ก็บอกว่าไม่ชอบเด็กไง
ตอนที่ 64
' ครอบครัว '
วางมือถือลงข้างตัวตอนที่ตอบข้อความสุดท้ายให้คีย์ที่ส่งมาบอกว่าเย็นวันนี้ให้ผมมารับเหมือนเดิม เพราะเค้าไม่มีธุระที่ต้องไปงานศพของรุ่นน้องในแผนกที่กระโดดตึกตายเมื่อวาน พอมาคิดดูแล้ว ท่าทางอีกคนคงจะเศร้าอยู่ในใจลึกๆ เมื่อวานก็นั่งร้องไห้แล้วโทษตัวเองที่ช่วยอะไรไม่ได้อยู่เลย พอยิ่งไม่ได้ไปงานศพแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าในใจจะนึกเสียใจมากแค่ไหน ที่ไม่ได้ไปบอกลา บอกขอโทษกันครั้งสุดท้าย
ผมผ่อนลมหายใจออกมา เอนตัวลงนอนบนโซฟาที่เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำสู้กับอาการข้างนอกที่ตอนนี้คงเริ่มจะร้อนแล้ว เพราะเมื่อเช้าตื่นเช้าไปหน่อยก็เลยหลับไปได้อีกรอบแบบชนิดที่ไม่มีปัญหาอะไร
ครืน ครืน
เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ข้างตัวผมลืมตาตื่นขึ้นกดมารับสายไม่ทันดูเบอร์ที่หน้าจอว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา " ครับ "
“ พี่ฟาน ทำอะไรอยู่เหรอ " ผมขมวดคิ้วน้อยๆกับเสียงและสรรพนามที่ได้ยิน ตอนที่ดึงมือถือออกมาดูเบอร์มันเป็นเบอร์แปลกที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่ได้บันทึกไว้
“ ใครน่ะ " ผมถาม ปลายสายก็ถอนหายใจออกมา
“ นี่เฟิร์นไง นี่อย่าบอกนะว่าไม่ได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของน้องสาวตัวเองไว้เลยน่ะ " ก็ใช่ ไม่เคยบันทึกเพราะไม่คิดว่าว่าจะได้รับการติดต่อจากใครทั้งนั้นในครอบครัวนั้นอยู่แล้วเพราะผมเองก็ถูกตัดขาดออกจากพวกเค้าตั้งแต่วันนั้น วันที่พ่อแม่โอนให้ผมมาเป็นลูกบุญธรรมของตากับยายและไม่เคยหันกลับมาสนใจใยดีกันอีก
“ มีอะไร "
“ พี่ทำอะไรอยู่ "
“ โทรมามีอะไร " ผมถามย้ำเธอก็เงียบไปสักพัก
“ ก็..คือพอดี เฟิร์นอยากเจอน่ะค่ะ พี่ฟานช่วยออกมาเจอเฟิร์นหน่อยได้มั้ย "
“ ไม่ต้องเจอหรอก มีอะไรก็พูดมาเลยทางโทรศัพท์นี่แหละ " ผมไม่ได้เจอญาติพี่น้องตัวเองนานแล้วไม่ว่าจะเป็นน้องสาว หรือว่าพี่สาวตัวเองก็ตาม ไม่ต้องนับพ่อแม่ เพราะตั้งแต่หลังจากที่ตากับยายของผมเสียผมก็ไม่เคยเจอพวกเค้่าอีกเลย พูดให้ถูกก็เหมือนกับว่า พวกเราก็เหมือนคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน รู้จักันก็แค่ชื่อ แล้วพอมีงานสำคัญเราก็มาเจอกัน เป็นเหมือนผู้ร่วมงานคนนึง ผมมีความรู้สึกแค่ว่า เค้าคือใคร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือสนิทสนม แค่รู้ว่า นี่พ่อนะ แม่นะ พี่นะ น้องนะ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกถึงครอบครัวอะไร
