PART II บทที่ 26
ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม
Sharp's Part
“มาถามคู่บ่าวสาวกันหน่อยดีกว่าครับว่ารู้จักกันได้ยังไง”ผมนั่งมองภาพที่น่ายินดีของเพื่อน ขนาดผมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้นความสุขมันยังแผ่กระจายมาถึงตรงนี้ ผมยิ้มจนหุบไม่ลง คำถามเบสิคถูกป้อนให้บ่าวสาวตอบ ทั้งเรื่องน่าประทับใจ และเรื่องหลุดๆ ที่ทั้งคู่เคยได้สร้างไว้ ก่อนที่จะเอ่ยขอบคุณคนที่มาร่วมงาน
“จูบเลยๆ”เสียงตะโกนจากเพื่อนๆ เมื่อพิธีการได้จบลง แต่จริงๆ นี่ก็เป็นงานเลี้ยงช่วงเย็นที่จัดริมชายหาด สบายๆ อยู่แล้ว นี่หรือเปล่านะที่ผมเคยต้องการ
“ยิ้มขนาดนี้ไม่หาเจ้าสาวแต่งเองบ้างละชาร์ป”เสียงจากคนที่นั่งข้างๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง เหมือนวันนี้เค้าจะดื่มหนักอยู่ไม่น้อยและนี่คงตึงๆ เสียแล้วด้วยสิถึงได้เป็นฝ่ายแซวผมก่อนแบบนี้
“แต่งกับผมไหมละครับคุณปรีติ”ผมแกล้งแซวกลับจนไม่รู้ว่าเค้าหน้าแดงเพราะแอลกอฮอล์หรือแดงจากเขินในสิ่งที่ผมพูดกันแน่ ในเมื่อเค้าเองก็เลิกกับแฟนแล้ว ผมก็มีสิทธิ์ที่จะรุกเค้าได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรนี่นา
“เราไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”เค้าตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ แต่ผมเองทำเป็นไม่สนใจยกแก้วชนกับเค้า สงสัยคืนนี้ได้เมากันทั้งคู่แน่ๆ ครับ แถมคืนนี้ผมต้องนอนห้องเดียวกับเค้าสองต่อสองเสียด้วยสินะ ก็คืนนี้ไอ้เหมาต้องถูกส่งตัวเข้าหอนี่เนอะ
“คืนนี้อยู่กันสองคนอย่าเมาจนลุกขึ้นมาปล้ำเราล่ะ”การที่ได้มาอยู่ด้วยกันระยะนึงตอนนี้ และรู้ว่าเค้าอยู่ในสถานะโสดมันทำให้ผมกล้าหยอดเค้าแบบนี้ครับ และแน่นอนแอลกอฮอล์ยิ่งมีผลให้ผมกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ตี้หันมองหน้าผมหน่ายๆ ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นกระดกอีกครั้ง ไม่นานนักโลกส่วนตัวของผมกับเค้าก็จบลง เพื่อนๆ คนอื่นเลิกสนใจคู่บ่าวสาวหันมาพูดคุย สังสรรค์กันต่อ บรรยากาศกลับมาคึกคัก จนเวลาล่วงเลยใกล้จะเที่ยงคืน แขกเริ่มทยอยกลับเกือบหมดแล้ว พวกเพื่อนๆ เองก็เช่นกัน บ่าวสาวก็ร่ำลาแขกที่ทยอยกลับที่พัก
“กลับไปอาบน้ำนอนไหม”ผมถามคนที่ยังนั่งนิ่ง ไร้วี่แววว่าจะอยากกลับไปพักผ่อนแต่อย่างใดเค้าส่ายหน้าก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด
“กลัวที่ต้องอยู่กับเราสองต่อสองหรือไง”เค้าเหลือบมองผมด้วยหางตาง แล้วก็ผลักผมที่เข้าไปกระซิบข้างหูเค้าออก ด้วยอาการรำคาญที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปฏิเสธกันเข้าไปเถอะ ถ้าเกิดคืนนี้เมาแล้วอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาอย่ามาง้อผมแล้วกัน
