มนุษย์แฟนเด็ก
17
มีความมาหาหน่อย อ่อยแล้ว
วันนี้จันทร์เจ้ามาเรียนด้วยความสดใสไม่มีความเครียดแบบเมื่อวานแล้ว เพราะได้คุยกับน้องจนรู้เรื่อง แถมจริงใจยังยอมให้ชอบทิวาด้วย ดีสุด ๆ ไปเลย! แม้จะยังไม่ค่อยพอใจที่น้องเอามือถือไปเล่นอย่างเอาแต่ใจนั่น แถมตอนทิวาโทรมาก็ไม่ให้รับ อ้างว่าดึกแล้วควรจะไปนอนทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ห้าทุ่มเลยด้วยซ้ำ!!
“จันทร์เจ้า!”
“อ้าว หวัดดีตะวัน” ยิ้มหวานทักทายคนที่ร้องเรียกพร้อมโบกมือให้ ตะวันเองก็รีบเดินเข้ามาหาจันทร์เจ้า
“ไม่รู้ว่าขับรถเป็นด้วย” ตะวันทัก ลูกหมูหัวเราะพลางเหวี่ยงกระเป๋าพาดไหล่ ระหว่างที่เดินออกจากลานจอดรถ
“เราขี้เกียจขับ เพิ่งขับมาเรียนวันนี้วันที่สองเอง”
“อ้าว แล้วก่อนหน้านั้นมายังไงล่ะ?”
“น้องชายมาส่งครับ”
“หืม จันทร์เจ้ามีน้องด้วยเหรอครับ?”
“มีสิ! น้องชายหนึ่ง น้องสาวหนึ่ง เราเป็นพี่คนโต แล้วตะวันล่ะ มีพี่น้องไหม?”
“มีพี่สาวหนึ่งคน เราเป็นลูกคนเล็ก”
“อย่างนี้นี่เอง อ๊ะ! เจอเบสท์กับฟินน์แล้ว เราขอตัวนะ”
“อือ ไว้เจอกัน” ตะวันบอกพร้อมกับวางมือบนศีรษะกลมแล้วขยี้เบา ๆ จันทร์เจ้าพยักหน้ายิ้ม ๆ รับคำ
“ไว้เจอกัน บั๊บบัย~~”
“วันนี้ดีดแล้วโว้ย!”
“เราก็อารมณ์ดีตลอดแหละ เบสท์ไม่ต้องห่วงน้า~” ไม่น่าเลย... เบสท์กลอกตาไปมาก่อนจะปัดมือขาว ๆ ของไอ้หมูแคระออกจากการลูบผม ลามปามใหญ่แล้วนะมึง
“คุยอะไรกับตะวันวะ?”
“เรื่องทั่วไปครับผม ไม่มีอะไรให้เบสท์อยากรู้หรอก ... ฟินน์เป็นอะไรเหรอ?” พูดกวนเบสท์ไปแล้วก็หันไปสนใจเพื่อนผู้หญิงคนเดียวบ้าง ฟินน์กอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ทิ้งให้ลูกหมูหน้าเหวอเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไรไป
“มันงอนมึง”
“เอ๋? งอนเรา ฟินน์งอนเราเรื่องอะไรง่า?”
“มันบอกว่าเพราะมึงไม่เล่าให้มันฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ง่ะ... เราไม่รู้นี่นาว่าจะเริ่มเล่ายังไง อยู่ ๆ ก็ไปเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังเรารู้สึกแปลก ๆ ถ้าเกิดว่าไม่ได้อยากรู้ เราขอโทษน้า ฟินน์อย่างอนเลยนะ”
“จิ๊! รำคาญ ไปไกล ๆ ดิ๊”
“แง ฟินน์ง่า ขอโทษครับ จะเล่าให้ฟังก็ได้ หายงอนเถอะน้า เดี๋ยวเราบอกวินเซนต์กับดไวท์กับรีเควสฟินน์เลยน้า~”
“เห็นว่ามาขอโทษหรอกนะ หายงอนก็ได้”
“เย้!! ฟินน์น่ารักที่สุดเลย~”
“อีดอก หายงอนเพราะวินเซนต์กับดไวท์ก็บอกไป”
“ย่ะ! ผู้ชายต้องมาก่อนสิ บอกวินเซนต์กับดไวท์สิ” อะไรง่า... ลูกหมูทำหน้างอแง ฟินน์ไม่งอนเพราะเอาวินเซนต์กับดไวท์มาอ้างหรอกหรอ
“ครับ ๆ” จันทร์เจ้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดเข้าไปในรายชื่อเลื่อนลงมาเจอชื่อดไวท์ก่อนจึงโทรออกหาดไวท์ ระหว่างที่รอสาย ฟินน์กับเบสท์ก็บอกให้เปิดลำโพงด้วย
(“สวัสดีครับ”)
“ดไวท์ นี่จันทร์เจ้าเอง~ ว่างไหม?”