“ พอดีหนูมีปัญหานิดหน่อยนะคะ " เธอเริ่มว่าเสียงเศร้า อย่างเฟิร์นเองผมก็ลืมไปแล้วว่าตอนนี้เธอเรียนอยูชั้นไหน หน้าตาเป็นยังไง เพราะเธอไม่เคยโทรศัพท์มาคุยกับผมแบบนี้เลยสักครั้ง ตอนนี้ก็ยังสงสัยเลยว่า เอาเบอร์ผมมาจากไหนกัน
“ ปัญหาอะไร เรื่องเงินหรอ "
“ ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องเงิน คือหนูอยากจะเจอพี่ฟานจริงๆ ออกมาเจอหนูหน่อยได้มั้ยคะ หนูอยากจะคุยกับพี่ต่อหน้า " ถอนหายใจผ่านสายออกมา อยากจะถามออกไปตรงๆเลยว่า ถ้าเจอกันแล้วเธอจะจำพี่ได้เหรอ ถึงเรียกผมว่า พี่ ออกมาจากปากได้เหมือนว่าเรานั้นสนิทสนมกันเสียเหลือเกินแบบนั้น ทั้งๆที่เราก็เจอกันแบบนับครั้งได้ แล้วเจอกันทีไรก็แทบจำกันไม่ได้เพราะเด็กๆก็โตเร็วอยู่แล้ว
“ มันเป็นเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงต้องเจอหน้ากันแล้วคุยกัน ทำไมถึงพูดในโทรศัพท์ไม่ได้ "
“ เถอะค่ะ นะคะ ขอให้หนูได้เจอพี่แล้วหนูจะอธิบายทุกอย่าง " ผมมองนาฬิกาตอนที่เธอพูดออกมา มันเป็นช่วงใกล้พักเที่ยงแล้ว คิดเอาไว้เหมือนกันว่าจะออกไปดูหนังที่ห้างใกล้ที่ทำงานของคีย์ เพื่อรอรับอีกคนกลับบ้านพร้อมกันเลยทีเดียว
“ งั้นก็ได้ " ผมบอกที่อยู่เธอไป นัดแนะเรียบร้อยผมกดวางสายแต่ก็ไม่คิดจะเซฟเบอร์นั่นไว้ เพราะถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมจะให้แล้วก็จะบล๊อคเบอร์โทรไปเลย เพื่อไม่ให้เธอกลับมาขอผมอีก ถึงใครจะบอกว่า เป็นพี่น้องกันต้องช่วยเหลือกันก็เถอะ แต่พี่น้องแบบที่พ่อแม่ไล่ให้ผมออกไปจากครอบครับตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับคำว่า พี่น้อง หรือ ครอบครัวจากผมหรอก เพราะครอบครัวของผม มีแค่ตากับยายแล้วตอนนี้พวกท่านก็เสียไปแล้ว ผมมันแค่คนไม่มีครอบครัว
นั่งรถไฟมาลงสถานที่ที่นัดกับเธอไว้ บอกไว้ว่าให้เจอกันที่ลานหน้าห้าง แต่ช่วงเวลาพักเที่ยงที่คนเยอะๆแบบนี้ ผมก็ทำได้แค่มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะมีสายโทรศัพท์ของเธอโทรเข้ามา
“ พี่ฟาน หนูถึงแล้วนะ พี่ฟานอยู่ตรงไหน "
“ ที่หน้าห้างอะ ใส่เสื้อสีอะไรละ "
“ เป็นเดรสสีดำนะคะ " เธอบอก ผมก็มองหาก่อนจะเจอเข้ากับผู้หญิงคนนึงใส่ชุดเดรสสีดำแขนกุดสะพายกระเป๋าแบรนด์หรู ผมยาวสีน้ำตาลดัดลอนใหญ่ๆใบหน้าสละสวยของเธอ มันทำให้ผมไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่านั่นคือน้องสาวของผมแค่คุ้นๆว่า ก็น่าจะใช่ ตอนเด็กๆหน้าตาแบบนั้น โตมาก็คงหน้าตาแบบนี้ ผมเดินเข้าไปหา เอ่ยทักคนที่กำลังมองหาผมอยู่แม้ตอนนี้ผมจะมายืนอยู่ใกล้เธอแล้วก็ตาม
