปวันๆ " ยิ้มอะไรครับ "
“ ต้องบอกเหรอ " หันไปถามเค้าที่มองจ้องมา ผมก็ยิ้มกว้างขึ้น
“ แค่คิดว่าคุณเป็นคนอบอุ่นจัง "
“ คนทุกคนมีข้อเสียทั้งนั้นแหละคุณ มันอยู่ที่ว่าคุณจะรับข้อเสียนั่นได้มากน้อยแค่ไหนก็เท่านั้นแหละ "
“ แล้วข้อเสียของคุณคืออะไรละ "
“ ไม่บอกครับ ต้องมาค้นหาเอง " หลบแก้มแดงๆไปทางอื่นตอนที่อีกคนพูดแบบนั้น เหมือนว่ากำลังโดนดึงดูดให้สนใจเค้าเรื่อยๆอย่างไม่มีเหตุผลเลย ผ่อนลมหายใจตัวเองออกมาช้าๆ ก็แค่ผู้ชายโฮสทั่วไปที่ต้องมีนิสัยขี้เต๊าะนั่นแหละ อีกอย่างที่เค้าทำให้เราติดใจก็เพราะอยากจะให้ซื้อเค้าในรอบหน้ามากกว่า คำพูดเอาใจที่พูดออกมานั่นก็คงมีความหมายแค่นั้นแหละ " คุณถามผมมาเยอะแล้ว ผมขอถามคุณบ้างได้มั้ย "
“ ได้สิครับ จะถามว่าอะไรเหรอ "
“ คุณชอบกินอาหารประเภทไหนเหรอ "
“ อื้ม ได้ทั้งนั้นแหละครับแต่หลังเลิกงานชอบไปกินเบียร์กับเพื่อน อาหารอิตาเลี่ยนแบบเมื่อกี้ก็ชอบนะครับ "
“ แล้วสีละครับ ชอบสีอะไร "
“ สีเหรอ อื้ม ขาวมั้ง จริงๆก็ชอบทุกสีนั้นแหละ "
“ แล้วคุณชอบอยู่บ้านหรือว่าไปเที่ยวมากกว่ากัน "
“ อื้ม แล้วแต่วันนะ ถ้าอยู่บ้านจนเบื่อแล้วก็คงอยากจะไปเที่ยว แต่ถ้ามีอะไรให้ทำที่บ้าน หรือขี้เกียจก็คงจะอยากรู้บ้านมากกว่า " ผมตอบก่อนจะถามเค้าด้วยความสงสัย " คุณถามอะไรเนี้ย คำถามประหลาด "
“ ก็แค่คำถามทั่วไปเองครับ " เค้าบอกก่อนจะยิ้มขำๆ
“ เหมือนกำลังโดนแกล้งยังไงก็ไม่รู้ "
“ คุณชอบถ่ายรูปมั้ย "
“ ก็ชอบนะครับ " พยักหน้ารับเบาๆ เริ่มสงสัยแล้วว่าคำถามมันเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ แปลกแต่ก็ชวนใจเต้นแรง
“ คุณรังเกียจคนทำงานโฮสมั้ย "
“ ก็ไม่นะครับ "
“ แล้วคนที่อายุมากกว่าคุณล่ะ คุณชอบมั้ย "
“ ผมชอบคนที่อายุน้อยกว่า " ผมบอกอีกคนไปแบบนั้น
“ งั้นคงไม่ต้องถามคำถามสุดท้ายแล้วละครับ " เค้ายิ้มก่อนจะหันไปอีกทาง หัวใจของผมมันว่างเปล่าขึ้นทันทีตอนที่ได้ยินแบบนั้น แล้วคำถามสุดท้ายคืออะไรกันวะ
“ อย่างงั้นเหรอครับ " ถึงแม้ว่าอยากรู้ว่าคำถามสุดท้ายว่าคืออะไรแต่ใจก็ห้ามปากตัวเองให้ถามออกไป ก็ตอบไปตามความจริงนี่หว่าจะมานึกเสียดายที่ตอบแบบนั้นออกไปทำไมวะ ลิป ก็ไม่ชอบผู้ใหญ่นิ เบื่อความขี้บ่นแถมยังไม่ชอบอารมณ์บงการอะไรนั่นอีก
“ ถึงสถานีรถไฟแล้วครับ " ร่างสูงข้างๆหันมาบอก ผมที่เหมือนว่าเพิ่งรู้ตัวก็พยักหน้ารับเค้าช้าๆ ในสถานีที่แทบไม่ค่อยมีผู้คนเพราะอยู่ในช่วงเวลาที่ดึกมากแล้ว สายรถที่เหมือนไปคนละทางเค้าเดินมาส่งผมก่อน ล้วงบัตรรถไฟในกระเป๋ามาถือไว้ผมหันไปยิ้มให้เค้า " หวังว่าจะเจอกันอีกนะครับ "
“ หวังว่าแบบนั้นเหมือนกันครับ " ผมตอบอีกคนก็ยิ้ม " วันนี้ผมขอบคุณมากเลยนะครับ ทั้งที่เป็นที่รับฟังให้แล้วก็ชวนให้หัวเราะตลอดทางเดินที่เดินมาถึงสถานีรถไฟเลย "