“เฮ้ยพวกมึงจะเที่ยงคืนแล้ว ใครจะแดกกลับไปแดกต่อที่ห้อง กูแจ้งเค้าใช้สถานที่ไว้แค่ถึงเที่ยงคืน”ไอ้เหมาตะโกนกลับมาน้ำกับกลุ่มพวกผมเพราะเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วที่ยังอยู่ริมหาด ทุกคนเลยช่วยกันหยิบอุปกรณ์ จัดแจงเตรียมไปดื่มต่อที่ห้องพักครับ เพราะไอ้พวกเพื่อนๆ ผมดูจะยังดื่มไม่จุใจ
“ไปก่อนเลย เราว่าจะเดินเล่นริมหาดสักพัก”คนที่ต้องกลับไปนอนห้องเดียวกับผม หันมาบอกนี่ตกลงว่าเค้ากลัวการจะนอนห้องเดียวกับผมจริงๆ หรือไงเนี่ย ผมอดที่จะอมยิ้มนึกเอ็นดูเค้าไม่ได้ จะมากลัวผมทำไมใช่ว่าผมจะบังคับขืนใจเค้าเสียหน่อย ถ้าเค้าไม่ยอมซะอย่างผมก็ไม่บังคับอยู่แล้ว ว่าแต่ว่านี่ผมคิดไปถึงขั้นนั้นแล้วหรือไงเนี่ย
“ป่ะ พร้อมแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน พร้อมจับแขนเค้า
“อะไร”เค้าทำหน้างง
“ก็เดินเล่นริมหาดไง เราเดินเป็นเพื่อนจะได้ไม่เหงา”ผมเดินจูงมือเค้าเดินโดยไม่ได้สนใจท่าทีขัดขืนและการพยายามแกะมือผมออก สุดท้ายเค้าก็ยอมเดินตามผมมาโดยไม่คัดค้านอะไรอีก ไม่มีคำพูดหรือบทสนทนาใดๆ ระหว่างเราสองคนอีกมีเพียงเสียงคลื่นที่ซักเข้ามากระทบกับผืนทรายที่เราเดินย่ำกันอยู่
“กลัวที่ต้องนอนกับเราสองคนเหรอ”ผมหยุดเดินและเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างเรา สายตาผมจับจองไปในท้องทะเลสีดำที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันก็คงไม่ต่างกับจิตใจของคนข้างๆ ผมตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่ เค้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้จากเค้าคือความรู้สึกที่เค้ามีต่อผม
“เปล่า”เค้าตอบเสียงเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา เค้ามักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าเค้าตั้งตัวไว้ปาร์ตี้มักจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่แสดงออกมา เพราะแบบนี้ผมเลยตั้งใจว่าต้องแกล้งให้เค้าตั้งตัวไม่ทัน เค้าจะได้เผลอแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง บางครั้งผมก็มีแอบคิดเข้าข้างตัวเองนะครับ ว่าเค้าเองก็คงมีเผลอใจให้ผมบ้างแหละน่า แต่จะทึกทักเอาเองออกตัวแรงไปก็กลัวจะเงิบครับ
“หรือว่ากลัวห้ามใจตัวเองไม่ไหว”
“บ้าเหรอ”อันนี้ได้ผลครับ เค้ารีบปฏิเสธด้วยอาการไม่ปกติแล้ว ผมหันไปมองเค้ายิ้มๆ แม้จะอยู่ในความมืดแต่แสงจากพระจันทร์ก็พอมองออกว่าเค้ากำลังเขิน ผมอาศัยจังหวะที่เค้าไม่ทันตั้งตัว โอบไหล่เค้าแล้วค่อยๆ เลื่อนเป็นกอดคอ เพราะสายตาขวางๆ ที่จ้องมองผมกลับมา
