รอบที่32 คนเดียว(ต่อ) คิดแล้วก็วางของใส่โต๊ะหินอ่อนที่ประจำ ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยงที่ผมกับเพื่อนมารวมตัวกันแลกของฝาก ของผมดูจะเยอะกว่าใครเพื่อน เลยต้องให้พี่อาคมช่วยถือมาส่งด้วย ไหนๆ ก็ไหนๆ พวกเพื่อนผมเลยชวนกินข้าวเที่ยงด้วยกันเลย พี่อาคมแกก็รักเด็ก บอกว่าชวนให้นึกถึงหลงกับไมค์สมัยวัยรุ่นเลยอยู่ร่วมวงด้วย
พอกินข้าวเสร็จก็กองจานไว้มุมหนึ่งให้ริวที่แพ้เกมเป่ายิ้งฉุบเป็นคนไปเก็บ ก่อนจะมาแลกของฝากกัน ตอนนี้กลุ่มผมเรียกได้ว่ารวมตัวครบของจริง เพราะวาย้ายกลับมาเรียนที่วิทยาเขตนี้แล้ว โดยมีเจเล่ติดสอยห้อยตามมาเที่ยวด้วย
“ว้าย น่ารักจัง” เสียงใสๆ ของเจเล่ดูจะดังกว่าใครเพื่อนระหว่างหยิบตุ๊กตา Matreshka หรือตุ๊กตาแม่ลูกดกมาเปิดเล่น ที่ยิ่งเปิดจะเจอตัวที่เล็กลงเรื่อยๆ กระทั่งเหลือตัวเท่าปลายนิ้วก้อย
“งั้นฉันขออันนี้แล้วกัน พี่เฟย์น่าจะชอบ” ปอนด์หนุ่มไอทีตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม หยิบไข่ฟาแบร์เชสีขาวทองไปสำรวจดูเล่น ผมว่าอย่าอ้างแฟนเลย ปอนด์คงชอบเองมากกว่า
“โอโห มีผ้าคลุมไหล่ด้วยเหรอเนี่ย สวยดีแฮะ กูขอเอาไปฝากพี่สะใภ้นะ” ริวหยิบผ้าคลุมไหล่ถักด้วยมือ ซึ่งมีลวดลายคล้ายกับใยแมงมุมสีขาวไปกางดูอย่างชอบใจ
“กล่องนี้น่าสนใจดี พี่ชายกูน่าจะชอบ” ซันหยิบกล่องจิวเวอรี่โดยช่างฝีมือชาวรัสเซีย ที่วาดภาพสลับทาแลคเกอร์จนเป็นมิติบนฝากล่องได้อย่างสวยงาม
“ส่วนกูต้องนี่เลย! จะไม่ยอมให้ใครพรากมันไปจากอกเด็ดขาด” โป้หัวเราะฮาๆ ขณะกอดกล่องที่ห่อปิดด้วยกระดาษอย่างดี เจ้าตัวเล่นกระโจนเข้าใส่คว้าไปกอดไว้เป็นคนแรก จนวาอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมผ่านเพื่อนสมัยเด็ก
“เมียมึงขี้เมาฉิบหายเลยว่ะซัน”
ซันกลอกตาเอือมโดยไม่ตอบอะไร เพราะจนแล้วซึ่งคำพูดกับนิสัยสุดติ่งของแฟนตัวเอง ส่วนคนโดนนินทาระยะเผาขนมีหรือจะปล่อยไปเฉยๆ หันมาเลิกคิ้วเลียนแบบซันอย่างกวนๆ
“พวกมึงไม่รู้อะไร ของดีของรัสเซียคือวอดก้า! แล้วแบบนี้จะพลาดได้ยังไง” ว่าแล้วก็จูบกล่องโชว์ เปิดประเด็นให้ซันหันไปด่ากระชากมิตร ผมเลยใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับของฝากป้องปากถามคนข้างตัว
“พี่อาคมเล่นกวาดทุกอย่างที่คิดว่าขึ้นชื่อมาหมดเลยนี่” ครับ คนที่ซื้อของฝากเหล่านี้คือพี่อาคมนั่นเอง ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ผมมีเวลาว่างที่ไหน
“ผมพยายามเลือกที่ไม่ค่อยมีขายในไทยน่ะ แต่เอาจริงๆ จะอะไรก็คงมีหมด เพียงแค่ราคาแพงขึ้นเท่านั้นเอง” พี่อาคมอธิบายซึ่งผมพยักหน้ารับเห็นด้วยแล้วหยิบขนมสารพัดที่ จากใครหลายคนมานั่งกิน เพราะส่วนใหญ่เพื่อนๆ จะเอาของกินกันมามากกว่า มีผมนี่แหละขนมาแต่ของเป็นชิ้น