“ มีอะไร " ผมทัก เธอก็หันมามองก่อนจะลดโทรศัพท์ลงเหมือนตกใจไม่น้อยที่เห็นผม
“ พี่ฟาน.. เหรอค่ะเนี้ย " เธอหลุดคำพูดนั้นออกมาผมก็ยักคิ้ว รอยยิ้มสดใสของเธอตอนที่ผมตอบรับ เฟิร์นเก็บมือถือใส่กระเป๋าก่อนจะคว้ามือผมขึ้นมาจับ " หนูมีพี่ชายหล่อขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย ไม่อยากจะเชื่อเลย "
“ ฉันไม่ใช่พี่ชายเธอหรอก ลืมไปแล้วเหรอว่าที่บ้านเค้าไม่ให้เธอนับฉันเป็นพี่ชาย เธอมีแค่พี่สาวเท่านั้นแหละ เดี๋ยวจะซวยเอานะ ฉันมันตัวซวยลืมไปแล้วรึไง "
“ อย่าพูดเรื่องแบบนั้นเลยค่ะ ตอนนี้อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปแล้วนะที่บ้านน่ะ " เธอบอก
“ เปลี่ยน ? “ ผมทวนคำพูด เธอก็พยักหน้ารับ " แล้วเธอมีอะไรจะพูดกับฉัน "
“ หนูอยากจะมาคุยกับพี่ฟาน เรื่องธุระของพ่อกับแม่น่ะค่ะ ท่านฝากมา "
“ ฉันไม่คุย " ผมบอกก่อนจะเดินหนีเธอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ เดี๋ยวสิค่ะ ยังไม่ได้ฟังเลยว่าจะพูดอะไร อย่าเดินหนีกันก่อนสิคะ " เธอฉุดแขนผมไว้ " ฟังหนูก่อนสิ พี่ยังไม่ได้รู้เลยว่าหนูจะพูดอะไร ฟังให้จบก่อน ถ้าจะจบแล้วก็ค่อยว่ากันไม่ได้เหรอ ยังไงเราก็เป็นพี่น้องกันนะ ต่อให้พ่อแม่จะว่ายังไง สำหรับหนู พี่ฟานคือพี่หนูนะ "
“ รู้มั้ยฉันเกลียดคนประเภทที่ชอบตอแยที่สุดเลย มันน่ารำคาญ "
" ก็แค่ฟังกันหน่อยไม่ได้รึไง แค่ฟังเองนะคะ "
" แค่ฟังใช่มั้ย " ผมหันไปถามเธอ " ถ้าฉันฟังเรื่องที่เธอพูดจบแล้ว เธอกลับไปเลยนะ ตกลงมั้ย "
“ ก็..ได้ค่ะ " คำพูดที่ดูไม่มั่นใจเท่าไหร่ ผมหยุดนิ่งหันไปมองเธอที่ก็เอื้อมมือมาคว้าแขนผมให้เดินออกไป " งั้นเราไปหาอาหารเที่ยงกินกัน แล้วนั่งคุยไปกินไปกันดีกว่านะคะ "
ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอ ได้แต่เดินตามไปตามแรงลากจูงนั้นในห้างที่ผู้คนเริ่มเบาบางเพราะใกล้เวลาทำงานช่วงบ่ายเราเข้ามานั่งในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่อยู่ตรงชั้นล่างของอาคาร พนักงานแจกเมนูผมสั่งอาหารจานเดียวแบบง่ายๆอย่างสปาเก็ตตี้ส่วนอีกคนก็สั่งทั้งสปาเก็ตตี้ทั้งเครปที่เป็นเมนูดังของร้าน
“ มีอะไรก็ว่ามา "
“ พี่ดูรีบนะ นัดใครไว้รึเปล่า "
“ ก็เปล่าหรอก แต่จะนั่งด้วยกันทำไมนานๆ ถ้าไม่มีอะไรละ " ผมยกมือถือขึ้นมาดูแก้เบื่อที่ต้องคุยกับคนตรงหน้า มีไลน์ของคีย์ส่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เค้าส่งภาพที่เหมือนจะเป็นอาหารที่เค้ากินวันนี้และดูท่าทางว่าจะเยอะเป็นพิเศษ เผลอยกยิ้มออกมากับความกินเก่งนั้น ดีแล้วผมเองก็อยากจะให้เค้ากินเยอะๆ ตอนนี้เค้าผอมลงไปจากแต่ก่อนเยอะมากจนดูเหมือนคนที่สุขภาพไม่ค่อยดี