“กอดคอ แบบเพื่อนไง เราเพื่อนกันนิเนอะ”ผมแกล้งทำตีเนียนไม่ยกแขนออก ค้างไว้อย่างนั้น
“กลับห้องเถอะ”เค้าขยับตัวออกจากผม แล้วเดินนำตรงกลับห้องพักของเรา ผมยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินตามเค้า
พอถึงห้องเค้าจัดแจงแบ่งเขตแดนเตียงนอนด้วยหมอนข้างใบใหญ่ ตอนนี้ห้องพักของเราทั้งคู่ถูกไอ้เหมาเปลี่ยนมาเป็นห้องสำหรับ 2 คนแถมแกล้งไม่เลือกแบบเตียงแยกให้เราสองคนนะครับ จัดมาให้นอนเตียงเดียวกันยังกับรู้ใจผม ส่วนปาร์ตี้นะเหรอครับ รายนั้นพอรู้ก็ขอเปลี่ยนแหละครับ แต่ห้องดันเต็มหมด เลยต้องอยู่ในภาวะจำยอมครับ เมื่อเห็นเค้ายังไม่พอใจกับการแบ่งเขตการนอน ผมเลยขอเป็นคนอาบน้ำล้างตัวก่อน
หลังผมอาบเสร็จก็เป็นปาร์ตี้ที่เข้าไปอาบต่อ ส่วนผมกำลังมองเตียงนอนอย่างนึกขำ นี่เค้าเอาอะไรมากั้นเราสองคนบ้างเนี่ย จริงๆ ถ้าจะทำขนาดนี้บอกผมนอนโซฟา หรือให้ไปขอนอนกับเพื่อนคนอื่นดีกว่าไหม ผมส่ายหน้าขำๆ กับภาพตรงหน้า หูผมตั้งใจฟังว่าเค้าจะออกจากห้องน้ำตอนไหน พอเสียงน้ำเงียบไป ผมเองรีบล้มตัวลงนอนกะว่าจะแกล้งหลับครับ ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำก็เปิดออกมา ผมแกล้งทำลมหายใจให้สม่ำเสมอเหมือนคนหลับแล้วให้เนียนที่สุด จะแกล้งกรนก็กลัวเค้าจับได้ เพราะผมก็ไม่ใช่คนนอนกรน และเค้าเองก็รู้ในข้อนั้น เสียงเท้าของเค้าเดินมาทางผม นี่สงสัยกะมาเช็คว่าผมหลับแล้วจริงๆ หรือเปล่า เสียงเดินของเค้าห่างออกจากผมอีกครั้ง
ผมแอบหรี่ตามองนิดๆ เห็นเค้ากำลังทาโลชั่นก่อนนอนอยู่ นี่คงคิดว่าผมหลับแล้วจริงๆ สินะ เดี๋ยวก็รู้ ผมพึมพำอยู่ในใจ และรอแค่ไม่นานเสียงสวิตซ์ไฟที่ถูกปิดก็ดังขึ้น ตามด้วยน้ำหนักตัวของเค้าที่ทิ้งลงบนเตียงอีกข้างนึง ผมค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก จนเมื่อแน่ใจว่าเค้านอนนิ่งๆ แล้ว ผมรีบดีดตัวอย่างรวดเร็ว เอาหมอนข้างออกและดึงตัวเค้าเข้ามากอดโดยไม่ให้เค้าทันตั้งตัว
“อย่าทำแบบนี้ชาร์ป”หลังจากพยายามดิ้นแล้วไม่เป็นผล เค้าก็หยุดและพูดออกมาเสียงเย็น ผมยังคงกอดเค้าไว้หลวมๆ ที่จริงผมเองก็อยากจะรุกเค้าให้มากกว่านี้นะครับ แต่อีกใจก็กลัวจะทำให้เค้ากลายเป็นเกลียดผมไปเสียก่อนนี่สิ อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าเค้ายังรักคุณอรรถอยู่มากแค่ไหน
“ขอแค่อยู่แบบนี้ได้ไหม พรุ่งนี้เราก็ต้องแยกย้ายกันไป ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก”ผมกระซิบที่ข้างหูของเค้า เค้าเองพลิกตัว หันมาเผชิญหน้ากับผม แม้จะอยู่ในความมืดไม่ได้มีแสงไฟ แต่เราก็ยังจ้องมองกันและกัน
