คุณคือความรัก บทที่ 30
กมลมองเต็นท์โดมขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็นสองห้อง ใต้กันสาดผืนใหญ่มีชุดโต๊ะเก้าอี้สนามวางประกอบ ด้านในมีฟูกนอนท่าทางนุ่มนิ่มและสะอาดสะอ้านวางคู่กัน เพียงดูผาดๆ ก็เห็นได้ว่ามีเครื่องใช้อื่นๆ ครบครัน
“คุณเตรียมไว้ขนาดนี้เลยหรือครับ”
“ผมไม่ได้เตรียม แต่คนอื่นจัดการให้ต่างหาก” ณธิปเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนเดินนำเข้าไปด้านใน
เห็นดังนั้นกมลจึงเดินตามเข้าไปบ้าง แต่ดวงตาสุกใสก็ยังอดสำรวจไปรอบๆ ไม่ได้ “บอดี้การ์ดของคุณนอนกับเราด้วยใช่ไหม”
“เปล่าสักหน่อย” ณธิปปฏิเสธทันที “มีแค่เราสองคน”
“แล้วทำไมเต็นท์เราใหญ่กว่าชาวบ้านเขาเลยล่ะ อีกอย่างเราก็มาพักชั่วคราวแค่คืนสองคืนเท่านั้น”
“น่าแปลกตรงไหน” เจ้าของดวงตาเรียวหันกลับมามองกมล
“คุณหมายความว่ายังไง”
“นี่คุณคิดว่าคุณมากับใครล่ะครับ ไอ”
ครั้นถูกเตือนสติ กมลก็มองหน้าคนพูดนิ่งๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “นั่นสินะ ผมลืมไปได้ยังไงว่าคุณเป็นใคร ถึงจะเป็นผู้บริหารใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าต้องมาลำบากลำบนนี่นะ”
“นี่ก็ลำบากแล้วคุณ นอนกลางดิน กินกลางทราย” ณธิปต่อคำประชดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งก็ทำให้ดูน่าหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษครับท่านประธาน ที่ผมพาคุณมาลำบาก”
“หึๆ ผมพูดเล่นนิดเดียว เอาใหญ่เชียวนะ” ณธิปว่าขำๆ แล้วจึงอธิบาย “ความจริงผมจะอยู่แบบคนอื่นก็ได้ แต่คิดว่าทำแบบนี้ก็ดีไปอย่าง เพราะเวลาพวกนักข่าวอยากสัมภาษณ์ตัวต่อตัวจะได้เชิญมาตรงนี้ได้”
ครั้นได้ยินณธิปบอกเหตุผล กมลก็นึกเห็นด้วย “มันก็จริงของคุณ”
“ใช่ไหมล่ะ แต่หลักๆ ก็อยากนอนสบายๆ หน่อย ผมไม่ชอบเต็นท์แคบๆ มันอึดอัด”
“อืม” กมลพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เขาเองก็ไม่ค่อยชอบที่แคบเหมือนกัน เพียงแต่ที่ตกใจไปในนาทีแรกก็เพราะไม่คิดว่าณธิปจะเตรียมพร้อมขนาดนี้ อย่างตอนที่เขามาคราวก่อนกับคนใน I promise ก็ยังใช้ห้องในอาคารเรียนแทนห้องนอน
กมลขอกระเป๋าคืนจากบอดี้การ์ดของณธิป ก่อนจะเลือกฟูกนอนฝั่งหนึ่งให้ตัวเองเสร็จสรรพ เขาทรุดตัวลงนั่งแล้วรื้อกระเป๋าเพื่อหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ผืนหนึ่งออกมา ตั้งใจว่าจะไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แล้วจึงออกไปช่วยงานคนอื่นๆ ที่โรงครัว ด้วยตารางของวันนี้ไม่มีพิธีการอะไรต้องทำเป็นพิเศษ
ระหว่างที่กมลกำลังง่วนอยู่กับสัมภาระของตัวเอง คนของณธิปก็ค่อยๆ ล่าถอยออกไปจากเต็นท์จนหมด ภายในห้องพักชั่วคราวจึงเหลือเพียงณธิปกับกมลสองคนเท่านั้น
กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อกมลเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋า เขาจึงพบว่าเจ้าของดวงตาวาบวับกำลังมองจ้องตนเองอยู่ ซึ่งชายหนุ่มก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“มองอะไรครับ”
“มองคุณไง” ณธิปตอบตรงๆ
“รู้ครับว่ามองผม แต่ที่อยากรู้คือมองทำไมต่างหากครับ”
“ไม่ทำไมหรอกครับ ก็แค่อยากมองเท่านั้น ไม่ได้หรือ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่นึกว่าคุณมีอะไรจะพูดเสียอีก”
ณธิปไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้เขาก็แค่อยากมองเฉยๆ เหมือนที่บอกกับกมล ในอกรู้สึกยินดีอย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึก สารภาพว่าตอนแรกเขาแค่เปรยๆ กับเลขานุการสาวเรื่องจัดแจงที่พักของตนเองและกมล เพราะอยากใกล้ชิดแล้วก็คิดเรื่องที่ผู้ชายทั่วไปคิดในหัวอยู่บ้างเล็กน้อย ในที่นี้ไม่ได้จะล่วงเกินให้กมลเสียหายหรือขู่เข็นบังคับขืนใจ หากแค่ต้องการใกล้ชิดกว่าที่เคย เนื่องจากโอกาสเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ ดังนั้นมีหรือคนเช่นณธิปจะไม่คว้าไว้
ทว่าพอได้เห็นกมลยอมเข้ามาพักในที่รโหฐานกับเขาสองต่อสอง ความรู้สึกอยากเข้าไปฉวยโอกาสกลับถูกลดทอน และแทนที่ด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เพราะรับรู้ได้ว่าตนเองได้รับความไว้วางใจจากคนคนนี้เพิ่มขึ้น
คนอย่างกมล ถ้าไม่คิดจะยอมเสียอย่าง เหตุผลอะไรก็โน้มน้าวไม่ได้ กมลไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสา แค่เรื่องจัดการหาที่หลับที่นอนให้ตัวเองเพื่อหนีหน้าเขาไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากต้องจัดการจริงๆ แต่นี่พอรู้ว่าต้องอยู่ด้วยกันสองคนตลอดสองคืน เจ้าตัวก็แค่ทำหน้าตกใจนิดๆ ก่อนจะเดินตามเข้ามาง่ายๆ
มันแสดงให้เห็นว่า นอกจากมั่นใจว่าสามารถดูแลสวัสดิภาพของตัวเองได้แล้ว ยังไว้ใจในตัวของณธิปเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ณธิปดีใจจนปัดเรื่องอื่นๆ ทิ้งไปได้อย่างไร
“นั่นคุณจะไปไหนครับ” ขณะกำลังปลื้มที่ตนเองไม่ถูกหนุ่มหน้าหวานปฏิเสธการพักร่วมเต็นท์ กมลก็ลุกขึ้นจากที่นอนของตนเอง
“ผมจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย” กมลว่า “อีกเดี๋ยวจะไปช่วยคนอื่นๆ เตรียมโรงครัว”
“ผมไปด้วยสิ”
ว่าแล้วณธิปก็รีบลุกตามอีกคนทันที กมลไม่ได้ร้องห้ามหรือแสดงท่าทางอึดอัดใจที่ถูกตามประกบแจ เขาเพียงแค่ปล่อยให้ณธิปเดินมาด้วยเงียบๆ เท่านั้น
กมลไม่ได้เข้าไปช่วยงานในโรงครัวเหมือนดังที่ตั้งใจ เพราะหลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย อยู่ๆ ผู้ใหญ่บ้านก็ชวนเขากับณธิปไปเดินดูสภาพแวดล้อมรอบๆ หมู่บ้าน