“ พี่ฟานน่ะ มีแฟนอยู่แล้วรึเปล่า "
“ ถามทำไม "
“ ก็อยากจะรู้นะคะ แต่หนูคิดว่าก็คงมีแล้ว " เธอว่าก่อนจะยิ้ม " ก็พี่หล่อ คงจะมีแฟนแล้วละ "
“ อื้ม ฉันมีแฟนแล้ว "
“ พี่มีแฟนแล้วจริงๆด้วยสินะคะ " เสียงของเธออ่อนลงเหมือนผิดหวังที่ได้ยินเรื่องที่ผมมีแฟนแล้ว " แล้วหน้าตาแฟนพี่เป็นยังไง น่ารักมั้ย ขอหนูดูภาพหน่อยได้มั้ย อยากจะเห็นหน้าว่าที่พี่สะใภ้นะคะ " ผมทวนคำพูดของเธอในใจ ว่าที่พี่สะใภ้.. ว่าที่พี่สะใภ้อะไรกัน ผมไม่มีวันให้คีย์ไปรู้จักกับครอบครัวที่ผมไม่เคยเรียกว่าครอบครัวหรอก
“ เธอมีอะไรจะพูดกันแน่ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า "
“ ก็ไม่ได้ได้มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ " เธอบอกในตอนนั้นอาหารที่เราส่งจานแรกก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอตัดแบ่งเครปที่อยู่ตรงหน้าตักใส่ปากก่อนจะเคี้ยว
“ ยิ่งบอกว่าไม่มีอะไรมันก็ยิ่งแปลกนะ ครอบครัวเธอไม่ได้ติดต่อกับฉันเลยมาหลายปี แต่อยู่ๆเธอก็เอาเบอร์ฉันมาจากไหนก็ไม่รู้ โทรมาหา บอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรจะ โทรมาทำไม " ผมมองเธอที่ก็ก้มหน้าลงต่ำอาหารที่จะถูกตัดกินชะงักลง " แล้วยิ่งถ้าบอกแค่อยากจะเจอเฉยๆ ก็ยิ่งดูแปลก คนที่ไม่สนิทกัน เจอกันไม่ถึงห้าครั้งในรอบเกือบยี่สิบปี จะมาบอกว่า อยากจะเจอ คิดถึง ไม่ได้เจอกันนานแล้ว แบบนั้นมันก็ยิ่งดูแปลก เธอมีอะไร พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า ฉันไม่ได้มีความอดทนสูงแล้วก็ใจดี ที่จะนั่งฟังคนที่บอกว่าฉันเป็นคนในครอบครัวทั้งๆที่สั่งให้ฉันเรียกคนที่เป็นพ่อแม่ว่า น้า หรอกนะ "
“ คือพี่อาจจะจำไม่ได้แล้วแต่ว่าพี่เคยให้เบอร์กับพี่ฟิล์มไว้ ตอนงานศพคุณย่า หนูก็เอามาจากพี่ฟิล์มนะคะ "
“ แล้วมีอะไร "
“ คือพ่อแม่อยากให้หนูมาสนิทกับพี่ไว้น่ะ " เธอเงยหน้าขึ้นมองผมแบบกล้าๆกลัวๆ
“ ทำไมต้องให้มาสนิท ฉันเป็นตัวซวยพวกเค้าลืมไปแล้วเหรอ "
“ แต่ตอนนี้เค้าไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วละค่ะ จริงๆนะ " น้ำเสียงจริงจังของเธอ ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะค้ำมือแล้วหันไปมองอย่างอื่น จะให้พูดว่าไงดี คือผมไม่ได้เชื่อเรื่องหลอกเด็กอะไรแบบนั้นหรอก