“เพื่ออะไรเหรอชาร์ป”ผมไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะขยับตัวชิดเข้าหาเค้ามากขึ้น ริมฝีปากของเค้าคือเป้าหมายของผม ผมถือวิสาสะลิ้มรสมันอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เค้าดูตกใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรผม ทำให้ผมยิ่งได้ใจสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากหวานนั้นอย่างไม่เกรงใจ มือผมเองเริ่มรุกล้ำเข้าใต้เสื้อตัวบางของเค้า
“หยุดเถอะ”ข้อมือผมถูกห้ามโดยมือของอีกฝ่าย เค้าขยับตัวออกจากผมทันที สายตาผมยังคงมองเค้าด้วยความเว้าวอน
“ตกลงกันแล้วไงว่าเราสองคนจะไม่ทำแบบนี้กันอีก”เค้าขยับเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ ผมควรหยุดไว้แค่นี้หรือไปต่อดีละ
“ถ้าไม่นอน เราจะออกจากห้องตอนนี้แหละ”ท่าทางจริงจังของเค้าทำให้ผมไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีก ผมพยักหน้าเป็นสัญญานให้เค้าว่าจะไม่ล้ำเส้นอะไรอีก จะนอนเฉยๆ แล้ว
“ไหนบอกว่านอนไง”เสียงเค้าตวาดทันทีที่ผมสวมกอดเค้าอีกครั้ง
“แค่กอดเฉยๆ นะ”เค้าดูเหนื่อยหน่ายกับการกระทำของผมเต็มทน แต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ แต่โดยดี ผมอมยิ้มปิดเปลือกตาลง คืนนี้ผมคงฝันดีแน่ๆ ไม่นานเราทั้งคู่ก็หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด
“ไอ้อ่อนเอ้ย กูอุตส่าห์วางแผนช่วยทุกอย่าง แกล้งเมาให้ได้นอนเตียงเดียวกันก็แล้ว ปล่อยอยู่กันสองต่อสองก็แล้ว ยังปล่อยมันกลับไปหาแฟนเก่าอีก กูควรด่ามึงดีไหมเนี่ยแว่น”เสียงไอ้เหมาตะคอกใส่ผมมาตามสายโทรศัพท์ ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ภูเก็ตแล้วละครับ และนี่ก็กำลังนัดแนะกับไอ้เหมาเรื่องที่มันจะมาฮันนีมูนที่นี่โดยมีผมเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ข้อแม้คือมันต้องพาปาร์ตี้มาด้วยให้ได้
ก็ไอ้ผมก็ไม่คาดคิดว่าวันนั้นที่เราหลับไปในอ้อมแขนกัน ตื่นเช้ามาฝันหวานของผมจะหายไปในพริบตา ผมตื่นมาไม่พบปาร์ตี้ เพราะเค้าแอบกลับ กรุงเทพฯ โดยไม่บอกใครสักคำ เค้าบอกกับไอ้เหมาทีหลังว่าคุณอรรถเข้าโรงพยาบาล แต่นั่นยังไม่เลวร้ายพอสำหรับผม เพราะอีกไม่กี่วันต่อมา ดันได้รับรู้ว่าความทรงจำของคุณอรรถกลับมาแล้วด้วยนี่สิครับ นี่ถ้าคืนนั้นผมรวบหัวรวบหางปาร์ตี้ซะ ผมอาจจะเป็นต่อขึ้นมาบ้าง