ที่ผู้ใหญ่บ้านชวนออกไป กมลไม่นึกแปลกใจเท่าไร แต่เขากลับแปลกใจที่ณธิปพานักข่าวไปด้วยมากกว่า ทีแรกกมลตั้งใจจะทักท้วง เนื่องจากไม่แน่ใจว่าที่ผู้ใหญ่บ้านชวนออกมานั้นมีจุดประสงค์อยากพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ทว่าเมื่อไม่เห็นเจ้าบ้านมีท่าทีอึดอัดอะไรกมลจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย คณะเดินชมหมู่บ้านป่างามของกมลจึงค่อนข้างอบอุ่นไปด้วยจำนวนคนมากกว่าที่คาด
หมู่บ้านบนดอยแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีกันอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน สาธารณูปโภคต่างๆ เพิ่งเข้ามาถึงได้ไม่นาน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมและทอผ้าไปขายให้ตลาดในเมือง บ้านแต่ละหลังจึงมีภาพผู้หญิงและคนเฒ่าคนแก่นั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้านให้เห็นเป็นเรื่องปรกติ
คณะของกมลกับณธิปหยุดดูและพูดคุยกับชาวบ้านไปตลอดทาง เด็กๆ ในหมู่บ้านก็วิ่งตามเป็นกระพรวนเมื่อเห็นคนต่างถิ่นมาเยือน ยิ่งช่วงเดือนเมษายนเช่นนี้ เด็กๆ ปิดเทอมพอดี ดังนั้นตลอดทางจึงมีเสียงพูดคุยและหัวเราะเฮฮาของเด็กน้อยสร้างสีสันไปด้วย
แต่ถึงจะเป็นเดือนเมษายน แต่อากาศบนนี้ก็ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด แม้แดดจะแรงสักหน่อย แต่ด้วยต้นไม้ใหญ่มากและสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ ทำให้รู้สึกเย็นสบายกว่าในตัวเมืองเป็นไหนๆ
พวกเขาเดินสำรวจหมู่บ้านและฟังคำบอกเล่าจากผู้ใหญ่บ้านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงลำธารใสที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ทุกคนจึงเห็นทางแยกสองทาง ด้านหนึ่งเป็นทางที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่อีกทางคลับคล้ายว่าจะเป็นถนนที่ถูกตัดขึ้นมาใหม่
โดยไม่ทันให้ผู้ใหญ่บ้านอธิบาย นักข่าวชายคนหนึ่งจากสำนักพิมพ์มีชื่อก็เอ่ยถามขึ้นเสียก่อน
“ผู้ใหญ่ครับ ไม่ทราบว่าทางนี้แยกไปไหนครับ”
“ถ้าเดินทางขึ้นไปทิศขวา เราจะขึ้นไปบนดอยช้าง ก่อนถึงยอดดอยมีน้ำตกเล็กๆ เป็นต้นน้ำลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้านนี้”
“แล้วทางซ้ายละครับ” นักข่าวคนนั้นถามต่อ “ดูเหมือนถนนตัดใหม่เลย”
“ทางนั้น…” ผู้ใหญ่บ้านทำท่าอึกอักนิดหน่อย ก่อนจะเอ่ย “ทางนั้นเป็นของคนที่เขาเข้ามาสร้างรีสอร์ทน่ะคุณ”
“รีสอร์ทหรือครับ” นักข่าวอีกคนถามด้วยความประหลาดใจ “แต่ถ้าจำไม่ผิด ผมรู้มาว่าที่ป่างามยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่พักรีสอร์ทหรือโฮมสเตย์ไม่ใช่หรือครับ แล้วจะมีคนมาสร้างรีสอร์ทได้ยังไง”
“เรื่องนั้น…” ผู้ใหญ่บ้านทำท่าลำบากใจอีกครั้ง ชวนให้ทุกคนในคณะต่างก็เงียบไปด้วย แม้แต่กมลที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วยังอดรู้สึกแย่ไม่ได้