เมื่อก่อนตอนเด็กๆก็โดนหลอกเรื่องนี้มาตลอดเหมือนกัน สมัยที่ต้องมาอยู่กับตากับยายใหม่ๆ ช่วงนั้นเพราะติดแม่มากก็เลยยังร้องไห้งอแงหาแม่ ตากับยายก็คอยเอาแต่บอกว่า เดี๋ยวพ่อกับแม่จะมารับถ้าผมเป็นเด็กดี เชื่อฟังท่าน แต่ไม่ว่าจะเรียนเก่งแค่ไหน ทำตัวดียังไง สุดท้ายเค้าก็ไม่มารับ ไม่เคยแม้แต่จะมาเยี่ยมกัน ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆ
อย่างพอเริ่มเข้าประถมห้าท่านก็มาพาผมกับตาและก็ยายไปทำเรื่องโอนชื่อผมให้เป็นบุตรบุญธรรมของตากับยาย ผมถูกเปลี่ยนนามสกุลแล้วก็ต้องเรียกคนที่เอ่ยเรียกว่ามาตลอดว่า พ่อกับแม่เป็น คุณน้าแทน และทุกครั้งที่เจอถ้าเรียกว่าพ่อกับแม่ผมจะถูกตีแล้วบอกให้เรียกใหม่
ทุกอย่างในตอนนั้นดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของผมที่เคยผูกพันแย่ลงไป จากที่เคยอยากจะเห็นหน้า เคยโทรไปหาบอกให้มาเยี่ยม กลายเป็นว่าไม่โทรไปหา ไม่มีความรู้สึกอยากจะเจอ พวกเค้าเองก็ไม่เคยมาเยี่ยม ไม่เคยสนใจว่ามีผมอยู่ในโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป ตั้งแต่นั้นเราก็ไม่เคยเจอกันอีก มาเจอกันอีกทีก็คือตอนที่ตาเสีย แล้วล่าสุดก็คือตอนที่ยายเสียหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลยเหมือนเดิม กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักและเหมือนไม่มีสิ่งใดมาผูกมัดให้ต้องมาเจอกันอีกตลอดกาล แล้วมาตอนนี้จะให้มาเชื่อคำพูดพวกนั้นน่ะเหรอ.. เป็นไปไม่ได้หรอก
“ อย่างงั้นเหรอ " ผมแสร้งทำท่าทางดีใจที่ได้ยิน ยิ้มให้เธออีกคนก็ยิ้มตามก่อนจะปั้นเรื่องโกหกขึ้นมาอีก
“ พ่อกับแม่น่ะ บ่นคิดถึงพี่ฟานเหมือนกันนะ เค้าบอกว่า มันคงดีถ้าพี่ฟานกลับมาอยู่ที่บ้านของเรา มาเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ท่านก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพี่ฟานคงจะไม่ให้อภัยท่านแล้ว "
“ เหรอ ทำไมถึงแบบนั้นละ " ผมหยิบช้อนตัวเองขึ้นมาตอนที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ใช้ส้อมหมุนสปาเก็ตตี้เข้าปากผมเคี้ยวช้าๆมองเธอที่ก็ก้มหน้ากินเหมือนกัน
“ แล้วถ้าท่านอยากจะเจอพี่ฟาน อยากจะขอโทษ พี่ฟานจะให้อภัยท่านแล้วกลับไปอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวมั้ยคะ "
“ แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้างละ " ผมเสี่ยงไม่ตอบคำถามของเธอ แต่กลับถามคำถามอื่น เพื่อล้วงความจริงที่เธอมาหาผมให้วันนี้ ธุระจริงๆที่เธอถูกสั่งให้มาทำ
“ ก็สบายดีทั้งคู่นะคะ พ่อแม่เพิ่งกลับมาไปจากเที่ยวยุโรป ซื้อกระเป๋าใบนี้มาฝากหนูด้วย " เธอยกกระเป๋าแบรนด์ใบแพงขึ้นมาผมก็พยักหน้ารับ " แต่ของพี่ฟิล์มได้ตั้งสองสามใบ ดูไม่แฟร์เลยหนูได้แค่นาฬิกากับกระเป๋าเอง "