(“ว่างนะ มีอะไรพิกกี้?”)
“คืองี้น้า เรามีเรื่องจะขอร้องหน่อย คือเพื่อนเรางอนเราใช่เปล่า แล้วทีนี้เราเลยบอกว่าถ้าหายงอนจะบอกให้ดไวท์กับวินเซนต์รับรีเควสง่ะ...”
(“อ๋อ เพื่อนชื่ออะไรครับ?”)
“เราจำไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวเราส่งข้อความไปให้นะ ดไวท์ไว้ช่วยบอกวินเซนต์ด้วยหน่อยได้ไหมครับ?”
(“ได้ครับ”)
“เย้ ขอบคุณมาก ๆ เลย เราไม่กวนแล้ว บั๊บบัย” เมื่อวางสายจากดไวท์แล้วลูกหมูก็ก้มหน้ากดโทรศัพท์ยุกยิกเพื่อส่งชื่อโปรไฟล์ของฟินน์ให้กับดไวท์ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องผงะเล็กน้อยเมื่อพบกับสายตาอำมหิตจากเบสท์และสายตาปลาบปลื้มปนอำมหิตจากฟินน์
ไรอ่า... เราทำอะไรผิดอีกงั้นเหรอ...
“ทำไมมองเราแบบนั้น…?”
“หมั่นไส้! ขึ้นเรียนกันเถอะชะนี” เบสท์ว่าเสียงสะบัดก่อนจะลากฟินน์ไปโดยไม่ถามความสมัครใจ
“เดี๋ยวสิเฮ้ย กูจะถามเรื่องเมื่อวานนนนนน~” ฟินน์ร้องโหยหวนแต่เบสท์ก็ไม่สน ลูกหมูส่ายหน้าขำแล้วจึงวิ่งตามหลังเพื่อนทั้งสองไป จันทร์เจ้าเข้าไปแทรกระหว่างฟินน์กับเบสท์ยกแขนกอดคอเพื่อนทั้งสองแล้วยิ้มแฉ่ง ก่อนจะต้องยิ้มค้างพร้อมขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อสายตาไปเห็นบางอย่างที่ต้นคอด้านหลังของเบสท์เข้า… ปล่อยเป็นเรื่องของเบสท์แล้วกัน ถ้าเบสท์อยากเล่าเดี๋ยวก็คงเล่าให้ฟังเอง
เมื่อเข้ามาในห้องเรียนทั้งสามก็ไปหาที่นั่ง ฟินน์เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องเมื่อวานขึ้นมา ลูกหมูจึงต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งคู่ฟัง เบสท์เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาถ้าคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ เพราะหากเขาไม่บอกว่าจันทร์เจ้าชอบทิวากาล เจ้าหมูก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับน้องชายจนมีปากเสียงกันแบบนี้ แต่จันทร์เจ้าก็ยืนยันว่าไม่เป็นอะไรและบอกว่าปรับความเข้าใจกับน้องเรียบร้อยแล้ว เบสท์ค่อยกลับมาเริ่มยิ้มเหมือนเดิม เด็กหนุ่มตัวเล็กเอ่ยสารภาพกับลูกหมูเสียงแผ่วว่าบอกมิคไปแล้วถึงเรื่องเมื่อวันเสาร์เพราะโดนบังคับขู่เข็ญ แม้จะตกใจไปชั่วขณะแต่ลูกหมูก็ยังยิ้มกว้าง จะบอกช้าหรือบอกเร็วยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี
การเรียนในช่วงเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่าย ระหว่างที่กำลังเก็บของทั้งสามก็คุยกันอย่างสนุกว่าจะกินอะไรกันเป็นมื้อเที่ยง จันทร์เจ้ายกกระเป๋าพาดไหล่หนึ่งข้าง มือขาวล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา ทันทีที่โทรศัพท์มือถือส่องแสงสว่างขึ้นดวงตาโตก็เบิกโพลงเพราะแบรนเนอร์ที่เรียงกันเป็นแถบ จากทิวาทั้งนั้นเลย อ่านจากที่พรีวิวแล้วก็หลุดยิ้มออกมา ทิวานี่งอแงจังเลยน้า… ปลายนิ้วสไลด์แบรนเนอร์ใส่รหัสปลดล็อกแล้วพิมพ์ตอบข้อความ ว่างหรือไงถึงได้ส่งข้อความมาก่อกวนเป็นสิบแบบนี้ ทั้งยังมีสติ๊กเกอร์อีกหลายตัวอีก คนเขาเรียนอยู่แท้ ๆ ยังจะงอแงหาว่าเราตอบช้า บู้ว! ต่อให้เป็นใครก็ไม่ตอบทั้งแหละ เราปิดทั้งเสียงทั้งระบบสั่นเลยด้วย!
“อ๊ะ!”
“เดินมองทางด้วยสิ” แหงนหน้ามองเจ้าของเสียง จันทร์เจ้าลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ รู้สึกตาพร่าเล็กน้อยเมื่อเห็นตะวันยิ้มกว้าง เพราะมัวแต่ก้มหน้าพิมพ์ข้อความตอบททิวากาลจึงไม่ทันระวังจนชนตะวันเข้า
“เราขอโทษ ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามก่อนจะมองไปด้านหลัง เห็นฟินน์กับเบสท์จ้องอยู่ สายตาไม่น่าไว้ใจเลยแฮะ
“เป็น แต่ถ้าจันทร์เจ้าไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็จะไม่เป็น”
“ง่ะ… ต้องถามเบสท์กับฟินน์ก่อน” ตะวันหันไปมองด้านหลัง ฟินน์กับเบสท์ทำเป็นคุยกันเหมือนไม่สนใจอะไร เมื่อตะวันถามว่าไปกินข้าวด้วยกันไหมก็โยนกลับมาที่จันทร์เจ้าเฉย สุดท้ายลูกหมูก็ตอบตกลงไป แค่กินข้าวเอง ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่นา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“ตะวันไม่ได้ซ้อมประกวดหรอ?” ฟินน์ถามขึ้นระหว่างที่กำลังทานข้าว
“ซ้อมตอนเย็นน่ะ”
“ใกล้ถึงวันประกวดแล้วนี่ ซ้อมหนักเลยดิ”
“ใช่ หนักเอาเรื่อง เหนื่อยด้วย” ตะวันบ่น แอบเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หวังว่าจันทร์เจ้าจะพูดหรือถามอะไรเขาบ้าง แต่จันทร์เจ้าก็เอาแต่สนใจจานข้าวตรงหน้า ไม่ใส่ใจจะคุยกับใคร ตะวันขยับยิ้มเมื่อเห็นโอกาส มือหนายื่นไปและเช็ดเม็ดข้าวที่ติดมุมปากเล็กของจันทร์เจ้าออก และการกระทำเหล่านั้นก็ตกอยู่ในสายตาของเบสท์กับฟินน์… ลูกหมูสะดุ้งแล้วผงะออก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และบอกขอบคุณ แล้วจึงใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากตัวเอง
“กินเลอะเป็นเด็กเลย”
“ปากเราเล็กนี่นา…” พึมพำเสียงเบาแล้วทำหน้ามุ่ย ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ
ตะวันแอบถอนหายใจเบา ๆ อุตส่าห์ชวนมากินข้าวด้วยกันได้แล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่สามารถทำให้จันทร์เจ้าสนใจได้เลย แย่จริง ๆ
“วันประกวดจะไปกันหรือเปล่าครับ?”