“กูนึกว่ามึงจะบอกมันไปแล้วเสียอีกว่ารู้สึกยังไง แต่ตอนนี้มันคงไม่เหมาะแล้ว มึงก็รอดูเค้าคืนดีกันไปแล้วกันนะ”อ้าวไอ้นี่เยาะเย้ยผมเสร็จก็วางสายไปเลยครับ ผมได้แต่นั่งถอนหายใจ ก็ไอ้สิ่งที่ไอ้เหมาเพิ่งพูดมันทำให้ผมต้องเก็บมาคิด ก็ถ้าผมบอกความรู้สึกตัวเองออกไปแต่ปาร์ตี้เองกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
“เพื่อนๆ มากันวันไหนละลูก”เสียงของแม่ดังมาจากด้านหลังของผม ผมหันกลับไปโอบแม่ไว้พร้อมแกล้งซบ ก่อนจะหอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่
“มาถึงเย็นๆ พรุ่งนี้ครับ”ผมบอกเสียงอ้อนๆ
“ไปงานแต่งเหมามาเนี่ย ไปเจอใครมาหรือเปล่า”ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในคำถามของแม่
“ก็เห็นกลับมาละ ทำตัวยังกับคนอกหัก แม่ก็นึกว่าไปเจอชะเอม หรือน้องปลา อะไรแนวนั้นมาหรือเปล่า”โหแม่ผมคิดไปได้ยังไงเนี่ย ว่าแต่ผมเหมือนคนอกหักตรงไหนเนี่ย ก็แค่ซึมๆ ไปบ้าง ข้าวปลามันก็ไม่ค่อยมีเวลากินเท่านั้นเอง ก็งานมันเยอะนิครับ จะให้ทำไง
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวรอเล่นกับหลานดีกว่า แพทเค้าพาน้องแมทมาด้วยนะครับ”ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้แม่มากังวลกับเรื่องของผม ส่วนเหมากับแพทนี่ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าจะจัดห้องที่โรงแรมให้แบบดีๆ ดันจะอยากมาพักที่บ้าน ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ แต่แค่เห็นว่าเพื่อนมาฮันนีมูน แล้วการมาอยู่บ้านผมเนี่ยมันเหมือนฮันนีมูนตรงไหนเนี่ย
“แล้วตกลงเหมา แพท กับน้องแมทมากันแค่ 3 คนเองเหรอ ปาร์ตี้ละลูก”ไม่ใช่แค่แม่หรอกครับที่อยากให้เค้ามาผมเองก็อยาก
“แฟนเค้า เข้าโรงพยาบาลนะครับแม่”ผมตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปทำงาน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูชื่อของคนที่อยู่ในบทสนทนาของผมกับแม่เมื่อสักครู่ ผมลังเลที่จะกดเบอร์อยู่ครู่นึงสุดท้ายก็ กดปิดไป ยังไงเค้าก็ไม่มาอยู่ดีแล้วผมจะโทรไปให้ตัวเองยิ่งเจ็บทำไมละเนี่ย ผมหยุดคิดฟุ้งซ่านกลับมาสนใจกับงานตรงหน้าอย่างที่เคยเป็น
พอถึงวันนัดกับไอ้เหมา ผมมารอที่สนามบินก่อนเวลาเครื่องลงนิดหน่อยจนพอถึงเวลาผมก็เข้ามายืนรอที่ผู้โดยสารฝั่งขาเข้า ผมมองที่หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ที่บอกเวลา ว่าพวกไอ้เหมามาถึงแล้ว รออยู่พักนึงก็เริ่มเห็นคนทยอยเดินกันออกมา และแล้วผมก็ต้องแปลกใจก็คนที่จูงมือน้องแมทออกมานั่นมัน
“กูก็เพิ่งรู้ก่อนจะมาแบบฉิวเฉียดนี่แหละ”ไอ้เหมาเดินมาพูดเบาๆ ให้ผมได้ยินแต่ผมไม่ได้สนใจมันครับ ผมแทบจะเดินผ่านมันไปหาอีกคน