“ แค่นั้นก็ดูแพงมากแล้วนี่ เค้าก็น่าจะซื้อของที่ราคาใกล้เคียงกันให้สิ พ่อแม่น่ะ มันต้องเท่าเทียมนะ "
“ ไม่ค่อยหรอกค่ะ พี่ฟิล์มน่ะแต่งงานแล้ว แถมตอนนี้ยังมีลูกพ่อกับแม่ค่อนข้างเห่อหลานน่ะค่ะ เค้าก็เลยค่อนข้างตามใจพี่ฟิล์มมากกว่า เธออยากจะได้อะไรก็ได้ ไม่เห็นเหมือนหนูขอของแต่ละอย่างกว่าจะได้ " เธอบอก
“ แล้วไม่มีของฝากของฉันบ้างเหรอ " เอียงหน้าถามเธอ อีกคนก็นิ่งไปถนัดตา ผมก็หลุดหัวเราะ " สงสัยที่เธอบอกพ่อแม่คิดถึงฉัน คงจะเป็นคิดถึงหลังจากกลับมาจากยุโรปสินะ ฮ่าๆ "
“ พี่ฟาน คือมันไม่ใช่แบบนั้นหรอก พ่อกับแม่มีของฝากพี่นะแต่ว่าพี่ไม่กลับไปบ้านเค้าจะให้พี่ได้ยังไงละ "
“ เค้าไม่รู้ว่าฉัน อยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ "
“ แต่ที่หนูพูดว่าพ่อกับแม่คิดถึงพี่มันเป็นเรื่องจริงนะ " เธอเถียง
“ อื้ม ฉันเชื่อเธอ " พยักหน้ารับอีกคนผมก้มหน้ากินอาหารต่อ " ก็ดีแล้วที่พวกท่านยังสบายดี "
“ แต่จริงๆ พวกท่านก็มีเรื่องเครียดนิดหน่อยนะคะ " เธอเหลือบมองผมก่อนจะพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้มเหมือนทำให้มันดูเหมือนเป็นเรื่องหนักใจที่ไม่ค่อยอยากจะพูด
“ เรื่องอะไรละ "
“ คือพ่อกับแม่ตอนนี้ ธุรกิจมันมีปัญหาน่ะ เค้ากำลังหาผู้ถือหุ้นรายใหญ่มารองรับธุรกิจที่กำลังจะใหญ่ขึ้นของเค้าน่ะค่ะ แต่หนูก็เห็นว่าหาได้แล้วนะเห็นพูดคุยกัน แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงกันสักที เหมือนว่าเค้ายังขาดอะไรอยู่ "
“ ขาดอะไรละ "
“ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าหนูเองก็เคยเจอคู่ค้าของธุรกิจพ่อกับแม่เหมือนกันนะ ลูกสาวเค้าน่ะ สวยมากเลยแหละคะ นี่นะคะ หนูจะเอารูปให้พี่ฟานดู " เธอที่รีบกุรีกุจอหาภาพเธอคนที่กล่าวถึงให้ผมดู หน้าจอมือถือถูกยื่นส่งมาให้ ก็เป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยอยู่หรอกแต่ผมก็ไม่สนใจ สิ่งที่ผมสนใจคือผมรู้แล้วตังหากว่าที่เธอมาวันนี้ เธอมาเพื่ออะไรกันแน่ " เธอสวยมากแล้วก็นิสัยดีมากๆเลยล่ะค่ะ อีกอย่างเธอเรียบร้อยแถมยังเรียนเก่ง นี่กำลังจะไปเรียนต่อด้วยนะคะหลังจากเรียนจบที่ไทยน่ะ อ้อ! พี่เค้าชื่อ มีน นะคะ หนูน่ะชอบพี่เค้ามากเลย ถ้าเกิดว่าเราได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันมันก็คงดี "