“ไปสิ!” เบสท์บอกเสียงดัง
“มีหรือจะพลาด!” ฟินน์เองก็เช่นกัน
“แล้วจันทร์เจ้าล่ะ?”
“อือ เราจะไปเชียร์เพื่อนเรา”
“อ้าว ไม่เชียร์เราหรอ?”
“เชียร์อยู่แล้ว ตะวันก็เป็นเพื่อนเรานี่นา สู้ ๆ นะ เดี๋ยวเอาดอกไม้ไปให้” แค่คำพูดไม่กี่คำจากจันทร์เจ้าก็ทำให้ตะวันยิ้มกว้างแล้ว แม้จะอยากตัดคำว่าเพื่อนทิ้งก็ตาม พวกเขาพูดคุยกันบ้างระหว่างทานข้าว แต่ส่วนมากจะเป็นเบสท์กับฟินน์ที่ชวนคุย เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกตะวันก็จำใจต้องไป ถึงจะอยากอยู่กับจันทร์เจ้าต่อให้นานกว่านี้ ไม่เป็นไร ไว้ค่อยหาโอกาสมาเจอใหม่ก็ได้
“ทำไมมีแต่ผู้งานดีมาชอบมึงวะ” ฟินน์บ่นขึ้นแบบเซ็ง ๆ แต่ไม่จริงจัง
จันทร์เจ้าช้อนตามอง ดุนช็อกโกแลตไปไว้ข้างแก้มก่อนจะพูด “ไม่รู้…”
“แค่นึกว่าตะวันต้องอกหักก็อยากจะปลอบแล้วว่ะ”
“เบสท์ก็ไปปลอบสิ” ลูกหมูพูดก่อนยู่ปาก จะมาพูดอะไรกรอกหูเราอีก “อ๊ะ! นั่นพี่โก๋นี่นา กำลังมาทางนี้ด้วย”
“สวัสดีครับ/ค่ะ พี่โก๋”
“หวัดดี ๆ … อ่ะนี่ มีคนฝากมาให้” โก๋รับคำทักของเด็ก ๆ ทั้งสามแล้วเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้กับเด็กแก้มกลม
“เอ๋? ขอบคุณคับ” แม้จะยังมึนงงแต่ก็บอกขอบคุณไปก่อน ลูกหมูยื่นมือไปรับนมซึ่งมีตัวหนังสือและสัญลักษณ์ร้านนมปังอยู่บนขวดมาถือไว้
“ทิวาฝากมาหรอครับ?”
“ใช่ ๆ ตัวไม่มายังจะมาใช้คนอื่นอีก” จันทร์เจ้ายิ้มกว้าง ขอบคุณพี่โก๋อีกครั้งที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด จะว่าไปแล้ววันนี้ลูกหมูยังไม่เจอทิวาเลยนี่นะ จันทร์เจ้าเอาโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปนมขวดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วส่งรูปไปให้กับคนที่ฝากมา ก่อนจะเขย่าขวดนมแล้วเปิดดื่ม
“ทิวาไม่มาเรียนหรอครับ?”
“คงจะอย่างนั้น ไม่เห็นทั้งกลุ่มเลย” ลูกหมูพยักหน้ารับรู้ “เอ้อ! วันมะรืนนี้เบสท์ว่างไหม?”
“มีอะไรหรอครับ?”
“พี่กาลนัดเลี้ยงสายน่ะ”
“อ๋อ ผมไม่ได้ไปไหน นัดที่ร้านไปหรอครับ?”
“ร้านอาหารแถว ๆ นี้แหละ เดี๋ยวพี่ส่งแผนที่กับนัดเวลาอีกที”
“ได้ครับ”
“งั้นพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” ทั้งสามยกมือไหว้พี่โก๋อีกครั้ง ฟินน์กับเบสท์พร้อมใจกันกลอกตาขึ้นฟ้าเมื่อเห็นหมูแคระที่ดื่มนมหมดแล้วกำลังเอาปากกาเมจิกมาเขียนอะไรยุกยิกบนขวดแล้วเก็บมันใส่กระเป๋า
หมั่นไส้คนมีความรักโว้ยยยยยยยยยยย!!!!