“ลุงแว่นหวัดดีฮ่ะ”เด็กน้อยยกมือไหว้ผม ก่อนจะจับมือปาร์ตี้เช่นเดิม นี่สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ตอนอยู่งานแต่งผมยังไม่เห็นว่าจะสนิทกันเลย ผมกับเค้าแค่ยิ้มทักทายกัน ก่อนผมจะฉวยเอากระเป๋าของเค้ามาช่วยถือ เราทุกคนต่างช่วยกันเก็บกระเป๋าขึ้นรถ มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของผม เพราะอาหารเครื่องดื่มเตรียมพร้อมรอพวกเราอยู่แล้ว
บรรยากาศภายในรถดูสนุกสนาน โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ แถมเพื่อนซี้เค้าก็ดูจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหลือเกิน ไม่รู้เด็กโตเกินวัยหรือผู้ใหญ่ลดอายุไปหาใครกันแน่ครับ แต่ก็ดูน่ารักดี ผมเองก็ไม่ค่อยได้เห็นมุมแบบนี้ของปาร์ตี้เค้าเท่าไหร่
“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วมากินข้าวกัน กำลังร้อนๆ เลย อ้าวปาร์ตี้ลูก นึกว่าไม่มานี่ชาร์ปหลอกอำแม่หรือเปล่า”แม่ผมออกมาต้อนรับ และทักทายรับไหว้จากทุกคน ผมให้เด็กในบ้านช่วยยกกระเป๋าพาทุกคนเอาของไปเก็บ
“แล้วตัวเล็กนี่ใครเอ่ย”เอาแล้วครับแม่ผม สงสัยอาการอยากมีหลานกำเริบอีกแล้ว ส่วนเจ้าตัวเล็กนั่นก็ดูจะขี้อ้อนไม่น้อยทีเดียว
“หวัดดีฮ่ะ นี่น้องแมทเอง”แม่ผมดูตาเป็นประกายเชียวครับ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะผมคงมีหลานอย่างที่แม่หวังไม่ได้เสียแล้ว
หลังเก็บของกันเรียบร้อยเราก็กลับมาทานมื้อค่ำกัน ดูวันนี้จะเป็นมื้อใหญ่สำหรับบ้านเราทีเดียวครับ นานแล้วที่ไม่ค่อยมีแขกมาพักที่บ้าน เพื่อนๆ ของพ่อกับแม่ส่วนใหญ่ถ้ามาก็มักไปพักที่โรงแรมกันหมด บรรยากาศมื้อค่ำของเราวันนี้เลยดูอบอุ่นกันเป็นพิเศษ
“แล้วนี่มาฮันนีมูนกัน กะมีน้องให้แมทกันเลยหรือเปล่าเนี่ย”แม่ผมเอ่ยแซว เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ
“ดูเพื่อนเป็นตัวอย่างบ้างสิชาร์ป นี่พ่อกับแม่ก็รออุ้มหลานกันจนเหงือกแห้งแล้ว”พ่อผมพูดออกมาขำๆ อย่างไม่จริงจัง แต่ผมก็เหมือนโดนสะกิดให้ฉุกคิดอีกแล้วแหละครับ
“เดี๋ยวฝากลูกแพทเป็นหลานชั่วคราวไปก่อนแล้วกันนะคะ”แพทบอกกลับพร้อมหันมามองผมอย่างให้กำลังใจ การทานข้าวผ่านไปด้วยความสุขใจของทุกๆ คน จะมีก็แต่หนึ่งคนที่แม้จะดูยิ้มแย้มแต่ก็พูดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังทานข้าวเสร็จแพทก็พาน้องแมทไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน โดยแม่ผมขอน้องแมทไปนอนด้วย นี่ตกลงแม่ผมจะกดดันอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย สรุปวันนี้ด้วยความที่ดึกมากแล้วจากแผนเดิมที่ว่าจะดื่มกันของพวกผมเลยเหมือนจะถูกพับไปโดยปริยาย แล้วทุกคนก็ยังอยู่อีกหลายวัน พรุ่งนี้ผมก็จะพาทุกคนไปล่องเรือด้วยแม่เลยไม่อยากให้พวกผมนอนดึกกันมากนัก