“ถ้าผู้ใหญ่ไม่สะดวกเล่าตรงนี้ เรากลับไปคุยกันที่โรงเรียนดีไหมครับ เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรได้” นักข่าวที่เป็นคนถามแต่แรกบอก
“ครับ” ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า ก่อนจะเดินนำทั้งคณะกลับบ้าน แต่ชั่วแวบหนึ่งกมลเห็นว่าเขาหันมาสบตากับณธิปซึ่งยืนเงียบอยู่ในกลุ่มคนอย่างมีความหมาย
หลังกลับมาที่โรงเรียนชุดรับแขกสนามของณธิปที่กมลมองว่าจำนวนเก้าอี้มันมากเกินความจำเป็นในทีแรกก็ได้ใช้งานในทันที โดยผู้ที่ใช้งานคือกลุ่มนักข่าวกับผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านแห่งป่างามนั่นเอง ส่วนกมลและณธิปนั้นกลับมายืนมองห่างๆ อยู่นอกวงสนทนาแทน
เรื่องราวของผู้มีอิทธิพลกับการต่อสู้ของชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่อยากจะรักษาที่อยู่อาศัยของตนเองถูกถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนได้ฟังอย่างไม่ขาดตอน พวกนักข่าวที่ไม่ได้เตรียมใจจะมาพบกับข่าวฉาวๆ เช่นนี้ทั้งตื่นเต้นและตกใจไปพร้อมๆ กัน
กมลจับตาดูความเป็นไปด้วยใจระทึก แค่ฟังคำถามที่พวกนักข่าวถาม รวมทั้งคำตอบที่ทุกคนได้รับ เขาก็รู้แล้วว่าข่าวนี้จะต้องกลายเป็นข่าวดังและสั่นสะเทือนวงการนักการเมืองอย่างแน่นอน
กมลไม่เคยนึกฝันว่าตนเองจะมีโอกาสเข้ามาข้องเกี่ยวกับบุคคลที่มีอิทธิพลในสายอาชีพอื่นเช่นนี้เลย เหตุใดผู้ชายที่ชีวิตมีแค่งาน น้องสาวหนึ่งคนกับหลานเล็กๆ สองคนอย่างเขาถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ คิดแล้วชายหนุ่มอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ แต่เมื่อเข้ามามีส่วนแล้ว เขาก็หวังอยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี ใครทำอะไรก็ขอให้ได้รับสิ่งนั้นตอบแทน
ดวงตาคู่สวยละสายตาจากภาพนักข่าวหันมาหยุดที่บุคคลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กัน
ณธิปยังคงเป็นณธิป เขายืนหลังตรง กอดอก และจ้องมองไปที่พวกนักข่าวด้วยสายตาไม่หวั่นไหว คล้ายกับเป็นสิ่งที่เขาคิดไว้หมดแล้ว คล้ายกับคนคนนี้รวมเอาความมั่นใจบนโลกมาไว้ที่ตนเองทั้งหมด
ณธิปไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา
กมลรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ความไม่ธรรมดาของคนคนนี้ มันมีความหมายซ้อนทับมากกว่าที่มองเห็นผาดๆ ครั้นณธิปรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง เขาจึงหันมามองกมลยิ้มๆ แล้วโน้มมากระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ไม่ต้องกังวลนะไอ อีกเดี๋ยวมันก็จะจบลงด้วยดี”
ชั่วขณะนั้นความกังวลที่สะสมมานานพลันจางหาย แม้นี่จะเป็นเพียงระหว่างทางของแผนการที่วางกันไว้ แต่เขาคิดว่าท้ายที่สุดเรื่องใหญ่ๆ และหนักหนาเหล่านี้จะต้องผ่านไปได้ด้วยดี กมลเชื่ออย่างนั้น
เชื่อคำปลอบประโลมของณธิปอย่างหมดหัวใจ