ระหว่างที่ผมกำลังนั่งมองเพื่อนเพลินๆ จู่ๆ วาที่ไม่ได้เลือกของฝากกลับเปิดประเด็นซะเงียบกริบกันทั้งโต๊ะ
“มึงเจอแม่รึยัง”
ผมหยุดมือที่กำลังหยิบข้าวซอยตัดของฝากจากโป้ พอกวาดตาเห็นเพื่อนอยากรู้กันขนาดนั้น มันก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขนมมาแกะอย่างพิถีพิถัน แล้วนั่งละเลียดกิน อืม...ผมไม่เคยกินมาก่อนเลย มันเหมือนจะกรอบแต่ก็เหมือนจะนุ่ม หอมข้าวกับน้ำผึ้ง
“ไอ้มิท! เลิกลีลาเดี๋ยวกูถีบคว่ำ จะเล่าหรือไม่เล่าก็บอกมา พวกกูไม่ได้บังคับ” ซันเหลืออดยกขาจะถีบผมจริงๆ หากไม่ติดว่าโป้กอดคอห้ามไว้ ไม่ใช่อะไร มันกลัวขวดวอดก้าร่วง
ผมหัวเราะ “ใจเย็นสิ กูได้เจอแม่แล้ว ท่านกำลังพักรักษาตัวอยู่ ภายในปีนี้ถึงจะได้คิวผ่าตัด กูถือโอกาสบอกพวกมึงเลยแล้วกัน ไม่แน่กูอาจได้หยุดยาวไปดูแม่ พวกมึงลงเรียนวิชาอะไรกันเอาตารางมาดู ถ้ามีวิชาเดียวกันจะได้เกาะพวกมึงเลย” ผมบอกตามตรงเลยว่ากูจะเกาะ พวกที่เรียนวิศวะเหมือนกันก็ไม่มีปัญหาอะไร ยอมหยิบมือถือส่งตารางของตัวเองมาให้ทางไลน์กลุ่ม ผมเองก็ส่งไปเหมือนกันจะได้ช่วยกันดู
“แบบนั้นก็ดีแล้ว เห็นมิทมีความสุขทุกคนจะได้โล่งใจสักที ฉันเชื่อว่าไม่มีใครเจอแต่เรื่องร้ายๆ ตลอดชีวิตหรอก มันต้องมีเรื่องดีบ้าง เพียงแต่คนนั้นถูกเรื่องราวแย่ๆ บดบังจนไม่สังเกตมากกว่า” ปอนด์ยิ้มบางพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายแต่แทงใจทุกคน
“เห็นด้วยนะ ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เรื่องดีๆ ก็คือเรื่องดีๆ นั่นแหละ” แล้วเจเล่กับปอนด์ก็แปะมือกันท่าทางน่าเอ็นดู กลายเป็นลูกคู่อย่างดีขนาดที่ผมกับริวยังต้องชิดซ้าย
ผมระบายยิ้มเต็มใบหน้า เพื่อบอกว่าตอนนี้กำลังมีความสุขแค่ไหน “เรื่องดีๆ ของฉันหนึ่งในนั้นคงเป็นพวกนายนี่แหละ ขอบคุณมาก” คำพูดของผมทำให้ทุกคนนิ่งไป ก่อนจะพากันหัวเราะเสียงดัง ริวโผเข้ามากอดคอผม โป้ยีหัวอย่างหมั่นไส้ เล่ถลาเข้ามาร่วมวงด้วยเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก ส่วนสามคนที่เหลือแค่นั่งยิ้มอยู่กับที่ เท่านี้ก็ทำให้ผมหัวใจพองฟูแล้ว มิตรภาพระหว่างเพื่อนมันเป็นแบบนี้นี่เอง
เนื่องจากมีความสุขมากไปหน่อย ขนาดเลิกเรียนกลับบ้านแล้วยังหุบยิ้มไม่ได้ ผมยกมือไหว้ป๋าที่ยังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ก่อนจะถูกรวบเอวไปนั่งตักเหมือนทุกที ผมเลยถือโอกาสนี้เล่าเรื่องที่มหา’ลัยให้ฟัง ป๋านั่งฟังเงียบๆ รอจนผมเล่าจบถึงจ้องสบตา
“ตอนนี้เธอกำลังมีความสุข?”
“ครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล ป๋าพยักหน้ารับน้อยๆ
“เธอพร้อมจะฟังเรื่องพ่อของเธอรึยัง” คำถามเรียบง่ายที่ทำเอาใจผมกระตุกวูบ ผมมองป๋าอย่างไม่เข้าใจ ทำไมช่วงเวลาที่ผมมีความสุขป๋าถึงพูดเรื่องของผู้ชายคนนี้!
ดูท่าผมจะแสดงออกชัดเจนมากไปหน่อย ป๋าเลยรวบตัวไว้ไม่ให้หนีแล้วพูดอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อย่าหนีความจริงมิทรี่ ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนนามสกุลสักกี่ครั้ง เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอครึ่งหนึ่งเป็นของผู้ชายคนนั้น เธอควรจะรับความจริงได้แล้ว ไม่งั้นเธอจะก้าวต่อไปได้ยาก อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
ผมผ่อนลมหายใจ พยายามควบคุมสติอารมณ์ แม้ในใจจะนึกต่อต้านแค่ไหน แต่สิ่งที่ป๋าพูดนั้นเป็นความจริง ผมไม่สามารถหนีปีศาจตนนั้นไปได้ตลอดกาล สักวันหนึ่งต้องตามมาหลอกหลอนแน่ ต่อให้ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ แต่ความทรงจำยังคงอยู่
“ปุบปับผมคงทำไม่ได้หรอก ป๋ามีอะไรอยากบอกก็บอกเถอะ”
กลับกลายเป็นพี่อาคมที่ก้าวเข้ามาเล่าแทน บอกว่าพ่อของผมยังไม่ตาย ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็หนีหัวซุกหัวซุนไปหาผมที่ห้องเดิม คนของป๋าที่ดักรออยู่แล้วก็รวบตัวมาให้ไนท์จัดการ บังคับมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูให้ป๋า แน่นอนว่าพ่อผมต่อให้ตกเป็นเบี้ยล่างก็ยังเรียกร้องขอเงิน ความคิดเรื่องที่จะขายลูกตัวเองยังคงฝังแน่นอยู่ในหัว ผมฟังถึงตรงนี้ก็กำหมัดแน่น แล้วโดนป๋าแกะออกเพื่อกุมมือแทน
แน่นอนว่าระดับอย่างไนท์ นอกจากจะไม่ให้เงินแล้วยังเอาหลักฐานการทำผิดกฎหมายส่งให้ตำรวจ เพื่อลากคอพ่อผมเข้าคุกตลอดชีวิต ผมถึงไม่เห็นเขาอีกเลย...