“มันยังไม่คืนดีกับคุณอรรถ จะทำอะไรก็รีบทำ”คำพูดที่ไอ้เหมาบอกกับผมเบาๆ ก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อน ทำให้ตอนนี้ผมซึ่งอยู่ในชุดนอน มีเสื้อคลุมทับอย่างสบายๆ มายืนอยู่หน้าห้องของใครบางคน พร้อมไวน์อีก 1 ขวด นี่เค้าคงยังไม่หลับหรอกมั้งเพราะดูยังมีแสงไฟลอดออกมาจากห้องของเค้าอยู่
“ก๊อกๆ”ผมเคาะไปที่ประตูห้อง ผมพยายามฟังเสียงว่าเค้าเดินมาเปิดประตูให้ผมหรือเปล่า แต่เหมือนจะยังเงียบอยู่ผมเลยงื้อมือเตรียมเคาะอีกรอบ โชคดีที่ยั้งมือไว้ทันเพราะคนในห้องดันเปิดประตูออกมาพอดี นี่มือผมแทบจะเคาะที่หน้าผากเค้าอยู่แล้ว เค้ามองผมแทบจะหัวจรดเท้า แล้วตัวเค้าเองก็ขยับเสื้อคลุมของตัวเองให้ชิดขึ้น ผมไม่ได้รอให้เค้าอนุญาต ก็นี่มันบ้านผม ผมเลยรีบเบียดตัวผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรเนี่ย”เค้าถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ปิดประตูล็อคอย่างดี จนผมอดยิ้มไม่ได้ตอนนี้สำหรับผมมันเหมือนความรู้สึกเก่าๆ ในช่วงที่เราเคยอยู่ด้วยกันมันกลับมา ความรู้สึกที่ผมว่า ผมกำลังมีความสุข ที่จริงผมอาจจะเผลอรักเค้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ผมเองไม่อยากจะยอมรับ
“เรารู้ว่าตี้มีเรื่องไม่สบายใจอยากระบาย เราให้ตี้ระบายออกมาจนกว่าไวน์ขวดนี้จะหมด ถ้าหมดเมื่อไหร่เราจะกลับห้องทันที ไม่รบกวนอะไรตี้เด็ดขาด”ผมยกขวดไวน์พร้อมแก้วไว้ตรงหน้าเค้า ผมชู 3 นิ้วเหมือนให้คำปฏิญาน เค้าหยิบแก้วไปไว้ในมือหนึ่งใบ พร้อมเอียงคอเป็นการตอบตกลง ผมรีบจัดการเปิดไวน์รินให้เราทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“เล่าดิ”ผมรีบคะยั้นคะยอเมื่อเค้ายังคงจิบไวน์เงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดอะไรให้ผมฟัง
“เล่าไร เราไม่ได้เป็นไร”ไม่อยากจะบอกเลยว่ารอบนี้เค้าโกหกโคตรจะไม่เนียน แต่เอาเถอะในเมื่อยังไงเค้าขนาดเปลี่ยนใจตามไอ้เหมามานี่ผมก็ต้องมีหวังบ้างล่ะ ผมไม่ได้ซักไซร้อะไรเค้าอีก ถ้าเค้าอยากเล่าเค้าก็คงเล่าออกมาเอง เค้าหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ ที่วางอยู่หัวเตียงมาเปิดดู ดูเหมือนจะเป็นรูปตอนเด็กๆ ของผม พอเห็นความน่ารักในวัยเด็กของผมทำให้เค้ายิ้มออกมา และบรรยากาศในห้องดูจะผ่อนคลายขึ้น นั่นส่งผลให้ไวน์ขวดนึงหมดลงอย่างรวดเร็ว เค้าชี้ให้ผมดูเพื่อเป็นการเตือนว่าเวลาของผมหมดแล้ว
“เราขอพิสูจน์อะไรหน่อยได้ไหม”ถ้าผมพลาดวันนี้ผมอาจจะไม่มีโอกาสอีกเลยก็เป็นได้ ผมค่อยๆ โน้มตัวเค้าไปหาเค้าเพื่อลิ้มรสริมฝีปากที่เตือรสชาดของแอลกอฮอล์นั้น