Rrrrr~ ทิวากาลที่นิสัยไม่ดี “ฮาโหย๋ว~~” ลูกหมูรับโทรศัพท์เสียงสดใสเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา
(“เลิกเรียนแล้วใช่ไหม?”)
“ใช่แล้ว~~ เราเพิ่งไปส่งเบสท์มา กำลังจะกลับบ้าน ทิวามีอะไรหรอ?”
(“คิดถึง”) คำสองคำที่ออกมาจากปากปลายสายทำเอาลูกหมูอึกอักเงียบไปเพราะกำลังอึ้ง เมื่อสติกลับมาก็ก้มหน้างุดเขินอาย แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็ตาม
“โม้”
(“ไม่ได้โม้ ... ขับรถไปเรียนเองหรอวะ”)
“ใช่ ทิวามีอะไร?”
(“มาหาหน่อยสิ”)
“ทำไมเราต้องไปหาทิวาด้วย”
(“เพราะกูอยากให้มาหา รีบมา คอนโดกูอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวส่งแผนที่ให้ จะได้บอกยามให้ให้มึงเข้ามาด้วย”) เมื่อสั่งจบทิวากาลก็วางสาย จันทร์เจ้าแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์มือถือที่สัญญาณตัดไปแล้ว สงสารหรอกนะ จะไปก็ได้ ชิชิ!
ถ้าจริงใจรู้เราต้องโดนแหกอกแน่ ๆ เลย แง
ใช้เวลาไม่นานจันทร์เจ้าก็มาถึงที่พักของคนนิสัยไม่ดี แอบเบะปากเล็กน้อยเมื่อเห็นทิวากาลยืนกอดอกอยู่ที่ลานจอดรถสำหรับแขกที่ไม่ใช่ผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมแห่งนี้ จันทร์เจ้าหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือและกุญแจรถแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถไป
“ช้า” ทิวาเอ่ยปากทันทีหลังจากที่เดินเข้าไปหาลูกหมู แล้วยื่นมือไปแย่งกุญแจรถจากมือเล็กไปด้วย
“ทิวาจะพูดอะไรก็ดูการจราจรบ้างสิ เอาแต่ใจ! แล้วนั่นจะเอากุญแจรถเราไปไหน” ทิวากาลลอยหน้าลอยตาไม่ตอบ ขยี้ผมนุ่มอย่างมันเขี้ยวแล้วเดินผ่านลูกหมูไปที่ป้อมยาม
“ถ้าเห็นรถคันนี้หรือเด็กคนนี้มาที่นี่อีกให้เข้าไปจอดที่ของผมเลยนะครับ” เมื่อบอกกับยามรักษาความปลอดภัยถึงสิ่งที่ต้องการแล้วก็เดินกลับทางเดิม มือหนากดรีโมทปลดล็อดรถยนต์แล้วขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ แอบมองสำรวจนิดหน่อย ทิวากาลกดลดกระจกลง ตะโกนบอกคนที่กำลังยืนเอ๋ออยู่ให้ขึ้นรถ
“ทิวาจะทำอะไร!?” ลูกหมูถามไปหลังจากที่ขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับแล้ว
“เอาไปจอดไง” บอกแล้วก็ค่อย ๆ ถอยรถออก แล้วขับวนเข้าไปจอดในที่สำหรับผู้พักอาศัย “ครั้งหน้าก็เอามาจอดตรงนี้เข้าใจไหม?”
“คิดว่าเราจะมาอีกหรือไง?” ลูกหมูว่าเสียงไม่ค่อยพอใจ ทิวาชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เรื่อยเลย
“ใช่ มึงต้องมาอีกบ่อย ๆ เลยล่ะ”
“นอกจากนิสัยไม่ดีแล้วยังเอาแต่ใจอีก”
“ช่วยไม่ได้ หึหึ ลงจากรถได้แล้ว” เมื่อลงรถแล้วทิวากาลก็โยนกุญแจรถคืนให้เจ้าที่ทำหน้ายุ่งอยู่ข้าง ๆ แก้มจะแตกแล้วนั่น
“เอามาจอดแบบนี้แล้วคนอื่นจะจอดที่ไหนล่ะ?”