ณธิปนอนตะแคงมองคนที่นอนพิงหมอนอ่านหนังสืออยู่บนฟูกข้างๆ เขาเห็นกมลนั่งอ่านอยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีอะไรดีนัก ถึงได้ดึงดูดความสนใจของกมลไปได้ขนาดนี้ เพราะหลังจากกินข้าวเย็น อาบน้ำ จนกระทั่งเข้ามานอนในเต็นท์ กมลก็หยิบมันขึ้นมาอ่านและไม่สนใจเพื่อนร่วมเต็นท์อย่างเขาอีก
“คุณไอ”
“ครับ” กมลละสายตาจากตัวหนังสือ แล้วหันไปหาตามเสียงเรียก
“คุณยังไม่ง่วงหรือ”
“ยังครับ” พอตอบเสร็จ หนุ่มหน้าหวานก็หันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ณธิปรู้สึกขัดอกขัดใจพอสมควร
ผู้บริหารหนุ่มนอนรอเวลาอยู่อีกพักใหญ่ก็ไม่เห็นทีท่าว่ากมลจะเลิกอ่านแล้วหันมาสนใจเขาบ้าง ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าตัวเองน่าจะต้องทำอะไรสักอย่างบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้เสียเวลาคืนนี้ไปเปล่าๆ
คิดได้ดังนั้นณธิปจึงผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะขยับตัวไปใกล้ฟูกนอนของกมล แม้ภายในเต็นท์จะมีขนาดค่อนข้างกว้าง แต่โชคดีที่ตอนกมลไปอาบน้ำ ณธิปได้ทำการขยับฟูกนอนให้เข้ามาชิดกัน ช่องว่างระหว่างพวกเขาจึงมีไม่มากเท่าไร
ครั้นพอสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของคนเจ้าเล่ห์ กมลก็วางหนังสือแล้วรีบถาม แม้นาทีนั้นณธิปจะขยับมานั่งชิดจนเกือบพิงหมอนใบเดียวกันได้อยู่แล้ว
“มีอะไรครับคุณเล็ก”
“คุณอ่านอะไรน่ะ ผมอ่านด้วยสิ”
“คุณจะอ่านหรือครับ หนังสือพระน่ะ”
“พระเครื่องหรือ” ณธิปทำหน้าตกใจ
“ฮ่าๆๆ” กมลหลุดหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะตอบ “ใช่ที่ไหน หนังสือธรรมะต่างหาก”
“อ๋อ ตกใจหมด”
“ตกใจอะไร”
“ผมคิดว่าคุณสะสมพระเครื่องกับเขาด้วย”
“ทำไมครับ ดูไม่น่าเป็นไปได้หรือไง”
“ก็ลุคคุณดูไม่เหมือนเซียนพระที่ผมรู้จัก” ณธิปมีเพื่อนหลายคนที่สะสมเครื่องรางของขลัง เขาไม่แปลกใจถ้าคนมีเงินจะมีของสะสมจำพวกนี้ แค่ไม่คิดว่าอย่างกมลจะชอบ “ว่าแต่เป็นหนังสือธรรมะหรือ อ่านให้ผมฟังบ้างสิ เผื่อจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจผมด้วย”
“หึๆ” กมลหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยนึกขำคนข้างๆ
“หัวเราะอะไรครับ”
“ก็ขำที่คุณอยากให้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจน่ะสิ” เขาไม่รู้ว่าณธิปแค่พูดเล่นหรือพูดไปอย่างนั้นเอง แต่ประโยคเมื่อครู่ก็ดูเหมาะกับณธิปจริงๆ
“ทำไมครับ ผมให้กล่อมเกลาจิตใจ จะได้เป็นคนดีไง ไม่ดีหรือครับ”
“ก็ดีครับ เหมาะกับคุณดี” กมลตอบยิ้มๆ
“นี่คุณจะหมายความว่าคนอย่างผมควรได้รับการกล่อมเกลาจิตใจจริงๆ ใช่หรือเปล่า”