“ ขอบคุณเหมือนกันครับ " เค้าบอก " ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้เจอคุณ " เหลือบตามองเค้าที่เหมือนกำลังคิดคำพูดอะไรสักอย่าง " หมายความว่า ตอนที่เราคุยกันเกี่ยวกับเรื่องอาชีพของผม คุณทำให้ผมรู้สึกดีที่ยังมีคนที่คิดแบบนั้นอยู่ "
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็คิดแบบนั้นจริงๆนี่น่า แล้วผมก็รู้สึกจริงๆว่า คุณน่ะ อบอุ่นมากเลย ไปก่อนนะครับ " ก้มหน้าลาเค้าที่เดินเข้ามาใกล้ ผมกดบัตรผ่านประตูเข้าไปด้านในก่อนจะหันมายิ้มให้เค้าที่ก็เดินมาติดชิดกับแผงกั้น
“ คุณลิป "
“ ครับ "
“ เราจูบลากันได้มั้ย " เบิกตามองคนที่พูดออกมาแบบนั้นนิ่งๆ เค้าที่ยิ้มจางๆออกมา " ผมหมายถึงว่า เราแค่จูบกันเหมือนเพื่อนฝรั่งทั่วไปที่เค้าจูบลากันก็เท่านั้น "
“ งั้นผมขอถามคำถามอะไรสักอย่างก่อนหน้านั้นได้มั้ย " ผมเดินเข้าไปใกล้เค้ามากขึ้น สิ่งที่กั้นเราตอนนี้เหมือนมีแค่แผงกั้นของรถไฟฟ้าก็เท่านั้น
“ อะไรครับ "
“ คำถามสุดท้ายที่อยากจะถามผม แต่คุณบอกว่าคงไม่ต้องถามแล้ว มันคืออะไรเหรอครับ " สบสายตาคมที่จ้องมา เค้าเอียงหน้าลงมาใกล้ในขณะที่ผมหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากนั้นก็จูบเบาๆลงบนริมฝีปากของผม คงดีถ้าเราไม่ได้รู้สึกอะไรเกินไปกว่าคำว่าเพื่อนอย่างที่เอ่ยอ้างออกมา จูบบางเบาเพียงไม่นานผละออกข้าๆก่อนที่อีกคนจะพูดออกมา คำถามที่ผมอยากรู้
“ ' แล้วคุณชอบผมได้มั้ย ' นั่นคือคำถามที่ไม่ได้ถามคุณออกไปครับ "
หัวใจเต้นแรงในตอนที่เค้าเดินจากผมไป ราวกับลมแรงๆพัดเข้ามาใส่หน้า เม้มริมฝีปากตัวเองแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะว่าชอบคนอายุน้อยว่า นั่นคือ เหตุผลที่ว่าทำไมเค้าถึงไม่ถามต่อออกมาสินะ .. แต่กลับกัน ถ้าเกิดว่าคำถามนี้ถูกถามกลับมา..ตัวเราจะตอบว่าอะไรกันนะ ชอบ หรือว่า ไม่ชอบ กันแน่
............................................
" เคยมีคนบอกว่า ถ้าเราชอบใครแล้วคิดว่า คงไม่มีหนหน้าให้เจออีกแล้ว ก็ให้บอกออกไปเลย ว่าเราชอบเค้า "
#อยากรักก็ต้องเสี่ยง
ว่าแต่ถ้าเค้าถามกลับมาจริงๆ คำถามของพี่ลิปจะเป็นยังไง
ต้องติดตามตอนหน้า เวลาเดิม
วันนี้ขอจบทอล์คสั้นๆเพียงแค่นี้ พรุ่งนี้จะประกาศผลการเลือกตั้ง AKB48 ที่หนมติ่งอยู่
หนมจึงเครียดและกังวลนิดหน่อย ขอความกรุณาจบทอล์คเพียงเท่านี้ อย่าโกรธกันเลยนะเธอว์
แต่ยังไงซะ ช่วยติดแท็ก #ฟานคีย์ ด้วยนะคะที่รัก เพื่อเป็นกำลังใจให้คนแต่งคนนี้ สู้ต่อไป
หรือจะแชร์ในเฟสก็ได้นะคะ
รัก หนมมี่
ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันดีๆด้วยเถอะ สาธุ