“ถ้าตี้รู้สึกเหมือนกันกับเราก็อย่าปฏิเสธเราเลย”ผมรีบบอกก่อนที่เค้าจะปฏิเสธผม เค้าหยุดคิดไปนิดนึงก่อนจะดึงหน้าผมเข้าไปจูบ ไม่ว่ามันจะหมายความว่ายังไง ผมก็จะไม่ยอมปล่อยเค้าไปอีกแล้ว มันไม่มีคำพูดใดๆ ของเราทั้งคู่อีกผมเองเหมือนกำลังกระหายแทบจะอยากกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งตัว เราต่างถาโถมเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร รอบแล้วรอบเล่าจนเราทั้งคู่ต้องหอบหายใจเพราะหมดแรง
“เรารักตี้นะ”ผมกระซิบแผ่วเบา ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของเค้า ผมบอกออกไปแล้ว แต่เค้ากลับเงียบไม่ตอบอะไรหรือแสดงความเห็นใดๆ กลับมา แต่เค้าก็ไม่ได้ปฏิเสธผมนี่เนอะ ผมค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างหมดแรง หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้เค้าคงไม่หายไปไหนอีกนะ ตอนนี้จะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ว่าได้ครับ เค้ายอมผมขนาดนี้แล้ว ยังเหลืออีกตั้งหลายวันผมต้องทำให้เค้าพูดออกมาจนได้แหละครับว่าคิดยังไงกับผมกันแน่
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านเข้ามา มือผมควานหาอีกคนทันที แต่แล้วผมก็ต้องรีบดีดตัวขึ้น นี่เค้าจะหนีผมไปไหนอีกหรือเปล่าเนี่ย ผมรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าใส่ลวกๆ เปิดดูในห้องน้ำ แล้วรีบออกจากห้อง ตอนนี้ชักจะใจไม่ดีแล้วครับ
“อ้าวชาร์ปตื่นแล้วเหรอลูก แล้วนี่ไปไหนมาทำไมมาจากทางนั้น”ผมไม่มีเวลาอธิบายให้แม่ฟังแล้วครับเพราะตอนนี้กำลังร้อนใจ แต่ก็ยังหวังว่ามันจะไม่มีอะไร เพราะแพทก็อยู่ตรงนี้ แต่ไอ้เหมาไม่อยู่ตี้อาจจะไปไหนกับไอ้เหมาก็เป็นได้
“แพทเห็นตี้ไหม”ผมรีบถามอย่างร้อนใจ แพทพยักหน้ารับทำให้ผมเริ่มรู้สึกสบายใจไปนิดนึง
“เค้าโดนหัวหน้าโทรตามแต่เช้า กลับกรุงเทพฯไปแล้วแหละ แม่พูดยังไงก็จะไปให้ได้ หัวหน้าของตี้นี่ก็ไม่รู้ยังไง ให้ลามาแล้วจะมาเรียกกลับกะทันหันแบบนี้ได้ยังไง”แม่ผมพูดอะไรอีกบ้างผมแทบไม่ได้ฟัง นี่มันหมายความว่ายังไง เมื่อคืนทุกอย่างมันก็เหมือนจะจบด้วยดีแล้วนี่นา หรือผมเองคนเดียวที่คิดแบบนั้น
“เราขอโทษนะแพท เดี๋ยวเราจะให้คนมาดูแลแพทกับไอ้เหมาตามทริปที่คุยกันไว้ แต่เราคงไปด้วยไม่ได้ เราจะไปกรุงเทพฯ”
TBC
อย่างที่เคยบอกนะครับว่าคงจบที่ตอน 30
4 ตอนสุดท้ายก็จะเป็นการเล่าในมุมของปาร์ตี้แล้วนะครับ
คนที่จะเป็นคนจบเรื่องราวทั้งหมด ตี้คิดยัง และตี้จะเลือกใคร
อดใจรออีกแค่ 4 ตอนครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเช่นเคยนะครับ