“ทีแรกฉันคิดจะฆ่ามันทิ้งด้วยซ้ำ สำหรับฉันก็ไม่ต่างจากเศษสวะตัวหนึ่ง แต่เพราะมันเป็นพ่อของเธอฉันจึงไว้ชีวิต ถึงแม้จะได้รับโทษแบบนั้น แต่กฎหมายไทยสักวันมันต้องออกมา ฉันอยากให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่วันนั้นจะมาถึง” ป๋ากล่าวเสริมพลางเชยคางผมขึ้น “มิไรฮอฟไม่เคยอ่อนแอ ถึงเธอจะไม่ใช่สายเลือดของฉัน แต่ห้ามทำชื่อเสียงเสียหายเด็ดขาด ฉันหวังในตัวเธออยู่นะเด็กน้อย” จบประโยคด้วยการประทับจูบแทนสัญญาที่ผมต้องปฏิบัติตาม
ผมมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว หรือต่อให้มีทางแยกอื่นผมก็ไม่คิดจะไป
“ผมบอกไม่ได้ว่าจะทำสำเร็จตอนไหน เพราะมันเป็นแผลลึกเกินไป แต่ผมสัญญาว่าจะทำให้ได้” ผมลั่นวาจาเมื่อป๋าถอนจูบออก อีกฝ่ายพูดเพียงคำสั้นๆ
“เธอไม่ได้อยู่คนเดียว”
เสียงกระแอมไอของไนท์ดึงสายตาผมให้สำรวจรอบตัว ไนท์กับพี่โทริยืนอยู่ตรงประตูเหมือนเพิ่งเปิดเข้ามา ไมค์ยืนอยู่ข้างพี่อาคมตรงมุมห้อง ในมือของไมค์ถือแท็บเล็ตที่กำลังวีดีโอคอล มีหลงกับแม่ที่ส่งยิ้มโบกมือให้อยู่บนหน้าจอ ขอบตาผมร้อนผ่าว รู้สึกจุกที่คอกับเจ็บตื้อตรงจมูก ผมกำลังจะร้องไห้ ไม่ใช่จากความทุกข์ แต่เป็นดีใจ
“จงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้สมกับเป็นคนของฉัน ‘มิทรี่ มิไรฮอฟ’ ”
เสียงทุ้มต่ำที่ประกาศออกมาดังก้องไปทั้งใจ ผมพยายามกลั้นก้อนสะอื้นของตัวเอง แล้วโผกอดป๋าผู้ที่เปรียบเสมือนความสุขครั้งใหญ่ที่สุดของผม จุดเปลี่ยนของชีวิตจากเด็กไซด์ไลน์อนาคตเลือนลางกลายเป็นคนที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส ผมพูดกับป๋าด้วยเสียงสั่นเครือ
“ผมขอสาบาน ร่างกาย ชีวิต วิญญาณ หัวใจของผม ทุกสิ่งทุกอย่างขอมอบให้ป๋าเพียงผู้เดียว”
ป๋าตอบด้วยคำพูดสั้นๆ ที่กระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน
“мой дорогой”
- END -
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ป่ามิทจบแล้ว! เย้!!
หลังจากน้องมิทผ่านมรสุมมามากมาย ในที่สุดก็มีความสุขจริงๆ สักที และมีคนคอยหนุนอยู่เคียงข้าง กลายเป็นคนน่าอิจฉาไปซะแล้ว หุหุ
ป๋าเองนับวันก็ยิ่งหลงเด็กมากขึ้นทุกที จนบรรดาการ์ดพร้อมใจกันส่ายหัวอย่างระอา แต่ไม่มีใครกล้าอาจหาญแซ็วบอสใหญ่ ฮ่าๆ
ส่วนตอนจบอาจจะดูเหมือนขาดหายไปบ้าง ไม่ได้ตัดจบแต่อย่างใด ปมทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ส่วนเรื่องการรักษาของแม่อันนี้จะใส่เป็นตอนพิเศษในเล่ม มีกำหนดรวมเล่มประมาณต้นปีหน้า ยังบอกชัดเจนไม่ได้ว่าเดือนไหน ติดตามข่าวสารกันที่เพจ
https://www.facebook.com/SilverFish4/ นะคะ
เท่านี้ก็จบไป 3 คู่จากทั้งหมด 5 คู่
คิวต่อไปเป็นริวธัน แต่ยังคงไม่แต่งเร็วๆ นี้ ขอหายไปอัปนิยายแฟนซีที่ค้างไว้ก่อนเน้อ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและรับน้องมิทไว้อยู่ในอ้อมแขนค่ะ