“ตรงนี้มันที่กู”
“อ้าว แล้วรถทิวาล่ะ”
“ข้างรถมึงนั่นไง” ปลายนิ้วชี้ไปที่รถยนต์สีดำข้างกับคุณฟักทอง เห็นลูกหมูกะพริบตางงงวยจึงอธิบายเพิ่มไขความกระจ่าง “กูมีที่จอดสามที่ ไม่ต้องสงสัย ไป จะพาไปกินหนม”
“จริงเหรอ!! เราอยากกินไอศกรีมจังเลยทิวา แต่ก็อยากกินเค้กด้วย”
“เออ ๆ แต่กูอยากกินข้าวก่อน”
“ได้เยย! ทิวาเลี้ยงนะ เย้เย้!~” โมเมชะมัด ทิวากาลส่ายหน้ายิ้ม ๆ กับอาการร่าเริงเกินเหตุเมื่อพูดถึงของกินของเด็กแก้มกลม “เราจะไปกันยังไงหรอ?”
“แถวนี้มีร้านอร่อยเยอะแยะ”
“งั้นเดินกันนะ หรือไม่ก็ใช้อยากอื่น ถ้าขับรถไปต้องช้าเพราะรถติดแน่เลย”
“ตามใจครับ” ทิวากาลบอก ก่อนจะขอขึ้นไปเอาแจ็กเก็ตบนห้องเพราะตอนนี้เขาใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนส์เท่านั้น แม้จะห้าโมงเย็นแล้วก็ตาม
“ร้อนขนาดนี้จะเดินไหวเหรอ?” ทิวากาลหันไปมองเด็กข้างกายที่กำลังมองซ้ายมองขวา หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
“รถไฟฟ้าดีกว่าเนอะ ทิวาจะได้ไม่หงุดหงิด” ว่าพร้อมกับยิ้มตาหยี ทิวากาลส่ายหน้าไปมา ตัวเองก็ร้อนก็ยังจะมาโยนให้เขาอีกนะ มือหนาส่งไปคว้าข้อมือเล็กมาจับแล้วจึงเดินไปที่สถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกล เดินออกจากซอยคอนโดมิเนียมไม่นานก็ถึงแล้ว
จันทร์เจ้ามองมือใหญ่ที่จับข้อมือตนเองอยู่แล้วยิ้มออกมา ถึงแม้จะไม่ได้จับมือแต่ก็รู้สึกดีในอกอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าทิวาให้เกียรติหรือรังเกียจกันแน่ คึคึ ลูกหมูสะบัดหน้ากับความคิดก่อนจะแอบเอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปไว้ ไม่รู้ว่าถ่ายเก็บไว้ทำไมเหมือนกัน เมื่อขึ้นมาด้านบนก็ไปต่อแถวแลกเหรียญและซื้อบัตร ช่วงเวลานี้คนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เพราะเป็นเวลาเลิกงาน ไม่อยากจะคิดเลยว่าในขบวนรถไฟคนจะเยอะขนาดไหน ไม่มีที่นั่งแน่ ๆ
และแล้วก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อรถไฟฟ้ามาจอดเทียบที่ชานชาลาและประตูเปิดออก คนก็กรูกันออกมาแล้วเข้าไปข้างใน ทิวากาลยังคงไม่ปล่อยมือจากข้อมือเล็ก ร่างสูงยืนหันหลังพิงกับมุมกระจกที่กั้นระหว่างที่นั่งกับประตูของรถไฟฟ้าแล้วรั้งให้เด็กแก้มกลมมายืนชิด เพราะทิวากาลไม่ชอบการสัมผัสตัวกับคนไม่รู้จัก น้อยครั้งมากที่จะใช้บริการสาธารณะ และเมื่อจำเป็นต้องใช้เขาก็มักจะยืนในส่วนที่เป็นมุมเพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้าถึงตัว
“จับถึงป่ะ?” ถามเด็กเตี้ยด้านหน้า เห็นแหงนหน้ามองห่วงจับอยู่นานแล้วแต่ก็ยึกยัก ถ้าหากไม่มายืนที่มุมแบบนี้ก็จับได้โดยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เพราะมายืนกับทิวาเลยต้องยืดตัวเพิ่มขึ้นอีกเพื่อเอื้อมไปจับห่วง ลำบากชะมัด
“ถ้าไปยืนตรงกลางถึง ตรงนี้ไม่ถึง”
“จับมือกูสิ”
“พี่ชมพู่บอกทิวาไม่ชอบให้โดนตัวนี่นา…”