“ ฉันว่าสิ่งที่ทำให้คู่ค้าธุรกิจของพ่อแม่เธอขาดไป ที่เธอบอกว่ามันยังขาดอะไรสักอย่างอยู่ คือพ่อแม่เธอไม่มี ลูกชายที่จะไปดองกับอีกฝั่งนึงมากกว่าละมั้ง " ผมเอ่ยถามเธอ " แล้วคราวนี้พ่อกับแม่เธอก็ เลยคิดถึงลูกชายที่โยนทิ้งไปอย่างฉันขึ้นมา นี่สินะ เหตุผลจริงๆที่เธอมาในวันนี้ "
“ ไม่ใช่แบบนั้นนะคะพี่ฟาน คือ หนู..” เธอที่พยายามเถียง หันมองซ้ายขวาเหมือนคนที่เพิ่งรู้สึกว่า ตัวเองกำลังทำให้เหยื่ออย่างผมตื่นขึ้นซะแล้ว
“ ไม่ใช่อะไร ฉันดูออกหมดแล้วเธอจะบอกว่าไม่ใช่อะไรอีก เอาเป็นว่า ธุระของเธอก็คือพ่อกับแม่ของเธอวานให้เธอมาช่วยพูดกับฉัน มาทำตัวสนิทสนมกับฉันเพื่อที่จะได้กลับไปอยู่เป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม แล้วหลังจากนั้นก็จับฉันคลุมถุงชนกับผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่ธุรกิจจะได้ดำเนินต่อไป งั้นก็เอาเป็นว่า ฉันฝากข้อความฉันส่งไปถึงพ่อแม่เธอทีนะ ' อย่ามายุ่งกับชีวิตของกู แล้วกูก็ไม่ใช่ลูกของพวกมึงตั้งแต่ที่พวกมึงทิ้งกูไปแล้ว มึงไม่ใช่ครอบครัวกู ครอบครัวกูพวกเค้าตายหมดแล้ว พวกมึงมันไม่ใช่ แม้แต่คนที่กูรู้จักกูก็ไม่อยากจะให้พวกมึงเป็น' “ ผมลุกขึ้นจากที่นั่งวางเงินค่าอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ " แล้วมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง เพราะหลังจากนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก "
ผมเดินออกจากร้านแต่ยังไม่ทันจะเดินหนีไปได้ไกล เฟิร์นก็เดินมาคว้ามือผมไว้เสียก่อน ผมหันไปมองเธอที่ยังคงจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ พี่ฟาน เดี๋ยวสิ!! ฟังเฟิร์นก่อน พี่อาจจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่ตอนนี้ธุรกิจของบ้านเรามันเกี่ยวกับการที่ต้องมีคู่ค้าจริงๆนะคะ ถ้าไม่มี ธุรกิจของเรามันอาจจะมีปัญหาก็ได้ "
“ มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่างมาพูดว่า บ้านเรา นั่นไม่ใช่บ้านฉัน แล้วมันก็ไม่เคยเป็นบ้านของฉัน " ผมสะบัดมือออกจากการจับกุมของเธอ เดินก้าวออกไปอีกคนก็ตะโกนกลับมา
“ เห็นแก่ตัว! พี่มันคนเห็นแก่ตัว ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเป็นความหวังที่จะช่วยพ่อแม่ได้ แต่พี่ก็ไม่ช่วย พี่ปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบาก พี่มันเป็นลูกแบบไหนกัน " ผมหลุดยิ้มออกตอนที่เธอถาม หันกลับไปใกล้เธอที่ก็ยังมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
“ ฉันเป็นแบบไหนน่ะเหรอ ฉันเป็นลูกที่พ่อแม่เค้าไม่ต้องการไง ฉันเป็นแบบลูกแบบนั้นแหละ "