“ผมเปล่าพูดนะ คุณพูดเอง” คนหน้าหวานส่ายหน้า แต่ดวงตาคู่สวยกลับเต็มไปด้วยประกายขบขัน ดูอย่างไรก็ชัดเจนว่ากมลคิดอย่างนั้นจริงๆ นานๆ ครั้งได้เห็นคนตรงหน้าทำหน้าทะเล้นๆ แบบนี้ ณธิปก็นึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมา
“อย่าให้รู้ว่าแอบเหน็บผมนะ” คนหมั่นเขี้ยวส่งเสียงขู่ราวกับคาดโทษ
“ทำไมครับ คุณจะทำอะไร” คนแก้มใสจึงถามด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“ก็จะทำแบบนี้ไง” คนเจ้าเล่ห์ยื่นหน้าเข้าไปตั้งใจจะแกล้งอีกฝ่ายเล่น แต่กมลกลับตกใจแล้วดิ้นหนีจนพวกเขาเอนล้มลงไปบนที่นอนทั้งคู่
แต่เพราะณธิปไม่มีผ้าห่มพันกาย จึงตั้งหลักได้ไวกว่า เขาตั้งท่าจะขยับลุกขึ้น แต่พอหันไปเห็นกมลยกผ้าห่มคลุมปิดใบหน้าเอาไว้ คล้านกับกั้นไม่ให้เขาทำอะไรไม่ดีไม่งาม เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็อดที่จะแกล้งต่อไม่ได้
ณธิปวางมือสองข้างกับฟูกนอนเพื่อกั้นร่างในผ้าห่มเอาไว้อ้อมแขน ก่อนจะโน้มหน้าเข้าใกล้กับตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะเป็นใบหูของคนในผ้าห่ม
“คุณไอ…” ณธิปกระซิบ
“…” และเมื่อกมลไม่ตอบ ณธิปก็กดริมฝีปากของตนเองลงบนกกหูนั้นโดยห่มกั้นกลางเอาไว้
“คุณไอ” ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง และจูบซ้ำลงไป
ณธิปอยากรู้นักว่ากมลจะซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มได้นานแค่ไหน เขาจึงระดมจูบผ่านผ้าห่มอยู่หลายครั้ง แม้จะถูกปัดป้องบ้าง หากมันก็สะเปะสะปะไม่เป็นกระบวน เพราะมีหรือคนที่หลบอยู่ใต้ผ้าจะเห็นโลกภายนอกชัดเจนเหมือนที่ณธิปเห็น
จนกระทั่งริมฝีปากร้ายนั้นเคลื่อนที่ไปจุดที่คาดว่าเป็นหน้าผาก เปลือกตา จมูก และพวงแก้ม ความอดทนของกมลก็สิ้นสุดลง
ครั้นมือเรียวดึงผ้าห่มลง กมลก็ส่งเสียง “คุณเล็ก หยุดเลยนะ…”
ณธิปหยุดจริงเหมือนที่ถูกสั่ง แต่ที่หยุดกลับไม่ใช่เพราะคำสั่ง แต่เป็นเพราะใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำราวกับลูกตำลึงของกมลมากกว่าที่ตรึงสายตาเขา
ณธิปรู้ว่าเขาน่าจะทำให้กมลไม่พอใจเสียแล้ว แต่นอกเหนือจากไม่พอใจ หงุดหงิดและโกรธเคือง มันมีอะไรบางอย่างที่ชายหนุ่มรู้ว่ามันไม่เหมือนกับทุกทีที่เขาเคยล้ำเส้น เพราะเมื่อดวงตาของพวกเขาประสานกัน สัญญาณเล็กๆ นั้นก็สร้างบางสิ่งขึ้นระหว่างเขากับกมล มันฟุ้งกระจาย ลอยอวลอยู่ในอากาศ ชวนให้หัวใจเต้นแรง แต่ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดจนไม่อาจควบคุมตนเองได้
ท้ายที่สุดแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศแปลกประหลาดนั้น พวกเขาจึงเริ่มต้นจาก…จูบกัน
<><><><><><><><><<><><><><>><><>
ตอนใหม่มาแล้วววววว
ตอนนี้ก็นะ มันก็จะเขินหน่อยๆ >////<
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ฝากเอาใจช่วยคุณไอคุณเล็กต่อด้วยนะคะ
ช่วงนี้อากาศหนาวแล้ว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ละอองฝน.