“กูให้มึงจับได้” บอกพร้อมกับยื่นมือไปให้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้า เจ้าเด็กตัวกลมลังเลอยู่นิดหน่อยแล้วจึงวางมือทับกับมือใหญ่ ทิวากาลรวบมือเล็กไว้ทันทีที่จันทร์เจ้าวางมือลง ก่อนจะเป็นคนอายุน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายบีบมือร่างสูงแน่นเพราะรถไฟเคลื่อนที่แล้วทรงตัวไม่อยู่ ทิวากาลเองก็เผลอยกแขนอีกข้างโอบเอวของลูกหมูไว้โดยอัตโนมัติ
ระหว่างนั้นทั้งสองต่างคนก็ต่างตัวแข็งทื่อ ทำตัวไม่ถูก ลูกหมูก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยหน้า หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างที่ไม่เคยเป็น เราต้องอยู่ใกล้กันมากแน่เลย งื่อ ได้ยินเสียงทิวาหายใจด้วย ทิวากาลก้มมองคนข้างหน้า ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
พอได้อยู่ใกล้ ๆ แบบนี้แล้วหวนนึกถึงเมื่อตอนนั่งรถไปรับน้องนอกสถานที่ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ใกล้ชิดกับเด็กแก้มกลม และนี่ก็น่าจะเป็นครั้งที่สอง... กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เหมือนเมื่อครั้งนั้นโชยเข้าจมูก มันให้รู้สึกดีจนอยากจะสูดดมเข้าไปฟอดใหญ่ ทิวากาลกระชับมือที่โอบเอวของจันทร์เจ้าเอาไว้ ขณะที่กำลังจะจรดปลายจมูกที่ซอกคอขาวก็ต้องล้มเลิกการกระทำเพราะประตูรถไฟฟ้าที่เปิดออกพอดี...
ลูกหมูรีบเดินออกไปก่อนเพราะกะจะไปตั้งหลักสักครู่ ทว่ามือที่จับกันอยู่นั้นยังไม่ได้ปล่อยจังกลายเป็นว่าลากทิวากาลออกมาด้วย เจ้าตัวเล็กก้มหน้าชิดอกไม่มองคนนิสัยไม่ดี แก้มกลม ๆ กำลังขึ้นริ้วสีแดงเพราะเขินอาย คนอายุมากกว่ามองแก้มกลม ๆ นั่นแล้วนึกมันเขี้ยวจึงยื่นมือไปจิ้มเล่นอย่างทุกครั้ง ทว่าเมื่อปลายนิ้วแตะกับผิวแก้มลูกหมูก็สะดุ้งโหยง
“รังเกียจ?” แสร้งทำเสียงนิ่งระหว่างถาม ลูกหมูเงยหน้าขึ้นมา ตาโตหลุกหลิก ปากก็สั่นเล็กน้อยเพราะลนลาน ก่อนจะสะบัดหัวจนผมกระจาย
“เปล่า เปล่านะ! เรา เราแค่…”
“แค่อะไร?” ทิวากาลยังคงทำเสียงนิ่ง เด็กแก้มกลมสบตาเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น แก้มยุ้ยนั้นยังคงแดงระเรื่อและดูเหมือนจะเข้มกว่าเก่าอีกเสียด้วย เขินก็บอกสิวะว่าเขิน
“แค่… เราทำตัวไม่ถูกนี่นา…”
“ทำไมถึงทำตัวไม่ถูก”
“เง้อ ไม่คุยกับทิวาแล้ว เราหิวจัง”
ตลอด เปลี่ยนเรื่องตลอด แต่ทิวากาลก็ไม่ได้ไล่ต้อนอะไรอีก เอาล่ะ พาเด็กหมูไปหาอะไรกินก่อนก็แล้วกัน
“อู้หูยยยยยยยยยยยย น่ากินจังเลยยยยยยยย~~~” ลูกหมูส่งเสียงร่าเริงเมื่ออาหารที่สั่งไปทยอยมาเสิร์ฟ พอเห็นของกินเยอะแยะก็ตาโตเป็นประกายและระบายยิ้มกว้าง
“กินสิ” ทิวากาลบอกกับคนที่เอาแต่จ้องอาหารไม่ยอมลงมือกินสักที ทั้งที่หน้าตาแสดงออกว่าอยากจับพวกมันลงท้องจะแย่
จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตาแป๋ว “หม่ามะบอกต้องให้คนอายุมากกว่ากินก่อนถึงจะกินได้...”