“ แล้วถ้าหนูบอกพี่ว่า ถ้าพี่ไม่แต่งงานกับพี่มีน ไม่ตอบตกลงจะแต่งงานกับพี่เค้า มันต้องเป็นหนูที่ต้องหมั้นกับลูกชายบ้านเค้าแทนล่ะ แบบนั้นพี่จะช่วยหนูมั้ย หนูไม่อยากจะแต่งงานกับคนที่หนูไม่ได้รัก เค้าแก่กว่าหนูมากด้วย แถมยังหน้าตาก็ยังไม่ดี บุคลิคภาพก็แย่ มีดีก็แค่รวย แล้วหนูก็มีแฟนแล้ว หนูไม่อยากจะโดนจับคลุมถุงชน ถ้าเป็นแบบนี้หนูเป็นน้องสาวพี่ พี่จะช่วยหนูมั้ย "
“ ไม่ช่วย " ผมบอก เธอก็นิ่งอึ้งไป
“ ทั้งๆที่ครอบครัวกำลังลำบาก ทั้งๆที่หนูเป็นน้องสาวพี่ หนูกำลังลำบาก พี่ก็ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือหนู "
“ เธอรู้มั้ย ว่าชื่อจริงของฉัน คืออะไร " ผมถาม เธอก็เงียบไป " เธอรู้มั้ย ฉันเกิดวันที่เท่าไหร่ เธอรู้มั้ยว่าตอนนี้ฉันเรียนที่ไหน คณะอะไร มีเพื่อนสนิทชื่ออะไร แฟนฉันชื่ออะไร เธอรู้รึเปล่า เธอกล้าเรียกฉันว่าครอบครัวได้ยังไง เธอกล้าบอกว่าฉันเห็นแก่ตัวได้ยังไง คนที่แก่ตัว คือ เธอ คือพ่อแม่เธอตังหาก เธอไม่รู้แม้กระทั้งชื่อจริงของฉัน เรื่องง่ายๆแค่นี้เธอยังไม่รู้ เธอยังกล้าเรียกฉันว่าครอบครัวได้ยังไงทั้งๆที่เธอเองตอนนี้ยังไม่รู้สึกเลยว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เธอแค่คิดถึงฉันขึ้นมาว่า ถ้าฉันตอบรับเธอจะพ้นทุกข์ที่เธอต้องเจอ เธอแค่คิดจะไปให้ไกลๆจากเรื่องนี้ เอาตัวรอดจากเรื่องนี้มันก็เท่านั้น เธอเอาเรื่องครอบครัวมาอ้าง ฉันเป็นพี่เธอ ฉันต้องช่วยเหลือเธอ เธอคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ ที่เธอจะมาขอความช่วยเหลือฉัน ฉัน..ที่พวกเธอไม่เคยนับรวมเป็นครอบครัวเลยแม้สักครั้งเดียว "
" แต่อย่างน้อย แต่ก็ควรคิดว่า พ่อกับแม่เป็นคนที่เกิดพี่มา เค้ามีบุญคุณกับพี่ เค้าทำให้พี่เกิดมา "
" ฉันไม่ได้ขอร้องให้เค้าเกิดฉันมา เค้าเกิดฉันออกมาเอง เป็นความสมัครใจของเค้าทั้งคู่ที่จะมีฉันเอง แล้วพวกเค้าก็เป็นพ่อแม่ที่แค่เกิดฉันมา แต่ไม่เคยให้ความรัก ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่เคยเอาใจใส่ เค้าไม่ได้เรียกคนแบบนั้นว่าพ่อแม่หรอก สำหรับฉันพวกเค้าก็แค่ คนที่เกิดฉันมาก็เท่านั้นแต่ไม่ได้มีค่าให้ต้องเรียกว่า พ่อกับแม่เลย "
“ พี่มันคนอกตัญญู จำไว้! พี่มันเห็นแก่ตัว พี่มันเลว ไม่รักพ่อแม่!! “
เสียงตะโกนที่ด่าผมไล่หลัง ชวนให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น หันมามองดูผมที่ก็ไม่ใส่ใจสายตาของใคร หรือคำพูดนินทาพวกนั้นสักเท่าไหร่ ผมเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นบนของห้าง เลือกตั๋วหนังเรื่องที่คิดว่าจะดูก่อนจะเข้าไปดูทันทีเพราะมันเป็นเวลาที่เปิดฉายหนังพอดี