อ่า... ที่ยังไม่กินสักทีเพราะเขายังไม่กินสินะ ทิวากาลส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะตักอาหารเข้าปากหนึ่งคำ พอมองหน้าคนนั่งตรงข้ามก็เห็นกับรอยยิ้มกว้างแล้วลูกหมูก็เริ่มลงมือทานอาหารพวกนั้น การที่นั่งมองเด็กแก้มกลมกินอาหารอย่างมีความสุขก็พลอยทำให้เขามีความสุขไปด้วยเสียอย่างงั้น รู้สึกอิ่มแม้จะไม่ได้แตะอาหารเลยก็ตาม
“อันนี้อร่อย ทิวากินสิ” ลูกหมูบอกเสียงใสหลังจากที่ตักอาหารไปใส่จานข้าวให้ทิวากาล “อันนี้ด้วย”
“อ อืม ... ขอบใจ” ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกทำตัวไม่ถูก นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนตักอาหารให้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะคนทำคือเด็กแก้มกลมนี้งั้นเหรอ อาจจะใช่... เขาใจเต้นแรงราวกับเด็กที่เพิ่งมีความรัก และรู้สึกดีกับการกระทำที่ออกมาจากใจและเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ต่างกับคนอื่น ๆ ที่เขาเคยทานข้าวด้วยและตักอาหารให้เขาเพื่อต้องการเอาใจ แต่เด็กคนนี้... ไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากให้เขาได้กินของอร่อย...
ทำไมถึงได้รู้สึกดีขนาดนี้วะ
“วันนี้ทิวาไม่มีเรียนเหรอ?”
“อือ ไม่มีเรียนก็เลยไม่ไป นมที่ให้ไอ้โก๋เอาไปให้ กินหมดหรือเปล่า?”
“หมดสิ! แต่ว่าไม่ให้ต้องไปรบกวนพี่โก๋เลย เกรงใจพี่เขา”
“มันไม่ได้ยอมฟรี ๆ หรอกน่า”
“เอ๋...”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างสนใจเลย หึหึ”
“เชอะ!”
“ไม่ต้องมาเชอะ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันนะเตี้ย” ทิวากาลชี้หน้าคาดโทษ ลูกหมูทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าทิวาจะเคลียร์เรื่องอะไร เราไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นเหรอ...
แต่เราเป็นเด็กดีน้า ไม่มีทางแน่ ๆ
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“เรื่องเมื่อวาน
ทั้งหมด!”
“เราก็บอกไปแล้วนี่นา...”
“อยากได้แบบละเอียดไง”
“อ่า... ทำไมไก่ทอดที่นี่กรอบจังเลย ทิวาว่าไหม?”
เก่งจริง ๆ เลยเรื่องเปลี่ยนเรื่องเนี่ย แต่อย่าหวังว่าทิวากาลจะปล่อยไป!!!
TBC
มาแย้ววววววววว มีความรู้สึกว่าตอนนี้มาอัพเร็ว ทั้งทีก็เหมือนเดิม 55555555555555555
เขาพัฒนาแล้วนะ(?) งานบอกคิดถึง งานกอดก็มา หึหึ /กดโทรออกหาจริงใจ
ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะครับผม ไว้เจอกันตอนหน้าค่า ♥